หยุนเฟยลุกขึ้นมายิ้มให้ท่านอ๋อง เขาคิดว่าเขาคงจะใจสั่นจนกระตุกต่อหน้านางเข้าสักวันหากว่านางยิ้มเช่นนี้บ่อย ๆ เขาเองไม่แน่ใจว่าจะต้านทานเสน่ห์เช่นนี้ได้อีกนานแค่ไหนกัน“เพคะ เด็กเหล่านี้ล้วนมาจากต่างที่ ไม่มีพ่อแม่ไม่มีคนคอยดูแล เรื่องการเรียนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทั้ง ๆ ที่บางคนมีพรสวรรค์แต่กลับไม่มีโอกาส”“พระองค์ลองดูสิเพคะ นั่นคือเป่าจิน เขาวาดภาพได้สวยมากแต่ไม่มีแม้แต่กระดาษกับพู่กัน เขาเคยวาดภาพนกที่หากวาดลงในกระดาษคงจะงดงามมาก ส่วนนั้นก็อาเฉิง เขาเชี่ยวชาญงานประดิษฐ์และซ่อมแซมได้ราวกับเป็นช่างคนหนึ่งได้เลย เขามักจะไปช่วยพวกทหารและบ่าวรับใช้สร้างเพิงพักสำหรับฤดูหนาวนี้”“เจ้ามิได้มาช่วยพวกเขาเพียงชั่วคราว แต่ได้ข่าวว่าเจ้ายังช่วยสอนพวกเขาเริ่มเพาะปลูกผักบางอย่างที่โตง่ายและเก็บเกี่ยวเร็วเพื่อเอาไว้ทำกินด้วย”“หากว่าเราเอาแต่ช่วยพวกเขา มิต้องช่วยไปตลอดหรือเพคะ ยิ่งพวกเขาช่วยเหลือตัวเองได้รวดเร็วเท่าใดก็จะยิ่งดีและเป็นประโยชน์กับพวกเขาเองนะเพคะ หากว่าพวกเขาได้รับจนเคยชินก็จะกลายเป็นคนขี้เกียจและงอมืองอเท้ารอแต่ความช่วยเหลือจากผู้อื่นจนไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเอง เช่นนี้ต่อให้ฝ่า
หยุนเฟยหันไปราวกับพึ่งได้ยินเรื่องที่น่าเหลือเชื่อพร้อมกับจ้องไปที่พระพักตร์ท่านอ๋อง“พระองค์ตรัสจริงหรือเพคะ เช่นนั้นที่ดินตรงนั้น”“เป็นที่ดินของข้าเอง แต่มิได้ทำประโยชน์อะไรเพราะอยู่นอกเมือง หากว่าเจ้าต้องการ….”เขาพูดต่อไม่จบเพราะรอยยิ้มที่ดีใจที่ผุดขึ้นของคนตรงหน้าทำเอาเขาใจสั่นไหวและมิอาจพูดอะไรได้เมื่อนางหันมายิ้มให้เขาอย่างนึกปลาบปลื้มใจ“หากว่าเป็นเช่นนั้นได้จริง ๆ เด็กเหล่านั้นก็มีโอกาสแล้ว หากว่าทรงมีพระกรุณาที่จะสร้าง…แต่ว่างบประมาณในการสร้างโรงเรียนน่าจะมาก เช่นนี้หม่อมฉันเองคงต้องไปรื้อของไร้ค่าเหล่านั้นเพิ่ม ใช่แล้ว...ต้องเริ่มทำเพื่อรวบรวมเงิน ไหนจะค่าแรงการสร้างอีก อุปกรณ์การเรียนการสอน”“เอ่อ…เดี๋ยวก่อน คือว่าที่ดินนั่นเป็นของข้า เช่นนั้นข้าจะช่วยสร้าง…”“ไม่ได้เพคะ เพียงแค่พระองค์ทรงมีความประสงค์จะบริจาคที่ดินให้แล้ว เพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็นพระคุณอย่างมากแล้ว จะเดือดร้อนพระองค์ให้ช่วยสร้างอีกก็ออกจะเกินไปหน่อย”“ไม่ใช่ เจ้าฟังนะเรื่องนี้ที่จริงหากจะว่าไปแล้วมันก็อยู่ในแผนการฟื้นฟูของราชสำนักหากว่าข้านำเรื่องนี้กราบทูลฝ่าบาท อย่างไรแล้วฝ่าบาทก็ต้องจัดสรรคนที่จะมาสร้า
