บทที่ 6 ไร้ที่พึ่งพิง
ไม่รู้ว่าเป็นเขาจริงไหม ที่จ่ายค่าแอดมิตโรงพยาบาลให้ ราคาต่อคืนบวกกับค่ายาค่าดูแลผู้ป่วยไม่มีญาติมาเฝ้าคงหลายหมื่นแน่เลย เธอจึงไม่ปล่อยให้ความสงสัยครอบงำ เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร.ไปหาชรัณทันที ทว่าสัญญาณรอสายดังขึ้นจนสายถูกตัดไปเอง เธอไม่ท้อใจที่จะโทร.ไปหาอีก คราวนี้กลับติดต่อไม่ได้ แถมยังบริการฝากหมายเลขโทร.กลับอีก หรือนี่จะเป็นการรับผิดชอบของเขา จ่ายค่ารักษาพยาบาลแล้วก็จบ “แต่ตาลไม่ได้ไปมั่วกับผู้ชายคนไหนนี่คะ” ต้นตาลเบะปากร้องไห้ นั่งชันเข่าบนเตียง กอดเข่าแล้วฟุบหน้าลงร้องไห้ออกมาจนพยาบาลตกใจ “เป็นอะไรหรือเปล่าคะคุณ” “เปล่าค่ะ ฉันแค่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้” “อีกเดี๋ยวคุณหมอจะเข้ามาตรวจ นอนพักดีกว่านะคะ” “...” “แล้วยังมีอาการวิงเวียนศีรษะอยู่อีกไหมคะ หรืออาการพะอืดพะอมอยากอ้วกมีไหม” “ไม่มีค่ะ คนที่จ่ายค่ารักษาให้ เขาจะมาอีกไหมคะ” จู่ๆ คำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว แล้วถ้าคนคนนั้นไม่ใช่ชรัณล่ะ? หรือว่าเป็นเขานั่นแหละที่พาเธอมารักษาโรงพยาบาลเอกชน แล้วออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด @ร้านทอง “พี่ชัชขอแปรงทาสีอันเล็กหน่อยครับ” “...” “พี่ชัช” ยังนั่งนิ่ง “พี่ชัช” ก็ยังไม่ตอบกลับ คล้ายว่าวิญญาณออกจากร่างเขาไปแล้วมั้ง “ไอสัตว์!” “มึงก้าวร้าวใหญ่แล้วนะไอ้อั้ม” “ก็พี่เป็นเหี้ยไรล่ะ เรียกจนคอจะแตกแล้วเนี่ย” “เรียกกูตอนไหน” “นั่นไง” รุ่นน้องลงมาจากบันไดแล้วนั่งลงข้างกับชรัณ “นี่เป็นอะไรเนี่ย เหม่อเก่ง เหม่อเอาโล่เลยมั้ง เหม่อเป็นพระเอกเอ็มวีเลย” “ดีๆ เดี๋ยวจะโดนตีน” ท่าทางเขาแปลกไปจนรุ่นน้องจับสังเกตได้ อั้มหรี่ตามองอย่างกดดันทางอ้อม หากไม่เล่าตอนนี้เขาก็จะกดดันแบบนี้ไปเรื่อยๆ “เล่ามาเลย” “เล่าไร” “ก็สิ่งที่มันกวนใจพี่ไง แหมเหม่อขนาดนี้บอกไม่มีอะไรนี่กูว่าแปลกนะพี่ชัช” “มึงเคยวันไนต์ปะ” “แหมพี่ รู้ๆ กันอยู่นะเราน่ะ ถามมาได้” “แล้วมึงเคยเปิดซิงใครไหม” “เคยดิ แฟนเก่าผมไง” “แล้วมึงใส่ถุงปะ” “โห ตอนนั้นเลือดมันร้อนว่ะพี่ ถุงเถิงอะไรไม่ใส่หรอก เอาสดเนี่ยแหละเสียวดี” “เหรอ” “ว่าแต่ถามทำไม พี่ไม่น่ามานั่งถามคำถามโง่ๆ แบบนี้นะพี่ชัช” ชรัณกลอกตามองบนด้วยความเอือมระอาใจกับรุ่นน้อง แต่เพราะสนิทกันมากเขาจึงไม่ถือสามัน “ฮั่นแน่ หรือว่าพี่ไปฝากไข่ไว้ในท้องใครมาวะ ถึงมาตะล่อมถามผมแบบนี้อะ” ชรัณเลือกที่จะเงียบแล้วลุกขึ้นไปทำงานที่เหลือต่อจนเสร็จสรรพ จากนั้นเขาก็ตรงดิ่งไปไร่ปาริฉัตร “อ้าว” อธิราชร้องทักเพื่อนขณะที่เจ้าตัวควบม้าอยู่กลางไร่ “ไปไงมาไงเนี่ย ไม่โผล่หัวมาเกือบเดือนนะ” “ยุ่งทำร้านไง” “อ๋อ กูก็ลืมไปเลย” “กูมีเรื่องจะถาม” “ถามเรื่องไร ตอบได้กูก็ตอบหมดแหละ ไหนถามดู” “เราสามารถตรวจดีเอ็นเอเด็กได้ตอนกี่เดือนวะ” “ฉิบหาย! เห็นหน้ากูฉลาดมากมั้ง ทำไมไม่ไปถามอดีตแฟนหมอมึงล่ะวะ” “ไหนบอกมึงตอบได้ไง โธ่” “ถามกูเกี่ยวกับเกษตรดิ กูตอบได้หมดแหละ แต่มึงเล่นถามคำถามที่ไม่ใช่แนวทางกูไง” อธิราชจูงม้าไปผูกไว้ เขาถอดหมวกคาวบอยแล้วกระพือสาบเสื้อ สายตาจดจ้องเพื่อน “แล้วถามไปทำไม มึงจะไปตรวจดีเอ็นเอใคร” “เปล่า ถามประดับความรู้ในหัว” “แปลก” อธิราชหรี่ตาจับผิด น้อยครั้งที่ชรัณจะถามอะไรแปลกๆ แบบนี้กับเขา ปกติแทบไม่คุยเรื่องพวกนี้นอกจากปรึกษากันเรื่องธุรกิจ ไม่ก็ชวนกันทำปิ้งย่างหรือนัดกันดื่มเหล้าที่บ้านเขาช่วงเย็น “แปลกอะไร” เมื่อรู้ตัวว่ากำลังถูกจับผิดอยู่ ชรัณจึงเงยหน้าสบตากับเพื่อน “กูถามไม่ได้เลยเหรอวะ” “ถามมันถามได้ แต่กูแค่แปลกใจไง” อธิราชชี้หน้า “หรือมีใครมาบอกว่าท้องกับมึงวะ” อธิราชเดาได้แม่นยำกว่าหมอดูบางคนอีก “เปล่า” “แล้วไป” “งั้นกูขอตัวก่อน เย็นนี้ต้องพาแม่ไปหาเพื่อนในเมือง” เขากำลังโกหกเพื่อนคำโต เพราะมีบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวจึงต้องไปจัดการในทันที อธิราชพยักหน้ารับรู้แล้วเดินไปส่งเพื่อนขึ้นรถ “มีอะไรอยากปรึกษากูอีกก็มาหากูนะ เดี๋ยวจะไปหาความรู้มาประดับหัวไว้ กันมึงถามจะได้ตอบตรงคำถามได้” “เออ” รู้ว่าอธิราชกำลังหยอกล้อถึงเรื่องที่เขาเอ่ยถามไปเมื่อหลายนาทีก่อน “เอาไว้นัดกันอีก กูไปก่อน” ชรัณโบกมือลาเพื่อนแล้วจึงขับรถออกมาจากไร่ปาริฉัตร มุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลเอกชนในเมือง ใช้เวลาเดินทางมาถึงเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูไม่อาจทำให้คนที่นั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียงผู้ป่วยหลุดออกจากภวังค์ความคิดตัวเองได้ กระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกสองครั้ง ต้นตาลกะพริบตาไล่หยาดน้ำตาแล้วหันหน้าไปมองคนที่เปิดประตูเดินเข้ามา “พี่ชัช” ดวงตาหม่นแสงเริ่มมีม่านน้ำตามาบดบังอีกครั้ง “ตาลคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นพี่จริงๆ” “ฉันมาที่นี่เพื่อมาตกลงกับเธอ” “คะ?” “ฉันยอมรับว่าคืนนั้นไม่ได้ป้องกัน แต่ฉันก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่านอกจากฉันแล้วเธอไปนอนกับใครมาหรือเปล่า” “ตะ ตาลไม่ได้นอนกับใคร” ไม่รู้จะหาคำไหนมาพูดให้เขาเชื่อเหมือนกัน ว่าเธอน่ะไม่ได้นอนกับใครมั่วเหมือนที่เขากล่าวหา แต่ก็เข้าใจดีว่าชรัณคงไม่เชื่อใจเธอ ทำงานในคลับแบบนั้นใครเขาจะไปเชื่อได้ล่ะ อีกอย่างไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันด้วย ว่าสิ่งที่เธอพูดมานั้นเป็นความจริง “ฉันจะรับผิดชอบ หากเด็กในท้องเธอเป็นลูกฉัน” “...”