เมื่อโชคชะตาชักนำให้บุรุษนิรนาม ช่วยเหลือ ‘หลี่จื่อเหยา’ ฟื้นจากความตาย หากยังไม่ทันตอบแทนบุญคุณ เขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย จนกระทั่งวันที่นางจำต้องออกเรือนตามคำสั่งของพี่ชาย ‘มู่หรงอี้หวาย’ บุรุษผู้นั้นจึงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งโดยไม่มีผู้ใดคาดคิด และประกาศเจตจำนงที่จะเป็น ‘สามี’ ของนาง หากสิ่งที่หลี่จื่อเหยาไม่อาจล่วงรู้ก็คือ บุคคลลึกลับ ผู้มีพระคุณ ผู้ที่ทั้งหล่อเหลา แสนสุภาพ จนทำให้นางต้องเฝ้าคะนึงหามาตั้งแต่แรกพบคราวนั้น จะกลับกลายเป็นอสูรร้ายในห้องหอ ผู้ฉีกกระชาก และย่ำยีหัวใจนางจนย่อยยับ ความลับของมู่หรงอี้หวายที่ซุกซ่อนไว้คืออะไร… หรือที่จริงแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นแผนการที่เขาตระเตรียมไว้ เพื่อผลประโยชน์อะไรบางอย่าง “สามวันสามคืน” นัยน์ตาสีเข้มเต็มไปด้วยเพลิงปรารถนาอย่างไม่ปิดบัง “มะ…หมายความว่า เรา…” หลี่จื่อเหยาหน้าแดงก่ำ ใจเต้นระรัวแรง “ข้าจะอยู่กับเจ้า กอดเจ้า รักเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ไปไหนทั้งนั้นเป็นเวลาสามวันสามคืน” เขาอธิบายพลางปลดอาภรณ์ของตนออกทีละชิ้น
View Moreทรมาน ข้าทรมานเหลือเกิน
เปลือกตาหนักอึ้ง สติค่อยๆ เลือนราง
ข้ากำลังจะตายงั้นรึ
ท่านแม่ ท่านพี่ จื่อเหยาขอลา...
แค่ก แค่ก แค่ก!
หลี่จื่อเหยาสำรอกน้ำออกมาจากปากคำใหญ่ ความทรมานเมื่อครู่มลาย หายไปทีละน้อย
เมื่อของเหลวไหลออกมาจนหมด ความเจ็บปวดตรงหน้าอกก็ หมดไป หลี่จื่อเหยาได้กลิ่นหอมสดชื่นของไม้กฤษณา แม้กำลังจะหมดแรง นางก็พยายามเปิดเปลือกตาเพื่อมองภาพผู้มีพระคุณ
นัยน์ตาดุจลูกกวางสบเข้ากับดวงแก้วสีนิล บุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่งกำลังประคองนางเอาไว้ในอ้อมแขน
“แม่นาง เจ้าไม่เป็นอันใดแล้ว” ชายในชุดสีครามกระตุกรอยยิ้มบนมุมปากน้อยๆ ช่างดูอบอุ่นยิ่งนัก
“ขะ...ขอบคุณ” หญิงสาวที่เพิ่งก้าวข้ามจากประตูผีส่งเสียงเบาแทบจะไม่ได้ยิน
“ไม่เป็นไร เห็นคนกำลังจะตาย ข้าเป็นลูกผู้ชายย่อมต้องช่วยเหลือ”
หลี่จื่อเหยาอยากจะถามชื่อของเขา ทว่านางไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออีกแล้ว ในที่สุดร่างที่ต้องผจญกับความหนาวเหน็บก็สลบไสลในอ้อมแขนของชายผู้นั้น
พระจันทร์เสี้ยวส่องแสงอ่อนจาง ลมกลางคืนสายหนึ่งพัดกลิ่นดอกเหมยกุ้ย[1] เข้ามา ทางหน้าต่าง