ทั้งฟ่งลี่เซียนและชุนลี่ถิงหันมามองที่ฟางหยุนเฟยที่ยืนอึ้งอยู่ นางกำลังจะอ้าปากเถียงแต่หลีเม่ยเป็นผู้ที่พูดออกไปแทนนาง“แม่นาง ท่านจะมากล่าวหาพี่ใหญ่ข้าได้เช่นไร พวกข้ามิได้มาตั้งโดยพลการนะ พี่ใหญ่ข้าขออนุญาตท่านแม่ทัพฉินก่อนแล้วจึงมาตั้ง ท่านเองต่างหากที่ทำไม่ถูกต้องแล้วมากล่าวหาพี่ใหญ่ของข้า ท่านแม่ทัพ…”“พอแล้ว ขออภัยแม่นางฟ่งหากพวกท่านมีใจจะช่วยเหลือจริงข้าเองก็ต้องขออภัยที่เข้าใจท่านผิด เอาละ ข้าจะจัดทหารมาช่วยอำนวยความสะดวกให้พวกท่าน แต่อย่าได้พาดพิงถึงผู้อื่น แม่นางชุนข้าขอเตือนท่านเอาไว้ก่อน สกุลฟางทำการขออนุญาตมาอย่างถูกต้อง หลายวันมานี้สกุลฟางทำหลายอย่างนอกเหนือจากแจกจ่ายอาหาร คำพูดของท่านกรุณาสำรวมให้มาก”“ท่านแม่ทัพ ดูเหมือนว่าท่านดูจะชื่นชมนางยิ่งนัก หรือว่าพวกท่านทั้งสอง….มีความสัมพันธ์ที่….”“แม่นางชุน ระวังคำพูดด้วย”“สมกับเป็นตัวร้าย ปากคอเอาเรื่องแต่พูดออกมามีแต่เรื่องโง่ ๆ”“พี่ใหญ่ ท่านว่านางโง่งั้นหรือเจ้าคะ”“ใช่...เจ้าเคยเห็นคนฉลาดที่ไหนพูดเช่นนี้บ้างเล่า ไปเถอะเราดูมากพอแล้ว เสียเวลา”“ทำไมฟางหยุนเฟย เจ้าเดินหนีข้าทำไมหรือว่าทนฟังไม่ได้ ที่เจ้ามาที่นี่เพราะกลัว
หยุนเฟยหันหน้าหนีอย่างเบื่อหน่ายพร้อมกับนึกในใจ(เนี่ยแหละนะ ความเป็นพระเอก ฉันถูกเสมอทำอะไรก็ไม่สนใจใครแม้แต่ยืนด่านางเอกก็ทำ รู้ว่าบุคลิกเป็นคนปากร้ายแต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะขนาดนี้)“เจ้าคิดอะไรอยู่มานั่งนี่สิ”“เพคะ เหตุใดวันนี้ท่านอ๋องจึงมาที่นี่ได้เพคะ”“ข้า…..ย่อมมีธุระ ถึงได้มา”ที่จริงเขาหาเรื่องมาที่นี่ทุกวันนั่นแหละ เขาจะบอกได้อย่างไรว่าอยากมาเห็นหน้านาง อยากมาดูความเรียบร้อยและมาสืบเรื่องการทุจริต แต่สองข้อหลังเขาไม่จำเป็นต้องมาก็มีคนที่ทำแทนเขาอยู่แล้ว แต่ข้อแรกเป็นเหตุผลที่เขาต้องมาเกือบทุกวัน“ท่านอ๋องเพคะ”“เรื่องโรงเรียน….ใช่ เรื่องโรงเรียนน่ะ ข้าส่งฎีกาถวายฝ่าบาทไปแล้ว พรุ่งนี้หลังจากผ่านที่ประชุมราชสำนักก็คงจะมีความคืบหน้า ก็เลย…มาบอกเจ้าให้ทราบเอาไว้”“เพคะ แต่ว่าเรื่องนี้เมื่อวานนี้พระองค์บอกกับหม่อมฉันแล้วนี่เพคะ”“เอ่อ…ข้าทำหลายอย่างข้าเลยคิดว่ายังไม่ได้บอกเจ้า บางทีข้าก็ลืมไปว่าบอกไปหรือยัง เรื่องผู้อพยพมีหลายอย่างที่ต้องจัดการข้าจะจำได้อย่างไรว่าอะไรทำไปแล้วบ้าง”“แต่พระองค์ก็มีจื่อลู่ที่คอยตักเตือนนี่เพคะ”“ข้า…นี่เจ้าไม่พอใจสิ่งใดเมื่อครู่นี้ข้าช่วยเจ้าไว้ยังไม่ม
หมิงเว่ยหรานเดินออกมาตรงหน้าพระพักตร์พร้อมกับกราบทูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องเมื่อวานนี้โดยมีฉินเกาหานที่เข้าประชุมในวันนี้ช่วยเป็นพยานในเหตุการณ์ได้ดี“เป็นดังที่ท่านอ๋องตรัสมาทุกประการพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นผู้ที่เฝ้าดูแลความเรียบร้อยอยู่ที่นั่น เพียงแค่เดินไปสอบถามพวกนางเท่านั้น แต่บุตรีสกุลชุนผู้นั้น