แชร์

บทที่ 5

เทียนเสวียนมองหนิงเฉินด้วยความตกใจ อายุยังน้อยแท้ ๆ กลับมีรากฐานด้านวรรณกรรมลึกซึ้งเพียงนี้

“ดูเหมือนว่าในอนาคตอันใกล้นี้ ราชวงศ์ต้าเสวียนของเรา จะผลิตบุคคลที่มีชื่อเสียงในโลกวรรณกรรมได้แล้ว”

เทียนเสวียนไม่ลังเลที่จะเอ่ยชม

แม้แต่ชายตุ้งติ้งที่ดูถูกหนิงเฉินมาตลอด ในเวลานี้ก็ยังเลือกที่จะนิ่งเงียบ

แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจบทกวีโคลงกลอนมากนัก ทว่าแนวคิดทางศิลปะในบทกลอนนี้ของหนิงเฉิน แม้แต่คนโง่ก็ฟังออกว่าสูงส่งเพียงใด?

เมื่อบทกลอนนี้ถูกปล่อยออกไป เชื่อว่าในเวลาไม่นาน จะทำให้เมืองหลวงทั้งเมืองต่างตกตะลึงได้

หนิงเฉินยิ้มอย่างไร้เดียงสา “ข้าไม่อยากมีชื่อเสียง ข้าแค่อยากกินอิ่มสวมเสื้อผ้าอุ่น”

ในเวลานี้ เสียงเคาะประตูดังขึ้น

ชายตุ้งติ้งเดินไปเปิดประตู

เด็กยกอาหารหลายคนจากหอจ้วงหยวนเดินเข้ามา ในมือของทุกคนถือถาด บนนั้นมีอาหารรสเลิศอยู่

หนิงเฉินมองดูพวกเขาวางไว้บนโต๊ะ อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย

เทียนเสวียนเหลือบมองเขา ก่อนจะพูดพร้อมรอยยิ้ม: “หลานซิง นั่งลงสิ”

หนิงเฉินถามหยั่งเชิง: “ท่านจะเลี้ยงอาหารข้าหรือ?”

เทียนเสวียนพยักหน้า

ที่จริงแล้วหนิงเฉินหิวมาก เขาเพิ่งหายจากอาการป่วยหนัก ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ยังไม่ได้กินอาหารสักคำเลย

เมื่อเห็นหนิงเฉินนั่งลง เทียนเสวียนจึงเอ่ยขึ้น: “กินเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ!”

“ขอบคุณท่านลุง เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะ!”

หนิงเฉินหิวมากจนไม่สนใจมารยาท และเริ่มกินมูมมามให้อิ่มหนำและสุขสันต์

เทียนเสวียนมองหนิงเฉินกินเงียบ ๆ โดยไม่ขยับตะเกียบ

“หยาบคายจริง ๆ!”

ครั้นเห็นหนิงเฉินกินมูมมาม ชายตุ้งติ้งก็มีสีหน้ารังเกียจ

น่าเสียดาย เขาและชายเคราดก แม้แต่ที่นั่งก็ไม่มีด้วยซ้ำ พวกเขาต่างยืนอย่างนบนอบอยู่ด้านหลังเทียนเสวียน

ในที่สุดหนิงเฉินก็อิ่ม และเรอออกมา

เขาเงยหน้าขึ้นถึงตระหนักว่า เทียนเสวียนไม่ได้กินอะไรสักคำ จึงเขินอายเล็กน้อย “ท่านลุง ทำไมท่านไม่กินเล่า?”

“ข้าไม่หิว!”

“ถ้าอย่างนั้น ไก่ย่างครึ่งนี้ข้าขอห่อออกไปได้ไหม?”

เทียนเสวียนมองเขา “เจ้ากินไม่อิ่มอยู่บ่อย ๆ หรือ?”

