เวลาล่วงเลยจนถึงวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า หลี่เค่อหมายใช้วันเกิดครบรอบอายุห้าสิบปีของมารดาเปิดตัวหลี่จื่อเหยา เขาจัดทำเทียบเชิญส่งไปยังตระกูลผู้ดีทั้งหลาย รวมไปถึงพ่อค้าวาณิชที่มีลูกชายถึงวัยแต่งงาน เขามั่นใจว่าน้องสาวคนงามจะเป็นที่ต้องตาต้องใจบรรดาคุณชาย เหล่านั้นอย่างแน่นอน
สำหรับตระกูลหลี่นั้นถือเป็นตระกูลที่มีคนนับหน้าถือตาพอสมควร ด้วยทำการค้าภายในเมืองหลวงมายาวนาน อีกทั้งนายท่านรุ่นก่อนก็เป็นคนกว้างขวาง และมีมิตรสหายมาก ทำให้แขกเหรื่อพากันมาร่วมอวยพรให้ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างหนาตา ซึ่งล้วนเป็นผู้มีชื่อเสียงในแคว้นหานทั้งสิ้น
นอกจากคำอวยพร บรรดาสหายเก่าและเศรษฐีทั้งหลายต่างมอบของขวัญล้ำค่าแก่ฮูหยินผู้เฒ่าอีกด้วย หลี่เค่อตาเป็นประกายเมื่อเห็นรายการของกำนัล รู้สึกว่าคุ้มค่ายิ่งที่ลงทุนลงแรงกับวันนี้ไปมาก
อีกด้านหนึ่ง
หลี่จื่อเหยานั่งอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง นัยน์ตาสีน้ำตาลมองภาพหญิงสาว งดงามที่สะท้อนอยู่ในกระจกทองเหลือง ในขณะที่สาวใช้ประจำตัวกำลังเกล้าผมเป็นทรงเมฆลอยให้อย่างใส่ใจ
นิ้วยาวสวยดุจลำเทียนวาดไล้บนรูปหน้าแผ่วเบา ก่อนจะหยิบกระดาษสีแดงในกล่องเครื่องประทินโฉมขึ้นมา ริมฝีปากรูปกระจับเม้มลงบนชาดที่แต้มอยู่ทำให้ปรากฏกลีบบุปผาสีกุหลาบเย้ายวนขึ้นทันใด
เมื่อประทินโฉมเสร็จสิ้น ดรุณีวัยแรกแย้มก็กลายร่างเป็นหญิงสาวที่มีรูปโฉมงดงาม อาภรณ์สีแดงเพลิงขับเน้นให้ผิวขาวราวหิมะเด่นเป็นประกายท่ามกลางแสงจากเทียนไข
หนึ่งเดือนที่ผ่านมา หลี่เค่อยอมจ่ายไม่อั้นเพื่อจ้างแม่สื่อผู้มีชื่อเสียงของเมืองหลวงมาดูแลอบรมน้องสาว
ทันทีที่พบหน้าฟงเซียงเซียง คุณหนูหลี่ก็ตกตะลึงในความงดงามของอีกฝ่าย
เดิมทีหลี่จื่อเหยาคิดว่า คนที่เป็นแม่สื่อจะต้องเป็นหญิงมีอายุผู้มากประสบการณ์ แต่แม่สื่อฟงนั้นยังสาว ซ้ำมีรูปโฉมงดงามยั่วยวนบุรุษเป็นอย่างยิ่ง ตรงกันข้ามผู้เป็นแม่สื่อที่มองว่าต้องยกเครื่องคุณหนูสกุลหลี่ใหม่ทั้งตัว
ถึงแม้จะมีหน้าตาสะสวยเป็นทุน แต่หลี่จื่อเหยากลับไร้ซึ่งเสน่ห์และแรงดึงดูดแบบที่สตรีพึงมีอย่างสิ้นเชิง หากต้องการหาสามีที่ดีตามที่แบบฉบับที่นายท่านหลี่สั่งการไว้แล้วล่ะก็ สภาพของหญิงสาววัยสิบหกตรงหน้านาง คงหาได้เพียงพ่อค้าวาณิชระดับธรรมดามาเป็นคู่ ยากที่ คุณชายตระกูลดีที่พบเจอหญิงงามมาแล้วมากมายจะเหลียวมอง
ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่าลูกชายจ้างแม่สื่อดังมาดูแลบุตรสาวแล้ว จึงสั่งสอนเน้นย้ำเพียงเรื่องการดูแลบ้านเรือนในฐานะนายหญิงให้เพิ่มเติมเท่านั้น สำหรับเรื่องอื่นๆ นางยกให้ผู้เชี่ยวชาญจัดการ
ฟงเซียงเซียงค่อยๆ จับคุณหนูหลี่ลอกคราบเด็กสาวกะโปโลออกไปจนสิ้น
หลี่จื่อเหยาถูกขัดสีฉวีวรรณตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ได้เรียนรู้การดูแลร่างกายให้หอมหวนแบบผู้สูงศักดิ์ รวมไปถึงอากัปกิริยาและจริตจะก้านที่ผู้หญิงควรจะมี แม่สื่อฟงสอนนางหลายอย่างเกี่ยวกับความชอบของบุรุษ ซึ่งทำให้หญิงสาววัยสิบหกปีตกอกตกใจอยู่ไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็เชื่อฟังโดยดี เพราะสิ่งต่างๆ ที่แม่สื่อฟงพร่ำบอกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้นสะท้อนอยู่ในร่างงามระหงยั่วยวนใจของผู้เป็นอาจารย์
เวลาผ่านไปสามเดือน
หลี่จื่อเหยาพบว่าตนเองนั้นกลายเป็นตุ๊กตากระเบื้องราคาแพงระยับไปเสียแล้ว นางแทบไม่เหลือเค้าของเด็กสาวคนเดิม
