แชร์

บทที่ 12

หนิงจื้อหมิงเห็นหนิงเฉินนิ่งเงียบ จึงคิดว่าคำพูดของตนโน้มน้าวใจของหนิงเฉินได้

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นแค่เด็ก เกลี้ยกล่อมสักหน่อยก็คงดีขึ้น

“เฉินเอ๋อร์ ช่วงนี้เจ้าได้พบเจอผู้ใดหรือไม่?”

หนิงเฉินชะงักอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้เพราะสาเหตุใด

“ท่านเสนาบดี ตั้งแต่ข้ามาอยู่จวนสกุลหนิง ข้าก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหน...ช่วงนี้ถ้าไม่ป่วยก็บาดเจ็บหนัก จะพบเจอสักกี่คน? ไม่ทราบว่าท่านเสนาบดีกำลังถามถึงใคร?”

หนิงจื้อหมิงยิ่งเกิดความสงสัย นี่ก็เป็นสิ่งที่เขาไม่เข้าใจเช่นกัน

หนิงเฉินแทบไม่ค่อยได้ออกจากจวน แล้วจะรู้จักกับฮ่องเต้ได้อย่างไร?

หนิงจื้อหมิงก็ไม่กล้าถามออกมาตามตรง แค่พูดอย่างกำกวมว่า “ข้าไม่ได้หมายถึงคนในจวน แต่หมายถึงคนแปลกหน้า? ”

หนิงเฉินยิ้มเยาะ: “คนในจวนยังรู้จักไม่หมด จะไปรู้จักคนอื่นได้ที่ไหนกัน?”

หนิงจื้อหมิงยิ่งแปลกใจ

แต่เขาก็ไม่กล้าถามออกมาตรง ๆ

หนิงเฉินมองเขาและพูดว่า “ท่านเสนาบดี ในเมื่อท่านไม่อนุญาตให้ข้าออกจากจวน...แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องสืบหาให้ถึงที่สุด”

“เรื่องอะไร?”

“หนิงกานชิงเงินข้าไปร้อยตำลึง”

หนิงจื้อหมิงขมวดคิ้ว “เจ้าเอาเงินร้อยตำลึงมาจากที่ใด?”

“ท่านอย่าสนใจเรื่องนี้เลย หนิงกานชิงเงินของข้าไปจริง ๆ หวังว่าท่านเสนาบดีจะบอกให้เขาคืนเงินมาให้ข้าด้วย”

หนิงจื้อหมิงสีหน้าเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ “เฉินเอ๋อร์ พ่อรับปากว่าจะชดเชยให้เจ้า...แต่เจ้าต้องเลิกนิสัยแย่ ๆ เหล่านี้ หากใส่ร้ายพี่น้องและประพฤติตัวไม่ดี ข้าก็จะไม่ปล่อยไว้เช่นกัน”

หนิงเฉินมองหนิงจื้อหมิงด้วยสายตาเยือกเย็น

จากนั้นเขาก็ยิ้มเยาะตัวเองและพูดว่า: “ข้ารู้แต่แรกว่าต้องเป็นเช่นนี้ ท่านเสนาบดี ท่านคิดเสียว่าข้าไม่ได้พูดสิ่งใดก็แล้วกัน ข้าเหนื่อยแล้ว เชิญท่านเสนาบดีกลับไปเถอะ!”

หนิงเฉินรู้ดีว่าเงินหนึ่งร้อยตำลึงนั้นไม่มีทางได้คืน

ทว่าเขาก็ยังมีความหวังอยู่บ้าง

เขาประเมินค่าตนเองในใจของหนิงจื้อหมิงสูงเกินไป เขายังคงเป็นหนิงจื้อหมิงที่ต้องอดทนอดกลั้น...หากในใจเขามีความรู้สึกห่วงใยสักนิดก็ควรจะต้องสืบสวนบ้าง แทนที่จะตำหนิตนทั้งที่ยังไม่รู้ความจริงที่แน่ชัด

หนิงจื้อหมิงแค่นเสียงเย็นชา!

