ไป๋อวิ๋นเหยา เป็นหญิงสาวที่เกิดในครอบครัวขุนนางในเมืองหลวง บิดาของนาง ไป๋เหวินหยาง เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นผู้มีปัญญาและความสามารถ แม้จะไม่มีอำนาจมากนัก แต่ก็ทำให้ครอบครัวของนางมีเกียรติและฐานะในสังคม ได้รับการยกย่องจากผู้คน
นางเป็นบุตรสาวคนโตที่เกิดมาจากมารดาผู้มีความงามและความสมบูรณ์พร้อม มีพี่น้องหญิงห้าคน ทุกคนล้วนเป็นหญิงงามที่มีบุคลิกต่างกันไป ทุกคนล้วนได้รับการยกย่องจากภายนอกว่าเป็นสตรีดีงาม จวนไป๋ไม่เคยขาดแขกเหรื่อและแม่สื่อมาเยือนแม้สักวัน
แต่เพราะไป๋เหวินหยางไร้วาสนามีบุตรชาย เขาจึงส่งเสริมให้บุตรสาวคนโตอย่าง ไป๋อวิ๋นเหยา ก้าวขึ้นมาเป็นผู้รับหน้าที่ดูแลการงานในจวน บางครั้งก็ต้องทำหน้าที่แทนบิดา นางจึงเติบโตท่ามกลางภาระหนักหน่วงตั้งแต่ยังเด็ก ความรับผิดชอบที่มากมายทำให้นางกลายเป็นหญิงสาวที่เย็นชา เข้มงวดและห่างเหิน
ไป๋อวิ๋นเหยาไม่เคยได้สัมผัสช่วงเวลาหอมหวานของฤดูวสันต์จากใคร บุรุษในเมืองหลวงต่างเคารพนางในฐานะที่เป็นผู้มีความรู้และความสามารถ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้นาง ไม่ใช่เพราะนางหยิ่งทะนงหรือไร้ความงามของสตรี แต่เป็นเพราะความฉลาดที่เต็มเปี่ยมและท่าทางเย็นชาอย่างไร้ที่ติของนาง
ทำให้ชายหนุ่มทั้งหลายที่มาขอแต่งงานนั้นต่างต้องถอยห่างโดยไม่พูดจาอะไรอีก เพราะต่างหวาดกลัวว่านางจะกลายเป็นภรรยาที่มีดวงกดข่มสามี จึงไม่เคยมีใครรู้จักนางในฐานะสตรีที่อ่อนโยน และนางก็ไม่เคยเปิดใจให้ผู้ใดเห็น
เวลาเลยผ่าน น้องสาวของไป๋อวิ๋นเหยาต่างทยอยแต่งงานออกไป ชายหนุ่มทั้งเมืองหลวงทำได้แค่แอบมองนางด้วยความชื่นชมในรูปลักษณ์และสติปัญญา แต่ไม่มีผู้ใดกล้าหมายปองเป็นภรรยา ตัวนางเองก็เป็นห่วงบิดามารดาจึงไม่ยอมแต่งออกไป นางพยายามเลือกเฟ้นหาชายหนุ่มแต่งเข้าจวนเป็นเขยตระกูลไป๋
ทุกคนล้วนคิดว่าไม่มีบุรุษคนใดที่จะกล้าแต่งงานกับไป๋อวิ๋นเหยา จนกระทั่งนางอายุได้ยี่สิบปี เด็กหนุ่มอายุน้อยชื่อ เฉินซูเหยา ก็ปรากฏตัวในชีวิตของนาง เขาอายุเพียงสิบห้าปี เป็นเด็กกำพร้าที่บิดาของนางได้ให้ความช่วยเหลือ และส่งเสริมให้เข้าสอบจิ้นซื่อ[1] เด็กหนุ่มย้ายเข้ามาอยู่ในจวนไป๋ พวกเขาจึงได้มีโอกาสสนิทสนมกัน แต่ก็ยังไร้ซึ่งวี่แวววาสนาดอกท้อ[2] เพราะไป๋อวิ๋นเหยาดูแลเขาราวกับน้องชายคนหนึ่งของนาง
ไม่นาน เฉินซูเหยาก็สอบได้เป็นจอหงวน หลังจากที่ได้เข้าเป็นขุนนางในราชสำนักไม่นาน เขาก็ได้รับการขอร้องจากไป๋เหวินหยางผู้เป็นอาจารย์ให้แต่งงานกับบุตรสาวคนโตของเขา เพราะดูคล้ายว่าไป๋อวิ๋นเหยาที่อายุมากถึงยี่สิบสี่ปีจะตัดใจเรื่องการแต่งงานแล้ว
คู่รัก เหยาเหยา จึงเกิดขึ้นเช่นนี้ คนหนึ่งเย็นชาอายุมาก แต่อีกคนกลับยิ้มแย้มน่ารักอายุน้อยไม่ถึงยี่สิบปี เป็นที่กล่าวขานกันไปทั่วเมืองหลวง และแม้จะเป็นการแต่งงานที่ดูเหมือนเกิดจากความจำใจ แต่เฉินซูเหยาก็ไม่เคยละเลยความสำคัญของการดูแลภรรยา เขาดูแลนางด้วยความอ่อนโยนและเอาใจใส่เสมอ
พวกเขามีลูกด้วยกันสามคน ซึ่งแม้ว่าความรักของนางกับเขาจะไม่เคยเป็นไปตามที่ผู้คนคาดหวัง แต่นางก็ได้พบความสงบสุขในใจ ได้รับความอบอุ่นของสามีผู้น่ารักที่คอยละลายนางอยู่ทุกคืน
หลังจากที่ไป๋อวิ๋นเหยาคลอดลูกสาวคนที่สี่ และจัดงานศพให้บิดามารดา เฉินซูเหยาผู้มีความสามารถและน่ารักหล่อเหลาได้แสดงความสามารถช่วยเหลือชาวบ้านจากเหตุภัยพิบัติโรคร้ายในซางโจว เขาก็ได้รับความสนใจจากองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ที่ไม่เคยยอมผู้ใดมาก่อน องค์หญิงหว่านหนิง
