คนตรงหน้าทำเพียงสะบัดชายผ้าด้านล่างและนั่งลงที่เก้าอี้อย่างวางท่า ท่านราชครูนั้นรักษาท่าทีได้ดีกว่าและเดินมานั่งประจำที่ หยุนเฟยไม่รู้ว่าควรจะนั่งที่ใด นางมองซ้ายมองขวาและมองไปพบสายตาที่จดจ้องนางอย่างสงสัยนั่น นางจึงเลือกที่นั่งตรงข้ามกับท่านอ๋องและพยายามไม่มองสบตาเขา
“ท่านอาจารย์ ขออภัยที่มาเยือนกะทันหัน ข้าเพียงได้ข่าวว่าคุณหนูใหญ่ฟื้นแล้ว ฝ่าบาทจึงมีบัญชาให้ข้ามาเป็นตัวแทนพระองค์เพื่อมาเยี่ยม ไม่ทราบว่าคุณหนูใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง”
เขาหันมามองนาง สายตาที่ขัดต่อคำพูดทุกประโยคนั้นทำเอาผู้ฟังถึงกับอยากจะลุกขึ้นและไปฟาดหน้าเขาสักที
(ทำเป็นหยิ่งผยอง ใครอยากให้มากันล่ะอีตาพระเอกขี้เก๊ก ทำไมพระเอกในนิยายเป็นลักษณะแบบนี้ทุกคนกันนะ แต่ก็นะ เขาเป็นพระเอกนี่เนอะ ผิดบุคลิกไปจากนี้ก็ไม่ใช่พระเอกแล้ว แต่เสียใจเพราะฉันลงเรือพระรองตั้งแต่แรกแล้ว แต่เขาแค่ยังไม่โผล่มาเท่านั้นละย่ะ)
“คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!!”
“คะ เอ่อ…เจ้าคะ ไม่ใช่ เพคะ พระองค์ทรงตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ”
ท่านอ๋องหลับตาพร้อมกับข่มความโมโหเอาไว้เพื่อพยายามพูดกับนาง เขาไม่นึกอยากจะมาเท่าใดนักหากว่ามิใช่พระบัญชาของฝ่าบาทให้มาเยี่ยม “ว่าที่คู่หมั้น” ที่ได้มาอย่างคิดไม่ถึงเช่นนาง
“ข้า…ถามเจ้าว่า…อาการของเจ้าดีขึ้นแล้ว…งั้นหรือ”
(ดูท่าพยายามเค้นคำพูดนั่นเข้าสิ ไม่อยากถามก็อย่าถามสิอีตาขี้เก๊ก อยากคุยด้วยตายล่ะ)
“หม่อมฉันสบายดีแล้วเพคะ อย่างที่พระองค์เห็น เดินสะดวกแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดี ข้าเองก็หมดธุระแล้ว จื่อลู่ ของเยี่ยม…มอบให้คุณหนูใหญ่เสียสิ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านอ๋องเพคะ”
เขาหันมามองนางด้วยสายตาที่รำคาญอีกครั้งอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย แม้ว่าท่านราชครูยังนั่งอยู่เช่นนี้เขาก็หาได้เกรงใจไม่ เพราะชื่อเสียของฟางหยุนเฟยคนเดิมทำให้เขาไม่นึกอยากแม้แต่จะพูดคุยกับนาง
“มีอะไรอีก”
“หม่อมฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับพระองค์เป็นการส่วนตัว”
“คุณหนูใหญ่ขอรับ คือว่าท่านอ๋อง..คงไม่สะดวกเท่าใดนัก”
“ไม่นานหรอกเพคะ หม่อมฉันทราบดีว่าไม่ได้อยากจะคุยมาก หม่อมฉันเองก็เช่นกัน รับรองว่าจะไม่รั้งพระองค์ไว้นาน”
สายตาที่มองเขากลับทำให้ท่านอ๋องถึงกลับแปลกใจไปเล็กน้อย แม้ว่าฟางหยุนเฟยที่เขารู้จักมาก่อนหน้านี้จะเป็นสตรีที่น่ารังเกียจแห่งเมืองหลวง แต่สายตาแน่วแน่และมั่นใจเช่นนี้เขาพึ่งเห็นเป็นครั้งแรก
“จื่อลู่ อย่าเสียมารยาท ท่านอาจารย์เช่นนั้นข้าคงต้องขอรบกวนสักครู่”
“เชิญท่านอ๋องตามสบายพ่ะย่ะค่ะ”
ฟางหยุนเฟยเองก็รู้สึกเริ่มจะเกลียดขี้หน้าท่านอ๋องผู้ถือดีนี้อยู่ไม่น้อย นางเองเมื่อเจอสายตานั่นก็ทำให้ตัดใจจากความหล่อที่บดบังตาครั้งแรกได้ในทันที
“เช่นนั้นเชิญเสด็จเถิดเพคะ”
เขาเดินตามนางมานั่งโต๊ะในสวนด้านหลังของสกุลฟาง สาวใช้ยกน้ำชามาให้และเดินออกไป เขาเองก็สั่งให้องครักษ์ออกไปเช่นกัน
“จะให้เขาอยู่หม่อมฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกเพคะ อย่างไรเรื่องนี้ก็คงมิใช่ความลับอีกต่อไป”
“เจ้ามีอะไรจะพูดก็รีบพูดเถอะคุณหนูใหญ่ เจ้าพึ่งจะหาย ไม่ควรออกมาตากลมเช่นนี้นาน ๆ”
“ได้เพคะ เช่นนั้นหม่อมฉันจะเข้าเรื่องเลย”
“เจ้าไม่นั่งก่อนหรือ”
“ไม่จำเป็นเพคะ หม่อมฉันเพียงจะพูดกับพระองค์ไม่กี่ประโยคเท่านั้น”
“เช่นนั้นเจ้าก็พูดมาเถอะ”
เขาเองก็ลุกขึ้นมายืนข้าง ๆ นางเช่นกัน เขาคิดไปเองหรือไม่ว่าพอนางไม่แต่งแต้มใบหน้าด้วยเครื่องประทินโฉมที่จัดจ้านและแต่งกายสีฉูดฉาดจนน่ารำคาญแก่สายตา นางกลับดูดีมากกว่าเดิมมากนักจนเขาเผลอมองเมื่อนางหันมา สายตานั้นมองเขาจนใจเขาเริ่มเต้นผิดจังหวะอย่างน่าแปลกใจ
“หม่อมฉันอยากจะยกเลิกงานหมั้นที่พูดออกไปในวันก่อนเพคะ”
“เจ้าว่าอะไรนะ!!”