แพขนตาหนากระเพื่อมไหว เปลือกตาของหลี่จื่อเหยาเปิดขึ้น นางกะพริบตาช้าๆ ดวงแก้วสีน้ำตาลกวาดมองตั้งแต่เพดานลงมาจนถึงผนังห้อง ท่ามกลางแสงนวลจากเทียนไขปรากฏภาพอันคุ้นเคย
ใช่...นี่คือห้องของนาง ในบ้านตระกูลหลี่
“คุณหนูฟื้นแล้ว”
หลี่จื่อเหยามองไปทางต้นเสียง เมื่อเห็นใบหน้าของสาวใช้คนสนิทริมฝีปาก ขาดสีเลือดก็ขยับยิ้ม “เสี่ยวจู”
“คุณหนูรู้สึกอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“น้ำ ขอน้ำกินหน่อย” เสี่ยวจูประคองหลี่จื่อเหยาให้ลุกขึ้นนั่ง จากนั้นจึงหันไปหยิบถ้วยกระเบื้อง ที่บรรจุน้ำอยู่เต็มแล้วป้อนให้นายหญิงของตน
เมื่อน้ำสัมผัสริมฝีปากและลำคอที่แห้งผาก ความรู้สึกกระหายกลับเพิ่มมากยิ่งขึ้น หลี่จื่อเหยาดื่มน้ำอีกอึกใหญ่อย่างรวดเร็วจนเสี่ยวจูต้องเอ่ยเตือน ด้วยเกรงว่านายหญิงของตนจะสำลัก
ความทรมานจากความกระหายสิ้นไปแล้ว หลี่จื่อเหยาจึงค่อยๆ ทบทวน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
นางจำได้ว่ากำลังเดินกลับบ้านหลังจากไปซื้อเครื่องประทินผิว ระหว่างข้ามสะพานก็มีอาชาตัวใหญ่ตะบึงเข้ามา ด้วยความตกใจจึงรีบเบี่ยงกายหลบจนพลัดตกลงไปในคูเมือง ความรู้สึกหวาดหวั่นยามสายธารอันหนาวเหน็บโอบล้อมนางเอาไว้ ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ร่างบางพลันสั่นเทา นางกลัวเหลือเกิน และในขณะที่ความตายกำลังคืบคลานเข้ามา นางก็พบว่าตนเองได้ถูกช่วยเหลือเอาไว้โดยชายแปลกหน้าผู้หนึ่ง
“เสี่ยวจู ผู้มีพระคุณของข้าเล่า ตอนนี้เขาอยู่ที่ใด”
“พอคุณหนูหมดสติ คุณชายท่านนั้นก็ช่วยพาคุณหนูกลับมาส่งแล้วรีบจากไป นายท่านยังไม่ทันได้ขอบคุณเขาเสียด้วยซ้ำ”
“เจ้ารู้ชื่อแซ่ของเขาหรือไม่”
“บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ! เขาคือผู้มีพระคุณของข้า แต่ไม่มีผู้ใดคิดจะไต่ถามนามของเขาเลยหรือ”
“คุณชายคนนั้นไปมาราวกับสายลม นายท่านยังไม่ทันได้เห็นหน้าเขาด้วยซ้ำ เจ้าค่ะ”
“เขาช่วยไม่ให้ข้าไปเยี่ยมชมน้ำพุเหลืองก่อนวัยอันควร บุญคุณใหญ่หลวงย่อมต้องทดแทน เสี่ยวจู พรุ่งนี้เจ้าลองไปสืบดูว่าคุณชายท่านนั้นเป็นผู้ใด คงมีคนที่เห็นเหตุการณ์รู้จักเขาบ้างกระมัง”
“เจ้าค่ะ บ่าวจะรีบไปจัดการให้ทันที”
หลังจากกำชับกำชาสาวใช้ของตนเองเรียบร้อยแล้ว หลี่จื่อเหยาก็เอนกายลงบนฟูกแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
