หลุดมาในนิยายที่เป็นเพียงนางร้ายตัวประกอบที่มีบทเพียง 3 หน้าก็ถูกพระเอกฆ่าตาย เช่นนั้นข้าก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก แต่ว่า "ข้าจะไม่ยอมยกเลิกงานหมั้นของเราเป็นอันขาด!!” ยุ่งละสิ พระเอกปล่อยข้าไปเถอะ!!
View More“หยุนเฟย เจ้า…พูดอะไรนะ”“หม่อมฉันบอกว่านางถูกโบยสิบไม้ยังน้อยไปเพคะ กล้าดีเช่นไรมาพูดเช่นนั้น”“นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโกรธนางเพียงเรื่องแค่นี้ ทีเรื่องที่นางดูถูกเจ้าก่อนหน้านี้กลับไม่สนใจ”“หม่อมฉันไม่ชอบให้ผู้ใดมาพูดเช่นนี้ทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้มิได้เป็นความจริง หม่อมฉันเสียหาย อีกทั้งแม่ทัพฉินก็เสียหาย ยิ่งกว่านั้นพระองค์ก็เสียหายเพราะจะถูกมองว่าหม่อมฉันเป็นพวกหลอกลวง”“ข้าแยกแยะเป็นนะ เรื่องของเจ้ากับเกาหานข้าเคยคุยกับเขาหลายรอบแล้ว และตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะมิได้มีเวลาสนใจเจ้าหรอกนะ”“พระองค์ทรงหมายความว่าอย่างไรเพคะ”“ก็เห็นเขาเล่าว่าเขาไปเยี่ยมแม่นางฟ่งผู้นั้นบ่อย ๆ”“แม่นางฟ่งงั้นหรือเพคะ”“ใช่ แม่นางฟ่งผู้นั้นแหละ”“พวกเขา…..”“ข้าเองก็ไม่รู้ความคิดของเกาหานหรอกนะ แต่เขาก็เข้า ๆ ออก ๆ จวนของนางบ่อย ๆ ข้าคิดว่าเขาอาจจะมีใจให้นาง แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ข้าไหว้วานบางอย่างก็เถอะ”หากเป็นดังที่ท่านอ๋องตรัสจริง ๆ อย่างน้อยเรื่องราวในนิยายก็มีอยู่ส่วนหนึ่งที่ยังไม่ต่างจากต้นฉบับ นั่นคือพระรองที่มีใจรักนางเอกและคอยดูแลนางอยู่เสมอ ซึ่งในตอนนี้ฉินเกาหานก็กำลังเป็นเช่นนั้น“ไม่ถูกสิ หากว่าพระรอง
ฟางหยุนเฟยหันมามองพระพักตร์ท่านอ๋องอย่างนึกแปลกใจ นางไม่เห็นหน้าเขามาสองวันแล้วแต่เหตุใดวันนี้เขาจึงมาที่นี่ได้กันนะ“ท่านอ๋อง แต่ว่าเด็ก ๆ เลิกเรียนไปหมดแล้วนะเพคะ”“ข้าถามเจ้าว่าข้าจะเลือกได้หรือไม่”“พระองค์จะเลือกป้ายไหนเพคะ”ท่านอ๋องหันไปมองและพิจารณาดู หยุนเฟยมองเขาด้วยนึกแปลกใจระคนดีใจเล็กน้อยที่เห็นเขาในวันนี้ เขาชี้ไปยังป้ายรูปหัวใจสีแดงที่ถูกระบายสีเอาไว้ หยุนเฟยหันไปมองคนตรงหน้าที่อ้าแขนทั้งสองข้างให้นางเหมือนกับที่เด็ก ๆ ทำ“ท่านอ๋องเพคะ อย่าทำรุ่มร่ามแถวนี้สิเพคะ”“แต่ข้าเลือกแล้วเจ้าเป็นอาจารย์เจ้าจะทำผิดคำพูดงั้นหรือ”“เหตุใดวันนี้ถึงมาที่นี่ได้เล่าเพคะ”“ไปที่ห้องพักของเจ้าเถอะข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง”“เพคะ”หยุนเฟยเก็บของและยกออกมาเพื่อจะเดินเอาไปเก็บในห้อง ท่านอ๋องดึงของจากมือนางเอามาถือเอาไว้“เจ้าเดินไปเถอะของพวกนี้ข้าถือไปให้เอง”“ขอบพระทัยเพคะ”เขาเดินยิ้มตามนางไปจนถึงในห้องพัก เมื่อวางของลงได้เขาก็รวบตัวนางเข้ามากอดในทันทีพร้อมกับขโมยหอมแก้มนางไม่ยั้งจนนางบิดกายหนีเป็นพัลวัน“ท่านอ๋องเพคะ เดี๋ยวก่อน”“คิดถึงเจ้ามากที่สุด ข้าเลือกแล้วนี่เจ้าจะไม่ให้ข้ากอดงั้นหรือ”“พ
ท่านเจ้าเมืองทรุดตัวลงที่โต๊ะทำงานอย่างหมดแรง ท่านอ๋องรู้ว่าเขาจงใจทำร้ายบุตรสาวเพื่อที่จะกันนางออกจากวงสนทนา แต่เขากลับไม่คิดว่าท่านอ๋องจะใจร้ายกับสตรีเช่นนี้นี่คงเป็นเพราะเรื่องที่จางเหมยลั่วบังอาจไปยุ่งกับคนของเขาเป็นแน่จึงทำให้ท่านอ๋องไม่ยอมยกโทษให้นางเช่นนี้“ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันบาดเจ็บถึงเพียงนี้….”“นั่นเป็นเพราะบิดาเจ้า มิใช่ข้าเสียหน่อยหากว่าเจ้าอยากจะคร่ำครวญก็ไปคุยกับบิดาของเจ้า แต่ธุระที่ข้าจะพูดยังไม่จบเจ้าก็ยังไปไหนไม่ได้ ท่านเจ้าเมืองจะหาผู้ใดมาทำแผลให้นางหน่อยหรือไม่”“เชิญพระองค์ตรัสมาให้จบเถิดเพคะ”สายตาของจางเหมยลั่วที่มองมายังท่านอ๋องทั้งน้อยใจและโกรธแต่ก็กลัวด้วยเพราะนางเองก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะใจร้ายถึงเพียงนี้ แม้ว่านางบาดเจ็บอยู่ตรงหน้าเขาก็ยังไม่แม้แต่จะถามไถ่อาการด้วยซ้ำไป“เช่นนั้นข้าจะไม่เสียเวลา ท่านเจ้าเมืองวันนี้ข้าได้รับรายงานความวุ่นวายนอกเมืองจึงได้เร่งตรวจสอบ ตอนนี้เรื่องยังไม่ลุกลามและมีผู้ที่รู้เพียงไม่มากจึงเร่งเดินทางมาหาท่านก่อนเพื่อจะสะสางก่อนที่เรื่องนี้จะถูกนำขึ้นไปทูลต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทในประชุมราชสำนัก เชื่อว่าท่านที่พึ่งมาประจำการใหม่ ๆ ค
