ท่ามกลางฝูงวิญญาณมากมายที่ล่องลอยอยู่รอบตัวของเขา เฉินซูเหยาหันมามองสบตากับป๋อวิ๋นเหยา เขายิ้มออกมาด้วยความดีใจ รอยยิ้มนั้นอบอุ่นเต็มไปด้วยความคิดถึง ราวกับช่วงเวลาหักหลังทั้งหมดที่ผ่านมานั้นไม่เคยมีอยู่จริง ความรักที่เขามีให้นางไม่เคยจางหายไปแม้แต่น้อย
ไป๋อวิ๋นเหยารู้สึกเหมือนหัวใจที่หยุดเต้นไปแล้วกำลังบีบร้าวจากข้างใน ร่างที่แก่ชราของนางไม่อาจรับแรงกระแทกจากความรู้สึกที่ท่วมท้นใกล้จะหักร้าวไปเสียทุกขณะ ความเจ็บปวดที่ไม่สามารถอธิบายได้ล้นทะลักออกมา
นางมองไปที่เฉินซูเหยา ทุกอย่างราวกับย้อนเวลาไปยังวันวานที่ทั้งสองคนเคยอยู่ด้วยกัน ความรักและความคิดถึงที่ไม่เคยลืมเลือน นางรับไม่ได้!
ในทันใดนั้น ไป๋อวิ๋นเหยาก็หันหลังและวิ่งหนีสุดฝีเท้า ในความมืดที่เต็มไปด้วยเสียงวิญญาณซึ่งกำลังล่องลอยและกรีดร้อง นางวิ่งโดยไม่กล้าหันไปมองสายตาเจ็บปวดของเขา
นางไม่สามารถรับความจริงนี้ได้ ไม่สามารถเผชิญหน้ากับเขาได้อีกแล้วหลังจากทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ความเจ็บปวดและความโกรธในใจล้วนแต่ผลักดันให้นางอยากหนีไปจากเขา
“สารเลวนั่น เหตุใดจึงรอข้า!!” หญิงชราก่นด่า ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงรอนางที่สะพานไน่เหอ[1] ทั้งที่เขาพูดว่าเขาไม่ต้องการนางแล้ว เขาพูดเช่นนั้นออกมาเอง!
ไป๋อวิ๋นเหยาวิ่งไปข้างหน้าท่ามกลางความมืด นางไม่หันกลับมามองสะพานไน่เหอที่ทอดยาว แม้จะรู้สึกถึงสายตาคู่นั้นที่จับจ้องมาด้วยความคิดถึง แต่นางก็ไม่อาจเผชิญหน้ากับเขาได้ ความเจ็บปวดเก่าๆ คล้ายกรงเล็บที่จิกลงกลางอก
ร่างชราของนางพยายามฝืนวิ่งต่อไป ทว่าทุกย่างก้าวกลับหนักหนาเหมือนจมลงในโคลน สุดท้าย นางก็สะดุดล้ม ร่างกายกลิ้งตกลงสู่แม่น้ำเหลือง ความเย็นเยียบโอบล้อมร่างกายของนางไว้ ความทรมานจากการหายใจไม่ออกเหมือนจะฉีกนางเป็นชิ้นๆ สติของนางเลือนราง ร่างกายไร้เรี่ยวแรงและเริ่มจมดิ่งลงสู่ความมืดมิด
กระทั่งมีสัมผัสบางเบาแต่มั่นคงฉุดรั้งนางขึ้นจากความลึก ดึงนางกลับมาสู่โลกที่เต็มไปด้วยเสียงลมกลางคืนและกลิ่นดินเปียกชื้น นางปวดแสบทั่วทั้งคอและอก กระอักน้ำออกมาหลายครั้ง ก่อนจะลืมตาอย่างเชื่องช้าทรมาน
ความสับสนและเหนื่อยล้าปกคลุมจิตใจ แต่สิ่งแรกที่นางเห็นคือใบหน้าของเด็กชายตัวน้อย เด็กชายคนหนึ่งกำลังกอดนางไว้แน่น น้ำตาไหลอาบแก้มของเขา ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
"ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านลืมตาแล้ว..ฮือ ๆ ๆ" เสียงสั่นเครือของเด็กชายเหมือนคมมีดที่เฉือนหัวใจไป๋อวิ๋นเหยา นางมองเขาอย่างตกตะลึง ใบหน้าเขาดูอ่อนวัยราวห้าหรือหกขวบ แต่ความรักและความเป็นห่วงที่ฉายชัดในดวงตานั้นทำให้นางจดจำเขาได้ทันที
"เสี่ยวอวี้..." นางกระซิบเสียงแหบพร่า เด็กชายตรงหน้าคือบุตรชายคนโตของนาง เขายังเล็กและร้องไห้สะอึกสะอื้น มือน้อยๆ กุมใบหน้านาง ลูบไล้ราวกับตรวจสอบว่านางปลอดภัยจริงหรือไม่
"ท่านแม่ อย่าทิ้งข้าไป ข้าจะปกป้องท่านเองขอรับ"
“...” ไป๋อวิ๋นเหยางุนงง นางจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่มองหน้าบุตรชาย เขาเป็นขุนนางใหญ่ มีริ้วรอยเต็มหน้าแล้ว
นางเอื้อมมือกอดลูกชายไว้แน่น สัมผัสอบอุ่นจากร่างเล็กนั้นทำให้นางน้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาโดยไม่รู้ตัว ขณะที่ลมหายใจของนางเริ่มกลับมาเป็นปกติ ความเป็นจริงตรงหน้าเริ่มแจ่มชัดขึ้น
ใต้แสงจันทร์ที่สาดลงมาบางเบา เสียงสายลมกลางคืน ลมหายใจและความเงียบสงบรอบตัวช่วยยืนยันว่านางยังมีชีวิตอยู่ บางสิ่งในอกของนางยังคงเต้นแรง นางไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ช่วยชีวิต แต่การได้เห็นลูกชายที่ยังเล็กร้องไห้ นางคิดได้เพียงย้อนเวลากลับอีกครั้ง!
นี่เป็นครั้งเดียวที่นางเห็นลูกชายคนโตร้องไห้ หลังจากนี้ เด็กชายในอ้อมแขนของนางคนนี้ไม่เคยหลั่งน้ำตาอีกเลย ไม่ว่าจะมีเรื่องเลวร้ายเช่นใดเกิดขึ้นเขาก็ไม่ร้องไห้ แม้กระทั่งวันที่บิดาของเขาถูกไฟคลอก เสี่ยวอวี้ก็ไม่มีน้ำตา
คืนนี้คือคืนที่นางกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย!
ไป๋อวิ๋นเหยามองไปรอบๆ เห็นคราบน้ำเปียกเป็นทางเดินหายไปในพุ่มไม้ ชิวิตก่อนนั้นนางเสียใจและสงสารเสี่ยวอวี้จนไม่ได้สงสัยอะไรมาก คิดเพียงว่าคงเป็นบ่าวชายสักคนที่ช่วยชีวิตนางไว้ และไม่อยากให้ชื่อเสียงของนางเสื่อมเสีย
แต่ครั้งนี้ นางเริ่มสงสัยว่าฝ่ามือแสนอบอุ่นนั้นเป็นของผู้ใด นางค่อยๆ อุ้มเสี่ยวอวี้ไว้ในอ้อมแขนและเดินตามคราบน้ำนั้นไป แม้นางจะตัวเปียกและหนาวเย็น นางก็ยังเดินตามรอยเปียกไป มือหนึ่งอุ้มบุตรชาย อีกมือก็คอยลูบหลังปลอบโยนเด็กน้อยที่สะอื้นเบาๆ
“เหตุใดเจ้าเปียกเช่นนี้!” องค์หญิงในชุดเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย ใส่เพียงตู้โตว[2]และกระโปรงวิ่งมากอดแขนเฉินซูเหยาผู้ซึ่งเปียกโชก
“...”เฉินซูเหยาไม่ตอบ แต่กลับกระชากแขนออกจากการเกาะกุมขององค์หญิง เดินเข้าห้องของเขาและปิดประตูใส่หน้าองค์หญิงด้วยความเย็นชา
“เฉินซูเหยา! เจ้ากล้าปิดประตูใส่ข้าหรือ! เจ้ากล้าทิ้งข้าและยังกล้าวิ่งไปหานางนั่นอีก!” องค์หญิงใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ ทั้งเตะทั้งทุบประตูอย่างเดือดดาล
ภาพตรงหน้าทำให้ในหัวของไป๋อวิ๋นเหยาว่างเปล่า นางยืนอยู่ข้างต้นไม้ห่างจากเรือนนอนขององค์หญิงไม่มาก นางตามรอยเปียกตามพื้นมาถึงที่นี่
ร่างเปียกโชกของเฉินซูเหยา การทะเลาะวิวาทตรงหน้า ทุกอย่างล้วนบ่งบอกว่าผู้ที่ช่วยนางขึ้นมาจากใต้น้ำคือสามีของนางเอง แต่นางไม่กล้าคิด ไม่กล้าทบทวนสิ่งต่างๆ ไม่กล้าหาเหตุผลว่าเหตุใดเขาจึงเป็นผู้ช่วยชีวิตนาง ได้แต่ยืนนิ่งงัน
“ท่านแม่..” เสี่ยวอวี้กอดคอมารดาและเรียกเบาๆ
ไป๋อวิ๋นเหยาได้สติ นางวางทุกสิ่งทิ้งเพราะตัวของบุตรชายกำลังหนาวจนตัวสั่น นางต้องรีบอุ้มเขาวิ่งกลับห้องและสั่งสาวใช้ต้มน้ำอุ่นมาเช็ดตัวให้บุตรชาย เปลี่ยนเสื้อผ้าและหาผ้าห่มอุ่นๆ มาคลุมตัวลูกน้อย คืนนั้นนางจึงนอนกับเสี่ยวอวี้
[1]เป็นความเชื่อเรื่องที่คู่แต่งงานจะรอข้ามสะพานความตายด้วยกัน จะได้ไม่เงียบเหงายามข้ามไปปรภพ ดังนั้นหากมีลูกหลานคนไหนยังไม่แต่งงานแล้วเสียชีวิต พ่อแม่หรือญาติพี่น้องมักจะหาคู่แต่งงานมาให้หลังการตาย
[2]ตู้โตว คือ เสื้อชั้นในของสตรีในสมัยจีนโบราณ
ในค่ำคืนที่แสนสับสนเหน็ดเหนื่อย ความฝันเกาะกุมจิตใจของไป๋อวิ๋นเหยา นางนอนหลับอย่างกระสับกระส่าย ท่ามกลางความมืด เสียงลมหายใจของนางหนักหน่วงราวกับกำลังวิ่งหนีสิ่งที่มองไม่เห็น ภาพความฝันเริ่มต้นด้วยสะพานไน่เหอ เฉินซูเหยาในชุดฟ้าสดใสยังยืนอยู่ตรงนั้น รอยยิ้มของเขาส่งมาถึงนาง ทว่าภาพค่อยๆ บิดเบี้ยว และกลับกลายเป็นงานแต่งงานในวัยเยาว์ นางเห็นตัวเองในชุดเจ้าสาวงดงาม แต่ภาพกลับสลับกับงานแต่งขององค์หญิงหว่านหนิงในชุดหรูหรา ชายหนุ่มในทั้งสองภาพคือคนเดียวกัน เฉินซูเหยา ใบหน้าอ่อนโยนของเขา มองนางในวันแต่งงาน ค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยสายตาหลงใหลที่เขามอบให้องค์หญิง ภาพในความฝันเคลื่อนเร็วขึ้น ราวกับกาลเวลาบิดหมุน นางเห็นตัวเองค่อยๆ แก่ตัวลง ทุกริ้วรอยบนใบหน้าเป็นดั่งร่องรอยแห่งความเจ็บปวด ขณะที่เฉินซูเหยายังคงเป็นชายหนุ่มรูปงาม น่ารัก ยิ้มแย้มไม่เปลี่ยนไปเลย เสียงหัวเราะขององค์หญิงหว่านหนิงดังขึ้นแทรกกลางฝัน ความฝันพานางกลับไปยังคืนหนึ่งที่ไม่มีวันลืม.. เวลานั้นดึกมากแล้ว แต่ไป๋อวิ๋นเหยาได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากเรือนนอนขององค์หญิง นางลังเลแต่ความรู้สึกบางอย่างผลักดันให้นางเดินไป มือของนางสั่นเมื