วันรุ่งขึ้นเสี่ยว จูรีบออกไปสืบหาผู้มีพระคุณของนายหญิงตั้งแต่เช้าตรู่ นางเที่ยวสอบถามคนที่อยู่แถวสะพานนั้นหลายคน แต่ก็ไม่มีผู้ใดรู้จักบุรุษในชุดสีน้ำเงินที่ช่วยคุณหนูตระกูลหลี่จากเงื้อมมือมัจจุราชเลยแม้แต่น้อย
ในที่สุดสาวใช้ผู้เหน็ดเหนื่อยก็ยอมแพ้ แล้วกลับมารายงานไปตามความเป็นจริง เรื่องนี้ทำให้หลี่จื่อเหยารู้สึกผิดหวังอยู่ลึกๆ
ภาพใบหน้าหล่อเหลากับดวงแก้วสีดำดุจน้ำหมึกนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในห้วงคำนึงของนาง
‘คุณชายท่านคือผู้ใดกัน ข้าจะหาตัวท่านพบได้อย่างไร’
ในระหว่างที่หลี่จื่อเหยากำลังเหม่อลอย เสี่ยวจูก็เปรยบางอย่างขึ้นมา “ตามความเห็นของบ่าว ชายผู้นั้นคงไม่ต้องการรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงได้จากไปโดยไม่บอกชื่อแซ่”
“หืม เหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนั้นเล่าเสี่ยวจู เขาช่วยชีวิตข้าเอาไว้ยังต้องรับผิดชอบสิ่งใดอีก”
เสี่ยวจูช่างใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะโผล่ออกมาด้วยท่าทีเคืองๆ
“ก็เขาทั้งกอดทั้งจูบคุณหนูต่อหน้าคนตั้งมากมาย หนำซ้ำยังอุ้มท่านด้วย”
“อะไรนะ!” นัยน์ตาดอกท้อพลันเบิกกว้าง หลี่จื่อเหยาแทบไม่อยากจะเชื่อ “เขาน่ะหรือ จะ...จูบข้า”
“เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ ป่านนี้คนคงลือไปทั่วแล้ว”
ชายหญิงห้ามใกล้ชิด นี่นางถูกชายแปลกหน้าทั้งกอดทั้งจูบ หลี่จื่อเหยา เอามือกุมขมับ ยามนี้ชื่อเสียงของนางคงป่นปี้ไม่มีชิ้นดีแน่แล้ว
ทว่าหลายวันผ่านไปกลับไม่มีข่าวลือน่าอายดั่งที่หลี่จื่อเหยาคาดการณ์เอาไว้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก นางถูกบุรุษกอดจูบต่อหน้าธารกำนัล ความจริงต้องเป็นที่โจษจันไปทั่ว แต่ทุกคนในบริเวณนั้นทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องนี้ เกิดขึ้น
‘แปลกประหลาดยิ่งนัก’
หลี่จื่อเหยาได้แต่กังขา หรือว่าคุณชายผู้นั้นจะเป็นพวกมีอิทธิพล มิเช่นนั้นคงไม่ทำตัวลึกลับ หนำซ้ำยังสามารถปิดปากคนที่เห็นเหตุการณ์ได้ทั้งหมดอีกด้วย
หากจะกล่าวกันตามจริง เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะต้องการรักษาภาพลักษณ์ของตนเองมากกว่าของนางเสียอีก
ถ้าชายผู้นั้นเป็นคนมีอำนาจจริง นางย่อมไม่มีทางได้พบใบหน้าหล่อเหลานั้นอีกถ้าหากเขาไม่ต้องการ
เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดที่จะได้พบกับชายผู้นั้นอีกครั้ง ในขณะที่อีกฝ่ายปกปิดตัวตน ความหวังย่อมเลือนราง หลี่จื่อเหยาหมดแรง นางแทบจะล้มเลิกความคิดที่จะตามหาเขาในทันที แต่บุญคุณในครั้งนี้นางจะจดจำเอาไว้ไม่มีวัน ลืมเลือนอย่างแน่นอน
‘หากมีวาสนาต่อกันข้าคงได้พบกับท่านอีก และเมื่อถึงเวลานั้นข้าหลี่จื่อเหยายินดีทดแทนบุญคุณ’
[1] ดอกเหมยกุ้ย คือดอกกุหลาบ
“คุณชายเจ้าคะ เหม่ยเหมยขอเข้าไปได้หรือไม่”“เข้ามาได้” มู่หรงอี้หวายตอบรับ โดยไม่ยอมปล่อยมือว่าที่เจ้าสาว พลางถามสาวใช้ของตนเสียงเย็น “มีอะไร” “พ่อบ้านใหญ่ให้บ่าวมาแจ้งว่า เตรียมรถม้าให้คุณหนูหลี่เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”“พวกเจ้าช่างรู้จังหวะเสียจริง” มู่หรงอี้หวายยกยิ้ม คิดถึงหน้าพ่อบ้านเก่าแก่ที่เหมือนรู้ทุกอย่างในบ้านผู้นั้น“จื่อเหยาขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ”“แล้วพบกันนะเหยาเอ๋อร์ คนดีของข้า” เขาส่งยิ้มเจิดจ้าละลายหัวใจไปยังหญิงสาว หลี่จื่อเหยาคลี่ยิ้มอ่อนหวานน่ารักตอบกลับไป นางลุกขึ้นแล้วเยื้องย่างไปเบื้องหน้า ก่อนจะหันกลับมาสบตาบุรุษในดวงใจอีกครั้งหนึ่ง จึงค่อยเดินออกจากห้องไปจริงๆเหม่ยเหมยเห็นแล้วแทบทนไม่ได้ แต่ก็ทำได้เพียงลอบบริภาษอีกฝ่ายในใจ‘นังแพศยา มากมารยา คงกำลังเสแสร้งว่าใสซื่ออยู่สินะ ยามนี้นายน้อยกำลังหลงเจ้า แต่สักวันเถิดเขาจะเขี่ยเจ้าทิ้ง’เมื่อหลี่จื่อเหยาจากไปไกลแล้ว มู่หรงอี้หวายจึงเอนกายลงนอนอีกครั้ง เพราะไม่ว่าจะอย่างไร อาการบาดเจ็บทางร่างกายของเขานั้นหนักหนาจริงๆ แผลที่ศีรษะค่อนข้างลึก แม้จะถอดผ้าพันแผลออกแล้วก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่ไม่น้อย อีกทั้งยาที่ดื่มก็มีฤทธิ์ท
หลังจากเย่เทียนหลางจากไปแล้ว เหม่ยเหมยจึงเดินกลับไปยังเรือนพักของนายน้อยมู่หรงนางเปิดประตูแล้วตรงไปยังห้องนอนของมู่หรงอี้หวายอย่างเงียบเชียบ ครั้นเห็นนายน้อยกำลังออดอ้อนว่าที่เจ้าสาวอย่างอ่อนโยน นางก็ทำหน้าเหมือนกำลังกลืนเข็มพันเล่มลงคอ เจ็บปวดแต่ไม่อาจพูด ได้แต่อิจฉาหลี่จื่อเหยาอยู่เงียบๆมู่หรงอี้หวายเหลือบเห็นใครบางคนตรงม่านลูกปัด พอสังเกตดีๆ แล้วเห็นเป็นสาวใช้ต้นห้อง ก็ไม่ได้สนใจที่นางอยากรู้อยากเห็นเรื่องของชายหญิง คงเป็นเพราะหญิงสาวเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว‘อืม... อีกไม่นานข้าคงใช้งานเหม่ยเหมยได้แล้วสินะ’ชายหนุ่มเก็บสายตากลับมา