Share

บทที่ 4

บุรุษวัยกลางคนในอาภรณ์งดงามขมวดคิ้ว ลิ้มรสหรือ? บทกวีมีการลิ้มรสด้วยหรือ? มันไม่ได้เกี่ยวกับอาหารการกินเสียหน่อย

กลิ่นอายของชายหนุ่มผู้นี้ดูไม่เหมือนบัณฑิตเลย กลับเหมือนพ่อค้าหาบเร่ที่เดินไปตามท้องถนนมากกว่า

“นายท่าน ชายผู้นี้เป็นคนโกหกตั้งแต่แรกพบ เราอย่าไปสนใจเขาเลย รีบกลับกันเถิดขอรับ”

ชายตุ้งติ้งหน้าขาวไร้หนวดเคราจ้องไปที่หนิงเฉิน

เพราะหนิงเฉินดูเหมือนคนโกหกมากเกินไปน่ะสิ

หนิงเฉินเบิกตากว้าง “ท่านว่าผู้ใดเป็นคนโกหก? ข้าจะบอกท่านให้นะ อีกไม่นานนักหรอก ข้าจะมีชื่อเสียงสะเทือนไปทั้งโลกวรรณกรรม เมื่อถึงตอนนั้นบทกวีของข้า ทองพันตำลึงก็ไม่อาจซื้อได้...ตอนนี้ไม่ซื้อ รับรองว่าจะต้องเสียใจแน่!”

ชายตุ้งติ้งโพล่งคำเหยียดหยาม: “คนอย่างเจ้านะหรือจะมีชื่อเสียงสะเทือนไปทั้งโลกวรรณกรรม?”

ใบหน้าของหนิงเฉินเต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยาม “คนไร้ความเป็นชายเช่นท่าน เข้าใจบทกวีหรือ?”

“บังอาจ!”

ชายตุ้งติ้งชี้นิ้วใส่หนิงเฉิน นิ้วสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ

บุรุษวัยกลางคนสวมอาภรณ์งดงามโบกมือไปมา มองหนิงเฉินพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม:

“เจ้ายกยอตนเองว่าเก่งกาจถึงเพียงนั้น? กล้าให้ข้าทดสอบเจ้าไหมล่ะ?”

หนิงเฉินกางมือทั้งสองข้างออก “เชิญตามสบาย ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ!”

บุรุษวัยกลางคนมองไปรอบ ๆ และในที่สุดสายตาก็จับจ้องไปที่ทะเลสาบด้านข้าง มีห่านขาวสองสามตัวกำลังเล่นน้ำอยู่ในทะเลสาบ

เขายิ้มแล้วพูดขึ้น: “ถ้าเช่นนั้นเรามาเขียนบทกวีที่มีห่านเป็นหัวข้อ เป็นอย่างไร?”

หนิงเฉินยิ้ม: “นี่จะไปยากอะไรกัน? แค่อ้าปากก็ได้แล้ว ฟังให้ดีนะ... ห่านห่านห่าน...”

ก่อนที่หนิงเฉินจะพูดอะไรออกมาได้อีก เขาก็ถูกเสียงหัวเราะเยาะเย้ยแหลมสูงของชายตุ้งติ้งขัดจังหวะ

เขามีสีหน้าเหยียดหยาม “สิ่งนี้เจ้าก็เรียกว่าบทกวีหรือ?”

ใบหน้าของหนิงเฉินมืดมนลง ถ้าไม่ใช่เพื่อหาเงิน เขาคงจะด่าทอคนผู้นี้ไปนานแล้ว...ชายตุ้งติ้งผู้นี้น่ารังเกียจเสียจริง

“ท่านอย่าพูดจาน่ารำคาญเลย ฟังสิ่งที่ข้าพูดให้จบก่อนค่อยหัวเราะก็ยังไม่สาย”

บุรุษวัยกลางคนก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก: “ห้ามพูดแทรก ฟังสิ่งที่เขาพูดให้จบ”

“ขอรับ!” ชายตุ้งติ้งค้อมตัวลง แล้วจ้องหนิงเฉินเขม็ง “ว่ามาสิ ข้าจะดูว่าเจ้าสามารถพูดคำไพเราะออกมาได้อย่างไร?”

