บทที่ 8 ค้างคืน
ต้นตาลเดินกลับมานั่งพักบนโซฟา เธอมองใบหน้าชรัณอยู่พักใหญ่กระทั่งเขาหันมาสบตา คนที่ไม่ทันตั้งตัวรีบหลุบตาหลบสายตาเขา “มองกันทำไม หน้าฉันมีอะไรติดงั้นเหรอ” “ตาลเห็นพี่ชัชดูเพลียๆ ได้นอนบ้างไหมคะ” “นอน” ตอบคำถามแล้วก็หันไปพิมพ์อะไรในโทรศัพท์ไม่รู้ ต้นตาลจึงใช้โอกาสที่เขาสนใจโทรศัพท์เอื้อมมือไปลูบแก้ม “ทำอะไร” คนที่ไม่ชอบให้ใครสกินชีพเบี่ยงตัวหลบ “ตาลโกนหนวดให้ไหม” “ไม่ต้อง” “ตาลแค่อยากทำอะไรให้เป็นประโยชน์บ้าง” “...” เขาละสายตาจากจอมือถือมองเธอ “ฉันไม่ชอบให้ใครยุ่งกับหน้า” “อ๋อ” “เธอโกนหนวดเป็น?” พูดออกไปก็กระดากปากตัวเอง เดี๋ยวจะขายหน้าเอาเปล่าๆ เคยโกนหมออ้อยตัวเองนี่นับว่าโกนเป็นไหมอะ มันก็น่าจะเหมือนกันปะ “ว่ายังไง” “เอ่อ ไม่ดีกว่าค่ะ ตาลไม่มั่นใจมือตัวเอง เดี๋ยวทำหน้าพี่ชัชเสียโฉมเอา” เธอพูดกลั้วหัวเราะเพื่อไม่ให้ดูจริงจังเกินไป “คงถนัดใช้เครื่องโกนไฟฟ้ามากกว่าสินะคะ” “อืม” “แล้วไม่ต้องกลับไปทำงานเหรอคะ” “...” คราวนี้ชรัณเงียบไป เขาไม่ได้สนใจคำถามเธอ แต่กำลังง่วนอยู่กับการพิมพ์ข้อความในแชตอีก ไม่รู้ว่าคนในห้องแชตนั้นเป็นใคร แต่ดูท่าจะสำคัญอยู่เหมือนกัน เขาถึงไม่ปล่อยให้คนคนนั้นรอนาน ไม่รู้ว่าเขานั่งพิมพ์ตอบกลับแชตอยู่บนโซฟานานแค่ไหน แต่เธอแทบลืมตาไม่ขึ้น ง่วงมาก ง่วงชนิดที่นั่งสัปหงกอยู่ข้างชรัณ “ง่วงก็ไปนอน มานั่งสัปหงกอยู่ทำไม” น้ำเสียงติดดุดังขึ้น ทำเอาคนที่สะลึมสะลือเบิกตากว้าง ใบหน้าสวยสั่นพรืดหนึ่ง “พี่ชัชจะกลับตอนไหนเหรอคะ” “อีกสักพัก” อยากเคลียร์งานให้จบก่อนจะขับรถ ไม่งั้นมันค้างคาและคงหาที่จอดเหมาะๆ นั่งพิมพ์ข้อความตอบกลับคนงานแน่ พอดีเขาไม่ค่อยโทร.หาใครด้วยสิ มีอะไรก็แชตผ่านไลน์เท่านั้น นอกเสียจากมีเรื่องด่วนจี้อะไรอย่างนั้นถึงจะโทร.หากัน เมื่อได้ยินคำตอบแล้วเธอจึงเอนตัวไปพิงพนักโซฟา เอาหมอนอิงมากอดแนบแน่นแล้วผล็อยหลับไปเสียดื้อๆ ชรัณพิมพ์งานอยู่พักใหญ่ๆ ก็รู้สึกได้ว่าต้นตาลเขยิบมาเบียดเขา แถมยังเอาหน้าซบไหล่อีก กะว่าไม่ยอมให้เขาขยับกายไปไหนได้เลย ทั้งมือทั้งหน้าและยังบดเบียดกายเข้าหาเรื่อยๆ แทบจะสิงเขาแล้ว “อื้อ~” เสียงครางอื้อในคอดังขึ้น ก่อนที่ฝ่ามือเรียวจะเริ่มซุกซนสอดเข้ามาในช่องระหว่างรังดุมเสื้อ ควานหาไออุ่นจากร่างกายเขา เมื่อได้ที่เหมาะเจาะแล้วก็นิ่งไป “...” ชรัณนั่งนิ่ง ไม่กล้าขยับกายไปไหนแม้แต่นิดเดียว และเคยอ่านเจอมาว่าคนท้องต้องการเวลาพักผ่อนและนอนให้เยอะๆ เพราะแม่นอนลูกก็ได้นอนพักไปด้วย ไออุ่นจากกายเขาชวนเคลิ้มฝันจนเผลอยิ้มบางๆ ให้เขาเห็น ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมงที่ต้นตาลผล็อยหลับไป รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เธอจะพลิกตัวเปลี่ยนท่าใหม่ ถึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วตัวเองนอนอยู่บนโซฟา และกำลัง....