ฟงเซียงเซียงยิ้มจนแก้มปริเมื่อได้รับค่าจ้างมหาศาลรวมไปถึงคำชมไม่ขาดปากจากหลี่เค่อ นางจึงแนะนำให้เขาเลือกวันดีๆ ถือโอกาสเปิดตัวหลี่จื่อเหยาอย่างเป็นทางการ เพื่อให้บรรดาคุณชายที่ถึงวัยออกเรือนได้ยลโฉมคุณหนูหลี่ผู้งดงามเพรียบพร้อม
ซึ่งบรรจวบเหมาะกับอีกไม่นานจะถึงวันเกิดครบรอบห้าสิบปีของฮูหยินผู้เฒ่าพอดิบพอดี หลี่เค่อจึงถือโอกาสนี้ลงทุนจัดงานฉลองยิ่งใหญ่ให้มารดาเสียเลย
ถือว่ายิงเกาทัณฑ์ดอกเดียว ได้นกถึงสองตัว
เขาส่งเทียบเชิญงานเลี้ยงออกไปให้กลุ่มเป้าหมายโดยมิรั้งรอ
หลี่จื่อเหยาหันซ้ายขวา หมุนตัวเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของตนเองอีกครั้ง ก่อนจะสั่งให้เสี่ยวจูไปหยิบพิณ แล้วเดินตามนางออกไปยังบริเวณจัดงานเลี้ยง
ร่างงามระหงเยื้องกรายไปตามทางเดินที่ทอดยาว ทุกย่างก้าวมั่นคง สง่างามยิ่ง
ในที่สุดคุณหนูตระกูลหลี่ก็ปรากฏสู่สายตาแขกเหรื่อ
ทุกคนต่างจับจ้องโฉมสะคราญในชุดสีแดงเพลิงไม่วางตา บรรดาคุณชายทั้งหลายที่ติดตามบิดามาด้วย ต่างตกตะลึงรูปโฉมของคุณหนูหลี่แทบทุกคน
หลี่เค่อที่คอยเฝ้าดูสถานการณ์ยิ้มกริ่ม ชื่นชมหลี่จื่อเหยาที่สามารถสะกดสายตาผู้คนได้เพียงแค่เดินผ่าน ไม่เสียแรงที่เขาทุ่มทุนอย่างมหาศาลเพื่อจ้างแม่สื่อฟง
เมื่อทุกอย่างเป็นไปดังที่คาดการณ์เอาไว้ หลังจากนี้ก็เหลือก็เพียงเผยความประสงค์เป็นนัยๆ เวลาที่สนทนากับเหล่าเศรษฐีว่า เขากำลังคิดเรื่องหมั้นหมายให้น้องสาว แต่ยังไม่พบคนที่เหมาะสม เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อย
รอยยิ้มยินดีประดับอยู่บนใบหน้าหลี่เค่อตลอดเวลา เพราะดูจากสายตาราวหมาป่าหิวของคุณชายทั้งหลาย เขาก็มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าหลังจากจบงาน ในวันนี้ คงมีแม่สื่อเข้าออกบ้านตระกูลหลี่เป็นว่าเล่น
คนหนึ่งกำลังสมใจ แต่อีกคนกำลังกระอักกระอ่วน
ไม่ว่าหลี่จื่อเหยาจะขยับทำอะไรก็เป็นที่จับจ้องของบรรดาหมาป่าหิวโซไปเสียทุกสิ่ง
พอมากเข้า นางก็เริ่มรู้สึกเกร็ง
ถึงแม้จะร่ำเรียนกิริยามารยาทใหม่ทั้งหมดแล้ว แต่ถ้าหากเพียงหายใจก็มีชายแปลกหน้าส่งสายตาปรารถนามาให้ นางก็แทบจะทำอันใดไม่ถูกเช่นกัน
‘เห็นทีข้าต้องหลบออกไปสูดอากาศเสียหน่อย แล้วค่อยกลับมานั่งปั้นหน้า ให้พวกเขาชื่นชมต่อ’
คิดได้ดังนั้น หลี่จื่อเหยาจึงหันไปสั่งให้เสี่ยวจูยืนรอนางอยู่ตรงนี้ก่อน หากใกล้เวลาการแสดงเริ่มค่อยไปตามตนที่สวนทางด้านหลัง
เมื่อสั่งความกับสาวใช้คนสนิทเป็นที่เรียบร้อย นางก็ลุกขึ้นแล้วเดินนวยนาดจากไป บรรดาคุณชายทั้งหลายต่างทอดสายตาตามร่างอรชรไปจนลับตา
เพียงออกห่างจากงานเลี้ยงมาได้ หลี่จื่อเหยาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ความรู้สึกเหมือนอึดอัดประหนึ่งขาดอากาศหายใจเมื่อครู่จางหายไปแล้ว
นางสาวเท้าเดินต่อไป แล้วหยุดยืนที่ริมสระภายในสวน ภาพดวงจันทร์สุกใสสะท้อนอยู่บนพื้นผิวอันราบเรียบให้ความรู้สึกสงบยิ่งนัก
ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น หลี่จื่อเหยาพยายามไม่คิดมากเกี่ยวกับความประสงค์ของพี่ชายและมารดา หากพวกเขาต้องการให้นางแต่งออกไปกับผู้ใด นางก็จะไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย
ทว่าในห้วงคำนึงกลับไม่สามารถสลัดภาพดวงตาสีดำดุจน้ำหมึกของชายแปลกหน้าที่ช่วยชีวิตนางไว้ได้เลย
