เฉวียนกงกงเหลือบตามองขุนนางบู๊และบุ๋นที่เต็มท้องพระโรง ก่อนจะใช้น้ำเสียงแหลมคมอ่านออกเสียง:“จุดตะเกียงพินิจดาบยามเมามาย ฝันย้อนกลับเป่าแตรที่ค่ายยามอาหารแลสุรามอบให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา เครื่องดนตรีบรรเลงขับขาน ทบทวนกำลังพลในสนามม้าศึกวิ่งพุ่งทะยานเร็ว คันธนูสะเทือนราวสายฟ้ากษัตราเสร็จกิจบ้านเมือง คว้าชัยมีชื่อเสียงสืบต่อไป น่าเสียดายที่ผมขาวโพลน!”เมื่อเฉวียนกงกงอ่านจบ เดิมท้องพระโรงเงียบสงัดก็ราวกับว่ามีระเบิดลูกหนึ่งร่วงลงสู่ผืนน้ำอันสงบเงียบขุนนางบู๊บุ๋นล้วนตกตะลึง!โดยเฉพาะขุนนางฝ่ายบุ๋น ต่างมีสีหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้นในฐานะขุนนางฝ่ายบุ๋น ผู้ใดจะไม่อยากมีผลงานชิ้นเอกที่สืบทอดรุ่นสู่รุ่นสืบไปบ้างเล่า?ขุนนางฝ่ายบู๊แม้จะไม่มีความรู้เท่าขุนนางฝ่ายบุ๋น ทว่าก็ยังคงฟังแนวคิดทางศิลปะของบทกลอนนี้ออกตรงหน้าพวกเขาดูเหมือนจะมีภาพปรากฏขึ้น แม่ทัพผู้เฒ่าผมขาวโพลนคนหนึ่งทอดถอนใจด้วยความหดหู่กับดาบล้ำค่าที่ผนึกมาเนิ่นนานแล้วของตนแม่ทัพไม้ใกล้ฝั่ง สาวงามเกศาขาว ล้วนเป็นเรื่องที่น่าเสียใจในชีวิต“ฝ่าบาท บังอาจถามว่าผู้ใดเป็นผู้ประพันธ์บทกลอนนี้หรือ?”หลี่ฮั่นหรูหัวหน้าสถาบั
จวนสกุลหนิงหนิงเฉินในเวลานี้กำลังทำท่าม้าอยู่ในลานเรือนร่างกายนี้ขาดสารอาหารมาเป็นเวลานานแล้ว กอปรกับเพิ่งหายจากการป่วยหนัก ค่อนข้างผอมกะหร่องจึงต้องออกกำลังกายให้แข็งแรงหากไม่ใช่เพราะสุขภาพย่ำแย่ของเขา เมื่อวานนี้คงไม่ปล่อยให้หนิงเม่าหนีไปได้หรอกขณะที่หนิงเฉินทำท่าม้า ก็คิดถึงเรื่องราวต่อไปสุดท้ายแล้ว จวนสกุลหนิงแห่งนี้ไม่ใช่ที่ของเขา จึงต้องหาทางออกไปโดยเร็วที่สุดตามสถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าเขาไม่ออกจากจวนสกุลหนิง ไม่ช้าก็เร็วจะถูกฉางหรูเยว่และลูกชายฆ่าตายเอาได้ตอนนี้เขามีหนึ่งร้อยตำลึงเงิน สามารถซื้อเรือนหลังเล็ก ๆ ในสถานที่ห่างไกลได้แล้วอีกสักพัก หนิงจื้อหมิงก็น่าจะเลิกประชุมเช้าแล้ว...ถึงเวลาก็ค่อยไปหาเขาเพื่อหงายไพ่แล้วกันในใจของหนิงจื้อหมิงไม่มีลูกชายแบบเขา ย่อมน่าจะเห็นด้วย...ส่วนฉางหรูเยว่และลูกชาย เกรงว่าอยากจะให้ตนจากไปใจจะขาดเช่นนั้นก็ไปที่เมืองตะวันตกแล้วกัน ที่นั่นมีทั้งคนดีคนเลวปะปนกัน เขาสามารถขายบทกวีไปด้วย ทำของที่ไม่มีในโลกนี้ขายไปด้วยหนิงเฉินกำลังคิดอย่างสะเปะสะปะ หนิงกานและหนิงเม่าก็นำบ่าวรับใช้ถือท่อนไม้หลายคนพุ่งเข้ามาครั้นหนิงเฉินเห็นว่าสถานก