แล้วให้ความสนใจกระต่ายขาวในอ้อมแขนอีกครั้ง หลี่จื่อเหยาช่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ว่าง่าย และอ่อนหวานราวน้ำผึ้ง เป็นสตรีในแบบที่เขาต้องการไม่มีผิด เหลืออีกไม่กี่ก้าวนางก็จะกลายสภาพเป็นทาสรักของเขาอย่างสมบูรณ์แววตาหลงใหลผสานความร้อนแรงจากอารมณ์ปรารถนาล้ำลึกถูกส่งออกไปอย่างไม่รู้ตัว หลี่จื่อเหยาได้เห็นก็สั่นสะท้าน นางหลุบตาลง ไม่กล้ามองหน้าเขา“เหยาเอ๋อร์เป็นอะไรไปหรือ ตัวสั่นเชียว”“ก็พี่อี้หวายมองข้าราวกับ... ราวกับ...” นางอึกอัก หน้าแดงระเรื่อขึ้นอีกระลอก
ชาหอมกรุ่นกับขนมถูกวางลงบนโต๊ะเหม่ยเหมยรินน้ำชาใส่จอกส่งให้เย่เทียนหลางอย่างคล่องแคล่ว นางเป็นสาวใช้ก็จริง แต่กลับได้รับการดูแลอย่างดีเกินกว่าฐานะ ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ ล้วนขับเน้นให้นางโดดเด่นมากกว่าผู้ใด มู่หรงอี้หวายให้นางปรนนิบัติข้างกายมาหลายปี หนำซ้ำยังให้เรียนเขียนอ่าน กระทั้งดนตรีก็เชี่ยวชาญ ทุกคนต่างคิดว่านายน้อยมู่หรงคงชุบเลี้ยงสตรีผู้นี้ไว้เป็นอนุ ดังนั้นบ่าวไพร่ในคฤหาสน์จึงปฏิบัติต่อนางอย่างนอบน้อมเนื่องจากเป็นสตรีที่มีรูปโฉมงดงาม กิริยาอ่อนหวาน จึงไม่แปลกที่เย่เทียนหลางจะชื่นชมนางอยู่ไม่น้อย ทุกครั้งที่มาเยือนคฤหาสน์ ก็มักจะเสวนากับนางนานๆ บางครั้งยังนำของมาฝากติดมือมาให้ เขาจึงเป็นบุคคลที่หญิงสาวทำดีด้วยเป็นพิเศษ แต่เมื่อครู่ ด้วยโทสะที่คุกรุ่น เขากลับเอาเปรียบนาง เพื่อระบายความอัดอั้นที่ไม่อาจตระกองกอดหลี่จื่อเหยาได้ชายหนุ่มมองใบหน้างามอย่างพิจารณา ก็พบว่ายามนี้มันช่างราบเรียบเสียเหลือเกิน ต่างกับเมื่อครู่ที่สีชาดฉาบผิวนวลจนไปจนถึงใบหู‘ดูเหมือนว่าระหว่างเตรียมของว่าง นางคงตั้งสติได้แล้วกระมัง’ “ท่านรออยู่ที่นี่ก่อน ประเดี๋ยวเหม่ยเหมยจะไปเรียนนายน้อยว่า คุณชายค
ภาพบาดตายังคงวนเวียนอยู่ในห้วงคิด เย่เทียนหลางเดินจากมาด้วยความปวดร้าว นอกจากทรมานหัวใจเจียนคลั่ง โทสะยังแล่นลามร่วมด้วย ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ยังกังขา เพราะตนจริงใจกับหลี่จื่อเหยา เหตุใดจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้ให้กับผู้ชายร้ายกาจอย่างมู่หรงอี้หวายด้วย นอกจากนี้ เขาไม่แน่ใจสักนิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำให้คุณหนูหลี่ผู้บริสุทธิ์ต้องช้ำใจ เพราะสหายผู้นี้เป็นคนคาดเดาไม่ได้ หนำซ้ำยังอารมณ์ปรวนแปร เกรงว่าสาลี่ดอกงามจะต้องบอบช้ำกายใจ ในขณะที่ตนเองไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้อีกครั้นเห็นเย่เทียนหลางเดินกลับออกมาทั้งที่เพิ่งเข้าไปได้ไม่นาน สตรีหน้าตาหมดจดในชุดสีฟ้าก็รีบสาวเท้าไปหาเขาทันที“คุณชาย เหตุใดกลับออกมาเร็วนักเล่า”“เหม่ยเหมย เหตุใดเจ้าไม่บอกข้าก่อนว่าอี้หวายมีแขก”“นายน้อยไม่ได้สั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าไปรบกวน ส่วนคุณชายปกติก็ไม่เคยถามอะไรข้านี่เจ้าคะ” นางพูดไปตามเนื้อผ้า“ก็ได้ ข้าผิดเองก็ได้” เย่เทียนหลางคร้านจะเท้าความกับสาวใช้ต้นห้องคนงามของสหาย เพราะถึงจะเป็นบ่าว แต่มู่หรงอี้หวายค่อนข้างให้ความสำคัญกับนาง“เหม่ยเหมยมิกล้า ว่าแต่คุณชายไฉนวันนี้กลับเร็วนักเล่าเจ้าคะ ไม่อยู่สนทนากับนายน้อยก่อนหรือ
“เหยาเอ๋อร์...” เขาเรียกนางด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก ใบหน้าหล่อเหลาแขวนไว้ด้วยรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ แม้ตอนนี้จะดูซูบซีดลงไปเล็กน้อย แต่สำหรับหลี่จื่อเหยาแล้ว ว่าที่เจ้าบ่าวของนางก็ไม่ต่างจากเทพบุตรอยู่ดี“เจ้าค่ะ ข้ามาเยี่ยมท่านแล้ว อาการเป็นอย่างไรบ้าง”“เจ็บ... เจ็บไปหมดเลย ทรมาน โดยเฉพาะตรงนี้” เขาดึงมือที่กอบกุมเอาไว้มาทาบ ที่อกด้านซ้ายหลี่จื่อเหยาใจเต้นไม่เป็นส่ำ ใบหน้าร้อนผ่าวจนซับสีชาด นางหลุบตาด้วยไม่อาจสบแววออดอ้อนในดวงตาสีเข้มนั้นได้อีก แล้วค่อยๆ ดึงมือออกจากพันธนาการ พลางเบี่ยงกายหลบด้วยความเอียงอาย“เหยาเอ๋อร์ ข้าคิดถึงเจ้าจนทรมานไปทั้งใจ นี่ยังจะหลบหน้ากันอีกหรือ ช่างโหดร้ายนัก” มู่หรงอี้หวายแสร้งประท้วงครั้นได้ยินคำพูดตัดพ้อ หญิงสาวปรายสายตากลับมาอีกครั้ง ใบหน้างดงามผุดผาดแดงระเรื่อในสายตาของมู่หรงอี้หวายนางช่างดูงดงามน่ารักยิ่ง แต่ดวงตาดุจลูกกวางน้อยนั้นกลับให้ความรู้สึกยั่วยวนอย่างประหลาด กระตุ้นสัญชาตญาณนักล่าในกายบุรุษให้เดือดพล่าน“หากพี่อี้หวายทรมานนักก็ดื่มยาสิเจ้าคะ” นางพยายามล่อหลอกให้เขาดื่มยา โดยที่ไม่รู้ว่ายามนี้อีกฝ่ายต้องการกินอย่างอื่นมากกว่า “ดื่มเถิดเจ้าค่ะ จ
