บทที่ 9 ของฝากเล็กๆ น้อยๆ
08:20 ต้นตาลปรือตาขึ้นมองไปรอบๆ ทั้งยังงัวเงียตื่นไม่เต็มตา ไม่เห็นแสงตะวันเล็ดลอดผ่านม่านประตูเชื่อมต่อระเบียงเธอจึงฟุบหน้าลงกับอกแกร่งอีก วันนี้รู้สึกเพลียตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเลย อาจจะเพราะนอนดึกและแพ้ท้องอยู่ แต่เอ๊ะ? เธอกำลังนอนอยู่บนตัวเขาเหรอ ไม่น่าใช่หรอกมั้ง ชรัณกลับไปนานแล้วเถอะ เขาไม่มานอนให้เธอกอดแนบชิดขนาดนี้หรอก เธอกอดหมอนข้างแล้วมโนว่าเป็นเขาเถอะต้นตาล พอนึกอย่างนั้นก็อยากมั่นใจว่าตัวเองคิดถูกแล้วจึงเปิดเปลือกตาหนักอึ้ง มองหมอนข้างที่ว่านั้น “พี่ชัช!” เธอตกใจกว่าเห็นผีตัวเป็นๆ ก็เห็นชรัณอยู่ใกล้ตัวเนี่ยแหละ “อะ อ้าว...” เป็นเธอที่ข้ามฝั่งมากอดเขาเอง แถมยังเบียดเขามาจนสุดขอบเตียงอีกต่างหาก “ตาลทำให้พี่ชัชตื่นเหรอ” “ก็น่าจะรู้ นอนทับกันทั้งคืนแบบนี้จะนอนหลับสนิทได้ยังไง” “แล้วทำไมไม่ปลุกล่ะคะ ตาลไม่ใช่คนนอนหลับลึกสักหน่อย” “ปลุกแล้ว แต่ไม่ตื่น” หน้างี้แตกร้าวเลยไหมยายตาล “น่าจะปลุกเบาไปนะคะ” “...” ชรัณส่ายหน้าแล้วเลิกคิ้วให้ต้นตาลลุกออกไป พอได้รับอิสระก็ลุกขึ้นมาบิดกายไล่ความเมื่อยล้า แล้วก้าวลงจากเตียงนอน “อ๊ะ!” หญิงสาวหลุดเสียงอุทาน เขาถอดเสื้อผ้าต่อหน้าเธออีกแล้ว ไม่อายบ้างหรือไงเนี่ย “ทำไมไม่ไปถอดในห้องน้ำล่ะคะ” “ทำไม” “ก็พี่ไม่อายตาลเหรอ” “ต้องอายด้วยเหรอ เห็นมาหมดแล้วนี่” ดู ดูคำตอบเขาสิ หน้ามึนมาก มึนแบบหน้านิ่งๆ ด้วยอะ “แต่ตาลก็ยังไม่ชินอยู่ดี” เคยมีซัมธิงกันมาก็จริง แต่มันผ่านมานานเป็นเดือนแล้วนี่นา เขาไม่อายแต่เธออาย “พี่ชัชเข้าไปถอดเสื้อผ้าในห้องน้ำสิ ไม่ต้องถอดต่อหน้ากันแบบนี้ เอ๊ะหรือว่าอยากอ่อยกัน” เธอพูดโดยไม่หันไปมองเขา พอเงยหน้ามองไปยังจุดที่ชรัณยืนอยู่ก็เห็นว่าเขาเท้าเอวฟังเธอด้วยสีหน้าเรียบเรื่อย ไม่แสดงอากัปกิริยาใดๆ นอกจากนิ่ง นิ่งทั้งหน้าทั้งท่าทาง “เยอะ” นั่นแหละ เขาพูดคำนั้นออกมาแล้วก็หันหลังเดินเข้าไปในห้องน้ำ ปิดประตูล็อกกลอนด้วยมั้งน่ะ “เฮ้อ” ทีนี้ตาเธอลงจากเตียงบ้าง ต้นตาลจัดแจงหมอนและผ้านวมให้อยู่ในสภาพเดิม จากนั้นก็เดินไปเปิดผ้าม่านรับแสงของวันใหม่สักหน่อย “โอ...แดดช่วงเช้าจริงเหรอเนี่ย” ถึงกับหดคอหนีแสงแดด ข้างนอกยังมีหมอกฝุ่นPMอยู่เลย ออกไปไหนมาไหนคงต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดแล้วแหละ ต้นตาลออกมาจากห้องนอน คาดว่าชรัณก็คงอาบน้ำเสร็จเร็วๆ นี้ “ทำอะไรให้เขากินดีนะ” เธอยืนมองไข่ไก่สดกับขนมปัง ซึ่งถ้าไม่กินเร็วๆ นี้คงต้องทิ้งแน่เลย “ไข่ดาวกับขนมปังอบแล้วกัน” เธอลงมือทำสองอย่างพร้อมกัน และหน้าตาของอาหารเช้าก็ออกมาดีกว่าที่คิด ชรัณเดินออกมาจากห้องนอนพร้อมกับผ้าขนหนูพันรอบเอวสอบ มือหนาจับผ้าขนหนูผืนเล็กขยี้ผมเบาๆ ชะโงกหน้าดูจานอาหารแล้วมองหน้าต้นตาล “ตาลทำไข่ดาวกับขนมปังอบให้ ตอนนี้ยังร้อนอยู่ กินตอนร้อนๆ สิคะ” สายตาเขามองไปที่จานอาหารเช้าอีกครั้ง ชรัณครางอืมในคอเสียงเบามาก เบาจนต้นตาลไม่แน่ใจว่าเขาตอบ 'อืม' หรือตอบ 'หึ' แต่เห็นชรัณเลื่อนเก้าอี้แล้วนั่งลงก็ค่อยเบาใจ “เอาซอสพริกหรือซอสมะเขือเทศดีคะ” “ไม่” เขาตักไข่ดาวแบบไม่สุกมากเข้าปากคำเดียวหมดเลย ตามด้วยขนมปังอบปาดไข่แดงติดบนจานขึ้นมาใส่ปาก เคี้ยวจนสันกรามขึ้นเด่นชัด “ลืมชงกาแฟให้เลยค่ะ อยากได้กาแฟไหมคะ” “ไม่” เฮ้อ... เธอถอดใจเรื่องจะอยากเอาใจเขาแล้วล่ะ “กินเสร็จก็จะไปเลยเหรอคะ” “อืม” “ตาลเอาเสื้อผ้าซักให้นะคะ” “...” เขาไม่ตอบอะไรกลับมาเลย กินหมดแล้วก็ลุกขึ้นหันหลังเดินเข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง เกือบยี่สิบนาที ชรัณก็เดินออกมาพร้อมชุดใหม่และผมเซตเป็นทรงมาอย่างดี “ฉันมีธุระทั้งอาทิตย์ ไม่ต้องทำกับข้าวเผื่อ” “ค่ะ” แค่นี้เหรอที่จะบอก บอกอีกหน่อยก็ไม่ได้ว่าจะไปไหนหรือทำอะไร “เดี๋ยวค่ะ” “ว่าไง” “ธุระส่วนตัวเหรอคะ” “เพิ่งเปิดร้านทองสาขาใหม่ ต้องไปยืนเฝ้าร้านแล้วสอนงานเด็กในร้านก่อน” “อ๋อ” อุ๊ย! ที่แท้เขาก็เป็นเจ้าของร้านทอง ถึงว่าพี่เปรี้ยวบอกเขากระเป๋าหนัก ยกให้เป็นลูกค้าวีวีไอพีของคลับ “ถ้าจะไม่ทำข้าวกินเองก็สั่งแอปมากินเอา อย่าทำครัวห้องฉันพังก็พอ” “ก็ไม่ขนาดนั้นไหมคะ” พูดซะเธอดูแย่ ถึงจะไม่ถนัดทำกับข้าว เธอก็ไม่ได้ตะบี้ตะบันทำซะหน่อย ต้นตาลมองชรัณซึ่งเขากำลังยืนใส่นาฬิกาข้อมืออยู่หน้าโซฟา เสร็จแล้วก็ก้มลงหยิบกุญแจรถ “จะไปแล้วเหรอคะ” “อืม” “ขับรถดีๆ นะคะ” “อืม” เขาพยักหน้ารับ เงยหน้าขึ้นมองเธออยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ออกไปเลย “อะไรของเขา เหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่ยอมพูด เดินออกไปหน้าตาเฉยแบบนี้อีกแล้ว” ใบหน้าสวยบูดบึ้ง เธอเอาจานไปเก็บในครัวและจัดการล้างทำความสะอาดเสร็จสรรพ ให้ครัวอยู่ในสภาพเดิมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ซักผ้าให้พี่ชัชดีกว่า” มีเสื้อผ้าสองชุดอยู่ในตะกร้าหวายในห้องน้ำ และอีกตะกร้าเป็นเสื้อผ้าของเธอเอง อีกตั้งหลายวันกว่าเขาจะแวะมาที่นี่อีก ต้นตาลนำเสื้อผ้าของตัวเองออกมาแยกแล้วเอาไปซักพร้อมกับของชรัณ “ไม่รู้จะได้ทำแบบนี้ให้เขานานแค่ไหน” เธอจัดการแขวนเสื้อชรัณไว้ในตู้เสื้อผ้าหลังจากซักและอบแห้งเสร็จแล้ว “เฮ้อ...” ร่างเล็กเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น แต่สายตากลับมองเห็นคีย์การ์ดอีกใบหนึ่งหล่นอยู่บนพื้นห้อง “อ้าว! เขาทำหล่นเหรอ” ต้นตาลรีบโทร.ไปหาชรัณและเอ่ยถามเขาถึงเรื่องคีย์การ์ดห้องที่หล่นอยู่บนพื้น และได้ความมาว่าเขาน่าจะทำหล่นตอนที่เดินออกมาจากห้อง ซึ่งคีย์การ์ดมีสองใบ เขาให้เธอไว้หนึ่งใบและเขาเอาติดตัวหนึ่งใบ แต่ตอนนี้ทั้งสองใบอยู่ที่เธอแล้ว “แล้วพี่ชัชจะกลับมาเอาไหมคะ” (ไม่ เอาไว้กับเธอนั่นแหละ) “แล้วจะเข้าห้องยังไงล่ะคะ เผื่อตาลไม่อยู่ห้องไง” (จะไปไหน) เขาควรโฟกัสเรื่องเปิดห้องไม่ได้ก่อนไหม แล้วจะมาทำเสียงเข้มใส่เธอทำไมล่ะ “ก็เผื่อตาลออกไปซื้อของ ไม่ก็ออกไปหาของกินไงคะ” (ฉันมีวิธีแล้วกัน) “อ๋อค่ะ” ก็นึกว่าเป็นห่วงซะอีก ถามมาซะขนาดนั้น จะตอบให้ชื่นใจหน่อยก็ไม่ได้ คนหน้านิ่ง “งั้นตาลวางสายนะคะ จะไปอาบน้ำแล้ว” (อืม) ชรัณเป็นฝ่ายวางสายไปก่อน “ว่าแต่ร้านทองเขาชื่ออะไรนะ” รถBMWสีขาวมุกจอดเทียบฟุตพาทหน้าร้านทองสาขาใหม่ หลังจากเปิดร้านเอาฤกษ์เอาชัยอย่างเป็นทางการไปแล้ว เด็กในร้านยังไม่คล่องมือเขาจึงต้องมายืนเฝ้าร้านแทนแม่ไปก่อน แม้จะมีพี่ที่ร้านใหญ่มาคอยสอนพนักงานใหม่ในบางวันก็ตาม “วันนี้ของเข้าไหม” ชรัณเลื่อนเก้าอี้ทำงานหลังเคาน์เตอร์กระจกออกมานั่ง และถามพนักงานใหม่ถึงของที่จะเข้าวันนี้ตอนเช้า “ของมาแล้วค่ะคุณชัช” “ผมขอดูหน่อย” พนักงานสาวเอากล่องกระดาษสีขาวมาวางบนเคาน์เตอร์ห้ากล่อง ข้างในมีแหวนทองและสร้อยคอ รวมไปถึงกำไลแขนและสร้อยข้อมือของเด็กและผู้ใหญ่ด้วย “มีลายน่ารักเยอะเลยค่ะ” “อืม” ชรัณเอาทองออกมาเรียงในถาดกำมะหยี่ แยกลายที่เหมือนกันออกเป็นกองๆ และแยกจำพวกที่เหมือนกันออกไว้เป็นสัดส่วน แต่เขาสะดุดตากับสร้อยทองเส้นเล็กมีจี้หัวใจน่ารัก “ลายนี้มีมาสองเส้นเองเหรอ” “คะ?” พนักงานช่วยกันหา “น่าจะมีแค่สองเส้นนะคะคุณชัช” “อืม” เขาหยิบมันแยกออกมาวางไว้บนถาดกำมะหยี่อันใหม่ แล้วตรวจเช็กทองที่เหลือจนเสร็จ ก่อนจะให้ลูกน้องเอาไปขึ้นตู้โชว์และแยกเป็นช่องๆ ของน้ำหนักทองคำ “แล้วเส้นนั้นล่ะคะ” “ผมจะซื้อ” เขาเอาทองเส้นนั้นใส่ถุงกำมะหยี่พร้อมกับหยิบเงินออกมาให้พนักงานสาว “ซื้อให้แฟนเหรอคะ” “...” ชรัณไม่ได้ตอบคำถามนั้น เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวเขา เธอเป็นพนักงานใหม่คงยังไม่รู้ว่าห้ามถามเรื่องส่วนตัวเจ้านาย คนที่สาขาใหญ่จะรู้กันดีว่าอะไรควรถาม อะไรไม่ควรถาม เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เรียกความสนใจจากชรัณให้หันไปมอง เขายื่นมือไปหยิบมาเลื่อนจอรับสายของอธิราช “ว่าไง” (มึงอยู่ร้านปะ) “อยู่ร้านใหม่ ทำไมเหรอ” (กูอยู่ในเมืองไง พาน้าสมจิตรมาดูเครื่องพ่นไอน้ำ) “เออ แวะมาหากูดิ” (เออ ออกไปหาข้าวกินกัน) “อืม รีบมาเลย” ประมาณยี่สิบนาทีอธิราชกับน้าสมจิตรก็มาถึงร้าน ทั้งสองเดินเข้ามาดูร้านทองใหม่และอุดหนุนทองเขาคนละหนึ่งบาท “ร้านกว้างใหญ่ดีจริง ลูกค้าท่าจะเยอะนะ” “ก็เรื่อยๆ มีลูกค้าเก่าบ้านใกล้ ลูกค้าใหม่ก็มีบ้าง” “เออ กูว่ารีบไปหาอะไรกินดีกว่า หิว” “อืม” ชรัณเอี้ยวตัวไปหยิบมือถือกับซองกำมะหยี่ที่เขาวางไว้ข้างกับมือถือมาใส่กระเป๋ากางเกง คนหูตาไวอย่างอธิราชไม่ปล่อยผ่านแน่นอน “นั่นถุงทอง มึงซื้อไปให้ใคร” “ทอง?” เขาทำไขสือ ไม่ได้โฟกัสทองในกระเป๋ากางเกงเลย ปล่อยให้อธิราชสงสัยไปอย่างนั้นแหละ แล้วเบนความสนใจไปที่น้าสมจิตรที่เดินนำอธิราชไปจนถึงรถแล้ว “มึงรีบไปเลย น้าสมจิตรยืนตากแดดรอแล้ว” “เออลืม” ก็ยังได้ผลกับอธิราช พอเจอจุดโฟกัสใหม่เขาก็ลืมเรื่องนี้ สามหนุ่มมานั่งชิลที่ร้านอาหารชานเมืองร้านประจำของชรัณกับอธิราช เป็นพวกอาหารป่าและอาหารพื้นบ้าน ซึ่งเปิดมานานกว่าห้าสิบปีแล้ว “สั่งเลยๆ หิวมาก” “กูเอาต้มแซ่บเนื้อ แล้วก็เอาลาบควาย” “วันนี้อยากกินลาบเหรอ” “อืม นึกอยากกินมาหลายวัน พอดีที่วันนี้มึงมาหากูพอดี” “เออ งั้นเอามาสองเลย” ทุกคนช่วยกันสั่งกับข้าว และจะขาดเครื่องดื่มเย็นๆ ไปไม่ได้ พออาหารทยอยมาเสิร์ฟ ทุกคนก็ไม่รีรอที่จะลงมือกินด้วยความหิว “เบียร์เย็นๆ กับต้มขมมันเหมาะขนาดเจ้า” น้าสมจิตรอู้คำเหนืออย่างคล่องปาก ทั้งที่เขาไม่ใช่คนเชียงใหม่แต่กำเนิด “วันนี้ผมเลี้ยงเองน้า จัดเลย” ชรัณเอ่ยพร้อมกับรินเบียร์ใส่แก้วให้น้าสมจิตรด้วย “เออ ว่าแต่ช่วงนี้มึงอยู่ที่ร้านตลอดเหรอวะ” “อืม ทำไมเหรอ” “เปล่าๆ แค่ถามดูน่ะ” ชรัณพยักหน้าหงึกหงัก แล้วลงมือกินข้าวจนอิ่ม จากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันกลับ เพราะเอารถมาคนละคันกัน ส่วนชรัณกลับไปยังสาขาใหญ่เพื่อเอาเงินไปเข้าบัญชีและไปเยี่ยมแม่กับพ่อด้วย “มาแล้วเหรอ” “ครับ ทำไมวันนี้แต่งตัวสวยจัง นี่จะไปเที่ยวไหนหรือเปล่า” “ก็ว่าจะไปแหละ แต่โดนเพื่อนเทก่อน แม่เซ็งเลยเนี่ย” “เดี๋ยวนี้รู้จักศัพท์วัยรุ่นนะครับ” เขาวางถุงขนมตาลที่แวะซื้อมาฝากแม่ลงบนเคาน์เตอร์ “เอาไปแบ่งกันกินนะครับ” อีกสองถุงเขาเลื่อนไปให้ลูกน้อง “แล้วนี่จะเข้าเมืองอีกไหมเนี่ย” “ไม่ครับ วันนี้ผมว่าจะมานอนที่นี่น่ะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับไปที่ร้าน” “อ๋อ งั้นเย็นนี้แม่ทำกับข้าวให้กิน อยากกินอะไรลูก” “ตอนนี้ยังอิ่มอยู่เลย นึกไม่ออกจริงๆ ว่าอยากกินอะไรพิเศษไหม แต่แม่ทำอะไรก็อร่อยหมดนั่นแหละ” “ปากหวานจริงๆ งั้นทำหัวปลาต้มเผือกหนึ่งหม้อ แล้วก็ผัดเปรี้ยวหวานหนึ่งจาน ยำไก่อีกสักหนึ่งจาน แล้วก็...