แชร์

บทที่ 13

หนิงเฉินเดินตามเฉวียนกงกงไปยังห้องที่พวกเขาเคยมาเมื่อครั้งก่อน

ทันทีที่เข้าไปในห้อง เขาก็พบว่านอกจากเทียนเสวียนแล้ว ยังมีชายชราที่มีขาเพียงข้างเดียว

แม้หนิงเฉินจะเคยพบเขาเป็นครั้งแรก แต่ครั้งแรกก็เดาตัวตนของเขาได้ทันที เขาก็คือแม่ทัพผู้เฒ่าเฉิน

“ท่านลุง เราเจอกันอีกแล้ว?”

หนิงเฉินก้าวขึ้นมาพร้อมกับโค้งคำนับ

จากนั้นเขาก็ทำความเคารพแม่ทัพผู้เฒ่าเฉินอย่างนอบน้อม “ข้าน้อยหลันซิง คารวะท่านแม่ทัพผู้เฒ่าเฉิน!”

แม้จะเป็นการพบกันครั้งแรก แต่หนิงเฉินเคยเป็นทหาร ดังนั้นเขาจึงให้ความเคารพแม่ทัพอาวุโสที่กรำศึกมาทั้งชีวิตผู้นี้เป็นพิเศษ

“เจ้าก็คือหลันซิง?”

แม่ทัพผู้เฒ่าเฉินดูท่าทางตื่นเต้น เขามองสำรวจหนิงเฉินตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นขมวดคิ้วทันที:“อากาศหนาวมาก เหตุใดจึงสวมเสื้อผ้าตัวบางเช่นนี้”

หนิงเฉินฝืนยิ้มและเอ่ยว่า “เล่าแล้วเรื่องมันยาวนัก!”

เมื่อเห็นว่าหนิงเฉินไม่อยากพูดมากความ แม่ทัพผู้เฒ่าเฉินก็ไม่เค้นถาม แต่ถามด้วยความแปลกใจว่า: “เจ้ารู้ตัวตนของข้าได้อย่างไร หรือเคยพบกันมาก่อน?”

“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าน้อยพบกับท่านแม่ทัพ แต่เรื่องราววีรกรรมอันกล้าหาญของท่าน ข้าน้อยได้ยินมาตั้งแต่เล็กจนโต ในใจยังคงเลื่อมใสศรัทธามิคลาย ราวกับสายน้ำที่ไหลไปไม่มีวันสิ้นสุด”

หนิงเฉินพูดยกยออย่างไม่เคอะเขิน

นี่คือแม่ทัพผู้เฒ่าเฉิน แม้แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ยังปฏิบัติกับเขาอย่างสุภาพ หากเอาอกเอาใจเขาได้ จะมีประโยชน์อย่างมาก

แม่ทัพผู้เฒ่าเฉินพอใจกับคำเยินยอของหนิงเฉิน จึงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข และรู้สึกอิ่มเอิบใจ

“ข้าต้องขอบใจสำหรับบทกวีของเจ้า วีรบุรุษเกิดขึ้นตั้งแต่เยาว์วัย ในวัยเท่านี้สามารถเขียนผลงานชิ้นเอกเช่นนี้ออกมาได้ ช่างน่าทึ่งมาก!”

แม่ทัพผู้เฒ่าเฉินรู้สึกประทับใจหนิงเฉิน เอ่ยโดยไม่หวงคำชมเชย

หนิงเฉินพูดอย่างถ่อมตนว่า: “ท่านแม่ทัพชมเกินไป ข้าน้อยไม่กล้ารับ...หากเทียบกับท่านแล้ว คงไม่ต่างจากแสงหิ่งห้อยเทียบกับแสงจันทร์”

“ฮ่าฮ่าฮ่า...เด็กคนนี้ช่างปากหวานจริง ๆ! อีกอย่างเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสก็ไม่หมิ่นตนและไม่ถือตน หากตอนหนุ่มข้าได้พบเจ้าคงต้องพาเจ้าไปสนามรบด้วยอย่างแน่นอน”