ถึงกระนั้นความหวังก็ยังริบหรี่ เพราะต่อให้นางพยายามตามหาเบาะแสเท่าใด ก็ไม่พบร่องรอยของคนผู้นั้น เหมือนกับว่าเขาไม่ใช่คนของโลกใบนี้‘บางทีเขาอาจจะเป็นคนต่างเมืองที่ไม่มีใครรู้จัก หรืออาจจะเป็นเทพจากสวรรค์ที่มาช่วยนางจากประตูผี เมื่อเสร็จธุระก็บินกลับสวรรค์ชั้นฟ้าไปแล้วกระมัง’ เมื่อคิดถึงตรงนี้รอยยิ้มขื่นก็ปรากฏ จะมีเหตุผลอันใดเล่า เขาก็แค่คนที่ผ่านมาเท่านั้น ทั้งสองไม่เคยรู้จักมักคุ้น จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่บุรุษผู้หนึ่งจะต้องสานสัมพันธ์หรือเป็นห่วงเป็นใยสตรีที่บังเอิญได้ช่วยเหลือนั่นล่ะคือความจริงทางที่ดีนางควรลืมเรื่องที่เสี่ยวจูพูด การต่อลมหายใจเป็นเพียงวิธีหนึ่งที่ใช้ช่วยชีวิตคนเท่านั้น ในเมื่อไม่มีข่าวลือเสียหาย นางก็ยังคงรักษาศักดิ์ศรีเอาไว้ได้มิใช่หรือนิ้วเรียวลูบลงบนกลีบปากอย่างช้าๆ หลี่จื่อเหยาแทบจำสัมผัสอันพร่าเลือนจากการถ่ายทอดอากาศสู่กายนางมิได้ พอมาคิดอีกที ถึงแม้ชายผู้นั้นจะทำลงไปเพราะต้องการช่วยเหลือก็ตาม แต่นั่นไม่เท่ากับว่าจูบแรกของนางได้ถูกขโมยไปแล้วหรือ‘ช่างเถิด’หลี่จื่อเหยาถอนหายใจ อย่างไรการเฝ้ารอคนผู้นั้นอย่างเปล่าประโยชน์กำลังจะสิ้นสุดแล้ว หลังจากคืนนี้ไป
“จะเป็นไปได้อย่างไร คุณหนูงดงามถึงเพียงนี้จะมีตรงที่ใดให้ข้านึกรังเกียจได้บ้างเล่า หืม” เขาคว้ามือขาวเนียนของนางมากอบกุมเอาไว้ นัยน์ตาสีนิลดุจท้องฟ้ายามรัตติกาลช่างดึงดูดหัวใจยิ่ง“ขะ...ข้าไม่รู้ว่าคุณชายหายไปด้วยเหตุใด จึงคิดว่าท่านหนีหน้า เพราะ ไม่ต้องการรับผิดชอบเรื่อง...” หลี่จื่อเหยายั้งปากของตนเองเอาไว้เกือบไม่ทัน แต่นางจะพูดเรื่องน่าอายเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่าบุรุษหล่อเหลาออกแรงดึงมือเพียงเล็กน้อย ร่างบอบบางในอาภรณ์สีแดงก็เคลื่อนเข้าปะทะกับอกแกร่ง เขาตวัดแขนกระชับอ้อมกอดให้แนบสนิท ไม่ยินยอมให้หญิงสาวผู้ตื่นตระหนกดิ้นหลุดจากพันธนาการ“ใครว่า ข้าอยากกลับมารับผิดชอบใจจะขาด”การจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวนี้ทำให้หลี่จื่อเหยาแทบละลายกลายเป็นแอ่งน้ำ เขากับนางอยู่ใกล้ชิดกันอย่างมากจนลมหายใจอุ่นร้อนของบุรุษรินรดลงบนแก้มนวล หญิงสาวไม่อาจควบคุมก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายที่กำลังเต้นถี่รัว ใบหน้าของนางทั้งเห่อร้อนและแดงระเรื่อราวกับคนต้องพิษไข้แต่ถึงอย่างไรชายหญิงก็ไม่ควรใกล้ชิด หากมีผู้ใดมาเห็นเข้าย่อมไม่ดีแน่ หลี่จื่อเหยาดิ้นขลุกขลักอย่างน่าสงสาร แต่มู่หรงอี้หวายก็ไม่มีท่าทีจะยอมปล่อยให้นางเป็น
ระหว่างที่มู่หรงอี้หวายกำลังจุมพิตหลี่จื่อเหยาอย่างดูดดื่มอยู่นั้น หลี่เค่อที่ตามหาน้องสาวอยู่ก็ผ่านมาพบคนทั้งคู่เข้าพอดีไฟโทสะของผู้นำสกุลหลี่พวยพุ่ง นัยน์ตาแดงก่ำ มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น แทบอยากจะถลาเข้าไป ฆ่าบุรุษที่กำลังลิ้มชิมผลไม้สุกที่เขาลงทุนลงแรงอย่างยากเย็นเสียให้ตายคามือ“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! เจ้าเป็นผู้ใด ปล่อยน้องสาวของข้าเดี๋ยวนี้”พอถูกขัดจังหวะ มู่หรงอี้หวายถอนริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่ง พลางสบนัยน์ตาดุจกวางน้อยที่กำลังสั่นระริก เขาไม่ลืมที่จะส่งยิ้มอันแสนอบอุ่นให้หลี่จื่อเหยา ก่อนจะคลายอ้อมกอดอย่างเชื่องช้า โดยไม่สนใจบุรุษที่กำลังเดือดดาลอยู่ด้านหลังสักนิดการกระทำอันแสนท้าทายทำให้หลี่เค่อโมโหยิ่งขึ้น เขาขบกรามแน่นจนเส้นเลือดตรงขมับปูดโปน“เจ้ากล้าลวนลามน้องสาวของข้าในเขตบ้านสกุลหลี่ นี่มันหยามกันชัดๆ”มู่หรงอี้หวายปรับสีหน้าเป็นคุณชายผู้สุขุมนุ่มลึกอีกครั้ง เขาหันไปเผชิญหน้ากับประมุขสกุลหลี่อย่างใจเย็น“นายท่านหลี่ได้โปรดลดโทสะลงก่อน ข้าต้องขออภัยกับเรื่องที่เกิดขึ้น”“หึ! แค่ขอโทษคำเดียวจะให้แล้วกันไปหรือ คิดง่ายไปหน่อยกระมัง”“เป็นความผิดของข้าที่ไม่รู้จักควบคุมตนเองให้ดี