“พระองค์เข้าใจไม่ผิดหรอกเพคะ หม่อมฉันอยากเลิกกับพระองค์ งานหมั้นระหว่างพวกเราจะไม่มีวันเกิดขึ้น หม่อมฉัน…”
นางโค้งคำนับให้เขาอย่างเต็มพิธีการเพื่อขออภัยจนท่านอ๋องมองนางราวกับพึ่งรู้จักนางเป็นครั้งแรก
“ขออภัยที่ทำให้พระองค์ต้องเสื่อมเสียเกียรติ เสียชื่อเสียงที่ต้องเข้ามาพัวพันในเรื่องนี้ แต่นับจากนี้หม่อมฉันหวังเพียงว่าหลังจากเรื่องยกเลิกงานหมั้นจบลงแล้ว หม่อมฉันจะไม่มีภัยถึงชีวิตอีก”
“นี่เจ้า..คิดว่าเรื่องที่เจ้าถูกทำร้าย เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เช่นนั้นหรือ”
“จะใช่ หรือไม่ใช่ในตอนนี้ก็มิใช่ธุระของพระองค์เพคะ นี่คือเรื่องที่หม่อมฉันจะบอก ขอประทานอภัยจริง ๆ กับทุกเรื่องที่หม่อมฉันปากพล่อยและบังอาจประกาศออกไปเช่นนั้นโดยที่พระองค์มิได้ทราบมาก่อน จากนี้หม่อมฉันขอให้พระองค์พบกับผู้ที่พระองค์รักอย่างจริงใจเพคะ หม่อมฉันมีเรื่องจะพูดเพียงเท่านี้ ทูล…
“เดี๋ยวก่อน!!”
หยุนเฟยเงยหน้าขึ้นมามองเขาที่มีสีหน้าตกใจกึ่งแปลกใจและไม่เชื่อหูตัวเองที่ยืนฟังนางพูดอย่างสุภาพมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้ เขาถึงกับหันมามองใบหน้านางอีกครั้ง
สายตาของนางที่จ้องเขากลับมาทำเอาใจเขาสั่นและเต้นแรงอีกครั้งอย่างน่าแปลกใจ จู่ ๆ วันก่อนในงานเลี้ยงชมโบตั๋นในวัง นางก็ประกาศกับเหล่าบรรดาสตรีในงานว่าจะแต่งงานกับเขาและจะหมั้นกันเร็ว ๆ นี้ แต่เมื่อผ่านมาไม่ถึงสิบวันนางกลับมาบอกว่าจะไม่มีการหมั้นนี้เกิดขึ้นงั้นหรือ
“เจ้า…คิดดีแล้วงั้นหรือ”
“เพคะ ท่านอ๋องก็มิได้ชอบพอหม่อมฉัน ออกจะรังเกียจด้วยซ้ำไป ไม่มีเหตุผลที่จะต้องฝืนพระทัยเพคะ”
เขาหันไปมองสายตาของนางที่นึกถึงตัวเองเช่นนั้น ใจเขาหวิวไปเล็กน้อย นี่คือความเห็นใจอย่างนั้นหรือ แต่ว่านางก่อนหน้านั้นกับนางตรงหน้าเขาในตอนนี้…..ท่าทางของคนตรงหน้ากลับทำให้เขาสับสน
“ดังนั้นในเมื่อพระองค์มิได้ชอบพอหม่อมฉัน และตัวหม่อมฉันเองก็ทำไปเพราะความปากไว นอกจากคำขอโทษแล้ว หม่อมฉันสัญญาว่าต่อไปหากพบเจอพระองค์อีกก็จะไม่เข้าไปยุ่งและก่อกวนให้พระองค์พบเจอเรื่องเสื่อมเสียเพราะหม่อมฉันอีก หากเลี่ยงมิได้ก็จะแค่ทักทายพระองค์และพยายามมิให้พระองค์อึดอัดพระทัยอีก เช่นนี้หวังว่าพระองค์จะพอพระทัยนะเพคะ”
“เจ้า…ที่เจ้าพูดมานั่น เจ้าพูดจริง ๆ งั้นหรือ”
“จริงแท้แน่นอนเพคะ เฮ้อ….ได้พูดออกไปแล้ว เช่นนั้นหม่อมฉันก็คงต้องขอตัวก่อนเพคะ ดังที่พระองค์ตรัสเมื่อครู่ หม่อมฉันพึ่งจะหายป่วยไม่ควรอยู่ข้างนอกตากลมเช่นนี้นาน ๆ ทูลลาตรงนี้เลยนะเพคะ”
นางยิ้มและถวายความเคารพเขาซึ่งก่อนหน้านี้นางไม่เคยทำ นางไม่เคยเรียกเขาว่าท่านอ๋องอย่างสุภาพเช่นนี้ด้วยซ้ำไป เพราะนางถือว่าตนเองเป็นบุตรของอาจารย์เขา นางจึงเอาแต่เรียกเขาว่า “พี่เว่ยหราน”
เขาเองก็ไม่ได้ชอบให้นางเรียกเช่นนั้น แต่วันนี้ที่นางเรียกเขาว่า “ท่านอ๋อง” กลับทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ ยิ่งนางเดินจากไปและกลับไปที่เรือนของตัวเองโดยทิ้งเขาไว้คนเดียว เขายิ่งทำตัวไม่ถูก
“เลิกงั้นหรือ ข้า…ควรดีใจถึงจะถูกสิ แต่ทำไม….”