เป็นผู้หาเรื่องคุณหนูใหญ่สกุลฟางก่อนพ่ะย่ะค่ะ”“เรื่องไร้สาระเช่นนี้ ไม่น่าจะมาถึงพระพักตร์ฝ่าบาทได้เลย เพราะเมื่อวานนี้ท่านแม่ทัพฉินและกระหม่อมอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย นึกไม่ถึงว่าสองสกุลที่มิได้ทำตามขั้นตอน เพียงแค่ถูกต่อว่าไม่กี่คำถึงกลับกล้านำเรื่องนี้มาทูลให้ระคายพระทัย ช่างไม่รู้จักกาลเทศะไม่สมกับตำแหน่งและความไว้เนื้อเชื่อพระทัยจริง ๆ”“ท่านอ๋อง!! พระองค์ตรัสเช่นนี้หรือว่าพระองค์ก็เห็นว่าหลานสาวของกระหม่อม…แส่ไม่เข้าเรื่องงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”“พวกท่านย่อมรู้ดีแก่ใจ หากอยากช่วยเหลือจริง ๆ ท่านแม่ทัพฉินก็แจ้งแล้วว่าสามารถทำได้มิได้ขัดข้อง แต่ขอให้แจ้งผู้ดูแลพื้นที่ตรงนั้นเพื่อเลี่ยงความวุ่นวายและเขาจะได้นำทหารส่วนหนึ่งมาดูแลเพื่อให้เกิดความเรียบร้อย เรื่องนี้ท่านเสนาบดี ไม่เข้าใจตรง
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ คือว่า….”“ข้าสั่ง!! เจ้าไม่ได้ยินหรือ”“พ่ะย่ะค่ะ”จื่อลู่เดินคอตกลงมาจากรถม้าพร้อมกับมองรถม้าที่เคลื่อนตัวออกไป นี่เพราะเขาที่เสียนิสัยปากไวไปหน่อย “เฮ้อ เรื่องบางเรื่องควรคิดแค่ในใจสินะ คนปากแข็งอย่างท่านอ๋องมีหรือจะยอมรับว่าชอบคุณหนูฟาง”สองสามวันมานี้ท่านอ๋องไม่ได้ไปที่ค่ายผู้อพยพเลย แม้ว่าหยุนเฟยจะรอฟังข่าว และบางเรื่องฉินเกาหานก็บอกเล่าให้นางฟังทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นในท้องพระโรงและเรื่องของขุนนางที่ถูกสั่งปลด อีกทั้งเรื่องของสกุลฟ่งที่ถูกสั่งให้มาประจำการที่นี่เพื่อรักษาคน ซึ่งเพราะคำสั่งนี้ ฟ่งลี่เซียนจึงจำเป็นต้องมานั่งตรวจรักษาคนที่นี่ทุกวัน“คนต่อไป”“สวยมากจริง ๆ นางเอกนี่เนอะ ดูสิขนาดเช็ดเหงื่อยังสวยเลย”ฟางหยุนเฟยเดินเอาน้ำมาให้ฟ่งลี่เซียน นางอดจะชื่นชมความงามของนางเอกในนิยายผู้นี้ไม่ได้เลยจริง ๆ เพราะนางทั้งสวยและยิ้มเก่งมีน้ำใจกับผู้ประสบภัย นี่คือนางเอกตัวจริง ส่วนนางก็ยังเล่นบทตัวประกอบต่อไปเพื่อความปลอดภัยของชีวิตของตนเอง“แม่นางฟ่ง พักดื่มน้ำก่อนเถอะ”“แม่นางฟาง….ขอบคุณนะ เจ้ามาทำอะไรที่นี่”“แวะมาหาคนสวย…อุ่ย แวะมาหาเจ้าอย่างไรเล่า เจ้าตรวจคนมาค
ท่านอ๋องรวบตัวฟ่งลี่เซียนขึ้นมาและพาเข้าไปพักที่เพิงใกล้ ๆ และให้คนมาช่วยดูอาการของนาง“ลี่เซียน เร็ว ๆ เข้าเอายาดมมาให้นางหน่อย”เขาเดินเลี่ยงออกมาเล็กน้อยแต่ลี่เซียนที่เริ่มรู้สึกตัวดึงชายเสื้อของท่านอ๋องเอาไว้ได้ทัน“ท่าน…ท่านอ๋องเพคะ”“เจ้าพักก่อนเถอะ อย่ามุงนางมากให้นางมีอากาศหายใจหน่อย”ลี่เซียนดมยาอยู่แต่มือก็จับชายแขนเสื้อของท่านอ๋องเอาไว้แน่นจนเขาเดินไปที่ใดไม่ได้ หยุนเฟยและฉินเกาหานได้ยินว่าฟ่งลี่เซียนเป็นลมจึงรีบวิ่งมาดูอาการของนางกลับพบว่าท่านอ๋องนั่งอยู่ข้าง