ท่านเจ้าเมืองและพ่อบ้านอิ๋นถึงกับหันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่กอย่างทำตัวไม่ถูก มีเพียงจางเหมยลั่วเท่านั้นที่รู้สึกดีใจเพราะนึกไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะเป็นผู้เสด็จมาด้วยพระองค์เองถึงที่จวน“ท่านพ่อ ท่านอ๋องต้องมาหาข้าเป็นแน่เจ้าค่ะ ข้า…”“เจ้าหุบปาก!! เจ้าภาวนาไว้ในใจขอให้ผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้เถอะ”เมื่อเขาเอ่ยจบ จางเหมยลั่วกำลังจะหันไปเถียงแต่ว่าผู้ที่เอ่ยนามเดินเข้ามาถึงด้านในห้องแล้ว เขาเดินเอามือไพล่หลังมา สีหน้าเรียบตึงและเขามิได้มาเพียงคนเดียว ท่านเจ้าเมืองเห็นพระพักตร์ของท่านอ๋องและผู้ที่ติดตามมาด้วยเขาของเขาก็แทบจะทรุดแต่ก็ต้องรีบถวายบังคม“ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“ท่านเจ้าเมืองตามสบายเถอะ มากะทันหันโดยมิได้แจ้งล่วงหน้าต้องขออภัย”“หม่อมฉันจางเหมย...…”“ข้าเข้าเรื่องเลยก็แล้วกันท่านเจ้าเมือง”ท่านอ๋องไม่รอให้นางพูดจบและไม่รับการถวายความเคารพจากจางเหมยลั่ว ทำเอาทั้งสองพ่อลูกทำหน้าไม่ถูกแต่ท่านเจ้าเมืองพอจะทราบว่าที่ท่านอ๋องเสด็จมาในเวลานี้และไม่ได้แจ้งก่อนก็พรวดพราดเข้ามาด้วยพระทัยที่ร้อนรนเช่นนี้ ต้องเกี่ยวกับบุตรสาวของเขาอย่างแน่นอน"ท่านอ๋อง เชิญพระองค์ดื่มชาก่อนเถิดเพคะ หม่อมฉัน….
ชาวบ้านเกือบทุกคนวิ่งมารายล้อมนาง รวมถึง เด็ก ๆ ที่วิ่งออกมาจากห้องเรียนเพื่อมานั่งคุกเข่าต่อหน้านางเพื่อทำความเคารพนาง“หากมิใช่ท่านที่สอนข้าวิชาคำนวณเหล่านั้น ข้าคงไม่มีวันจะอ่านออกเขียนได้และบวกเลขเป็นขอรับ”“ข้าคงไม่มีโอกาสได้วาดรูป ท่านอาจารย์ข้าเองก็ขอบคุณท่าน”“ข้าอ่านออกก็เพราะท่านอาจารย์เป็นผู้สอน อักษรตัวแรกที่ข้าเขียนได้ก็มาจากท่าน”""อาจารย์ รับคำขอบคุณนี้ไว้ด้วย""“พวกเจ้า….พวกท่าน…ทุกคน ลุกขึ้นเถอะ”ชาวบ้านพร้อมใจคำนับให้กับฟางหยุนเฟยอย่างเต็มใจพร้อมกับรอยยิ้มเปื้อนคราบน้ำตาบนแก้ม หากวันนี้จางเหมยลั่วไม่มาที่นี่ พวกเขาก็คงไม่มีโอกาสได้ปกป้องนางและไม่ได้บอกเรื่องในใจที่เก็บเอาไว้มานานเช่นนี้“พวกท่านลุกขึ้นเถอะเจ้าค่ะ เด็ก ๆ เร็ว ๆ เข้า ลุกขึ้น ๆ”“อาจารย์ฟาง อาหารที่ท่านสอนให้ข้าทำ ข้าเอาไปขายทุกวันก็เกือบไม่พอขาย พวกเราทุกคนที่นี่หากินเลี้ยงชีพได้ก็เพราะมีท่านที่เป็นผู้สอนนะเจ้าคะ”“สิ่งที่พวกเราทำไปมันไม่มากเลยขอรับอาจารย์ฟาง”“ทุกท่าน ข้าแทบจะลอยขึ้นฟ้าได้แล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณทุก ๆ คนเลยเจ้าค่ะที่เชื่อมั่นในตัวข้าเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่ข้าทำคนเดียวจะสำเร็จ ยังมีเหล่าท่าน
