“ใช่ เจ้าด้วย พวกเจ้าก็ต้องเปลี่ยนทั้งหมด ไปเถอะ”“ขอบคุณเจ้าค่ะคุณหนู”หยุนเฟยหันไปยิ้มให้สาวใช้ท่ามกลางความแปลกใจของเถ้าแก่ในร้านไม่น้อย แม้ว่าคุณหนูฟางก่อนหน้านี้จะมือเติบ ซื้อแต่ของราคาแพงแต่นั่นก็เพราะนางซื้อให้ตัวเองไม่เคยซื้อให้คนอื่นเช่นนี้แต่ครั้งนี้กลับแตกต่างกว่าทุกครั้งราวกับว่าไม่ใช่นางคนเดิม แต่เถ้าแก่เองก็มิได้มีเวลาสงสัยแต่อย่างใดเพราะอย่างไรเงินที่ได้รับจากคุณหนูฟางหยุนเฟยก็ยังเป็นเงินก้อนโตเช่นเดิมไม่ต่างจากทุกครั้ง“สวยมาก เอาชุดนี้ด้วย”“ท่านน้าชุดนี้ใช้ได้ ท่านสวมแล้วเข้ากับผิวมาก เอาด้วย”“อาหง ใช้ได้นี่ชุดนี้ใส่แล้วดูสวยขึ้น เอาสีนี้”หน้าร้าน“ท่านอ๋อง นั่นรถม้าสกุลฟางพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าเห็นแล้ว ว่าแต่นางมาทำอะไร”“ก็คงจะมาซื้อชุดใหม่ตามประสาคนที่ฟุ่มเฟือยเช่นนางกระมังพ่ะย่ะค่ะ”“เรื่องของนางไม่เกี่ยวกับข้า”ตั้งแต่วันที่นางบอกเลิกการหมั้นกับเขา นางก็ไม่เคยมาให้เขาเห็นหน้าอีกตามที่นางรับปากเอาไว้ ข่าวเรื่องการยกเลิกการหมั้นของเขาและนางแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง คงเป็นราชครูฟางที่จัดการเรื่องนี้ ไม่นานพวกนางก็เดินออกมาพร้อมกับเถ้าแก่ที่โค้งคำนับให้และรับปากจะจัดส่งเ
“ค่ายอพยพงั้นหรือ เราไปดูกันเถอะ”“หยุนเฟย เจ้า…แน่ใจนะว่าจะไป”“ท่านน้า ท่านเอาแต่ถามเช่นนี้อีกแล้ว ท่านน่าจะมองข้าใหม่ได้แล้วนะเจ้าคะ ข้าใช้ชีวิตกับท่านมาหลายเดือนแล้วท่านก็น่าจะรู้ว่าข้าน่ะเปลี่ยนไปแล้ว”“อืม เช่นนั้นเราก็ไปกันเถอะ”หยุนเฟยเดินเข้าไปยิ่งใกล้ก็ยิ่งเห็นว่ามีทั้งเด็ก คนแก่ และคนไร้บ้านมากมายที่มายืนรออาหารที่ทางการจัดเอาไว้ ซึ่งดูแล้วก็ไม่น่าจะเพียงพอกับพวกเขา นางจำได้ว่าในนิยายเคยพูดถึงเรื่องพวกนี้ก่อนที่เจ้าของร่างจะตาย เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่พระรองอย่างแม่ทัพ “ฉินเกาหาน” พบกับนางเอกแสนดีที่มาแจกจ่ายอาหารและยาให้คนอพยพนางเป็นหลานสาวเสนาบดีนามว่า “ฟ่งลี่เซียน” ซึ่งแน่นอนว่าพระรองตกหลุมรักนางในทันที แต่หลังจากที่นางเอกพบพระเอกในวังงานเลี้ยงชมดอกท้อ ก็ตกหลุมรักพระเอกอีกเช่นกัน“ข้าหิว ท่านพี่ ท่านป้า ข้าขอข้าวหน่อย”“เด็กน้อย เหตุใดเจ้าถึงได้....อาหง เอาเงินไปซื้อหมั่นโถวมาให้เด็กทีเร็ว ๆ เข้า”“เจ้าค่ะคุณหนู”เมื่อมาหนึ่งคน เด็กอีกหลายคนที่เหลือก็เริ่มวิ่งมาที่หยุนเฟย นางนึกไม่ถึงว่าจะถูกล้อมด้วยผู้คนจนเริ่มหันไปไหนไม่ได้ “หยุนเฟย”“ท่านน้า อาเม่ย”“พี่ใหญ่ เด
“หยุนเฟย เจ้าแน่ใจแล้วงั้นหรือ”“ท่านน้า หากสิ่งของเหล่านั้นที่ข้าไม่ใช้แล้ว สามารถช่วยเด็กเหล่านี้ได้ท่านว่าข้าสมควรจะทำหรือไม่เจ้าคะ”หลานอี้เหนียงมองนางพร้อมกับยิ้มให้อย่างภาคภูมิใจราวกับหยุนเฟยเป็นบุตรสาวอีกคนของนาง นางจับมือหยุนเฟยและให้คำมั่นกับหยุนเฟย“เช่นนั้นข้าก็จะช่วยเจ้าอย่างสุดกำลัง”“ข้าด้วย ๆ เจ้าค่ะ ข้าก็จะช่วยด้วย พี่ใหญ่ไปที่ใดจะขาดข้าได้เช่นไร”“เจ้าตัวแสบ แน่นอนว่าข้าต้องพาเจ้าไปด้วยแน่ ๆ แต่เจ้าต้องกินหัวหอมใหญ่นะ”“พี่ใหญ่ เหตุใดบังคับข้าอีกแล้ว”“อาเม่ย เจ้าดูเด็กพวกนี้สิ เขากินเพราะเลือกกินไม่ได้ มีอะไรให้กินก็ต้องกิน แล้วเจ้าลองกลับไปคิดถึงเวลาที่เจ้าเขี่ยผักที่เจ้าไม่ชอบ เขี่ยตับที่เจ้าไม่กินออกแล้วมองหน้าพวกเขาสิ”อาเม่ยมองไปพร้อมกับคิดได้ในทันที ของบางอย่างสำหรับบางคนอาจจะไร้ค่าแต่กับบางคนมันอาจจะทำให้เขารอดได้“พี่ใหญ่ข้าเข้าใจแล้ว จากนี้ข้าจะพยายามไม่เลือกกินอีกเจ้าค่ะ”“ต้องแบบนี้สิท่านน้าท่านรออยู่นี่ก่อนนะเจ้าคะ ข้าจะไปคุยกับท่านแม่ทัพหน่อย”“อืม เจ้าไปเถอะ”หยุนเฟยเดินไปหาฉินเกาหานที่ยืนมองทหารแจกจ่ายอาหารให้เด็กและควบคุมไม่ให้ผู้ใหญ่มาแย่งของเด็ก เมื
“พ่ะย่ะค่ะ แต่การย้ายมาในครั้งนี้ แปลกตรงที่รายชื่อของเขามิได้อยู่ในรายนามขุนนางที่โยกย้าย ดูเหมือนว่าย้ายมาแทนโดยกะทันหัน”“ก่อนหน้านี้ผู้ใดเป็นเจ้าเมืองดูแลอยู่”“เป็นคนของทางการซึ่งพึ่งจะถูกย้ายไปตำแหน่งที่สูงกว่าพ่ะย่ะค่ะ”“เหตุใดเขาต้องเลือกคนผู้นี้ด้วย หรือว่ามีผลประโยชน์ใดร่วมกัน ฝ่าบาทไม่น่าจะพลาดในเรื่องนี้ พระองค์รู้สึกผิดสังเกตมานานแล้วแค่ยังไม่ได้ตรัสออกมาเท่านั้น”“แย่แล้ว พรุ่งนี้สกุลฟางจะไปร่วมแจกจ่ายอาหารที่นั่น หากว่าพวกเขาเริ่มสงสัยและคิดร้าย จื่อลู่ เจ้ารีบส่งคนของเราเฝ้าอารักขาคนของสกุลฟางให้ดี”“พระองค์ทรงหมายถึง คุณหนูฟางจะไปที่ค่ายผู้อพยพเพื่อแจกจ่ายอาหารงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้เป็นไปได้หรือพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่เพียงเท่านั้น ดูเหมือนว่านางตั้งใจจะทำมากกว่านั้น ที่ผ่านมาสตรีผู้นี้คงเก็บความลับเอาไว้มากทีเดียว”จื่อลู่ถึงกับแปลกใจเมื่อท่านอ๋องเอ่ยถึงคุณหนูใหญ่สกุลฟางแต่กับตรัสไปยิ้มไปจนจื่อลู่เริ่มไม่แน่ใจว่าผู้เป็นนายจะเริ่มกลับไปสนใจสตรีสกุลฟางผู้นี้อีกหรือไม่ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาเรียกได้ว่าไม่อยากเห็นหน้านางเสียด้วยซ้ำ“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ แล้วอย่าลืมสืบเรื
หยุนเฟยลุกขึ้นมายิ้มให้ท่านอ๋อง เขาคิดว่าเขาคงจะใจสั่นจนกระตุกต่อหน้านางเข้าสักวันหากว่านางยิ้มเช่นนี้บ่อย ๆ เขาเองไม่แน่ใจว่าจะต้านทานเสน่ห์เช่นนี้ได้อีกนานแค่ไหนกัน“เพคะ เด็กเหล่านี้ล้วนมาจากต่างที่ ไม่มีพ่อแม่ไม่มีคนคอยดูแล เรื่องการเรียนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทั้ง ๆ ที่บางคนมีพรสวรรค์แต่กลับไม่มีโอกาส”“พระองค์ลองดูสิเพคะ นั่นคือเป่าจิน เขาวาดภาพได้สวยมากแต่ไม่มีแม้แต่กระดาษกับพู่กัน เขาเคยวาดภาพนกที่หากวาดลงในกระดาษคงจะงดงามมาก ส่วนนั้นก็อาเฉิง เขาเชี่ยวชาญงานประดิษฐ์และซ่อมแซมได้ราวกับเป็นช่างคนหนึ่งได้เลย เขามักจะไปช่วยพวกทหารและบ่าวรับใช้สร้างเพิงพักสำหรับฤดูหนาวนี้”“เจ้ามิได้มาช่วยพวกเขาเพียงชั่วคราว แต่ได้ข่าวว่าเจ้ายังช่วยสอนพวกเขาเริ่มเพาะปลูกผักบางอย่างที่โตง่ายและเก็บเกี่ยวเร็วเพื่อเอาไว้ทำกินด้วย”“หากว่าเราเอาแต่ช่วยพวกเขา มิต้องช่วยไปตลอดหรือเพคะ ยิ่งพวกเขาช่วยเหลือตัวเองได้รวดเร็วเท่าใดก็จะยิ่งดีและเป็นประโยชน์กับพวกเขาเองนะเพคะ หากว่าพวกเขาได้รับจนเคยชินก็จะกลายเป็นคนขี้เกียจและงอมืองอเท้ารอแต่ความช่วยเหลือจากผู้อื่นจนไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเอง เช่นนี้ต่อให้ฝ่า
หยุนเฟยหันไปราวกับพึ่งได้ยินเรื่องที่น่าเหลือเชื่อพร้อมกับจ้องไปที่พระพักตร์ท่านอ๋อง“พระองค์ตรัสจริงหรือเพคะ เช่นนั้นที่ดินตรงนั้น”“เป็นที่ดินของข้าเอง แต่มิได้ทำประโยชน์อะไรเพราะอยู่นอกเมือง หากว่าเจ้าต้องการ….”เขาพูดต่อไม่จบเพราะรอยยิ้มที่ดีใจที่ผุดขึ้นของคนตรงหน้าทำเอาเขาใจสั่นไหวและมิอาจพูดอะไรได้เมื่อนางหันมายิ้มให้เขาอย่างนึกปลาบปลื้มใจ“หากว่าเป็นเช่นนั้นได้จริง ๆ เด็กเหล่านั้นก็มีโอกาสแล้ว หากว่าทรงมีพระกรุณาที่จะสร้าง…แต่ว่างบประมาณในการสร้างโรงเรียนน่าจะมาก เช่นนี้หม่อมฉันเองคงต้องไปรื้อของไร้ค่าเหล่านั้นเพิ่ม ใช่แล้ว...ต้องเริ่มทำเพื่อรวบรวมเงิน ไหนจะค่าแรงการสร้างอีก อุปกรณ์การเรียนการสอน”“เอ่อ…เดี๋ยวก่อน คือว่าที่ดินนั่นเป็นของข้า เช่นนั้นข้าจะช่วยสร้าง…”“ไม่ได้เพคะ เพียงแค่พระองค์ทรงมีความประสงค์จะบริจาคที่ดินให้แล้ว เพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็นพระคุณอย่างมากแล้ว จะเดือดร้อนพระองค์ให้ช่วยสร้างอีกก็ออกจะเกินไปหน่อย”“ไม่ใช่ เจ้าฟังนะเรื่องนี้ที่จริงหากจะว่าไปแล้วมันก็อยู่ในแผนการฟื้นฟูของราชสำนักหากว่าข้านำเรื่องนี้กราบทูลฝ่าบาท อย่างไรแล้วฝ่าบาทก็ต้องจัดสรรคนที่จะมาสร้า
ทั้งฟ่งลี่เซียนและชุนลี่ถิงหันมามองที่ฟางหยุนเฟยที่ยืนอึ้งอยู่ นางกำลังจะอ้าปากเถียงแต่หลีเม่ยเป็นผู้ที่พูดออกไปแทนนาง“แม่นาง ท่านจะมากล่าวหาพี่ใหญ่ข้าได้เช่นไร พวกข้ามิได้มาตั้งโดยพลการนะ พี่ใหญ่ข้าขออนุญาตท่านแม่ทัพฉินก่อนแล้วจึงมาตั้ง ท่านเองต่างหากที่ทำไม่ถูกต้องแล้วมากล่าวหาพี่ใหญ่ของข้า ท่านแม่ทัพ…”“พอแล้ว