ๆ นาง หยุนเฟยพึ่งจะได้พบเขาวันนี้นี่เองทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้รับปากเรื่องการขอสร้างโรงเรียนให้นาง แต่เมื่อมองไปเช่นนี้ พระเอกและนางเอกในนิยายสุดท้ายก็ต้องรักและลงเอยกัน แต่เหตุใดนางจึงได้รู้สึกเจ็บแปลบ ๆ ที่หัวใจเมื่อเห็นพวกเขานั่งด้วยกัน“เห็นว่าคุณหนูฟ่งเป็นลม ตอนนี้ปลอดภัยแล้วหรือไม่”“นางปลอดภัยแล้ว”“ขอบพระทัยท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมดูแลไม่ทั่วถึงจึงเกิดเรื่องขึ้น”“อย่าโทษตัวเองเลย เรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันว่าแต่พวกเจ้าไปที่ใดกันมา”“กระหม่อมพาหยุนเฟยไปดูโรงเรียนสำหรับเด็ก ๆ ที่พึ่งสร้างเสร็จ อยู่ที่
“ข้าก็พูดตามบทกวีนิยายที่อ่านมาเท่านั้นเองเจ้าค่ะ โอ๊ย อาหงข้าเจ็บเจ้าจะขูดจนเนื้อหลุดเลยหรืออย่างไร ท่านน้าพอเถอะข้าแสบไปหมดแล้วเจ้าค่ะ”“อีกหน่อย ยังไม่เสมอกันเลย”“เฮ้อ….”งานชมดอกท้อ วังหลวง “ท่านพ่อ เหตุใดท่านจึงไม่มากับท่านน้าแค่สองคนกันนะ ข้าไม่ได้อยากมาด้วยเสียหน่อยดูสิคนตั้งมากมาย”“หยุนเฟยอย่าเสียมารยาท อีกเดี๋ยวเจ้าก็อยู่กับอี้เหนียงแล้วอย่าก่อเรื่องวุ่นวายเล่าเข้าใจหรือไม่”“ท่านพี่ หยุนเฟยไม่เคยก่อเรื่องนะเจ้าคะ”“เฮอะ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียวเอาล่ะ ฝากเจ้าดูแลนางด้วยข้าต้องไปคุยกับเหล่าขุนนางด้านโน้นก่อน”“เจ้าค่ะ”“ทำหน้าให้ดี ๆ หน่อยเจ้าดูสิ มีผู้ใดทำหน้าหงิกตั้งแต่ยังไม่เริ่มเข้างานเช่นเจ้ากัน”“ท่านน้ายังมาถามข้าอีก ท่านกับอาหงแล้วก็แม่นมจับข้าแช่น้ำขัดตัวจนตัวแสบไปหมดแล้วยังให้ข้ามาปั้นหน้ายิ้มอีกหรือเจ้าคะ ใจร้ายชะมัดเลย”“หยุนเฟย !!”“พี่เกาหาน”“มาแล้วงั้นหรือ คารวะฮูหยิน”“ท่านแม่ทัพ”“ข้ารออยู่นานเลยฮูหยินเชิญทางนี้ขอรับ"“ขอบคุณท่านแม่ทัพ ไปเถอะหยุนเฟย”“เฮ้อ โชคดีที่ท่านอยู่แถวนี้นะ มิเช่นนั้น…”“ท่านแม่ทัพฉิน”“อ้อ แม่นางฟ่ง”“นางเอกมาจนได้ ท่านน้าเราไป
ท่านอ๋องงุนงงกับคำพูดที่หยุนเฟยพูดออกมาในยามนี้ แม้ว่าเขาจะจับใจความได้เป็นบางคำแต่ก็นึกสงสัยว่านางเป็นเช่นนี้เพราะเมาหรือว่านางพูดเพราะต้องการบอกอะไรกันแน่ เหตุใดนางต้องตายด้วยเล่า เขานึกแปลกใจเสียจริง ๆ“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน เหตุใดเป็นเช่นนี้นะ ดื่มแค่จอกเดียวเองจื่อลู่ เร็วเข้าข้าจะอุ้มนางขึ้นไป ปล่อยให้เดินเช่นนี้คงไปได้ไม่ถึงไหนแน่”“พ่ะย่ะค่ะ”เป็นดังที่ท่านอ๋องกล่าวเอาไว้ หยุนเฟยเดินไม่ตรงและยังเดินก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและถอยอีกสามก้าวจนเขาเริ่มเหนื่อย เมื่อพ้นจากตำหนักจึงตัดสินใจอุ้มนางขึ้นรถม้าเพื่อพากลับไปยังจวนท่านราชครู เมื่อขึ้นบนรถม้าได้ นางก็เริ่มก่ายกอดท่านอ๋อง ขาเริ่มปาดป่ายไปทั่วเพราะความเมา“ร้อน ร้อนจังเลย ถอด….