เฉินซูเหยาก็รับองค์หญิงมาเป็นอนุในจวน ระหว่างที่ภรรยากำลังไว้ทุกข์ให้บิดามารดา หลายคนต่างยกย่องไป๋อวิ๋นเหยาว่าเป็นผู้มีบารมีที่องค์หญิงยอมเป็นอนุในจวนของนาง แม้สามีจะยังดูคล้ายให้ความเคารพต่อภรรยาและดูแลนางอย่างดี แต่การกระทำหลายครั้งก็ทำให้ใจของไป๋อวิ๋นเหยาแตกสลาย
ในคืนหนึ่งที่น้ำตาไหลพรากและทุกสิ่งรู้สึกเหมือนจะท่วมท้น ไป๋อวิ๋นเหยาตัดสินใจกระโดดลงน้ำเพื่อหนีจากความเจ็บปวด แต่ไม่ว่านางจะพยายามหนีอย่างไร ความโชคร้ายกลับไม่ยอมให้นางหนี
นางลืมตาขึ้นมาเห็นลูกชายคนโตที่ร้องไห้กอดนางไว้แน่น นางจึงตัดสินใจใช้ชีวิตต่อไป ไม่เคยพูดหรือถามถึงสามีอีก เขาเองก็ไม่เคยโผล่หน้ามาทำให้นางต้องลำบากใจ จากที่เคยมานอนกับนางบ้างบางคืนก็หนีไปใช้ชีวิตในเรือนกับองค์หญิงทุกคืนวัน
เพียงสองเดือนหลังจากนั้น สามีใจร้ายของนางและองค์หญิงก็ได้เสียชีวิตไปในเหตุการณ์ไฟไหม้ ซึ่งเกิดขึ้นในห้องส่วนตัวของพวกเขา ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังเริงรมย์ท่ามกลางเสียงดนตรีและราคะ
การตายของเฉินซูเหยาทำให้ใจของไป๋อวิ๋นเหยาหลุดพ้นจากพันธนาการบางสิ่ง นางเย็นชาราวกับหายใจทิ้ง แต่ก็ได้ใช้ชีวิตต่อไปท่ามกลางความสุขจากลูกๆ ที่โตขึ้นและมีชีวิตที่ดี
บุตรชายคนโตและคนรองเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กดี สอบเป็นขุนนางได้รับใช้ราชสำนัก ขณะเดียวกัน บุตรสาวสองคนก็ได้รับการแต่งงานกับชายหนุ่มที่มีคุณสมบัติเป็นที่พอใจ แม้ไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่ลูกเขยดูคล้ายจะเอาใจใส่บุตรีมาก ทั้งหมดนี้เป็นผลจากการเลี้ยงดูและการอบรมอย่างดีจากไป๋อวิ๋นเหยา นางคิดเช่นนั้น
เวลาผ่านไปจนถึงวันที่นางอายุแปดสิบปี ถือว่านางได้ใช้ชีวิตอย่างสงบและมีความสุข แม้จะเผชิญกับความเสียใจ แต่นางก็รู้ว่าครั้งหนึ่งในชีวิต นางได้เคยพานพบฤดูวสันต์ที่ทำให้ใจเต้น อาจไม่ได้ครองคู่ราวปี่อี้[3] แต่อายุเพียงนี้แล้ว นางไม่ได้ใฝ่ฝันถึงรักแท้อีก
และเมื่อถึงเวลาที่นางจากโลกนี้ไป ร่างของไป๋อวิ๋นเหยาก็ได้หลับใหลไปอย่างสงบ นางได้พบกับการพักผ่อนในดินแดนแห่งความสงบหลังจากที่ได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่แล้ว
ระหว่างที่ไป๋อวิ๋นเหยาเดินทางไปสู่โลกของคนตาย นางหวาดกลัวและสับสนอยู่บ้างที่ต้องเดินลำพังท่ามกลางฝูงวิญญาณที่ล่องลอยในความมืดมิดและความเงียบสงบ นางเดินไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ทิศทาง จนกระทั่งนางได้เห็นแสงสีฟ้าครามในระยะไกลราวกับเป็นสัญญาณที่เชื้อเชิญให้นางเข้าใกล้
เมื่อไป๋อวิ๋นเหยาเดินไปถึงหัวสะพานไน่เหอ[4] สะพานที่เป็นเส้นแบ่งระหว่างโลกของคนเป็นและคนตาย นางก็เห็นเฉินซูเหยายืนรออยู่ที่นั่น วิญญาณหญิงชราต้องขยี้ตาหลายครั้งเพื่อให้แน่ใจ
เขาสวมชุดสีฟ้าครามที่นางเคยเย็บให้ด้วยมือที่เต็มไปด้วยความรักและความเอาใจใส่ในทุกเส้นด้าย ชุดนั้นยังคงงดงามไม่เสื่อมคลายเหมือนกับวันที่เขาเคยสวมมันครั้งแรก หน้าตาของเขายังคงหล่อเหลา อบอุ่นและน่ารัก ราวกับเด็กชายผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงในทุกปีที่ผ่านไป ไร้ร่องรอยขององค์หญิงหว่านหนิง
[1]การสอบขุนนางของจีนในสมัยโบราณ
[2]วาสนาดอกท้อ หมายถึง วาสนาด้านความรัก
[3]นกปี่อี้ คือนกครึ่งซีก มีปรากฏในตำนานจีนและบทกวี แสดงถึงคู่รักที่ไม่อาจแบ่งแยก นกปี่อี้เป็นนกตัวผู้และตัวเมียที่แต่ละตัวมีตาเดียว ปีกเดียว และร่างซีกเดียว จึงต้องบินไปไหนไปด้วยกันตลอด เหมือนคู่รักที่ไม่อาจพลัดพราก ถ้าตัวหนึ่งตาย คู่ของมันก็จะอยู่ไม่ได้
[4]สะพานไน่เหอ คือสะพานที่เชื่อว่าเป็นเส้นแบ่งระหว่างโลกคนเป็นและโลกคนตาย เมื่อข้ามสะพานไปแล้วจะไม่สามารถกลับมาได้อีก