ท่านอ๋องเดินออกจากจวนสกุลฟางด้วยความงุนงงในพระทัยที่เกิดขึ้นอย่างถาโถมไม่สิ้นสุด ทั้งท่าทีที่เปลี่ยนไป สายตาที่นางมองเขาตอนพูดบอกเลิกการหมั้นหมายที่ยังมิทันได้เกิดขึ้นไหนจะข้อตกลงที่นางพูดอย่างชัดเจนว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีก แม้ว่าทั้งหมดนั่นจะเป็นทุกสิ่งที่ก่อนหน้านี้เขาต้องการมาโดยตลอดก็ตาม“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“ว่าอย่างไร”“ถึงจวนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ…จื่อลู่”“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”“เจ้าว่า…คุณหนูใหญ่ฟางวันนี้ มีบางอย่างแปลกไปหรือไม่”“กระหม่อมคิดว่า…นอกจากที่ไม่ได้แต่งตัวราวกับนกยูงรำแพนหลากสีและแต่งหน้าจัดกับสวมเครื่องประดับมากเกินความจำเป็น นอกนั้น….”“ไม่ใช่ ข้าหมายถึง…ท่าทาง น้ำเสียงการพูดจาและมารยาท…”“เรื่องนี้…เอ่อ…”“ช่างเถอะ ว่าแต่เจ้า…ยังตามสืบเรื่องผู้ที่ผลักนางตกสระน้ำอยู่หรือไม่”“ท่านอ๋องยังมิได้สั่งการมาเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้นเจ้าก็เร่งตามสืบให้ข้าที ข้าอยากจะรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข้าหรือไม่ หากว่าฟังจากที่นางพูด”“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่พระองค์บอกว่านางเป็นผู้ขอยกเลิกการหมั้นไปแล้ว เหตุใดพระองค์ยังต้องสืบ…”“หากว่านางถูกทำร้ายเพราะข้าเป็นต้นเหตุ…เรื่องนี้
“หลีเม่ย!! อย่าเสียมารยาทสิ”“ข้าขอโทษเจ้าค่ะ”“ท่านน้า อย่าดุนางขนาดนั้นสิเจ้าคะนางก็แค่ถามเอง เหตุใดดุนางจนนางกลัว เช่นนี้นางถึงได้เอาแต่เดินห่อไหล่ไม่กล้าสบตาคน จะพูดจะคิดอะไรก็ไม่กล้า ท่านทำเช่นนี้หาได้ไม่เจ้าค่ะ เด็กในวัยนี้คือวัยเรียนรู้และต้องฝึกทักษะในการดำรงชีวิตพวกเขาถึงจะสามารถเอาตัวรอดได้….”“เอ่อ…หยุนเฟย นี่เจ้า….”“ท่านพ่อ ข้าพูดมากไปแล้วกินข้าวเถอะเจ้าค่ะ กินข้าว ๆ อ่ะอาเม่ย เจ้ากินนี่เข้าไป กินเยอะ ๆ ข้าวด้วย กินข้าวด้วย”“เจ้าค่ะ ๆ”หยุนเฟยคิดว่าคงต้องปรับตัวอีกมากพอสมควร เมื่อเห็นเด็กอยู่ตรงหน้าก็จะอดพูดเรื่องเช่นนี้ไม่ได้สักที ก็ก่อนที่นางจะมาที่นี่ นางอายุยี่สิบห้าปีเต็มแล้วนี่คิดว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีที่สุดในชีวิต ทั้งถูกหวยรางวัลใหญ่แม้จะไม่ใช่รางวัลที่ใหญ่มากแต่ก็ทำให้นางมีเงินเก็บหลักแสน สอบราชการติดและบรรจุงานที่โรงเรียนได้สำเร็จ แต่ก็ต้องจบชีวิตลงและมาโผล่ที่นี่“เหตุใดเจ้าเขี่ยหอมหัวใหญ่ทิ้งละ นี่มันแหล่งวิตามินเลยนะ ตับเจ้าก็ไม่กินเหรออาเม่ย”“ก็มัน…ขมนี่เจ้าคะ”“อืม…งั้นนี่ละ คะน้ากินได้หรือไม่”“คะน้ากินได้เจ้าค่ะ”“แล้ว….เต้าหู้กับผักกาดนี่ละ”“กินได้เจ้
“ใช่ เจ้าด้วย พวกเจ้าก็ต้องเปลี่ยนทั้งหมด ไปเถอะ”“ขอบคุณเจ้าค่ะคุณหนู”หยุนเฟยหันไปยิ้มให้สาวใช้ท่ามกลางความแปลกใจของเถ้าแก่ในร้านไม่น้อย แม้ว่าคุณหนูฟางก่อนหน้านี้จะมือเติบ ซื้อแต่ของราคาแพงแต่นั่นก็เพราะนางซื้อให้ตัวเองไม่เคยซื้อให้คนอื่นเช่นนี้แต่ครั้งนี้กลับแตกต่างกว่าทุกครั้งราวกับว่าไม่ใช่นางคนเดิม แต่เถ้าแก่เองก็มิได้มีเวลาสงสัยแต่อย่างใดเพราะอย่างไรเงินที่ได้รับจากคุณหนูฟางหยุนเฟยก็ยังเป็นเงินก้อนโตเช่นเดิมไม่ต่างจากทุกครั้ง“สวยมาก เอาชุดนี้ด้วย”“ท่านน้าชุดนี้ใช้ได้ ท่านสวมแล้วเข้ากับผิวมาก เอาด้วย”“อาหง ใช้ได้นี่ชุดนี้ใส่แล้วดูสวยขึ้น เอาสีนี้”หน้าร้าน“ท่านอ๋อง นั่นรถม้าสกุลฟางพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าเห็นแล้ว ว่าแต่นางมาทำอะไร”“ก็คงจะมาซื้อชุดใหม่ตามประสาคนที่ฟุ่มเฟือยเช่นนางกระมังพ่ะย่ะค่ะ”“เรื่องของนางไม่เกี่ยวกับข้า”ตั้งแต่วันที่นางบอกเลิกการหมั้นกับเขา นางก็ไม่เคยมาให้เขาเห็นหน้าอีกตามที่นางรับปากเอาไว้ ข่าวเรื่องการยกเลิกการหมั้นของเขาและนางแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง คงเป็นราชครูฟางที่จัดการเรื่องนี้ ไม่นานพวกนางก็เดินออกมาพร้อมกับเถ้าแก่ที่โค้งคำนับให้และรับปากจะจัดส่งเ