กอดชรัณอยู่ “พี่ชัช” “...” ใบหน้าคมสันเอี้ยวมองเธอนิดหนึ่ง แล้วเขาก็หันไปมองโทรศัพท์ “ถ้าเธอไม่ตื่นขึ้นมาเร็วๆ นี้ ฉันคงเหน็บกินไปจนถึงเช้าล่ะมั้ง” ท่าทางปวดเมื่อยยังมีให้เห็น เขาปรายตามองเธอแล้วปิดโทรศัพท์มือถือ “ขอโทษค่ะ ตาลง่วงมาก ไม่ได้นอนทั้งวันเลยเผลอหลับไป” ใครจะไปบอกว่าอยู่ใกล้เขาแล้วมันอบอุ่น กลิ่นหอมกรุ่นจากตัวเขาช่วยผ่อนคลายจากอาการแพ้ท้องได้เป็นอย่างดี ไหนจะตัวอุ่นจนเธออยากซบและอยากกอดอีก โทษเธอไม่ได้นะ เขาทำตัวให้เธอทำแบบนั้นเองนี่นา “จะกลับแล้วเหรอคะ” ชรัณลุกขึ้นยืน เขาไม่แม้จะหันมองเธอด้วยซ้ำ เอาแต่เดินจ้ำอ้าวไปห้องครัว ภาษากายเขาไม่ได้แสดงออกว่าจะกลับ แต่แสดงออกว่าเขากำลังมองหาอะไรทำในห้องครัวต่างหาก “อยากกินอะไร” “อะไรก็ได้ค่ะ ง่ายๆ” “อะไรก็ได้ไม่มี อยากกินไร” ชายหนุ่มพยักพเยิดหน้าให้อีกครั้ง “อยากกิน...” กำลังเรียบเรียงเมนูอาหารในหัวอยู่ แต่ก็ต้องพับเก็บไว้ในหัวต่อไปเพราะคนตัวสูงเอ่ยขึ้นก่อน “ต้มยำหมูบดกับไข่เจียวแล้วกัน ง่ายๆ” ไม่ใช่อะไร ของสดต้องรีบทำกินก่อนมันจะหมดอายุและเน่าเสียก่อน เมนูง่ายๆ ที่เขาทำกินบ่อยก็คงเป็นสองอย่างนี้แหละ “เอาแบบนั้นก็ได้ค่ะ” ไม่รู้ว่าวันนี้เขาอารมณ์ดีมาจากไหน หรือว่าอยากไถ่โทษที่ผิดนัดกับเธอ แต่จะอะไรก็ช่างเถอะ เธอมีความสุขทั้งกายและใจแม้จะเป็นเวลาสั้นๆ ก็ตาม “ให้ตาลช่วยอะไรไหมคะ” “ไม่ต้อง” เขาตอบกลับทันควัน แล้วยังช้อนตามองกันด้วยสายตาเรียบนิ่ง เข้าใจแล้วว่าเขาอาจจะชอบทำอะไรคนเดียวน่าจะคล่องตัวกว่า คงไม่อยากให้คนซุ่มซ่ามอย่างเธอไปยืนเกะกะขวางหูขวางตาตรงนั้นแน่ๆ “ปกติชอบทำกับข้าวกินเองบ่อยเหรอคะ” หญิงสาวหาเรื่องมาชวนเขาคุยเพื่อไม่ให้บรรยากาศในครับมาคุไปมากกว่านี้ แต่ก็เปล่าประโยชน์ เขาเอาแต่เงียบ ก้มหน้าทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่สนใจแม้คำถาม หากบอกว่าเธอเป็นอากาศผัดผ่านตัวเขาให้พอรู้สึกว่ามีอยู่จริง มันไม่ก็เกินจริงหรอก เมื่อรู้แล้วว่าอยู่ตรงไหนก็เกะกะทำให้เขาหงุดหงิดเปล่าๆ เธอจึงเดินกลับมานั่งรอบนโซฟา มือถือชรัณก็วางอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ยนี่นา แถมยังสว่างวาบเพราะมีข้อความเข้าอีก ไม่รู้หรอกว่ากำลังคุยอะไรกัน เห็นเพียงแจ้งเตือนจากไลน์เข้ารัวๆ “พี่ชัชคะ เอ่อมีข้อความเข้าค่ะ” “อย่ายุ่งกับมือถือฉัน” น้ำเสียงเขาเหมือนไม่พอใจที่เธอถือวิสาสะหยิบโทรศัพท์เขามาให้ในครัว ชรัณคว้ามันไปปิดจอแล้ววางคว่ำลงกับเคาน์เตอร์ “ขอโทษนะคะ ตาลแค่เห็นว่ามันน่าจะสำคัญ เลยรีบมาบอก” หูลู่คอตกเหมือนลูกหมาโดนดุเดินกลับไปนั่งรอเขาที่เดิม ไม่น่าเข้าไปยุ่งเลย ปล่อยให้มันสั่นอยู่แบบนั้นก็ดีแล้ว “ทำอะไรก็ไม่เข้าตาเขา แล้วจะให้ไปอยู่ตรงไหนล่ะ” บางครั้งก็เหมือนใจดี แต่บางครั้งก็ทำหน้านิ่งใส่ เดาอารมณ์ไม่ถูกเหมือนกันนะว่าจะเอายังไงกันแน่ แต่เธอคงต้องเว้นระยะห่างจากเขาบ้างแล้ว ขืนล้ำเส้นไปมากกว่านี้เธออาจไม่ได้โชคดีแบบนี้ไปตลอดก็ได้ นานหลายนาทีที่ชรัณอยู่ในห้องครัว กระทั่งเขาถือจานข้าวออกมาสองจานมาวางบนโต๊ะ จากนั้นก็กลับเข้าไปยกอาหารสองเมนูที่ตั้งใจทำตามออกมา “มากินข้าว” “...” ต้นตาลเดินมานั่งลงในโต๊ะอาหาร ท่าทีแปลกไปทำให้ชรัณอดมองสีหน้าเธอไม่ได้ “ฉันติดธุระ คงไม่ได้มาที่นี่หลายวัน” “ค่ะ” ใบหน้าสวยพลันบูดบึ้ง แค่คิดว่าจะไม่ได้เจอเขาหลายวันก็รู้สึกเบื่อรอแล้ว แล้วหลายวันที่ว่ามันกี่วันกันแน่ล่ะ สองวัน สามวันหรือว่าเป็นอาทิตย์เลย หญิงสาวก้มหน้าลอบถอนหายใจออก “ถ้าอยากออกไปไหนก็เรียกรถในแอปแล้วกัน” “ค่ะ” พยายามพูดให้น้อย เพื่อไม่ให้เขาหงุดหงิดใจอีก ทว่าทำอย่างไรก็เหมือนไม่ถูกใจเขาไปซะทุกเรื่อง เสียงสะบัดลมหายใจของชายหนุ่มยังมีให้ได้ยินเรื่อยๆ เขาไม่ได้เอ่ยต่อจากนั้น เสียงวางช้อนดังขึ้น ต้นตาลก็ยังก้มหน้ากินข้าวต่อไป