บทที่ 7 รอเก้อ
กลางดึก ต้นตาลนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงนอนขนาดคิงไซซ์ พื้นที่กว้างไม่คุ้นเคยทำให้นอนไม่หลับ พลิกไปทางไหนก็ว่างเปล่า ไม่เหมือนเตียงในห้องเช่าที่เคยนอนเลย ขนาดเตียงก็ต่างกันมาก เคยนอนเตียงขนาดสามฟุตครึ่ง พลิกตัวทีหนึ่งก็หลังชนกับผนังห้องแล้ว แต่เตียงนี้พลิกไปสามตลบก็ยังไม่สุดเตียงเลย “ตอนไหนจะหลับล่ะตาล” นับแกะแล้วก็ไม่ง่วง นับเลขก็ไม่มีผลอะไร ตอนนี้เธอทำเพียงนอนหงายมองเพดานห้อง นอนขบคิดเรื่องราวต่างๆ นานาจนเวลาล่วงเลยมาถึงตีหนึ่ง “พรุ่งนี้ต้องไปหาหมอแล้วนี่นา” เธอหยิบโทรศัพท์มาตั้งเวลาปลุกไว้ตอนเจ็ดโมงตรงพอดี จากนั้นค่อยข่มตาหลับ พยายามทำให้สมองโล่งและสุดท้ายก็ผล็อยหลับไปด้วยความเพลีย 08:30 หลังจากตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว ตอนนี้เธอก็นั่งรอชรัณมารับไปโรงพยาบาลตามที่เขานัดไว้ ใกล้จะเก้าโมงแล้วด้วย ยังไม่เห็นเงาเขาเลย มองดูโทรศัพท์ก็เงียบกริบ หากเขาติดธุระหรือกำลังเดินทางมาก็น่าจะโทร.มาบอกกันหน่อยสิ คนรอมันตื่นเต้น ไม่ใช่อะไรหรอก รอมาถึงสิบโมงเช้าเขาก็ยังไม่มาจนเธอเริ่มถอดใจไปแล้ว ต้นตาลวางกระเป๋าผ้าลายดอกไม้ใบโปรดลงบนโซฟา แล้วเดินไปสูดอากาศที่ระเบียงห้อง “รอเก้อเหรอเรา” นึกถึงก็เจ็บจี๊ดที่หัวใจ สรุปแล้วว่าวันนี้เขาไม่มาหาเธอแน่ๆ หรือว่าเขาลืมนัดเธอเสียแล้ว “ถ้าเป็นอย่างที่คิดเอาไว้ เราคงไม่ได้สำคัญอะไรมากขนาดนั้น” แต่ไหนๆ ก็ลุกขึ้นมาแต่งตัวแล้ว เธอไปหาหมอเองก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่นา เมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้วต้นตาลจึงออกจากห้อง เดินทางไปฝากท้องที่โรงพยาบาลคนเดียวซะเลย หลังจากทำธุระเสร็จสรรพเธอก็มานั่งรอรับยา ซึ่งเป็นพวกยาวิตามินสำหรับคนท้องอยู่หน้าห้องจ่ายยา มองไปทางไหนก็เจอแต่คนท้อง ทว่าข้างกายพวกเขามีสามีคอยดูแลไม่ห่างสักคน มีแต่เธอที่จัดการอะไรเองหมดทุกอย่าง เมื่อตอนที่เข้าไปตรวจ หมอก็ถามหาพ่อของลูกเหมือนกัน เธอเลยบอกหมอว่าเขาติดธุระมาไม่ได้ อันที่จริงต้องมาตรวจเลือดด้วยกันน่ะ หมอก็เลยถามหา หลังจากรับยาแล้วต้นตาลก็เปิดแอปเรียกรถให้มรับไปส่งที่คอนโดฯ ตอนนี้ก็บ่ายโมงกว่าแล้ว เธอยังไม่ทันได้แตะข้าวสักเม็ดเลย หิวก็หิวอาการแพ้ท้องเหม็นกลิ่นยาก็จะกำเริบ ดีหน่อยที่มีคุณป้าหิ้วตะกร้ามาขายพวกยาหอมยาดม เธอก็เลยอุดหนุนยาดมกับป้ามาหนึ่งหลอด อยู่ได้เพราะยาดมจริงๆ ผ่านไปสิบกว่านาทีรถที่เธอเรียกก็มาจอดตรงหน้า ต้นตาลเปิดประตูเข้าไปนั่งเบาะหลัง สายตาเธอมองเข้าไปในโรงพยาบาลอีกครั้งแล้วคนขับก็ขับรถออกมา ครืด~ ครืด~ โทรศัพท์เธอสั่นสะเทือนอยู่ในกระเป๋าผ้า แต่มันสั่นไม่แรงมากคนเป็นเจ้าของจึงไม่รู้สึกอะไร ก่อนหน้านี้เธอเปิดเสียงปกติแหละ แต่เข้าหาหมอจึงปิดเสียงไว้แล้วลืมเปิด ชรัณติดต่อเธอสองสายไม่ได้รับ พอกลับมาถึงห้องต้นตาลก็รีบเข้าครัวทำอาหารง่ายๆ กินโดยไม่รู้เลยว่าชรัณได้ติดต่อเธอมาอีกสายหนึ่ง การที่ติดต่อต้นตาลไม่ได้ทำให้คนปลายสายหงุดหงิดมาก หลายนาทีต่อมา ต้นตาลยกจานข้าวไข่เจียวหอมๆ มาวางบนโต๊ะอาหาร ทว่าเธอสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจที่เห็นชรัณเปิดประตูเข้ามาพอดี “พี่ชัช” “ฉันโทรหาตั้งหลายสาย ทำไมไม่รับ” ประโยคสุดท้ายน้ำเสียงติดดุนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ดูจริงจังเท่าไร “ตะ ตาลทำกับข้าวอยู่ค่ะ” “...” เขามองจานข้าวที่เพิ่งเสร็จใหม่ก็น่าจะเข้าใจได้ว่าเธอไม่ได้โกหก แล้วนี่เขาไปไหนมาถึงได้โผล่มาเอาตอนนี้ อยากถามเหลือเกินแต่ก็กลัวคำตอบจากปากเขา เอาวะ ถามดีกว่าปล่อยให้ตัวเองสงสัยแล้วคิดไปเอง “พี่ชัชไปไหนมาเหรอคะ” “ฉันติดธุระ” “อ๋อ แบบนี้นี่เอง” “เธอ...” “อ๋อ ตาลไปหาหมอมาแล้วค่ะ ไปตรวจแล้วก็ได้ฝากท้องเรียบร้อยแล้ว” เธอรีบไปเอาสมุดฝากท้องมาให้เขาดู และสิ่งที่อยากให้เขาดูมากที่สุดคือแผลอัลตราซาวนด์ลูกในท้อง ต้นตาลหยิบแผ่นอัลตราซาวนด์ให้ชรัณกับมือ แม้สีหน้าเขาไม่เปลี่ยนไปจากเดิมมาก แต่ก็เห็นว่านัยน์ตาเขาเบิกกว้างอยู่ ดวงตาคมจ้องแผ่นอัลตราซาวนด์ในมือไม่กะพริบสักครั้ง “ตาลขอตัวกินข้าวแป๊บนะ” เพราะยังไม่มีข้าวตกถึงท้อง และหิวมากๆ เธอจึงเดินกลับไปนั่งกินข้าวก่อน ชรัณช้อนตามองหญิงสาวแล้ววางสมุดฝากครรภ์กับแผ่นอัลตราซาวนด์ลงบนโต๊ะตัวเตี้ยหน้าโซฟา “ตาลมีเสียงหัวใจลูกให้ฟังด้วยนะคะ อยากฟังไหม” ตอนตรวจคลื่นหัวใจเด็ก เธอให้พยาบาลช่วยถ่ายวิดีโอให้ เป็นสิบวินาทีสั้นๆ แต่เสียงหัวใจลูกดังฟังชัดมาก เขาคงจะดีใจถ้าได้ฟังมัน หลังจากกินข้าวกินยาเสร็จเธอก็รีบเอาคลิปนั้นไปเปิดให้ชรัณดู ตึกตัก ตึกตัก เสียงหัวใจลูกเต้นระรัว