มู่หรงอี้หวายเผลอกัดริมฝีปากตนจนห้อเลือด เห็นอีกฝ่ายเงียบไปหลี่จื่อเหยาจึงแหงนศีรษะขึ้นเล็กน้อย ครั้นเห็นแววโศกเศร้าบนใบหน้า ของเขา ก็อดสะท้านสะเทือนหัวใจมิได้ คำพูดตัดรอนของนางทำให้เขาเจ็บปวดงั้นรึ“คุณชายมู่หรงทำไม่ได้หรือ” หลี่จื่อเหยาจ้องหน้าของเขาอีกครั้งด้วยหัวใจเต้นระทึก“ไม่ได้... ข้าทำไม่ได้” เขาส่งสายตาอ้อนวอน“แต่เมื่อครู่ข้าได้ยินกับหูว่าท่านเพียงเผลอไผล ผู้อื่นจึงไม่ต้องการให้คุณชายต้องฝืนใจรับผิดชอบ”“คุณหนูหลี่เข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้นเสียหน่อย”“แล้วคุณชายจะให้ข้าเข้าใจว่าอย่างไรเล่า”“เป็นข้าผิดทั้งนั้น ที่พอพบเจ้าอีกครั้งก็ดีใจจนควบคุมตนเองไม่ได้ ทั้งที่ควรจะทำทุกอย่างให้ถูกต้อง” มู่หรงอี้หวายเดินเข้าไปใกล้นางก้าวหนึ่ง แล้วคว้ามือเล็กนุ่มขึ้นมากอบกุม “นี่ข้าลืมบอกว่าชอบเจ้าสินะ”“คะ...คุณชายมู่หรง ท่านชอบข้าจริงๆ หรือ” นางพูดเสียงเบาหวิว จิตใจล่องลอยหลงใหลไปกับคำพูดหวานหูของเขา“หากไม่จริงใจ ข้าคงไม่ควบม้าเร็วติดต่อกันถึงสามวันสามคืน เพื่อจะมาพบหน้าเจ้าให้ได้ในวันนี้”นัยน์ตาสุกใสดุจกวางน้อยไหวระริก เขาทนลำบากเพื่อมาพบหน้านางหรือ แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่
“หากได้แต่งกับหญิงงามที่ถูกใจ ข้าก็ยอมลงทุน เจ้าก็รู้ว่าฐานะของนายน้อยสกุลเย่ไม่ได้ด้อยไปกว่าบุรุษเหล่านั้นเลย”“ตามใจเจ้า” มู่หรงอี้หวายทำท่าเหมือนเหนื่อยหน่าย จากนั้นก็จิบสุราต่อ“ต้องอย่างนี้สิ สหายข้า” เย่เทียนหลางหัวเราะร่วนอย่างมีความสุข ในที่สุดมู่หรงอี้หวายก็เลิกพูดขัดใจเขาเสียทีสำหรับคุณชายเย่ หากตระกูลหลี่มีปัญหาการเงินก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ อย่างมากก็คงเรียกสินสอดจำนวนมากกว่าปกติเท่านั้น มีหรือที่เขาจะจ่ายมิได้มู่หรงอี้หวายไม่ใคร่สนใจสหายผู้พร่ำเพ้ออีก ยามนี้สายตาของเขาจ้องมองไปยังหลี่จื่อเหยาเท่านั้น เหมือนหญิงสาวจะรับรู้ได้ถึงกระแสอันแรงกล้าจึง เหลือบมองกลับมา ยามที่ดวงแก้วสุกใสสบประสานนัยน์ตาสีดำสนิทดุจราตรีของเขา พวงแก้มสีชมพูก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อแน่นอนว่าการกระทำเหล่านี้ไม่พ้นสายตาของเย่เทียนหลางไปได้ “ร้ายนักอี้หวาย ที่เจ้าพูดนั่นพูดนี่ ที่แท้ก็หมายตานางเอาไว้เหมือนกันล่ะสิ”“เจ้ายอมแพ้แล้วหรือไม่” มู่หรงอี้หวายเหลือบมองสหาย พลางยิ้มยียวน“ให้ตายเถอะ ทำไมเจ้าต้องมาชอบคนที่ข้าพึงใจเล่า”“เจ้าดื่มสุราย้อมใจไปเถิด” น้ำเสียงของมู่หรงอี้หวายเต็มไปด้วยความเยาะหยัน“เ
ตามกฎหมายของแคว้นหาน หากต้องการสู่ขอหญิงสาวจากตระกูลใด ต้องมีของกำนัลมามอบให้ ถ้าถูกปฏิเสธจะไม่สามารถเรียกร้องขอคืนได้ ดังนั้นการสู่ขอจึงเป็นเรื่องที่ทุกตระกูลต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก แม้มีโอกาสจะลงทุนอย่างสูญเปล่าก็ตามที แต่ชาวแคว้นหานกลับมีความเชื่อว่ายิ่งให้ของล้ำค่ามากเท่าใด ก็แสดงว่าจริงใจต่อหญิงสาวมากเท่านั้นหลังจากวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่า บ้านสกุลหลี่ก็มีแม่สื่อมาเยือนไม่ขาดสาย และแน่นอนว่าพวกนางย่อมถือของล้ำค่ามาด้วย ทำให้หลี่เค่ออารมณ์ดีติดต่อกันมาสามวันแล้วแรกเริ่มเดิมทีนายท่านหลี่หวังว่าจะมีผู้สนใจเป็นเจ้าบ่าวของน้องสาวประมาณห้าหกคน แต่ผู้ที่ต้องการได้หลี่จื่อเหยาไปเป็นภรรยานั้นมีมากเกินความคาดหมาย นับจากวันเกิดมารดา ก็มีแม่สื่อมาดำเนินการสู่ขอนางมากถึงยี่สิบห้าคน เช่นนี้ย่อมหมายความว่าตระกูลหลี่ได้ของล้ำค่ามากถึงยี่สิบห้าชิ้นช่างบรรจวบเหมาะยิ่งนักหลี่เค่อได้ถอนทุนคืนจากการจ้างแม่สื่อฟง รวมไปถึงค่าเครื่องประทินผิวอย่างดีสำหรับดูแลความงาม และผิวพรรณของหลี่จื่อเหยาด้วยแม้จะฉวยโอกาสในการหาทรัพย์สินเข้าคลังของตระกูล แต่ความจริงเขาก็รักหลี่จื่อเหยามากเช่นกัน เมื่อรู้ว่านางม