ขออภัยแม่นางฟ่งหากพวกท่านมีใจจะช่วยเหลือจริงข้าเองก็ต้องขออภัยที่เข้าใจท่านผิด เอาละ ข้าจะจัดทหารมาช่วยอำนวยความสะดวกให้พวกท่าน แต่อย่าได้พาดพิงถึงผู้อื่น แม่นางชุนข้าขอเตือนท่านเอาไว้ก่อน สกุลฟางทำการขออนุญาตมาอย่างถูกต้อง หลายวันมานี้สกุลฟางทำหลายอย่างนอกเหนือจากแจกจ่ายอาหาร คำพูดของท่านกรุณาสำรวมให้มาก”“ท่านแม่ทัพ ดูเหมือนว่าท่านดูจะชื่นชมนางยิ่งนัก หรือว่าพวกท่านทั้งสอง….มีความสัมพันธ์ที่….”“แม่นางชุน ระวังคำพูดด้วย”“สมกับเป็นตัวร้าย ปากคอเอาเรื่องแต่พูดออกมามีแต่เรื่องโง่ ๆ”“พี่ใหญ่ ท่านว่านางโง่งั้นหรือเจ้าคะ”“ใช่...เจ้าเคยเห็นคนฉลาดที่ไหนพูดเช่นนี้บ้างเล่า ไปเถอะเราดูมากพอแล้ว เสียเวลา”“ทำไมฟางหยุนเฟย เจ้าเดินหนีข้าทำไมหรือว่าทนฟังไม่ได้ ที่เจ้ามาที่นี่เพราะกลัว
หยุนเฟยหันหน้าหนีอย่างเบื่อหน่ายพร้อมกับนึกในใจ(เนี่ยแหละนะ ความเป็นพระเอก ฉันถูกเสมอทำอะไรก็ไม่สนใจใครแม้แต่ยืนด่านางเอกก็ทำ รู้ว่าบุคลิกเป็นคนปากร้ายแต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะขนาดนี้)“เจ้าคิดอะไรอยู่มานั่งนี่สิ”“เพคะ เหตุใดวันนี้ท่านอ๋องจึงมาที่นี่ได้เพคะ”“ข้า…..ย่อมมีธุระ ถึงได้มา”ที่จริงเขาหาเรื่องมาที่นี่ทุกวันนั่นแหละ เขาจะบอกได้อย่างไรว่าอยากมาเห็นหน้านาง อยากมาดูความเรียบร้อยและมาสืบเรื่องการทุจริต แต่สองข้อหลังเขาไม่จำเป็นต้องมาก็มีคนที่ทำแทนเขาอยู่แล้ว แต่ข้อแรกเป็นเหตุผลที่เขาต้องมาเกือบทุกวัน“ท่านอ๋องเพคะ”“เรื่องโรงเรียน….ใช่ เรื่องโรงเรียนน่ะ ข้าส่งฎีกาถวายฝ่าบาทไปแล้ว พรุ่งนี้หลังจากผ่านที่ประชุมราชสำนักก็คงจะมีความคืบหน้า ก็เลย…มาบอกเจ้าให้ทราบเอาไว้”“เพคะ แต่ว่าเรื่องนี้เมื่อวานนี้พระองค์บอกกับหม่อมฉันแล้วนี่เพคะ”“เอ่อ…ข้าทำหลายอย่างข้าเลยคิดว่ายังไม่ได้บอกเจ้า บางทีข้าก็ลืมไปว่าบอกไปหรือยัง เรื่องผู้อพยพมีหลายอย่างที่ต้องจัดการข้าจะจำได้อย่างไรว่าอะไรทำไปแล้วบ้าง”“แต่พระองค์ก็มีจื่อลู่ที่คอยตักเตือนนี่เพคะ”“ข้า…นี่เจ้าไม่พอใจสิ่งใดเมื่อครู่นี้ข้าช่วยเจ้าไว้ยังไม่ม
ทางด้านฉินเกาหานเมื่อพิธีทุกอย่างเสร็จสิ้นเขาก็พาหลีเม่ยเดินมายังด้านหลังและได้ยินข่าวดีของพระชายากับท่านอ๋องว่านางตั้งครรภ์“ได้ยินหรือไม่เจ้าคะ ข้าจะไปหาพี่ใหญ่”“ท่านอ๋องคงพานางกลับไปที่จวนแล้ว ยังมีเวลาอีกมากเราค่อยไปทีหลัง มานี่ก่อน”“ไปไหนเจ้าคะ”“ตามข้ามา จะพาเจ้าไปที่ที่หนึ่ง”เขาอุ้มนางขึ้นหลังม้าคู่ใจในทันที หลีเม่ยที่ไม่เคยขี่ม้าถึงกับต้องคว้ารอบคอของเจ้าม้าเอาไว้เพราะกลัวตกเมื่อเกาหานขึ้นมานั่งกับนางจึงค่อย ๆ จัดท่าให้นางใหม่“มีข้าอยู่เจ้าไม่ต้องกลัวตกหรอก จับตรงนี้อย่าไปดึงขนมันเดี๋ยวมันจะโมโห”“เดี๋ยวก่อนสิเจ้าคะ ข้าไม่เคยนั่งหลังม้า ว้าย!!”