ผัดมะระแล้วกันนะลูก” “ครับ” ที่กล่าวมาเป็นของโปรดเขากับพ่อหมดเลย ยิ่งหัวปลาต้มเผือกนะ แม่ทำอร่อยเทียบภัตตาคารเลย ทำเป็นหม้อก็หมดเป็นหม้อ “แล้วจะทำซาลาเปาไหมครับ” “อยากกินเหรอ จะว่าไปแม่ได้ทำนานแล้วนะเนี่ย” “นานจริง หลายเดือนแล้วมั้ง” “เดี๋ยวแม่ซื้อวัตถุดิบมาทำให้กิน แต่คงเป็นพรุ่งนี้นะลูก” “ขอบคุณครับ” “แล้วยังไงเราน่ะ กับร้องหลิวไปถึงไหนแล้ว” สุดท้ายก็วกกลับมาเรื่องนี้จนได้ “น้องน่ารักไหม” “น่ารักสมวัยนั่นแหละ แต่คงไม่ใช่สำหรับผมครับ” “อ้าว ไหงเป็นแบบนี้ล่ะชัช” “ผมบอกแม่ไปหลายหนแล้วนะ ไม่ต้องยัดเยียดใครเข้ามาในชีวิตผมหรอก ผมดูแลตัวเองได้ดีมากและ...ถ้าจะมีใครผมขอเลือกคนคนนั้นเอง” “ก็เป็นแบบเนี่ย แม่อยากอุ้มหลานแล้วนะ แก่จนหัวหงอกย้อมผมดำทับหงอกไปหลายรอบแล้วเนี่ย” “อยากอุ้มหลานจริงๆ เหรอ” “ก็จริงสิลูก” “ครับ” เขาตัดบทสนทนากับแม่แล้วเดินเข้าไปหลังร้าน พ่อกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเปลไม้หวายมรดกตกทอดมาจากอากง พอเห็นเขาเดินเข้ามาหาพ่อก็รีบวางหนังสือลง “อ้าวอาชัช มาตอนไหนลูก” “เพิ่งมาถึงไม่นานนี้ครับ” “นั่งๆ ดื่มชากับพ่อก่อน” “ผมเพิ่งกินข้าวมาน่ะสิ แล้วนี่พ่อเป็นไร มานอนอ่านหนังสืออยู่นี่คนเดียว” “เหนื่อยๆ เลยอยากพัก แม่แกก็เลยไล่ให้มานอนอยู่นี่แหละ” “อ๋อ” “แล้วร้านใหม่เป็นไงบ้าง พ่อไม่ได้ไปดูอีกเลย ก็ตั้งแต่เปิดร้านใหม่นั่นแหละ” “ก็ดีพ่อ เรื่อยๆ อะ” “อืมๆ” “เออพ่อ” “ว่าไง” “พ่ออยากเลี้ยงหลานไหม” “อยากสิ แล้วถามทำไมล่ะ แปลกไปนะเนี่ย” “แค่อยากรู้ไง ว่าความอยากของพ่อจะเท่าแม่ไหม แม่ก็อยากเลี้ยงหลานมาก ถึงได้นัดสาวให้ผมไม่ว่างเว้นแบบนี้” “แล้วแกคิดยังไงล่ะ” “ไม่อยากได้ใคร ถ้าผมอยากมีผมเลือกเองได้” “เฮ้อ...พ่อพูดกับแม่แกหลายครั้งแล้วเหมือนกันนะ แต่แม่แกไม่ยอม อยากหาเมียดีๆ ให้แก” “แล้วจำเป็นต้องเป็นลูกคนมีตังค์เหรอพ่อ คนธรรมดาก็ไม่ได้เหรอ” “พ่อเข้าใจแกนะชัช” “แต่แม่คงไม่เห็นด้วย” ก็ประกาศกร้าวแล้วนี่ว่าอยากได้สะใภ้บ้านรวย มีหน้ามีตาในสังคม แต่ท่านไม่เคยถามว่าเขาต้องการแบบนั้นไหม ผู้หญิงที่แม่นัดให้มีแต่ลูกคุณหนูบ้านรวยทั้งนั้น แต่เขาไม่ได้ต้องการไง และไม่พร้อมจะมีใครด้วย “พ่อ” “ว่าไงลูก” “ถ้าผม...มีหลานให้พ่ออุ้ม จะเอาปะ” “หึหึ แล้วแกจะไปเอาหลานมาจากไหนวะ เมียก็ไม่มี” “หึหึ” ทั้งสองหัวเราะอย่างขบขัน วันต่อมา ชรัณเดินลงมาชั้นล่างในตอนสายของวันหลังจากเตรียมตัวออกไปร้านทองสาขาใหม่ เขาหยุดอยู่กลางห้องโถงเพราะเห็นแม่กำลังง่วนอยู่กับการทำซาลาเปา กลิ่นหอมลอยมาแตะจมูกเขา “ทำเยอะไหม” “เยอะมาก เอาไปฝากองศาด้วยสิลูก” “อ๋อ แล้วนี่พ่ออยู่ไหนเหรอครับ” “หน้าร้าน แม่ว่าทำซาลาเปาให้เราเสร็จค่อยไปเฝ้าหน้าร้านแล้วให้พ่อแกมาพัก” “อ๋อ” ชรัณนั่งลงบนเก้าอี้แล้วมองแม่ห่อไส้หมูสับไข่แดงเค็มใบใหญ่ “นี่ถ้าทำขายน่าจะได้ขายดีนะครับ สูตรของอาม่าอร่อยกว่าบางร้านในเมืองอีก ไม่หวงไส้แถมยังลูกใหญ่มาก” “อาม่าแกเคยบอกไว้นะ ว่าเอาไปสร้างอาชีพได้เลย” “นั่นสิ” “เอาไว้ทุกอย่างลงตัวก่อน” “แล้วเมื่อไหร่ล่ะครับ” “ก็รอแกมีครอบครัวนั่นแหละ” ชรัณลอบยิ้มบางๆ ทำไมซื้อหวยไม่เคยถูกแบบนี้บ้างนะ “แล้วผมต้องรอนานไหม กว่าซาลาเปาจะสุกน่ะ” “ก็แป๊บหนึ่ง” “งั้นผมไปรอหน้าร้านนะ ช่วยพ่อดูลูกค้าด้วย” “อืมๆ” ชรัณลุกขึ้นมา แต่ก่อนจะหันหลังเขาก็หยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปแม่กำลังทำซาลาเปาแล้วส่งเข้าในแชตอธิราช บอกเพื่อนให้รอกินซาลาเปาฝีมือแม่เขาเลย ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงทุกอย่างก็เสร็จสรรพ ชรัณได้ซาลาเปากลับไปกินที่ร้านใหม่กล่องใหญ่ ซึ่งเขาไม่มีเวลาเข้าไปหาอธิราชที่ไร่จึงเรียกรถผ่านแอปให้เอาของไปส่งให้แทน ส่วนเขาก็มาเฝ้าร้านจนถึงเย็น ปิดร้านแล้วก็ขับรถเข้าในเมือง ติ๊งหน่อง~ เสียงออดหน้าห้องดังขึ้น ต้นตาลหยุดชะงักเท้าแล้วเดินออกมาส่องดูประตู เธอยืนรออยู่ครู่หนึ่งทว่าเสียงกดรหัสห้องกลับดังขึ้นแล้วประตูก็ถูกเปิดเข้ามาโดยชรัณ “พะ พี่ชัช” หญิงสาวยืนตัวแข็งทื่อ เธอเพิ่งออกมาจากห้องน้ำน่ะสิ ยังนุ้งผ้าเช็ดตัวอยู่เลย ดูเหมือนคนที่เพิ่งเข้ามาก็ตกใจไม่แพ้กัน แต่ทำไมเขากลับมาเร็วขนาดนี้ล่ะ ไหนบอกจะไปนานเป็นอาทิตย์ไง “ตาลไปใส่เสื้อผ้าก่อนนะคะ” เธอหันหลังเดินเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องนอน เปลี่ยนเสร็จแล้วก็ออกมาหาชรัณ “กินอะไรยัง” “ยังค่ะ” “เอานี่ไปอุ่นกิน” เขายื่นกล่องซาลาเปาให้ต้นตาล เธอก็รับกล่องมาแบบงงๆ แล้วทำตามที่เขาสั่งอย่างว่าง่าย กลิ่นหอมกรุ่นชวนหิวจนท้องร้องเสียงดัง “ซาลาเปาซื้อมาจากไหนเหรอคะ น่ากินมากเลย” “แม่ฉันทำ” “ว้าว” เธอก้มมองซาลาเปาหมูสับลูกใหญ่ในจานที่เพิ่งอุ่นเสร็จใหม่ “น่ากินมาก หอมมากด้วย” “ลองชิมดู” เขาเชิดหน้าไปที่จานซาลาเปา ต้นตาลไม่รีรอที่จะหยิบซาลาเปาลูกใหญ่ขึ้นมาแบ่งแล้วกัดคำโต เธอหลับตาพริ้มพร้อมกับโคลงศีรษะไปมาเบาๆ อย่างเอร็ดอร่อย “อร่อยมากค่ะ ทำขายได้เลยนะเนี่ย” “อืม” “กินไหมคะ” “ไม่เอาล่ะ ฉันกินมาแล้ว” พูดจบเขาก็ลุกขึ้นไปเปลี่ยนชุดเป็นชุดลำลองสบายๆ แล้วกลับมานั่งบนโซฟาตัวเดียวกับต้นตาล “ทำไมกลับมาเร็วเหรอคะ ไหนบอกไม่ว่างหลายวัน หรือว่าแวะเอาซาลาเปามาให้ตาล” ไม่จริงหรอกมั้ง เขายอมทิ้งเวลางานสำคัญเพื่อเอาของกินที่บ้านตัวเองมาให้เธอเนี่ยนะ “แค่กๆ” แค่คิดเข้าข้างตัวเอง ใบหน้าก็เห่อร้อนแล้วยายตาล “ค่อยๆ กิน” เขาเลื่อนขวดน้ำไปตรงหน้าหญิงสาว “ตั้งใจเอามาให้ตาลเหรอ” “ทางผ่าน” “ทางผ่าน? ผ่านไปไหนเหรอคะ” “ผ่านไปทำธุระข้างหน้าพรุ่งนี้” “อ๋อ” นั่นสินะ เขาอาจจะผ่านมาทางนี้ก็เลยแวะมาหาเธอ ก็แค่ทางผ่าน... “แสดงว่าวันนี้พี่ชัชก็จะค้างคืนกับตาลเหรอ” “อืม คิดว่านะ” อะไรอีกล่ะเนี่ย ยังจะลังเลอีกเหรอว่าจะค้างหรือไม่ค้าง เขามันเดาใจยากจริงๆ เธอเผลอขมวดคิ้วใส่เขา และกัดซาลาเปาคำใหญ่ เคี้ยวจนแก้มป่อง “หิวขนาดนั้น?” “ปะ เปล่าสักหน่อย” “ก็เห็นกินเอากินเอา” คราวนี้เขายกเท้าขึ้นไปพาดกับโซฟาตัวเล็ก ทิ้งหลังลงกับพนักพิงอย่างผ่อนคลายร่างกาย เอามือผสานกันไว้ที่ท้ายทอย ผูกสายตากับภาพเคลื่อนไหวบนจอทีวี ซึ่งต้นตาลเปิดคลิปการเลี้ยงเด็กแรกเกิดไว้ก่อนหน้าเขาจะมาที่นี่แล้ว “ตาลเปลี่ยนช่องนะคะ” “ดูก่อน” เขาเอ่ยปากบอกเสียงเบา แล้วนอนดูเงียบๆ เวลาผ่านไปนานเหมือนกัน ซาลาเปาที่เคยร้อนก็เริ่มเย็น ต้นตาลกินคนเดียวหมดไปสามลูกจนท้องตึง เธอได้โอกาสนั่งพับเพียบแล้วเอนตัวไปซบที่พักแขนดูทีวีกับเขาไปด้วย เหมือนเวลาหยุดเดินแค่นี้เลย “ฉันลืมเอาของออกจากกระเป๋ากางเกง ไปหยิบให้หน่อย” “คะ?” “ในกระเป๋ากางเกง” “ค่ะ” เธอก็ลุกไปเอาของให้เขาอย่างไวเหมือนกัน พอล้วงๆ ดูก็เห็นถุงกำมะหยี่สีแดง ประทับตราร้านทอง โอ๊ะ! นี่ชื่อร้านทองของเขาเหรอ เฮ้ย! เธออุทานในใจพร้อมกับยกมือขึ้นมาปิดปาก ร้านทองในเมืองและนอกเมืองหลายสาขาเป็นของบ้านเขาเหรอเนี่ย ต้นตาลหันไปมองชรัณสลับกับมองถุงกำมะหยี่ในมือ “นี่ค่ะ” เธอยื่นมันให้เขา “ให้เธอ” “ฮะ? ให้ตาลเหรอ” “อืม” “...” หัวใจดวงน้อยเต้นเร็ว เธอมองของในมือสลับกับมองหน้าเขา ชรัณไม่ได้หันมามองหรอก เขาพูดออกมาทั้งที่ไม่ละสายตาไปจากจอทีวีด้วยซ้ำ “มันมากไป ตาลรับไม่ได้หรอก” “เปิดดูหรือยัง” “...” พูดมาขนาดนี้แล้วจะไม่เปิดดูก็ไม่ได้ดิ เธอรูดซิปเปิดดูของด้านใน มีตลับใส่สร้อยคอขนาดเล็ก พอเปิดออกดูก็เห็นว่าเป็นสร้อยคอเส้นเล็กน่ารักกำลังดีเลย มีจี้หัวใจน่ารักด้วย “อันนี้ของตาลจริงเหรอ” “อืม” อา...