วันรุ่งขึ้นหลี่เค่อเรียกน้องสาวมาพบ เมื่อเห็นนางมีสีหน้าอมทุกข์ เขาก็รู้สึกโกรธมู่หรงอี้หวายขึ้นมาทันที จึงบอกเรื่องที่ตนตั้งใจจะไปฟ้องร้อง เรียกค่าเสียหายกับคุณชายมู่หรง แต่หลี่จื่อเหยาขอร้องให้พี่ชายคลายโทสะ อย่างน้อยก็ให้เห็นแก่ความดีที่บุรุษผู้นั้นได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ อีกทั้งยังบอกเรื่องที่คิดได้เมื่อคืนว่า อาจจะเป็นประมุขตระกูลที่ไม่เห็นชอบกับบุตรชาย เช่นนั้นตระกูลหลี่ก็ควรเข้าใจความจำเป็นของเขาหลี่เค่อถอนหายใจยาว ที่น้องสาวเขาพูดก็มีเหตุผล อีกอย่างหากตนไปฟ้องร้อง ก็เท่ากับเปิดศึกกับตระกูลใหญ่ ย่อมได้ไม่คุ้มเสีย สู้เอาเวลาไปเตรียมจัดงานมงคลจะดีกว่า“น้องพี่อย่าได้เสียใจไปเลย ใช่ว่าจะไม่มีผู้ชายดีๆ สนใจเจ้าเสียเมื่อไหร่ รู้หรือไม่ มีตั้งยี่สิบหกคนแน่ะ”“จริงหรือพี่ใหญ่ ทำไมถึงได้เยอะเช่นนั้น น้องแค่เล่นพิณเพลงเดียวเองนะเจ้าคะ” นางรู้สึกตกใจจริงๆ“เด็กโง่ ยามนี้เจ้าเติบโตเป็นสาวสะพรั่ง ทั้งบริสุทธิ์และงดงามยิ่ง ชายใดได้เห็นย่อมต้องพึงใจเป็นธรรมดา”“พี่ใหญ่กล่าวเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้วิเศษเลิศเลอกว่าผู้ใด”“น้อยไปสิ ขนาดคุณชายมู่หรงถึงกับลืมตนกินเต้าหู
ตะวันเคลื่อนคล้อยสาดแสงสีส้มตกกระทบหลังคากระเบื้องจนเปล่งประกายร้านค้าแผงลอยต่างทยอยเก็บข้าวของตามปกติดั่งเช่นทุกวัน ผู้คนที่สัญจรจอแจในช่วงกลางวันเริ่มบางตาลงทุกขณะ ในที่สุดนายท่านหลี่ก็กลับมาจากการตกปลาอ้วนพีสามตัว บ่าวไพร่ต่างลงความเห็นว่าผู้เป็นนายน่าจะต่อรองการค้าได้กำไรเป็นแน่ เพราะตั้งแต่ลงจากรถม้า จนกระทั่งเข้ามาในร้านเขายิ้มกว้างตลอดเวลาหลี่เค่อรีบให้คนไปตามน้องสาวมาพบ จากนั้นก็นั่งรอนางในห้องทำงานด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขพอหลี่จื่อเหยาเดินเข้ามาภายในห้อง แล้วแลเห็นท่าทางของพี่ชาย นางก็คาดเดาได้ถึงผลการเจรจา“เหยาเหยารีบมานั่งเร็วเข้า” หลี่เค่อเร่งเร้าน้องสาวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเหลือประมาณหลี่จื่อเหยาหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ข้างโต๊ะไม้สนขัดมันตัวใหญ่“หากให้น้องสาวเดา เกรงว่าจะมีคนยอมรอคำตอบรับสามเดือนใช่หรือไม่”“แน่นอน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องขอบคุณความใจดีมีเมตตาของตัวเจ้าเองด้วย”“พี่ใหญ่หมายความว่าอย่างไร ทำไมความใจดีของข้าจึงเกี่ยวข้องกับผลการเจรจาได้เล่า”“เมื่อสองเดือนก่อนเจ้าได้ช่วยคนผู้หนึ่งเอาไว้ใช่หรือไม่”คิ้วสวยได้รูปขมวดเล็กน้อย นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“เจ้าค่ะ ยา
มู่หรงอี้หวายถอนหายใจ “แสดงว่าต่อให้ข้าหาคนร้ายมาได้ ท่านก็จะยกนางให้คุณชายเย่อยู่ดีสินะ”“สวรรค์ลิขิตให้มีเรื่องราววุ่นวายเกิดขึ้น คงเพราะน้องสาวของข้าไร้ซึ่งวาสนาต่อคุณชาย”เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็ผินหน้าไปหาหลี่จื่อเหยา รอยยิ้มขื่นปรากฏบนใบหน้าคม “คงเป็นข้าต่างหากที่ไร้วาสนา”“คะ...คุณชายมู่หรง” นัยน์ตาสุกใสไหววูบ ความรู้สึกชาแล่นจากปลายเท้าจรดศีรษะมู่หรงอี้หวายเหลือบมองเย่เทียนหลางแล้วส่ายศีรษะ ก่อนจะหันหลังให้ทุกคนประหนึ่งว่าตนกำลังยอมแพ้ หลี่จื่อเหยามองแผ่นหลังกว้างด้วยหัวใจที่แหลกสลาย น้ำตาที่คลอหน่วงพลันหยาดหยดลงดั่งเม็ดฝนยามนี้ผู้คนพากันให้ความสนใจกลุ่มบุคคลบนสะพานมากขึ้นเรื่อยๆ หลี่เค่อมองว่าไม่เป็นผลดี อย่างไรเสียตระกูลหลี่มีกิจการค้าขาย ชื่อเสียงย่อมเป็นสิ่งสำคัญ หากถูกเล่าลือออกไปผิดๆ นั้นกิจการคงไม่อาจฟื้นคืน ชายหนุ่มจึงก้าวเข้าไปหาน้องสาวแล้วดึงมือของนางหมายจะพาตัวกลับเรือน“เหยาเหยา เรากลับไปคุยกันที่บ้านเถิด”“ไม่!” นางสะบัดมือพี่ชายออกอย่างไม่ไยดี นี่เป็นครั้งแรกที่สาวน้อยแข็งขืน“น้องรัก พี่ชายหวังดีต่อเจ้าจึงเลือกบุรุษที่ยึดถือความถูกต้อง ลองตรองดูเถิด คุณชายเย่รอ