เขาพานางวิ่งออกไปทันทีเพราะผ่านเวลามานานแล้ว เขาควบทะยานออกนอกเมืองไปอย่างรวดเร็วเมื่อสิ้นทางชุมชนแล้ว หลีเม่ยหลับตาไม่กล้ามองเพราะความเร็วของม้านั้นทำให้นางตาพร่ามัวจนม้าค่อย ๆ ไต่เขาขึ้นไปนางจึงกล้าลืมตาอีกครั้ง“เราจะไปที่ใดกันเจ้าคะ”“ยอดเขานี้แหละ ไม่ไกลหรอก”“ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ”“พาเจ้าไปชื่นชมความงามของทุ่งดอกไม้ ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่มีอันตราย”“ตัวท่านต่างหากที่อันตรายต่อหัวใจข้า”“ข้าได้ยินเจ้าพูดนะหลีเม่ย”ม้าค่อย ๆ ขึ้นไปยั
ยี่สิบสองวันถัดมาหลังจากพิธีสมรสที่ยิ่งใหญ่ผ่านไปแล้ว ชาวบ้านที่หมู่บ้านฟางหมิงยังคงคึกคักไม่หยุดเพราะยังเหลืองานใหญ่อีกหนึ่งงานนั่นคือ "พิธีปักปิ่น" ของสตรีที่มีอายุครบสิบเจ็ดปีในปีนี้ ซึ่งได้รับพระราชานุญาตจากฝ่าบาทและฮองเฮาจัดขึ้นเป็นพิเศษสำหรับสตรีที่อยู่ในหมู่บ้านและในเมืองหลวงที่อยากเข้าร่วมพิธีอันทรงเกียรตินี้“อาเม่ยอยู่เฉย ๆ สิอย่าดิ้น”“ท่านแม่ผิวข้าจะแตกแล้ว โอ๊ย!!”ฟางหลีเม่ยบ่นเมื่อมารดาและอาหงซึ่งตอนนี้ต้องมาดูแลขัดผิวให้นางหลังจากจบภารกิจส่งพระชายาท่านอ๋องเข้าตำหนักไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ในจวนสกุลฟางต่างวุ่นวายเรื่องการจัดเตรียมงานปักปิ่นให้หลีเม่ยเพราะนอกจากเป็นพิธีที่เป็นทางการแล้วทุกคนต่างรู้ดีว่าเป็นงานหมั้นระหว่างนางและแม่ทัพ “ฉินเกาหาน” อีกด้วย“หากว่าหยุนเฟยเห็นว่าเจ้าแอบหนีไม่ยอมทำละก็นางจะว่าเอาได้นะ พิธีนี้สำคัญยิ่ง เจ้าดูสิแม่ทัพฉินพาคนมาจัดเตรียมมากมายเพื่อเจ้าแล้วดูเจ้าสิ”“พี่เกาหานก็ทำตามหน้าที่ งานนี้ฮองเฮาทรงเป็นผู้จัดขึ้นมาเพื่อทุกคน หาใช่ข้าคนเดียวไม่ ท่านแม่ท่านก็รู้ว่าข้ามิได้ชอบงานเช่นนี้”“เอาล่ะ ๆ อย่าบ่น”“ฮูหยินเจ้าคะ คุณหนู...เอ่อ พระชายาเสด็จ
เขาไม่รอช้าเมื่อนางถึงสวรรค์ไปก่อนด้วยนิ้วของเขา นั่นแสดงว่านางเองก็คงกลั้นความคิดถึงเอาไว้เหมือนกับเขา ร่างแกร่งสอดใส่ประสานรักกับนางอย่างรวดเร็ว คนใต้ร่างส่งเสียงร้องแข่งกับเสียงดังของร่างทั้งสองแต่ท่านอ๋องเองก็ทนได้ไม่นานเช่นกัน เขาตามนางไปติด ๆ ในเวลาไม่นาน“อาาา หยุนเฟย เพียงได้กลิ่นเจ้าข้าก็….เอาไว้แก้ตัวรอบหน้า อึ๊ยยย!!”น้ำรักอุ่น ๆ ถูกฉีดพ่นเข้าไปด้านในสุดแรง หยุนเฟยเปลี่ยนมานั่งคร่อมเขาเอาไว้ เช่นนี้ยิ่งทำให้เขาเป็นบ้าตายเพราะร่างที่งดงามและขาวดุจฝ้ายบริสุทธิ์ ผิวนุ่มลื่นดุจแพรไหมเมื่อนางเริ่มขยับเอวเพื่อควบคุมเขาทำเอาเขาแทบคลั่งตาย“อาา หยุนเฟย อย่าเร่ง ข้าจะ…แตก…อาาา”“เว่ยหราน ….อื้อ….