ฉินซือเหิงกำลังครุ่นคิด อวี๋เหลียงเยว่คารวะเสร็จไม่ได้ยินเสียงบอกให้ลุกขึ้นก็รักษาท่วงท่าคารวะเอาไว้อย่างดื้อดึง โงนเงนอยู่หลายครั้ง ราวกับว่าอึดใจถัดไปก็จะล้มลงไปบนพื้นจ้าวเฉียนมองดูจากเบื้องหลังเช่นนี้ อยากส่งเสียงเตือนอยู่หลายครั้ง แต่ทันใดนั้น ฉินซือเหิงก็ตอบสนองแล้วเขายกมือขึ้นมาประคองแขนอวี๋เหลียงเยว่ทำให้นางไม่ถึงกับล้มลง แล้วถอนหายใจ “ข้าไม่บอกให้ลุกขึ้น เจ้าก็คิดจะยืนต่อไปใช่หรือไม่”อวี๋เหลียงเยว่ก้มหน้า เผยเพียงศีรษะให้เขาดูคนทั้งสองยืนอยู่หน้าประตู ลมราตรีพัดมา กลิ่นหอมกรุ่นก็โชยมา ฉินซือเหิงกวาดสายตามองไปรอบๆ โดยสัญชาตญาณแล้วก็เห็นดอกไม้บริเวณหน้าประตูเขามุ่นคิ้ว “ดอกไม้นี้คุ้นตาทีเดียว”จ้าวเฉียนก้าวสั้นๆ มาข้างหน้า อธิบายว่า “รัชทายาท ดอกไม้นี้เรียกว่าอวี๋เหม่ยเหรินพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ? มีความหมายแฝงอันใดหรือไม่”จ้าวเฉียนถูกถามจนอึ้งไป ทันใดนั้นก็ไม่รู้ว่าควรออกปากอย่างไรดี“รัชทายาท ดอกไม้นี้ไป๋เหลียงตี้ส่งมาแสดงความยินดีที่หม่อมฉันได้รับตำแหน่งเพคะ หม่อมฉันชอบยิ่งนัก” อวี๋เหลียงเยว่รีบเอ่ยปาก กล่าวพลางคล้องแขนฉินซือเหิงเบาๆ ครู่ต่อมา เหมือนจะรู้ว่าไม่เหมาะสมจึ
วันรุ่งขึ้น ภายในตำหนักบูรพามีคนวิพากษ์วิจารณ์ไม่ขาดสายพอตื่นขึ้นมาครานี้ ตำหนักบูรพาเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นเสียแล้วรัชทายาทเลื่อนตำแหน่งให้อวี๋หรูเหรินเป็นอวี๋เจาซวิ่น ยังไม่พูดถึงว่านางเพิ่งได้รับตำแหน่งไม่นาน ควรทราบว่าระหว่างหรูเหรินและเจาซวิ่นยังมีเฟิ่งอี๋ รัชทายาทกลับข้ามขั้นผ่านไปอย่างง่ายดายทั้งอย่างนี้เห็นได้ชัดว่า อวี๋ซื่อผู้นี้มิอาจดูเบาข้ารับใช้ที่ปรนนิบัติเก็บความดูแคลนและความดูดายกลับไป ยามเช้าชิงหลิ่วไปรับอาหารเช้า บรรดาสาวใช้และขันทีที่พบนางล้วนแต่ต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม นางเปิดฝาออกดูสีสันอาหารในนั้น มุมปากก็วาดขึ้นเป็นวงโค้งแห่งความยินดีต่อจากนั้น รางวัลก็หลั่งไหลเข้ามาในหอชมจันทร์ดุจสายน้ำรัชทายาทแสดงออกชัดว่าจะโปรดปรานอวี๋เจาซวิ่นชิวเฉิงฮุยกำลังรับประทานมื้อเช้า ได้ยินข่าวแล้วก็กินอะไรไม่ลง เบิกตาโตจ้องมองสาวใช้ของตนเอง “รัชทายาทได้พูดถึงเรื่องดอกไม้พวกนั้นหรือไม่?”สาวใช้ส่ายหน้าเบาๆ “ไม่เพคะ”ชิวเฉิงฮุยพลันวางใจ จากนั้นก็เริ่มโมโหขึ้นมา ฝีมือเล็กน้อยของตนเองไม่เพียงไม่สร้างความเจ็บปวดให้คนชั้นต่ำนั่นแม้แต่น้อย รัชทายาทยังโปรดปรานนางถึงเพียงนี้ห