ไม่เงยหน้ามองไม่เอ่ยถาม “เก็บจานด้วย” เขายกจานข้าวตัวเองเข้าไปในห้องครัว ขลุกตัวอยู่ในนั้นนานหลายนาที คนที่กินข้าวอิ่มแล้วไม่รู้ว่าต้องทำไงต่อ จะเข้าไปในครัวชรัณก็อยู่ในนั้น จะนั่งต่อก็ปวดหลังอยากเอนกายพักผ่อนเต็มแรงแล้ว แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็เดินออกมาจากห้องครัว เขาคว้าหยิบกุญแจรถและคีย์การ์ดเดินออกไปจากห้องพักหน้าตาเฉย ไม่บอกกล่าว ไม่ลาหรือไม่หันมามองเธอด้วย “เฮ้อ...” ลมหายใจที่ถอนออกนับครั้งไม่ถ้วน เธอเลื่อนเก้าอี้ออกแล้วยกจานข้าวไปเก็บในครัว แต่เอ๊ะ? ชรัณเข้ามาทำอะไรในครัวตั้งนานสองนาน จานข้าวก็มีเพียงใบเดียว จะล้างนานขนาดนั้นเชียวหรือ หญิงสาวรับบทนักวิเคราะห์อยู่พักใหญ่ๆ ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เหนือศีรษะดูของแห้งและอุปกรณ์ทำครัว ทุกอย่างก็อยู่ที่เดิมไม่มีการเคลื่อนย้ายไปไหน เธอจึงหันหลังเดินมาหยุดอยู่หน้าตู้เย็นแล้วเปิดออกดูของด้านใน มุมปากยกขึ้นคล้ายว่าจะยิ้มแต่ก็เป็นยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นจานผลไม้สดสองจานถูกห่อด้วยแรปห่ออาหารวางไว้ในชั้นแช่ผักผลไม้ ที่เขาหายมานานๆ เพราะมาปอกผลไม้ไว้ให้เธอกินหรอกเหรอ “เป็นคนแบบไหนกันแน่นะ” ก็ยังอยากพูดคำเดิม ว่าเธอเดาอารมณ์ผู้ชายคนนี้ไม่ถูกจริงๆ หรือเขาเป็นพวก introvert แล้วคอยใส่ใจอยู่ห่างๆ แบบนี้เหรอ ก็น่าจะจริงมั้งนะ เธอโคลงศีรษะเบาๆ แล้วหยิบจานผลไม้จานหนึ่งออกมาจากตู้เย็น เดินกลับไปนั่งบนโซฟา “อ๊ะ พี่ชัชลืมเสื้อนี่นา” แจ็คเก็ตหนังสีน้ำตาลพาดอยู่ที่พักแขนของโซฟา คาดว่าเขารีบร้อนออกไปจนลืมมันไว้ที่นี่ ควรโทรไปบอกดีไหม หรือไม่ควรโทรไปดี เดี๋ยวเขาคงระลึกขึ้นได้เองมั้งว่าลืมของไว้ที่ห้องนี้ ต้นตาลมองมันอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบมาดูใกล้ๆ กลิ่นน้ำหอมผู้ชายยังติดอยู่ในเนื้อผ้า เธอก้มลงสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ พลางหลับตาพริ้ม “หอมจัง ทำไมเขาถึงตัวหอมได้มากขนาดนี้นะ มีเหงื่อออกบ้างไหมเนี่ย” ผิวสัมผัสแจ็กเกตหนังนุ่มลื่นจนไม่อยากยกฝ่ามือออก แก้มนวลเนียนแนบลงกับแขนเสื้อแล้วหลับตาลง “ป่านนี้เขาจะรู้หรือยังนะว่าลืมเสื้อไว้ที่นี่น่ะ” แต่นึกออกช้าหน่อยก็ดีนะ เธอจะได้เอาเสื้อเขาไปนอนดมทั้งคืนหน่อย เผื่ออาการวิงเวียนศีรษะจะดีขึ้นบ้าง หลายชั่วโมงต่อมา ต้นตาลอาบน้ำเข้านอนแต่หัววัน เพราะเธอเพลียจากอาการแพ้ท้อง ยืนก็จะล้ม พอก้มๆ เงยๆ มากไปก็จะอ้วกจึงรีบไปอาบน้ำทำตัวเองให้สดชื่นขึ้นมาหน่อยหนึ่งแล้วเข้านอนทันที แต่พอได้อยู่คนเดียว ใช้ความคิดคนเดียวกลับทำให้การนอนหลับเป็นเรื่องยากมาก เพลงก็เปิด นับแกะนับม้าก็นับไปไม่รู้กี่ร้อยกี่พันตัว แต่สุดท้ายก็ผล็อยหลับไปเองทุกที ตกกลางดึก อาการหิวบ่อยๆ ก็กวนใจจนเธอลุกออกไปหาอะไรกินในครัว ด้วยไม่ได้เปิดไฟทุกห้องจึงเดินผ่านห้องนั่งเล่นไปที่ห้องครัวเลย พอได้ผลไม้ที่ชรัณบอกไว้ให้เธอก็ถือจานเดินกลับไปยังห้องนอน ทว่าเท้าเรียวหยุดอยู่ตรงห้องนั่งเล่น ซึ่งไม่ทันได้ก้าวพ้นโซฟาตัวยาว หางตาก็เหลือบเห็นเงาดำๆ เหมือนมีคนนอนอยู่บนโซฟา เอ๊ะ? เท้าเรียวค้างเติงอยู่ในท่าก้าวไปข้างหน้า หัวใจดวงน้อยเต้นคร่อมจังหวะ สิ่งแรกที่นึกออกคือผี โดนผีหลอกแล้วแน่ๆ แต่ก็มีความคิดหนึ่งแย้งเข้ามา