หลังเหตุการณ์วุ่นวาย เด็กๆ ถูกพี่เลี้ยงพาตัวไปล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้า ไป๋อวิ๋นเหยาก็กลับมาที่เรือนนอนของนาง สั่งให้สาวใช้ช่วยนางแต่งตัว เมื่อนางได้มีโอกาสนั่งลงมองกระจกทองเหลือง นางกลับหยุดนิ่ง ใบหน้าที่สะท้อนนั้นไม่ใช่หญิงชราวัยแปดสิบ หากแต่เป็นตัวนางในวัยสาว ผิวพรรณยังคงเปล่งปลั่ง สายตายังคมชัดเหมือนในวันเก่าก่อน หัวใจของนางสั่นสะท้าน "ฮูหยิน เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ ทุกคนได้ยินว่าท่านตกน้ำ แต่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ พอจะตามคนมาก็เห็นท่านกลับมาแล้ว..ข้าตกใจแทบแย่" สาวใช้คนสนิทเอ่ยถามไป๋อวิ๋นเหยาก้มหน้าลง ดวงตาหม่นแสงครุ่นคิด นางจำได้ชัดเจนว่าสิ่งที่เห็นเมื่อคืนไม่ใช่ความฝัน แต่นางยังไม่รู้ว่าควรเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นว่าอะไร"ข้า..เพียงเสียหลักตกน้ำเท่านั้น เจ้าอย่ากังวลเลย" นางตอบพลางหลุบตา แต่ภายในใจกลับปั่นป่วนราวคลื่นลมในทะเล นางแก่และตาย ไปพบสามีที่สะพานไน่เหอ และวิ่งกลับมาที่นี่อีกครั้ง นางจะเล่าเรื่องพวกนี้เช่นไรดีแต่ก่อนที่นางจะได้ทบทวนเรื่องราวให้แจ่มชัด สาวใช้อีกคนก็วิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน"ฮูหยินเจ้า! คุณชายใหญ่คล้ายจะตัวร้อนเจ้าค่ะ!" "ไปเรียกท่านหมอมาเดี๋ยวนี้" นางลุกขึ้น
คืนนั้น จันทร์สาดแสงอ่อนลงมาผ่านหน้าต่าง ไป๋อวิ๋นเหยานั่งอยู่บนเตียงข้างเสี่ยวอวี้ ลูกชายคนโตของนาง เด็กน้อยที่เงียบขรึมและเข้มแข็งจนเกินวัย ยามนี้เขานั่งบนเตียงมองมารดาเช่นกัน"เสี่ยวอวี้..." นางเอ่ยเสียงนุ่ม ไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นหลอกล่อลูกชายอย่างไรดีเพื่อให้เขายอมตอบคำถามของนาง“คืนนี้ท่านแม่จะนอนกับข้าอีกหรือขอรับ” เด็กน้อยถาม“ไม่ใช่..เมื่อเย็นเจ้าไปที่เรือนหลังเพื่ออันใด” และนางก็ยังเป็นนาง ไม่อาจมีกลใดมากมาย เพียงถามออกไปตรงๆ“...” เสี่ยวอวี้หน้าซีด ก้มลงมองมือเล็กของเขา“..สิ่งใดอยู่ในกระบอกไม้ไผ่”“ข้าไม่ทราบขอรับ ท่านพ่อ..เอ่อ เขาบอกว่าให้ข้าโตก่อน ค่อยเปิดดูขอรับ” เสียงของเสี่ยวอวี้สั่นด้วยความหวั่นเกรง แต่เขาตัดสินใจแล้วว่าถึงแม้จะถูกมารดาตี เขาก็จะไม่ยอมให้มารดาดูในกระบอกไม้ไผ่นั้น"..เจ้ารู้ว่าเขาเป็นผู้ช่วยแม่ขึ้นมาจากแม่น้ำคืนนั้น" เด็กน้อยนิ่งเงียบไปทันที เขาหลบสายตาเหมือนกำลังซ่อนอะไรบางอย่าง ความไร้เดียงสาในวัยเด็กทำให้เขาไม่อาจโกหกได้อย่างแนบเนียน “วันนั้นเกิดอะไรขึ้น” ไป๋อวิ๋นเหยาตัดสินใจถามคำถามที่นางไม่เคยคิดจะถามเมื่อยังมีชีวิตครั้งก่อน“ข้า..ไม่ทราบขอรับ” เสี