แต่ตอนนี้เธอไม่อาจเดาได้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่ สีหน้าเรียบนิ่ง ไม่พูดไม่จาอะไรเลย ยอมรับว่ารู้สึกนอยเขาอยู่นิดหน่อย ที่ให้เธอรอเก้ออยู่ห้องคนเดียว แต่พอมานึกๆ ดูเขาคงติดธุระจริงๆ นั่นแหละ ไม่รู้หรอกว่าธุระที่ว่ามันสำคัญมากขนาดไหน แต่เขามาหาเธอและทำเสียงติดดุที่ว่าติดต่อไม่ได้นั้น เธอก็เก็บเอาไปคิดเข้าข้างตัวเองแล้วว่าเขาเป็นห่วง ช่างเถอะ ปล่อยให้คิดไปแบบนี้น่ะดีแล้ว แม้ว่าความเป็นจริงเขาอาจไม่ได้เป็นห่วงก็ตาม “หมอนัดอีกทีวันไหน” “เดือนหน้าค่ะ” “อืม” “เอ่อ...” “มีไร” เขาเลิกคิ้วให้กันเพื่อให้เธอถามต่อ “ตาลยังไม่ได้ไปลาออกจากงานเลย ตาลว่าจะไปพรุ่งนี้เช้า” “ฉันจัดการให้แล้ว” “คะ?” “ตามที่ได้ยินนั่นแหละ” เขาไปทำเรื่องลาออกให้เธอมางั้นเหรอ แล้วไม่กลัวว่าคนอื่นจะเข้าใจผิดหรือไง ว่าเขาเป็น...แฟนเธอ ยิ่งพี่เปรี้ยวกับพี่ปรางจ้องจับผิดอยู่ด้วย คงรู้แล้วมั้งว่าเธอมาอยู่กับชรัณ “ขอบคุณค่ะ” ต้นตาลเม้มปากแน่น “จะถามอะไรก็ถาม ฉันไม่ชอบให้มองหน้าแบบนี้” “ตาลอยู่ห้องเฉยๆ มันเบื่อค่ะ อยากทำงานบ้างได้ไหม” “ให้อยู่เฉยๆ ไม่ชอบหรือ?” “...”! “ห้องกว้างพอที่เธอจะทำกิจกรรมอะไรก็ได้ ที่ไม่ใช่ทำงานหนัก” “ค่ะ” เข้าใจแล้วว่าเขาไม่อยากให้ทำอะไรเลย แต่อยู่เฉยๆ มันก็เบื่อไง “อุ๊บ!” ต้นตาลปิดปากแล้วสับเท้าเดินเข้าห้องน้ำ อาการแพ้ท้องกำเริบอีกจนได้ “อ้วกเหรอ” หัวใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นจังหวะกับสัมผัสของฝ่ามือหนาที่ทาบลงบนหลัง ชรัณเดินตามเธอมาเหรอ เขามาตอนไหนแล้วเขา...ไม่รังเกียจเหรอ “ค่อยๆ หายใจเข้าลึกๆ” น้ำเสียงอ่อนโยนช่วยปลอบประโลมเธอได้เป็นอย่างดี เขารวบผมต้นตาลไว้ ส่วนอีกมือก็ลูบหลังหญิงสาวเบาๆ กระทั่งอาการพะอืดพะอมทุเลาลง หญิงสาวใช้หลังมือปากน้ำตาออกจากแก้ม แล้วเอี้ยวหน้าไปขอบคุณเขา “ขอบคุณนะคะ” “อืม”บทที่ 8 ค้างคืน ต้นตาลเดินกลับมานั่งพักบนโซฟา เธอมองใบหน้าชรัณอยู่พักใหญ่กระทั่งเขาหันมาสบตา คนที่ไม่ทันตั้งตัวรีบหลุบตาหลบสายตาเขา“มองกันทำไม หน้าฉันมีอะไรติดงั้นเหรอ”“ตาลเห็นพี่ชัชดูเพลียๆ ได้นอนบ้างไหมคะ”“นอน” ตอบคำถามแล้วก็หันไปพิมพ์อะไรในโทรศัพท์ไม่รู้ ต้นตาลจึงใช้โอกาสที่เขาสนใจโทรศัพท์เอื้อมมือไปลูบแก้ม “ทำอะไร” คนที่ไม่ชอบให้ใครสกินชีพเบี่ยงตัวหลบ“ตาลโกนหนวดให้ไหม”“ไม่ต้อง”“ตาลแค่อยากทำอะไรให้เป็นประโยชน์บ้าง”“...” เขาละสายตาจากจอมือถือมองเธอ “ฉันไม่ชอบให้ใครยุ่งกับหน้า”“อ๋อ”“เธอโกนหนวดเป็น?”