ผีอะไรจะนอนหลอกกันบนโซฟาแบบนี้ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอด เดินย่องเข้าไปใกล้มากขึ้นจนเห็นใบหน้าคมสัน ถึงไฟส่องมาไม่ถึงตรงโซฟามาก แต่ก็พอเห็นสัดส่วนที่ผสมลงตัวของใบหน้าชายไทยเชื้อสายจีน “พี่ชัช” ต้นตาลเอ่ยเสียงเบาหวิว ด้วยกลัวรบกวนเวลานอนของชรัณ อันที่จริงเธอก็สังเกตอยู่บ้างนิดหน่อย ใบหน้าเขาดูอิดโรยเหมือนคนที่นอนไม่เต็มอิ่มเท่าไร และบางวันที่เจอเขาเธอก็มักได้กลิ่นสีจางๆ จากตัวเขาเหมือนกัน ไม่รู้ว่าไปทาสีหรือทำอะไรที่ไหนมา เธอแอบเก็บความเป็นห่วงเขาไว้ในใจลึกๆ ไม่อาจแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งได้ว่าเป็นห่วง แต่จะว่าไปเวลาที่เขานอนหลับตาพริ้มแบบนี้ก็น่ารักไปอีกแบบนะ ขนตาเอย ริมฝีปากหยักได้รูปที่เม้มเข้าหากัน โครงคิ้วได้รูปตามแบบฉบับคนเชื้อสายจีนเอย ตรงหางคิ้วตวัดขึ้นเล็กน้อยด้วย เธอใช้เวลานานหลายนาทีสำรวจใบหน้าเขาอย่างจริงจัง รอยยิ้มบางๆ ยังคงประดับอยู่บนมุมปาก “ลูกจะเหมือนพ่อเขาไหมนะ” ระหว่างที่กระซิบพูดเธอก็โน้มใบหน้าลงไปใกล้ใบหน้าชรัณเรื่อยๆ “ผู้ชายอะไรผิวดีกว่าเราอีก สิวสักเม็ดก็ไม่มี” เธอแตะปลายนิ้วชี้ลงบนปลายจมูกโด่งคมเบาๆ “หลับลึกขนาดนี้เลยเหรอ ถ้ามีสาวมาแอบลักหลับจะทำยังไง" “เล่นพอหรือยัง" “ว๊าย!” ต้นตาลตกใจเขยิบออกห่างจากชรัณจนตัวเองจะตกโซฟา ด้วยเธอนั่งหมิ่นๆ และใช้กำลังขายันพื้นเอา ตกใจที่จู่ๆ ชรัณก็ลืมตาขึ้นมาเกือบก้นจ้ำเบ้าแล้วไหมล่ะ “ทำอะไร” ปลายเสียงเขายังมีความงัวเงียเจือมาอยู่ แต่ชรัณก็ดันตัวลุกขึ้นมานั่งอย่างไว “ทำไมไม่เปิดไฟ" “ตะ ตาลแค่ออกมาเอาของกินค่ะ หิวนิดหน่อยน่ะ" “ห้ามเอาไปกินในห้องนอน จะกินก็นั่งกินตรงนี้” หยวนๆ ให้หน่อยก็ไม่ได้ เกิดวันนี้เขาไม่อยู่ด้วยกัน เธอก็ต้องนั่งกินข้าวคนเดียวในห้องกว้างๆ นี้สิ อย่างน้อยในห้องนอนมันก็ยังดีกว่าห้องนั่งเล่นนะ “ค่ะ” ชรัณเอามือลูบหน้า แล้วลุกไปเปิดไฟในห้องให้สว่างทั้งห้องเลย แต่เท้าแกร่งกลับหยุดนิ่งอยู่หลังโซฟา สายตาจดจ้องไปที่ร่างบาง เธอใส่ชุดนอนน่ารักก็จริงแต่เธอโนบรานี่ “พี่ชัชกลับมานอนที่นี่ตอนไหนเหรอคะ ตาลไม่รู้สึกตัวเลย" “น่าจะสองชั่วโมงที่แล้วมั้ง” เขาตอบแบบลังเลใจ ไม่ทราบแน่ชัดว่าตัวเองมาถึงคอนโดฯเวลาไหน มาถึงห้องก็ปิดไฟมืดหมดแล้ว บวกกับความง่วงที่สะสมมาหลายวันจึงล้มตัวนอนบนโซฟาแล้วหลับไปเลย “แล้ว…” เขามองจานผลไม้ที่เธอกำลังใช้ช้อนส้อมจิ้มมันเข้าปากเคี้ยวจนแก้มตุ้ย “กินไหมคะ” ต้นตาลจิ้มส้มไปจ่อปากเขา แต่ชรัณกลับเอนตัวหลบ “กินเถอะ ฉันไม่ได้หิว” ตรงไปตรงมาดี เธอคงต้องเตรียมใจเอาไว้บ้างแหละ ว่าเขาน่ะเป็นคนพูดอะไรตามใจคิด ไม่อยากกินก็ไม่กินแบบตะกี้นี้ไง “ไปนอนด้วยกันไหมคะ เตียงออกจะกว้างมาก ตาลนอนคนเดียวมันกว้างจนบางทีก็นอนไม่หลับน่ะ” เธอกะพริบตาปริบๆ มองหน้าเขา “ดีกว่ามานอนโซฟานะคะ เดี๋ยวปวดหลังเอานะ” “อืม” อืม? อืมคือยังไง หมายความว่าเขาจะเข้าไปนอนด้วยกัน? หรือว่าตัดจบบทสนทนาเพราะรำคาญเธอพูดมากไป? เอาเถอะ ถ้าเห็นเขาเข้าไปนอนก็แปลว่าอืมที่เปล่งออกจากปากนั้นเป็นคำตอบรับที่เธอชวนไปนอนด้วยกันนั่นแหละ ต้นตาลนั่งกินผลไม้สดไปมากกว่าครึ่งจาน พอเริ่มอิ่มแล้วเธอหยุดกินพร้อมเอาไปเข้าตู้เย็นไว้กินอีกพรุ่งนี้ “ตาล…ไปนอนแล้วนะคะ” “…” ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบกลับมา เธอจึงไม่เซ้าซี้มาก