ทันทีที่หนิงจื้อหมิงกลับถึงจวน ก็ได้ยินเสียงดังโวยวายมาจากเรือนตะวันตก ดังนั้นเขาจึงเดินมาดูทว่าเมื่อเขาเห็นหนิงเฉินซึ่งหมดสติทั้งที่จมูกช้ำใบหน้าบวม สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันทีความหนาวเย็นไหลตามกระดูกก้นกบและพุ่งตรงไปที่ท้ายทอยของหนิงจื้อหมิง ทำให้เขาวิงเวียนศีรษะฮ่องเต้เสวียนเพิ่งเตือนเขาให้ปฏิบัติต่อหนิงเฉินด้วยความเมตตา ทว่ายามนี้ก็เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นเสียแล้ว นี่มิใช่ว่าจะเอาชีวิตเขาหรือ?หากฮ่องเต้เสวียนรู้เรื่องนี้เข้า ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น ทุกคนที่นี่มีเท่าใดก็เท่านั้น ผู้ใดล้วนอย่าได้คิดว่าจะรอดไปได้“ท่านพ่อ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว...หนิงเฉินคนนี้ทำมากเกินไปขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว เมื่อสองวันก่อนทำร้ายเข้าที่ศีรษะของพี่รอง วันนี้เขายังขโมยเงินของพี่ใหญ่อีก”“เรามาเผชิญหน้ากับเขา แต่เขาไม่เพียงแค่ไม่ยอมรับเท่านั้น ยังลงมือทำร้ายคนอีกด้วย...ท่านดูแขนของข้าสิ เป็นแผลที่เขากัดทั้งนั้นเลย”“ท่านพ่อ ท่านต้องตัดสินให้ข้านะขอรับ!”หนิงเม่าร้องไห้ทันที อุบายนี้เขาใช้มาหลายต่อหลายครั้ง และมันก็ได้ผลเสมอทว่าคราวนี้อุบายนี้ใช้ไม่ได้ผล หนิงจื้อหมิงหันกลับมา และตวัดมือตบหน้าเขาอย
หนิงเฉินตื่นขึ้นมาและพบว่าตนอยู่ในห้องแปลก ๆเตียงนุ่ม เครื่องเรือนงดงามห้องนี้ดีกว่าห้องโทรม ๆ เล็ก ๆ ของเขามากหรือว่าตนทะลุมิติเป็นครั้งที่สองแล้ว?“ฟื้นแล้วหรือ?”หนิงเฉินหันไปมองเมื่อได้ยินเสียง ผลที่ตามมาคือการเคลื่อนไหวนี้ส่งผลต่อบาดแผลบนร่างกาย เจ็บจนร้องโอดครวญแต่เขาแปลกใจมากยิ่งขึ้น เพราะคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงคือหนิงจื้อหมิงจริง ๆ“พ่อบ้านอู๋ เฉินเอ๋อร์ฟื้นแล้ว...ไปเอายาและน้ำแกงไก่ที่เตรียมไว้แล้วมาทั้งหมด”หนิงจื้อหมิงตะโกนไปทางประตูหนิงเฉินสีหน้าสับสน เป็นตนที่ถูกทุบตีจนสมองโง่ไปแล้วรึ? ยังฝันอยู่รึ?โดยเฉพาะน้ำเสียงของหนิงจื้อหมิงทำให้เขาขนลุกชัน“เฉินเอ๋อร์ เป็นเช่นไรบ้าง? รู้สึกดีขึ้นแล้วหรือยัง?”หนิงเฉินยื่นมือออกไป อยากจะหยิกใบหน้าเพื่อดูว่าเขาไม่ได้กำลังฝันอยู่ทว่าเขาลังเลเล็กน้อย และโบกมือไปทางหนิงจื้อหมิงหนิงจื้อหมิงชะงักไปครู่หนึ่ง คิดว่าหนิงเฉินมีอะไรอยากพูด เขาจึงขยับเข้าไปใกล้โดยไม่รู้ตัวเป็นผลให้หนิงเฉินคว้าเคราของเขาไว้และดึงมันอย่างแรง...รากขาดไปหลายเส้นเลยทีเดียวหนิงจื้อหมิงเจ็บจนสูดลมหายใจเข้า เผลอยกมือขึ้นจะตบหนิงเฉิน...แต่ยกมือขึ้น
