ระหว่างที่มู่หรงอี้หวายกำลังจุมพิตหลี่จื่อเหยาอย่างดูดดื่มอยู่นั้น หลี่เค่อที่ตามหาน้องสาวอยู่ก็ผ่านมาพบคนทั้งคู่เข้าพอดี
ไฟโทสะของผู้นำสกุลหลี่พวยพุ่ง นัยน์ตาแดงก่ำ มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น แทบอยากจะถลาเข้าไป ฆ่าบุรุษที่กำลังลิ้มชิมผลไม้สุกที่เขาลงทุนลงแรงอย่างยากเย็นเสียให้ตายคามือ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! เจ้าเป็นผู้ใด ปล่อยน้องสาวของข้าเดี๋ยวนี้”
พอถูกขัดจังหวะ มู่หรงอี้หวายถอนริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่ง พลางสบนัยน์ตาดุจกวางน้อยที่กำลังสั่นระริก เขาไม่ลืมที่จะส่งยิ้มอันแสนอบอุ่นให้หลี่จื่อเหยา ก่อนจะคลายอ้อมกอดอย่างเชื่องช้า โดยไม่สนใจบุรุษที่กำลังเดือดดาลอยู่ด้านหลังสักนิด
การกระทำอันแสนท้าทายทำให้หลี่เค่อโมโหยิ่งขึ้น เขาขบกรามแน่นจนเส้นเลือดตรงขมับปูดโปน
“เจ้ากล้าลวนลามน้องสาวของข้าในเขตบ้านสกุลหลี่ นี่มันหยามกันชัดๆ”
มู่หรงอี้หวายปรับสีหน้าเป็นคุณชายผู้สุขุมนุ่มลึกอีกครั้ง เขาหันไปเผชิญหน้ากับประมุขสกุลหลี่อย่างใจเย็น
“นายท่านหลี่ได้โปรดลดโทสะลงก่อน ข้าต้องขออภัยกับเรื่องที่เกิดขึ้น”
“หึ! แค่ขอโทษคำเดียวจะให้แล้วกันไปหรือ คิดง่ายไปหน่อยกระมัง”
“เป็นความผิดของข้าที่ไม่รู้จักควบคุมตนเองให้ดี และเพื่อไม่ให้คุณหนูหลี่ถูกครหา ข้ายินดีรับผิดชอบทุกอย่าง”
“บัดซบ! น้องสาวของข้าบริสุทธิ์ผุดผ่อง เจ้าเพียงฉวยโอกาส คิดเด็ดดอกฟ้า จึงกระทำการเยี่ยงนี้ แล้วจะให้ข้าวางใจยกนางให้เจ้าได้หรือ ช่างน่าขันเสียจริง” หลี่เค่อยิ้มเย้ยหยัน จ้องมองอีกฝ่ายอย่างดูแคลน ถึงแม้เสื้อผ้าจะเป็นของชั้นดี แต่ประเมินจากรูปร่างหน้าตาคาดว่าคงยังอายุน้อยท่าทางคงจะเป็นพวกเศรษฐีใหม่ หรือไม่ก็พ่อค้าไร้ชื่อเสียง ซึ่งเขาไม่ต้องการจะเกี่ยวดองด้วย
ถึงมู่หรงอี้หวายจะถูกผู้นำตระกูลหลี่ประเมินด้วยสายตาอันไม่เป็นมิตร ทว่าใบหน้าคมยังคงเรียบสนิทดุจพื้นน้ำอันนิ่งสงบในสระใหญ่ ไม่มีอาการตกประหม่าแม้แต่น้อย
“เพื่อเป็นการไถ่โทษที่ทำนายท่านหลี่ขุ่นเคือง นอกจากเงินสินสอดแล้ว หากท่านประสงค์สิ่งใดขอเพียงเอ่ยออกมา รับรองว่าข้าจะจัดหาให้ทั้งหมด โดยไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่สิ่งเดียว” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มเป็นจังหวะ ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรปรากฏรอยยิ้มอันน่าดึงดูดใจ เขาเสนอผลประโยชน์ เพื่อให้อีกฝ่ายพอใจ หากนี่เป็นการต่อรองซื้อขาย ชายผู้นี้ก็นับเป็นมืออาชีพ
ความใจเย็นและท่าทีสุภาพดูเป็นมิตรทำให้ให้หลี่เค่อลดโทสะลงเล็กน้อย เมื่อเขาลองพิจารณารูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายอย่างละเอียดอีกครั้งก็รู้สึกคุ้นอยู่บ้าง แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยพบอีกฝ่ายที่ใด
“เราเคยพบกันมาก่อนหรือไม่” หลี่เค่อถามออกไปเพราะยังกังขา
“เคย เพียงแต่ข้าในยามนั้นไม่ได้มีความสำคัญอันใดในสายตาท่าน หากจะลืมเลือนย่อมไม่แปลก”
“หึ! งั้นข้าก็คงเดาไม่ผิด เจ้าก็เป็นเพียงเศรษฐีใหม่ที่หมายจะตกถังข้าวสาร เพื่อยกฐานะตระกูลตัวเองสินะ”
มู่หรงอี้หวายส่งยิ้มประหลาดไปยังหลี่เค่อ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียง ที่เข้มขึ้น “ข้าไม่มีความจำเป็นที่ต้องทำเช่นนั้น นายท่านหลี่ระวังคำพูดด้วย”
เมื่ออีกฝ่ายเปลี่ยนท่าทีเลิกแสดงความนอบน้อม หลี่เค่อก็พร้อมจะสร้าง กำแพงขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เพราะสำหรับเขาอีกฝ่ายก็แค่เด็กเมื่อวานซืนเท่านั้น
“ช่างอวดดี เจ้าใหญ่โตมาจากที่ใดกัน”
“นามของข้าคือมู่หรงอี้หวาย คงใหญ่พอกระมัง” ชายหนุ่มจดจ้องผู้นำตระกูลหลี่เขม็ง
“อะไรนะ มะ...มู่หรง คุณชายมู่หรงหรือ”