ท่านพี่ อ๊าาา ดึงแรง ๆ แรงอีก อ๊าา”นางจับมือหนาของเขาให้มาช่วยจับหน้าอกทั้งสองของนางเพื่อเร่งจังหวะให้นาง ความเสียวเข้าเล่นงานนางจนแทบจะหลอมละลายคาเตียงไปพร้อมกับเขา ไฟรักถูกจุดขึ้นอย่างถูกที่ถูกเวลามีหรือทั้งคู่จะยอมหยุด“อ๊าา อีกไม่นานแล้ว ท่านพี่ ข้า…อ๊าา”“ก้มลงมาหน่อย ขอกินนมหน่อย อ๊าาา”“อ๊าา เว่ยหราน ทนไม่ไหว….อย่าเด้งมาถี่ หม่อมฉัน…จะ…เสร็จ…อ๊าาา”นึกไม่ถึงว่าช่วงเวลาที่ห่างกันจะสาม
ท่านอ๋องที่ท่าทีฉุนเฉียวเดินมานั่งรอพวกเขาที่โต๊ะในระเบียงก่อนจะออกไปที่สวน เขามองเห็นเถาปิ่นโตที่หลีเม่ยถือมาแล้วก็เริ่มรู้สึกอบอุ่นหัวใจมากขึ้น หรือว่าหยุนเฟยจะทำอาหารมาให้เขากันนะ“นั่นเจ้าเอาอะไรมาด้วยอาเม่ย”“พี่เขย นะ…นี่….พี่ใหญ่เกรงว่าท่านจะไม่ยอมกินข้าวก็เลย…”“เอามาให้ข้าเร็ว ๆ เข้า”เกาหานยกเถาปิ่นโตหลายชั้นส่งให้ท่านอ๋องทันทีพร้อมกับสีหน้าที่ดีขึ้นกว่าตอนที่พวกเขาเห็นก่อนหน้า นึกไม่ถึงว่าพลังแห่งรักจะทำให้ท่านอ๋องเปลี่ยนไปได้เช่นนี้ เขานึกว่าท่านอ๋องเป็นบ้าไปแล้วเสียอีก เดี๋ยวฉุนเฉียว อีกเดี๋ยวก็ยิ้มเพียงแค่เห็นเถาปิ่นโตที่ถูกส่งมาจากว่าที่เจ้าสาวของตัวเอง“เจ้าขำอะไรเกาหาน”“อะแฮ่ม กระหม่อม…มิได้ขำพ่ะย่ะค่ะ”“อย่าให้ถึงคราวเจ้าบ้างก็แล้วกัน ข้าจะรอดูเจ้าทรมาน”“ท่านอ๋องอย่าทรงขู่เช่นนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นทหารนะพ่ะย่ะค่ะ ย่อม….อดทนได้ดีพ่ะย่ะค่ะ”“หึ แล้วข้ามิใช่ทหารงั้นหรือ ข้าจะรอดูเจ้าทุรนทุราย นี่อะไรขนมที่นางทำเองงั้นหรือ มะ…มีจดหมายด้วย”“ท่านอ๋องเพคะ ยังมีนี่ด้วยเพคะ พี่ใหญ่กำชับมาว่าให้ส่งให้พระองค์….”เขารีบคว้าซองจดหมายที่อบร่ำกลิ่นมาอย่างดีพร้อมกับมองของที
สำนักศึกษา เทียนเป่าฟางหมิง เหล่าชาวบ้านกำลังเตรียมอาหารและม่านมงคลเพื่อประดับตามที่ต่าง ๆ เนื่องในวันมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกสองงานในเร็ววันนี้งานแรกคงไม่พ้นงานสมรสพระราชทานที่มีฮองเฮาเป็นเจ้าภาพ ทรงโปรดเกล้าฯให้ทั้งคู่ได้แต่งงานกันที่สำนักศึกษาและส่งตัวที่เรือนหอพระราชทานของท่านอ๋องอีกงานหนึ่งก็คือพิธีปักปิ่นของสตรีครบวัยสิบเจ็ดปี ซึ่งปีนี้ได้รับพระราชทานพิเศษจากฝ่าบาทให้จัดที่นี่เพื่อเป็นเกียรติกับเหล่าสตรีในเมืองหลวง“เร็ว ๆ เข้า ต้องทำสุดฝีมือเลยนะพวกเรา หัวไชเท้าวางตรงนี้ นั่น ๆ พวกเจ้าเอาผักกาดไปล้างเร็ว ๆ เข้าอย่าได้พลาดเชียว”“ท่านป้า เห็ดหอมนี่ได้มามากเลยให้เอาไว้ที่ใด”“เอาไปวางไว้ในครัวเลย หลานฮูหยินรออยู่เร็ว ๆ เข้า”ในโรงครัวที่สร้างขยายขึ้นชั่วคราวเริ่มวุ่นวายเมื่อของและผักสด ๆ เริ่มทยอยนำมาส่งจากแปลงผักสวนใหม่ของชาวบ้านที่อยู่ใกล้เนินเขาที่นั่นพื้นที่กว้าง อากาศดีและยังมีลำธารที่ไหลมาจากภูเขาไหลผ่าน ผักที่ปลูกจากที่นั่นทั้งโตไวและงดงามขายได้ราคา ชาวบ้านที่นี่เริ่มมีรายได้มากขึ้น อีกส่วนหนึ่งก็เริ่มมีโรงงานทอผ้ามาตั้งเพิ่มแล้วเพราะท่านเจ้าเมืองเริ่มอนุญาตให้ขยายที