“ค่ายอพยพงั้นหรือ เราไปดูกันเถอะ”“หยุนเฟย เจ้า…แน่ใจนะว่าจะไป”“ท่านน้า ท่านเอาแต่ถามเช่นนี้อีกแล้ว ท่านน่าจะมองข้าใหม่ได้แล้วนะเจ้าคะ ข้าใช้ชีวิตกับท่านมาหลายเดือนแล้วท่านก็น่าจะรู้ว่าข้าน่ะเปลี่ยนไปแล้ว”“อืม เช่นนั้นเราก็ไปกันเถอะ”หยุนเฟยเดินเข้าไปยิ่งใกล้ก็ยิ่งเห็นว่ามีทั้งเด็ก คนแก่ และคนไร้บ้านมากมายที่มายืนรออาหารที่ทางการจัดเอาไว้ ซึ่งดูแล้วก็ไม่น่าจะเพียงพอกับพวกเขา นางจำได้ว่าในนิยายเคยพูดถึงเรื่องพวกนี้ก่อนที่เจ้าของร่างจะตาย เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่พระรองอย่างแม่ทัพ “ฉินเกาหาน” พบกับนางเอกแสนดีที่มาแจกจ่ายอาหารและยาให้คนอพยพนางเป็นหลานสาวเสนาบดีนามว่า “ฟ่งลี่เซียน” ซึ่งแน่นอนว่าพระรองตกหลุมรักนางในทันที แต่หลังจากที่นางเอกพบพระเอกในวังงานเลี้ยงชมดอกท้อ ก็ตกหลุมรักพระเอกอีกเช่นกัน“ข้าหิว ท่านพี่ ท่านป้า ข้าขอข้าวหน่อย”“เด็กน้อย เหตุใดเจ้าถึงได้....อาหง เอาเงินไปซื้อหมั่นโถวมาให้เด็กทีเร็ว ๆ เข้า”“เจ้าค่ะคุณหนู”เมื่อมาหนึ่งคน เด็กอีกหลายคนที่เหลือก็เริ่มวิ่งมาที่หยุนเฟย นางนึกไม่ถึงว่าจะถูกล้อมด้วยผู้คนจนเริ่มหันไปไหนไม่ได้ “หยุนเฟย”“ท่านน้า อาเม่ย”“พี่ใหญ่ เด
“หยุนเฟย เจ้าแน่ใจแล้วงั้นหรือ”“ท่านน้า หากสิ่งของเหล่านั้นที่ข้าไม่ใช้แล้ว สามารถช่วยเด็กเหล่านี้ได้ท่านว่าข้าสมควรจะทำหรือไม่เจ้าคะ”หลานอี้เหนียงมองนางพร้อมกับยิ้มให้อย่างภาคภูมิใจราวกับหยุนเฟยเป็นบุตรสาวอีกคนของนาง นางจับมือหยุนเฟยและให้คำมั่นกับหยุนเฟย“เช่นนั้นข้าก็จะช่วยเจ้าอย่างสุดกำลัง”“ข้าด้วย ๆ เจ้าค่ะ ข้าก็จะช่วยด้วย พี่ใหญ่ไปที่ใดจะขาดข้าได้เช่นไร”“เจ้าตัวแสบ แน่นอนว่าข้าต้องพาเจ้าไปด้วยแน่ ๆ แต่เจ้าต้องกินหัวหอมใหญ่นะ”“พี่ใหญ่ เหตุใดบังคับข้าอีกแล้ว”“อาเม่ย เจ้าดูเด็กพวกนี้สิ เขากินเพราะเลือกกินไม่ได้ มีอะไรให้กินก็ต้องกิน แล้วเจ้าลองกลับไปคิดถึงเวลาที่เจ้าเขี่ยผักที่เจ้าไม่ชอบ เขี่ยตับที่เจ้าไม่กินออกแล้วมองหน้าพวกเขาสิ”อาเม่ยมองไปพร้อมกับคิดได้ในทันที ของบางอย่างสำหรับบางคนอาจจะไร้ค่าแต่กับบางคนมันอาจจะทำให้เขารอดได้“พี่ใหญ่ข้าเข้าใจแล้ว จากนี้ข้าจะพยายามไม่เลือกกินอีกเจ้าค่ะ”“ต้องแบบนี้สิท่านน้าท่านรออยู่นี่ก่อนนะเจ้าคะ ข้าจะไปคุยกับท่านแม่ทัพหน่อย”“อืม เจ้าไปเถอะ”หยุนเฟยเดินไปหาฉินเกาหานที่ยืนมองทหารแจกจ่ายอาหารให้เด็กและควบคุมไม่ให้ผู้ใหญ่มาแย่งของเด็ก เมื
“พ่ะย่ะค่ะ แต่การย้ายมาในครั้งนี้ แปลกตรงที่รายชื่อของเขามิได้อยู่ในรายนามขุนนางที่โยกย้าย ดูเหมือนว่าย้ายมาแทนโดยกะทันหัน”“ก่อนหน้านี้ผู้ใดเป็นเจ้าเมืองดูแลอยู่”“เป็นคนของทางการซึ่งพึ่งจะถูกย้ายไปตำแหน่งที่สูงกว่าพ่ะย่ะค่ะ”“เหตุใดเขาต้องเลือกคนผู้นี้ด้วย หรือว่ามีผลประโยชน์ใดร่วมกัน ฝ่าบาทไม่น่าจะพลาดในเรื่องนี้ พระองค์รู้สึกผิดสังเกตมานานแล้วแค่ยังไม่ได้ตรัสออกมาเท่านั้น”“แย่แล้ว พรุ่งนี้สกุลฟางจะไปร่วมแจกจ่ายอาหารที่นั่น หากว่าพวกเขาเริ่มสงสัยและคิดร้าย จื่อลู่ เจ้ารีบส่งคนของเราเฝ้าอารักขาคนของสกุลฟางให้ดี”“พระองค์ทรงหมายถึง คุณหนูฟางจะไปที่ค่ายผู้อพยพเพื่อแจกจ่ายอาหารงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้เป็นไปได้หรือพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่เพียงเท่านั้น