พูดออกไปก็กระดากปากตัวเอง เดี๋ยวจะขายหน้าเอาเปล่าๆ เคยโกนหมออ้อยตัวเองนี่นับว่าโกนเป็นไหมอะ มันก็น่าจะเหมือนกันปะ“ว่ายังไง”“เอ่อ ไม่ดีกว่าค่ะ ตาลไม่มั่นใจมือตัวเอง เดี๋ยวทำหน้าพี่ชัชเสียโฉมเอา” เธอพูดกลั้วหัวเราะเพื่อไม่ให้ดูจริงจังเกินไป “คงถนัดใช้เครื่องโกนไฟฟ้ามากกว่าสินะคะ”“อืม”“แล้วไม่ต้องกลับไปทำงานเหรอคะ”“...” คราวนี้ชรัณเงียบไป เขาไม่ได้สนใจคำถามเธอ แต่กำลังง่วนอยู่กับการพิมพ์ข้อความในแชตอีก ไม่รู้ว่าคนในห้องแชตนั้นเป็นใคร แต่ดูท่าจะสำคัญอยู่เหมือนกัน เขาถึงไม่ปล่อย
บทที่ 9 ของฝากเล็กๆ น้อยๆ 08:20ต้นตาลปรือตาขึ้นมองไปรอบๆ ทั้งยังงัวเงียตื่นไม่เต็มตา ไม่เห็นแสงตะวันเล็ดลอดผ่านม่านประตูเชื่อมต่อระเบียงเธอจึงฟุบหน้าลงกับอกแกร่งอีก วันนี้รู้สึกเพลียตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเลย อาจจะเพราะนอนดึกและแพ้ท้องอยู่แต่เอ๊ะ?เธอกำลังนอนอยู่บนตัวเขาเหรอ ไม่น่าใช่หรอกมั้ง ชรัณกลับไปนานแล้วเถอะ เขาไม่มานอนให้เธอกอดแนบชิดขนาดนี้หรอก เธอกอดหมอนข้างแล้วมโนว่าเป็นเขาเถอะต้นตาลพอนึกอย่างนั้นก็อยากมั่นใจว่าตัวเองคิดถูกแล้วจึงเปิดเปลือกตาหนักอึ้ง มองหมอนข้างที่ว่านั้น“พี่ชัช!” เธอตกใจกว่าเห็นผีตัวเป็นๆ ก็เห็นชรัณอยู่ใกล้ตัวเนี่ยแหละ “อะ อ้าว...” เป็นเธอที่ข้ามฝั่งมากอดเขาเอง แถมยังเบียดเขามาจนสุดขอบเตียงอีกต่างหาก “ตาลทำให้พี่ชัชตื่นเหรอ”“ก็น่าจะรู้ นอนทับกันทั้งคืนแบบนี้จะนอนหลับสนิทได้ยังไง”“แล้วทำไมไม่ปลุกล่ะคะ ตาลไม่ใช่คนนอนหลับลึกสักหน่อย”“ปลุกแล้ว แต่ไม่ตื่น”หน้างี้แตกร้าวเลยไหมยายตาล“น่าจะปลุกเบาไปนะคะ”“...” ชรัณส่ายหน้าแล้วเลิกคิ้วให้ต้นตาลลุกออกไป พอได้รับอิสระก็ลุกขึ้นมาบิดกายไล่ความเมื่อยล้า แล้วก้าวลงจากเตียงนอน“อ๊ะ!” หญิงสาวหลุดเสียงอุทาน เขาถอดเสื้อผ
บทที่ 10 คำขอที่มาพร้อมข้อตกลงของชรัณ มาเวย์ไหนอีกล่ะพ่อคุณ เธอตามไม่ทันแล้วจริงๆ นะ บางวันเขาเหมือนท้องฟ้าอึมครึม บางวันก็เหมือนท้องฟ้ามีเมฆสีขาวลอยเกลื่อน และบางวันก็เหมือนท้องฟ้าโล่งไร้เมฆ ไร้แรงลม ชนิดที่ว่านิ่งได้อีก นิ่งได้มากกว่านี้อีก...