“หม่อมฉันหิวแล้วเพคะ”“อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือไม่”“หม่อมฉันอยากทำบะหมี่กินเองเพคะ”“เจ้ายังลุกไหวงั้นหรือ ให้คนทำให้ดีกว่าหรือไม่”“แต่หม่อมฉันอยากทำบะหมี่ให้พระองค์เสวย ที่นี่เป็นเรือนหอของเรามิใช่หรือเว่ยหราน หม่อมฉันอยากทำหน้าที่ภรรยาที่ดีบ้าง”“อืม…เช่นนั้นข้าจะไปช่วยเจ้า เราช่วยกันทำดีหรือไม่”“พระองค์ทำเป็นหรือเพคะ”“ก็…ช่วยเจ้านวดแป้งก็พอได้ ข้าแรงเยอะนะ แม้ว่าจะถูกเจ้าดูดพลังไปมากก็ยังพอมีเหลืออยู่”“เช่นนั้นก็ได้เพคะ”ห้องครัวหยุนเฟยพึ่งค้นพบความสุขที่เรียบง่ายที่สุดที่นางเคยเฝ้ารอมาทั้งชีวิต การทำบะหมี่ให้คนที่รักกินและได้ทำครัวร่วมกัน สอนท่านอ๋องนวดแป้งเพื่อทำบะหมี่สำหรับพวกเขาสองคน“แรงกว่านี้หน่อยสิ ไหนท่านบอกว่าแรงยังเหลืออยู่อย่างไรเพคะ”“ก็เจ้าไม่ได้บอกนี่ว่าต้องนวดท่าเดียวนี่นานขนาดนี้ วันนั้นฮูหยินกับพวกท่านป้าทำอย่างไรกันนะ มีความอดทนกันเกินไปแล้ว งานเช่นนี้ไม่เหมาะกับข้าจริง ๆ”“เว่ยหราน ท่านรับปากแล้วว่าจะทำ”“ข้าก็ไม่ไ่ด้บอกว่าจะไม่ทำเสียหน่อย มานี่หน่อยสิมีอะไรติดหน้าเจ้าแน่ะ”หยุนเฟยเดินเข้าไปหาเขาและโดนท่านอ๋องขโมยจูบไปอีกครั้ง หยุนเฟยยอมให้เขาจูบเพราะกลัวว
ท่านอ๋องหันมามองหน้านางที่ยิ้มอย่างจริงใจพร้อมกับเดินเข้ามาเบียดกายจนชิดเขา ท่านอ๋องลอบกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ ท่าทางที่น้อยใจนางเมื่อครู่ลดลงราวกับไม่เคยเกิดขึ้น แต่เขาจะไม่ให้อภัยนางง่าย ๆ หรอก“อย่าเลย วันนี้เย็นแล้ว ข้าพาเจ้ากลับ…หยุนเฟย เจ้าจะไปไหน”นางเดินนำเขาเข้าไปด้านใน ในเมื่อเขายืนยันจะกลับแต่หากนางเดินเข้ามาเขาก็ไม่กล้าขัดใจนางหรอก หยุนเฟยเดินสำรวจทีละห้องอย่างพอใจแต่ก็ติติงเกี่ยวกับการจัดห้องและเริ่มบอกกับท่านอ๋องให้โยกย้ายบางอย่างจนท่านอ๋องนึกแปลกพระทัยขึ้นมา“โต๊ะนี่ตั้งตรงนี้ไม่เหมาะ เวลาแดดส่องจะทำงานไม่ได้แม้ว่าแสงจะส่งมาเพียงพอ กลับอีกทางจะดีกว่า ม่านตรงนี้เอาออกเพราะมันจะพัดออกไปและดึงเศษใบไม้เข้ามา โคมไฟนี่เอามาตั้งตรงนี้ได้เช่นไรเพคะ เสี่ยงมากเวลาลมพัดแรงอาจจะทำให้ไฟไหม้ขึ้นได้ เอาออกมา”ท่านอ๋องต้องรีบยกของที่นางชี้ทีละอย่างและโยกย้ายจนกว่านางจะพอใจเพราะวันนี้เขาไม่ได้พาจื่อลู่มาด้วย เขาเลยต้องเหนื่อยยกเองทีละอย่างจนเดินมาถึงในห้องบรรทมที่ถูกจัดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ที่นี่เป็นที่เดียวที่หยุนเฟยไม่สั่งให้ท่านอ๋องย้ายอย่างอื่นไป“หม่อมฉันเหนื่อยแล้วเพคะขอพักสักครู่”“ข