ท่ามกลางฝูงวิญญาณมากมายที่ล่องลอยอยู่รอบตัวของเขา เฉินซูเหยาหันมามองสบตากับป๋อวิ๋นเหยา เขายิ้มออกมาด้วยความดีใจ รอยยิ้มนั้นอบอุ่นเต็มไปด้วยความคิดถึง ราวกับช่วงเวลาหักหลังทั้งหมดที่ผ่านมานั้นไม่เคยมีอยู่จริง ความรักที่เขามีให้นางไม่เคยจางหายไปแม้แต่น้อย ไป๋อวิ๋นเหยารู้สึกเหมือนหัวใจที่หยุดเต้นไปแล้วกำลังบีบร้าวจากข้างใน ร่างที่แก่ชราของนางไม่อาจรับแรงกระแทกจากความรู้สึกที่ท่วมท้นใกล้จะหักร้าวไปเสียทุกขณะ ความเจ็บปวดที่ไม่สามารถอธิบายได้ล้นทะลักออกมา นางมองไปที่เฉินซูเหยา ทุกอย่างราวกับย้อนเวลาไปยังวันวานที่ทั้งสองคนเคยอยู่ด้วยกัน ความรักและความคิดถึงที่ไม่เคยลืมเลือน นางรับไม่ได้!ในทันใดนั้น ไป๋อวิ๋นเหยาก็หันหลังและวิ่งหนีสุดฝีเท้า ในความมืดที่เต็มไปด้วยเสียงวิญญาณซึ่งกำลังล่องลอยและกรีดร้อง นางวิ่งโดยไม่กล้าหันไปมองสายตาเจ็บปวดของเขานางไม่สามารถรับความจริงนี้ได้ ไม่สามารถเผชิญหน้ากับเขาได้อีกแล้วหลังจากทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ความเจ็บปวดและความโกรธในใจล้วนแต่ผลักดันให้นางอยากหนีไปจากเขา “สารเลวนั่น เหตุใดจึงรอข้า!!” หญิงชราก่นด่า ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงรอนางที่สะพานไน่เหอ[1] ทั้งที่
ในค่ำคืนที่แสนสับสนเหน็ดเหนื่อย ความฝันเกาะกุมจิตใจของไป๋อวิ๋นเหยา นางนอนหลับอย่างกระสับกระส่าย ท่ามกลางความมืด เสียงลมหายใจของนางหนักหน่วงราวกับกำลังวิ่งหนีสิ่งที่มองไม่เห็น ภาพความฝันเริ่มต้นด้วยสะพานไน่เหอ เฉินซูเหยาในชุดฟ้าสดใสยังยืนอยู่ตรงนั้น รอยยิ้มของเขาส่งมาถึงนาง ทว่าภาพค่อยๆ บิดเบี้ยว และกลับกลายเป็นงานแต่งงานในวัยเยาว์ นางเห็นตัวเองในชุดเจ้าสาวงดงาม แต่ภาพกลับสลับกับงานแต่งขององค์หญิงหว่านหนิงในชุดหรูหรา ชายหนุ่มในทั้งสองภาพคือคนเดียวกัน เฉินซูเหยา ใบหน้าอ่อนโยนของเขา มองนางในวันแต่งงาน ค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยสายตาหลงใหลที่เขามอบให้องค์หญิง ภาพในความฝันเคลื่อนเร็วขึ้น ราวกับกาลเวลาบิดหมุน นางเห็นตัวเองค่อยๆ แก่ตัวลง ทุกริ้วรอยบนใบหน้าเป็นดั่งร่องรอยแห่งความเจ็บปวด ขณะที่เฉินซูเหยายังคงเป็นชายหนุ่มรูปงาม น่ารัก ยิ้มแย้มไม่เปลี่ยนไปเลย เสียงหัวเราะขององค์หญิงหว่านหนิงดังขึ้นแทรกกลางฝัน ความฝันพานางกลับไปยังคืนหนึ่งที่ไม่มีวันลืม.. เวลานั้นดึกมากแล้ว แต่ไป๋อวิ๋นเหยาได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากเรือนนอนขององค์หญิง นางลังเลแต่ความรู้สึกบางอย่างผลักดันให้นางเดินไป มือของนางสั่นเมื
หลังเหตุการณ์วุ่นวาย เด็กๆ ถูกพี่เลี้ยงพาตัวไปล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้า ไป๋อวิ๋นเหยาก็กลับมาที่เรือนนอนของนาง สั่งให้สาวใช้ช่วยนางแต่งตัว เมื่อนางได้มีโอกาสนั่งลงมองกระจกทองเหลือง นางกลับหยุดนิ่ง ใบหน้าที่สะท้อนนั้นไม่ใช่หญิงชราวัยแปดสิบ หากแต่เป็นตัวนางในวัยสาว ผิวพรรณยังคงเปล่งปลั่ง สายตายังคมชัดเหมือนในวันเก่าก่อน หัวใจของนางสั่นสะท้าน "ฮูหยิน เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ ทุกคนได้ยินว่าท่านตกน้ำ แต่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ พอจะตามคนมาก็เห็นท่านกลับมาแล้ว..ข้าตกใจแทบแย่" สาวใช้คนสนิทเอ่ยถามไป๋อวิ๋นเหยาก้มหน้าลง ดวงตาหม่นแสงครุ่นคิด นางจำได้ชัดเจนว่าสิ่งที่เห็นเมื่อคืนไม่ใช่ความฝัน แต่นางยังไม่รู้ว่าควรเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นว่าอะไร"ข้า..เพียงเสียหลักตกน้ำเท่านั้น เจ้าอย่ากังวลเลย" นางตอบพลางหลุบตา แต่ภายในใจกลับปั่นป่วนราวคลื่นลมในทะเล นางแก่และตาย ไปพบสามีที่สะพานไน่เหอ และวิ่งกลับมาที่นี่อีกครั้ง นางจะเล่าเรื่องพวกนี้เช่นไรดีแต่ก่อนที่นางจะได้ทบทวนเรื่องราวให้แจ่มชัด สาวใช้อีกคนก็วิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน"ฮูหยินเจ้า! คุณชายใหญ่คล้ายจะตัวร้อนเจ้าค่ะ!" "ไปเรียกท่านหมอมาเดี๋ยวนี้" นางลุกขึ้น