หนิงเฉินเมินเขา ท้ายที่สุดแล้วเขามาที่นี่เพื่อการค้า และความสามัคคีจะนำมาซึ่งความมั่งคั่ง!

เขากระแอมในลำคอก่อนจะกล่าว: “ฟังให้ดี... ห่านห่านห่าน โก่งคอขานบทเพลงสู่ท้องฟ้า ขนขาวละล่องบนน้ำขจี ตีนแดงแหวกว่ายในคลื่นใส”

ดวงตาของบุรุษวัยกลางคนผู้นั้นเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย

ชายตุ้งติ้งเยาะเย้ย: “นี่ก็เรียกว่ากวีด้วยหรือ มันก็แค่ตำพูดทั่ว ๆ ไปมิใช่หรืออย่างไร!”

บุรุษวัยกลางคนกลับโบกมือ แล้วพูดขึ้น: “เป็นบทกวีที่ดี! แม้ว่าจะไม่มีความหมายแฝงหรือปรัชญาอันใด แต่กลับสามารถท่องได้อย่างราบรื่น และเหมาะสมกับสถานการณ์ เหมาะสมมากสำหรับการจุดประกายสติปัญญาของเด็ก ๆ ”

“บทกวีของเจ้าราคาเท่าไร? ข้าซื้อ”

หนิงเฉินรู้สึกตื่นเต้นในใจ เริ่มทำธุรกิจก็สร้างเงินได้เลย!

เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง เหยียดนิ้วออก “หนึ่งตำลึงขอรับ”

อันที่จริงเดิมทีเขาไม่รู้ว่าบทกวีมีราคาเท่าไร? ทว่าด้วยเงินหนึ่งตำลึง ก็สามารถซื้อชุดผ้าฝ้ายบุนวมให้ตัวเองได้แล้ว

อากาศหนาวมากจนเขาแทบจะเป็นน้ำแข็งอยู่แล้ว

บุรุษวัยกลางคนกลับตะลึงงัน “หนึ่งตำลึงรึ?”

หนิงเฉินคิดว่าตนเรียกราคาสูงเกินไป “ท่านลุง หนึ่งตำลึงไม่แพงจริง ๆ หากวันหน้าท่านซื้อบทกวีจากข้าอีก อย่างมากก็แค่ลดราคาให้ท่านสักหน่อย”

ครั้นเห็นบุรุษวัยกลางคนขมวดคิ้ว หนิงเฉินยังคงแสร้งทำเป็นน่าสงสารและพูดต่อ:

“ท่านลุง นี่ก็ใกล้เข้าเหมันต์แล้ว ท่านดูสิข้ายังสวมเสื้อผ้าตัวบางอยู่เลย...พูดตามตรงเลย คนในครอบครัวของข้าตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงแค่ข้ากับบ่าวเฒ่าพิการเท่านั้นที่พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน หลายวันมาแล้วที่พวกเราไม่ได้กินข้าว”

หลังจากที่หนิงเฉินพูดจบ ท้องก็เอาการเอางานมาก มีเสียงร้องโครกครากออกมาในเวลาที่เหมาะสมพอดิบพอดี

บุรุษวัยกลางคนมองหนิงเฉินแล้วเอ่ยขึ้น “ไปเถอะ เราเปลี่ยนสถานที่พูดคุยกัน”

หนิงเฉินชะงักงัน

บุรุษวัยกลางคนยิ้ม: “ไม่ต้องกังวล มีผลประโยชน์ดี ๆ จะให้!”

“มีผลประโยชน์อันใดหรือขอรับ?”