ฟางหยุนเฟยมองใบหน้าที่สะสวยของสตรีตรงหน้าแต่ก็ไม่คุ้นเคยและไม่คิดว่าเคยพบที่ไหนมาก่อน แต่เหตุใดนางจึงมาที่นี่ในเวลานี้กันนะ “แม่นาง ข้าขอโทษแทนพวกเขาด้วย พวกเด็ก ๆ น่ะบางทีวิ่งก็ไม่ทันได้ดู เอาเช่นนี้เจ้าตามข้าเข้าไปข้างในข้าจะทำแผลให้เจ้าและจะให้พวกเขาขอโทษเจ้าด้วยดีหรือไม่”“ไม่ต้อง ข้าเป็นบุตรสาวของท่านเจ้าเมืองคนใหม่ เจ้าควรพาคนที่นี่ทั้งหมดมาทำความเคารพข้าถึงจะถูก”หลีเม่ยและฉินเกาหานยืนอยู่หน้าโรงเรียน หลีเม่ยเห็นว่าสตรีผู้นี้อวดดีและไม่เกรงใจพี่สาวนางจึงไปช่วยแต่ท่านแม่ทัพฉินดึงแขนนางเอาไว้“ใจเย็นก่อนหลีเม่ย”“แต่นางว่าให้พี่ใหญ่ของข้านะเจ้าคะ”“เชื่อข้าเถอะ หยุนเฟยจัดการได้”“แต่ว่า…ข้าไม่ชอบเลย นางมาแอบดูอยู่ตรงนั้นแท้ ๆ แต่กลับโทษเด็ก ๆ ที่อยู่ที่นี่ แค่ขอโทษก็น่าจะจบแล้วนี่ นางยังสั่งให้พี่ใหญ่พาคนทั้งหมดมาเคารพนาง จะบ้าไปแล้วงั้นหรือ นางเป็นฮ่องเต้หรืออย่างไร”“เจ้านี่ท่าทางต่างกับพี่สาวเสียจริง ไม่ยอมผู้ใดเลยสินะ”“ท่านรู้จักข้าน้อยไปท่านแม่ทัพ”“หลีเม่ย เหตุใดเจ้าไม่เรียกข้าว่าพี่เกาหานเหมือนกับหยุนเฟยเรียกล่ะ”หลีเม่ยมองเขาแวบหนึ่งและต้องรีบหลบสายตาท่านแม่ทัพฉินในทันท
“พ่ะย่ะค่ะ”จื่อลู่หันไปหยิบเถาปิ่นโตของตนเองที่หยุนเฟยจัดมาให้เขาและค่อย ๆ เปิด เขาเองก็แอบวิตกเล็กน้อย หากว่าปิ่นโตของเขามีสิ่งใดที่แปลกกว่าอาหารของท่านอ๋อง คราวนี้ไม่รู้ว่าเขาจะอดกินอาหารปิ่นโตนี้เลยหรือไม่ หากรู้ว่าท่านอ๋องจะขี้หึงถึงเพียงนี้เขาไม่ควรเอาปิ่นโตของเขาเข้ามาด้วยเลย โชคดีที่อาหารของเขาแม้ว่าจะเหมือนของท่านอ๋องแต่ก็มีไม่มากและหลากหลายเท่าท่านอ๋องซึ่งนั่นทำให้ผู้เป็นนายรู้สึกพอใจจนยิ้มออกมา จื่อลู่เองก็โล่งใจเมื่อท่านอ๋องมิได้รับสั่งสิ่งใด“เจ้า…ออกไปกินเถอะ ข้าจะกินอยู่ที่นี่ ให้คนนำชามาให้ข้าก็พอ”“พ่ะย่ะค่ะ”จื่อลู่รีบเก็บปิ่นโตของเขาอย่างรวดเร็วและรีบเดินออกไปทันทีตามคำสั่ง ไม่นานนักก็มีคนเดินเข้ามาแต่พบกับจื่อลู่เสียก่อน“พวกเจ้ามาอีกแล้วงั้นหรือ”“ท่านองครักษ์ คือว่าคุณหนูของข้า…..”