หนิงเฉินรีบเอ่ยขึ้นว่า: “อันที่จริงความฝันของข้าน้อยตั้งแต่ยังเด็กคือได้สวมเครื่องแบบทหาร ต่อสู้กับศัตรูในสนามรบ สร้างเกียรติภูมิให้กับแคว้น... ด้วยเหตุนี้ข้าน้อยจึงเคยอ่านตำราพิชัยสงคราม และศึกษากลยุทธ์การทำสงคราม”

คำกล่าวนี้หนิงเฉินไม่ได้โกหก เขาคิดถึงวันที่ได้ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับเพื่อนทหารในการต่อสู้กับศัตรู

“เจ้าเคยศึกษากลยุทธ์การทำสงคราม?”

ฮ่องเต้ทรงประหลาดใจเล็กน้อย

หนิงเฉินพูดอย่างถ่อมตนว่า: “พูดตามตรง ตอนข้าอายุสิบสองปีก็เริ่มมีความคิดว่าอยากจะศึกษาหาความรู้ จึงล่ำเรียนอย่างจริงจัง...และหากมีเวลาจะศึกษากลยุทธ์การทำสงคราม พอจะพูดที่เข้าใจได้อย่างคร่าว ๆ ”

“พูดตามจริงแล้ว ความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ของข้าไม่ควรค่าที่จะเอ่ยถึงต่อหน้าท่านแม่ทัพ”

แม่ทัพผู้เฒ่าเฉินเอ่ยถามโดยไม่รู้ตัวว่า: “ปีนี้เจ้าอายุเท่าใด?”

หนิงเฉินโค้งคำนับเล็กน้อยและตอบว่า: “อีกไม่กี่เดือนก็จะอายุสิบหกปี!”

ฮ่องเต้และคนอื่น ๆมีสีหน้าประหลาดใจ

ฮ่องเต้อดไม่ได้ที่จะเอ่ยว่า: “เจ้าอายุยังไม่ถึงสิบหกปี นั่นเท่ากับว่าเจ้าศึกษาเล่าเรียนเป็นเวลาแค่สามปี...สามปีสามารถเขียนผลงานชิ้นเอกเช่นนี้ออกมาได้แล้วหรือ? เจ้าทำได้อย่างไร?”

หนิงเฉินพูดอย่างเขินอายเล็กน้อย: “บางทีข้าอาจจะเป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับยากกระมัง?”

ฮ่องเต้กับแม่ทัพผู้เฒ่าเฉินมุมปากขยับเล็กน้อย

“เจ้าหนู ไม่ถ่อมตัวเลย!”

หนิงเฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ถ่อมตัวเกินไปคือการเสแสร้ง ข้าน้อยก็พอจะมีความถนัดด้านบทกวีอยู่บ้างก็เท่านั้น...ท่านลุง ท่านแม่ทัพ ซื้อบทกวีสักสองบทไหม ข้าน้อยจะคิดให้พวกท่านในราคาถูกเลย”

หนิงเฉินรู้สึกว่าตนเองไม่ต่างจากหนูน้อยที่เดินเร่ขายไม้ขีดไฟท่ามกลางความหนาว...เพียงเพื่อไม่ให้เหน็บหนาวและหิวโหย

ดูเหมือนทั่วทุกที่จะเป็นเช่นเดียวกัน เงินทองนั้นหายากนัก

ฮ่องเต้โบกมือและพูดว่า “อย่าเพิ่งใจร้อน เมื่อครู่เจ้าบอกว่าศึกษากลยุทธ์การทำสงครามมาพอคร่าว ๆ...เช่นนั้นข้าจะลองทดสอบเจ้า ดูว่าเจ้าโอ้อวดหรือไม่? ถ้าพูดได้ดี จะไม่เอาเปรียบเจ้าแน่นอน”

เขาลองคิดดู หนิงเฉินนอกจากบทกวีแล้ว ยังมีสิ่งใดอีกที่ทำให้เขาประหลาดใจ?