จนถึงตอนนี้เขาคิดว่าหนิงเฉินนิสัยเปลี่ยนไป นั่นเป็นเพียงแค่แผนการ ที่คิดจะใช้วิธีนี้ดึงดูดความสนใจของเขา

ทว่าพฤติกรรมดื้อรั้นของเขาเช่นนี้ กลับทำให้ตนรู้สึกยิ่งรังเกียจ

ถ้าไม่ใช่เพราะฮ่องเต้ เขาคงไม่เสียเวลาแม้แต่จะมองหนิงเฉินด้วยซ้ำ

ใบหน้าของหนิงจื้อหมิงโกรธจัด สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป

เมื่อเขามาถึงประตู พ่อบ้านอู๋ก็เข้ามาโค้งคำนับทักทาย

“นายท่าน อาหารเช้าพร้อมแล้วขอรับ!”

เนื่องจากก่อนไปเข้าเฝ้าไม่สามารถกินอาหารเช้าได้ พวกเขาจึงค่อยกินหลังเสร็จจากการเข้าเฝ้า

หนิงจื้อหมิงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า: “พ่อบ้านอู๋ เจ้าติดตามข้ามานานเท่าใดแล้ว?”

พ่อบ้านอู๋คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นรีบก้มหน้าโน้มตัวแล้วเอ่ยว่า: “บ่าวติดตามนายท่านมามากกว่าสิบปีแล้วขอรับ”

“ติดตามข้ามานานถึงเพียงนั้น? ก็น่าจะเข้าใจความคิดของข้า...พ่อบ้านอู๋ ถึงอย่างไรหนิงเฉินก็เป็นคนสกุลหนิง ข้าไม่อยากให้ผู้ใดแอบก่อกวนเขาอีก”

“เจ้าจำไว้ให้ดี ต่อให้เป็นเจ้านายที่ไม่ได้รับความโปรดปรานก็ยังคงเป็นเจ้านาย บ่าวรับใช้ก็คือบ่าวรับใช้...หากครั้งต่อไปยังทำผิดอีก จวนสกุลหนิงจะไม่ปล่อยคนเช่นนี้ไว้แน่”

“พ่อบ้านอู๋ ต่อไปอาหารที่เตรียมให้หนิงเฉิน จะต้องมีประโยชน์และสะอาด!”

หนิงจื้อหมิงพูดจบก็เอามือไพล่หลังเดินจากไป

พ่อบ้านอู๋นิ่งอึ้งอยู่กับที่ ใบหน้าแก่ชราซีดขาว เหงื่อเย็นผุดออกมา

เขารู้ดีว่าหนิงจื้อหมิงกำลังตักเตือนเขา

นายท่านรู้ได้อย่างไรว่า ข้าเติมส่วนผสมบางอย่างลงไปในอาหารเช้าของหนิงเฉิน?

หารู้ไม่ว่าหนิงจื้อหมิงทำงานอยู่ในราชสำนักมานาน ทว่ามาถึงจุดนี้ได้ในวันนี้ นอกจากความช่วยเหลือของมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายแล้ว ตนเองก็ยังมีความสามารถด้วยเช่นกัน

หนิงเฉินเคี่ยวเข็ญให้พ่อบ้านอู๋กินอาหาร เขาจะมองไม่เห็นข้อพิรุธได้อย่างไร?

แน่นอนว่าเขาตักเตือนพ่อบ้านอู๋ไม่ใช่เพื่อหนิงเฉิน แต่เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของตน...บ่าวคนหนึ่งรังแกคนของสกุลหนิง นั่นเท่ากับไม่ไว้หน้าเขา

ส่วนในตอนนี้ หนิงเฉินก็ค้นพบพิรุธบางอย่างจากท่าทางผิดปกติของหนิงจื้อหมิงเช่นกัน

เพราะหนิงจื้อหมิงถามว่าช่วงนี้เขาพบเจอคนภายนอกบ้างหรือไม่?

ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา นอกจากคนในจวนแล้ว คนที่เขาพบก็มีแค่เทียนเสวียน

ข้างกายของเทียนเสวียนผู้นั้นยังมีขันทีติดตาม ดังนั้นเขาจะต้องเป็นเชื้อพระวงศ์อย่างแน่นอน

เทียนเสวียนลักษณะไม่เหมือนปุถุชนธรรมดา หนิงเฉินสงสัยว่าเขาอาจจะเป็นฝูอ๋อง

ฝูอ๋องเป็นน้องชายคนเดียวของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง

หนิงจื้อหมิงมีท่าทีต่อเขาเปลี่ยนไปจากเดิม หรือจะเกี่ยวข้องกับฝูอ๋อง?

ทว่านี่ก็ยังไม่น่าใช่เหตุผล ในตอนนั้นเขายังใช้ชื่อปลอม เทียนเสวียนไม่รู้สถานะที่แท้จริงของเขา

บางทีเขาอาจส่งคนไปสะกดรอยตามและสืบหาตน

แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่จำเป็นต้องตักเตือนหนิงจื้อหมิงเพื่อตน

ยิ่งไปกว่านั้นฝูอ๋องก็เป็นแค่องค์ชายที่เอ้อระเหยไปวัน ๆ และไม่มีอำนาจ แม้จะเป็นเชื้อพระวงศ์ก็ตาม แต่เบื้องหลังของหนิงจื้อหมิงคือมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายที่ทรงอำนาจและมีตำแหน่งสูง ไม่จำเป็นต้องกลัวฝูอ๋องแม้แต่น้อย

หนิงเฉินนวดหว่างคิ้ว... บางทีหนิงจื้อหมิงมีท่าทีต่อตนเปลี่ยนไปจากเดิม เพราะมีเหตุผลอื่น

ช่างเถอะ อย่าเพิ่งสนใจเรื่องเหล่านั้นเลย ดูแลร่างกายให้หายดี จากนั้นค่อยคิดหาทางออกจากจวนสกุลหนิง

หนิงจื้อหมิงก็แค่ไม่แยแสเขา แต่ภัยคุกคามที่แท้จริงสำหรับเขาคือฉางหรูเยว่กับบุตรชาย

เบื้องหลังของฉางหรูเยว่กับบุตรชายก็คือมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย นั่นคือบุคคลที่มีอำนาจเหนือคนทั้งปวง แต่อยู่ใต้ฮ่องเต้เพียงผู้เดียวเท่านั้น

หากเขาไม่ออกจากจวนสกุลหนิง คนที่ไร้อำนาจและสถานะต่ำต้อยอย่างเขา ไม่ช้าก็เร็วคงถูกฆ่าตาย

......

หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว อาการบาดเจ็บของหนิงเฉินเกือบจะหายดีแล้ว

ในระยะนี้อาหารการกินดี เขาอ้วนท้วนขึ้นมาบ้าง สีหน้าดูสดใส

ที่จริงเขาลงจากเตียงได้ราว ๆ วันที่เจ็ดแปดแล้ว ทั้งยังได้ไปเยี่ยมอาไฉด้วย...โชคดีที่อาไฉไม่บาดเจ็บมาก มิเช่นนั้นเขาจะเล่นงานหนิงเม่าให้ถึงที่สุด

หนิงเฉินตัดสินใจขายบทกวีต่อไปเพราะต้องการหาเงิน

เงินหนึ่งร้อยตำลึงที่ถูกหนิงกานชิงไป นั่นก็คงไม่ได้กลับคืนมาแล้ว

ทว่าความคิดที่จะออกจากจวนสกุลหนิงยังไม่เปลี่ยนแปลง เพื่อชีวิตน้อย ๆ ของตน เขาจำเป็นต้องจากไป

แต่ดูท่าทีของหนิงจื้อหมิง เขาคงไม่ปล่อยให้ตนจากไปง่าย ๆ...ไม่รู้ว่าชายชราผู้นี้ซ่อนใบรับรองไว้ที่ใด เมื่อวานเขาแอบเข้าไปค้นหาที่ห้องหนังสือของหนิงจื้อหมิง แต่กลับไม่พบ