มู่หรงอี้หวายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม นัยน์ตาสีนิลเปล่งประกายคมกริบ ประหนึ่งจะตำหนิหลี่เค่อว่ามีตาหามีแววไม่ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายทำท่าทางตกอกตกใจ บุตรชายคหบดีใหญ่ก็อยากจะหัวเราะให้ดังสนั่น แต่ก็เก็บความต้องการนั้นเอาไว้ภายใต้ใบหน้าของคุณชายผู้เพียบพร้อม เขาเปลี่ยนท่าทีนอบน้อมกลับไปเป็นบุรุษที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ สง่าราศีของทายาทตระกูลใหญ่ฉายชัดในทันที
“สามเดือนก่อนข้าช่วยชีวิตคุณหนูหลี่เอาไว้ แต่มีเหตุต้องจากไปโดยไม่บอกกล่าว เมื่อได้รับเทียบเชิญให้มาร่วมงานวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่าจึงถือโอกาสมาพบนางอีกครั้งหนึ่ง
บอกตามตรงว่าข้าพึงใจน้องสาวของท่าน เมื่อครู่จึงเผลอไผล ไม่ควบคุมตนเองจนล่วงเกินนางเข้า แต่ในเมื่อข้าต้องการแสดงความรับผิดชอบ เหตุใดท่านต้องทำให้ยุ่งยากด้วยเล่า หรือตระกูลมู่หรงนั้นต่ำต้อยเกินไป ตระกูลหลี่จึงดูถูกดูแคลน”
“มิได้ๆ หากคุณชายมู่หรงถูกใจเหยาเหยาก็นับเป็นวาสนาของนางแล้ว” หลี่เค่อเปลี่ยนท่าที รีบเอ่ยประจบประแจง
“หรือหูข้าจะมีปัญหา เมื่อครู่ท่านบอกว่าข้ามู่หรงอี้หวายไม่คู่ควรกับนาง ซ้ำยังกล่าวหาว่าทายาทคหบดีเช่นข้าหมายจะกลายเป็นหนูตกถังข้าวสารอีกด้วย”
“คุณชายมู่หรงได้โปรดอย่าถือสา โทสะบังตาทำให้ข้าเลอะเลือนไปชั่วขณะ”
มู่หรงอี้หวายกระตุกมุมปาก “ท่านคงมีโทสะ เพราะรักน้องสาวมากสินะ ความจริงข้าเองก็เป็นคนใจกว้าง เช่นนั้นจะไม่บอกกับท่านพ่อก็แล้วกันว่า นายท่านหลี่รังเกียจทายาทตระกูลมู่หรง”
เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นเต็มหน้าผากของหลี่เค่อ เขารู้สึกเสียใจที่แสดงโทสะก่อนจะล่วงรู้ฐานะของอีกฝ่าย
ตระกูลมู่หรงเป็นคหบดีมาหลายชั่วอายุคน ประมุขคนปัจจุบันมีทายาทเพียงแค่คนเดียวนามมู่หรงอี้หวาย ไม่ต้องพูดถึงความร่ำรวย อำนาจทางการค้ารวมไปถึงสัมปทานต่างๆ ล้วนอยู่ในกำมือพวกเขาทั้งสิ้น
แต่แล้วความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวหลี่เค่อแทนที่ความตระหนก เพราะหากฟังไม่ผิด คุณชายมู่หรงเพิ่งบอกจะว่าพึงใจหลี่จื่อเหยามิใช่หรือ
ถ้าทั้งสองได้เกี่ยวดองกัน ย่อมเป็นผลดีกับตระกลูหลี่
สรุปว่าชายผู้นี้คือปลาตัวอ้วนที่เขารอคอยอยู่ไม่ใช่หรือ แต่เมื่อครู่ตนใจร้อนจึงทำให้อีกฝ่ายโกรธเคือง หากเหยื่อหลุดรอดไปก็คงน่าเสียดายยิ่งนัก
‘แย่แล้ว หากคุณชายมู่หรงโกรธจนไม่ยอมรับผิดชอบเหยาเหยาเล่า ข้าจะทำอย่างไรดี’
หลี่จื่อเหยาที่ยืนดูเหตุการณ์มาสักครู่แล้ว พลันคิดตามถึงเรื่องที่คนทั้งสองพูดคุยกัน
หากถามหาความเหมาะสม ก็เห็นว่าตนเป็นเพียงบุตรสาวร้านค้าที่กิจการไม่ได้รุ่งเรืองดั่งเก่าก่อน ย่อมไม่คู่ควรกับบุรุษผู้เกิดมาบนกองเงินกองทองเช่นมู่หรงอี้หวาย สุดท้ายแล้วเทพบุตรก็ควรจะอยู่แค่ในความฝัน เช่นนั้นนางควรจะตื่นได้แล้ว ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป
หลี่จื่อเหยาพลันออกปาก ก่อนที่จะมีใครพูดอะไรขึ้นมาอีก
“คุณชายมู่หรงในเมื่อท่านพี่กล่าวลบหลู่ตระกูลท่าน เรื่องเมื่อครู่ก็ให้แล้วกันไปเถิด ข้าจะถือเสียว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น”
“เหยาเหยา เจ้าพูดบ้าอะไรกัน!” หลี่เค่อตวาดด้วยอารามตกใจ ปลาตัวใหญ่อยู่ตรงหน้า แต่น้องสาวผู้แสนโง่เขลากลับเลือกที่จะปล่อยให้หลุดมือ
“บุตรสาวร้านค้าเล็กๆ ต่างหากที่ต่ำต้อย ไม่คู่ควรกับท่าน ความจริงผู้ที่ควรถูกปฏิเสธน่าจะเป็นข้ามากกว่า” หลี่จื่อเหยายังคงก้มหน้าก้มตาพูดต่อไป โดยไม่ยอมแม้แต่จะสบตากับมู่หรงอี้หวาย เพราะเกรงว่าตนเองจะเผลอร้องไห้
มู่หรงอี้หวายหันกลับไปหาสตรีในชุดสีแดงเพลิงแทบจะทันที ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววตระหนกสุดขีด “มิได้ เจ้าให้คำมั่นกับข้าแล้ว ห้ามบิดพลิ้วเป็นอันขาด”