คืนนั้น จันทร์สาดแสงอ่อนลงมาผ่านหน้าต่าง ไป๋อวิ๋นเหยานั่งอยู่บนเตียงข้างเสี่ยวอวี้ ลูกชายคนโตของนาง เด็กน้อยที่เงียบขรึมและเข้มแข็งจนเกินวัย ยามนี้เขานั่งบนเตียงมองมารดาเช่นกัน"เสี่ยวอวี้..." นางเอ่ยเสียงนุ่ม ไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นหลอกล่อลูกชายอย่างไรดีเพื่อให้เขายอมตอบคำถามของนาง“คืนนี้ท่านแม่จะนอนกับข้าอีกหรือขอรับ” เด็กน้อยถาม“ไม่ใช่..เมื่อเย็นเจ้าไปที่เรือนหลังเพื่ออันใด” และนางก็ยังเป็นนาง ไม่อาจมีกลใดมากมาย เพียงถามออกไปตรงๆ“...” เสี่ยวอวี้หน้าซีด ก้มลงมองมือเล็กของเขา“..สิ่งใดอยู่ในกระบอกไม้ไผ่”“ข้าไม่ทราบขอรับ ท่านพ่อ..เอ่อ เขาบอกว่าให้ข้าโตก่อน ค่อยเปิดดูขอรับ” เสียงของเสี่ยวอวี้สั่นด้วยความหวั่นเกรง แต่เขาตัดสินใจแล้วว่าถึงแม้จะถูกมารดาตี เขาก็จะไม่ยอมให้มารดาดูในกระบอกไม้ไผ่นั้น"..เจ้ารู้ว่าเขาเป็นผู้ช่วยแม่ขึ้นมาจากแม่น้ำคืนนั้น" เด็กน้อยนิ่งเงียบไปทันที เขาหลบสายตาเหมือนกำลังซ่อนอะไรบางอย่าง ความไร้เดียงสาในวัยเด็กทำให้เขาไม่อาจโกหกได้อย่างแนบเนียน “วันนั้นเกิดอะไรขึ้น” ไป๋อวิ๋นเหยาตัดสินใจถามคำถามที่นางไม่เคยคิดจะถามเมื่อยังมีชีวิตครั้งก่อน“ข้า..ไม่ทราบขอรับ” เสี
วันที่สามีของนางย้ายมาอยู่ที่นี่อย่างถาวร คือหลังจาก เหตุการณ์ที่นางจมน้ำ เฉินซูเหยาใช้เงินทองมากมายเพื่อปรับปรุง เรือนนี้ให้สมบูรณ์ กระทั่งขนของส่วนตัวทุกชิ้นของเขามาไว้ที่นี่ แต่ทว่า บัดนี้ในสายตาของนาง ทุกสิ่งกลับดูเรียบง่ายและสงบนิ่ง ไม่มี ร่องรอยใดที่จะแตกต่างไปจากเรือนหลังเก่าที่บิดาของนางอาศัย ดูแล้วในเรือนก็ยังปกติ ไป๋อวิ๋นเหยาจึงเดินไปดูที่ตู้เก็บ หนังสือ เดินดูตำราของสามีทีละเล่ม จนเห็นอะไรบางสิ่งสะท้อนแสง เบาๆ นางดึงตำราออกมาและเห็นว่าเป็นปิ่นปักผมเล่มเล็กวางหลัง กองหนังสือ ดวงตานางเบิกกว้าง ปิ่นเล่มนี้เป็นปิ่นที่เฉินซูเหยาชิงเอาจากผมของนางในคืนเข้าหอ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์น่ารักราวเด็กหนุ่มของเขาในวันนั้นยังคงชัดเจนใน ความทรงจำ ‘ของที่เป็นของข้า อย่างไรก็เป็นของข้า จะไม่มีวันปล่อยให้ผู้ใดแตะต้อง’ เขาพูดปนเสียงเขาหัวเราะน่าฟังขณะหยอกล้อ แต่หลังจากเขามอบหัวใจให้สตรีอื่น นางคิดว่าปิ่นเล่มนี้คง ถูกเขาทิ้งไปนานแล้ว แต่นางกลับยังเห็นอยู่ที่นี่ ไป๋อวิ๋นเหยาเอื้อมมือสั่นๆ ไปหยิบ แต่ทันทีที่พยายามดึงปิ่นออกมา เสียงกลไกแผ่วเบาก็ดัง ขึ้นจากด้านหลัง กองหนังสือและชั้นไม้ค่อยๆ แยกออก เผยใ
ริมสระน้ำใต้แสงสลัว ไป๋อวิ๋นเหยายืนข้างสามีที่ไม่ได้เห็นมานาน สายลมเย็นพัดผ่าน เสียงปลาขยับผิวน้ำแผ่วเบา ช่วยขับเน้นความเงียบระหว่างทั้งสองคน ใบหน้าของไป๋อวิ๋นเหยานิ่งสงบ ราวกับสายลมโหมกระหน่ำก็ไม่อาจกวนใจนางได้ แต่ในดวงตาคู่นั้นกลับซ่อนความหนักอึ้งไว้อย่างลึกซึ้ง ทอดมองชายผู้เป็นสามีอย่างเงียบงัน ขณะที่เขาไร้เยื่อใย ไม่แม้แต่จะชายตามองภรรยา ทุกอย่างดูเหมือนเขาเกลียดนางตามปกติ หากแต่สิ่งที่นางพบในเรือนลับ ทำให้หัวใจที่เคยเยือกเย็นปั่นป่วน เขาเก็บรูปของนางไว้มากมาย เขาแอบช่วยเหลือนาง เขายืนรออยู่ที่สะพานไน่เหอเพียงลำพังหลายปีแต่กลับปฏิบัติต่อนางด้วยความเย็นชา“ท่านพ่อของข้าเคยเป็นอาจารย์ของเจ้า เป็นผู้มีพระคุณที่เจ้าเคารพรัก ข้าเพียงขอให้เจ้าพูดกับข้าตามตรงสักครั้ง ได้หรือไม่” “เจ้าเป็นสตรีที่ยกเรื่องบุญคุณมากดดันผู้อื่นแล้วหรือ” เขาถามเสียงเรียบเฉย “เฉพาะครั้งนี้ เพราะข้าต้องการความจริง” เขาหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเงยหน้าขึ้นมองนาง แววตาคมดุที่เคยเยือกเย็นสะท้อนประกายเจ็บปวดชั่ววูบ ริมฝีปากเม้มแน่น ขณะที่คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน ราวกับคำพูดของนางกระทบ ความรู้สึกที่ซ่อนลึก เพียงไ