“พ่อบ้านอู๋ เข้ามาได้!”หนิงเฉินตะโกนเรียกพ่อบ้านอู๋ให้เข้ามา หลังจากกระเพาะปัสสาวะที่อัดแน่นแทบระเบิดได้ปลดปล่อยออกมาพ่อบ้านอู๋เดินเข้ามาอย่างอ่อนน้อม ส่วนด้านหลังยังมีสาวใช้หน้าตาจิ้มลิ้มยกถ้วยยาตามเข้ามาด้วย“คุณชายสี่ ยาต้มเสร็จแล้ว...ไม่ทราบว่ายังต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่?”หนิงเฉินฝืนทนความเจ็บปวด นั่งเอนตัวพิงกับหัวเตียง แล้วพูดว่า “นำกระโถนไปเทให้ข้าที”พ่อบ้านอู๋เงยหน้าขึ้นมองเขา หนังหน้ากระตุก“มีสิ่งใดรึ หรือจะให้ข้าไปเทเอง?”พ่อบ้านอู๋รีบเอ่ยขึ้นว่า “มิกล้า บ่าวจะไปเทเดี๋ยวนี้”เขาเดินเข้ามา และหยิบกระโถนด้วยสีหน้ารังเกียจเดินออกไป ดวงตาฉายแววอำมหิตหนิงจื้อหมิงจู่ ๆ ก็มีท่าทีต่อหนิงเฉินที่เปลี่ยนไป เขาจึงไม่กล้ารังแกหนิงเฉินตามอำเภอใจเหมือนแต่ก่อนจะไม่ให้เจ้าลูกนอกคอกคนนี้ได้รับความโปรดปรานเด็ดขาด มิเช่นนั้นวันข้างหน้าเขาจะต้องอยู่ลำบากแน่...พ่อบ้านอู๋คิดในใจอย่างชั่วร้ายสาวใช้พยายามเก็บมุมปาก กลัวว่าตนจะเผยยิ้มออกมาปกติพ่อบ้านอู๋คนนี้มักจะรังแกลูกน้องอย่างพวกนางอยู่เสมอ ทั้งเอาเปรียบและหักค่าแรงของพวกนาง ทว่าทุกคนโกรธแต่ไม่กล้าพูด...ในที่สุดวันนี้ก็มีคนจัดกา
หนิงจื้อหมิงเห็นหนิงเฉินนิ่งเงียบ จึงคิดว่าคำพูดของตนโน้มน้าวใจของหนิงเฉินได้ถึงอย่างไรเขาก็เป็นแค่เด็ก เกลี้ยกล่อมสักหน่อยก็คงดีขึ้น“เฉินเอ๋อร์ ช่วงนี้เจ้าได้พบเจอผู้ใดหรือไม่?”หนิงเฉินชะงักอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้เพราะสาเหตุใด“ท่านเสนาบดี ตั้งแต่ข้ามาอยู่จวนสกุลหนิง ข้าก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหน...ช่วงนี้ถ้าไม่ป่วยก็บาดเจ็บหนัก จะพบเจอสักกี่คน? ไม่ทราบว่าท่านเสนาบดีกำลังถามถึงใคร?”หนิงจื้อหมิงยิ่งเกิดความสงสัย นี่ก็เป็นสิ่งที่เขาไม่เข้าใจเช่นกันหนิงเฉินแทบไม่ค่อยได้ออกจากจวน แล้วจะรู้จักกับฮ่องเต้ได้อย่างไร?หนิงจื้อหมิงก็ไม่กล้าถามออกมาตามตรง แค่พูดอย่างกำกวมว่า “ข้าไม่ได้หมายถึงคนในจวน แต่หมายถึงคนแปลกหน้า? ”หนิงเฉินยิ้มเยาะ: “คนในจวนยังรู้จักไม่หมด จะไปรู้จักคนอื่นได้ที่ไหนกัน?” หนิงจื้อหมิงยิ่งแปลกใจ แต่เขาก็ไม่กล้าถามออกมาตรง ๆหนิงเฉินมองเขาและพูดว่า “ท่านเสนาบดี ในเมื่อท่านไม่อนุญาตให้ข้าออกจากจวน...แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องสืบหาให้ถึงที่สุด”“เรื่องอะไร?”“หนิงกานชิงเงินข้าไปร้อยตำลึง”หนิงจื้อหมิงขมวดคิ้ว “เจ้าเอาเงินร้อยตำลึงมาจากที่ใด?”“ท่านอย่าสนใจเรื่องนี
หนิงเฉินเดินตามเฉวียนกงกงไปยังห้องที่พวกเขาเคยมาเมื่อครั้งก่อนทันทีที่เข้าไปในห้อง เขาก็พบว่านอกจากเทียนเสวียนแล้ว ยังมีชายชราที่มีขาเพียงข้างเดียวแม้หนิงเฉินจะเคยพบเขาเป็นครั้งแรก แต่ครั้งแรกก็เดาตัวตนของเขาได้ทันที เขาก็คือแม่ทัพผู้เฒ่าเฉิน“ท่านลุง เราเจอกันอีกแล้ว?”หนิงเฉินก้าวขึ้นมาพร้อมกับโค้งคำนับจากนั้นเขาก็ทำความเคารพแม่ทัพผู้เฒ่าเฉินอย่างนอบน้อม “ข้าน้อยหลันซิง คารวะท่านแม่ทัพผู้เฒ่าเฉิน!”แม้จะเป็นการพบกันครั้งแรก แต่หนิงเฉินเคยเป็นทหาร ดังนั้นเขาจึงให้ความเคารพแม่ทัพอาวุโสที่กรำศึกมาทั้งชีวิตผู้นี้เป็นพิเศษ“เจ้าก็คือหลันซิง?”แม่ทัพผู้เฒ่าเฉินดูท่าทางตื่นเต้น เขามองสำรวจหนิงเฉินตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นขมวดคิ้วทันที:“อากาศหนาวมาก เหตุใดจึงสวมเสื้อผ้าตัวบางเช่นนี้”หนิงเฉินฝืนยิ้มและเอ่ยว่า “เล่าแล้วเรื่องมันยาวนัก!”เมื่อเห็นว่าหนิงเฉินไม่อยากพูดมากความ แม่ทัพผู้เฒ่าเฉินก็ไม่เค้นถาม แต่ถามด้วยความแปลกใจว่า: “เจ้ารู้ตัวตนของข้าได้อย่างไร หรือเคยพบกันมาก่อน?”“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าน้อยพบกับท่านแม่ทัพ แต่เรื่องราววีรกรรมอันกล้าหาญของท่าน ข้าน้อยได้ยินมาตั้งแต่เ
เมื่อเห็นเทียนเสวียนและแม่ทัพผู้เฒ่าเฉินพออกพอใจ หนิงเฉินจึงอาศัยจังหวะเหมาะนี้พูดขึ้นว่า:“ท่านลุง วันนี้ท่านอยากจะซื้อบทกวีหรือไม่? ข้าจะคิดให้ท่านในราคาถูกเลย”ฮ่องเต้ทรงหัวเราะออกมา “บอกข้ามาก่อน เหตุใดหนึ่งเดือนเจ้าถึงไม่ออกมา”หนิงเฉินยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าถูกคนทำร้ายจนซี่โครงหักสองซี่ นอนอยู่บนเตียงเป็นเดือน...ส่วนเงินที่ข้าได้รับจากการขายบทกวีครั้งก่อนก็ถูกชิงไป เสื้อผ้าชุดใหม่ของข้าก็ถูกชิงไปด้วยเช่นกัน”สีหน้าของฮ่องเต้เริ่มหม่นคล้ำแม่ทัพเฉินยิ่งโมโหหนัก “ผู้ใดทำ? แผ่นดินสงบร่มเย็นใต้พระบาทของโอรสสวรรค์ ยังมีผู้ใดกล้ากำเริบเสิบสานเช่นนี้?”“หลันซิง บอกข้ามาว่าผู้ใดทำ ข้าจะจัดการให้เจ้าเอง”หนิงเฉินซาบซึ้งใจ คนแปลกหน้ายังปฏิบัติกับเขาดีกว่าคนสกุลหนิงเสียอีก“ช่างเถอะ มันเป็นความผิดของข้าที่ร่างกายนี้ใช้การไม่ได้ ไม่มีอาหารให้กินอิ่มท้องไม่มีเสื้อผ้าอุ่น ๆ ให้ใส่ บวกกับเพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บหนัก ร่างกายนี้จึงอ่อนแอนัก!”หนิงเฉินถือโอกาสขายความเวทนา หวังว่าต่อไปเมื่อเทียนเสวียนซื้อบทกวี จะให้ราคาสูง ๆ เพราะเห็นแก่ความน่าสงสารของเขา แม้ว่าเม่ทัพผู้เฒ่าเฉินจะมีเกียรติยศ