หนิงเฉินพยักหน้า

“เช่นนั้นข้าจะให้คนห่อตัวใหม่ทั้งตัวให้เจ้า”

“ไม่เอาแล้ว ข้าห่อครึ่งตัวนี้ก็พอแล้ว”

เทียนเสวียนเองก็มิได้บังคับ เขาพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “บทกลอนนี้ของเจ้า คิดจะขายเท่าไร?”

หนิงเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แล้วแต่ท่านลุงจะให้เถิด ท่านได้เลี้ยงอาหารข้าแล้ว ข้าให้ส่วนลดแก่ท่านได้”

เทียนเสวียนคิดสักพัก “หนึ่งร้อยตำลึงละ เป็นเช่นไร?”

หนิงเฉินอ้าปากค้าง

รวยแล้ว รวยเละแล้ว!

หนึ่งร้อยตำลึงก็เท่ากับเงินเดือนหนึ่งปีของขุนนางอาวุโสขั้นสาม

หนิงจื้อหมิงเป็นขุนนางอาวุโสขั้นสอง เงินเดือนประจำปีคือหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึง

แน่นอน นี่เป็นเพียงเงินเดือนปกติ หากรวมกับเงินเดือนขั้นสูงเพื่อป้องกันการทุจริต รวมถึงสวัสดิการอื่น ๆ และรายได้สีเทาอีก รายได้ต่อปีจะอยู่ที่ประมาณหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน

หนึ่งร้อยตำลึงเงิน สามารถซื้อเรือนหลังเล็กที่มีทางเข้าสองทางในที่ที่ห่างไกลจากเมืองหลวงได้

กว่าสิบนาทีต่อมา ก็ถือตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึง รวมถึงเงินอีกหนึ่งตำลึง...จริงสิ ยังมีไก่ย่างอีกครึ่งตัยด้วย

ตอนออกมา เทียนเสวียนบอกหนิงเฉินว่า เขาจะมาที่หอจ้วงหยวนทุก ๆ สามถึงห้าวัน...หากมีบทกวีและบทกลอนดี ๆ ก็สามารถมาหาเขาได้

หลังจากที่หนิงเฉินจากไป เทียนเสวียนยังคงคิดถึงบทกลอนนั้น และอดไม่ได้ที่จะยกย่องชมเชย: “กลอนดี เป็นกลอนที่ดีจริงๆ!”

ชายตุ้งติ้งรีบร้อนเอ่ย: “ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท... ทันทีที่บทกลอนนี้ถูกปล่อยออกไป บารมีของฝ่าบาทจะเพิ่มขึ้นไปอีกระดับอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”

เทียนเสวียนมิใช่ใครอื่น ฮ่องเต้เหนือหัวองค์ปัจจุบัน ฮ่องเต้เสวียน!

ฮ่องเต้เสวียนเหลือบมองชายตุ้งติ้ง “เจ้าอยากให้เราแอบอ้างเป็นผู้อื่นหรือ? แม้ว่าเราจะชอบบทกวีและบทกลอน แต่ก็ไม่สามารถใช้วิธีการมิชอบเพื่อให้ได้ชื่อเสียงเกียรติยศมา”

ครั้นเห็นว่าฮ่องเต้เสวียนไม่พอใจ ชายตุ้งติ้งก็ตกใจมากจนคุกเข่าลงไป

“ฝ่าบาทโปรดอภัย! บ่าวเพียงคิดว่า บทกลอนนี้เป็นฝ่าบาทที่ทรงซื้อมา เช่นนั้นก็เท่ากับเป็นของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้เสวียนแค่นหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าคิดว่าบทกลอนนี้มีมูลค่าเพียงร้อยตำลึงจริง ๆ หรือ? บทกลอนนี้ทองพันตำลึงก็ยังไม่อาจซื้อได้”

“เหตุผลที่เราบอกว่าร้อยตำลึง เป็นเพราะคำนึงถึงเด็กหนุ่มคนนั้น... เขายังเด็กและอ่อนแอ หากเขามีเงินมากมายติดตัว จักต้องนำมาซึ่งภัยพิบัติเป็นแน่”

ชายตุ้งติ้งเอ่ยอย่างเร่งรีบ: “ฝ่าบาททรงเมตตาแล้ว!”