เมื่อท้องฟ้าสีดำในเมืองหลวงถูกประดับด้วยแสงเรืองรองของโคมไฟ เด็กๆ ต่างส่งเสียงหัวเราะตื่นเต้นรอคอยการเดินทางไปเทศกาล ท่านน้าและสามีของท่านน้าเตรียมรถม้าคันใหญ่สำหรับพาเหล่าลูกหลานออกไปเพลิดเพลิน เหมือนเช่นชาติก่อน ไป๋อวิ๋นเหยามองดูลูกๆ ในชุดใหม่ที่กำลังปีนขึ้นรถม้าอย่างร่าเริง แต่นางกลับอ้างว่าลืมของสำคัญของสตรี และปล่อยให้เด็กๆ ไปเที่ยวกับน้าสาวและน้าชายก่อน นางคิดว่านางจะรีบตามไปหลังจากเตือนสามีและอนุของเขา แล้วค่อยตามไปนอนพักที่บ้านน้องสาวคืนนี้ เหมือนชีวิตในครั้งก่อน เมื่อรถม้าเคลื่อนออกไป ไป๋อวิ๋นเหยามองตามจนสุดสายตา จากนั้นจึงหันหลังกลับ รีบสาวเท้ากลับไปยังจวนไป๋ ความมุ่งมั่นในดวงตาของนางแข็งกร้าวขึ้นทุกย่างก้าว ไป๋อวิ๋นเหยาเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เงาของนางทอดยาวไปตามพื้นหินที่เย็นเฉียบ ความเงียบสงบของค่ำคืนคล้ายทำให้นางรู้สึกว่าทุกย่างก้าวของตนหนักอึ้ง หัวใจเต้นระรัวไม่ต่างจากฝีเท้าม้าที่วิ่งลากรถม้าเคลื่อนไปไม่หยุดหย่อน ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อถึงเรือนหลัง นางหยุดหายใจชั่วครู่ก่อนจะก้าวเข้าสู่ความมืดที่ปกคลุมภายใต้เงาไม้ใหญ่ ทุกสิ่งดูเงียบสงัดเกินไป นางมองไปรอบๆ กลับไร้ซึ่งเง
“อย่าขยับ อยู่ตรงนั้น!” เสียงของเขาเด็ดขาดราวกับคำสั่ง แต่กลับเต็มไปด้วยความห่วงใยที่ปกปิดไม่มิด เฉินซูเหยาก้าวเข้า ประจันหน้ากับคนชุดดำที่เหลือ ท่าทางของเขาแม้จะดูอ่อนล้าลง เพราะบาดแผล แต่กลับเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นไม่ลดละ เขาจะไม่มี วันยอมให้ผู้ใดแตะต้องไป๋อวิ๋นเหยาได้เฉินซูเหยาตวัดดาบด้วยความแม่นยำ ร่างของคนชุดดำทั้งสองล้มลงในกระบวนท่าเดียว เลือดสาดกระเซ็นเปรอะพื้น แต่ก่อนที่เขาจะได้พักหายใจ เสียงฝีเท้าของนางรำจำนวนมากก็ดังเข้ามาใกล้ เขาขบฟันแน่น สายตาคมกวาดมองไปทางภรรยาที่เขายังต้องปกป้อง เขาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว สะบัดมือโยนฮว่าเจ๋อจึ[1]ออกไป จุดไฟขึ้นกลางเรือนด้วยมือที่ยังเปื้อนเลือด เปลวไฟลุกโชนกินเนื้อไม้ จนเสียงแตกเปรี๊ยะดังไปทั่ว คล้ายเขาลงน้ำมันไว้แล้วก่อนหน้าเฉินซูเหยาฉวยมือคว้าเอวไป๋อวิ๋นเหยาแน่น แม้ร่างกายเขา จะอ่อนล้าจากบาดแผล แต่ฝีเท้ายังคงเร่งรีบ ลากนางมุ่งไปทางบ่อน้ำ ด้านหลังเรือน ตลอดทางไป๋อวิ๋นเหยาเห็นว่ามีร่างคนล้มตายเกลื่อนกลาด คล้ายการต่อสู้นี้เกิดขึ้นก่อนที่นางจะเข้ามาแล้ว กลิ่นกำยานเจืออยู่ในอากาศ หญิงสาวในชุดรำที่วิ่งตามมา หอบหายใจรุนแรงก่อนจะทรุดลงทีละคน
เสี่ยวอวี้ เสี่ยวหยาง เสี่ยวชิง และเสี่ยวหลันโผเข้ากอดนางแน่น ดวงตาเปียกชุ่มด้วยน้ำตาแห่งความปลื้มปีติ หลังจากที่ต้องทนทุกข์ใจกับข่าวร้ายที่ท่านน้ากระซิบบอกว่าอาจไม่ได้พบมารดาอีกหลายวัน หรือตลอดไป ไป๋อวิ๋นเหยาใช้เวลาปลอบโยนลูกๆ ที่ยังไม่คลายจากความหวาดหวั่น เสียงหัวเราะและรอยยิ้มกลับมาเติมเต็มจวนไป๋อีกครั้ง แต่ลึกลงไปในใจของนาง ความกังวลยังคงรุกล้ำเงียบงัน วันแล้ววันเล่า นางเฝ้ารอการกลับมาของสามีผู้เป็นที่รัก แต่มีเพียงสายลมหนาวยามค่ำคืนเท่านั้นที่ตอบกลับมา