ดูเหมือนว่านางตั้งใจจะทำมากกว่านั้น ที่ผ่านมาสตรีผู้นี้คงเก็บความลับเอาไว้มากทีเดียว”จื่อลู่ถึงกับแปลกใจเมื่อท่านอ๋องเอ่ยถึงคุณหนูใหญ่สกุลฟางแต่กับตรัสไปยิ้มไปจนจื่อลู่เริ่มไม่แน่ใจว่าผู้เป็นนายจะเริ่มกลับไปสนใจสตรีสกุลฟางผู้นี้อีกหรือไม่ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาเรียกได้ว่าไม่อยากเห็นหน้านางเสียด้วยซ้ำ“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ แล้วอย่าลืมสืบเรื
หยุนเฟยลุกขึ้นมายิ้มให้ท่านอ๋อง เขาคิดว่าเขาคงจะใจสั่นจนกระตุกต่อหน้านางเข้าสักวันหากว่านางยิ้มเช่นนี้บ่อย ๆ เขาเองไม่แน่ใจว่าจะต้านทานเสน่ห์เช่นนี้ได้อีกนานแค่ไหนกัน“เพคะ เด็กเหล่านี้ล้วนมาจากต่างที่ ไม่มีพ่อแม่ไม่มีคนคอยดูแล เรื่องการเรียนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทั้ง ๆ ที่บางคนมีพรสวรรค์แต่กลับไม่มีโอกาส”“พระองค์ลองดูสิเพคะ นั่นคือเป่าจิน เขาวาดภาพได้สวยมากแต่ไม่มีแม้แต่กระดาษกับพู่กัน เขาเคยวาดภาพนกที่หากวาดลงในกระดาษคงจะงดงามมาก ส่วนนั้นก็อาเฉิง เขาเชี่ยวชาญงานประดิษฐ์และซ่อมแซมได้ราวกับเป็นช่างคนหนึ่งได้เลย เขามักจะไปช่วยพวกทหารและบ่าวรับใช้สร้างเพิงพักสำหรับฤดูหนาวนี้”“เจ้ามิได้มาช่วยพวกเขาเพียงชั่วคราว แต่ได้ข่าวว่าเจ้ายังช่วยสอนพวกเขาเริ่มเพาะปลูกผักบางอย่างที่โตง่ายและเก็บเกี่ยวเร็วเพื่อเอาไว้ทำกินด้วย”“หากว่าเราเอาแต่ช่วยพวกเขา มิต้องช่วยไปตลอดหรือเพคะ ยิ่งพวกเขาช่วยเหลือตัวเองได้รวดเร็วเท่าใดก็จะยิ่งดีและเป็นประโยชน์กับพวกเขาเองนะเพคะ หากว่าพวกเขาได้รับจนเคยชินก็จะกลายเป็นคนขี้เกียจและงอมืองอเท้ารอแต่ความช่วยเหลือจากผู้อื่นจนไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเอง เช่นนี้ต่อให้ฝ่า
หยุนเฟยหันไปราวกับพึ่งได้ยินเรื่องที่น่าเหลือเชื่อพร้อมกับจ้องไปที่พระพักตร์ท่านอ๋อง“พระองค์ตรัสจริงหรือเพคะ เช่นนั้นที่ดินตรงนั้น”“เป็นที่ดินของข้าเอง แต่มิได้ทำประโยชน์อะไรเพราะอยู่นอกเมือง หากว่าเจ้าต้องการ….”เขาพูดต่อไม่จบเพราะรอยยิ้มที่ดีใจที่ผุดขึ้นของคนตรงหน้าทำเอาเขาใจสั่นไหวและมิอาจพูดอะไรได้เมื่อนางหันมายิ้มให้เขาอย่างนึกปลาบปลื้มใจ“หากว่าเป็นเช่นนั้นได้จริง ๆ เด็กเหล่านั้นก็มีโอกาสแล้ว หากว่าทรงมีพระกรุณาที่จะสร้าง…แต่ว่างบประมาณในการสร้างโรงเรียนน่าจะมาก เช่นนี้หม่อมฉันเองคงต้องไปรื้อของไร้ค่าเหล่านั้นเพิ่ม ใช่แล้ว...ต้องเริ่มทำเพื่อรวบรวมเงิน ไหนจะค่าแรงการสร้างอีก อุปกรณ์การเรียนการสอน”“เอ่อ…เดี๋ยวก่อน คือว่าที่ดินนั่นเป็นของข้า เช่นนั้นข้าจะช่วยสร้าง…”“ไม่ได้เพคะ เพียงแค่พระองค์ทรงมีความประสงค์จะบริจาคที่ดินให้แล้ว เพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็นพระคุณอย่างมากแล้ว จะเดือดร้อนพระองค์ให้ช่วยสร้างอีกก็ออกจะเกินไปหน่อย”“ไม่ใช่ เจ้าฟังนะเรื่องนี้ที่จริงหากจะว่าไปแล้วมันก็อยู่ในแผนการฟื้นฟูของราชสำนักหากว่าข้านำเรื่องนี้กราบทูลฝ่าบาท อย่างไรแล้วฝ่าบาทก็ต้องจัดสรรคนที่จะมาสร้า