ฮ่องเต้เสวียนโบกมือแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าไปหยิบพู่กันและกระดาษมา เราจะเขียนบทกลอนนี้ แล้วแปะติดไว้ด้านนอก ให้ทุกคนได้ชมเชยเสียหน่อย...บัณฑิตและปราชญ์ขงจื๊อมากมายเพียงนี้ ยังไม่เก่งเท่าเด็กหนุ่มคนหนึ่งเลย เสียเวลาที่เราสร้างหอจ้วงหยวนแห่งนี้เสียจริง”

“บ่าวน้อมรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ!”

ชายตุ้งติ้งรีบลุกขึ้นไปหยิบพู่กันและหมึก

ฮ่องเต้เสวียนครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เนี่ยเหลียง?”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

บุรุษผู้มีหนวดเคราและใบหน้าดุร้ายคุกเข่าลงข้างหนึ่งตรงหน้าเทียนเสวียน

ฮ่องเต้เสวียนกล่าว: “เจ้าสะกดรอยตามหลานซิง สืบประวัติเขามา”

“น้อมรับพระบัญชา!”

หนิงเฉินออกจากหอจ้วงหยวนมาถึงร้านขายอาภรณ์ เขาใช้เงินห้าเหรียญซื้อเสื้อผ้าหนา ๆ ให้ตัวเอง และใช้เงินอีกหนึ่งเหรียญเพื่อซื้อรองเท้า

ราชวงศ์ต้าเสวียนมีเหรียญทองแดง และเหรียญทองแดงหนึ่งพวงจะเป็นเงินหนึ่งพันเหวิน สิ่งนี้หนักเกินไป ดังนั้นทุกคนจึงนิยมใช้เหรียญเงิน ยกเว้นคนสามัญชน

ดังนั้นในจุดที่ทำการค้า จึงได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ที่มีราชสำนักคอยดูแลเบ็ดเสร็จ ซึ่งจะมาพร้อมกรรไกรขนาดใหญ่

ใช้ก้อนเงินเท่าใด? แค่ตัดมันออกแล้วชั่งน้ำหนักก็ได้แล้ว

หนิงเฉินสวมเสื้อผ้าใหม่ หอบไก่ย่างครึ่งตัวกลับมาที่จวนสกุลหนิง เหยียบก้อนหินตรงมุมกำแพงแล้วปีนเข้าไป

ทันทีที่เข้ามา เขาเห็นหนิงเม่านำบ่าวรับใช้มารอเขาอยู่แล้ว

“เจ้าหนิงเฉินตัวดี เป็นไอ้สารเลวที่ไม่มีใครสนใจจริง ๆ ...ปีนกำแพงเรือน มีการศึกษาสักนิดบ้างไหม?”

“ท่านพ่อให้เจ้าปิดประตูทบทวนความผิด แต่เจ้ากลับกล้าปีนกำแพงออกไป ถ้าท่านพ่อรู้ ข้าว่าเจ้า…”

หนิงเม่าชี้เขาพลางก่นด่า ฝอยน้ำลายปลิวว่อนไปทุกที่

แต่ทันใดนั้น เสียงด่าทอของเขาก็หยุดลงกะทันหัน

เนื่องจากหนิงเฉินไม่ได้พูดอะไรสักคำ เพียงแต่หยิบท่อนไม้หนาเท่าแขนมาจากใต้ฐานกำแพงอย่างเงียบ ๆ แล้วย่างสามขุมไปหาเขา

หนิงเม่านึกขึ้นได้ว่าหนิงซิ่งถูกหมอนกระเบื้องฟาดใส่ และยามนี้ยังคงนอนรักษาอาการบาดเจ็บอยู่บนเตียง เมื่อนึกถึงการกระทำของหนิงเฉินที่ขอให้ท่านพ่อเผาตนให้ตายเมื่อคืนนี้ ขนก็ลุกชันอยู่ในใจและถอยหลังกรูไปด้วยความหวาดกลัว

“หนิง หนิงเฉิน เจ้าคิดจะทำอะไร?”