“ขออภัยวันนี้ท่านอ๋องไม่รับแขก เชิญพวกเจ้านำของกลับไปเถอะ”“แต่ว่าคุณหนูบอกว่าปิ่นโตนี้ตั้งใจทำเพื่อท่านอ๋องนะเจ้าคะ”“วันนี้คู่หมั้นของท่านอ๋อง ว่าที่พระชายาทำอาหารมาส่งท่านอ๋อง เกรงว่าคงมิอาจจะรับปิ่นโตของคุณหนูจางของพวกเจ้าได้ทางที่ดีนำกลับไปและบอกนางด้วยว่า ไม่ต้องพยายามถึงเพียงนี
หยุนเฟยอมยิ้มพร้อมกับมองสบพระเนตรท่านอ๋องที่ยืนตรงหน้า เขาหันมามองนางพลันนึกโมโหเล็กน้อยที่นางเอาแต่ขำเขาที่พูดเรื่องนี้“หยุนเฟยเหตุใดต้องหัวเราะข้า เจ้าขำอะไรงั้นหรือ”“หม่อมฉันมิได้ขำนะเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่ เขาเรียกว่า อมยิ้มอย่างอาย ๆ เพคะ”“เจ้าอายหรือ”“เหตุใดพระองค์เป็นคนเถรตรงถึงเพียงนี้เพคะ คิดสิ่งใดก็พูดออกมาเช่นนี้เลยหรือเพคะ”“ก็ข้า….โกหกไม่เป็น ยิ่งต่อหน้าเจ้าหากคิดว่าจะโกหก เพียงแค่คิดก็เหงื่อแตกและมีพิรุธแล้ว ดูเหมือนว่าข้าจะโกหกสิ่งใดเจ้าไม่ได้เลย สายตาเจ้าราวกับอ่านหัวใจข้าออกซึ่งข้าเองก็บอกไม่ถูก”(ไม่ใช่อ่านออกอย่างเดียว ข้ายังรู้ทั้งนิสัยใจคอและสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ด้วยเพียงแต่ว่าในตอนนี้….เรื่องราวมันกลับไม่เหมือนเรื่องที่ข้าอ่านมาเท่านั้น)“หยุนเฟยเจ้าทำเช่นนี้อีกแล้ว”“หม่อมฉันทำสิ่งใดหรือเพคะ”“เจ้าไม่รู้ตัวเลยหรือ เจ้าชอบมองเหม่อออกไปราวกับคิดอะไรอยู่และก็ไม่บอกข้าราวกับเจ้าทำมันโดยไม่รู้ตัว ก่อนหน้านี้…เจ้าที่ข้าเคยพบเห็นและรู้จักจะมิใช่แบบนี้เลย”“ก่อนหน้านั้นหม่อมฉันเป็นเช่นไรหรือเพคะ พระองค์ทรงเล่าให้ฟังได้หรือไม่เพคะ”“ช่างเถอะ ๆ เรื่องมันผ่านไปแล้วข
ฉินเกาหานรอให้พวกนางขึ้นรถม้าเสร็จเขาจึงควบอาชาคู่ใจวิ่งตามไปข้าง ๆ รถม้าของทั้งคู่ ตลอดทางจนถึงจวนสกุลฟางนั้นเมื่อมีเขาคอยคุ้มกันจึงมิได้มีอันตรายใดเกิดขึ้น เมื่อถึงจวนแล้วทั้งสองจึงชวนแม่ทัพฉินเข้าไปดื่มชาก่อน“แต่ว่า นี่ก็ดึกแล้ว”“ท่านแม่ทัพอย่าได้เป็นห่วงเลยเจ้าค่ะ ท่านพ่อเองก็ยังไม่กลับในจวนมีแต่พวกข้าที่เป็นผู้หญิงมีท่านอยู่พวกข้าก็โล่งใจอีกหน่อย