แชร์

บทที่ 6

หนิงเม่าวิ่งเร็วเกินไปจนหนิงเฉินไล่ตามไม่ทัน

เขากลับไปที่เรือนตะวันตก แล้วขับไล่บ่าวชั่วพวกนั้นออกไป

หนิงเฉินพาอาไฉกลับไปที่ห้อง และมอบไก่ย่างครึ่งตัวที่ห่อไว้แล้วให้เขา

อาไฉเปิดห่อกระดาษไขแล้วพบว่าเป็นไก่ย่างครึ่งตัว ตอนแรกตกตะลึง ต่อมากลับอดกลืนน้ำลายไม่ได้

ในฐานะบ่าวรับใช้ เงินเดือนของเขาน้อยมาก พอประทังชีพได้อย่างยากลำบากเท่านั้นเอง...ตลอดทั้งปีไม่ได้ลิ้มรสของคาวเลยด้วยซ้ำ

“อาไฉ ข้าเอามาให้เจ้าโดยเฉพาะ รีบกินซะ!”

อาไฉส่ายหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ของดีเช่นนี้บำรุงร่างกายของคุณชายสี่ได้พอดี...ท่านเพิ่งหายจากอาการป่วยหนัก กินเนื้อมากหน่อย ร่างกายจะได้ดีขึ้นโดยเร็ว”

“ข้ากินไปแล้ว และครึ่งหนึ่งนี้เก็บไว้ให้เจ้าโดยเฉพาะ…เอากลับไปกิน ยังกินคู่กับสุราได้พอดีด้วย”

หนิงเฉินยืนกรานหนักแน่น ไม่เช่นนั้นอาไฉคงไม่ยอมรับมัน

อาไฉไม่อาจขัดใจได้ และเอ่ยขอบคุณเขาซ้ำ ๆ : “ขอบคุณคุณชายสี่ ขอบคุณคุณชายสี่...”

“อาไฉ หยุดขอบคุณได้แล้ว...ถ้าไม่มีเจ้า ข้าคงตายไปแล้ว”

และในเวลานี้ ณ พระราชวัง ห้องทรงอักษรและทรงงาน

ฮ่องเต้เสวียนกำลังถือตำราหลายเล่ม พลิกอ่านผ่านแสงเทียน

ชายตุ้งติ้งรออยู่ด้านข้างอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าหายใจแรง

ทันใดนั้น ขันทีตัวน้อยก็ค่อย ๆ เดินย่องเข้ามา

ฮ่องเต้เสวียนเงยหน้าขึ้นก่อนจะเหลือบมอง “มีเรื่องอะไร?”

ขันทีน้อยคุกเข่าลงบนพื้น แล้วกล่าว: “ฝ่าบาท ผู้บัญชาการเนี่ยขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”

ผู้บัญชาการเนี่ย ก็คือบุรุษมีหนวดเคราและใบหน้าดุร้าย

นามของเขาคือเนี่ยเหลียง เป็นผู้บัญชาการของทหารองครักษ์ติดอาวุธประจำกายฮ่องเต้เสวียน และเป็นคนที่ฮ่องเต้เสวียนไว้ใจ

“บอกให้เขาเข้ามา!”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

ขันทีน้อยลุกขึ้นเดินออกไป และเนี่ยเหลียงก็เดินเข้ามาหลังจากนั้นไม่นาน

“กระหม่อมเนี่ยเหลียง คารวะฝ่าบาท!”

“ลุกขึ้นพูดเถอะ!”

ฮ่องเต้เสวียนวางตำราในมือลงแล้วถาม: “สืบแน่ชัดแล้วรึ?”

“ทูลฝ่าบาท เด็กหนุ่มคนนั้นเดิมมิได้ชื่อหลานซิง เขาเป็นบุตรชายคนที่สี่ของใต้เท้าหนิงเสนาบดีกรมพิธีการ ชื่อจริงคือหนิงเฉินพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้เสวียนเลิกคิ้ว “หนิงเฉิน?”

ชายตุ้งติ้งค้อมตัวลงกล่าว: “ฝ่าบาท พระองค์จะส่งคนไปจับเขามาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? เขากล้านัก กล้าที่จะหลอกลวงฝ่าบาท นี่เป็นความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูง”

ฮ่องเต้เสวียนแค่นหัวเราะเสียงเย็น: “เขาไม่รู้จักสถานะของเรา มีความผิดที่ไหนกันเล่า?”