เดินผ่านชรัณเข้าไปในห้องนอนแล้วปิดไฟเตรียมนอนอีกครั้ง ทว่าไม่ถึงห้านาทีชรัณก็เปิดประตูเข้ามาในห้องนอน เขาเปิดไปห้องน้ำใช้แสงไฟในนั้นส่องสว่างแทนการเปิดไฟทั้งห้อง เธอจึงเห็นว่าเขากำลังถอดเสื้อผ้า ใช่! เขากำลังถอดเสื้อผ้าไง ทำไมไม่เดินเข้าไปถอดในห้องน้ำล่ะเนี่ย จงใจยั่วกันเหรอ ต้นตาลหลับตาปี๋ เอาผ้านวมคลุมหัวตัวเอง ผ่านไปสักพักค่อยแง้มเปิดผ้านวมออกดูว่าชรัณยังยืนอยู่หน้าห้องน้ำไหม “เฮ้อ…” เธอถอนหายใจออก เพราะชรัณเข้าไปในห้องน้ำแล้วน่ะสิ เขาอาบน้ำอยู่และคาดว่าจะเสร็จในไม่ช้านี้ด้วย รีบนอนดีกว่า จะได้ไม่เห็นอะไรที่ทำให้ตาค้างและหัวใจเต้นแรงไปมากกว่านี้อีก เสียงเปิดประตูห้องน้ำดังขึ้น เสียงฝีเท้าหนักๆ เดินไปหยุดอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่ แน่นอนว่าในนั้นมีทั้งเสื้อผ้าเธอและเสื้อผ้าเขาอยู่ แต่แยกฝั่งกันชัดเจน เสียงก๊อกๆ แก๊กๆ ดังขึ้นประมาณห้านาทีก็เงียบไปอีก คราวนี้เตียงฝังที่ว่างยุบตัวลงตามน้ำหนักของผู้ที่ขึ้นมาบนเตียง ต้นตาลหลับตาแน่น สูดหายใจเข้าปอดให้เป็นจังหวะ ไม่ให้เขาจับพิรุธได้ “ผ้าห่ม จะห่มคนเดียวเลยเหรอ” “คะ?” เธอพลิกกลับมาหาเขา “ขอโทษค่ะ” เธอแบ่งผ้าห่มให้คนละครึ่ง ทุกอย่างเงียบไปพักหนึ่ง ต่างคนต่างเงียบ หากไม่มีเสียงเครื่องปรับอากาศที่ทำงานอยู่ ไม่แน่ชรัณอาจได้ยินเสียงหัวใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะก็ได้ แสงไฟเล็ดลอดออกมาจากห้องน้ำค่อนข้างสลัวมาก เธอจึงใช้โอกาสนี้ตะแคงข้างหันหน้าเข้าหาชรัณเสียเลย ให้ตายเถอะ กลิ่นครีมอาบน้ำมันหอมยั่วเย้าอะไรขนาดนี้เนี่ย อยากซบจัง คงจะหอมน่าดูเลย “จะเลิกจ้องตอนไหน ฉันนอนไม่หลับ” “หะ เห็นด้วยเหรอว่าตาลกำลังมองอยู่” แต่ก็น่าจะเห็นแหละนะ แสงไปเล็ดลอดออกมาจากห้องน้ำฝั่งเขานี่นา อีกอย่างไม่ได้มืดสนิทขนาดนั้นด้วย เขาก็ไม่ตอบอะไรเลย แต่พลิกตัวหันหน้ามาหาเธอซะงั้น เล่นเอาเธอตกใจเกือบเขยิบหนี “งั้นตาลไม่กวนก็ได้ค่ะ” เธอสอดตัวลงใต้ผ้าห่ม อดแอบมองผู้ชายเลยเนี่ยยายตาล “พี่ชัช” “มีอะไร” “เอ่อ...” จะถามดีไหมนะ ถามไปเขาก็อาจจะหาว่าเธอก้าวก่ายอีก ทว่าเสียงถอนหายใจของคนตรงหน้าก็ดังขึ้น “ตาลถามอะไรหน่อยได้ไหม” “จะถามอะไร ว่ามาสิ” “พี่เลิกไปเที่ยวคลับแล้วหรือยังคะ หรือว่ายังไปเที่ยวกลางคืนอยู่” ก็ไม่รู้ว่าเขายังไปเที่ยวสถานที่แบบนั้นอยู่หรือเปล่า เธอยอมเสียสละทุกอย่างมาอยู่ที่นี่ ความฝัน งาน เงิน และร่างกายที่ไม่กี่เดือนข้างหน้าก็น่าจะขยายใหญ่ รอยแตกลายงาน่าจะเต็มท้องแน่เลย แล้วเสื้อเอวลอย เสื้อสวยๆ โชว์ท้องจะได้ใส่กับเขาไหมเนี่ย คิดมาแล้วก็เศร้า ชรัณนอนฟังเสียงหญิงสาวถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้ว่าเธอคิดน้อยเนื้อต่ำใจอะไรอยู่ เขาจึงถามกลับ “ถามทำไม” “ก็แค่อยากรู้เฉยๆ ว่าพี่ยังไปหาเด็กนั่งดริ๊งก์พวกนั้นอยู่อีกไหม หรือว่ายังพาเด็ก...ในร้านไปเปิดห้องอยู่คะ” อยากรู้ก็ถามตรงๆ เนี่ยแหละ จะได้ไม่ค้างคาใจ เธอเม้มปากแน่นพร้อมรับฟังคำตอบ ไม่รู้นะว่าคำตอบจะไปในทิศทางไหนมากกว่ากัน “...” เขาเงียบไปพักหนึ่ง เสียงขยับกายเบาๆ ดังขึ้น “ไม่ว่างไป” “เอ๋า...