วันที่สามีของนางย้ายมาอยู่ที่นี่อย่างถาวร คือหลังจาก เหตุการณ์ที่นางจมน้ำ เฉินซูเหยาใช้เงินทองมากมายเพื่อปรับปรุง เรือนนี้ให้สมบูรณ์ กระทั่งขนของส่วนตัวทุกชิ้นของเขามาไว้ที่นี่ แต่ทว่า บัดนี้ในสายตาของนาง ทุกสิ่งกลับดูเรียบง่ายและสงบนิ่ง ไม่มี ร่องรอยใดที่จะแตกต่างไปจากเรือนหลังเก่าที่บิดาของนางอาศัย ดูแล้วในเรือนก็ยังปกติ ไป๋อวิ๋นเหยาจึงเดินไปดูที่ตู้เก็บ หนังสือ เดินดูตำราของสามีทีละเล่ม จนเห็นอะไรบางสิ่งสะท้อนแสง เบาๆ นางดึงตำราออกมาและเห็นว่าเป็นปิ่นปักผมเล่มเล็กวางหลัง กองหนังสือ ดวงตานางเบิกกว้าง ปิ่นเล่มนี้เป็นปิ่นที่เฉินซูเหยาชิงเอาจากผมของนางในคืนเข้าหอ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์น่ารักราวเด็กหนุ่มของเขาในวันนั้นยังคงชัดเจนใน ความทรงจำ ‘ของที่เป็นของข้า อย่างไรก็เป็นของข้า จะไม่มีวันปล่อยให้ผู้ใดแตะต้อง’ เขาพูดปนเสียงเขาหัวเราะน่าฟังขณะหยอกล้อ แต่หลังจากเขามอบหัวใจให้สตรีอื่น นางคิดว่าปิ่นเล่มนี้คง ถูกเขาทิ้งไปนานแล้ว แต่นางกลับยังเห็นอยู่ที่นี่ ไป๋อวิ๋นเหยาเอื้อมมือสั่นๆ ไปหยิบ แต่ทันทีที่พยายามดึงปิ่นออกมา เสียงกลไกแผ่วเบาก็ดัง ขึ้นจากด้านหลัง กองหนังสือและชั้นไม้ค่อยๆ แยกออก เผยใ
ริมสระน้ำใต้แสงสลัว ไป๋อวิ๋นเหยายืนข้างสามีที่ไม่ได้เห็นมานาน สายลมเย็นพัดผ่าน เสียงปลาขยับผิวน้ำแผ่วเบา ช่วยขับเน้นความเงียบระหว่างทั้งสองคน ใบหน้าของไป๋อวิ๋นเหยานิ่งสงบ ราวกับสายลมโหมกระหน่ำก็ไม่อาจกวนใจนางได้ แต่ในดวงตาคู่นั้นกลับซ่อนความหนักอึ้งไว้อย่างลึกซึ้ง ทอดมองชายผู้เป็นสามีอย่างเงียบงัน ขณะที่เขาไร้เยื่อใย ไม่แม้แต่จะชายตามองภรรยา ทุกอย่างดูเหมือนเขาเกลียดนางตามปกติ หากแต่สิ่งที่นางพบในเรือนลับ ทำให้หัวใจที่เคยเยือกเย็นปั่นป่วน เขาเก็บรูปของนางไว้มากมาย เขาแอบช่วยเหลือนาง เขายืนรออยู่ที่สะพานไน่เหอเพียงลำพังหลายปีแต่กลับปฏิบัติต่อนางด้วยความเย็นชา“ท่านพ่อของข้าเคยเป็นอาจารย์ของเจ้า เป็นผู้มีพระคุณที่เจ้าเคารพรัก ข้าเพียงขอให้เจ้าพูดกับข้าตามตรงสักครั้ง ได้หรือไม่” “เจ้าเป็นสตรีที่ยกเรื่องบุญคุณมากดดันผู้อื่นแล้วหรือ” เขาถามเสียงเรียบเฉย “เฉพาะครั้งนี้ เพราะข้าต้องการความจริง” เขาหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเงยหน้าขึ้นมองนาง แววตาคมดุที่เคยเยือกเย็นสะท้อนประกายเจ็บปวดชั่ววูบ ริมฝีปากเม้มแน่น ขณะที่คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน ราวกับคำพูดของนางกระทบ ความรู้สึกที่ซ่อนลึก เพียงไ
เมื่อท้องฟ้าสีดำในเมืองหลวงถูกประดับด้วยแสงเรืองรองของโคมไฟ เด็กๆ ต่างส่งเสียงหัวเราะตื่นเต้นรอคอยการเดินทางไปเทศกาล ท่านน้าและสามีของท่านน้าเตรียมรถม้าคันใหญ่สำหรับพาเหล่าลูกหลานออกไปเพลิดเพลิน เหมือนเช่นชาติก่อน ไป๋อวิ๋นเหยามองดูลูกๆ ในชุดใหม่ที่กำลังปีนขึ้นรถม้าอย่างร่าเริง แต่นางกลับอ้างว่าลืมของสำคัญของสตรี และปล่อยให้เด็กๆ ไปเที่ยวกับน้าสาวและน้าชายก่อน นางคิดว่านางจะรีบตามไปหลังจากเตือนสามีและอนุของเขา แล้วค่อยตามไปนอนพักที่บ้านน้องสาวคืนนี้ เหมือนชีวิตในครั้งก่อน เมื่อรถม้าเคลื่อนออกไป ไป๋อวิ๋นเหยามองตามจนสุดสายตา จากนั้นจึงหันหลังกลับ รีบสาวเท้ากลับไปยังจวนไป๋ ความมุ่งมั่นในดวงตาของนางแข็งกร้าวขึ้นทุกย่างก้าว ไป๋อวิ๋นเหยาเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เงาของนางทอดยาวไปตามพื้นหินที่เย็นเฉียบ ความเงียบสงบของค่ำคืนคล้ายทำให้นางรู้สึกว่าทุกย่างก้าวของตนหนักอึ้ง หัวใจเต้นระรัวไม่ต่างจากฝีเท้าม้าที่วิ่งลากรถม้าเคลื่อนไปไม่หยุดหย่อน ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อถึงเรือนหลัง นางหยุดหายใจชั่วครู่ก่อนจะก้าวเข้าสู่ความมืดที่ปกคลุมภายใต้เงาไม้ใหญ่ ทุกสิ่งดูเงียบสงัดเกินไป นางมองไปรอบๆ กลับไร้ซึ่งเง