ชายตุ้งติ้งไม่กล้าพูดอะไรอีก

ฮ่องเต้เสวียนขมวดคิ้ว: “เหตุใดเราถึงจำได้ว่าเสนาบดีหนิงมีบุตรชายเพียงสามคนเท่านั้น?”

เนี่ยเหลียงค้อมตัวไปโค้งคำนับ: “กระหม่อมได้สอบถามมาแล้ว…หนิงเฉินคนนี้เคยระหกระเหินอยู่ข้างนอกมาก่อน และเพิ่งหาตัวพบเมื่อไม่กี่ปีก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

“ฝ่าบาท กระหม่อมยังสืบได้อีกว่า หนิงเฉินไม่เป็นที่โปรดปรานของสกุลหนิง ชีวิตของเขาไม่ดีนัก เสนาบดีหนิงเองก็ไม่ค่อยพูดถึงหนิงเฉินกับคนนอกด้วย”

ฮ่องเต้เสวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น: “เรานึกออกแล้ว เมื่อไม่กี่ปีก่อนมีคนพูดขึ้นว่าเสนาบดีหนิงละทิ้งภรรยาและบุตร แต่ในเวลานั้นกำลังทำสงครามกับแคว้นถัวหลัว เรายุ่งจนหัวหมุน ต่อมาก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียแล้ว”

“บุตรชายคนที่สี่ของท่านเสนาบดีหนิงผู้สง่างาม เสื้อผ้าเก่าซอมซ่อ ตอนนี้ใกล้จะเข้าฤดูหนาวแล้ว ยังคงสวมเสื้อผ้าตัวบาง ๆ ดูจากการกินอาหารของเขา คงหิวโหยมานานแล้ว...แค่นี้ก็เพียงพอที่จะอธิบายปัญหาแล้ว”

“หึ เสนาบดีหนิงผู้นี้ ปกติมีชื่อเสียงที่ไม่เลว และยังมีชื่อเสียงในโลกวรรณกรรมอีกด้วย...คิดไม่ถึงเลยว่าเบื้องหลังเขาจะเป็นอีกแบบหนึ่ง จริยธรรมส่วนบุคคลบกพร่อง”

ชายตุ้งติ้งค้อมตัวลงถามอย่างนอบน้อม: “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ทรงต้องการให้เสนาบดีหนิงเข้าวังหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

ฮ่องเต้เสวียนโบกมือ

หนิงจื้อหมิงเพียงขาดจรรยาบรรณส่วนบุคคลเท่านั้น แม้ว่าจะละทิ้งภรรยาและบุตรจริง ฮ่องเต้เสวียนก็จะไม่แตะต้องเขา

ในท้องพระโรง ผู้ใดคือขุนนางกังฉิน? ผู้ใดคือขุนนางภักดี? ฮ่องเต้เสวียนรู้ชัดเจนมิเป็นรองใคร

แต่ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่กระทบถึงขีดจำกัดของฮ่องเต้เสวียนในความผิดใหญ่หลวง เช่น มั่วสุมก่อความไม่สงบ หรือดูหมิ่นราชวงศ์ ฮ่องเต้เสวียนก็ล้วนสามารถทนได้

เพราะไม่ว่าจะเป็นขุนนางภักดีหรือขุนนางกังฉิน หลายครั้งในสายตาของฮ่องเต้เสวียน พวกเขาล้วนเป็นขุนนางที่มีความสามารถ

ตราบใดที่พวกเขาเป็นขุนนางที่มีความสามารถ และยังอยู่ในขอบเขตการควบคุมของฮ่องเต้เสวียน ฮ่องเต้เสวียนล้วนจะไม่แตะต้องพวกเขา

หนิงจื้อหมิง เป็นขุนนางขั้นสอง และมีความขยันหมั่นเพียร มีความสุขุมรอบคอบ ทำงานไม่เคยผิดพลาด... ฮ่องเต้เสวียนไม่สามารถแตะต้องขุนนางที่มีความสามารถเพื่อเด็กหนุ่มที่เคยพบเพียงครั้งเดียวได้