“แต่ว่า เมื่อครู่ข้ายังมิได้ตกลงอันใดกับคุณชายมู่หรงสักนิดเลยนะเจ้าคะ”
“เจ้าสามารถทำเหมือนกับว่าเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเราได้จริงหรือ”
หญิงสาวกัดฟันข่มกลั้นความเสียใจ “จื่อเหยาจะพยายามลืมทุกอย่างเจ้าค่ะ คุณชายมู่หรงสบายใจได้”
“ไม่คิดว่าคุณหนูหลี่จะเป็นสตรีที่โหดร้ายยิ่งนัก ทั้งที่เมื่อครู่เจ้า... เจ้า...กับข้า ให้ตายเถอะ มันไม่มีความหมายสักนิดเลยใช่หรือไม่” น้ำเสียงที่เคยทุ้มนุ่ม แปรเปลี่ยนเป็นแหบพร่า แม้แต่ใบหน้าหล่อเหลาก็ซีดเผือด นัยน์สีดำสนิทดุจราตรีนั้นก็ปรากฏแววหวั่นไหว
มู่หรงอี้หวายเผลอกัดริมฝีปากตนจนห้อเลือด เห็นอีกฝ่ายเงียบไปหลี่จื่อเหยาจึงแหงนศีรษะขึ้นเล็กน้อย ครั้นเห็นแววโศกเศร้าบนใบหน้า ของเขา ก็อดสะท้านสะเทือนหัวใจมิได้ คำพูดตัดรอนของนางทำให้เขาเจ็บปวดงั้นรึ“คุณชายมู่หรงทำไม่ได้หรือ” หลี่จื่อเหยาจ้องหน้าของเขาอีกครั้งด้วยหัวใจเต้นระทึก“ไม่ได้... ข้าทำไม่ได้” เขาส่งสายตาอ้อนวอน“แต่เมื่อครู่ข้าได้ยินกับหูว่าท่านเพียงเผลอไผล ผู้อื่นจึงไม่ต้องการให้คุณชายต้องฝืนใจรับผิดชอบ”“คุณหนูหลี่เข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้นเสียหน่อย”“แล้วคุณชายจะให้ข้าเข้าใจว่าอย่างไรเล่า”“เป็นข้าผิดทั้งนั้น ที่พอพบเจ้าอีกครั้งก็ดีใจจนควบคุมตนเองไม่ได้ ทั้งที่ควรจะทำทุกอย่างให้ถูกต้อง” มู่หรงอี้หวายเดินเข้าไปใกล้นางก้าวหนึ่ง แล้วคว้ามือเล็กนุ่มขึ้นมากอบกุม “นี่ข้าลืมบอกว่าชอบเจ้าสินะ”“คะ...คุณชายมู่หรง ท่านชอบข้าจริงๆ หรือ” นางพูดเสียงเบาหวิว จิตใจล่องลอยหลงใหลไปกับคำพูดหวานหูของเขา“หากไม่จริงใจ ข้าคงไม่ควบม้าเร็วติดต่อกันถึงสามวันสามคืน เพื่อจะมาพบหน้าเจ้าให้ได้ในวันนี้”นัยน์ตาสุกใสดุจกวางน้อยไหวระริก เขาทนลำบากเพื่อมาพบหน้านางหรือ แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่
“หากได้แต่งกับหญิงงามที่ถูกใจ ข้าก็ยอมลงทุน เจ้าก็รู้ว่าฐานะของนายน้อยสกุลเย่ไม่ได้ด้อยไปกว่าบุรุษเหล่านั้นเลย”“ตามใจเจ้า” มู่หรงอี้หวายทำท่าเหมือนเหนื่อยหน่าย จากนั้นก็จิบสุราต่อ“ต้องอย่างนี้สิ สหายข้า” เย่เทียนหลางหัวเราะร่วนอย่างมีความสุข ในที่สุดมู่หรงอี้หวายก็เลิกพูดขัดใจเขาเสียทีสำหรับคุณชายเย่ หากตระกูลหลี่มีปัญหาการเงินก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ อย่างมากก็คงเรียกสินสอดจำนวนมากกว่าปกติเท่านั้น มีหรือที่เขาจะจ่ายมิได้มู่หรงอี้หวายไม่ใคร่สนใจสหายผู้พร่ำเพ้ออีก ยามนี้สายตาของเขาจ้องมองไปยังหลี่จื่อเหยาเท่านั้น เหมือนหญิงสาวจะรับรู้ได้ถึงกระแสอันแรงกล้าจึง เหลือบมองกลับมา ยามที่ดวงแก้วสุกใสสบประสานนัยน์ตาสีดำสนิทดุจราตรีของเขา พวงแก้มสีชมพูก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อแน่นอนว่าการกระทำเหล่านี้ไม่พ้นสายตาของเย่เทียนหลางไปได้ “ร้ายนักอี้หวาย ที่เจ้าพูดนั่นพูดนี่ ที่แท้ก็หมายตานางเอาไว้เหมือนกันล่ะสิ”“เจ้ายอมแพ้แล้วหรือไม่” มู่หรงอี้หวายเหลือบมองสหาย พลางยิ้มยียวน“ให้ตายเถอะ ทำไมเจ้าต้องมาชอบคนที่ข้าพึงใจเล่า”“เจ้าดื่มสุราย้อมใจไปเถิด” น้ำเสียงของมู่หรงอี้หวายเต็มไปด้วยความเยาะหยัน“เ