หนิงเฉินพูดอย่างเย็นชา: “อย่ากลัวไปเลย ข้าเพียงอยากทุบหัวสุนัขของท่านเท่านั้นเอง”

“เจ้า...เจ้ายังกล้าก่อเหตุฆาตกรรมอีกรึ? ถ้าท่านพ่อรู้เข้า เจ้าคิดถึงผลที่จะตามมาไหม?”

หนิงเฉินตอบกลับอย่างเย็นชา: “กว่าเขาจะรู้ ท่านก็ตายไปแล้ว! อย่างมากก็ฆ่าข้าเพื่อชดเชยชีวิตให้ท่าน การที่มีท่านตายไปด้วย ข้าก็ไม่เสียเปรียบแล้ว”

ทันใดนั้นหนิงเม่าก็นึกขึ้นได้ว่า ตนพาบ่าวรับใช้มาหลายคนแล้วมีอะไรให้ต้องหวาดกลัวกัน?”

“พวกเจ้ายังยืนอึ้งกันอยู่ทำไม? ไปเอาตัวเขามาให้ข้าสิ”

บ่าวรับใช้หลายคน ในมือถือท่อนไม้เดินเข้าหาหนิงเฉิน

อาไฉรีบพุ่งตัวเข้าไปปกป้องหนิงเฉิน ตัวสั่นเทาด้วยความกังวล

หนิงเฉินพูดด้วยความโกรธ: “ใครกล้าแตะต้องข้า? แม้ว่าข้าจะไม่เป็นที่โปรดปราน แต่ก็ยังเป็นคุณชายสี่ของสกุลหนิง พวกบ่าวชั่วเช่นพวกเจ้าจะแตะต้องข้าได้อย่างไร?”

บ่าวรับใช้หลายคนตกตะลึง ไม่กล้าบุ่มบ่ามขยับตัว

หนิงเฉินพูดถูก เจ้านายก็คือเจ้านาย และบ่าวก็คือบ่าว แม้ว่าหนิงเฉินจะไม่ได้รับความโปรดปราน แต่ยังคงเป็นคุณชายสี่สกุลหนิง มิใช่คนที่พวกเขาสามารถแตะต้องได้

หนิงเม่าตะโกนลั่น: “ไอ้พวกสุนัขรับใช้ เขาเป็นคุณชายสี่อะไรกัน? ในจวนสกุลหนิงเขายังเทียบสุนัขไม่ได้เลย...ทุบตีเขาเสีย เกิดอะไรขึ้นข้าจะรับผิดชอบเอง”

หนิงเฉินหัวเราะเยาะ “เขาเป็นบุตรชายของท่านเสนาบดีหนิง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับข้า ท่านเสนาบดีหนิงจะไม่ทำอะไรเขาเลย แต่บ่าวชั่วอย่างพวกเจ้า สำหรับความผิดนี้ การลงโทษสถานเบาที่สุดคือโบยสามสิบไม้ ลองคิดดูให้ดีว่าคนไร้ค่าอย่างพวกเจ้าไม่กี่คนนี้ จะทนได้ไหม?”

“หลีกไปให้หมด!”

หนิงเฉินคำรามด้วยความโกรธ ทำให้บ่าวรับใช้ตัวสั่นงันงกด้วยความกลัว

หนิงเฉินหยิบท่อนไม้ขึ้นมา แล้วพุ่งเข้าไปหาหนิงเม่า

หนิงเม่าส่งเสียงร้องด้วยความหวาดกลัว หันหลังกลับและวิ่งหนีไป

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status