! “พอเด็กคลอดฉันจะเลี้ยงเขาเอง” นั่นก็แปลว่าเขาไม่ได้ต้องการแม่อย่างเธอสินะ คลอดลูกให้เขาก็จบกัน “แล้วตาลต้องทำยังไงพี่ถึงจะเชื่อ” “ตรวจดีเอ็นเอ” “ตาลไม่เคยนอนกับใคร จริงๆ นะคะ พี่ก็รู้ว่าคืนนั้นพี่เป็นคนแรกของตาล” “แต่หลังจากนั้นฉันไม่รู้ไง ว่าฉันยังเป็นคนแรกของเธอไหม” หัวใจดวงน้อยเต้นคร่อมจังหวะ ทุกความรู้สึกมากองอยู่กลางอกเธอจนคับแน่นไปหมด เสียงที่จะเอ่ยออกไปถูกกลืนหายไปทั้งที่เตรียมคำพูดไว้มากมาย เธอไม่มีสิทธิ์คิดหรือตัดสินใจอะไรด้วยซ้ำ ถึงแม้ลูกในท้องจะเป็นลูกเขา แต่เขาก็ไม่ได้ต้องการเธอสักหน่อย “ตาลผิดเองที่ปล่อยตัวเองท้อง” มาเข้าใจก็วันนี้แหละ ว่าความรู้สึกของผู้หญิงที่ถูกทอดทิ้งมันเป็นยังไง ใช้ชีวิตที่เหลือมาอย่างดี กระเสือกกระสนมาจนเติบใหญ่ แต่พอถึงจุดหนึ่งของชีวิตกลับรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่ามาก มันน่าสมเพชที่ต้องแบกหน้ามาอ้อนวอนผู้ชายให้รับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเธอเองก็ผิด “จนกว่าเธอจะคลอดลูก” เขาวางคีย์การ์ดคอนโดฯหรูย่านคนรวยลงบนโต๊ะตัวเตี้ยหน้าโซฟา “ไปอยู่ที่นั่น จนกว่าจะคลอดลูก” “ทำไมให้ตาลไปอยู่ที่นั่น” “ฉันต้องรู้ว่าหลังจากนี้เธอจะไม่ไปมั่วที่ไหน” “แต่ใครมันจะไปทำแบบนั้น ตาลท้องอยู่นะคะ” “...” เหมือนเขาไม่เปิดใจรับฟังอะไรจากเธอเลย วางคีย์การ์ดไว้แล้วก็เดินจากไปเสียดื้อๆ อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าต้องทำอะไร มีความรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองกระทำแค่สิบเปอร์เซ็นต์ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย สามวันต่อมา หลังจากได้รู้เหตุผลที่ชรัณกลับมาหาเธอแล้วว่า เขาแค่อยากรับผิดชอบแค่ลูกในท้องเธอ ไม่ได้ต้องการแม่ของลูกเลย และเป็นวันแรกที่เธอย้ายมาอยู่คอนโดฯเขาตามที่ตกลงกันไว้ กระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กที่เธอยัดเสื้อผ้าไม่กี่ชุดลงในนั้น พร้อมกับครีมบำรุงหน้าและผิวไม่กี่อย่างวางลงบนโซฟา เธอมาที่นี่ครั้งที่สองแล้ว และต่อไปนี้ต้องใช้ชีวิตอยู่ในนี้จนกว่าจะคลอดลูก “เฮ้อ” ร่างผอมบางซวนเซมานอนหงายหลังลงบนฟูกนุ่มๆ สายตาพร่ามัวมองเพดานสีขาวไม่คุ้นเคย ไม่รู้ว่าเผลอมองมันนานแค่ไหน รู้ตัวอีกทีก็เสียงติ๊งหน่องหน้าห้องดังขึ้น และมันยังดังอยู่แบบนั้นสามครั้ง เธอจึงรีบลุกขึ้นไปเปิดประตูเผื่อว่าเป็นชรัณ แต่พอประตูแง้มออกรอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไป “คุณชัชให้เอาของพวกนี้มาไว้ที่ห้องค่ะ” “ของอะไรเหรอคะ” “ของกินกับของสดค่ะ” “เอ่อ...