หนิงเฉินแววตาเป็นประกายวูบหนึ่ง ยิ้มและเอ่ยว่า “ท่านลุง...ท่านทำให้ข้าลำบากใจ?”

“ทำไม กลัวรึ?”

“ไม่ใช่กลัว...หากข้าพูดไม่ถูกต้อง ทุกท่านก็แค่ฟังเป็นเรื่องสนุกสนานไป อย่าให้ส่งผลกระทบต่อการค้าขายของเราเด็ดขาด”

มุมปากของฮ่องเต้กระตุกเล็กน้อย ที่แท้ก็กังวลว่าตนจะไม่ซื้อบทกวีของเขา?

ทว่าเด็กคนนี้มีเหตุผลอันใด? อากาศหนาวเย็นถึงสวมเสื้อผ้าตัวบางเช่นนี้?

ตอนที่แม่ทัพเฉินถามเมื่อครู่ สีหน้าเด็กคนนี้ดูขุ่นเคืองมัวหมอง ดูเหมือนว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเขา?

ดูท่าว่าต้องส่งคนไปสืบดูในภายหลัง

“หลันซิง ระยะนี้กองทัพทหารม้าของแคว้นถัวหลัวรุกรานชายแดนต้าเสวียนของเราอยู่บ่อยครั้ง ปล้นสะดมราษฎร...แม้เราจะส่งทหารไปประจำการแล้ว ทว่าแคว้นถัวหลัวก็อาศัยเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนไปทั่ว ม้าศึกของพวกเขาก็ฝีเท้าเร็วมาก ไปมาอย่างไร้ร่องรอย”

“ดังนั้น รอจนทหารต้าเสวียนของเราได้รับข่าวและรีบเดินทางไป กองทหารของแคว้นถัวหลัวก็ถอยทัพไปแล้ว...เจ้าจะมีวิธีจัดการอย่างไร?”

หนิงเฉินส่ายหัว

เทียนเสวียนผิดหวังเล็กน้อย “ไม่มีวิธีหรือ?”

“ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่พูดไม่ได้...ท่านลุง นี่เป็นเรื่องการปกครองของราชสำนัก หากวิจารณ์สุ่มสี่สุ่มห้าจะต้องถูกตัดหัว”

เทียนเสวียนชะงัก ยิ้มและเอ่ยว่า: “พูดออกมาเลยไม่ต้องกลัว ท่านแม่ทัพอยู่ที่นี่ เจ้าจะกลัวอันใด?”

แม่ทัพผู้เฒ่าเฉินยิ้มพร้อมกับเอ่ยว่า “เจ้ามีความคิดอย่างไรก็รีบพูดมา ข้ารับรองว่าเจ้าจะปลอดภัย!”

หนิงเฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เทียนเสวียนผู้นี้อยู่กับแม่ทัพผู้เฒ่าเฉินได้ นั่นหมายความว่าเขาจะต้องมีสถานะสูงส่ง...ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นฝูอ๋องจริง ๆ

ฝูอ๋องกับแม่ทัพเฉินรับรองให้ตน ดังนั้นหากพูดถึงการปกครองของราชสำนักก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา

“เช่นนั้นให้ข้าพูดเลยหรือไม่?”

เทียนเสวียนพยักหน้า “พูดออกมาเลยไม่ต้องกลัว”

หนิงเฉินชูสามนิ้ว “ข้าไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ของชายแดนมากนัก นึกออกแค่แผนการรับมือสามข้อ...ถ้าข้าพูดไม่เข้าท่า พวกท่านก็ฟังเป็นเรื่องสนุกสนานไป”

เทียนเสวียนกับแม่ทัพผู้เฒ่าเฉินต่างมองหน้ากัน ในใจรู้สึกประหลาด...ไม่เข้าใจแต่ยังนึกได้ถึงสามข้อ?