องค์หญิงหว่านหนิงถูกประกาศว่าถูกไฟไหม้เสียชีวิต เพราะเมามายเกินไประหว่างคืนเทศกาลโคมไฟ และจวนไป๋ก็ได้รับเงินมากมายจากราชสำนักเพื่อบำรุงซ่อมแซมจวน แต่ไร้เงาของเฉินซูเหยา เวลาล่วงผ่านไปนานนับเดือน แต่สามีของไป๋อวิ๋นเหยาก็ยังไม่กลับมา นางเฝ้ารอด้วยความทุกข์ใจจนแทบทนไม่ไหว ความเงียบงันที่ไม่มีแม้เงาของเขาทำให้นางตัดสินใจลงมือเอง แม้จะเป็นเพียงบุตรีของอดีตบัณฑิต แต่ด้วยแรงแห่งความรักและความหวัง นางจึงพยายามหาหนทางติดต่อองค์รัชทายาท ทุกก้าวของนางเต็มไปด้วยอุปสรรค สายตาดูแคลน และเสียงกระซิบวิจารณ์ แต่ไป๋อวิ๋นเหยาก็ไม่ยอมแพ้ กระทั่งวัน
ความรู้สึกผิดท่วมท้น นางเงยหน้ามองชายผู้เคยเป็นดั่งเงาในชีวิตด้วยน้ำตาที่รินไหล เขาต้องการให้นางเจ็บปวดเพื่อนางจะได้หันหน้าหนี เพื่อนางจะได้ปลอดภัย และนางก็เป็นเช่นนั้น เกลียดเขาจนวันสุดท้ายของชีวิต แม้เขาจะรอนางอย่างเดียวดายที่สะพานไน่เหอ หลายปี แต่นางก็ยังเกลียดเขา “ข้า..ข้ามันเห็นแก่ตัวนัก” เสียงแหบพร่าของไป๋อวิ๋นเหยาสั่นเทา นางสะอื้นน้ำตารื้น “..เหตุใดจึงเป็นเหยาเหยาเห็นแก่ตัวเล่า..ข้าต่างหากที่เห็นแก่ตัว ข้าต่างหากที่ทำให้เจ้าเจ็บปวด ทำให้เจ้าต้องเดือดร้อน” เขากอดรัดภรรยาไว้จนแน่น “เจ้าคิดจะตายลำพัง!” นางก่นด่า หากเมื่อคืนนี้นางไม่เข้าไปในเรือนหลัง เขาก็คงจะตายลำพังอีกแล้ว “ข้าเตรียมทางหนีไว้แล้ว เจ้าไม่เห็นหรือ ทางที่ข้าพาเจ้าหนีมาอย่างไรเล่า” เขาลูบหัวของภรรยาเบาๆ “แต่หากข้าไม่เข้าไป เจ้าก็จะรอจนแม่ทัพหนุ่มที่เผาภูเขาลูกนั้นเข้ามาในจวน แล้วเจ้าค่อยเผาใช่หรือไม่!!” นางเข้าใจความตั้งใจของเขาดี เขาคงคิดจะเสียสละชีวิตเพื่อลากทุกคนไปกับเขา “..เหยาเหยาไม่ต้องกังวล ข้าจะหาทาง” “แล้วเราจะทำเช่นไรต่อไปดี ข้า..ข้าทำให้เจ้า..ข้าทำแผนของเจ้าพัง” “เหยาเหยาไม่ต้องกังวล” เขาเพียงพูดพร
เฉินซูเหยากอดร่างของภรรยาไว้ในอ้อมแขน ร่างของนางที่ยังอ่อนแรงพิงเขาอย่างตกตะลึงในความจริง นางเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม“เจ้ากล้าโกหกข้าหรือ” ไป๋อวิ๋นเหยาท้วงติงไม่พอใจ เขาหัวเราะขบขัน ไม่เห็นการข่มขู่ของภรรยาอยู่ในสายตา เขาเพียงเริ่มเล่าถึงความหลังที่เกิดขึ้นต่อไปพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น มองภรรยาด้วยความรักใคร่ ไป๋เหวินหยาง เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการศึกสงคราม แต่ก็เป็นบัณฑิตมากความสามารถ มีสายตาที่มองทะลุความสามารถของคน แม้จะรู้ว่าเฉินซูเหยาเป็นบุตรนอกสมรสของแม่ทัพหยวนกวน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็ยังยื่นมือมาช่วยเหลือเฉินซูเหยาไว้ ช่วยปกปิดภูมิหลังของเขา ซ่อนเขาจากศัตรูของแม่ทัพ สั่งสอนเขาราวกับศิษย์คนหนึ่ง หลังจากเด็กหนุ่มสอบได้เป็นจอหงวน ชีวิตของเขาก็เริ่มรู้สึกสงบสุข ได้แต่งงาน เขาไม่เคยคิดแก้แค้นให้บิดาเลยแม้แต่น้อย เพราะกำลังของเขาไม่มากพอ และที่สำคัญ เขาแต่งงานกับหญิงสาวตรงหน้าแล้ว เขาไม่อยากให้ภัยอันตรายใดๆ มาถึงจวนไป๋ หรือครอบครัวของนาง เขาจึงเลือกที่จะวางอดีตลง หรืออย่างน้อยก็พยายามวาง แต่ในใต้หล้านี้ ความตั้งใจหรือจะสู้ฟ้าลิขิต หลังจากเฉินซูเหยาได้ร