ตามกฎหมายของแคว้นหาน หากต้องการสู่ขอหญิงสาวจากตระกูลใด ต้องมีของกำนัลมามอบให้ ถ้าถูกปฏิเสธจะไม่สามารถเรียกร้องขอคืนได้ ดังนั้นการสู่ขอจึงเป็นเรื่องที่ทุกตระกูลต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก แม้มีโอกาสจะลงทุนอย่างสูญเปล่าก็ตามที แต่ชาวแคว้นหานกลับมีความเชื่อว่ายิ่งให้ของล้ำค่ามากเท่าใด ก็แสดงว่าจริงใจต่อหญิงสาวมากเท่านั้นหลังจากวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่า บ้านสกุลหลี่ก็มีแม่สื่อมาเยือนไม่ขาดสาย และแน่นอนว่าพวกนางย่อมถือของล้ำค่ามาด้วย ทำให้หลี่เค่ออารมณ์ดีติดต่อกันมาสามวันแล้วแรกเริ่มเดิมทีนายท่านหลี่หวังว่าจะมีผู้สนใจเป็นเจ้าบ่าวของน้องสาวประมาณห้าหกคน แต่ผู้ที่ต้องการได้หลี่จื่อเหยาไปเป็นภรรยานั้นมีมากเกินความคาดหมาย นับจากวันเกิดมารดา ก็มีแม่สื่อมาดำเนินการสู่ขอนางมากถึงยี่สิบห้าคน เช่นนี้ย่อมหมายความว่าตระกูลหลี่ได้ของล้ำค่ามากถึงยี่สิบห้าชิ้นช่างบรรจวบเหมาะยิ่งนักหลี่เค่อได้ถอนทุนคืนจากการจ้างแม่สื่อฟง รวมไปถึงค่าเครื่องประทินผิวอย่างดีสำหรับดูแลความงาม และผิวพรรณของหลี่จื่อเหยาด้วยแม้จะฉวยโอกาสในการหาทรัพย์สินเข้าคลังของตระกูล แต่ความจริงเขาก็รักหลี่จื่อเหยามากเช่นกัน เมื่อรู้ว่านางม
วันรุ่งขึ้นหลี่เค่อเรียกน้องสาวมาพบ เมื่อเห็นนางมีสีหน้าอมทุกข์ เขาก็รู้สึกโกรธมู่หรงอี้หวายขึ้นมาทันที จึงบอกเรื่องที่ตนตั้งใจจะไปฟ้องร้อง เรียกค่าเสียหายกับคุณชายมู่หรง แต่หลี่จื่อเหยาขอร้องให้พี่ชายคลายโทสะ อย่างน้อยก็ให้เห็นแก่ความดีที่บุรุษผู้นั้นได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ อีกทั้งยังบอกเรื่องที่คิดได้เมื่อคืนว่า อาจจะเป็นประมุขตระกูลที่ไม่เห็นชอบกับบุตรชาย เช่นนั้นตระกูลหลี่ก็ควรเข้าใจความจำเป็นของเขาหลี่เค่อถอนหายใจยาว ที่น้องสาวเขาพูดก็มีเหตุผล อีกอย่างหากตนไปฟ้องร้อง ก็เท่ากับเปิดศึกกับตระกูลใหญ่ ย่อมได้ไม่คุ้มเสีย สู้เอาเวลาไปเตรียมจัดงานมงคลจะดีกว่า“น้องพี่อย่าได้เสียใจไปเลย ใช่ว่าจะไม่มีผู้ชายดีๆ สนใจเจ้าเสียเมื่อไหร่ รู้หรือไม่ มีตั้งยี่สิบหกคนแน่ะ”“จริงหรือพี่ใหญ่ ทำไมถึงได้เยอะเช่นนั้น น้องแค่เล่นพิณเพลงเดียวเองนะเจ้าคะ” นางรู้สึกตกใจจริงๆ“เด็กโง่ ยามนี้เจ้าเติบโตเป็นสาวสะพรั่ง ทั้งบริสุทธิ์และงดงามยิ่ง ชายใดได้เห็นย่อมต้องพึงใจเป็นธรรมดา”“พี่ใหญ่กล่าวเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้วิเศษเลิศเลอกว่าผู้ใด”“น้อยไปสิ ขนาดคุณชายมู่หรงถึงกับลืมตนกินเต้าหู
ตะวันเคลื่อนคล้อยสาดแสงสีส้มตกกระทบหลังคากระเบื้องจนเปล่งประกายร้านค้าแผงลอยต่างทยอยเก็บข้าวของตามปกติดั่งเช่นทุกวัน ผู้คนที่สัญจรจอแจในช่วงกลางวันเริ่มบางตาลงทุกขณะ ในที่สุดนายท่านหลี่ก็กลับมาจากการตกปลาอ้วนพีสามตัว บ่าวไพร่ต่างลงความเห็นว่าผู้เป็นนายน่าจะต่อรองการค้าได้กำไรเป็นแน่ เพราะตั้งแต่ลงจากรถม้า จนกระทั่งเข้ามาในร้านเขายิ้มกว้างตลอดเวลาหลี่เค่อรีบให้คนไปตามน้องสาวมาพบ จากนั้นก็นั่งรอนางในห้องทำงานด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขพอหลี่จื่อเหยาเดินเข้ามาภายในห้อง แล้วแลเห็นท่าทางของพี่ชาย นางก็คาดเดาได้ถึงผลการเจรจา“เหยาเหยารีบมานั่งเร็วเข้า” หลี่เค่อเร่งเร้าน้องสาวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเหลือประมาณหลี่จื่อเหยาหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ข้างโต๊ะไม้สนขัดมันตัวใหญ่“หากให้น้องสาวเดา เกรงว่าจะมีคนยอมรอคำตอบรับสามเดือนใช่หรือไม่”“แน่นอน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องขอบคุณความใจดีมีเมตตาของตัวเจ้าเองด้วย”“พี่ใหญ่หมายความว่าอย่างไร ทำไมความใจดีของข้าจึงเกี่ยวข้องกับผลการเจรจาได้เล่า”“เมื่อสองเดือนก่อนเจ้าได้ช่วยคนผู้หนึ่งเอาไว้ใช่หรือไม่”คิ้วสวยได้รูปขมวดเล็กน้อย นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“เจ้าค่ะ ยา
ดวงแก้วสีน้ำตาลจดจ้องลำแสงที่ส่องลงมา มือนางพยายามไขว่คว้าทุกสิ่ง เพื่อจะไปให้ถึงยังความอบอุ่นเบื้องบน อาภรณ์ที่สวมช่างหนักเหลือเกิน ร่างบาง จึงยิ่งจมดิ่ง ความหนาวเหน็บจู่โจมทุกอณูของร่างกาย ทุกครั้งที่เผยอริมฝีปาก เพื่อสูดอากาศกลับมีเพียงของเหลวไหลเข้าไปแทนที่ทรมาน ข้าทรมานเหลือเกิน เปลือกตาหนักอึ้ง สติค่อยๆ เลือนรางข้ากำลังจะตายงั้นรึท่านแม่ ท่านพี่ จื่อเหยาขอลา... แค่ก แค่ก แค่ก! หลี่จื่อเหยาสำรอกน้ำออกมาจากปากคำใหญ่ ความทรมานเมื่อครู่มลาย หายไปทีละน้อยเมื่อของเหลวไหลออกมาจนหมด ความเจ็บปวดตรงหน้าอกก็ หมดไป หลี่จื่อเหยาได้กลิ่นหอมสดชื่นของไม้กฤษณา แม้กำลังจะหมดแรง นางก็พยายามเปิดเปลือกตาเพื่อมองภาพผู้มีพระคุณนัยน์ตาดุจลูกกวางสบเข้ากับดวงแก้วสีนิล บุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่งกำลังประคองนางเอาไว้ในอ้อมแขน“แม่นาง เจ้าไม่เป็นอันใดแล้ว” ชายในชุดสีครามกระตุกรอยยิ้มบนมุมปากน้อยๆ ช่างดูอบอุ่นยิ่งนัก“ขะ...ขอบคุณ” หญิงสาวที่เพิ่งก้าวข้ามจากประตูผีส่งเสียงเบาแทบจะไม่ได้ยิน“ไม่เป็นไร เห็นคนกำลังจะตาย ข้าเป็นลูกผู้ชายย่อมต้องช่วยเหลือ”หลี่จื่อเหยาอยากจะถามชื่อของเขา ทว่านางไม่มีเรี่ยวแรงเห
โครม! เสียงของกระแทกผนังภายในห้องทำงานของนายท่านตระกูลหลี่ ทำให้ผู้ที่ได้ยินชะงักงันด้วยความตกใจ“บัดซบ! ทำไมเป็นเช่นนี้ไปได้” หลี่เค่อตวาดด้วยความเดือดดาล“เป็นความผิดของข้าที่ไม่สามารถดูแลคุ้มครองสินค้าได้ ขอให้นายท่านลงโทษจินหูเถิด”เมื่อเห็นคนสนิทนั่งคุกเข่าขอรับความผิดแต่เพียงผู้เดียว นายท่านตระกูลหลี่ก็อดเห็นใจไม่ได้“ลงโทษเจ้าแล้วได้อันใด สินค้าเหล่านั้นก็ไม่กลับมาอยู่ดี”“พวกโจรไม่ได้ขโมยของไปทั้งหมด เรายังพอเหลือสินค้าเอามาวางขายได้นะขอรับ”“เรื่องนั้นข้ารู้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้ากังวล” หลี่เค่อกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น“สินค้าที่ถูกปล้นไป ล้วนเป็นของที่ถูกสั่งเอาไว้ทั้งสิ้น มัดจำข้าก็รับมาครึ่งหนึ่งแล้ว หากไม่มีสินค้าไปส่งตามสัญญา ร้านค้าตระกูลหลี่ได้พินาศคามือข้าแน่”ภาพบิดาผู้ล่วงลับลอยผ่านเข้ามาในห้วงคำนึง ถ้ากิจการของครอบครัว ต้องพังในรุ่นของเขา หลี่เค่อคงไม่มีหน้าไปพบกับวิญญาณบรรพชน“ข้าเชื่อว่าลูกค้าเหล่านั้นย่อมเข้าใจ หากเราหาเงินมัดจำไปคืนได้ พวกเขา อาจจะไม่ฟ้องร้องค่าปรับก็ได้ขอรับ”“หากเป็นเช่นนั้นก็ดี แต่ข้ากลัวว่าจะไม่ง่ายดั่งที่เจ้าคิดน่ะสิ จะมาถามหาน้ำใจเกี่
ครั้นน้องสาวจากไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าคมก็จางหายหลี่เค่อลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินตรงไปยังชั้นหนังสือ เขาหยิบกล่องสีดำใบหนึ่งขึ้นมา เมื่อเปิดฝาก็พบเอกสารหลายสิบฉบับ ซึ่งล้วนแต่เป็นโฉนดที่ดินและทรัพย์สินต่างๆหลังจากกวาดสายตาอยู่พักหนึ่ง ชายหนุ่มก็ตัดสินใจหยิบโฉนดออกมาสองสามใบถึงเขาจะมั่นใจว่าหลิวจินหูจะสามารถขายสินค้าที่เหลือได้ทันเวลา แต่หากมีลูกค้าที่ไม่ยินยอม แล้วเรียกร้องเอาเงินค่าปรับสักสองสามคน เท่านี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่แล้ว เงินสดในบัญชีคงไม่เพียงพอที่จะจ่ายค่าปรับมหาศาลเหล่านั้น เขาจึงจำต้องเฉือนเนื้อบางส่วนเพื่อรักษา ร่างกายเอาไว้เวลาผ่านไปราวสายลมผู้ช่วยมือดีอย่างหลิวจินหูสามารถขายสินค้าที่มีได้ทั้งหมด ทำให้ร้านค้าตระกูลหลี่สามารถชดใช้เงินค่ามัดจำกับลูกค้าเก่าแก่ได้ แต่ปัญหายังคงไม่หมดไป เมื่อมีลูกค้าสองรายที่ไม่ยินดีรับเงินคืนไปเฉยๆคนที่มีปัญหาล้วนแล้วเป็นลูกค้าใหม่ทั้งสิ้น อีกทั้งยังเป็นผู้ที่สั่งซื้อสินค้าจำนวนเยอะที่สุดอีกด้วย เนื่องจากเป็นลูกค้าใหม่ซึ่งไร้ความสัมพันธ์ใดๆ พวกเขาจึงไม่มีความเห็นใจให้กับร้านค้าตระกูลหลี่แม้ก่อนหน้าหลี่เค่อได้เตรียมการขายที่ดินสามแห่