คิดว่าอีกไม่นานท่านพ่อก็คงกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”ฉินเกาหานทำท่าลังเลอยู่เล็กน้อย นี่ก็ค่ำแล้วหากว่าเขาเข้าไปในจวนสกุลฟางแม้ว่าสิ่งที่หลีเม่ยกล่าวมาจะเป็นเรื่องที่น่าห่วงก็จริงแต่พวกนางอาจจะเสียหายได้ และอีกอย่างฟางหยุนเฟยก็ยังเป็นว่าที่คู่หมั้นของท่านอ๋อง“ท่านแม่ทัพ ถือว่าข้าขอร้องเถอะเจ้าค่ะเข้ามาดื่มชาเพื่อเป็นการขอบคุณสักจอกก็ยังดี พี่ใหญ่สอนข้าหมักชาเองอยากให้ท่านลองชิมดูเจ้าค่ะ”“เอ่อ…เช่นนั้น…”“มาเถอะเจ้าค่ะพี่เกาหาน เกรงว่ามัวแต่ถกเถียงกันอยู่ตรงนี้คงจะหนาวตายกันพอดี อาเม่ยนางคงไม่ยอมให้ท่านกลับมือเปล่าเช่นนี้เป็นแน่เจ้าค่ะ”“เช่นนั้นข้าคงต้องขอรบกวนแล้ว”เขาเดินตามทั้งสองเข้าไปในจวน ฟางหลีเม่ยแจ้งฮูหยินแล้วว่าท่านแม่ทัพแวะมาดื่มช
“เปรียบตัวเจ้าดุจจันทรา ตัวข้าขอเป็นเมฆาที่โอบกอดเจ้าไว้”เสียงอึกทึกครึกโครมรอบจวนราชครู “ฟางหลี่ถง” ดังขึ้นจนทำให้ผู้ที่นอนอยู่บนเตียงตื่นจากนิทราที่แสนยาวนาน ร่างกายหนักราวกับถูกรถบรรทุกทับมาทั้งคันเมื่อเริ่มกะพริบตาไล่แสงที่ส่องเข้ามาพร้อมกับสภาพห้องที่ไม่คุ้นเคย“เสียงดังจังเลย นี่มันอะไรกัน”“คุณหนูฟื้นแล้ว เร็ว ๆ เข้าส่งคนไปแจ้งท่านราชครูเร็ว ๆ เข้าเถิด”“เจ้าค่ะแม่นมถง”อะไรกัน เมื่อครู่นี้พวกเขาบอกว่ายังไงนะ “ราชครู” แล้วก็ยังมี “แม่นม” อีกงั้นหรือ ที่นี่ไม่ใช่หน้าโรงเรียนอนุบาลหรือ ฉันกำลังจะได้บรรจุเป็นข้าราชการครูวันแรก แต่ก็ต้องกระโดดน้ำลงไปช่วยเด็กน้อยที่กำลังจมน้ำอยู่ แล้ว….หลังจากนั้นเล่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่“เอายามาหน่อยแล้วเตรียมชุดใหม่เอาไว้ให้คุณหนูด้วย เงียบ ๆ ละ”“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”เสียงกระซิบกระซาบที่ราวกับเกรงว่าจะทำให้ผู้ที่นอนอยู่ไม่พอใจยิ่งทำให้ผู้ที่นอนอยู่เริ่มสับสนยิ่งนักเมื่อค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ดูเหมือนจะมีบางอย่างไม่ถูกต้องเมื่อค่อย ๆ แหงนมองที่เพดานที่เป็นไม้หรูหราและเตียงสี่เสาที่มีผ้าม่านสีสดล้อมรอบ “นี่มันอะไรกัน ที่นี่คือที่ไหน”“คุณหนู ตื่นแล้วงั้นหรือ...
Comments