หลังจากข่าวลือต่างๆ เปลี่ยนไปในทางที่ดี หลี่เค่อจึงทำกำไรได้มากขึ้น เนื่องจากข่าวงานมงคลถูกแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง ลูกค้ารายใหม่จึงมาติดต่อซื้อขายมากกว่าปกติ ส่วนหนึ่งมาจากความอยากรู้อยากเห็น อีกส่วนก็คงเป็นเพราะเชื่อมั่นมากขึ้น หากไม่มีคุณธรรมและซื่อตรงตระกูลมู่หรงคงไม่ยอมเกี่ยวดองการสู่ขอดำเนินไปอย่างราบรื่น ทางคฤหาสน์ตระกูลมู่หรงส่งชุดเจ้าสาวพร้อมเครื่องประดับหรูหรามาให้ ทุกอย่างล้วนเป็นความใส่ใจของคุณชายมู่หรงทั้งสิ้น หลี่จื่อเหยากำลังรู้สึกยินดี แต่เมื่อเปิดอ่านจดหมายที่ชายในดวงใจส่งมาถึง ใบหน้าเปี่ยมสุขก็แปรเปลี่ยนไป ความกังวลฉายชัดในดวงตาคู่สวย มู่หรงอี้หวายยังคงล้มป่วย อาการบาดเจ็บทำให้ต้องอยู่แต่บนเตียง หนำซ้ำยังจำอะไรไม่ค่อยได้ ชายหนุ่มต้องการให้นางมาเยี่ยม เพราะอยากพบหน้ากันอีกสักครั้ง เผื่อจะมีกำลังใจรักษาตัวให้หายก่อนวันวิวาห์ นางอ่านข้อความทั้งหมดก็ให้สงสารเขาสุดหัวใจ จึงบอกให้ผู้ส่งสารรอแล้วรีบไปขออนุญาตพี่ชาย หลี่เค่อกำลังอารมณ์ดี อีกทั้งการเยี่ยมคู่หมายที่กำลังล้มป่วยก็ไม่น่าจะมีผู้ใดครหา จึงอนุญาตให้นางไปคฤหาสน์ตระกูลมู่หรงได้ร้านค้าตระกูลหลี่ตั้งอยู่ย่านการค้าฝั่
‘ผู้หญิงของข้าหรือ อี้หวายไม่ใช่เจ้ากับคุณหนูหลี่... ไม่มีทาง’ครั้นได้ยินสหายพูดแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของหลี่จื่อเหยาอย่างโจ่งแจ้ง เย่เทียนพลันหลางสะอึก พลางร่ำร้องในใจ แม้จะรู้สึกปวดร้าวแต่เขาก็เก็บอาการทุกอย่างเอาไว้ แล้วสนทนากับอีกฝ่ายเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นนอกจากนี้ เขาก็มั่นใจว่าหลี่จื่อเหยาเรียบร้อยน่ารัก สมเป็นกุลสตรี นางไม่มีทางปล่อยตัวปล่อยใจให้สหายเชยชมก่อนถึงเวลาอันควรอย่างเด็ดขาด“เอาล่ะ เจ้าไม่ต้องนึกแล้ว ช่างมันเถิด”“ช่างได้อย่างไร งานแต่งงานของข้าเล่า คุณหนูหลี่ไม่รอข้าอย่างทรมานใจหรือ ให้ตายเถิด ข้าคิดถึงนางเหลือเกิน คิดถึงริมฝีปากที่เคยจุมพิตหยอกเย้า เหตุใดต้องมาป่วยด้วย เราควรเป็นของกันและกันไปแล้ว” มู่หรงอี้หวายพร่ำเพ้อเหมือนคนละเมอไม่ยอมหยุดคำพูดทุกอย่างนั้นเหมือนไม่ได้ตั้งใจโอ้อวด ทว่ากลับกลายเป็นหนามทิ่มตำความรู้สึกผู้ฟังให้ปวดร้าว ภายใต้แขนเสื้อตัวกว้างเย่เทียนหลางลอบกำหมัดแน่น ดูเหมือนว่าตนจะเข้าใจผิด ความจริงพวกเขาทั้งสองผูกพันลึกซึ้งกันถึงเพียงนี้แล้ว แม้ไฟโทสะกำลังปะทุในใจ แต่ชายหนุ่มผู้มาทีหลังก็ทำได้เพียงอดทนเอาไว้เท่านั้น“พอเถิดอี้หวาย ยังไงเจ้า