หิมะตกตลอดคืนทำให้ถนนศิลาค่อนข้างลื่น เย่เทียนหลางวิ่งตามหลี่จื่อเหยาออกมา แต่ก็ไม่พบนางแล้วเขาตัดสินใจตามหาเสี่ยวจูซึ่งน่าจะรู้ที่หมายนายหญิงของตนก่อนเป็นอันดับแรก ชายหนุ่มเคลื่อนกายพร้อมสอดส่ายสายตา ไม่นานนักก็พบนางร่างสูงปราดเข้าไปหาเสี่ยวจู แล้วถามหาจุดหมายของหลี่จื่อเหยาทันที สาวใช้ที่กำลังเหนื่อยล้าจากการวิ่งมิได้ปิดบังอันใด นางรีบเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อหลายเดือนก่อน “คุณหนูวิ่งออกไปโดยมิได้ใส่ชุดคลุมไปด้วย ป่านนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง” นางมองเย่เทียนหลางน้ำตาคลอ“ส่งมา เดี๋ยวข้าจะจัดการเอง” เย่เทียนหลางยื่นมือออกไป เสี่ยวจูก็รีบยัดร่มและเสื้อคลุมกันลมของสตรีใส่มือเขาหลังจากทราบความ เย่เทียนหลางพลันรีบรุดไปยังสะพานข้ามคูเมืองฝั่งตะวันออกด้วยหัวใจที่รุ่มร้อนดั่งมีเพลิงแผดเผา ยามต้องสู้กับโจรที่ดักปล้นกองคาราวานเขานั้นไม่เคยขลาดกลัว ทว่ายามนี้ความหวาดหวั่นว่าจะต้องสูญเสียหลี่จื่อเหยากลับจู่โจมเข้ามาอย่างรุนแรงยิ่งนักท้องฟ้าขมุกขมัวเป็นสีเทาหม่น เมื่อสุดทานทนจึงโปรยปรายเกล็ดน้ำแข็งสีขาวละเอียดลงมา เย่เทียนหลางมองชุดกันลมในมือ ความเป็นห่วงพลันบังเกิดขึ้นในใจ ว่าที่เจ้าสาวขอ
‘ช่างเถอะ ข้าคงดูคนผิดไป พี่ชายนางเลวร้ายถึงเพียงนั้น เชื้อก็คงไม่ทิ้งแถวกระมัง’ลมหายใจร้อนกระทบกับอากาศจนกลายเป็นควันจางๆ แต่หลี่จื่อเหยายังคงเร่งฝ่าเท้าเพื่อไปให้ถึงที่หมายโดยเร็ว สะพานสีแดงอยู่ไม่ไกลแล้วนางพยายามเพ่งมองเพื่อหาใครบางคน ในที่สุดก็พบเงาร่างอันคุ้นตาในชุดคลุมกันลมสีดำตัดกับชุดขี่ม้าสีขาว ชายหนุ่มยืนอยู่กลางสะพานกำลังทอดสายตามองพื้นน้ำแข็งอยู่เงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยปรากฏรอยยิ้มอบอุ่นกลับเหลือเพียงความเศร้าหมอง‘ให้ตายเถอะ ข้ามีค่ามากพอให้ท่านสละชีวิตหรือ’ ในที่สุดหลี่จื่อเหยาก็มาถึงเชิงสะพานข้ามคูฝั่งตะวันออก นางจึงผ่อนฝีเท้า แล้วเดินเข้าไปหาชายหนุ่มผู้กำลังยืนเหม่อลอยมู่หรงอี้หวายที่กำลังเท้าแขนอยู่บนราวสะพานพลันหยัดตัวขึ้น ทำท่าเหมือนพร้อมจะพุ่งไปข้างหน้าตลอดเวลา นางเห็นแล้วใจหายวาบจึงร้องตะโกนออกไปโดยไม่ทันคิด “ช้าก่อน!”มู่หรงอี้หวายผินหน้าไปมองยังที่มาของเสียง ก็เห็นหลี่จื่อเหยากำลังก้าวเข้ามา เนื้อตัวนางเปียกชื้นจากการวิ่งฝ่าหิมะโดยไม่ใส่ชุดคลุมกันลม ร่างระหงสั่นเทาจากความหนาวเย็น“คุณหนูหลี่?”“คุณชายมู่หรง จื่อเหยาไม่มีค่าให้ท่านสละชีวิต ได้โปรดออกมาจากต
โดยที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดหลี่จื่อเหยาวิ่งออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว เสี่ยวจูเห็นนายหญิงวิ่งออกไปทั้งที่ไม่ได้สวมเสื้อคลุม ก็รีบคว้าร่มและชุดคลุมกันลมแล้ววิ่งตามออกไปเช่นกันหลี่เค่ออ้าปากค้าง ทำอันใดไม่ถูกไปชั่วขณะ เป็นเย่เทียนหลางที่ได้สติก่อนผู้ใด เขาจึงทะยานตามสองนายบ่าวออกไปในทันที เย่หลวนคุนได้แต่ส่ายศีรษะ ก่อนส่งสัญญาณให้หลี่เค่อตามเขาออกไปหลี่จื่อเหยาวิ่งฝ่าสายลมหนาวโดยไม่สนใจสิ่งใด