“อีกประเดี๋ยวเจ้าก็รู้...วางใจได้ ขายแบบเจ้าได้เงินไม่เท่าไรหรอก”

แม้ว่าคำพูดเหล่านี้จะทำให้เขาเจ็บปวด แต่ก็เป็นความจริงเช่นกัน

หนิงเฉินพยักหน้าตอบรับ

บุรุษวัยกลางคนพาหนิงเฉินเข้าไปในหอจ้วงหยวน กระทั่งมาถึงห้องหรูหราบนชั้นสาม

“นั่งตามสบาย ไม่ต้องคิดมาก!” หลังจากที่บุรุษวัยกลางคนพูดจบ เขาก็พูดกับชายตุ้งติ้ง: “ไป เตรียมอาหารและเครื่องดื่มมาสักหน่อย”

ชายตุ้งติ้งจากไปอย่างไม่เต็มใจ

บุรุษวัยกลางคนเดินไปนั่งลงที่โต๊ะแล้วเอ่ยถาม “ยังไม่รู้เลยว่าเจ้าชื่ออะไร?”

“ข้าชื่อ...หลานซิง”

หนิงเฉินบอกชื่อปลอม เขาอาจจะไม่มีวันกลับไปที่หลานซิงอีกแล้ว จึงใช้สิ่งนี้เพื่อรำลึกถึงบ้านเก่าของตนก็แล้วกัน

ตาของบุรุษวัยกลางคนกะพริบ กำลังครุ่นคิดว่า... ที่เมืองหลวงนี้มีครอบครัวแซ่หลานหรือไม่? กลัวก็แต่ว่าหนุ่มน้อยคนนี้จะไม่ได้พูดความจริง

“ท่านลุง ท่านชื่ออะไรหรือ?”

“ข้าน่ะรึ? ข้าชื่อ... เทียนเสวียน”

หนิงเฉินยิ้ม: “ช่างเป็นชื่อที่ดีจริง ๆ สวรรค์และโลก ท่านอยู่ในทั้งสองสิ่ง”

หนิงเฉินมองออกนานแล้วว่าคนผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา และเขาก็มองออกด้วยว่าชายตุ้งติ้งผู้นั้นเป็นขันที

คนผู้นี้ น่าจะเป็นพระญาติขององค์ฮ่องเต้

ทว่ามีบางเรื่องที่มองออกแต่ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร

ยิ่งรู้ก็ยิ่งตายเร็ว!

เขามาที่นี่เพียงเพื่อทำธุรกิจ หาเงินได้ก็เสร็จงานแล้ว เรื่องอื่นไม่สำคัญ

“หลานซิง เจ้าเพิ่งบอกว่าเจ้าเชี่ยวชาญด้านบทกวีกลอนโคลง เจ้ายังเขียนบทกวีใดได้อีกบ้าง?”

“ท่านลุง เมื่อครู่บทกวีนั้นท่านซื้อหรือไม่? หากท่านซื้อ บทกวีต่อไปข้าจะให้ราคาที่ถูกกว่าหน่อย”

เทียนเสวียนพยักหน้า “ซื้อ ทว่าบทกวีนั้นมิใช่เพียงแค่หนึ่งตำลึง”

“ท่านลุง หนึ่งตำลึงราคาถูกมากแล้ว ข้ายังไม่ได้…”

เทียนเสวียนโบกมือแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม: “ที่ข้าพูดหมายถึงว่าไม่ใช่แค่เท่านั้น ไม่ใช่ไม่คุ้มค่า...บทกวีเมื่อครู่ ข้ายินดีซื้อในราคาสิบตำลึงเงิน”

หนิงเฉินตกตะลึง “สิบตำลึง ท่านลุง ท่านพูดจริงหรือขอรับ?”

เทียนเสวียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม: “เรา...อะแฮ่ม...จริงสิ!”

ใบหน้าของหนิงเฉินเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

“ท่านลุง ท่านก็คือพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดข้าใหม่... ท่านวางใจได้ จากนี้หากท่านต้องการซื้อบทกวี ข้าจะลดราคาให้ท่านแน่นอน”

เทียนเสวียนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม: “เช่นนั้นเจ้ายังมีบทกวีใดที่ต้องการขายอีกบ้าง?”