“นายท่านมู่หรงกล่าวหนักเกินไปแล้ว แค่บอกให้รอจะถือว่าผิดสัญญาได้อย่างไร” หลี่เค่อพยายามรักษาอาการสุขุมเอาไว้ เขามั่นใจว่าการกระทำเหล่านั้นไม่ถือว่าผิดสัญญา “ในเมื่อเจ้ายังเล่นเล่ห์กลได้ มีหรือผู้อื่นจะทำไม่เป็น” มู่หรงเหอหัวเราะเสียงดังสนั่น นัยน์ตาเปล่งประกายดุจสายฟ้าฟาดหลี่เค่อหน้าเปลี่ยนสี เริ่มรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ไม่คิดว่าชายวัยกลางคนที่ดูนุ่มนวลใจดีเมื่อครู่ จะสามารถเปลี่ยนไปเป็นคนละคนได้ถึงเพียงนี้“ท่านกำลังข่มขู่ข้าอยู่หรือ”มู่หรงเหอหรี่นัยน์ตา ส่งเสียงหึในลำคอพลางแสยะยิ้มชั่วร้าย“ผิดแล้ว ข้ากำลังบังคับเจ้าอยู่ต่างหาก ถ้าไม่ยินยอมแต่โดยดีร้านเล็กๆ แค่นี้คงอยู่ได้อีกไม่นาน ข้าจะขยี้ตระกูลหลี่ให้จมดิน แล้วอย่าหวังว่าจะได้ค้าขายในแคว้นหานอีกเลยชั่วชีวิต”“ไม่คิดว่าท่านถึงกับลดศักดิ์ศรี ใช้วิธีชั่วร้ายบีบบังคับตระกูลหลี่ น้องสาวข้าคงต้องทนทุกข์หากต้องใช้ชีวิตกับคนเห็นแก่ตัวแบบพวกท่านพ่อลูก” หลี่เค่อตอบโต้อย่างเผ็ดร้อน ทั้งที่ความจริงขวัญหนีดีฝ่อ แต่ก็ไม่อาจลดเกราะยอมแพ้แบบสิ้นลาย“ปากดี! เจ้าเปิดตัวคุณหนูหลี่เพราะอยากได้ปลาอ้วนหน้าโง่ไม่ใช่หรือ ทางเลือกมีไม่มากแล้ว เอาล่ะ...นายท
สิ้นเสียงเอะอะของมู่หรงเหอ มู่หรงอี้หวายพลันหยัดกายขึ้นนั่งบนเตียง แล้วหยิบถุงเงินขนาดใหญ่ที่บรรจุทองเอาไว้จนหนักยื่นให้ท่านหมอเจียงที่กำลังยืนยิ้มกริ่ม“อย่างไรคุณชายก็ควรพักผ่อนให้มาก เพราะแผลที่ศีรษะไม่ธรรมดาเลย หากผิดพลาดจะเกิดเรื่องยุ่งยากเอาได้”“ไม่ต้องห่วง ข้าจะทำตามที่ท่านหมอสั่งทุกอย่าง”“หากจะพูดไป คงต้องขอบคุณสวรรค์ที่วันนั้นขบวนของแม่ทัพพยัคฆ์ผ่านไปเจอท่านพอดี มิเช่นนั้นคง...”“เอาเถิด ยังไงข้ารอดมาได้ ถึงจะบาดเจ็บเอาการก็เถอะ ขอบคุณท่านหมอที่ช่วยเหลือ และหากทุกอย่างเป็นไปตามใจข้าปรารถนา ท่านรอรับของขวัญชิ้นใหญ่อีกทีก็แล้วกัน”“ขอบคุณนายน้อย” เจียงฟู่คำนับขอบคุณอยู่หลายที รู้สึกยินดีที่ได้รับลาภก้อนโต“ท่านมีอะไรก็ไปทำเถิด ข้าชักรู้สึกง่วงขึ้นมาจริงๆ แล้วๆ”เจียงฟูได้ยินก็ไม่อิดออด เรียบออกจากห้องไปทันทีมู่หรงอี้หวายเอนกายลงบนฟูกอีกครั้งหนึ่ง เขาครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาอยู่เงียบๆแม้จะเกิดข้อผิดพลาดขึ้น แต่ก็ยังพลิกสถานการณ์กลับมาได้ ต้องยอมรับว่า ครานี้ตนเองประมาทเกินไปจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่สิ่งใดที่เขาต้องการ มันต้องเป็นของเขาอยู่วันยังค่ำ รวมถึงผู้หญิงคนนั้นด้
Comments