“ตาลขอบคุณนะคะ สร้อยสวยมากเลยค่ะ นี่ถ้าเอาไปขายคงได้หลายตังค์เนอะ” ก็พูดหยอกไหมล่ะ ทำไมต้องหันมามองกันด้วยตาดุๆ แบบนั้น “หยอกค่ะ ใครจะเอาไปขายได้ลงล่ะ เก็บไว้เป็นอนุสรณ์ว่าเคยมีผู้ชายให้ของขวัญด้วย” ผู้ชายที่เป็นพ่อของลูก ความสัมพันธ์เขากับเธอขีดเส้นใต้แค่คำว่าพ่อแม่เท่านั้น ไม่มีความสัมพันธ์ทางใจหรือความรู้สึกใดๆ นอกเหนือจากนี้แน่นอน“แล้วพี่ชัชจะกลับตอนไหนเหรอคะ”“เพิ่งมา จะให้กลับเลยเหรอ”“เปล่านะ ตาลแค่อยากรู้ว่าจะกลับเมื่อไหร่ต่างหาก”“พรุ่งนี้มั้ง”อะไร เขาเป็นอะไรอะช่วงนี้น่ะ ไม่ค่อยลังเลใจเลยนะ“พรุ่งนี้มั้ง ก็แสดงว่าไม่แน่ใจใช่ไหมคะ ว่าจะกลับพรุ่งนี้ดีไหมหรือว่าไม่กลับ”“...” ชรัณถอนหายใจแล้วหันมามองหน้าเธอ “พูดมากน่า”“เงียบก็ได้”ภายในห้องเริ่มมีบรรยากาศมาคุเกิดขึ้น เธอและเขาต่างคนต่างเงียบอยู่คนละมุมของโซฟา แต่ผูกสายตาไว้กับภาพเคล
บทที่ 11 ไม่คาดหวัง = มีหวังวันนัดตรวจอัลตราซาวนด์ผ่านมาหลายสัปดาห์ที่เธออุ้มท้องมา วันนี้เป็นวันที่หมอนัดตรวจเลือดและอัลตราซาวนด์ดูลูกในท้อง ต้นตาลแต่งตัวด้วยมินิเดรสยาวเสมอหัวเข่าสีขาวผูกสายที่ไหล่ ตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงกว่าซึ่งหมอนัดตอนเก้าโมงครึ่ง เธอเผื่อเวลาในการเดินทางไว้ด้วย จะได้ไม่รีบร้อนมากนัก“สู้!” หญิงสาวเปิดประตูออกมาจากห้องพัก แต่กลับสะดุ้งจนก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว “พี่ชัช” คนที่ถูกเรียกชื่อเอียงคอมองเธอเล็กน้อย เอาจริงๆ วันนี้เธอไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะมาหาด้วยซ้ำ เขาหายไปเป็นอาทิตย์เพราะติดธุระในร้านทอง ซึ่งเธอก็รับรู้มาตลอด เพราะเขาเพิ่มเธอเข้าในไลน์ส่วนตัวแล้วคอยส่งข้อความมาถามไถ่กัน บ้างก็ส่งรูปภาพมาให้ดู จึงได้รู้ว่าเขาน่ะงานยุ่งจริงๆ ไม่ได้แอบไปคั่วอีหนูที่ไหนแล้วทำไมวันนี้เขามาโผล่ที่นี่ได้ล่ะ เธอไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะออกไปข้างนอก“เสร็จแล้วเหรอ”“ค่ะ แล้ว...พี่ชัชมาเอาอะไรเหรอ”“มารับเธอไปหาหมอ”“ตาลไม่ได้บอกนี่คะว่าไปหาหมอวันนี้ พี่รู้ได้ยังไง”“ก็ในใบตรวจที่เธอเอาให้ดูครั้งก่อน”อา...ถึงบางอ้อก็ตอนนี้ ที่แท้เขาก็จำวันนัดตรวจได้เพราะเธอเอาแผ่นอัลตราซาวนด์ให้ดูร