“อ้า..เหยาเหยา..” เขาครางแหบพร่าไป๋อวิ๋นเหยาแทบอยากจะกรีดร้อง เพราะรู้สึกว่าความร้อนแท่งใหญ่ที่ค่อยๆ ซึมเข้ามา เหมือนเปลวเพลิงกำลังกัดกิน ทุกอณูของร่างเริ่มร้อนจนเหมือนจะระเบิด ความกำหนัดที่เขาเพาะบ่มตลอดการย่างกำลังทวีขึ้น ความรู้สึกถูกเผาผลาญนั้นเหมือนจี้ถูกจุดร่างกายของไป๋อวิ๋นเหยาสั่นระริกโดยไม่อาจควบคุม พวยพุ่งความสุขสมออกมาจนท่วมรอบเอวสามี เขาไม่ได้รังเกียจ อีกทั้งยังกอดนางแน่นยิ่งขึ้น งัดเอวขึ้นเพื่อกดแท่งหยกซ้ำๆ บนจุดแสนหวานในร่องรักของภรรยา “เหยาเหยากล้าพวยพุ่งน้ำพุใส่ข้าแล้วหรือ” เขาล้อเลียน ยิ้ม บางเบาพึงพอใจ ระหว่างที่ยังคงบดสะโพกต่อไป ไป๋อวิ๋นเหยาใบหน้าแดงก่ำอยากร้องไห้ นางสั่นระริกสุขสมไปทั่วร่าง เขายังกล้าล้อเล่นเช่นนี้อีก เมื่อก่อนเขาชอบขอจะดูนางปลดเบา อย่างไรนางก็ไม่ให้ เขาจึงได้แต่ทำใจ วันนี้นางพวยพุ่งใส่เขาเช่นนี้ ไม่ใช่นางกล้าหาญหรือจงใจ แต่เพราะนางควบคุมไม่ได้จริงๆ และนางกล้าสาบานว่านี่ไม่ใช่การปลดเบาเขาต่างหากที่ทำให้นางควบคุมตัวเองไม่ได้เช่นนี้!“ชู่ว..ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือ เหยาเหยาเย้ายวนยิ่ง” เขาชื่นชม ก้มลงจูบซับน้ำที่เอ่อล้นขอบตาของภรรยา ลิ้มเลียน้ำตาของ
มือของเขาเคลื่อนไปจับมือของนางที่อ่อนปวกเปียกเพราะพิษกำยาน และเริ่มนวดเบาๆ ที่ปลายนิ้ว ไล่ไปจนถึงฝ่ามืออย่างทะนุถนอม แม้มือของเขาเองจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่มันกลับไม่หยุดความพยายามของเขาแม้แต่น้อย ราวกับจะทำทุกวิถีทางให้นางรู้สึกร้อนรุ่มขึ้น นางได้แต่มองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความอึดอัดปนความสับสน แม้จะอยากปฏิเสธ แต่ความรู้สึกอ่อนโยนที่เขามอบให้ กลับทำให้นางไม่อาจห้ามหัวใจของตัวเองไม่ให้เต้นระรัว เด็กสารเลวนี่ วางแผนจะรวบนางนานแล้วหรือ! นางคิดว่าท่านพ่อบังคับเขาให้แต่งเสียอีก ที่แท้เขาก็ไม่ได้ใสซื่อมือของเฉินซูเหยาค่อยๆ เลื่อนต่ำลงมาที่ปลายเท้าของนางเขาเริ่มนวดที่ฝ่าเท้า ไล่ขึ้นไปจนถึงข้อเท้าอย่างแผ่วเบา สัมผัสของเขาช่างอ่อนโยนและตั้งใจ เหมือนพยายามจะบรรเทาความชาและขับพิษให้นางให้ได้มากที่สุด แต่สายตาหื่นกระหายกลับพูดสิ่งอื่น “เลือดลมของเจ้าจะต้องรีบขับออก” เขาพูดเบาๆ พลางจ้องมองใบหน้าของนางที่เริ่มแดงจนคล้ำ แม้ในใจไป๋อวิ๋นเหยาจะยังคงประท้วงอยู่ แต่ร่างกายกลับยอมรับสัมผัสของเขาอย่างเต็มใจ นางหลับตาลงเล็กน้อย ปล่อยให้ความร้อนรุ่มจากพิษสมุนไพรและสัมผัสของเขาไหลเวียนไปทั่วร่าง ท่ามกล
“...” ไป๋อวิ๋นเหยาส่งสายตาขุ่นเคืองไปยังเขา แต่กลับทำให้เขายิ่งหัวเราะชอบใจ “ดื่มเถิด ข้าจะช่วยพยุงเจ้าเอง” เขาประคองนางขึ้นอย่างระมัดระวัง แม้บาดแผลของเขาจะส่งผลให้ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไป ด้วยความเจ็บปวด แต่เขาก็ไม่แสดงอาการใดๆ เพียงใช้แขนที่มั่นคงรองรับร่างของนางไว้ริมฝีปากของนางสัมผัสกับของเหลวสีเขียวเข้ม กลิ่นของมันไม่ชวนดื่มเอาเสียเลย ทว่าด้วยแรงผลักดันจากแววตาที่มุ่งมั่นน่ารัdของเขา ไป๋อวิ๋นเหยาจึงกล้ำกลืนมันลงคอไปอย่างยากลำบากเมื่อนางยอมดื่มจนหมด เฉินซูเหยาก็โยนถ้วยใบไม้ทิ้ง จากนั้นก็ก้มลงไปจุมพิตนาง เรียวลิ้นกวาดสัมผัสยาสมุนไพรขมๆ ในปากอิ่มของภรรยาอย่างหิวโหย ไป๋อวิ๋นเหยาเบิกตาโพลง ตกใจราวสาวน้อยที่เพิ่งเคยจุมพิตนางรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปพบกับเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดที่ขโมยจุมพิตแรกของนาง ราวเด็กหนุ่มเอาแต่ใจผู้นั้นยังคงอยู่ไม่หายไปไหน “เจ้ายังขยับไม่ได้ แต่เลือดเริ่มไหลเวียนดีขึ้นแล้ว อีกไม่นานเจ้าจะหาย” เขากระซิบบนริมฝีปากของภรรยา เหมือนปลอบเด็กน้อย เขาชอบทำเช่นนี้เสมอ ป้อนยานางและตามด้วยจุมพิตขมปนหวาน เขาทำเช่นนี้ทุกครั้งที่นางป่วย เอาใจใส่นางและกลั่นแกล้งนาง ร่างแน่นิ่งซึ่