หนิงเฉินพูดเกินจริง: “มีมากมายเลย...ท่านลุง ท่านอยากได้บทกวีแบบใด ข้าจะเขียนแบบนั้นให้ท่านเอง”

ตอนนั้นเอง มีเสียงดังมาจากข้างห้อง

เทียนเสวียนขมวดคิ้วและพูดขึ้น: “หอจ้วงหยวน สถานที่ที่หรูหราเช่นนี้ ไยจึงมีเสียงดังขนาดนี้?”

ทันใดนั้น ชายตุ้งติ้งหน้าขาวไร้หนวดเคราก็กลับมา!

เทียนเสวียนถามขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ: “ข้างห้องเกิดอะไรขึ้น?”

ชายตุ้งติ้งรีบค้อมกาย ก่อนจะพูดด้วยความเคารพ: “นายท่านขอรับ เป็นท่านแม่ทัพผู้เฒ่าเฉินที่ดื่มสุราจนเมามายขอรับ”

เทียนเสวียนถอนหายใจเล็กน้อย: “แม่ทัพผู้เฒ่าเฉินใช้เวลาทั้งชีวิตในกองทัพ ต่อสู้เพื่อแว่นแคว้น บัดนี้ร่างกายพิการ ไม่สามารถออกรบได้ เกรงว่าจะจิตใจหดหู่ และดื่มเพื่อบรรเทาความเศร้าโศก”

หนิงเฉินรู้จักแม่ทัพผู้เฒ่าเฉิน เขาใช้เวลาทั้งชีวิตในกองทัพ แต่น่าเสียดายที่เมื่อสามปีก่อนขาข้างหนึ่งขาดในสนามรบ และตอนนี้ถูกลดขั้นจากตำแหน่งผู้นำ...ว่ากันว่าใช้สุราคลายทุกข์ในทุกวัน

“หลานซิง มาเขียนบทกวีเกี่ยวกับความหดหู่ของแม่ทัพผู้เฒ่าเฉินในตอนนี้ดีกว่าไหม?”

หนิงเฉินอยากจะเกาหัว มันค่อนข้างยากสำหรับเขาน่ะสิ

ใบหน้าของชายตุ้งติ้งเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม: “เมื่อครู่ยังคุยโวโอ้อวดไร้ยางอาย บอกว่าตนเชี่ยวชาญด้านบทกวีโคลงกลอน แค่นี้ก็ยากแล้วหรือ? ขายหน้าแล้วสิ?”

หนิงเฉินกลอกตาใส่เขา และมองเทียนเสวียน “ท่านลุง ข้านึกบทกวีไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง เปลี่ยนป็นบทกลอนแทนได้หรือไหม?”

เทียนเสวียนพูดด้วยรอยยิ้ม: “บทกวีและบทกลอนไม่ได้แบ่งแยกกัน บทกลอนก็ได้!”

“ได้เลย เช่นนั้นข้าจะเขียนบทกลอนตามสถานการณ์ปัจจุบันของแม่ทัพผู้เฒ่าเฉินแล้วกัน”

หนิงเฉินยกชาขึ้นมาจิบ เมื่อชุ่มคอจึงเปิดปากเอ่ย:

“จุดตะเกียงพินิจดาบยามเมามาย ฝันย้อนกลับเป่าแตรที่ค่ายยาม

อาหารแลสุรามอบให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา เครื่องดนตรีบรรเลงขับขาน ทบทวนกำลังพลในสนาม

ม้าศึกวิ่งพุ่งทะยานเร็ว คันธนูสะเทือนราวสายฟ้า

กษัตราเสร็จกิจบ้านเมือง คว้าชัยมีชื่อเสียงสืบต่อไป น่าเสียดายที่ผมขาวโพลน!”

เมื่อเสียงของหนิงเฉินจางลง มองเทียนเสวียนอีกครั้ง ก็มีสีหน้าตกตะลึงเสียแล้ว

แม้แต่ชายตุ้งติ้งที่ยิ้มเยาะหนิงเฉินมาตลอดก็ยังตกตะลึง ดวงตาทั้งสองข้างปูดนูนราวคางคก

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status