บางทีเขาอาจจะให้สาวๆ บ่อย และเธอคงไม่ใช่คนแรกหรอกมั้งที่ได้แบบนี้น่ะ “ขอบคุณนะคะ สร้อยน่ารักดี” เธอหยิบสร้อยขึ้นมาสวมใส่ จังหวะนั้นชรัณหันมามองพอดีเขาจึงดันตัวลุกนั่งหลังตรง “เขยิบมานี่สิ” “คะ?” เธอเอี้ยวหน้ามองเขา แต่ก็เขยิบเข้าไปหาแต่โดยดี ชรัณจับสร้อยในมือต้นตาลแล้วใส่ตะขอให้ พร้อมกับรวบผมออกจากสร้อยให้ด้วย “ขอบคุณค่ะ” ริมฝีปากเม้มแน่น “ของฝากเหรอคะ” “อืม เห็นมันมีมาแค่สองเส้น ดูแล้วน่าจะเหมาะกับเธอ” “แล้ว...ซื้อให้สาวบ่อยเหรอ” “...” ชรัณหันมามองหน้า เขาไม่ตอบคำถามเธอเลยแฮะ แล้วก็กลับไปนอนดูทีวีต่อ ไม่ตอบก็แสดงว่าบ่อยสินะ ต้นตาลถอนหายใจเฮือกหนึ่ง มือเรียวก็ยังลูบคลำสร้อยบนคอตัวเองอยู่ เอาจริงๆ นี่เป็นสร้อยทองเส้นแรกในชีวิตด้วยซ้ำ ให้ซื้อเองก็มีปัญญาซื้อแหละ แต่คงต้องเก็บเงินนานหน่อย ทว่าจู่ๆ ชรัณก็เอ่ยขึ้น “ไม่เคย” “คะ? มะ ไม่เคยคืออะไร” เธองงไปหมดแล้วเนี่ย “ฉันไม่เคยซื้อของแบบนี้ให้ใคร” “...” หัวใจกระเต็นออกมาเต้นนอกเบ้าได้คงทำไปแล้ว เขามาเหนือความคาดหมายตลอดเลย เธอควรจะดีใจใช่ไหม ที่เขาซื้อของให้เป็นคนแรกน่ะบทที่ 10 คำขอที่มาพร้อมข้อตกลงของชรัณ มาเวย์ไหนอีกล่ะพ่อคุณ เธอตามไม่ทันแล้วจริงๆ นะ บางวันเขาเหมือนท้องฟ้าอึมครึม บางวันก็เหมือนท้องฟ้ามีเมฆสีขาวลอยเกลื่อน และบางวันก็เหมือนท้องฟ้าโล่งไร้เมฆ ไร้แรงลม ชนิดที่ว่านิ่งได้อีก นิ่งได้มากกว่านี้อีก...“ตาลขอบคุณนะคะ สร้อยสวยมากเลยค่ะ นี่ถ้าเอาไปขายคงได้หลายตังค์เนอะ” ก็พูดหยอกไหมล่ะ ทำไมต้องหันมามองกันด้วยตาดุๆ แบบนั้น “หยอกค่ะ ใครจะเอาไปขายได้ลงล่ะ เก็บไว้เป็นอนุสรณ์ว่าเคยมีผู้ชายให้ของขวัญด้วย” ผู้ชายที่เป็นพ่อของลูก ความสัมพันธ์เขากับเธอขีดเส้นใต้แค่คำว่าพ่อแม่เท่านั้น ไม่มีความสัมพันธ์ทางใจหรือความรู้สึกใดๆ นอกเหนือจากนี้แน่นอน“แล้วพี่ชัชจะกลับตอนไหนเหรอคะ”“เพิ่งมา จะให้กลับเลยเหรอ”“เปล่านะ ตาลแค่อยากรู้ว่าจะกลับเมื่อไหร่ต่างหาก”“พรุ่งนี้มั้ง”อะไร เขาเป็นอะไรอะช่วงนี้น่ะ ไม่ค่อยลังเลใจเลยนะ“พรุ่งนี้มั้ง ก็แสดงว่าไม่แน่ใจใช่ไหมคะ ว่าจะกลับพรุ่งนี้ดีไหมหรือว่าไม่กลับ”“...” ชรัณถอนหายใจแล้วหันมามองหน้าเธอ “พูดมากน่า”“เงียบก็ได้”ภายในห้องเริ่มมีบรรยากาศมาคุเกิดขึ้น เธอและเขาต่างคนต่างเงียบอยู่คนละมุมของโซฟา แต่ผูกสายตาไว้กับภาพเคล
บทที่ 11 ไม่คาดหวัง = มีหวังวันนัดตรวจอัลตราซาวนด์ผ่านมาหลายสัปดาห์ที่เธออุ้มท้องมา วันนี้เป็นวันที่หมอนัดตรวจเลือดและอัลตราซาวนด์ดูลูกในท้อง ต้นตาลแต่งตัวด้วยมินิเดรสยาวเสมอหัวเข่าสีขาวผูกสายที่ไหล่ ตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงกว่าซึ่งหมอนัดตอนเก้าโมงครึ่ง เธอเผื่อเวลาในการเดินทางไว้ด้วย จะได้ไม่รีบร้อนมากนัก“สู้!” หญิงสาวเปิดประตูออกมาจากห้องพัก แต่กลับสะดุ้งจนก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว “พี่ชัช” คนที่ถูกเรียกชื่อเอียงคอมองเธอเล็กน้อย เอาจริงๆ วันนี้เธอไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะมาหาด้วยซ้ำ เขาหายไปเป็นอาทิตย์เพราะติดธุระในร้านทอง ซึ่งเธอก็รับรู้มาตลอด เพราะเขาเพิ่มเธอเข้าในไลน์ส่วนตัวแล้วคอยส่งข้อความมาถามไถ่กัน บ้างก็ส่งรูปภาพมาให้ดู จึงได้รู้ว่าเขาน่ะงานยุ่งจริงๆ ไม่ได้แอบไปคั่วอีหนูที่ไหนแล้วทำไมวันนี้เขามาโผล่ที่นี่ได้ล่ะ เธอไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะออกไปข้างนอก“เสร็จแล้วเหรอ”“ค่ะ แล้ว...พี่ชัชมาเอาอะไรเหรอ”“มารับเธอไปหาหมอ”“ตาลไม่ได้บอกนี่คะว่าไปหาหมอวันนี้ พี่รู้ได้ยังไง”“ก็ในใบตรวจที่เธอเอาให้ดูครั้งก่อน”อา...ถึงบางอ้อก็ตอนนี้ ที่แท้เขาก็จำวันนัดตรวจได้เพราะเธอเอาแผ่นอัลตราซาวนด์ให้ดูร