“อย่าให้ข้าต้องคาดเดา รีบพูดมา”

ฮ่องเต้เอ่ยเร่งรัด

หนิงเฉินพยักหน้าและถามว่า “ท่านมีพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นหมึกหรือไม่?”

ฮ่องเต้ประหลาดใจเล็กน้อย จึงรับสั่งให้ชายตุ้งติ้งผู้นั้นไปนำพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นหมึกมาส่งให้หนิงเฉิน

หลังจากฝนหมึกและจุ่มพู่กันแล้ว

หนิงเฉินก้มหน้าลงบนโต๊ะและตวัดพู่กันเขียนอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปสักพักก็วางพู่กันลง และนำแผนการรับมือที่เขียนเสร็จแล้วมอบให้ฮ่องเต้

ฮ่องเต้รับมาดูแวบหนึ่ง แววตาพลันเปล่งประกาย จากนั้นนำกระดาษในมือส่งให้แม่ทัพผู้เฒ่าเฉิน

“ดี ดี ดี...แผนการที่ดี!”

แม่ทัพผู้เฒ่าเฉินพูดว่าดีติดต่อกันสามครั้งหลังจากอ่านจบ พลันตบต้นขาด้วยความสะใจ

หนิงเฉินกังวลว่าเขาจะตบขาข้างที่ดีข้างเดียวของเขาให้เสียไปด้วย

“แผนสามข้อนี้เป็นเพียงวิธีแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น...วิธีแก้ปัญหาที่แท้จริง ยังคงต้องอาศัยประโยชน์จากกำลังทหารของต้าเสวียนเรา แม้เราจะทำลายแคว้นถัวหลัวไม่ได้ แต่อย่างน้อยเราก็ต้องทำให้แคว้นถัวหลัวเจ็บปวด หวาดกลัว ถึงจะทำให้สถานการณ์นี้ยุติโดยสิ้นเชิง”

ฮ่องเต้พยักหน้าเล็กน้อย และมองหนิงเฉินด้วยความชื่นชม

เขารู้สึกโชคดีอย่างมากที่พาแม่ทัพผู้เฒ่าเฉินมาที่นี่ในวันนี้

หากเขาไม่พาแม่ทัพผู้เฒ่าเฉินมาด้วย เขาก็คงไม่ได้ค้นพบพรสวรรค์ทางการทหารของหนิงเฉิน

สิ่งที่หนิงเฉินไม่รู้ก็คือ หนึ่งเดือนมานี้บทกวีของเขาได้รับความนิยม... กล่าวได้ว่ามันได้รับความนิยมไปทั่วทั้งเมือง

ทุกคนรวมทั้งแม่ทัพผู้เฒ่าเฉินต่างกำลังตามหาชายหนุ่มนามว่าหลันซิง

แต่ผ่านไปหนึ่งเดือนกลับไม่มีใครพบเห็นหลันซิง

แม่ทัพผู้เฒ่าเฉินยังไม่พบหลันซิง วันวันจึงวนเวียนมาหาฮ่องเต้ พระอาทิตย์ขึ้นชายชราก็เดินเข้าวัง พระอาทิตย์ตกก็เดินออกจากวังพร้อมกับไม้เท้า

ฮ่องเต้ถูกรบกวนจนหงุดหงิดจึงพาแม่ทัพผู้เฒ่าเฉินมาที่นี่...ที่จริงพวกเขามาที่นี่อยู่หลายครั้ง ทว่าในแต่ละครั้งก็ไม่เคยพบกับหนิงเฉิน โชคดีที่ได้พบเขาในครั้งนี้

หนิงเฉินใช้ชื่อปลอมว่าหลันซิง หรือไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้ว่าเขาเป็นใคร? ถึงแม้เขาจะรู้จักตัวตนของหนิงเฉิน ทว่าก็ไม่ควรส่งคนไปตามหาที่จวนสกุลหนิงโดยตรง

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status