ทางด้านฉินเกาหานเมื่อพิธีทุกอย่างเสร็จสิ้นเขาก็พาหลีเม่ยเดินมายังด้านหลังและได้ยินข่าวดีของพระชายากับท่านอ๋องว่านางตั้งครรภ์“ได้ยินหรือไม่เจ้าคะ ข้าจะไปหาพี่ใหญ่”“ท่านอ๋องคงพานางกลับไปที่จวนแล้ว ยังมีเวลาอีกมากเราค่อยไปทีหลัง มานี่ก่อน”“ไปไหนเจ้าคะ”“ตามข้ามา จะพาเจ้าไปที่ที่หนึ่ง”เขาอุ้มนางขึ้นหลังม้าคู่ใจในทันที หลีเม่ยที่ไม่เคยขี่ม้าถึงกับต้องคว้ารอบคอของเจ้าม้าเอาไว้เพราะกลัวตกเมื่อเกาหานขึ้นมานั่งกับนางจึงค่อย ๆ จัดท่าให้นางใหม่“มีข้าอยู่เจ้าไม่ต้องกลัวตกหรอก จับตรงนี้อย่าไปดึงขนมันเดี๋ยวมันจะโมโห”“เดี๋ยวก่อนสิเจ้าคะ ข้าไม่เคยนั่งหลังม้า ว้าย!!”เขาพานางวิ่งออกไปทันทีเพราะผ่านเวลามานานแล้ว เขาควบทะยานออกนอกเมืองไปอย่างรวดเร็วเมื่อสิ้นทางชุมชนแล้ว หลีเม่ยหลับตาไม่กล้ามองเพราะความเร็วของม้านั้นทำให้นางตาพร่ามัวจนม้าค่อย ๆ ไต่เขาขึ้นไปนางจึงกล้าลืมตาอีกครั้ง“เราจะไปที่ใดกันเจ้าคะ”“ยอดเขานี้แหละ ไม่ไกลหรอก”“ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ”“พาเจ้าไปชื่นชมความงามของทุ่งดอกไม้ ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่มีอันตราย”“ตัวท่านต่างหากที่อันตรายต่อหัวใจข้า”“ข้าได้ยินเจ้าพูดนะหลีเม่ย”ม้าค่อย ๆ ขึ้นไปยั
ยี่สิบสองวันถัดมาหลังจากพิธีสมรสที่ยิ่งใหญ่ผ่านไปแล้ว ชาวบ้านที่หมู่บ้านฟางหมิงยังคงคึกคักไม่หยุดเพราะยังเหลืองานใหญ่อีกหนึ่งงานนั่นคือ "พิธีปักปิ่น" ของสตรีที่มีอายุครบสิบเจ็ดปีในปีนี้ ซึ่งได้รับพระราชานุญาตจากฝ่าบาทและฮองเฮาจัดขึ้นเป็นพิเศษสำหรับสตรีที่อยู่ในหมู่บ้านและในเมืองหลวงที่อยากเข้าร่วมพิธีอันทรงเกียรตินี้“อาเม่ยอยู่เฉย ๆ สิอย่าดิ้น”“ท่านแม่ผิวข้าจะแตกแล้ว โอ๊ย!!”ฟางหลีเม่ยบ่นเมื่อมารดาและอาหงซึ่งตอนนี้ต้องมาดูแลขัดผิวให้นางหลังจากจบภารกิจส่งพระชายาท่านอ๋องเข้าตำหนักไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ในจวนสกุลฟางต่างวุ่นวายเรื่องการจัดเตรียมงานปักปิ่นให้หลีเม่ยเพราะนอกจากเป็นพิธีที่เป็นทางการแล้วทุกคนต่างรู้ดีว่าเป็นงานหมั้นระหว่างนางและแม่ทัพ “ฉินเกาหาน” อีกด้วย“หากว่าหยุนเฟยเห็นว่าเจ้าแอบหนีไม่ยอมทำละก็นางจะว่าเอาได้นะ พิธีนี้สำคัญยิ่ง เจ้าดูสิแม่ทัพฉินพาคนมาจัดเตรียมมากมายเพื่อเจ้าแล้วดูเจ้าสิ”“พี่เกาหานก็ทำตามหน้าที่ งานนี้ฮองเฮาทรงเป็นผู้จัดขึ้นมาเพื่อทุกคน หาใช่ข้าคนเดียวไม่ ท่านแม่ท่านก็รู้ว่าข้ามิได้ชอบงานเช่นนี้”“เอาล่ะ ๆ อย่าบ่น”“ฮูหยินเจ้าคะ คุณหนู...เอ่อ พระชายาเสด็จ
เขาไม่รอช้าเมื่อนางถึงสวรรค์ไปก่อนด้วยนิ้วของเขา นั่นแสดงว่านางเองก็คงกลั้นความคิดถึงเอาไว้เหมือนกับเขา ร่างแกร่งสอดใส่ประสานรักกับนางอย่างรวดเร็ว คนใต้ร่างส่งเสียงร้องแข่งกับเสียงดังของร่างทั้งสองแต่ท่านอ๋องเองก็ทนได้ไม่นานเช่นกัน เขาตามนางไปติด ๆ ในเวลาไม่นาน“อาาา หยุนเฟย เพียงได้กลิ่นเจ้าข้าก็….เอาไว้แก้ตัวรอบหน้า อึ๊ยยย!!”น้ำรักอุ่น ๆ ถูกฉีดพ่นเข้าไปด้านในสุดแรง หยุนเฟยเปลี่ยนมานั่งคร่อมเขาเอาไว้ เช่นนี้ยิ่งทำให้เขาเป็นบ้าตายเพราะร่างที่งดงามและขาวดุจฝ้ายบริสุทธิ์ ผิวนุ่มลื่นดุจแพรไหมเมื่อนางเริ่มขยับเอวเพื่อควบคุมเขาทำเอาเขาแทบคลั่งตาย“อาา หยุนเฟย อย่าเร่ง ข้าจะ…แตก…อาาา”“เว่ยหราน ….อื้อ….ท่านพี่ อ๊าาา ดึงแรง ๆ แรงอีก อ๊าา”นางจับมือหนาของเขาให้มาช่วยจับหน้าอกทั้งสองของนางเพื่อเร่งจังหวะให้นาง ความเสียวเข้าเล่นงานนางจนแทบจะหลอมละลายคาเตียงไปพร้อมกับเขา ไฟรักถูกจุดขึ้นอย่างถูกที่ถูกเวลามีหรือทั้งคู่จะยอมหยุด“อ๊าา อีกไม่นานแล้ว ท่านพี่ ข้า…อ๊าา”“ก้มลงมาหน่อย ขอกินนมหน่อย อ๊าาา”“อ๊าา เว่ยหราน ทนไม่ไหว….อย่าเด้งมาถี่ หม่อมฉัน…จะ…เสร็จ…อ๊าาา”นึกไม่ถึงว่าช่วงเวลาที่ห่างกันจะสาม