บทที่ 12 Woman on top NC สายตาอ่อนโยนที่มองกันแบบนั้นมันแฝงความรู้สึกมาด้วยไหมนะ ยิ่งเขาอยู่ใกล้กันมันยิ่งทำให้เธอถลำลึก ห้ามอะไรก็ห้ามได้ทั้งนั้นแต่ความรู้สึกเธอเนี่ยสิ ใครจะรับผิดชอบกันล่ะ“ให้ตาลไปอยู่ที่อื่นไหมคะ” เหมือนเขาจะตกใจอยู่บ้างกับคำถามเธอ แต่ก็เป็นเพียงเสี้ยววินาทีจริงๆ ที่เห็นชรัณตกใจเขาเงยหน้ามองกัน คล้ายว่าจะถามเธอแต่กลับเงียบไปซะอย่างนั้น“ตาลรู้ว่าตาลอาจจะเป็นภาระให้พี่ชัช ไม่วันนี้ก็วันข้างหน้าน่ะค่ะ อีกอย่างพี่ก็ยังไม่มั่นใจในตัวตาล และเด็กในท้องของตาลว่าเป็นลูกพี่จริงๆ ไหม”“…”“ตาลยินดีไปอยู่ที่อื่นนะคะ”“เก่งนะ”“…”?“เก่งเรื่องคิดไปเอง” ประโยคสั้นๆ ที่เขาเอ่ยออกมานั้นทำเอาหน้าเธอชาไปครึ่งซีกเลยล่ะ“เปล่าคิดเอาเองสักหน่อย ก็ดูสถานะเราสองคนสิคะ” อยู่ด้วยกันในฐานะอะไรก็ยังไม่รู้เลยอะ เธอเหมือนเป็นกาฝากเขามากกว่า แต่กาฝากกิ่งนี้ถูกเลี้ยงดูอย่างดีแน่ะ “พรุ่งนี้เราไปตรวจดีเอ็นเอกันไหม” เธอแค่อยากให้เขามั่นใจในตัวเอง เพราะมีวูบหนึ่งนัยน์ตาเขามีความสับสน แต่ก็เป็นเพียงวูบหนึ่งเท่านั้น ก่อนที่มันจะฉายแววเรียบนิ่ง“รอให้คลอดก่อน”“แต่หมอว่าทำได้แล้วนะคะ”“รีบ?”“ก็อยา
บทที่ 13 จับผิด ช่วงสายของวัน หลังจากตื่นนอนแล้วชรัณก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนชุดออกมาทำงาน วันนี้ผู้จัดการร้านลาพักเขาจึงต้องเข้าร้านเร็วหน่อย“อ้าวไอ้อธิ มึงไปไหนมาแต่เช้า” เขาทักทายอธิราชซึ่งบังเอิญเจอกันที่ร้านขายน้ำ อธิราชเลิกคิ้วถามและหรี่ตาแคบลงมองเพื่อนอย่างจับผิด “อะไร มองกูแบบนั้นทำไม”“มึงเพิ่งออกมาจากในเมือง กูสิควรถามว่ามึงไปไหนมาวะ ทางไปร้านทองมึงอยู่ทางโน้น แล้วมึงมาจากทางนี้”“ธุระ”“ธุระในเมืองบ่อยนะช่วงเนี่ย”“เออ แล้วมึงไปไหนมาล่ะ”“มาหาดูของแหละ เลยแวะซื้อน้ำก่อน”“กินข้าวยัง ไปแดกข้าวกันไหม”“ไปดิ กำลังหาร้านนั่งชิลอยู่พอดี”“แต่กูชิลด้วยไม่ได้ดิ ต้องรีบเข้าร้าน”“เออ”ทั้งสองขับรถไปกินข้าวแกงร้านประจำเพราะจะได้ไม่ต้องรออาหารนาน หลังจากได้ข้าวแล้วชรัณก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปซึ่งมันผิดปกติมาก จากคนไม่ชอบเล่นโทรศัพท์หรือถ่ายรูปของกิน อธิราชหรี่ตามองเขาอีก“มึงชอบถ่ายรูปอาหารตั้งแต่ตอนไหนวะ”“ก็ถ่ายเก็บไว้ดู”“อะไรวะ ร้อยวันพันปีแทบไม่หยิบมือถือมาถ่ายอาหาร แดกก่อนกูตลอดเลย”“มันแปลกตรงไหนล่ะ กูจะเอามือถือขึ้นมาถ่ายรูปไม่ได้เลยงั้นเหรอ”“ก็เปล่า กูแค่ไม่เคยเห็นไงเลยถาม”“