หัวใจของนางเต้นรัว ราวกับลั่นกลอง ขาทั้งสองออกแรงทะยานไปบนถนนศิลาที่ทั้งเปียกทั้งลื่น เป้าหมายคือสะพานข้ามคูเมืองฝั่งตะวันออก‘หากต้องการทดแทนบุญคุณ เจ้าก็จงใช้ลมหายใจที่ข้ามอบให้อยู่ต่อไป อย่างมีความสุขเถิด ลาก่อนคุณหนูหลี่’ หลี่จื่อเหยากังขา คำพูดประโยคนี้คือคำสั่งเสียของเขาใช่หรือไม่‘มู่หรงอี้หวาย ข้าขอโทษ ได้โปรดอย่าทำอะไรบ้าๆ นะ’สะพานข้ามคูเมืองฝั่งตะวันออกมู่หรงอี้หวายรู้สึกวูบโหวงและปวดร้าว ความผิดหวังนำทางเขามายังสะพานข้ามคูเมืองฝั่งตะวันออกโดยไม่รู้ตัวเมื่อเดินมาจนถึงกลางสะพานขาทั้งสองพลันหยุดชะงัก นัยน์ตาหงส์ไร้ซึ่งวิญญาณทอดมองออกไปยังพื้นน้ำอันถูกฉาบไว้ด้วยน้ำแข็งอย่างเหม่อลอย ความทรงจำไ
แม้เสียงจะเบาและสั่นเครือปานใด แต่กลับดังกังวานอยู่ในโสตไม่จางหาย มู่หรงอี้หวายชะงักงันไปชั่วขณะ เขาไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน คำตอบถูกส่งออกมาจากริมฝีปากที่เคยครอบครอง ทว่าคำตอบนี้กลับบาดลึกสู่กลางใจ“ได้ยินแล้วหรือไม่ หวังว่าคุณชายจะเลิกดื้อดึง” หลี่เค่อพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่มีแววเย้ยหยันความจริงเขาก็เสียดายปลาอ้วนตัวนี้ไม่น้อย แต่หากจะพูดเรื่องความเหมาะสม น้องสาวของเขาน่าจะเหมาะกับเย่เทียนหลางมากกว่า การไปอยู่คฤหาสน์ตระกูลมู่หรง นางอาจจะอึดอัดกับธรรมเนียมอันเคร่งครัด ต่างจากตระกูลเย่ที่เป็นกันเอง“อืม แต่ก่อนจากไป ข้าขอพูดคุยกับนางเป็นครั้งสุดท้ายได้หรือไม่” มู่หรงอี้หวายส่งสายตาขอร้องไปยังหลี่เค่อ“ย่อมได้ แต่คงให้พบหน้ามิได้ นางกำลังจะออกเรือนแล้ว หวังว่า คุณชายมู่หรงจะเข้าใจ”“ข้าเข้าใจ”มู่หรงอี้หวายรับคำแล้วสาวเท้าไปยังหน้าฉากกั้น ผ้าโป่รงแสงทำให้เห็นเงาร่างของสตรีที่กำลังนั่งอยู่อีกฝั่ง ถึงแม้จะไม่ชัดเจนนัก แต่ภาพความทรงจำยังคงตราตรึงอยู่ในห้วงคำนึงทว่าไม่อาจดื้อดึงอีกต่อไป สิ่งสุดท้ายที่ทำได้เหลือเพียงเอ่ยคำลา“ไม่ต้องกังวลใจ เจ้าไม่ผิดอันใดทั้งสิ้น เป็นข้าทั้งนั้นที่ไ
ตามธรรมเนียมวันเจรจาสู่ขอว่าที่เจ้าสาวสามารถนั่งอยู่ภายในห้องนั้นได้ เพียงแต่ต้องใช้ฉากกั้นเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายเห็นใบหน้าก่อนถึงวันวิวาห์หลี่จื่อเหยาได้แต่พยายามปลอบใจตนเองว่าวันข้างหน้าจะมีความสุขได้ การเกิดเป็นสตรี ต้องถือสามคุณธรรมสี่จรรยา นางไม่อาจปฏิเสธสิ่งที่พี่ชายและมารดาเลือกให้ ทำได้แค่เพียงยอมรับชะตากรรมอยู่หลังฉากกั้นเงียบๆเมื่อเย่เทียนหลางปรากฏกาย นัยน์ตาดุจกวางน้อยจึงเพ่งไปยัง ฉากกั้นเบื้องหน้า เนื่องจากวันเกิดของมารดานั้นจิตใจและสายตาของนางส่งไปยังคุณชายมู่หรงแต่เพียงผู้เดียว ทำให้ไม่อาจรู้ว่าที่แท้แล้วคุณชายเย่หน้าตาเป็นเช่นไรถึงแม้รูปเหมือนของเขาในประวัติที่แม่สื่อส่งมาให้นั้นจะบ่งบอกว่าเขาหล่อเหลาเอาการ แต่ภาพวาดหรือจะสู้ของจริงม่านโปร่งแสงทำให้นางแลเห็นเพียงเงาสลัวรางของเย่เทียนหลางเท่านั้น กิริยาสุภาพ น้ำเสียงทุ้มกังวาน รวมไปถึงรูปร่างก็จัดว่าเป็นบุรุษกำยำแข็งแรง ความมั่นอกมั่นใจในตนเองฉายชัดยามปราศรัย ด้วยลักษณะอันดีเหล่านี้ ทำให้หลี่จื่อเหยาพอจะทำใจได้หากต้องแต่งเป็นสะใภ้ตระกูลเย่‘หวังว่าเขาจะดีกับข้า หากเป็นเช่นนั้น ในวันหนึ่งข้าก็คงจะสามารถลืม คุณชายมู่หรงได