ตะวันเคลื่อนคล้อยสาดแสงสีส้มตกกระทบหลังคากระเบื้องจนเปล่งประกายร้านค้าแผงลอยต่างทยอยเก็บข้าวของตามปกติดั่งเช่นทุกวัน ผู้คนที่สัญจรจอแจในช่วงกลางวันเริ่มบางตาลงทุกขณะ ในที่สุดนายท่านหลี่ก็กลับมาจากการตกปลาอ้วนพีสามตัว บ่าวไพร่ต่างลงความเห็นว่าผู้เป็นนายน่าจะต่อรองการค้าได้กำไรเป็นแน่ เพราะตั้งแต่ลงจากรถม้า จนกระทั่งเข้ามาในร้านเขายิ้มกว้างตลอดเวลาหลี่เค่อรีบให้คนไปตามน้องสาวมาพบ จากนั้นก็นั่งรอนางในห้องทำงานด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขพอหลี่จื่อเหยาเดินเข้ามาภายในห้อง แล้วแลเห็นท่าทางของพี่ชาย นางก็คาดเดาได้ถึงผลการเจรจา“เหยาเหยารีบมานั่งเร็วเข้า” หลี่เค่อเร่งเร้าน้องสาวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเหลือประมาณหลี่จื่อเหยาหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ข้างโต๊ะไม้สนขัดมันตัวใหญ่“หากให้น้องสาวเดา เกรงว่าจะมีคนยอมรอคำตอบรับสามเดือนใช่หรือไม่”“แน่นอน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องขอบคุณความใจดีมีเมตตาของตัวเจ้าเองด้วย”“พี่ใหญ่หมายความว่าอย่างไร ทำไมความใจดีของข้าจึงเกี่ยวข้องกับผลการเจรจาได้เล่า”“เมื่อสองเดือนก่อนเจ้าได้ช่วยคนผู้หนึ่งเอาไว้ใช่หรือไม่”คิ้วสวยได้รูปขมวดเล็กน้อย นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“เจ้าค่ะ ยา
วันรุ่งขึ้นหลี่เค่อเรียกน้องสาวมาพบ เมื่อเห็นนางมีสีหน้าอมทุกข์ เขาก็รู้สึกโกรธมู่หรงอี้หวายขึ้นมาทันที จึงบอกเรื่องที่ตนตั้งใจจะไปฟ้องร้อง เรียกค่าเสียหายกับคุณชายมู่หรง แต่หลี่จื่อเหยาขอร้องให้พี่ชายคลายโทสะ อย่างน้อยก็ให้เห็นแก่ความดีที่บุรุษผู้นั้นได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ อีกทั้งยังบอกเรื่องที่คิดได้เมื่อคืนว่า อาจจะเป็นประมุขตระกูลที่ไม่เห็นชอบกับบุตรชาย เช่นนั้นตระกูลหลี่ก็ควรเข้าใจความจำเป็นของเขาหลี่เค่อถอนหายใจยาว ที่น้องสาวเขาพูดก็มีเหตุผล อีกอย่างหากตนไปฟ้องร้อง ก็เท่ากับเปิดศึกกับตระกูลใหญ่ ย่อมได้ไม่คุ้มเสีย สู้เอาเวลาไปเตรียมจัดงานมงคลจะดีกว่า“น้องพี่อย่าได้เสียใจไปเลย ใช่ว่าจะไม่มีผู้ชายดีๆ สนใจเจ้าเสียเมื่อไหร่ รู้หรือไม่ มีตั้งยี่สิบหกคนแน่ะ”“จริงหรือพี่ใหญ่ ทำไมถึงได้เยอะเช่นนั้น น้องแค่เล่นพิณเพลงเดียวเองนะเจ้าคะ” นางรู้สึกตกใจจริงๆ“เด็กโง่ ยามนี้เจ้าเติบโตเป็นสาวสะพรั่ง ทั้งบริสุทธิ์และงดงามยิ่ง ชายใดได้เห็นย่อมต้องพึงใจเป็นธรรมดา”“พี่ใหญ่กล่าวเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้วิเศษเลิศเลอกว่าผู้ใด”“น้อยไปสิ ขนาดคุณชายมู่หรงถึงกับลืมตนกินเต้าหู
ตามกฎหมายของแคว้นหาน หากต้องการสู่ขอหญิงสาวจากตระกูลใด ต้องมีของกำนัลมามอบให้ ถ้าถูกปฏิเสธจะไม่สามารถเรียกร้องขอคืนได้ ดังนั้นการสู่ขอจึงเป็นเรื่องที่ทุกตระกูลต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก แม้มีโอกาสจะลงทุนอย่างสูญเปล่าก็ตามที แต่ชาวแคว้นหานกลับมีความเชื่อว่ายิ่งให้ของล้ำค่ามากเท่าใด ก็แสดงว่าจริงใจต่อหญิงสาวมากเท่านั้นหลังจากวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่า บ้านสกุลหลี่ก็มีแม่สื่อมาเยือนไม่ขาดสาย และแน่นอนว่าพวกนางย่อมถือของล้ำค่ามาด้วย ทำให้หลี่เค่ออารมณ์ดีติดต่อกันมาสามวันแล้วแรกเริ่มเดิมทีนายท่านหลี่หวังว่าจะมีผู้สนใจเป็นเจ้าบ่าวของน้องสาวประมาณห้าหกคน แต่ผู้ที่ต้องการได้หลี่จื่อเหยาไปเป็นภรรยานั้นมีมากเกินความคาดหมาย นับจากวันเกิดมารดา ก็มีแม่สื่อมาดำเนินการสู่ขอนางมากถึงยี่สิบห้าคน เช่นนี้ย่อมหมายความว่าตระกูลหลี่ได้ของล้ำค่ามากถึงยี่สิบห้าชิ้นช่างบรรจวบเหมาะยิ่งนักหลี่เค่อได้ถอนทุนคืนจากการจ้างแม่สื่อฟง รวมไปถึงค่าเครื่องประทินผิวอย่างดีสำหรับดูแลความงาม และผิวพรรณของหลี่จื่อเหยาด้วยแม้จะฉวยโอกาสในการหาทรัพย์สินเข้าคลังของตระกูล แต่ความจริงเขาก็รักหลี่จื่อเหยามากเช่นกัน เมื่อรู้ว่านางม