“อย่าขยับ อยู่ตรงนั้น!” เสียงของเขาเด็ดขาดราวกับคำสั่ง แต่กลับเต็มไปด้วยความห่วงใยที่ปกปิดไม่มิด เฉินซูเหยาก้าวเข้า ประจันหน้ากับคนชุดดำที่เหลือ ท่าทางของเขาแม้จะดูอ่อนล้าลง เพราะบาดแผล แต่กลับเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นไม่ลดละ เขาจะไม่มี วันยอมให้ผู้ใดแตะต้องไป๋อวิ๋นเหยาได้เฉินซูเหยาตวัดดาบด้วยความแม่นยำ ร่างของคนชุดดำทั้งสองล้มลงในกระบวนท่าเดียว เลือดสาดกระเซ็นเปรอะพื้น แต่ก่อนที่เขาจะได้พักหายใจ เสียงฝีเท้าของนางรำจำนวนมากก็ดังเข้ามาใกล้ เขาขบฟันแน่น สายตาคมกวาดมองไปทางภรรยาที่เขายังต้องปกป้อง เขาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว สะบัดมือโยนฮว่าเจ๋อจึ[1]ออกไป จุดไฟขึ้นกลางเรือนด้วยมือที่ยังเปื้อนเลือด เปลวไฟลุกโชนกินเนื้อไม้ จนเสียงแตกเปรี๊ยะดังไปทั่ว คล้ายเขาลงน้ำมันไว้แล้วก่อนหน้าเฉินซูเหยาฉวยมือคว้าเอวไป๋อวิ๋นเหยาแน่น แม้ร่างกายเขา จะอ่อนล้าจากบาดแผล แต่ฝีเท้ายังคงเร่งรีบ ลากนางมุ่งไปทางบ่อน้ำ ด้านหลังเรือน ตลอดทางไป๋อวิ๋นเหยาเห็นว่ามีร่างคนล้มตายเกลื่อนกลาด คล้ายการต่อสู้นี้เกิดขึ้นก่อนที่นางจะเข้ามาแล้ว กลิ่นกำยานเจืออยู่ในอากาศ หญิงสาวในชุดรำที่วิ่งตามมา หอบหายใจรุนแรงก่อนจะทรุดลงทีละคน
เปลวไฟเริ่มลุกลามไปตามต้นไม้แห้งบนเขาอย่างรวดเร็ว ควันดำพวยพุ่งขึ้นปกคลุมท้องฟ้า ความร้อนระอุค่อยๆ แผ่ขยายออกไปขณะที่เสียงสัตว์ป่ากรีดร้องดังขึ้นทั่วภูเขา สัตว์ต่างๆ วิ่งพล่านออกจากป่าด้วยความตื่นตระหนก บ้างสะดุดล้ม บ้างถูกไฟคลอกจนสิ้นใจ พวกมันพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด แต่ไม่มีตัวไหนหลุดรอดจากเงื้อมมือเปลวเพลิง ในขณะที่ไฟกำลังโหมกระหน่ำบนเขา เฉินซูเหยาและไป๋อวิ๋นเหยาหยุดอยู่ปลายแม่น้ำที่ทอดตัวไกลจากเขาลูกนั้น ใบหน้าของชายหนุ่มซีดเซียว แต่แววตายังคงมุ่งมั่น เขามองยอดเขาที่กลายเป็นเปลวเพลิงสีแดงฉาน ลุกไหม้ราวกับต้องการกลืนกินทุกสิ่ง“พวกมันไม่ยอมปล่อยเรา” เขาพึมพำ ขณะสายตายังจับจ้องภาพโหดร้ายตรงหน้า ไป๋อวิ๋นเหยาเงียบงัน ยืนนิ่งอยู่ข้างเขา น้ำใสเย็นจากแม่น้ำไหลเชี่ยวอยู่รอบข้อเท้าทั้งสอง แต่กลับไม่อาจดับความร้อนแรงจากเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ภูเขาอยู่เบื้องหน้าได้ สองเท้าของนางหนาวเย็นจนเริ่มไร้ความรู้สึก สองมือของนางเริ่มเป็นเหน็บชา เฉินซูเหยาไม่ได้เอ่ยคำใดอีก เขาเพียงจับมือภรรยาแน่น และพาก้าวเดินต่อไป มุ่งหน้าสู่ที่ปลอดภัย โดยปล่อยให้ภูเขาที่ลุกโชนคงอยู่เป็นสัญลักษณ์แห่งความอำมหิตของศัตรูที
เสี่ยวอวี้ เสี่ยวหยาง เสี่ยวชิง และเสี่ยวหลันโผเข้ากอดนางแน่น ดวงตาเปียกชุ่มด้วยน้ำตาแห่งความปลื้มปีติ หลังจากที่ต้องทนทุกข์ใจกับข่าวร้ายที่ท่านน้ากระซิบบอกว่าอาจไม่ได้พบมารดาอีกหลายวัน หรือตลอดไป ไป๋อวิ๋นเหยาใช้เวลาปลอบโยนลูกๆ ที่ยังไม่คลายจากความหวาดหวั่น เสียงหัวเราะและรอยยิ้มกลับมาเติมเต็มจวนไป๋อีกครั้ง แต่ลึกลงไปในใจของนาง ความกังวลยังคงรุกล้ำเงียบงัน วันแล้ววันเล่า นางเฝ้ารอการกลับมาของสามีผู้เป็นที่รัก แต่มีเพียงสายลมหนาวยามค่ำคืนเท่านั้นที่ตอบกลับมา องค์หญิงหว่านหนิงถูกประกาศว่าถูกไฟไหม้เสียชีวิต เพราะเมามายเกินไประหว่างคืนเทศกาลโคมไฟ และจวนไป๋ก็ได้รับเงินมากมายจากราชสำนักเพื่อบำรุงซ่อมแซมจวน แต่ไร้เงาของเฉินซูเหยา เวลาล่วงผ่านไปนานนับเดือน แต่สามีของไป๋อวิ๋นเหยาก็ยังไม่กลับมา นางเฝ้ารอด้วยความทุกข์ใจจนแทบทนไม่ไหว ความเงียบงันที่ไม่มีแม้เงาของเขาทำให้นางตัดสินใจลงมือเอง แม้จะเป็นเพียงบุตรีของอดีตบัณฑิต แต่ด้วยแรงแห่งความรักและความหวัง นางจึงพยายามหาหนทางติดต่อองค์รัชทายาท ทุกก้าวของนางเต็มไปด้วยอุปสรรค สายตาดูแคลน และเสียงกระซิบวิจารณ์ แต่ไป๋อวิ๋นเหยาก็ไม่ยอมแพ้ กระทั่งวัน