หมายความว่าเขาจะให้ฉันทำกับข้าวกินเองเหรอคะ” ให้ตายเถอะ เรื่องทำกับข้าวเธอติดลบมาก ต้มมาม่ากินเองได้ก็บุญเท่าไรแล้ว นี่เล่นซื้อของมาให้ทำกินที่ห้อง นี่เขามีประกันไฟไหม้ใช่ไหมถึงกล้าให้เธอทำกับข้าวกินเองน่ะ “เอ่อ เขาบอกไหมคะว่าจะมาที่นี่อีก” “ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ฉันได้รับคำสั่งมาแค่นี้” “ค่ะๆ ขอบคุณนะคะ” ต้นตาลเปิดประตูออกกว้าง ให้คนเอาของไปไว้ห้องครัวให้ “อย่างน้อยเขาก็ไม่ปล่อยให้เธออดตาย แต่คงเป็นห่วงลูกมากกว่าฉัน หากฉันอดลูกเขาก็อดไปด้วยอย่างนั้นสินะ” เธอถอนหายใจจนสุดปอด ก่อนจะเดินไปเช็กของว่ามีอะไรที่ควรรีบทำกินบ้าง หรือว่ามีอย่างไหนที่ควรเก็บไว้ในตู้เย็น หลายนาทีต่อมา ต้นตาลมองจานข้าวด้วยความละเหี่ยใจ ถึงหน้าตาอาหารไม่แย่ แต่รสชาติมันก็ไม่ได้กลมกล่อมขนาดนั้น ทำออกมาได้ขนาดนี้เพราะมีอาจารย์จากยูทูบช่วยสอนให้ เสียงประตูถูกปลดล็อกด้วยคีย์การ์ดดังขึ้นในจังหวะที่เธอจะตักข้าวใส่ปาก หางตาเหลือบเห็นร่างสูงเดินเข้ามาพอดี เธอรีบวางช้อนหันไปมองหน้าชรัณด้วยความดีใจ “พี่ชัช” “...” สายตาเขาจดจ้องจานข้าว มันชัดเจนว่าเขากำลังสงสัยว่านั่นอะไร “อ๋อ พอดีตาลทำหมูสับรวนน้ำปลากินค่ะ” “ฉันเคยได้ยินว่าคนท้องห้ามกินเค็ม” “...”! จะบอกยังไงดีว่าเธอไม่ถนัดทำกับข้าวเลย “ขอโทษค่ะ” “เรามาทำขอตกลงกัน” “คะ?” ไม่ใช่ว่าเขาพูดไปแล้วเหรอ ข้อตกลงที่ว่าน่ะ “ข้อตกลงอะไรเหรอคะ” “เด็กในท้องนั่นอาจเป็นลูกฉัน หรือไม่ใช่ก็ตามแต่ ระหว่างนี้เธอต้องบำรุงตัวเองอย่าให้อด” “ค่ะ” “และฉันไม่อนุญาตให้ไปทำงาน ไปลาออกให้เรียบร้อยซะ” “แล้วตาลจะเอาอะไรกินล่ะ" “ระหว่างนี้ฉันจะให้เงินเดือนเธอ” ฟังดูแปลกๆ แฮะ เหมือนพวกรับจ้างอุ้มบุญอะไรเทือกนั้นเลย มีทั้งเงินเดือนกิน ทั้งได้กินดีอยู่ดี “ต้องทำขนาดนี้เหรอคะ” น่าสมเพชสิ้นดี “ถ้าคุณลำบากใจจะเก็บเด็กคนนี้ไว้…ให้ตาลเอาเขาออกไหมคะ” “ฉันไม่เคยอยากทำลายชีวิตใคร” แต่เขาทำลายชีวิตเธอแบบไม่เหลืออะไรแล้วไง ศักดิ์ศรีแทบไม่มีเหลืออยู่บนหน้าแล้ว เขาทำแบบนี้ยิ่งตอกย้ำให้เธอรู้สึกเวทนาชีวิตตัวเองไปอีก “ตาลคงไม่มีอะไรโต้แย้งพี่หรอก ตาลไม่เหลืออะไรแล้วจริงๆ” ไม่มีแม้ที่พึ่งพิง “ตาลจะไปลาออกตามที่พี่สั่ง" ชรัณมองหน้าหญิงสาว “แล้วพรุ่งนี้จะพาไปฝากท้อง” “ค่ะ” เธอเงยหน้ามองชรัณผ่านดวงตาพร่าพราวด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอเบ้า เขายกจานข้าวเธอเดินหายเข้าไปในห้องครัว ไม่นานก็ได้ยินเสียงเหมือนทำอาหาร เธอได้แต่มองอยู่ไกลๆ หากนี่เป็นการเอาใจใส่จากเขา เธอก็จะเก็บเอาไว้ในใจ ซึมซับไออุ่นนี้ให้ซาบซ่านหัวใจแม้มันเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งที่เขาส่งทอดมาก็ตาม จานอาหารที่เพิ่งทำเสร็จใหม่วางลงตรงหน้าเธอ ข้าวผัดแฮมหมูหอมยั่วน้ำลาย