งั้นก็แปลว่าพี่ก็ยังจะไปเหมือนเดิมใช่ไหม แค่ตอนนี้ไม่ว่างเท่านั้นเหรอคะ” “ฉันง่วง” “อ๋อ งั้นตาลไม่กวนแล้วค่ะ ไม่กวนแล้วจริงๆ” พูดจบก็หันหลังให้เขาทันที หลอกถามคนอย่างเขาคงไม่สำเร็จง่ายๆ หรอก เขาดูระวังตัวเองดีนะ แต่ทำไมกับเธอเขาถึงได้ปล่อยตัวแบบนี้ล่ะบทที่ 9 ของฝากเล็กๆ น้อยๆ 08:20ต้นตาลปรือตาขึ้นมองไปรอบๆ ทั้งยังงัวเงียตื่นไม่เต็มตา ไม่เห็นแสงตะวันเล็ดลอดผ่านม่านประตูเชื่อมต่อระเบียงเธอจึงฟุบหน้าลงกับอกแกร่งอีก วันนี้รู้สึกเพลียตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเลย อาจจะเพราะนอนดึกและแพ้ท้องอยู่แต่เอ๊ะ?เธอกำลังนอนอยู่บนตัวเขาเหรอ ไม่น่าใช่หรอกมั้ง ชรัณกลับไปนานแล้วเถอะ เขาไม่มานอนให้เธอกอดแนบชิดขนาดนี้หรอก เธอกอดหมอนข้างแล้วมโนว่าเป็นเขาเถอะต้นตาลพอนึกอย่างนั้นก็อยากมั่นใจว่าตัวเองคิดถูกแล้วจึงเปิดเปลือกตาหนักอึ้ง มองหมอนข้างที่ว่านั้น“พี่ชัช!” เธอตกใจกว่าเห็นผีตัวเป็นๆ ก็เห็นชรัณอยู่ใกล้ตัวเนี่ยแหละ “อะ อ้าว...” เป็นเธอที่ข้ามฝั่งมากอดเขาเอง แถมยังเบียดเขามาจนสุดขอบเตียงอีกต่างหาก “ตาลทำให้พี่ชัชตื่นเหรอ”“ก็น่าจะรู้ นอนทับกันทั้งคืนแบบนี้จะนอนหลับสนิทได้ยังไง”“แล้วทำไมไม่ปลุกล่ะคะ ตาลไม่ใช่คนนอนหลับลึกสักหน่อย”“ปลุกแล้ว แต่ไม่ตื่น”หน้างี้แตกร้าวเลยไหมยายตาล“น่าจะปลุกเบาไปนะคะ”“...” ชรัณส่ายหน้าแล้วเลิกคิ้วให้ต้นตาลลุกออกไป พอได้รับอิสระก็ลุกขึ้นมาบิดกายไล่ความเมื่อยล้า แล้วก้าวลงจากเตียงนอน“อ๊ะ!” หญิงสาวหลุดเสียงอุทาน เขาถอดเสื้อผ
บทที่ 10 คำขอที่มาพร้อมข้อตกลงของชรัณ มาเวย์ไหนอีกล่ะพ่อคุณ เธอตามไม่ทันแล้วจริงๆ นะ บางวันเขาเหมือนท้องฟ้าอึมครึม บางวันก็เหมือนท้องฟ้ามีเมฆสีขาวลอยเกลื่อน และบางวันก็เหมือนท้องฟ้าโล่งไร้เมฆ ไร้แรงลม ชนิดที่ว่านิ่งได้อีก นิ่งได้มากกว่านี้อีก...“ตาลขอบคุณนะคะ สร้อยสวยมากเลยค่ะ นี่ถ้าเอาไปขายคงได้หลายตังค์เนอะ” ก็พูดหยอกไหมล่ะ ทำไมต้องหันมามองกันด้วยตาดุๆ แบบนั้น “หยอกค่ะ ใครจะเอาไปขายได้ลงล่ะ เก็บไว้เป็นอนุสรณ์ว่าเคยมีผู้ชายให้ของขวัญด้วย” ผู้ชายที่เป็นพ่อของลูก ความสัมพันธ์เขากับเธอขีดเส้นใต้แค่คำว่าพ่อแม่เท่านั้น ไม่มีความสัมพันธ์ทางใจหรือความรู้สึกใดๆ นอกเหนือจากนี้แน่นอน“แล้วพี่ชัชจะกลับตอนไหนเหรอคะ”“เพิ่งมา จะให้กลับเลยเหรอ”“เปล่านะ ตาลแค่อยากรู้ว่าจะกลับเมื่อไหร่ต่างหาก”“พรุ่งนี้มั้ง”อะไร เขาเป็นอะไรอะช่วงนี้น่ะ ไม่ค่อยลังเลใจเลยนะ“พรุ่งนี้มั้ง ก็แสดงว่าไม่แน่ใจใช่ไหมคะ ว่าจะกลับพรุ่งนี้ดีไหมหรือว่าไม่กลับ”“...” ชรัณถอนหายใจแล้วหันมามองหน้าเธอ “พูดมากน่า”“เงียบก็ได้”ภายในห้องเริ่มมีบรรยากาศมาคุเกิดขึ้น เธอและเขาต่างคนต่างเงียบอยู่คนละมุมของโซฟา แต่ผูกสายตาไว้กับภาพเคล
บทที่ 11 ไม่คาดหวัง = มีหวังวันนัดตรวจอัลตราซาวนด์ผ่านมาหลายสัปดาห์ที่เธออุ้มท้องมา วันนี้เป็นวันที่หมอนัดตรวจเลือดและอัลตราซาวนด์ดูลูกในท้อง ต้นตาลแต่งตัวด้วยมินิเดรสยาวเสมอหัวเข่าสีขาวผูกสายที่ไหล่ ตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงกว่าซึ่งหมอนัดตอนเก้าโมงครึ่ง เธอเผื่อเวลาในการเดินทางไว้ด้วย จะได้ไม่รีบร้อนมากนัก“สู้!” หญิงสาวเปิดประตูออกมาจากห้องพัก แต่กลับสะดุ้งจนก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว “พี่ชัช” คนที่ถูกเรียกชื่อเอียงคอมองเธอเล็กน้อย เอาจริงๆ วันนี้เธอไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะมาหาด้วยซ้ำ เขาหายไปเป็นอาทิตย์เพราะติดธุระในร้านทอง ซึ่งเธอก็รับรู้มาตลอด เพราะเขาเพิ่มเธอเข้าในไลน์ส่วนตัวแล้วคอยส่งข้อความมาถามไถ่กัน บ้างก็ส่งรูปภาพมาให้ดู จึงได้รู้ว่าเขาน่ะงานยุ่งจริงๆ ไม่ได้แอบไปคั่วอีหนูที่ไหนแล้วทำไมวันนี้เขามาโผล่ที่นี่ได้ล่ะ เธอไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะออกไปข้างนอก“เสร็จแล้วเหรอ”“ค่ะ แล้ว...