ความรู้สึกผิดท่วมท้น นางเงยหน้ามองชายผู้เคยเป็นดั่งเงาในชีวิตด้วยน้ำตาที่รินไหล เขาต้องการให้นางเจ็บปวดเพื่อนางจะได้หันหน้าหนี เพื่อนางจะได้ปลอดภัย และนางก็เป็นเช่นนั้น เกลียดเขาจนวันสุดท้ายของชีวิต แม้เขาจะรอนางอย่างเดียวดายที่สะพานไน่เหอ หลายปี แต่นางก็ยังเกลียดเขา “ข้า..ข้ามันเห็นแก่ตัวนัก” เสียงแหบพร่าของไป๋อวิ๋นเหยาสั่นเทา นางสะอื้นน้ำตารื้น “..เหตุใดจึงเป็นเหยาเหยาเห็นแก่ตัวเล่า..ข้าต่างหากที่เห็นแก่ตัว ข้าต่างหากที่ทำให้เจ้าเจ็บปวด ทำให้เจ้าต้องเดือดร้อน” เขากอดรัดภรรยาไว้จนแน่น “เจ้าคิดจะตายลำพัง!” นางก่นด่า หากเมื่อคืนนี้นางไม่เข้าไปในเรือนหลัง เขาก็คงจะตายลำพังอีกแล้ว “ข้าเตรียมทางหนีไว้แล้ว เจ้าไม่เห็นหรือ ทางที่ข้าพาเจ้าหนีมาอย่างไรเล่า” เขาลูบหัวของภรรยาเบาๆ “แต่หากข้าไม่เข้าไป เจ้าก็จะรอจนแม่ทัพหนุ่มที่เผาภูเขาลูกนั้นเข้ามาในจวน แล้วเจ้าค่อยเผาใช่หรือไม่!!” นางเข้าใจความตั้งใจของเขาดี เขาคงคิดจะเสียสละชีวิตเพื่อลากทุกคนไปกับเขา “..เหยาเหยาไม่ต้องกังวล ข้าจะหาทาง” “แล้วเราจะทำเช่นไรต่อไปดี ข้า..ข้าทำให้เจ้า..ข้าทำแผนของเจ้าพัง” “เหยาเหยาไม่ต้องกังวล” เขาเพียงพูดพร
เฉินซูเหยากอดร่างของภรรยาไว้ในอ้อมแขน ร่างของนางที่ยังอ่อนแรงพิงเขาอย่างตกตะลึงในความจริง นางเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม“เจ้ากล้าโกหกข้าหรือ” ไป๋อวิ๋นเหยาท้วงติงไม่พอใจ เขาหัวเราะขบขัน ไม่เห็นการข่มขู่ของภรรยาอยู่ในสายตา เขาเพียงเริ่มเล่าถึงความหลังที่เกิดขึ้นต่อไปพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น มองภรรยาด้วยความรักใคร่ ไป๋เหวินหยาง เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการศึกสงคราม แต่ก็เป็นบัณฑิตมากความสามารถ มีสายตาที่มองทะลุความสามารถของคน แม้จะรู้ว่าเฉินซูเหยาเป็นบุตรนอกสมรสของแม่ทัพหยวนกวน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็ยังยื่นมือมาช่วยเหลือเฉินซูเหยาไว้ ช่วยปกปิดภูมิหลังของเขา ซ่อนเขาจากศัตรูของแม่ทัพ สั่งสอนเขาราวกับศิษย์คนหนึ่ง หลังจากเด็กหนุ่มสอบได้เป็นจอหงวน ชีวิตของเขาก็เริ่มรู้สึกสงบสุข ได้แต่งงาน เขาไม่เคยคิดแก้แค้นให้บิดาเลยแม้แต่น้อย เพราะกำลังของเขาไม่มากพอ และที่สำคัญ เขาแต่งงานกับหญิงสาวตรงหน้าแล้ว เขาไม่อยากให้ภัยอันตรายใดๆ มาถึงจวนไป๋ หรือครอบครัวของนาง เขาจึงเลือกที่จะวางอดีตลง หรืออย่างน้อยก็พยายามวาง แต่ในใต้หล้านี้ ความตั้งใจหรือจะสู้ฟ้าลิขิต หลังจากเฉินซูเหยาได้ร
“อ้า..เหยาเหยา..” เขาครางแหบพร่าไป๋อวิ๋นเหยาแทบอยากจะกรีดร้อง เพราะรู้สึกว่าความร้อนแท่งใหญ่ที่ค่อยๆ ซึมเข้ามา เหมือนเปลวเพลิงกำลังกัดกิน ทุกอณูของร่างเริ่มร้อนจนเหมือนจะระเบิด ความกำหนัดที่เขาเพาะบ่มตลอดการย่างกำลังทวีขึ้น ความรู้สึกถูกเผาผลาญนั้นเหมือนจี้ถูกจุดร่างกายของไป๋อวิ๋นเหยาสั่นระริกโดยไม่อาจควบคุม พวยพุ่งความสุขสมออกมาจนท่วมรอบเอวสามี เขาไม่ได้รังเกียจ อีกทั้งยังกอดนางแน่นยิ่งขึ้น งัดเอวขึ้นเพื่อกดแท่งหยกซ้ำๆ บนจุดแสนหวานในร่องรักของภรรยา “เหยาเหยากล้าพวยพุ่งน้ำพุใส่ข้าแล้วหรือ” เขาล้อเลียน ยิ้ม บางเบาพึงพอใจ ระหว่างที่ยังคงบดสะโพกต่อไป ไป๋อวิ๋นเหยาใบหน้าแดงก่ำอยากร้องไห้ นางสั่นระริกสุขสมไปทั่วร่าง เขายังกล้าล้อเล่นเช่นนี้อีก เมื่อก่อนเขาชอบขอจะดูนางปลดเบา อย่างไรนางก็ไม่ให้ เขาจึงได้แต่ทำใจ วันนี้นางพวยพุ่งใส่เขาเช่นนี้ ไม่ใช่นางกล้าหาญหรือจงใจ แต่เพราะนางควบคุมไม่ได้จริงๆ และนางกล้าสาบานว่านี่ไม่ใช่การปลดเบาเขาต่างหากที่ทำให้นางควบคุมตัวเองไม่ได้เช่นนี้!“ชู่ว..ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือ เหยาเหยาเย้ายวนยิ่ง” เขาชื่นชม ก้มลงจูบซับน้ำที่เอ่อล้นขอบตาของภรรยา ลิ้มเลียน้ำตาของ