เช้าวันรุ่งขึ้น

ฮ่องเต้เสวียนนั่งบนบัลลังก์สูง

ขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ยืนเรียงรายสองข้าง

ที่จริงแล้วการทำงานหนักภายใต้การบัญชาของฮ่องเต้นั้นยากเข็ญมาก ต้องตื่นเช้ากว่าไก่ และเข้านอนช้ากว่าไก่

ยามเช้าจึงมักจะยังไม่สดใส

เมื่อเหล่าขุนนางเข้าท้องพระโรง ยังต้องหิ้วท้องหิวโหยอีกด้วย

หากกินอาหารก่อนท้องจะไม่ดี ฮ่องเต้ตรัสอยู่ด้านบน และท่านก็กำลังตกอยู่ในภาวะตื่นตระหนกและอับอายอยู่ด้านล่าง... นั่นเป็นการรนหาที่ตายโดยแท้

ยิ่งไปกว่านั้น มีขุนนางมากเกินไป และห้องโถงใหญ่ไม่สามารถรองรับคนจำนวนมากได้ ดังนั้นขุนนางที่มีตำแหน่งไม่สูงจำนวนมากต้องยืนอยู่นอกห้องโถง

ในฤดูร้อนยังพอได้ ทว่าในฤดูหนาวลมหนาวโถมพัด... เมื่อเลิกประชุมเช้า ร่างกายทั้งร่างก็แช่แข็งเสียแล้ว

“มีเรื่องให้รายงาน หมดเรื่องให้แยกย้าย!”

เสียงแหลมสูงดังขึ้น

“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ใกล้จะเข้าฤดูหนาวแล้ว และแคว้นถัวหลัวขาดแคลนอาหาร กลับมีการปล้นชายแดนทางตอนเหนือของเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งเผาสังหาร และปล้นสะดม ขอทรงโปรดส่งกองกำลังทหารไปปราบปรามด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมจะร่วมมือกับเสนาบดีกรมขุนนางปราบผู้คนที่ก่ออาชญากรรมและทำร้ายราษฎรพ่ะย่ะค่ะ”

“กระหม่อมเองก็มีเรื่องต้องรายงานพ่ะย่ะค่ะ น้ำท่วมพื้นที่กานหนาน ราษฎรพลัดถิ่นสิ้นเนื้อประดาตัว อาหารไม่อิ่มท้อง ขอฝ่าบาทออกคำสั่งให้เปิดโกดังแจกเสบียง ช่วยเหลือราษฎร”

เรื่องเหล่านี้ บรรดาขุนนางได้ยื่นฎีกาขึ้นมาแล้ว และฮ่องเต้เสวียนก็น่าจะทราบเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว

การที่พูดขึ้นมาในการประชุมเช้า ก็คือการหารือว่าควรแก้ไขปัญหาเช่นไร?

การหารืออย่างเข้มข้นผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดเรื่องสำคัญเหล่านี้ก็ได้รับการแก้ไข

ต่อมา ล้วนเป็นเรื่องจิปาถะทั้งหมด และฮ่องเต้เสวียนไม่ได้ให้ความสนใจ

สายตาของฮ่องเต้เสวียนจ้องมองไปยังชายชราที่ขาขาด ยังเป็นคนเดียวในราชสำนักที่สามารถนั่งได้ นอกเหนือจากฮ่องเต้เสวียน

ชายชราผู้นี้คือแม่ทัพผู้เฒ่าเฉินที่ใช้เวลาทั้งชีวิตในกองทัพ

แม่ทัพผู้เฒ่าเฉินเองก็งุนงงเช่นกัน นับตั้งแต่เขาสูญเสียขาไปหนึ่งข้าง ฮ่องเต้เสวียนก็อนุญาตให้เขาไม่ต้องเข้าประชุมเช้า...ทว่าเขาได้รับคำสั่งด้วยวาจาเมื่อคืนนี้ ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ก็ต้องเข้าประชุมเช้า

“ขุนนางเฉินที่รัก เมื่อวานในหอจ้วงหยวนน่าเกรงขามมากหรือไม่?”