บทที่ 12 Woman on top NC สายตาอ่อนโยนที่มองกันแบบนั้นมันแฝงความรู้สึกมาด้วยไหมนะ ยิ่งเขาอยู่ใกล้กันมันยิ่งทำให้เธอถลำลึก ห้ามอะไรก็ห้ามได้ทั้งนั้นแต่ความรู้สึกเธอเนี่ยสิ ใครจะรับผิดชอบกันล่ะ“ให้ตาลไปอยู่ที่อื่นไหมคะ” เหมือนเขาจะตกใจอยู่บ้างกับคำถามเธอ แต่ก็เป็นเพียงเสี้ยววินาทีจริงๆ ที่เห็นชรัณตกใจเขาเงยหน้ามองกัน คล้ายว่าจะถามเธอแต่กลับเงียบไปซะอย่างนั้น“ตาลรู้ว่าตาลอาจจะเป็นภาระให้พี่ชัช ไม่วันนี้ก็วันข้างหน้าน่ะค่ะ อีกอย่างพี่ก็ยังไม่มั่นใจในตัวตาล และเด็กในท้องของตาลว่าเป็นลูกพี่จริงๆ ไหม”“…”“ตาลยินดีไปอยู่ที่อื่นนะคะ”“เก่งนะ”“…”?“เก่งเรื่องคิดไปเอง” ประโยคสั้นๆ ที่เขาเอ่ยออกมานั้นทำเอาหน้าเธอชาไปครึ่งซีกเลยล่ะ“เปล่าคิดเอาเองสักหน่อย ก็ดูสถานะเราสองคนสิคะ” อยู่ด้วยกันในฐานะอะไรก็ยังไม่รู้เลยอะ เธอเหมือนเป็นกาฝากเขามากกว่า แต่กาฝากกิ่งนี้ถูกเลี้ยงดูอย่างดีแน่ะ “พรุ่งนี้เราไปตรวจดีเอ็นเอกันไหม” เธอแค่อยากให้เขามั่นใจในตัวเอง เพราะมีวูบหนึ่งนัยน์ตาเขามีความสับสน แต่ก็เป็นเพียงวูบหนึ่งเท่านั้น ก่อนที่มันจะฉายแววเรียบนิ่ง“รอให้คลอดก่อน”“แต่หมอว่าทำได้แล้วนะคะ”“รีบ?”“ก็อยา
บทที่ 13 จับผิด ช่วงสายของวัน หลังจากตื่นนอนแล้วชรัณก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนชุดออกมาทำงาน วันนี้ผู้จัดการร้านลาพักเขาจึงต้องเข้าร้านเร็วหน่อย“อ้าวไอ้อธิ มึงไปไหนมาแต่เช้า” เขาทักทายอธิราชซึ่งบังเอิญเจอกันที่ร้านขายน้ำ อธิราชเลิกคิ้วถามและหรี่ตาแคบลงมองเพื่อนอย่างจับผิด “อะไร มองกูแบบนั้นทำไม”“มึงเพิ่งออกมาจากในเมือง กูสิควรถามว่ามึงไปไหนมาวะ ทางไปร้านทองมึงอยู่ทางโน้น แล้วมึงมาจากทางนี้”“ธุระ”“ธุระในเมืองบ่อยนะช่วงเนี่ย”“เออ แล้วมึงไปไหนมาล่ะ”“มาหาดูของแหละ เลยแวะซื้อน้ำก่อน”“กินข้าวยัง ไปแดกข้าวกันไหม”“ไปดิ กำลังหาร้านนั่งชิลอยู่พอดี”“แต่กูชิลด้วยไม่ได้ดิ ต้องรีบเข้าร้าน”“เออ”ทั้งสองขับรถไปกินข้าวแกงร้านประจำเพราะจะได้ไม่ต้องรออาหารนาน หลังจากได้ข้าวแล้วชรัณก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปซึ่งมันผิดปกติมาก จากคนไม่ชอบเล่นโทรศัพท์หรือถ่ายรูปของกิน อธิราชหรี่ตามองเขาอีก“มึงชอบถ่ายรูปอาหารตั้งแต่ตอนไหนวะ”“ก็ถ่ายเก็บไว้ดู”“อะไรวะ ร้อยวันพันปีแทบไม่หยิบมือถือมาถ่ายอาหาร แดกก่อนกูตลอดเลย”“มันแปลกตรงไหนล่ะ กูจะเอามือถือขึ้นมาถ่ายรูปไม่ได้เลยงั้นเหรอ”“ก็เปล่า กูแค่ไม่เคยเห็นไงเลยถาม”“
บทที่ 14 เอ็นดูหลายนาทีต่อมาเจ้าของรอยยิ้มหวานโคลงศีรษะไปมาเบาๆ อย่างอารมณ์ดี นี่ต้องขอบคุณที่ไฟดับเลยนะ เพราะถ้าไฟไม่ดับเธอคงไม่ได้ออกมานั่งเล่นที่คาเฟแบบนี้ แถมวันนี้ชรัณยังตามใจอีก“ถามอะไรหน่อย”“คะ?”“ไม่มีพี่น้องหรือญาติที่ไหนเลยเหรอ”“มีน่ะมีค่ะ แต่เขาคงไม่นับญาติกับตาลหรอก พวกญาติๆ ฝั่งแม่ก็ไม่ส่งข่าว ส่วนญาติฝั่งพ่อเขาก็...ไม่อยากนับญาติกับคนจนๆ หรอก”“อือ”“ถามทำไมเหรอคะ” แววตาเขาดูเรียบเรื่อยไม่แสดงความสงสัยใดๆ คล้ายว่าถามไปอย่างนั้นแบบไม่ใส่ใจอะไรมาก “อยากให้ตาลไปอยู่กับญาติเหรอ”“ไหนบอกไม่มีใครอยากนับญาติไง”“ก็ถามเป็นพิธีไหมคะ พี่จะย้ำทำไมเนี่ย”“ก็เราพูดเอง”“ก็จริงนั่นแหละ แล้วพี่ชัชถามทำไมเหรอ”“แค่อยากรู้เฉยๆ”“อ๋อ...ไม่มีญาติที่ไหนหรอกค่ะ หัวเดียวกระเทียมลีบมานานแล้ว” เอาจริงๆ เธอแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าญาติหน้าตาเป็นยังไงกัน แค่จำหน้าพ่อกับแม่ได้ก็ถือว่าบุญมากแล้ว แต่ภาพในความทรงจำมันก็ค่อยๆ จางหายไปเหมือนกันนะ แม้จะอยากจำมากแค่ไหนก็ตาม ความอบอุ่นที่เคยได้รับก็เริ่มจางหายไปแล้วเหมือนกัน ทุกวันนี้เธอเลยกอดตัวเอง ให้ความอบอุ่นกับตัวเองทดแทนสิ่งที่เว้าแหว่งไปในชีวิต ทั้ง