“หากได้แต่งกับหญิงงามที่ถูกใจ ข้าก็ยอมลงทุน เจ้าก็รู้ว่าฐานะของนายน้อยสกุลเย่ไม่ได้ด้อยไปกว่าบุรุษเหล่านั้นเลย”“ตามใจเจ้า” มู่หรงอี้หวายทำท่าเหมือนเหนื่อยหน่าย จากนั้นก็จิบสุราต่อ“ต้องอย่างนี้สิ สหายข้า” เย่เทียนหลางหัวเราะร่วนอย่างมีความสุข ในที่สุดมู่หรงอี้หวายก็เลิกพูดขัดใจเขาเสียทีสำหรับคุณชายเย่ หากตระกูลหลี่มีปัญหาการเงินก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ อย่างมากก็คงเรียกสินสอดจำนวนมากกว่าปกติเท่านั้น มีหรือที่เขาจะจ่ายมิได้มู่หรงอี้หวายไม่ใคร่สนใจสหายผู้พร่ำเพ้ออีก ยามนี้สายตาของเขาจ้องมองไปยังหลี่จื่อเหยาเท่านั้น เหมือนหญิงสาวจะรับรู้ได้ถึงกระแสอันแรงกล้าจึง เหลือบมองกลับมา ยามที่ดวงแก้วสุกใสสบประสานนัยน์ตาสีดำสนิทดุจราตรีของเขา พวงแก้มสีชมพูก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อแน่นอนว่าการกระทำเหล่านี้ไม่พ้นสายตาของเย่เทียนหลางไปได้ “ร้ายนักอี้หวาย ที่เจ้าพูดนั่นพูดนี่ ที่แท้ก็หมายตานางเอาไว้เหมือนกันล่ะสิ”“เจ้ายอมแพ้แล้วหรือไม่” มู่หรงอี้หวายเหลือบมองสหาย พลางยิ้มยียวน“ให้ตายเถอะ ทำไมเจ้าต้องมาชอบคนที่ข้าพึงใจเล่า”“เจ้าดื่มสุราย้อมใจไปเถิด” น้ำเสียงของมู่หรงอี้หวายเต็มไปด้วยความเยาะหยัน“เ
มู่หรงอี้หวายเผลอกัดริมฝีปากตนจนห้อเลือด เห็นอีกฝ่ายเงียบไปหลี่จื่อเหยาจึงแหงนศีรษะขึ้นเล็กน้อย ครั้นเห็นแววโศกเศร้าบนใบหน้า ของเขา ก็อดสะท้านสะเทือนหัวใจมิได้ คำพูดตัดรอนของนางทำให้เขาเจ็บปวดงั้นรึ“คุณชายมู่หรงทำไม่ได้หรือ” หลี่จื่อเหยาจ้องหน้าของเขาอีกครั้งด้วยหัวใจเต้นระทึก“ไม่ได้... ข้าทำไม่ได้” เขาส่งสายตาอ้อนวอน“แต่เมื่อครู่ข้าได้ยินกับหูว่าท่านเพียงเผลอไผล ผู้อื่นจึงไม่ต้องการให้คุณชายต้องฝืนใจรับผิดชอบ”“คุณหนูหลี่เข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้นเสียหน่อย”“แล้วคุณชายจะให้ข้าเข้าใจว่าอย่างไรเล่า”“เป็นข้าผิดทั้งนั้น ที่พอพบเจ้าอีกครั้งก็ดีใจจนควบคุมตนเองไม่ได้ ทั้งที่ควรจะทำทุกอย่างให้ถูกต้อง” มู่หรงอี้หวายเดินเข้าไปใกล้นางก้าวหนึ่ง แล้วคว้ามือเล็กนุ่มขึ้นมากอบกุม “นี่ข้าลืมบอกว่าชอบเจ้าสินะ”“คะ...คุณชายมู่หรง ท่านชอบข้าจริงๆ หรือ” นางพูดเสียงเบาหวิว จิตใจล่องลอยหลงใหลไปกับคำพูดหวานหูของเขา“หากไม่จริงใจ ข้าคงไม่ควบม้าเร็วติดต่อกันถึงสามวันสามคืน เพื่อจะมาพบหน้าเจ้าให้ได้ในวันนี้”นัยน์ตาสุกใสดุจกวางน้อยไหวระริก เขาทนลำบากเพื่อมาพบหน้านางหรือ แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่
ระหว่างที่มู่หรงอี้หวายกำลังจุมพิตหลี่จื่อเหยาอย่างดูดดื่มอยู่นั้น หลี่เค่อที่ตามหาน้องสาวอยู่ก็ผ่านมาพบคนทั้งคู่เข้าพอดีไฟโทสะของผู้นำสกุลหลี่พวยพุ่ง นัยน์ตาแดงก่ำ มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น แทบอยากจะถลาเข้าไป ฆ่าบุรุษที่กำลังลิ้มชิมผลไม้สุกที่เขาลงทุนลงแรงอย่างยากเย็นเสียให้ตายคามือ“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! เจ้าเป็นผู้ใด ปล่อยน้องสาวของข้าเดี๋ยวนี้”พอถูกขัดจังหวะ มู่หรงอี้หวายถอนริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่ง พลางสบนัยน์ตาดุจกวางน้อยที่กำลังสั่นระริก เขาไม่ลืมที่จะส่งยิ้มอันแสนอบอุ่นให้หลี่จื่อเหยา ก่อนจะคลายอ้อมกอดอย่างเชื่องช้า โดยไม่สนใจบุรุษที่กำลังเดือดดาลอยู่ด้านหลังสักนิดการกระทำอันแสนท้าทายทำให้หลี่เค่อโมโหยิ่งขึ้น เขาขบกรามแน่นจนเส้นเลือดตรงขมับปูดโปน“เจ้ากล้าลวนลามน้องสาวของข้าในเขตบ้านสกุลหลี่ นี่มันหยามกันชัดๆ”มู่หรงอี้หวายปรับสีหน้าเป็นคุณชายผู้สุขุมนุ่มลึกอีกครั้ง เขาหันไปเผชิญหน้ากับประมุขสกุลหลี่อย่างใจเย็น“นายท่านหลี่ได้โปรดลดโทสะลงก่อน ข้าต้องขออภัยกับเรื่องที่เกิดขึ้น”“หึ! แค่ขอโทษคำเดียวจะให้แล้วกันไปหรือ คิดง่ายไปหน่อยกระมัง”“เป็นความผิดของข้าที่ไม่รู้จักควบคุมตนเองให้ดี