แต่เขาก็เดินเข้าไปเอาของมาอีกอย่างหนึ่ง คือผลไม้สดนั่นเอง ชรัณไม่ได้พูดอะไรมากหลังจากวางจานผลไม้ลงบนโต๊ะเสร็จ เขาเดินไปหยิบกุญแจรถแล้วเดินตรงไปยังประตู “พี่ชัช” “พรุ่งนี้เก้าโมงเตรียมตัวด้วย” “ค่ะ” เธอก้มหน้าขานรับอย่างจำยอม ได้แต่มองตามแผ่นหลังกำยำเดินจากไปต่อหน้า เมื่อประตูปิดสนิทเธอก็ถอนหายใจออกยาวๆ ความรู้สึกมากมายอัดแน่นอยู่เต็มอก บางครั้งแทบหายใจไม่ออก เขาทำเหมือนเธอเป็นอากาศเบาบางลอยผ่านหน้าไปมาเท่านั้น อยากสัมผัสก็แค่ยกมือขึ้นมาให้อากาศพัดผ่านไป “ห้องกว้างกว่าห้องเช่าเราอีก” แต่ยิ่งกว้าก็ยิ่งรู้สึกว้าเหว่ เหมือนตัวเองยืนอยู่กลางหลุมดำขนาดใหญ่ มองไปทางไหนก็มืดมนไปหมด อย่างน้อยๆ ในความอึดอัดใจเธอก็ยังยิ้มออกได้เพราะข้าวผัดฝีมือเขานั่นแหละ เขาอาจกำลังสงสารหรือเวทนาเธอ ไม่ก็ทำแค่เพราะเป็นห่วงเด็กในท้อง “จะกินให้หมดจาน ไม่ให้เหลือข้าวสักเม็ดเลยล่ะ” ระหว่างที่พูดเธอก็ลูบท้องไปด้วย ส่งผ่านความรู้สึกดีใจให้ลูกในท้องรับรู้ไปด้วยบทที่ 7 รอเก้อกลางดึกต้นตาลนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงนอนขนาดคิงไซซ์ พื้นที่กว้างไม่คุ้นเคยทำให้นอนไม่หลับ พลิกไปทางไหนก็ว่างเปล่า ไม่เหมือนเตียงในห้องเช่าที่เคยนอนเลย ขนาดเตียงก็ต่างกันมาก เคยนอนเตียงขนาดสามฟุตครึ่ง พลิกตัวทีหนึ่งก็หลังชนกับผนังห้องแล้ว แต่เตียงนี้พลิกไปสามตลบก็ยังไม่สุดเตียงเลย“ตอนไหนจะหลับล่ะตาล” นับแกะแล้วก็ไม่ง่วง นับเลขก็ไม่มีผลอะไร ตอนนี้เธอทำเพียงนอนหงายมองเพดานห้อง นอนขบคิดเรื่องราวต่างๆ นานาจนเวลาล่วงเลยมาถึงตีหนึ่ง “พรุ่งนี้ต้องไปหาหมอแล้วนี่นา” เธอหยิบโทรศัพท์มาตั้งเวลาปลุกไว้ตอนเจ็ดโมงตรงพอดี จากนั้นค่อยข่มตาหลับ พยายามทำให้สมองโล่งและสุดท้ายก็ผล็อยหลับไปด้วยความเพลีย08:30หลังจากตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว ตอนนี้เธอก็นั่งรอชรัณมารับไปโรงพยาบาลตามที่เขานัดไว้ ใกล้จะเก้าโมงแล้วด้วย ยังไม่เห็นเงาเขาเลย มองดูโทรศัพท์ก็เงียบกริบ หากเขาติดธุระหรือกำลังเดินทางมาก็น่าจะโทร.มาบอกกันหน่อยสิ คนรอมันตื่นเต้น ไม่ใช่อะไรหรอกรอมาถึงสิบโมงเช้าเขาก็ยังไม่มาจนเธอเริ่มถอดใจไปแล้ว ต้นตาลวางกระเป๋าผ้าลายดอกไม้ใบโปรดลงบนโซฟา แล้วเดินไปสูดอากาศที่ระเบียงห้อง“รอเก้อเหร
บทที่ 8 ค้างคืน ต้นตาลเดินกลับมานั่งพักบนโซฟา เธอมองใบหน้าชรัณอยู่พักใหญ่กระทั่งเขาหันมาสบตา คนที่ไม่ทันตั้งตัวรีบหลุบตาหลบสายตาเขา“มองกันทำไม หน้าฉันมีอะไรติดงั้นเหรอ”“ตาลเห็นพี่ชัชดูเพลียๆ ได้นอนบ้างไหมคะ”“นอน” ตอบคำถามแล้วก็หันไปพิมพ์อะไรในโทรศัพท์ไม่รู้ ต้นตาลจึงใช้โอกาสที่เขาสนใจโทรศัพท์เอื้อมมือไปลูบแก้ม “ทำอะไร” คนที่ไม่ชอบให้ใครสกินชีพเบี่ยงตัวหลบ“ตาลโกนหนวดให้ไหม”“ไม่ต้อง”“ตาลแค่อยากทำอะไรให้เป็นประโยชน์บ้าง”“...” เขาละสายตาจากจอมือถือมองเธอ “ฉันไม่ชอบให้ใครยุ่งกับหน้า”“อ๋อ”“เธอโกนหนวดเป็น?”