บทที่ 15 ข่าวลือคือเรื่องจริง หลายอาทิตย์ต่อมาชรัณลุกออกมาจากเก้าอี้โยกแล้วเดินไปหาแม่หน้าร้าน วันนี้เขาว่างช่วงบ่ายก็เลยมาฝากท้องกับที่บ้าน พอกินอิ่มหนังตามันหย่อนเลยขอพักงีบสักสองชั่วโมงแล้วค่อยจะกลับไปที่ร้านสาขาใหม่“มาก็ดีแล้ว มานั่งตรงนี้เลย” ถูกแม่จับไหล่หิ้วไปนั่งแหมะลงบนเก้าอี้ เดาจากสีหน้าแม่ก็พอรู้ว่าจะถูกซักไซ้แน่นอน ไปรู้อะไรมาอีกล่ะเนี่ย“อะไรครับเนี่ย”“บอกแม่มาเดี๋ยวนี้ เราไปเดินห้างกับใครมา”“เดินห้าง?”“ใช่”“เดินตอนไหน ผมก็ไปมาอยู่แค่บ้านกับร้านทองเนี่ย จะให้เอาเวลาไหนไปเดิน”“ก็แม่แก้วมาบอกว่าเห็นเราอยู่ห้างกับสาว”“แม่แก้ว?”“อืม”“ตอนไหน” เขาพอจะรู้แล้วละ น่าจะเป็นครั้งที่พาต้นตาลไปเดินซื้อของที่ห้างนั่นแหละมั้ง แต่ไม่รู้ว่าแม่แก้วเห็นเขากับเธอตอนไหนเนี่ยสิ แต่มันผ่านมาหลายอาทิตย์แล้วทำไมเพิ่งเอามาถาม“ก็หลายอาทิตย์แล้ว”“ตาฝาดเองหรือเปล่าครับ คนหน้าตาคล้ายคลึงกันไปหมด”“ไม่แน่ใจ”“นั่นไงล่ะ ถ้าแม่แก้วเห็นแล้วทำไมไม่เข้ามาทักผมล่ะ”“ก็นั่นสิ แม่แก้วน่าจะถ่ายรูปมาให้ดูด้วย จะได้มีหลักฐาน”“ก็เกินไปนะ แล้วมันไม่ดีเหรอที่ผมควงสาวไปเดินห้าง แม่อยากให้มีแฟนเองนี่”“
บทที่ 16 ตั้งใจ สีหน้าชรัณบ่งบอกถึงความรำคาญขั้นสุด ก่อนที่เขาจะผลุนผลันลุกขึ้นไปตีปากรุ่นน้องแต่ไม่ได้ลงแรงมาก“หยุดแหกปาก ถ้ามึงไม่หยุดกูเตะ”“...” รุ่นน้องเขารีบเอามือปิดปากตัวเองพร้อมกับพยักหน้าหงึกหงักบอกว่าจะปิดปากตามที่พี่สั่ง ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้อยู่นิ่ง เดินเข้าไปดูหน้าต้นตาลให้ชัดๆ พลางอ้าปากค้างทำหน้าอึ้งงันสุดๆ“โอเคยัง” น้ำเสียงและแววตาเขาดูอ่อนโยนกว่าตอนที่หันไปเอ็ดรุ่นน้องซะอีก แถมยังวางมือลงบนท้องเธอลูบไปมาเบาๆ อยู่นาน“โอเคแล้วค่ะ”“งั้นกลับเลยไหม”“ก็ได้ค่ะ ตาลรู้สึกอยากพักเหมือนกัน”“ได้ งั้นกลับตอนนี้เลย” เขาพยักหน้าให้ผู้จัดการร้านแล้วเดินอ้อมไปหยิบมือถือกับกุญแจรถ จากนั้นก็พาต้นตาลไปขึ้นรถที่หน้าร้าน“เดี๋ยวดิพี่ เอาแบบนี้จริงดิ”“อะไรของมึง หลบไปกูจะกลับคอนโด”“พี่ชัช นี่พี่ไม่ปฏิเสธอะไรหน่อยเหรอ แล้วนั่นเมียพี่จริงเหรอครับ”“เอาไว้จะเล่าให้ฟัง”“อา...” อั้มพยักหน้าเออออตามรุ่นพี่ หากเขาพร้อมจะบอกเรื่องความสัมพันธ์ก็คงบอกไปนานแล้ว “เชี่ย...งานเผาขนมาก”“เป็นยังไง” พอขับรถออกมาได้พักใหญ่ๆ ชรัณก็เอ่ยถามคนที่นอนดมยาดมอยู่เบาะข้างๆ ต้นตาลพยักหน้าหงึกหงักแต่ไม่ได
บทที่ 17 ความจริง 15:30 ร้านทองชรัณนั่งก้มหน้าอยู่บนเก้าอี้หลังร้านขณะที่แม่บ่นให้เขาโดยไม่เว้นช่องให้อธิบายอะไรเลย“โตขนาดนี้แล้วยังจะทำอะไรเป็นเล่นไปได้ แล้วไหนล่ะผู้หญิงคนนั้น”“แน่ใจนะว่าจะเจอ”“ก็แน่ใจสิลูกคนนี้นี่!”“ใจเย็นๆ ก่อน อย่าเพิ่งโวยวายไปเดี๋ยวเป็นลมมาไม่คุ้มนะ” เขาพยายามพูดให้แม่ใจเย็นตาม แต่เหมือนอีกฝ่ายไม่ยอมเย็นตามเลย แล้วถ้าเขาบอกว่าต้นตาลกำลังท้องด้วยล่ะ จะไม่เป็นการลอบฆ่าแม่ทางอ้อมใช่ไหม “นั่งก่อนนะ เชื่อผมมันจะออกมาดีแน่นอน” เขาเกลี้ยกล่อมแม่จนแม่ยอมนั่งลงแต่โดยดี“แล้วนี่คิดยังไงถึงได้พาผู้หญิงเข้ามานั่งในร้านฮะ”“ไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนเลยนะ ผมก็แค่พาเขามานั่งรอแค่นั้น จำเป็นต้องคิดด้วยเหรอ” เขาตั้งใจพาต้นตาลมาเอง อันนี้ยืดอกยอมรับเลยเพราะอยากให้เธอเข้ามามีบทบาทในชีวิตเขามากขึ้นด้วยไง พอถึงเวลาต้องบอกกับแม่ตรงๆ ว่าทำผู้หญิงท้องจะได้ไม่เป็นเรื่องใหญ่โตเกินไป“เป็นลูกเต้าเหล่าใคร แม่รู้จักไหม”“คิดว่าไม่นะ”“อย่ามาเล่นลิ้นนะชัช”“ก็พูดความจริงอยู่นี่ไง ผมถึงบอกให้แม่ใจเย็นๆ ก่อนไงครับ อีกอย่างน้องไม่ได้เป็นคนไม่ดีนะ เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งเนี่ยแหละ”“เจอกันที่ไหน”“ใ