พลันแม่ทัพผู้เฒ่าเฉินก็กระตุกอยู่ในใจ เมื่อวานเขาเมามายในหอจ้วงหยวน ในใจหดหู่ และเมามายมากโข...คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้เสวียนจะทราบเรื่องเร็วเพียงนี้

เขาเหลือบมองขุนนางฝ่ายให้คำแนะนำและตักเตือน แน่นอนว่าบัณฑิตยาจกเหล่านี้ต้องมีส่วนร่วมรายงานเขาเป็นแน่

สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดของขุนนางฝ่ายให้คำแนะนำและตักเตือนเหล่านี้ ก็คือชอบเถียงแบบไร้เหตุผลในการประชุมเช้า

คนเหล่านี้สนใจเพียงชื่อเสียง และไม่กลัวตายเลย!

บางครั้ง พวกเขากล้าเผชิญหน้ากับฮ่องเต้เสวียนที่พิโรธมาก ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่ควบคุมตนเท่านั้น ยังลอบยินดีมีสุขอีกด้วย “รีบดูสิ รีบดู เขาโกรธแล้ว เขาโกรธแล้ว...”

ฮ่องเต้เสวียนก็มิใช่ว่าไม่เคยลงโทษประหารชีวิตขุนนางฝ่ายให้คำแนะนำและตักเตือน แต่หลังจากการคนเหล่านี้ตายก็ล้วนสูญเสียขุนนางภักดีไป เป็นขุนนางชื่อเสียงดีที่พูดตรงไปตรงมา

ขุนนางฝ่ายตักเตือนเหล่านี้มีกำลังฮึกเหิมมาก เลียนแบบตามกันไป

ขุนนางฝ่ายตักเตือนเหล่านี้หัวรั้น ดื้อดึง และคร่ำครึ...เบื้องบนตั้งแต่ฮ่องเต้เสวียน ไปจนถึงเบื้องล่างขุนนางตำแหน่งต่ำขั้นเก้า ตราบใดที่มีคนทำผิด พวกเขาก็กล้าพ่นคำวิจารณ์

สำหรับคนเหล่านี้ ชื่อเสียงสำคัญกว่าชีวิต

แม่ทัพผู้เฒ่าเฉินค้ำไม้ค้ำยัน และรีบลุกขึ้นต้องการคุกเข่าลงเพื่อขออภัยโทษ แต่ฮ่องเต้เสวียนกลับหยุดไว้

“แม่ทัพผู้เฒ่าเฉิน เรารู้ว่าในใจเจ้าหดหู่ แต่หอจ้วงหยวนเป็นสถานที่รวมตัวของบัณฑิต หากเจ้าเมามายและทำตัวอับอายขายหน้าที่นั่น เจ้าจะถูกคนวิพากษ์วิจารณ์ได้ง่าย ๆ ”

บัณฑิตบ้าอะไรกัน ก็เป็นเพราะคนยากจนคร่ำครึเหล่านี้บอกว่าเขาเป็นนักสู้ที่หยาบคายลับหลังอยู่ทุกวัน สิ่งนี้ทำให้เขาโกรธมากจนวิ่งไปถึงหอจ้วงหยวน...แม่ทัพผู้เฒ่าเฉินพึมพำในใจ

“กระหม่อมสำนึกผิดแล้ว!”

ฮ่องเต้เสวียนโบกมือ “เอาล่ะ เรามิใช่ทรราช เรารู้ว่าเจ้าจิตใจหดหู่ และมิได้ตั้งใจจะตำหนิเจ้า...จริงสิ เรายังมีของขวัญอย่างหนึ่งจะมอบให้เจ้า!”

“เฉวียนกงกง อ่านให้แม่ทัพผู้เฒ่าเฉินฟัง”

เฉวียนกงกงก็คือคนที่หนิงเฉินเรียกว่าชายตุ้งติ้ง บุคคลที่ได้รับความโปรดปรานข้างกายฮ่องเต้เสวียน ซึ่งอยู่ข้างกายฮ่องเต้เสวียนมาโดยตลอดตั้งแต่ครั้งยังเป็นองค์รัชทายาท

เฉวียนกงกงเดินไปอย่างระมัดระวัง หยิบกระดาษบนโต๊ะมังกรขึ้นมา บนนั้นมีอักษรลายมือของฮ่องเต้เสวียน ซึ่งเขียนบทกลอนที่หนิงเฉินขายให้แก่ฮ่องเต้เสวียน

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status