ถอดเสื้อออก”“หยุนเฟย เจ้าอยู่นิ่ง ๆ สิ”“ไม่เอา ถอดออกสิ ท่านไม่ถอดข้าถอดเอง!!”ฟางหยุนเฟยเริ่มถอดชุดของตนเองออกและเริ่มใช้มือลามเลื้อยไปที่ไหล่ของท่านอ๋องจนเขาเริ่มแปลกใจ“หยุนเฟย อย่านะ หากเจ้าทำเช่นนี้ข้าจะ….”ท่านอ๋องเองก็รู้สึกแปลก ๆ ไปเมื่อถูกนางสัมผัสร่างกายเช่นนี้แล้วรู้สึกว่าเขาเองก็เริ่มร้อนเหมือนนางและเริ่มมองไปทั่ว ทั้งร่องอกลึกที่นางเริ่มถอด
“พี่หญิง ท่านอย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ ท่านจะพูดสิ่งใดก็ต้องไว้พระพักตร์องค์ชายหกบ้าง”“เหอะ เจ้าคิดว่าข้าไม่คิดงั้นหรือ มานี่เถอะ แต่เจ้าดูเขาสิ วัน ๆ ไม่เอาอะไรเลย การบ้านการเมืองไม่สนเอาแต่ดื่มสุรากับคลุกคลีอยู่กับเหล่าสตรี นี่หากว่าข้าไม่อดทนเพราะตำแหน่งพระชายาข้าคงไปนานแล้ว”“แต่ท่านเป็นถึงพระชายาองค์ชาย สตรีเหล่านั้นจะมาข้ามหน้าท่านได้เช่นไร”“พวกนางไม่กล้า แต่ใช่ว่าองค์ชายจะสนข้านี่ ข้ายังไม่มีทายาท และถึงแม้จะมีก็ไม่ทันแล้วเพราะองค์รัชทายาทและองค์ชายรอง พระชายาของพวกเขาล้วนให้กำเนิดพระโอรส และยิ่งท่านตาทำเรื่องเช่นนี้ ข้าเองก็….”“ข้าไม่มีทางยอมแพ้แค่นี้แน่”พระชายาหกหันมามองใบหน้าและสายตาที่กร้าวแข็งของน้องสาว สายตาเช่นนี้นางไม่เคยเห็นมาก่อน นางรู้สึกเย็นวาบจนขนลุก แต่เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้นเพราะว่านางหันมายิ้มให้อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ“พี่หญิง ข้ามีเรื่องไหว้วานให้ท่านช่วยเจ้าค่ะ”“เรื่องใดงั้นหรือ”“ตามข้ามาทางนี้เถิดเจ้าค่ะ”พระชายาพานางเข้าไปด้านในตำหนักเป็นการชั่วคราว แม่ทัพฉินที่รอนางอยู่ด้านนอกเมื่อเห็นว่านางหายเข้าไปกับพระชายาจึงได้หาที่นั่งซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ท่านอ๋อ
“หยุนเฟย เจ้า…พูดอะไรนะ”“หม่อมฉันบอกว่านางถูกโบยสิบไม้ยังน้อยไปเพคะ กล้าดีเช่นไรมาพูดเช่นนั้น”“นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโกรธนางเพียงเรื่องแค่นี้ ทีเรื่องที่นางดูถูกเจ้าก่อนหน้านี้กลับไม่สนใจ”“หม่อมฉันไม่ชอบให้ผู้ใดมาพูดเช่นนี้ทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้มิได้เป็นความจริง หม่อมฉันเสียหาย อีกทั้งแม่ทัพฉินก็เสียหาย ยิ่งกว่านั้นพระองค์ก็เสียหายเพราะจะถูกมองว่าหม่อมฉันเป็นพวกหลอกลวง”“ข้าแยกแยะเป็นนะ เรื่องของเจ้ากับเกาหานข้าเคยคุยกับเขาหลายรอบแล้ว และตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะมิได้มีเวลาสนใจเจ้าหรอกนะ”“พระองค์ทรงหมายความว่าอย่างไรเพคะ”“ก็เห็นเขาเล่าว่าเขาไปเยี่ยมแม่นางฟ่งผู้นั้นบ่อย ๆ”“แม่นางฟ่งงั้นหรือเพคะ”“ใช่ แม่นางฟ่งผู้นั้นแหละ”“พวกเขา…..”