พี่ชัชมาเอาอะไรเหรอ”“มารับเธอไปหาหมอ”“ตาลไม่ได้บอกนี่คะว่าไปหาหมอวันนี้ พี่รู้ได้ยังไง”“ก็ในใบตรวจที่เธอเอาให้ดูครั้งก่อน”อา...ถึงบางอ้อก็ตอนนี้ ที่แท้เขาก็จำวันนัดตรวจได้เพราะเธอเอาแผ่นอัลตราซาวนด์ให้ดูร
บทที่ 12 Woman on top NC สายตาอ่อนโยนที่มองกันแบบนั้นมันแฝงความรู้สึกมาด้วยไหมนะ ยิ่งเขาอยู่ใกล้กันมันยิ่งทำให้เธอถลำลึก ห้ามอะไรก็ห้ามได้ทั้งนั้นแต่ความรู้สึกเธอเนี่ยสิ ใครจะรับผิดชอบกันล่ะ“ให้ตาลไปอยู่ที่อื่นไหมคะ” เหมือนเขาจะตกใจอยู่บ้างกับคำถามเธอ แต่ก็เป็นเพียงเสี้ยววินาทีจริงๆ ที่เห็นชรัณตกใจเขาเงยหน้ามองกัน คล้ายว่าจะถามเธอแต่กลับเงียบไปซะอย่างนั้น“ตาลรู้ว่าตาลอาจจะเป็นภาระให้พี่ชัช ไม่วันนี้ก็วันข้างหน้าน่ะค่ะ อีกอย่างพี่ก็ยังไม่มั่นใจในตัวตาล และเด็กในท้องของตาลว่าเป็นลูกพี่จริงๆ ไหม”“…”“ตาลยินดีไปอยู่ที่อื่นนะคะ”“เก่งนะ”“…”?“เก่งเรื่องคิดไปเอง” ประโยคสั้นๆ ที่เขาเอ่ยออกมานั้นทำเอาหน้าเธอชาไปครึ่งซีกเลยล่ะ“เปล่าคิดเอาเองสักหน่อย ก็ดูสถานะเราสองคนสิคะ” อยู่ด้วยกันในฐานะอะไรก็ยังไม่รู้เลยอะ เธอเหมือนเป็นกาฝากเขามากกว่า แต่กาฝากกิ่งนี้ถูกเลี้ยงดูอย่างดีแน่ะ “พรุ่งนี้เราไปตรวจดีเอ็นเอกันไหม” เธอแค่อยากให้เขามั่นใจในตัวเอง เพราะมีวูบหนึ่งนัยน์ตาเขามีความสับสน แต่ก็เป็นเพียงวูบหนึ่งเท่านั้น ก่อนที่มันจะฉายแววเรียบนิ่ง“รอให้คลอดก่อน”“แต่หมอว่าทำได้แล้วนะคะ”“รีบ?”“ก็อยา
บทที่ 13 จับผิด ช่วงสายของวัน หลังจากตื่นนอนแล้วชรัณก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนชุดออกมาทำงาน วันนี้ผู้จัดการร้านลาพักเขาจึงต้องเข้าร้านเร็วหน่อย“อ้าวไอ้อธิ มึงไปไหนมาแต่เช้า” เขาทักทายอธิราชซึ่งบังเอิญเจอกันที่ร้านขายน้ำ อธิราชเลิกคิ้วถามและหรี่ตาแคบลงมองเพื่อนอย่างจับผิด “อะไร มองกูแบบนั้นทำไม”“มึงเพิ่งออกมาจากในเมือง กูสิควรถามว่ามึงไปไหนมาวะ ทางไปร้านทองมึงอยู่ทางโน้น แล้วมึงมาจากทางนี้”“ธุระ”“ธุระในเมืองบ่อยนะช่วงเนี่ย”“เออ แล้วมึงไปไหนมาล่ะ”“มาหาดูของแหละ เลยแวะซื้อน้ำก่อน”“กินข้าวยัง ไปแดกข้าวกันไหม”“ไปดิ กำลังหาร้านนั่งชิลอยู่พอดี”“แต่กูชิลด้วยไม่ได้ดิ ต้องรีบเข้าร้าน”“เออ”ทั้งสองขับรถไปกินข้าวแกงร้านประจำเพราะจะได้ไม่ต้องรออาหารนาน หลังจากได้ข้าวแล้วชรัณก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปซึ่งมันผิดปกติมาก จากคนไม่ชอบเล่นโทรศัพท์หรือถ่ายรูปของกิน อธิราชหรี่ตามองเขาอีก“มึงชอบถ่ายรูปอาหารตั้งแต่ตอนไหนวะ”“ก็ถ่ายเก็บไว้ดู”“อะไรวะ ร้อยวันพันปีแทบไม่หยิบมือถือมาถ่ายอาหาร แดกก่อนกูตลอดเลย”“มันแปลกตรงไหนล่ะ กูจะเอามือถือขึ้นมาถ่ายรูปไม่ได้เลยงั้นเหรอ”“ก็เปล่า กูแค่ไม่เคยเห็นไงเลยถาม”“