“ว่าอย่างไรนะเพคะ ช่างเด็ดขาดนัก”“หยุนเฟย คดีนี้เป็นคดีอุกฉกรรจ์รุนแรงและโหดเหี้ยมอีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับคนในราชวงศ์ และคนร้ายยังเป็นถึงพระสนมด้วย ฝ่าบาทไม่มีทางปล่อยเอาไว้นานหรอก”“แต่ว่าท่านพ่อเจ้าคะ เช่นนี้แล้วสกุลชุนจะยอมหรือเจ้าคะ”“แม้แต่ใต้เท้าชุนเหลียงบิดาของนางยังถูกลดขั้นเหลือเพียงขุนนางขั้นสี่จากตำแหน่งรองเจ้ากรมขุนนาง ครั้งนี้ฝ่าบาทเห็นว่าเขาเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์และไม่ได้รู้เห็นกับบุตรสาวจึงยังไม่ปลดเขาออกก็นับว่าโชคดี"“จบสิ้นจริง ๆ สักทีสินะ”ท่านอ๋องหันไปมองหน้าท่านราชครู เขายิ้มและพยักหน้ากลับคืนมาให้ท่านอ๋องจึงได้กล่าวออกมา“เรื่องทุกอย่างคลี่คลายแล้ว พวกเราเองก็คงต้องเตรียมตัวแล้วนะหยุนเฟย”“เตรียมตัวหรือเพคะ”“ใช่ พ่อพึ่งออกมาจากวัง ฝ่าบาทแจ้งว่าฮองเฮาทรงโปรดปรานเจ้ามากหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นในวัง รับสั่งว่าจะเป็นประธานเปิดสำนักศึกษาแห่งใหม่และให้เจ้าดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่”“จริงหรือเจ้าคะ ข้าจะได้เป็น….อาจารย์ใหญ่เลยหรือเจ้าคะ”“ใช่ จากนี้เจ้าต้องตั้งใจ อย่าทำให้ฝ่าบาทและฮองเฮาทรงผิดหวัง”“เจ้าค่ะท่านพ่อลูกสัญญาว่าจะตั้งใจเจ้าค่ะ”“อีกอย่าง ข้าเองก็ขอให้ฝ่าบาทเร
“จำได้สิเพคะ ก็หม่อมฉันบอกแล้วว่าจะหาวิธีที่จะทำให้พระสนมเว่ยและชุนลี่ถิงสารภาพความผิด หม่อมฉันจึงแกล้งว่าผีของจางเหมยลั่วเข้าสิงและบีบให้นางพูดก็ได้ผลมิใช่หรือเพคะ ชุนลี่ถิงกลัวจนยอมพูดออกมาแล้วจากนั้นหม่อมฉันก็สลบไป”ท่านอ๋องมองนางและรู้สึกเป็นห่วงนางอย่างมาก แม้ว่านางจะเล่ามาเช่นนี้นั่นแสดงว่าหลังจากเรื่องนี้แล้วนางไม่รู้สึกตัวเลยงั้นหรือ หยุนเฟยราวกับรู้ว่าต้องเกิดเรื่องที่ผิดปกติขึ้นแน่หลังจากที่นางสลบไปแล้ว“เว่ยหรานหรือว่าหลังจากที่หม่อมฉันสลบไป ยังมีอะไรเกิดขึ้นอีกงั้นหรือเพคะ”“นี่เจ้า….มิได้แกล้งเป็นฟ่งลี่เซียน ต่อจากที่….”“ฟ่งลี่เซียน!! ไม่นะเพคะก็เราตกลงกันแค่ว่าหม่อมฉันแกล้งเป็นเพียงจางเหมยลั่วเท่านั้นและนางก็สารภาพแล้วนี่เพคะ”ท่านอ๋องรีบดึงนางเข้ามากอดด้วยความกลัวที่ผุดขึ้นมาอีกครั้ง โชคดีมากจริง ๆ ที่นางไม่เป็นอะไรไป โชคดีที่ฟางหยุนเฟยแค่มาลาเท่านั้นและฟ่งลี่เซียนเพียงแค่ต้องการมาแก้แค้นชุนลี่ถิงโดยผ่านร่างของนาง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องจะกลับกลายเป็นเช่นนี้ การที่เขาและท่านราชครูยอมให้นางแสดงละครเพื่อจับคนร้ายแต่ผลที่ตามมากลับน่ากลัวเกินคาดเดา หากรู้เช่นนี้คงไม่ยอม