“ข้าเองก็ไม่รู้ความคิดของเกาหานหรอกนะ แต่เขาก็เข้า ๆ ออก ๆ จวนของนางบ่อย ๆ ข้าคิดว่าเขาอาจจะมีใจให้นาง แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ข้าไหว้วานบางอย่างก็เถอะ”หากเป็นดังที่ท่านอ๋องตรัสจริง ๆ อย่างน้อยเรื่องราวในนิยายก็มีอยู่ส่วนหนึ่งที่ยังไม่ต่างจากต้นฉบับ นั่นคือพระรองที่มีใจรักนางเอกและคอยดูแลนางอยู่เสมอ ซึ่งในตอนนี้ฉินเกาหานก็กำลังเป็นเช่นนั้น“ไม่ถูกสิ หากว่าพระรอง
ฟางหยุนเฟยหันมามองพระพักตร์ท่านอ๋องอย่างนึกแปลกใจ นางไม่เห็นหน้าเขามาสองวันแล้วแต่เหตุใดวันนี้เขาจึงมาที่นี่ได้กันนะ“ท่านอ๋อง แต่ว่าเด็ก ๆ เลิกเรียนไปหมดแล้วนะเพคะ”“ข้าถามเจ้าว่าข้าจะเลือกได้หรือไม่”“พระองค์จะเลือกป้ายไหนเพคะ”ท่านอ๋องหันไปมองและพิจารณาดู หยุนเฟยมองเขาด้วยนึกแปลกใจระคนดีใจเล็กน้อยที่เห็นเขาในวันนี้ เขาชี้ไปยังป้ายรูปหัวใจสีแดงที่ถูกระบายสีเอาไว้ หยุนเฟยหันไปมองคนตรงหน้าที่อ้าแขนทั้งสองข้างให้นางเหมือนกับที่เด็ก ๆ ทำ“ท่านอ๋องเพคะ อย่าทำรุ่มร่ามแถวนี้สิเพคะ”“แต่ข้าเลือกแล้วเจ้าเป็นอาจารย์เจ้าจะทำผิดคำพูดงั้นหรือ”“เหตุใดวันนี้ถึงมาที่นี่ได้เล่าเพคะ”“ไปที่ห้องพักของเจ้าเถอะข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง”“เพคะ”หยุนเฟยเก็บของและยกออกมาเพื่อจะเดินเอาไปเก็บในห้อง ท่านอ๋องดึงของจากมือนางเอามาถือเอาไว้“เจ้าเดินไปเถอะของพวกนี้ข้าถือไปให้เอง”“ขอบพระทัยเพคะ”เขาเดินยิ้มตามนางไปจนถึงในห้องพัก เมื่อวางของลงได้เขาก็รวบตัวนางเข้ามากอดในทันทีพร้อมกับขโมยหอมแก้มนางไม่ยั้งจนนางบิดกายหนีเป็นพัลวัน“ท่านอ๋องเพคะ เดี๋ยวก่อน”“คิดถึงเจ้ามากที่สุด ข้าเลือกแล้วนี่เจ้าจะไม่ให้ข้ากอดงั้นหรือ”“พ
ท่านเจ้าเมืองทรุดตัวลงที่โต๊ะทำงานอย่างหมดแรง ท่านอ๋องรู้ว่าเขาจงใจทำร้ายบุตรสาวเพื่อที่จะกันนางออกจากวงสนทนา แต่เขากลับไม่คิดว่าท่านอ๋องจะใจร้ายกับสตรีเช่นนี้นี่คงเป็นเพราะเรื่องที่จางเหมยลั่วบังอาจไปยุ่งกับคนของเขาเป็นแน่จึงทำให้ท่านอ๋องไม่ยอมยกโทษให้นางเช่นนี้“ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันบาดเจ็บถึงเพียงนี้….”“นั่นเป็นเพราะบิดาเจ้า มิใช่ข้าเสียหน่อยหากว่าเจ้าอยากจะคร่ำครวญก็ไปคุยกับบิดาของเจ้า แต่ธุระที่ข้าจะพูดยังไม่จบเจ้าก็ยังไปไหนไม่ได้ ท่านเจ้าเมืองจะหาผู้ใดมาทำแผลให้นางหน่อยหรือไม่”“เชิญพระองค์ตรัสมาให้จบเถิดเพคะ”สายตาของจางเหมยลั่วที่มองมายังท่านอ๋องทั้งน้อยใจและโกรธแต่ก็กลัวด้วยเพราะนางเองก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะใจร้ายถึงเพียงนี้ แม้ว่านางบาดเจ็บอยู่ตรงหน้าเขาก็ยังไม่แม้แต่จะถามไถ่อาการด้วยซ้ำไป“เช่นนั้นข้าจะไม่เสียเวลา ท่านเจ้าเมืองวันนี้ข้าได้รับรายงานความวุ่นวายนอกเมืองจึงได้เร่งตรวจสอบ ตอนนี้เรื่องยังไม่ลุกลามและมีผู้ที่รู้เพียงไม่มากจึงเร่งเดินทางมาหาท่านก่อนเพื่อจะสะสางก่อนที่เรื่องนี้จะถูกนำขึ้นไปทูลต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทในประชุมราชสำนัก เชื่อว่าท่านที่พึ่งมาประจำการใหม่ ๆ ค