ท่านอ๋องที่ท่าทีฉุนเฉียวเดินมานั่งรอพวกเขาที่โต๊ะในระเบียงก่อนจะออกไปที่สวน เขามองเห็นเถาปิ่นโตที่หลีเม่ยถือมาแล้วก็เริ่มรู้สึกอบอุ่นหัวใจมากขึ้น หรือว่าหยุนเฟยจะทำอาหารมาให้เขากันนะ“นั่นเจ้าเอาอะไรมาด้วยอาเม่ย”“พี่เขย นะ…นี่….พี่ใหญ่เกรงว่าท่านจะไม่ยอมกินข้าวก็เลย…”“เอามาให้ข้าเร็ว ๆ เข้า”เกาหานยกเถาปิ่นโตหลายชั้นส่งให้ท่านอ๋องทันทีพร้อมกับสีหน้าที่ดีขึ้นกว่าตอนที่พวกเขาเห็นก่อนหน้า นึกไม่ถึงว่าพลังแห่งรักจะทำให้ท่านอ๋องเปลี่ยนไปได้เช่นนี้ เขานึกว่าท่านอ๋องเป็นบ้าไปแล้วเสียอีก เดี๋ยวฉุนเฉียว อีกเดี๋ยวก็ยิ้มเพียงแค่เห็นเถาปิ่นโตที่ถูกส่งมาจากว่าที่เจ้าสาวของตัวเอง“เจ้าขำอะไรเกาหาน”“อะแฮ่ม กระหม่อม…มิได้ขำพ่ะย่ะค่ะ”“อย่าให้ถึงคราวเจ้าบ้างก็แล้วกัน ข้าจะรอดูเจ้าทรมาน”“ท่านอ๋องอย่าทรงขู่เช่นนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นทหารนะพ่ะย่ะค่ะ ย่อม….อดทนได้ดีพ่ะย่ะค่ะ”“หึ แล้วข้ามิใช่ทหารงั้นหรือ ข้าจะรอดูเจ้าทุรนทุราย นี่อะไรขนมที่นางทำเองงั้นหรือ มะ…มีจดหมายด้วย”“ท่านอ๋องเพคะ ยังมีนี่ด้วยเพคะ พี่ใหญ่กำชับมาว่าให้ส่งให้พระองค์….”เขารีบคว้าซองจดหมายที่อบร่ำกลิ่นมาอย่างดีพร้อมกับมองของที
สำนักศึกษา เทียนเป่าฟางหมิง เหล่าชาวบ้านกำลังเตรียมอาหารและม่านมงคลเพื่อประดับตามที่ต่าง ๆ เนื่องในวันมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกสองงานในเร็ววันนี้งานแรกคงไม่พ้นงานสมรสพระราชทานที่มีฮองเฮาเป็นเจ้าภาพ ทรงโปรดเกล้าฯให้ทั้งคู่ได้แต่งงานกันที่สำนักศึกษาและส่งตัวที่เรือนหอพระราชทานของท่านอ๋องอีกงานหนึ่งก็คือพิธีปักปิ่นของสตรีครบวัยสิบเจ็ดปี ซึ่งปีนี้ได้รับพระราชทานพิเศษจากฝ่าบาทให้จัดที่นี่เพื่อเป็นเกียรติกับเหล่าสตรีในเมืองหลวง“เร็ว ๆ เข้า ต้องทำสุดฝีมือเลยนะพวกเรา หัวไชเท้าวางตรงนี้ นั่น ๆ พวกเจ้าเอาผักกาดไปล้างเร็ว ๆ เข้าอย่าได้พลาดเชียว”“ท่านป้า เห็ดหอมนี่ได้มามากเลยให้เอาไว้ที่ใด”“เอาไปวางไว้ในครัวเลย หลานฮูหยินรออยู่เร็ว ๆ เข้า”ในโรงครัวที่สร้างขยายขึ้นชั่วคราวเริ่มวุ่นวายเมื่อของและผักสด ๆ เริ่มทยอยนำมาส่งจากแปลงผักสวนใหม่ของชาวบ้านที่อยู่ใกล้เนินเขาที่นั่นพื้นที่กว้าง อากาศดีและยังมีลำธารที่ไหลมาจากภูเขาไหลผ่าน ผักที่ปลูกจากที่นั่นทั้งโตไวและงดงามขายได้ราคา ชาวบ้านที่นี่เริ่มมีรายได้มากขึ้น อีกส่วนหนึ่งก็เริ่มมีโรงงานทอผ้ามาตั้งเพิ่มแล้วเพราะท่านเจ้าเมืองเริ่มอนุญาตให้ขยายที
“หม่อมฉันหิวแล้วเพคะ”“อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือไม่”“หม่อมฉันอยากทำบะหมี่กินเองเพคะ”“เจ้ายังลุกไหวงั้นหรือ ให้คนทำให้ดีกว่าหรือไม่”“แต่หม่อมฉันอยากทำบะหมี่ให้พระองค์เสวย ที่นี่เป็นเรือนหอของเรามิใช่หรือเว่ยหราน หม่อมฉันอยากทำหน้าที่ภรรยาที่ดีบ้าง”“อืม…เช่นนั้นข้าจะไปช่วยเจ้า เราช่วยกันทำดีหรือไม่”“พระองค์ทำเป็นหรือเพคะ”“ก็…ช่วยเจ้านวดแป้งก็พอได้ ข้าแรงเยอะนะ แม้ว่าจะถูกเจ้าดูดพลังไปมากก็ยังพอมีเหลืออยู่”“เช่นนั้นก็ได้เพคะ”ห้องครัวหยุนเฟยพึ่งค้นพบความสุขที่เรียบง่ายที่สุดที่นางเคยเฝ้ารอมาทั้งชีวิต การทำบะหมี่ให้คนที่รักกินและได้ทำครัวร่วมกัน สอนท่านอ๋องนวดแป้งเพื่อทำบะหมี่สำหรับพวกเขาสองคน“แรงกว่านี้หน่อยสิ ไหนท่านบอกว่าแรงยังเหลืออยู่อย่างไรเพคะ”“ก็เจ้าไม่ได้บอกนี่ว่าต้องนวดท่าเดียวนี่นานขนาดนี้ วันนั้นฮูหยินกับพวกท่านป้าทำอย่างไรกันนะ มีความอดทนกันเกินไปแล้ว งานเช่นนี้ไม่เหมาะกับข้าจริง ๆ”“เว่ยหราน ท่านรับปากแล้วว่าจะทำ”“ข้าก็ไม่ไ่ด้บอกว่าจะไม่ทำเสียหน่อย มานี่หน่อยสิมีอะไรติดหน้าเจ้าแน่ะ”หยุนเฟยเดินเข้าไปหาเขาและโดนท่านอ๋องขโมยจูบไปอีกครั้ง หยุนเฟยยอมให้เขาจูบเพราะกลัวว