“จะเป็นไปได้อย่างไร คุณหนูงดงามถึงเพียงนี้จะมีตรงที่ใดให้ข้านึกรังเกียจได้บ้างเล่า หืม” เขาคว้ามือขาวเนียนของนางมากอบกุมเอาไว้ นัยน์ตาสีนิลดุจท้องฟ้ายามรัตติกาลช่างดึงดูดหัวใจยิ่ง“ขะ...ข้าไม่รู้ว่าคุณชายหายไปด้วยเหตุใด จึงคิดว่าท่านหนีหน้า เพราะ ไม่ต้องการรับผิดชอบเรื่อง...” หลี่จื่อเหยายั้งปากของตนเองเอาไว้เกือบไม่ทัน แต่นางจะพูดเรื่องน่าอายเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่าบุรุษหล่อเหลาออกแรงดึงมือเพียงเล็กน้อย ร่างบอบบางในอาภรณ์สีแดงก็เคลื่อนเข้าปะทะกับอกแกร่ง เขาตวัดแขนกระชับอ้อมกอดให้แนบสนิท ไม่ยินยอมให้หญิงสาวผู้ตื่นตระหนกดิ้นหลุดจากพันธนาการ“ใครว่า ข้าอยากกลับมารับผิดชอบใจจะขาด”การจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวนี้ทำให้หลี่จื่อเหยาแทบละลายกลายเป็นแอ่งน้ำ เขากับนางอยู่ใกล้ชิดกันอย่างมากจนลมหายใจอุ่นร้อนของบุรุษรินรดลงบนแก้มนวล หญิงสาวไม่อาจควบคุมก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายที่กำลังเต้นถี่รัว ใบหน้าของนางทั้งเห่อร้อนและแดงระเรื่อราวกับคนต้องพิษไข้แต่ถึงอย่างไรชายหญิงก็ไม่ควรใกล้ชิด หากมีผู้ใดมาเห็นเข้าย่อมไม่ดีแน่ หลี่จื่อเหยาดิ้นขลุกขลักอย่างน่าสงสาร แต่มู่หรงอี้หวายก็ไม่มีท่าทีจะยอมปล่อยให้นางเป็น
ถึงกระนั้นความหวังก็ยังริบหรี่ เพราะต่อให้นางพยายามตามหาเบาะแสเท่าใด ก็ไม่พบร่องรอยของคนผู้นั้น เหมือนกับว่าเขาไม่ใช่คนของโลกใบนี้‘บางทีเขาอาจจะเป็นคนต่างเมืองที่ไม่มีใครรู้จัก หรืออาจจะเป็นเทพจากสวรรค์ที่มาช่วยนางจากประตูผี เมื่อเสร็จธุระก็บินกลับสวรรค์ชั้นฟ้าไปแล้วกระมัง’ เมื่อคิดถึงตรงนี้รอยยิ้มขื่นก็ปรากฏ จะมีเหตุผลอันใดเล่า เขาก็แค่คนที่ผ่านมาเท่านั้น ทั้งสองไม่เคยรู้จักมักคุ้น จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่บุรุษผู้หนึ่งจะต้องสานสัมพันธ์หรือเป็นห่วงเป็นใยสตรีที่บังเอิญได้ช่วยเหลือนั่นล่ะคือความจริงทางที่ดีนางควรลืมเรื่องที่เสี่ยวจูพูด การต่อลมหายใจเป็นเพียงวิธีหนึ่งที่ใช้ช่วยชีวิตคนเท่านั้น ในเมื่อไม่มีข่าวลือเสียหาย นางก็ยังคงรักษาศักดิ์ศรีเอาไว้ได้มิใช่หรือนิ้วเรียวลูบลงบนกลีบปากอย่างช้าๆ หลี่จื่อเหยาแทบจำสัมผัสอันพร่าเลือนจากการถ่ายทอดอากาศสู่กายนางมิได้ พอมาคิดอีกที ถึงแม้ชายผู้นั้นจะทำลงไปเพราะต้องการช่วยเหลือก็ตาม แต่นั่นไม่เท่ากับว่าจูบแรกของนางได้ถูกขโมยไปแล้วหรือ‘ช่างเถิด’หลี่จื่อเหยาถอนหายใจ อย่างไรการเฝ้ารอคนผู้นั้นอย่างเปล่าประโยชน์กำลังจะสิ้นสุดแล้ว หลังจากคืนนี้ไป
เวลาล่วงเลยจนถึงวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า หลี่เค่อหมายใช้วันเกิดครบรอบอายุห้าสิบปีของมารดาเปิดตัวหลี่จื่อเหยา เขาจัดทำเทียบเชิญส่งไปยังตระกูลผู้ดีทั้งหลาย รวมไปถึงพ่อค้าวาณิชที่มีลูกชายถึงวัยแต่งงาน เขามั่นใจว่าน้องสาวคนงามจะเป็นที่ต้องตาต้องใจบรรดาคุณชาย เหล่านั้นอย่างแน่นอนสำหรับตระกูลหลี่นั้นถือเป็นตระกูลที่มีคนนับหน้าถือตาพอสมควร ด้วยทำการค้าภายในเมืองหลวงมายาวนาน อีกทั้งนายท่านรุ่นก่อนก็เป็นคนกว้างขวาง และมีมิตรสหายมาก ทำให้แขกเหรื่อพากันมาร่วมอวยพรให้ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างหนาตา ซึ่งล้วนเป็นผู้มีชื่อเสียงในแคว้นหานทั้งสิ้นนอกจากคำอวยพร บรรดาสหายเก่าและเศรษฐีทั้งหลายต่างมอบของขวัญล้ำค่าแก่ฮูหยินผู้เฒ่าอีกด้วย หลี่เค่อตาเป็นประกายเมื่อเห็นรายการของกำนัล รู้สึกว่าคุ้มค่ายิ่งที่ลงทุนลงแรงกับวันนี้ไปมากอีกด้านหนึ่งหลี่จื่อเหยานั่งอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง นัยน์ตาสีน้ำตาลมองภาพหญิงสาว งดงามที่สะท้อนอยู่ในกระจกทองเหลือง ในขณะที่สาวใช้ประจำตัวกำลังเกล้าผมเป็นทรงเมฆลอยให้อย่างใส่ใจนิ้วยาวสวยดุจลำเทียนวาดไล้บนรูปหน้าแผ่วเบา ก่อนจะหยิบกระดาษสีแดงในกล่องเครื่องประทินโฉมขึ้นมา ริมฝีปากรูปกระจับเม้