ท่านเจ้าเมืองและพ่อบ้านอิ๋นถึงกับหันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่กอย่างทำตัวไม่ถูก มีเพียงจางเหมยลั่วเท่านั้นที่รู้สึกดีใจเพราะนึกไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะเป็นผู้เสด็จมาด้วยพระองค์เองถึงที่จวน“ท่านพ่อ ท่านอ๋องต้องมาหาข้าเป็นแน่เจ้าค่ะ ข้า…”“เจ้าหุบปาก!! เจ้าภาวนาไว้ในใจขอให้ผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้เถอะ”เมื่อเขาเอ่ยจบ จางเหมยลั่วกำลังจะหันไปเถียงแต่ว่าผู้ที่เอ่ยนามเดินเข้ามาถึงด้านในห้องแล้ว เขาเดินเอามือไพล่หลังมา สีหน้าเรียบตึงและเขามิได้มาเพียงคนเดียว ท่านเจ้าเมืองเห็นพระพักตร์ของท่านอ๋องและผู้ที่ติดตามมาด้วยเขาของเขาก็แทบจะทรุดแต่ก็ต้องรีบถวายบังคม“ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“ท่านเจ้าเมืองตามสบายเถอะ มากะทันหันโดยมิได้แจ้งล่วงหน้าต้องขออภัย”“หม่อมฉันจางเหมย...…”“ข้าเข้าเรื่องเลยก็แล้วกันท่านเจ้าเมือง”ท่านอ๋องไม่รอให้นางพูดจบและไม่รับการถวายความเคารพจากจางเหมยลั่ว ทำเอาทั้งสองพ่อลูกทำหน้าไม่ถูกแต่ท่านเจ้าเมืองพอจะทราบว่าที่ท่านอ๋องเสด็จมาในเวลานี้และไม่ได้แจ้งก่อนก็พรวดพราดเข้ามาด้วยพระทัยที่ร้อนรนเช่นนี้ ต้องเกี่ยวกับบุตรสาวของเขาอย่างแน่นอน"ท่านอ๋อง เชิญพระองค์ดื่มชาก่อนเถิดเพคะ หม่อมฉัน….
ชาวบ้านเกือบทุกคนวิ่งมารายล้อมนาง รวมถึง เด็ก ๆ ที่วิ่งออกมาจากห้องเรียนเพื่อมานั่งคุกเข่าต่อหน้านางเพื่อทำความเคารพนาง“หากมิใช่ท่านที่สอนข้าวิชาคำนวณเหล่านั้น ข้าคงไม่มีวันจะอ่านออกเขียนได้และบวกเลขเป็นขอรับ”“ข้าคงไม่มีโอกาสได้วาดรูป ท่านอาจารย์ข้าเองก็ขอบคุณท่าน”“ข้าอ่านออกก็เพราะท่านอาจารย์เป็นผู้สอน อักษรตัวแรกที่ข้าเขียนได้ก็มาจากท่าน”""อาจารย์ รับคำขอบคุณนี้ไว้ด้วย""“พวกเจ้า….พวกท่าน…ทุกคน ลุกขึ้นเถอะ”ชาวบ้านพร้อมใจคำนับให้กับฟางหยุนเฟยอย่างเต็มใจพร้อมกับรอยยิ้มเปื้อนคราบน้ำตาบนแก้ม หากวันนี้จางเหมยลั่วไม่มาที่นี่ พวกเขาก็คงไม่มีโอกาสได้ปกป้องนางและไม่ได้บอกเรื่องในใจที่เก็บเอาไว้มานานเช่นนี้“พวกท่านลุกขึ้นเถอะเจ้าค่ะ เด็ก ๆ เร็ว ๆ เข้า ลุกขึ้น ๆ”“อาจารย์ฟาง อาหารที่ท่านสอนให้ข้าทำ ข้าเอาไปขายทุกวันก็เกือบไม่พอขาย พวกเราทุกคนที่นี่หากินเลี้ยงชีพได้ก็เพราะมีท่านที่เป็นผู้สอนนะเจ้าคะ”“สิ่งที่พวกเราทำไปมันไม่มากเลยขอรับอาจารย์ฟาง”“ทุกท่าน ข้าแทบจะลอยขึ้นฟ้าได้แล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณทุก ๆ คนเลยเจ้าค่ะที่เชื่อมั่นในตัวข้าเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่ข้าทำคนเดียวจะสำเร็จ ยังมีเหล่าท่าน