บทที่ 14 เอ็นดูหลายนาทีต่อมาเจ้าของรอยยิ้มหวานโคลงศีรษะไปมาเบาๆ อย่างอารมณ์ดี นี่ต้องขอบคุณที่ไฟดับเลยนะ เพราะถ้าไฟไม่ดับเธอคงไม่ได้ออกมานั่งเล่นที่คาเฟแบบนี้ แถมวันนี้ชรัณยังตามใจอีก“ถามอะไรหน่อย”“คะ?”“ไม่มีพี่น้องหรือญาติที่ไหนเลยเหรอ”“มีน่ะมีค่ะ แต่เขาคงไม่นับญาติกับตาลหรอก พวกญาติๆ ฝั่งแม่ก็ไม่ส่งข่าว ส่วนญาติฝั่งพ่อเขาก็...ไม่อยากนับญาติกับคนจนๆ หรอก”“อือ”“ถามทำไมเหรอคะ” แววตาเขาดูเรียบเรื่อยไม่แสดงความสงสัยใดๆ คล้ายว่าถามไปอย่างนั้นแบบไม่ใส่ใจอะไรมาก “อยากให้ตาลไปอยู่กับญาติเหรอ”“ไหนบอกไม่มีใครอยากนับญาติไง”“ก็ถามเป็นพิธีไหมคะ พี่จะย้ำทำไมเนี่ย”“ก็เราพูดเอง”“ก็จริงนั่นแหละ แล้วพี่ชัชถามทำไมเหรอ”“แค่อยากรู้เฉยๆ”“อ๋อ...ไม่มีญาติที่ไหนหรอกค่ะ หัวเดียวกระเทียมลีบมานานแล้ว” เอาจริงๆ เธอแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าญาติหน้าตาเป็นยังไงกัน แค่จำหน้าพ่อกับแม่ได้ก็ถือว่าบุญมากแล้ว แต่ภาพในความทรงจำมันก็ค่อยๆ จางหายไปเหมือนกันนะ แม้จะอยากจำมากแค่ไหนก็ตาม ความอบอุ่นที่เคยได้รับก็เริ่มจางหายไปแล้วเหมือนกัน ทุกวันนี้เธอเลยกอดตัวเอง ให้ความอบอุ่นกับตัวเองทดแทนสิ่งที่เว้าแหว่งไปในชีวิต ทั้ง
บทที่ 15 ข่าวลือคือเรื่องจริง หลายอาทิตย์ต่อมาชรัณลุกออกมาจากเก้าอี้โยกแล้วเดินไปหาแม่หน้าร้าน วันนี้เขาว่างช่วงบ่ายก็เลยมาฝากท้องกับที่บ้าน พอกินอิ่มหนังตามันหย่อนเลยขอพักงีบสักสองชั่วโมงแล้วค่อยจะกลับไปที่ร้านสาขาใหม่“มาก็ดีแล้ว มานั่งตรงนี้เลย” ถูกแม่จับไหล่หิ้วไปนั่งแหมะลงบนเก้าอี้ เดาจากสีหน้าแม่ก็พอรู้ว่าจะถูกซักไซ้แน่นอน ไปรู้อะไรมาอีกล่ะเนี่ย“อะไรครับเนี่ย”“บอกแม่มาเดี๋ยวนี้ เราไปเดินห้างกับใครมา”“เดินห้าง?”“ใช่”“เดินตอนไหน ผมก็ไปมาอยู่แค่บ้านกับร้านทองเนี่ย จะให้เอาเวลาไหนไปเดิน”“ก็แม่แก้วมาบอกว่าเห็นเราอยู่ห้างกับสาว”“แม่แก้ว?”“อืม”“ตอนไหน” เขาพอจะรู้แล้วละ น่าจะเป็นครั้งที่พาต้นตาลไปเดินซื้อของที่ห้างนั่นแหละมั้ง แต่ไม่รู้ว่าแม่แก้วเห็นเขากับเธอตอนไหนเนี่ยสิ แต่มันผ่านมาหลายอาทิตย์แล้วทำไมเพิ่งเอามาถาม“ก็หลายอาทิตย์แล้ว”“ตาฝาดเองหรือเปล่าครับ คนหน้าตาคล้ายคลึงกันไปหมด”“ไม่แน่ใจ”“นั่นไงล่ะ ถ้าแม่แก้วเห็นแล้วทำไมไม่เข้ามาทักผมล่ะ”“ก็นั่นสิ แม่แก้วน่าจะถ่ายรูปมาให้ดูด้วย จะได้มีหลักฐาน”“ก็เกินไปนะ แล้วมันไม่ดีเหรอที่ผมควงสาวไปเดินห้าง แม่อยากให้มีแฟนเองนี่”“
บทที่ 16 ตั้งใจ สีหน้าชรัณบ่งบอกถึงความรำคาญขั้นสุด ก่อนที่เขาจะผลุนผลันลุกขึ้นไปตีปากรุ่นน้องแต่ไม่ได้ลงแรงมาก“หยุดแหกปาก ถ้ามึงไม่หยุดกูเตะ”“...” รุ่นน้องเขารีบเอามือปิดปากตัวเองพร้อมกับพยักหน้าหงึกหงักบอกว่าจะปิดปากตามที่พี่สั่ง ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้อยู่นิ่ง เดินเข้าไปดูหน้าต้นตาลให้ชัดๆ พลางอ้าปากค้างทำหน้าอึ้งงันสุดๆ“โอเคยัง” น้ำเสียงและแววตาเขาดูอ่อนโยนกว่าตอนที่หันไปเอ็ดรุ่นน้องซะอีก แถมยังวางมือลงบนท้องเธอลูบไปมาเบาๆ อยู่นาน“โอเคแล้วค่ะ”“งั้นกลับเลยไหม”“ก็ได้ค่ะ ตาลรู้สึกอยากพักเหมือนกัน”“ได้ งั้นกลับตอนนี้เลย” เขาพยักหน้าให้ผู้จัดการร้านแล้วเดินอ้อมไปหยิบมือถือกับกุญแจรถ จากนั้นก็พาต้นตาลไปขึ้นรถที่หน้าร้าน“เดี๋ยวดิพี่ เอาแบบนี้จริงดิ”“อะไรของมึง หลบไปกูจะกลับคอนโด”“พี่ชัช นี่พี่ไม่ปฏิเสธอะไรหน่อยเหรอ แล้วนั่นเมียพี่จริงเหรอครับ”“เอาไว้จะเล่าให้ฟัง”“อา...” อั้มพยักหน้าเออออตามรุ่นพี่ หากเขาพร้อมจะบอกเรื่องความสัมพันธ์ก็คงบอกไปนานแล้ว “เชี่ย...งานเผาขนมาก”“เป็นยังไง” พอขับรถออกมาได้พักใหญ่ๆ ชรัณก็เอ่ยถามคนที่นอนดมยาดมอยู่เบาะข้างๆ ต้นตาลพยักหน้าหงึกหงักแต่ไม่ได