พูดออกไปก็กระดากปากตัวเอง เดี๋ยวจะขายหน้าเอาเปล่าๆ เคยโกนหมออ้อยตัวเองนี่นับว่าโกนเป็นไหมอะ มันก็น่าจะเหมือนกันปะ“ว่ายังไง”“เอ่อ ไม่ดีกว่าค่ะ ตาลไม่มั่นใจมือตัวเอง เดี๋ยวทำหน้าพี่ชัชเสียโฉมเอา” เธอพูดกลั้วหัวเราะเพื่อไม่ให้ดูจริงจังเกินไป “คงถนัดใช้เครื่องโกนไฟฟ้ามากกว่าสินะคะ”“อืม”“แล้วไม่ต้องกลับไปทำงานเหรอคะ”“...” คราวนี้ชรัณเงียบไป เขาไม่ได้สนใจคำถามเธอ แต่กำลังง่วนอยู่กับการพิมพ์ข้อความในแชตอีก ไม่รู้ว่าคนในห้องแชตนั้นเป็นใคร แต่ดูท่าจะสำคัญอยู่เหมือนกัน เขาถึงไม่ปล่อย
บทที่ 9 ของฝากเล็กๆ น้อยๆ 08:20ต้นตาลปรือตาขึ้นมองไปรอบๆ ทั้งยังงัวเงียตื่นไม่เต็มตา ไม่เห็นแสงตะวันเล็ดลอดผ่านม่านประตูเชื่อมต่อระเบียงเธอจึงฟุบหน้าลงกับอกแกร่งอีก วันนี้รู้สึกเพลียตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเลย อาจจะเพราะนอนดึกและแพ้ท้องอยู่แต่เอ๊ะ?เธอกำลังนอนอยู่บนตัวเขาเหรอ ไม่น่าใช่หรอกมั้ง ชรัณกลับไปนานแล้วเถอะ เขาไม่มานอนให้เธอกอดแนบชิดขนาดนี้หรอก เธอกอดหมอนข้างแล้วมโนว่าเป็นเขาเถอะต้นตาลพอนึกอย่างนั้นก็อยากมั่นใจว่าตัวเองคิดถูกแล้วจึงเปิดเปลือกตาหนักอึ้ง มองหมอนข้างที่ว่านั้น“พี่ชัช!” เธอตกใจกว่าเห็นผีตัวเป็นๆ ก็เห็นชรัณอยู่ใกล้ตัวเนี่ยแหละ “อะ อ้าว...” เป็นเธอที่ข้ามฝั่งมากอดเขาเอง แถมยังเบียดเขามาจนสุดขอบเตียงอีกต่างหาก “ตาลทำให้พี่ชัชตื่นเหรอ”“ก็น่าจะรู้ นอนทับกันทั้งคืนแบบนี้จะนอนหลับสนิทได้ยังไง”“แล้วทำไมไม่ปลุกล่ะคะ ตาลไม่ใช่คนนอนหลับลึกสักหน่อย”“ปลุกแล้ว แต่ไม่ตื่น”หน้างี้แตกร้าวเลยไหมยายตาล“น่าจะปลุกเบาไปนะคะ”“...” ชรัณส่ายหน้าแล้วเลิกคิ้วให้ต้นตาลลุกออกไป พอได้รับอิสระก็ลุกขึ้นมาบิดกายไล่ความเมื่อยล้า แล้วก้าวลงจากเตียงนอน“อ๊ะ!” หญิงสาวหลุดเสียงอุทาน เขาถอดเสื้อผ
บทที่ 10 คำขอที่มาพร้อมข้อตกลงของชรัณ มาเวย์ไหนอีกล่ะพ่อคุณ เธอตามไม่ทันแล้วจริงๆ นะ บางวันเขาเหมือนท้องฟ้าอึมครึม บางวันก็เหมือนท้องฟ้ามีเมฆสีขาวลอยเกลื่อน และบางวันก็เหมือนท้องฟ้าโล่งไร้เมฆ ไร้แรงลม ชนิดที่ว่านิ่งได้อีก นิ่งได้มากกว่านี้อีก...“ตาลขอบคุณนะคะ สร้อยสวยมากเลยค่ะ นี่ถ้าเอาไปขายคงได้หลายตังค์เนอะ” ก็พูดหยอกไหมล่ะ ทำไมต้องหันมามองกันด้วยตาดุๆ แบบนั้น “หยอกค่ะ ใครจะเอาไปขายได้ลงล่ะ เก็บไว้เป็นอนุสรณ์ว่าเคยมีผู้ชายให้ของขวัญด้วย” ผู้ชายที่เป็นพ่อของลูก ความสัมพันธ์เขากับเธอขีดเส้นใต้แค่คำว่าพ่อแม่เท่านั้น ไม่มีความสัมพันธ์ทางใจหรือความรู้สึกใดๆ นอกเหนือจากนี้แน่นอน“แล้วพี่ชัชจะกลับตอนไหนเหรอคะ”“เพิ่งมา จะให้กลับเลยเหรอ”“เปล่านะ ตาลแค่อยากรู้ว่าจะกลับเมื่อไหร่ต่างหาก”“พรุ่งนี้มั้ง”อะไร เขาเป็นอะไรอะช่วงนี้น่ะ ไม่ค่อยลังเลใจเลยนะ“พรุ่งนี้มั้ง ก็แสดงว่าไม่แน่ใจใช่ไหมคะ ว่าจะกลับพรุ่งนี้ดีไหมหรือว่าไม่กลับ”“...” ชรัณถอนหายใจแล้วหันมามองหน้าเธอ “พูดมากน่า”“เงียบก็ได้”ภายในห้องเริ่มมีบรรยากาศมาคุเกิดขึ้น เธอและเขาต่างคนต่างเงียบอยู่คนละมุมของโซฟา แต่ผูกสายตาไว้กับภาพเคล
บทที่ 11 ไม่คาดหวัง = มีหวังวันนัดตรวจอัลตราซาวนด์ผ่านมาหลายสัปดาห์ที่เธออุ้มท้องมา วันนี้เป็นวันที่หมอนัดตรวจเลือดและอัลตราซาวนด์ดูลูกในท้อง ต้นตาลแต่งตัวด้วยมินิเดรสยาวเสมอหัวเข่าสีขาวผูกสายที่ไหล่ ตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงกว่าซึ่งหมอนัดตอนเก้าโมงครึ่ง เธอเผื่อเวลาในการเดินทางไว้ด้วย จะได้ไม่รีบร้อนมากนัก“สู้!” หญิงสาวเปิดประตูออกมาจากห้องพัก แต่กลับสะดุ้งจนก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว “พี่ชัช” คนที่ถูกเรียกชื่อเอียงคอมองเธอเล็กน้อย เอาจริงๆ วันนี้เธอไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะมาหาด้วยซ้ำ เขาหายไปเป็นอาทิตย์เพราะติดธุระในร้านทอง ซึ่งเธอก็รับรู้มาตลอด เพราะเขาเพิ่มเธอเข้าในไลน์ส่วนตัวแล้วคอยส่งข้อความมาถามไถ่กัน บ้างก็ส่งรูปภาพมาให้ดู จึงได้รู้ว่าเขาน่ะงานยุ่งจริงๆ ไม่ได้แอบไปคั่วอีหนูที่ไหนแล้วทำไมวันนี้เขามาโผล่ที่นี่ได้ล่ะ เธอไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะออกไปข้างนอก“เสร็จแล้วเหรอ”“ค่ะ แล้ว...พี่ชัชมาเอาอะไรเหรอ”“มารับเธอไปหาหมอ”“ตาลไม่ได้บอกนี่คะว่าไปหาหมอวันนี้ พี่รู้ได้ยังไง”“ก็ในใบตรวจที่เธอเอาให้ดูครั้งก่อน”อา...ถึงบางอ้อก็ตอนนี้ ที่แท้เขาก็จำวันนัดตรวจได้เพราะเธอเอาแผ่นอัลตราซาวนด์ให้ดูร
บทที่ 12 Woman on top NC สายตาอ่อนโยนที่มองกันแบบนั้นมันแฝงความรู้สึกมาด้วยไหมนะ ยิ่งเขาอยู่ใกล้กันมันยิ่งทำให้เธอถลำลึก ห้ามอะไรก็ห้ามได้ทั้งนั้นแต่ความรู้สึกเธอเนี่ยสิ ใครจะรับผิดชอบกันล่ะ“ให้ตาลไปอยู่ที่อื่นไหมคะ” เหมือนเขาจะตกใจอยู่บ้างกับคำถามเธอ แต่ก็เป็นเพียงเสี้ยววินาทีจริงๆ ที่เห็นชรัณตกใจเขาเงยหน้ามองกัน คล้ายว่าจะถามเธอแต่กลับเงียบไปซะอย่างนั้น“ตาลรู้ว่าตาลอาจจะเป็นภาระให้พี่ชัช ไม่วันนี้ก็วันข้างหน้าน่ะค่ะ อีกอย่างพี่ก็ยังไม่มั่นใจในตัวตาล และเด็กในท้องของตาลว่าเป็นลูกพี่จริงๆ ไหม”“…”“ตาลยินดีไปอยู่ที่อื่นนะคะ”“เก่งนะ”“…”?“เก่งเรื่องคิดไปเอง” ประโยคสั้นๆ ที่เขาเอ่ยออกมานั้นทำเอาหน้าเธอชาไปครึ่งซีกเลยล่ะ“เปล่าคิดเอาเองสักหน่อย ก็ดูสถานะเราสองคนสิคะ” อยู่ด้วยกันในฐานะอะไรก็ยังไม่รู้เลยอะ เธอเหมือนเป็นกาฝากเขามากกว่า แต่กาฝากกิ่งนี้ถูกเลี้ยงดูอย่างดีแน่ะ “พรุ่งนี้เราไปตรวจดีเอ็นเอกันไหม” เธอแค่อยากให้เขามั่นใจในตัวเอง เพราะมีวูบหนึ่งนัยน์ตาเขามีความสับสน แต่ก็เป็นเพียงวูบหนึ่งเท่านั้น ก่อนที่มันจะฉายแววเรียบนิ่ง“รอให้คลอดก่อน”“แต่หมอว่าทำได้แล้วนะคะ”“รีบ?”“ก็อยา