เปลวไฟเริ่มลุกลามไปตามต้นไม้แห้งบนเขาอย่างรวดเร็ว ควันดำพวยพุ่งขึ้นปกคลุมท้องฟ้า ความร้อนระอุค่อยๆ แผ่ขยายออกไปขณะที่เสียงสัตว์ป่ากรีดร้องดังขึ้นทั่วภูเขา สัตว์ต่างๆ วิ่งพล่านออกจากป่าด้วยความตื่นตระหนก บ้างสะดุดล้ม บ้างถูกไฟคลอกจนสิ้นใจ พวกมันพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด แต่ไม่มีตัวไหนหลุดรอดจากเงื้อมมือเปลวเพลิง ในขณะที่ไฟกำลังโหมกระหน่ำบนเขา เฉินซูเหยาและไป๋อวิ๋นเหยาหยุดอยู่ปลายแม่น้ำที่ทอดตัวไกลจากเขาลูกนั้น ใบหน้าของชายหนุ่มซีดเซียว แต่แววตายังคงมุ่งมั่น เขามองยอดเขาที่กลายเป็นเปลวเพลิงสีแดงฉาน ลุกไหม้ราวกับต้องการกลืนกินทุกสิ่ง“พวกมันไม่ยอมปล่อยเรา” เขาพึมพำ ขณะสายตายังจับจ้องภาพโหดร้ายตรงหน้า ไป๋อวิ๋นเหยาเงียบงัน ยืนนิ่งอยู่ข้างเขา น้ำใสเย็นจากแม่น้ำไหลเชี่ยวอยู่รอบข้อเท้าทั้งสอง แต่กลับไม่อาจดับความร้อนแรงจากเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ภูเขาอยู่เบื้องหน้าได้ สองเท้าของนางหนาวเย็นจนเริ่มไร้ความรู้สึก สองมือของนางเริ่มเป็นเหน็บชา เฉินซูเหยาไม่ได้เอ่ยคำใดอีก เขาเพียงจับมือภรรยาแน่น และพาก้าวเดินต่อไป มุ่งหน้าสู่ที่ปลอดภัย โดยปล่อยให้ภูเขาที่ลุกโชนคงอยู่เป็นสัญลักษณ์แห่งความอำมหิตของศัตรูที
“อย่าขยับ อยู่ตรงนั้น!” เสียงของเขาเด็ดขาดราวกับคำสั่ง แต่กลับเต็มไปด้วยความห่วงใยที่ปกปิดไม่มิด เฉินซูเหยาก้าวเข้า ประจันหน้ากับคนชุดดำที่เหลือ ท่าทางของเขาแม้จะดูอ่อนล้าลง เพราะบาดแผล แต่กลับเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นไม่ลดละ เขาจะไม่มี วันยอมให้ผู้ใดแตะต้องไป๋อวิ๋นเหยาได้เฉินซูเหยาตวัดดาบด้วยความแม่นยำ ร่างของคนชุดดำทั้งสองล้มลงในกระบวนท่าเดียว เลือดสาดกระเซ็นเปรอะพื้น แต่ก่อนที่เขาจะได้พักหายใจ เสียงฝีเท้าของนางรำจำนวนมากก็ดังเข้ามาใกล้ เขาขบฟันแน่น สายตาคมกวาดมองไปทางภรรยาที่เขายังต้องปกป้อง เขาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว สะบัดมือโยนฮว่าเจ๋อจึ[1]ออกไป จุดไฟขึ้นกลางเรือนด้วยมือที่ยังเปื้อนเลือด เปลวไฟลุกโชนกินเนื้อไม้ จนเสียงแตกเปรี๊ยะดังไปทั่ว คล้ายเขาลงน้ำมันไว้แล้วก่อนหน้าเฉินซูเหยาฉวยมือคว้าเอวไป๋อวิ๋นเหยาแน่น แม้ร่างกายเขา จะอ่อนล้าจากบาดแผล แต่ฝีเท้ายังคงเร่งรีบ ลากนางมุ่งไปทางบ่อน้ำ ด้านหลังเรือน ตลอดทางไป๋อวิ๋นเหยาเห็นว่ามีร่างคนล้มตายเกลื่อนกลาด คล้ายการต่อสู้นี้เกิดขึ้นก่อนที่นางจะเข้ามาแล้ว กลิ่นกำยานเจืออยู่ในอากาศ หญิงสาวในชุดรำที่วิ่งตามมา หอบหายใจรุนแรงก่อนจะทรุดลงทีละคน
เมื่อท้องฟ้าสีดำในเมืองหลวงถูกประดับด้วยแสงเรืองรองของโคมไฟ เด็กๆ ต่างส่งเสียงหัวเราะตื่นเต้นรอคอยการเดินทางไปเทศกาล ท่านน้าและสามีของท่านน้าเตรียมรถม้าคันใหญ่สำหรับพาเหล่าลูกหลานออกไปเพลิดเพลิน เหมือนเช่นชาติก่อน ไป๋อวิ๋นเหยามองดูลูกๆ ในชุดใหม่ที่กำลังปีนขึ้นรถม้าอย่างร่าเริง แต่นางกลับอ้างว่าลืมของสำคัญของสตรี และปล่อยให้เด็กๆ ไปเที่ยวกับน้าสาวและน้าชายก่อน นางคิดว่านางจะรีบตามไปหลังจากเตือนสามีและอนุของเขา แล้วค่อยตามไปนอนพักที่บ้านน้องสาวคืนนี้ เหมือนชีวิตในครั้งก่อน เมื่อรถม้าเคลื่อนออกไป ไป๋อวิ๋นเหยามองตามจนสุดสายตา จากนั้นจึงหันหลังกลับ รีบสาวเท้ากลับไปยังจวนไป๋ ความมุ่งมั่นในดวงตาของนางแข็งกร้าวขึ้นทุกย่างก้าว ไป๋อวิ๋นเหยาเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เงาของนางทอดยาวไปตามพื้นหินที่เย็นเฉียบ ความเงียบสงบของค่ำคืนคล้ายทำให้นางรู้สึกว่าทุกย่างก้าวของตนหนักอึ้ง หัวใจเต้นระรัวไม่ต่างจากฝีเท้าม้าที่วิ่งลากรถม้าเคลื่อนไปไม่หยุดหย่อน ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อถึงเรือนหลัง นางหยุดหายใจชั่วครู่ก่อนจะก้าวเข้าสู่ความมืดที่ปกคลุมภายใต้เงาไม้ใหญ่ ทุกสิ่งดูเงียบสงัดเกินไป นางมองไปรอบๆ กลับไร้ซึ่งเง