มือของเขาเคลื่อนไปจับมือของนางที่อ่อนปวกเปียกเพราะพิษกำยาน และเริ่มนวดเบาๆ ที่ปลายนิ้ว ไล่ไปจนถึงฝ่ามืออย่างทะนุถนอม แม้มือของเขาเองจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่มันกลับไม่หยุดความพยายามของเขาแม้แต่น้อย ราวกับจะทำทุกวิถีทางให้นางรู้สึกร้อนรุ่มขึ้น นางได้แต่มองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความอึดอัดปนความสับสน แม้จะอยากปฏิเสธ แต่ความรู้สึกอ่อนโยนที่เขามอบให้ กลับทำให้นางไม่อาจห้ามหัวใจของตัวเองไม่ให้เต้นระรัว เด็กสารเลวนี่ วางแผนจะรวบนางนานแล้วหรือ! นางคิดว่าท่านพ่อบังคับเขาให้แต่งเสียอีก ที่แท้เขาก็ไม่ได้ใสซื่อมือของเฉินซูเหยาค่อยๆ เลื่อนต่ำลงมาที่ปลายเท้าของนางเขาเริ่มนวดที่ฝ่าเท้า ไล่ขึ้นไปจนถึงข้อเท้าอย่างแผ่วเบา สัมผัสของเขาช่างอ่อนโยนและตั้งใจ เหมือนพยายามจะบรรเทาความชาและขับพิษให้นางให้ได้มากที่สุด แต่สายตาหื่นกระหายกลับพูดสิ่งอื่น “เลือดลมของเจ้าจะต้องรีบขับออก” เขาพูดเบาๆ พลางจ้องมองใบหน้าของนางที่เริ่มแดงจนคล้ำ แม้ในใจไป๋อวิ๋นเหยาจะยังคงประท้วงอยู่ แต่ร่างกายกลับยอมรับสัมผัสของเขาอย่างเต็มใจ นางหลับตาลงเล็กน้อย ปล่อยให้ความร้อนรุ่มจากพิษสมุนไพรและสัมผัสของเขาไหลเวียนไปทั่วร่าง ท่ามกล
“...” ไป๋อวิ๋นเหยาส่งสายตาขุ่นเคืองไปยังเขา แต่กลับทำให้เขายิ่งหัวเราะชอบใจ “ดื่มเถิด ข้าจะช่วยพยุงเจ้าเอง” เขาประคองนางขึ้นอย่างระมัดระวัง แม้บาดแผลของเขาจะส่งผลให้ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไป ด้วยความเจ็บปวด แต่เขาก็ไม่แสดงอาการใดๆ เพียงใช้แขนที่มั่นคงรองรับร่างของนางไว้ริมฝีปากของนางสัมผัสกับของเหลวสีเขียวเข้ม กลิ่นของมันไม่ชวนดื่มเอาเสียเลย ทว่าด้วยแรงผลักดันจากแววตาที่มุ่งมั่นน่ารัdของเขา ไป๋อวิ๋นเหยาจึงกล้ำกลืนมันลงคอไปอย่างยากลำบากเมื่อนางยอมดื่มจนหมด เฉินซูเหยาก็โยนถ้วยใบไม้ทิ้ง จากนั้นก็ก้มลงไปจุมพิตนาง เรียวลิ้นกวาดสัมผัสยาสมุนไพรขมๆ ในปากอิ่มของภรรยาอย่างหิวโหย ไป๋อวิ๋นเหยาเบิกตาโพลง ตกใจราวสาวน้อยที่เพิ่งเคยจุมพิตนางรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปพบกับเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดที่ขโมยจุมพิตแรกของนาง ราวเด็กหนุ่มเอาแต่ใจผู้นั้นยังคงอยู่ไม่หายไปไหน “เจ้ายังขยับไม่ได้ แต่เลือดเริ่มไหลเวียนดีขึ้นแล้ว อีกไม่นานเจ้าจะหาย” เขากระซิบบนริมฝีปากของภรรยา เหมือนปลอบเด็กน้อย เขาชอบทำเช่นนี้เสมอ ป้อนยานางและตามด้วยจุมพิตขมปนหวาน เขาทำเช่นนี้ทุกครั้งที่นางป่วย เอาใจใส่นางและกลั่นแกล้งนาง ร่างแน่นิ่งซึ่