ทว่าต่อให้มีใบรับรอง เขาก็ต้องรอจนถึงอายุสิบหกปีถึงจะออกไปได้...หลายเดือนนี้ก็พยายามหาเงิน เมื่อถึงเวลาที่ต้องออกจากจวนสกุลหนิงจะได้ไม่ต้องลำบาก

หนิงเฉินปีนข้ามกำแพงออกมาอีกครั้ง และมุ่งหน้าตรงไปยังหอจ้วงหยวน

หวังว่าตนจะโชคดี วันนี้ได้พบกับเทียนเสวียน

เพราะเทียนเสวียนเป็นคนใจกว้าง

ตอนนี้อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว หนิงเฉินรวบเสื้อผ้าตัวบางของเขาให้กระชับ

ไม่รู้ว่าหนิงจื้อหมิงลืมไป หรือเป็นฉางหรูเยว่ที่คิดแผนสกปรกอยู่เบื้องหลัง...ระยะนี้เขาได้กินอาหารดี ๆ แต่มีสิ่งเดียวที่ไม่ได้จัดเตรียมไว้ให้เขาคือเสื้อผ้าตัวหนา ๆ

เสื้อผ้าชุดใหม่ที่ซื้อก่อนหน้านี้ก็ถูกหนิงกานพาคนมาชิงไป เขาจึงต้องสวมแต่เสื้อผ้าตัวบางที่เคยมี

เขาวิ่งเหยาะๆไปจนถึงหอจ้วงหยวน

หอจ้วงหยวนยังคงคึกคัก ผู้คนผ่านไปผ่านมา

หนิงเฉินมองไปโดยรอบเพื่อมองหาเงาของเทียนเสวียน

หากไม่พบเทียนเสวียน เขาคงขายบทกวีให้กับผู้อื่นแทน...แน่นอนว่าก็คงขายไม่ได้ราคาดี

ขณะที่หนิงเฉินกำลังมองหาเทียนเสวียน บุรุษหน้าขาวไร้หนวดเคราก็เดินย่อง ๆ เข้ามาด้านหลังเขา

“คุณชายหลัน ในที่สุดก็ได้เจอท่านแล้ว”

หนิงเฉินหันหลังกลับไปดู ใบหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ เขาคือชายตุ้งติ้งผู้นั้น

ตอนนี้เขาไม่รู้สึกว่าชายตุ้งติ้งผู้นั้นน่ารังเกียจ แต่กลับดูน่ารัก

เพราะถ้าเห็นเขาอยู่ นั่นแสดงว่าเทียนเสวียนก็ต้องอยู่ด้วย...วันนี้จะต้องหาเงินได้เยอะอีกแล้ว

เฉวียนกงกงเห็นหนิงเฉินในเสื้อผ้าตัวบาง ตัวสั่นด้วยความหนาว จึงอดพูดไม่ได้ว่า: “เจ้าขี้เหนียวจริง ๆ ไม่ยอมควักเงินแม้ตำลึงเดียว หาเงินได้มากขนาดนั้น แต่จะตัดใจซื้อเสื้อผ้าตัวหนา ๆ ให้ตัวเองไม่ได้เชียวรึ?”

ตอนนี้หนิงเฉินไม่อยากสนใจคำเสียดสีของเขา พูดอย่างจนใจว่า: “อย่าพูดถึงมันเลย! ข้าซื้อเสื้อผ้าตัวหนา ๆ มาหลายชุด แต่ทั้งเสื้อผ้าและเงินก็ถูกคนชิงไปแล้ว”

สีหน้าของเฉวียนกงกงเปลี่ยนไป

เงินนั่นถือเป็นของพระราชทาน กล้าชิงของพระราชทาน นี่ถือเป็นโทษหนักถึงขั้นตัดหัว ผู้ใดหนอช่างรนหาที่ตาย?

“ถูกผู้อื่นชิงไปแล้ว? ผู้ใดเป็นคนทำ?”

“สุนัขดุร้ายตัวหนึ่งอยู่ที่จวน ช่างเถอะ...พูดกับเจ้ามีประโยชน์อันใด? ท่านลุงอยู่หรือไม่ อยากจะซื้อบทกวีไหม?”

เฉวียนกงกงพยักหน้า “ตามข้ามา!”

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status