ฟางหยุนเฟยมองใบหน้าที่สะสวยของสตรีตรงหน้าแต่ก็ไม่คุ้นเคยและไม่คิดว่าเคยพบที่ไหนมาก่อน แต่เหตุใดนางจึงมาที่นี่ในเวลานี้กันนะ “แม่นาง ข้าขอโทษแทนพวกเขาด้วย พวกเด็ก ๆ น่ะบางทีวิ่งก็ไม่ทันได้ดู เอาเช่นนี้เจ้าตามข้าเข้าไปข้างในข้าจะทำแผลให้เจ้าและจะให้พวกเขาขอโทษเจ้าด้วยดีหรือไม่”“ไม่ต้อง ข้าเป็นบุตรสาวของท่านเจ้าเมืองคนใหม่ เจ้าควรพาคนที่นี่ทั้งหมดมาทำความเคารพข้าถึงจะถูก”หลีเม่ยและฉินเกาหานยืนอยู่หน้าโรงเรียน หลีเม่ยเห็นว่าสตรีผู้นี้อวดดีและไม่เกรงใจพี่สาวนางจึงไปช่วยแต่ท่านแม่ทัพฉินดึงแขนนางเอาไว้“ใจเย็นก่อนหลีเม่ย”“แต่นางว่าให้พี่ใหญ่ของข้านะเจ้าคะ”“เชื่อข้าเถอะ หยุนเฟยจัดการได้”“แต่ว่า…ข้าไม่ชอบเลย นางมาแอบดูอยู่ตรงนั้นแท้ ๆ แต่กลับโทษเด็ก ๆ ที่อยู่ที่นี่ แค่ขอโทษก็น่าจะจบแล้วนี่ นางยังสั่งให้พี่ใหญ่พาคนทั้งหมดมาเคารพนาง จะบ้าไปแล้วงั้นหรือ นางเป็นฮ่องเต้หรืออย่างไร”“เจ้านี่ท่าทางต่างกับพี่สาวเสียจริง ไม่ยอมผู้ใดเลยสินะ”“ท่านรู้จักข้าน้อยไปท่านแม่ทัพ”“หลีเม่ย เหตุใดเจ้าไม่เรียกข้าว่าพี่เกาหานเหมือนกับหยุนเฟยเรียกล่ะ”หลีเม่ยมองเขาแวบหนึ่งและต้องรีบหลบสายตาท่านแม่ทัพฉินในทันท
“พ่ะย่ะค่ะ”จื่อลู่หันไปหยิบเถาปิ่นโตของตนเองที่หยุนเฟยจัดมาให้เขาและค่อย ๆ เปิด เขาเองก็แอบวิตกเล็กน้อย หากว่าปิ่นโตของเขามีสิ่งใดที่แปลกกว่าอาหารของท่านอ๋อง คราวนี้ไม่รู้ว่าเขาจะอดกินอาหารปิ่นโตนี้เลยหรือไม่ หากรู้ว่าท่านอ๋องจะขี้หึงถึงเพียงนี้เขาไม่ควรเอาปิ่นโตของเขาเข้ามาด้วยเลย โชคดีที่อาหารของเขาแม้ว่าจะเหมือนของท่านอ๋องแต่ก็มีไม่มากและหลากหลายเท่าท่านอ๋องซึ่งนั่นทำให้ผู้เป็นนายรู้สึกพอใจจนยิ้มออกมา จื่อลู่เองก็โล่งใจเมื่อท่านอ๋องมิได้รับสั่งสิ่งใด“เจ้า…ออกไปกินเถอะ ข้าจะกินอยู่ที่นี่ ให้คนนำชามาให้ข้าก็พอ”“พ่ะย่ะค่ะ”จื่อลู่รีบเก็บปิ่นโตของเขาอย่างรวดเร็วและรีบเดินออกไปทันทีตามคำสั่ง ไม่นานนักก็มีคนเดินเข้ามาแต่พบกับจื่อลู่เสียก่อน“พวกเจ้ามาอีกแล้วงั้นหรือ”“ท่านองครักษ์ คือว่าคุณหนูของข้า…..”“ขออภัยวันนี้ท่านอ๋องไม่รับแขก เชิญพวกเจ้านำของกลับไปเถอะ”“แต่ว่าคุณหนูบอกว่าปิ่นโตนี้ตั้งใจทำเพื่อท่านอ๋องนะเจ้าคะ”“วันนี้คู่หมั้นของท่านอ๋อง ว่าที่พระชายาทำอาหารมาส่งท่านอ๋อง เกรงว่าคงมิอาจจะรับปิ่นโตของคุณหนูจางของพวกเจ้าได้ทางที่ดีนำกลับไปและบอกนางด้วยว่า ไม่ต้องพยายามถึงเพียงนี