เวลาติดปีกโบยบินเข้าสู่เหมันตฤดู ความหนาวเหน็บส่งผลให้หิมะแรกของฤดูตกลงมา ดอกไม้โรยราร่วงหล่น กิ่งก้านสาขาของไม้ใหญ่ไม่เหลือใบให้ชื่นชม มีเพียงดอกเหมยเท่านั้นที่ยังส่งกลิ่นหอมท้าทายความทารุณนี้หลี่จื่อเหยายืนอยู่บนสะพานเหนือสายน้ำที่เคยเกือบปลิดชีวิตนาง สายลมโชยปะทะร่างบอบบางจนสะท้านไหว ความหนาวเหน็บดังเข็มเล่มเล็กคอยทิ่มแทง บาดผิวขาวจนเป็นรอยแดง ภายนอกต้องอดทนกับความทรมาน แต่ภายในหัวใจนาง กลับรวดร้าวยิ่งกว่าร้อยเท่าพันทวีสามเดือนที่ผ่าน หลี่จื่อเหยาเฝ้ารอมู่หรงอี้หวายด้วยความหวัง นางเชื่อมั่นว่าเขาจะมาสู่ขอตามคำสัญญา แต่ความมั่นใจอันเต็มเปี่ยมในคราแรกกลับค่อยๆ ลดน้อยถอยลงไปตามข้อจำกัดของเวลาอันใกล้หมดลงทุกขณะ จนในที่สุดความฝัน ทั้งหมดก็พังทลายราวกับเกล็ดน้ำค้างที่ละลายหายไปบนฝ่ามือวันนี้ถือเป็นวันสิ้นสุดสัญญาแต่งงาน เท่ากับคุณชายมู่หรงและนางสิ้นวาสนาต่อกันแล้ว หลี่จื่อเหยาทอดสายตาอาลัยไปบนผืนน้ำเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเยื้องกรายกลับไปยังบ้านสกุลหลี่เพื่อรอการสู่ขอของคุณชายเย่เทียนหลางเพื่อไม่เป็นการประมาท หลี่เค่อรอให้ผ่านพ้นไปอีกสามราตรี จึงค่อยส่งจินหูไปแจ้งข่าวดีแก่นายท่านใหญ่ตร
ตะวันเคลื่อนคล้อยสาดแสงสีส้มตกกระทบหลังคากระเบื้องจนเปล่งประกายร้านค้าแผงลอยต่างทยอยเก็บข้าวของตามปกติดั่งเช่นทุกวัน ผู้คนที่สัญจรจอแจในช่วงกลางวันเริ่มบางตาลงทุกขณะ ในที่สุดนายท่านหลี่ก็กลับมาจากการตกปลาอ้วนพีสามตัว บ่าวไพร่ต่างลงความเห็นว่าผู้เป็นนายน่าจะต่อรองการค้าได้กำไรเป็นแน่ เพราะตั้งแต่ลงจากรถม้า จนกระทั่งเข้ามาในร้านเขายิ้มกว้างตลอดเวลาหลี่เค่อรีบให้คนไปตามน้องสาวมาพบ จากนั้นก็นั่งรอนางในห้องทำงานด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขพอหลี่จื่อเหยาเดินเข้ามาภายในห้อง แล้วแลเห็นท่าทางของพี่ชาย นางก็คาดเดาได้ถึงผลการเจรจา“เหยาเหยารีบมานั่งเร็วเข้า” หลี่เค่อเร่งเร้าน้องสาวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเหลือประมาณหลี่จื่อเหยาหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ข้างโต๊ะไม้สนขัดมันตัวใหญ่“หากให้น้องสาวเดา เกรงว่าจะมีคนยอมรอคำตอบรับสามเดือนใช่หรือไม่”“แน่นอน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องขอบคุณความใจดีมีเมตตาของตัวเจ้าเองด้วย”“พี่ใหญ่หมายความว่าอย่างไร ทำไมความใจดีของข้าจึงเกี่ยวข้องกับผลการเจรจาได้เล่า”“เมื่อสองเดือนก่อนเจ้าได้ช่วยคนผู้หนึ่งเอาไว้ใช่หรือไม่”คิ้วสวยได้รูปขมวดเล็กน้อย นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“เจ้าค่ะ ยา
วันรุ่งขึ้นหลี่เค่อเรียกน้องสาวมาพบ เมื่อเห็นนางมีสีหน้าอมทุกข์ เขาก็รู้สึกโกรธมู่หรงอี้หวายขึ้นมาทันที จึงบอกเรื่องที่ตนตั้งใจจะไปฟ้องร้อง เรียกค่าเสียหายกับคุณชายมู่หรง แต่หลี่จื่อเหยาขอร้องให้พี่ชายคลายโทสะ อย่างน้อยก็ให้เห็นแก่ความดีที่บุรุษผู้นั้นได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ อีกทั้งยังบอกเรื่องที่คิดได้เมื่อคืนว่า อาจจะเป็นประมุขตระกูลที่ไม่เห็นชอบกับบุตรชาย เช่นนั้นตระกูลหลี่ก็ควรเข้าใจความจำเป็นของเขาหลี่เค่อถอนหายใจยาว ที่น้องสาวเขาพูดก็มีเหตุผล อีกอย่างหากตนไปฟ้องร้อง ก็เท่ากับเปิดศึกกับตระกูลใหญ่ ย่อมได้ไม่คุ้มเสีย สู้เอาเวลาไปเตรียมจัดงานมงคลจะดีกว่า“น้องพี่อย่าได้เสียใจไปเลย ใช่ว่าจะไม่มีผู้ชายดีๆ สนใจเจ้าเสียเมื่อไหร่ รู้หรือไม่ มีตั้งยี่สิบหกคนแน่ะ”“จริงหรือพี่ใหญ่ ทำไมถึงได้เยอะเช่นนั้น น้องแค่เล่นพิณเพลงเดียวเองนะเจ้าคะ” นางรู้สึกตกใจจริงๆ“เด็กโง่ ยามนี้เจ้าเติบโตเป็นสาวสะพรั่ง ทั้งบริสุทธิ์และงดงามยิ่ง ชายใดได้เห็นย่อมต้องพึงใจเป็นธรรมดา”“พี่ใหญ่กล่าวเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้วิเศษเลิศเลอกว่าผู้ใด”“น้อยไปสิ ขนาดคุณชายมู่หรงถึงกับลืมตนกินเต้าหู