เปลวไฟเริ่มลุกลามไปตามต้นไม้แห้งบนเขาอย่างรวดเร็ว ควันดำพวยพุ่งขึ้นปกคลุมท้องฟ้า ความร้อนระอุค่อยๆ แผ่ขยายออกไปขณะที่เสียงสัตว์ป่ากรีดร้องดังขึ้นทั่วภูเขา สัตว์ต่างๆ วิ่งพล่านออกจากป่าด้วยความตื่นตระหนก บ้างสะดุดล้ม บ้างถูกไฟคลอกจนสิ้นใจ พวกมันพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด แต่ไม่มีตัวไหนหลุดรอดจากเงื้อมมือเปลวเพลิง ในขณะที่ไฟกำลังโหมกระหน่ำบนเขา เฉินซูเหยาและไป๋อวิ๋นเหยาหยุดอยู่ปลายแม่น้ำที่ทอดตัวไกลจากเขาลูกนั้น ใบหน้าของชายหนุ่มซีดเซียว แต่แววตายังคงมุ่งมั่น เขามองยอดเขาที่กลายเป็นเปลวเพลิงสีแดงฉาน ลุกไหม้ราวกับต้องการกลืนกินทุกสิ่ง“พวกมันไม่ยอมปล่อยเรา” เขาพึมพำ ขณะสายตายังจับจ้องภาพโหดร้ายตรงหน้า ไป๋อวิ๋นเหยาเงียบงัน ยืนนิ่งอยู่ข้างเขา น้ำใสเย็นจากแม่น้ำไหลเชี่ยวอยู่รอบข้อเท้าทั้งสอง แต่กลับไม่อาจดับความร้อนแรงจากเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ภูเขาอยู่เบื้องหน้าได้ สองเท้าของนางหนาวเย็นจนเริ่มไร้ความรู้สึก สองมือของนางเริ่มเป็นเหน็บชา เฉินซูเหยาไม่ได้เอ่ยคำใดอีก เขาเพียงจับมือภรรยาแน่น และพาก้าวเดินต่อไป มุ่งหน้าสู่ที่ปลอดภัย โดยปล่อยให้ภูเขาที่ลุกโชนคงอยู่เป็นสัญลักษณ์แห่งความอำมหิตของศัตรูที
“อย่าขยับ อยู่ตรงนั้น!” เสียงของเขาเด็ดขาดราวกับคำสั่ง แต่กลับเต็มไปด้วยความห่วงใยที่ปกปิดไม่มิด เฉินซูเหยาก้าวเข้า ประจันหน้ากับคนชุดดำที่เหลือ ท่าทางของเขาแม้จะดูอ่อนล้าลง เพราะบาดแผล แต่กลับเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นไม่ลดละ เขาจะไม่มี วันยอมให้ผู้ใดแตะต้องไป๋อวิ๋นเหยาได้เฉินซูเหยาตวัดดาบด้วยความแม่นยำ ร่างของคนชุดดำทั้งสองล้มลงในกระบวนท่าเดียว เลือดสาดกระเซ็นเปรอะพื้น แต่ก่อนที่เขาจะได้พักหายใจ เสียงฝีเท้าของนางรำจำนวนมากก็ดังเข้ามาใกล้ เขาขบฟันแน่น สายตาคมกวาดมองไปทางภรรยาที่เขายังต้องปกป้อง เขาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว สะบัดมือโยนฮว่าเจ๋อจึ[1]ออกไป จุดไฟขึ้นกลางเรือนด้วยมือที่ยังเปื้อนเลือด เปลวไฟลุกโชนกินเนื้อไม้ จนเสียงแตกเปรี๊ยะดังไปทั่ว คล้ายเขาลงน้ำมันไว้แล้วก่อนหน้าเฉินซูเหยาฉวยมือคว้าเอวไป๋อวิ๋นเหยาแน่น แม้ร่างกายเขา จะอ่อนล้าจากบาดแผล แต่ฝีเท้ายังคงเร่งรีบ ลากนางมุ่งไปทางบ่อน้ำ ด้านหลังเรือน ตลอดทางไป๋อวิ๋นเหยาเห็นว่ามีร่างคนล้มตายเกลื่อนกลาด คล้ายการต่อสู้นี้เกิดขึ้นก่อนที่นางจะเข้ามาแล้ว กลิ่นกำยานเจืออยู่ในอากาศ หญิงสาวในชุดรำที่วิ่งตามมา หอบหายใจรุนแรงก่อนจะทรุดลงทีละคน
เมื่อท้องฟ้าสีดำในเมืองหลวงถูกประดับด้วยแสงเรืองรองของโคมไฟ เด็กๆ ต่างส่งเสียงหัวเราะตื่นเต้นรอคอยการเดินทางไปเทศกาล ท่านน้าและสามีของท่านน้าเตรียมรถม้าคันใหญ่สำหรับพาเหล่าลูกหลานออกไปเพลิดเพลิน เหมือนเช่นชาติก่อน ไป๋อวิ๋นเหยามองดูลูกๆ ในชุดใหม่ที่กำลังปีนขึ้นรถม้าอย่างร่าเริง แต่นางกลับอ้างว่าลืมของสำคัญของสตรี และปล่อยให้เด็กๆ ไปเที่ยวกับน้าสาวและน้าชายก่อน นางคิดว่านางจะรีบตามไปหลังจากเตือนสามีและอนุของเขา แล้วค่อยตามไปนอนพักที่บ้านน้องสาวคืนนี้ เหมือนชีวิตในครั้งก่อน เมื่อรถม้าเคลื่อนออกไป ไป๋อวิ๋นเหยามองตามจนสุดสายตา จากนั้นจึงหันหลังกลับ รีบสาวเท้ากลับไปยังจวนไป๋ ความมุ่งมั่นในดวงตาของนางแข็งกร้าวขึ้นทุกย่างก้าว ไป๋อวิ๋นเหยาเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เงาของนางทอดยาวไปตามพื้นหินที่เย็นเฉียบ ความเงียบสงบของค่ำคืนคล้ายทำให้นางรู้สึกว่าทุกย่างก้าวของตนหนักอึ้ง หัวใจเต้นระรัวไม่ต่างจากฝีเท้าม้าที่วิ่งลากรถม้าเคลื่อนไปไม่หยุดหย่อน ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อถึงเรือนหลัง นางหยุดหายใจชั่วครู่ก่อนจะก้าวเข้าสู่ความมืดที่ปกคลุมภายใต้เงาไม้ใหญ่ ทุกสิ่งดูเงียบสงัดเกินไป นางมองไปรอบๆ กลับไร้ซึ่งเง