ท่านอ๋องหันมามองหน้านางที่ยิ้มอย่างจริงใจพร้อมกับเดินเข้ามาเบียดกายจนชิดเขา ท่านอ๋องลอบกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ ท่าทางที่น้อยใจนางเมื่อครู่ลดลงราวกับไม่เคยเกิดขึ้น แต่เขาจะไม่ให้อภัยนางง่าย ๆ หรอก“อย่าเลย วันนี้เย็นแล้ว ข้าพาเจ้ากลับ…หยุนเฟย เจ้าจะไปไหน”นางเดินนำเขาเข้าไปด้านใน ในเมื่อเขายืนยันจะกลับแต่หากนางเดินเข้ามาเขาก็ไม่กล้าขัดใจนางหรอก หยุนเฟยเดินสำรวจทีละห้องอย่างพอใจแต่ก็ติติงเกี่ยวกับการจัดห้องและเริ่มบอกกับท่านอ๋องให้โยกย้ายบางอย่างจนท่านอ๋องนึกแปลกพระทัยขึ้นมา“โต๊ะนี่ตั้งตรงนี้ไม่เหมาะ เวลาแดดส่องจะทำงานไม่ได้แม้ว่าแสงจะส่งมาเพียงพอ กลับอีกทางจะดีกว่า ม่านตรงนี้เอาออกเพราะมันจะพัดออกไปและดึงเศษใบไม้เข้ามา โคมไฟนี่เอามาตั้งตรงนี้ได้เช่นไรเพคะ เสี่ยงมากเวลาลมพัดแรงอาจจะทำให้ไฟไหม้ขึ้นได้ เอาออกมา”ท่านอ๋องต้องรีบยกของที่นางชี้ทีละอย่างและโยกย้ายจนกว่านางจะพอใจเพราะวันนี้เขาไม่ได้พาจื่อลู่มาด้วย เขาเลยต้องเหนื่อยยกเองทีละอย่างจนเดินมาถึงในห้องบรรทมที่ถูกจัดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ที่นี่เป็นที่เดียวที่หยุนเฟยไม่สั่งให้ท่านอ๋องย้ายอย่างอื่นไป“หม่อมฉันเหนื่อยแล้วเพคะขอพักสักครู่”“ข
“ว่าอย่างไรนะเพคะ ช่างเด็ดขาดนัก”“หยุนเฟย คดีนี้เป็นคดีอุกฉกรรจ์รุนแรงและโหดเหี้ยมอีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับคนในราชวงศ์ และคนร้ายยังเป็นถึงพระสนมด้วย ฝ่าบาทไม่มีทางปล่อยเอาไว้นานหรอก”“แต่ว่าท่านพ่อเจ้าคะ เช่นนี้แล้วสกุลชุนจะยอมหรือเจ้าคะ”“แม้แต่ใต้เท้าชุนเหลียงบิดาของนางยังถูกลดขั้นเหลือเพียงขุนนางขั้นสี่จากตำแหน่งรองเจ้ากรมขุนนาง ครั้งนี้ฝ่าบาทเห็นว่าเขาเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์และไม่ได้รู้เห็นกับบุตรสาวจึงยังไม่ปลดเขาออกก็นับว่าโชคดี"“จบสิ้นจริง ๆ สักทีสินะ”ท่านอ๋องหันไปมองหน้าท่านราชครู เขายิ้มและพยักหน้ากลับคืนมาให้ท่านอ๋องจึงได้กล่าวออกมา“เรื่องทุกอย่างคลี่คลายแล้ว พวกเราเองก็คงต้องเตรียมตัวแล้วนะหยุนเฟย”“เตรียมตัวหรือเพคะ”“ใช่ พ่อพึ่งออกมาจากวัง ฝ่าบาทแจ้งว่าฮองเฮาทรงโปรดปรานเจ้ามากหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นในวัง รับสั่งว่าจะเป็นประธานเปิดสำนักศึกษาแห่งใหม่และให้เจ้าดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่”“จริงหรือเจ้าคะ ข้าจะได้เป็น….อาจารย์ใหญ่เลยหรือเจ้าคะ”“ใช่ จากนี้เจ้าต้องตั้งใจ อย่าทำให้ฝ่าบาทและฮองเฮาทรงผิดหวัง”“เจ้าค่ะท่านพ่อลูกสัญญาว่าจะตั้งใจเจ้าค่ะ”“อีกอย่าง ข้าเองก็ขอให้ฝ่าบาทเร
“จำได้สิเพคะ ก็หม่อมฉันบอกแล้วว่าจะหาวิธีที่จะทำให้พระสนมเว่ยและชุนลี่ถิงสารภาพความผิด หม่อมฉันจึงแกล้งว่าผีของจางเหมยลั่วเข้าสิงและบีบให้นางพูดก็ได้ผลมิใช่หรือเพคะ ชุนลี่ถิงกลัวจนยอมพูดออกมาแล้วจากนั้นหม่อมฉันก็สลบไป”ท่านอ๋องมองนางและรู้สึกเป็นห่วงนางอย่างมาก แม้ว่านางจะเล่ามาเช่นนี้นั่นแสดงว่าหลังจากเรื่องนี้แล้วนางไม่รู้สึกตัวเลยงั้นหรือ หยุนเฟยราวกับรู้ว่าต้องเกิดเรื่องที่ผิดปกติขึ้นแน่หลังจากที่นางสลบไปแล้ว“เว่ยหรานหรือว่าหลังจากที่หม่อมฉันสลบไป ยังมีอะไรเกิดขึ้นอีกงั้นหรือเพคะ”“นี่เจ้า….มิได้แกล้งเป็นฟ่งลี่เซียน ต่อจากที่….”“ฟ่งลี่เซียน!! ไม่นะเพคะก็เราตกลงกันแค่ว่าหม่อมฉันแกล้งเป็นเพียงจางเหมยลั่วเท่านั้นและนางก็สารภาพแล้วนี่เพคะ”ท่านอ๋องรีบดึงนางเข้ามากอดด้วยความกลัวที่ผุดขึ้นมาอีกครั้ง โชคดีมากจริง ๆ ที่นางไม่เป็นอะไรไป โชคดีที่ฟางหยุนเฟยแค่มาลาเท่านั้นและฟ่งลี่เซียนเพียงแค่ต้องการมาแก้แค้นชุนลี่ถิงโดยผ่านร่างของนาง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องจะกลับกลายเป็นเช่นนี้ การที่เขาและท่านราชครูยอมให้นางแสดงละครเพื่อจับคนร้ายแต่ผลที่ตามมากลับน่ากลัวเกินคาดเดา หากรู้เช่นนี้คงไม่ยอม