บทที่ 14 เอ็นดูหลายนาทีต่อมาเจ้าของรอยยิ้มหวานโคลงศีรษะไปมาเบาๆ อย่างอารมณ์ดี นี่ต้องขอบคุณที่ไฟดับเลยนะ เพราะถ้าไฟไม่ดับเธอคงไม่ได้ออกมานั่งเล่นที่คาเฟแบบนี้ แถมวันนี้ชรัณยังตามใจอีก“ถามอะไรหน่อย”“คะ?”“ไม่มีพี่น้องหรือญาติที่ไหนเลยเหรอ”“มีน่ะมีค่ะ แต่เขาคงไม่นับญาติกับตาลหรอก พวกญาติๆ ฝั่งแม่ก็ไม่ส่งข่าว ส่วนญาติฝั่งพ่อเขาก็...ไม่อยากนับญาติกับคนจนๆ หรอก”“อือ”“ถามทำไมเหรอคะ” แววตาเขาดูเรียบเรื่อยไม่แสดงความสงสัยใดๆ คล้ายว่าถามไปอย่างนั้นแบบไม่ใส่ใจอะไรมาก “อยากให้ตาลไปอยู่กับญาติเหรอ”“ไหนบอกไม่มีใครอยากนับญาติไง”“ก็ถามเป็นพิธีไหมคะ พี่จะย้ำทำไมเนี่ย”“ก็เราพูดเอง”“ก็จริงนั่นแหละ แล้วพี่ชัชถามทำไมเหรอ”“แค่อยากรู้เฉยๆ”“อ๋อ...ไม่มีญาติที่ไหนหรอกค่ะ หัวเดียวกระเทียมลีบมานานแล้ว” เอาจริงๆ เธอแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าญาติหน้าตาเป็นยังไงกัน แค่จำหน้าพ่อกับแม่ได้ก็ถือว่าบุญมากแล้ว แต่ภาพในความทรงจำมันก็ค่อยๆ จางหายไปเหมือนกันนะ แม้จะอยากจำมากแค่ไหนก็ตาม ความอบอุ่นที่เคยได้รับก็เริ่มจางหายไปแล้วเหมือนกัน ทุกวันนี้เธอเลยกอดตัวเอง ให้ความอบอุ่นกับตัวเองทดแทนสิ่งที่เว้าแหว่งไปในชีวิต ทั้ง
บทที่ 15 ข่าวลือคือเรื่องจริง หลายอาทิตย์ต่อมาชรัณลุกออกมาจากเก้าอี้โยกแล้วเดินไปหาแม่หน้าร้าน วันนี้เขาว่างช่วงบ่ายก็เลยมาฝากท้องกับที่บ้าน พอกินอิ่มหนังตามันหย่อนเลยขอพักงีบสักสองชั่วโมงแล้วค่อยจะกลับไปที่ร้านสาขาใหม่“มาก็ดีแล้ว มานั่งตรงนี้เลย” ถูกแม่จับไหล่หิ้วไปนั่งแหมะลงบนเก้าอี้ เดาจากสีหน้าแม่ก็พอรู้ว่าจะถูกซักไซ้แน่นอน ไปรู้อะไรมาอีกล่ะเนี่ย“อะไรครับเนี่ย”“บอกแม่มาเดี๋ยวนี้ เราไปเดินห้างกับใครมา”“เดินห้าง?”“ใช่”“เดินตอนไหน ผมก็ไปมาอยู่แค่บ้านกับร้านทองเนี่ย จะให้เอาเวลาไหนไปเดิน”“ก็แม่แก้วมาบอกว่าเห็นเราอยู่ห้างกับสาว”“แม่แก้ว?”“อืม”“ตอนไหน” เขาพอจะรู้แล้วละ น่าจะเป็นครั้งที่พาต้นตาลไปเดินซื้อของที่ห้างนั่นแหละมั้ง แต่ไม่รู้ว่าแม่แก้วเห็นเขากับเธอตอนไหนเนี่ยสิ แต่มันผ่านมาหลายอาทิตย์แล้วทำไมเพิ่งเอามาถาม“ก็หลายอาทิตย์แล้ว”“ตาฝาดเองหรือเปล่าครับ คนหน้าตาคล้ายคลึงกันไปหมด”“ไม่แน่ใจ”“นั่นไงล่ะ ถ้าแม่แก้วเห็นแล้วทำไมไม่เข้ามาทักผมล่ะ”“ก็นั่นสิ แม่แก้วน่าจะถ่ายรูปมาให้ดูด้วย จะได้มีหลักฐาน”“ก็เกินไปนะ แล้วมันไม่ดีเหรอที่ผมควงสาวไปเดินห้าง แม่อยากให้มีแฟนเองนี่”“