บทที่ 13 จับผิด ช่วงสายของวัน หลังจากตื่นนอนแล้วชรัณก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนชุดออกมาทำงาน วันนี้ผู้จัดการร้านลาพักเขาจึงต้องเข้าร้านเร็วหน่อย“อ้าวไอ้อธิ มึงไปไหนมาแต่เช้า” เขาทักทายอธิราชซึ่งบังเอิญเจอกันที่ร้านขายน้ำ อธิราชเลิกคิ้วถามและหรี่ตาแคบลงมองเพื่อนอย่างจับผิด “อะไร มองกูแบบนั้นทำไม”“มึงเพิ่งออกมาจากในเมือง กูสิควรถามว่ามึงไปไหนมาวะ ทางไปร้านทองมึงอยู่ทางโน้น แล้วมึงมาจากทางนี้”“ธุระ”“ธุระในเมืองบ่อยนะช่วงเนี่ย”“เออ แล้วมึงไปไหนมาล่ะ”“มาหาดูของแหละ เลยแวะซื้อน้ำก่อน”“กินข้าวยัง ไปแดกข้าวกันไหม”“ไปดิ กำลังหาร้านนั่งชิลอยู่พอดี”“แต่กูชิลด้วยไม่ได้ดิ ต้องรีบเข้าร้าน”“เออ”ทั้งสองขับรถไปกินข้าวแกงร้านประจำเพราะจะได้ไม่ต้องรออาหารนาน หลังจากได้ข้าวแล้วชรัณก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปซึ่งมันผิดปกติมาก จากคนไม่ชอบเล่นโทรศัพท์หรือถ่ายรูปของกิน อธิราชหรี่ตามองเขาอีก“มึงชอบถ่ายรูปอาหารตั้งแต่ตอนไหนวะ”“ก็ถ่ายเก็บไว้ดู”“อะไรวะ ร้อยวันพันปีแทบไม่หยิบมือถือมาถ่ายอาหาร แดกก่อนกูตลอดเลย”“มันแปลกตรงไหนล่ะ กูจะเอามือถือขึ้นมาถ่ายรูปไม่ได้เลยงั้นเหรอ”“ก็เปล่า กูแค่ไม่เคยเห็นไงเลยถาม”“
บทที่ 14 เอ็นดูหลายนาทีต่อมาเจ้าของรอยยิ้มหวานโคลงศีรษะไปมาเบาๆ อย่างอารมณ์ดี นี่ต้องขอบคุณที่ไฟดับเลยนะ เพราะถ้าไฟไม่ดับเธอคงไม่ได้ออกมานั่งเล่นที่คาเฟแบบนี้ แถมวันนี้ชรัณยังตามใจอีก“ถามอะไรหน่อย”“คะ?”“ไม่มีพี่น้องหรือญาติที่ไหนเลยเหรอ”“มีน่ะมีค่ะ แต่เขาคงไม่นับญาติกับตาลหรอก พวกญาติๆ ฝั่งแม่ก็ไม่ส่งข่าว ส่วนญาติฝั่งพ่อเขาก็...ไม่อยากนับญาติกับคนจนๆ หรอก”“อือ”“ถามทำไมเหรอคะ” แววตาเขาดูเรียบเรื่อยไม่แสดงความสงสัยใดๆ คล้ายว่าถามไปอย่างนั้นแบบไม่ใส่ใจอะไรมาก “อยากให้ตาลไปอยู่กับญาติเหรอ”“ไหนบอกไม่มีใครอยากนับญาติไง”“ก็ถามเป็นพิธีไหมคะ พี่จะย้ำทำไมเนี่ย”“ก็เราพูดเอง”“ก็จริงนั่นแหละ แล้วพี่ชัชถามทำไมเหรอ”“แค่อยากรู้เฉยๆ”“อ๋อ...ไม่มีญาติที่ไหนหรอกค่ะ หัวเดียวกระเทียมลีบมานานแล้ว” เอาจริงๆ เธอแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าญาติหน้าตาเป็นยังไงกัน แค่จำหน้าพ่อกับแม่ได้ก็ถือว่าบุญมากแล้ว แต่ภาพในความทรงจำมันก็ค่อยๆ จางหายไปเหมือนกันนะ แม้จะอยากจำมากแค่ไหนก็ตาม ความอบอุ่นที่เคยได้รับก็เริ่มจางหายไปแล้วเหมือนกัน ทุกวันนี้เธอเลยกอดตัวเอง ให้ความอบอุ่นกับตัวเองทดแทนสิ่งที่เว้าแหว่งไปในชีวิต ทั้ง