คิดได้เช่นนั้น ไป๋ซื่อก็แย้มยิ้มหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากหัวเราะเบาๆ แต่ในไม่ช้าก็หัวเราะไม่ออกแล้วพระชายารัชทายาทอมยิ้มตั้งแต่ต้นจนจบ กระทั่งถามเรื่องสัพเพเหระกับฝ่ายตรงข้ามอย่างสนิทสนมอวี๋เหลียงเยว่มีท่าทางเคารพระคนตื่นเต้นยินดี ตอบคำถามพระชายารัชทายาทอย่างระมัดระวัง คนทั้งสองโต้ตอบกันไปมา ถึงขั้นมีทีท่าว่าจะคุยกันถูกคออีกด้วยรอยยิ้มของไป๋ซื่อสลายไปโดยสิ้นเชิง เห็นสีหน้ายิ้มแย้มของคนทั้งสองแล้วในใจก็บังเกิดความอึดอัดคับข้องขึ้นมาน่าเบื่อจริงๆ พระชายารัชทายาทนางเฒ่าผู้นี้ คิดว่าคงต้องการดึงอวี๋ซื่อไปเป็นพวก แต่น่าเสียดายสตรีที่ฐานะต่ำต้อยคนหนึ่ง ดึงมาเป็นพวกแล้วมีประโยชน์อันใดเล่าคุยกับอวี๋เหลียงเยว่เสร็จ พระชายารัชทายาทก็หันมาถามไป๋ซื่อ “สุขภาพเจ้าดีขึ้นหรือยัง ก่อนหน้านี้ได้ยินคนพูดว่าสุขภาพเจ้าไม่ดีมาตลอดจึงไม่อาจมาคารวะเช้า ยามนี้หงอวิ๋นอายุเพียงหนึ่งขวบ เป็นวัยกำลังซนพอดี ถ้าเจ้าลำบากเกินไปก็มมิสู้ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี ข้าสามารถดูแลหงอวิ๋นแทนเจ้าได้สักหลายวัน...”“ไม่ต้อง!” นางพูดจบค่อยตระหนักว่าน้ำเสียงตนเองแหลมสูงจึงปรับน้ำเสียงให้อ่อนโยนลงหลายส่วน “ขอบพระทัยพระช
เหมือนกับชาติก่อน เพื่อให้มั่นใจว่าฉินมู่จะสามารถจับตาดูทุกการกระทำของนางในตำหนักบูรพาได้ รับประกันว่านางจะฟังคำสั่งและปฏิบัติตาม บางครั้งยังมาทรมานนาง เพราะอวี๋เหลียงเยว่ไม่สามารถทำให้ฉินซือเหิงพึงพอใจได้กลางดึกลอบเข้าห้องชั้นในเพื่อกล่าวเตือนล้วนเป็นเพียงอาหารเรียกน้ำย่อย บางครั้งโหดเหี้ยมถึงขั้นใช้เข็มแทงเข้าที่ปลายนิ้วของนาง ตำแหน่งนั้นถูกคนพบเห็นได้ยาก อีกทั้งยังสามารถทำให้ผู้ถูกกระทำเจ็บปวดเกินทนเถิงว่านเกลียดนางอย่างแท้จริง อีกทั้งยังรักฉินมู่มาก วันเวลาเหล่านั้นยามอยู่ในจวนฉินมู่ ยามนางและฉินมู่ลอบพบกันเป็นการส่วนตัว ได้เห็นสายตาเปี่ยมรักของเถิงว่านยามสบมองฉินมู่มิใช่เพียงแค่ครั้งเดียว กลับเผยด้านอำมหิตต่อหน้านาง น่าเสียดาย ฉินมู่ไม่เคยมอบความรักให้ผู้ใด เว้นเสียแต่ใช้ประโยชน์เท่านั้นผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ภายในห้องเงียบงันลงเงาดำคลายมือออก เงาร่างสายหนึ่งที่ถูกรัดไว้นั้นสูญเสียการทรงตัวในที่สุด หันหน้าเข้าหาพื้นล้มลงอย่างกะทันหัน ปังเสียงกระแทกพื้นดังขึ้น หมดลมหายใจไปตั้งนานแล้วนางไม่รีบร้อนไม่ร่ำไรก้าวเท้าเข้ามาหยุดข้างกายเถิงว่าน หยิบเข็มเงินบนพื้นมาดูแวบหนึ่ง ถอนหายใจ
ใคร่ครวญภายในใจว่าตกลงเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ ตำหนักบูรพานี้ต่อสู้กันไม่หยุด วันนี้ไม่ใช่นางทำให้นางลำบาก ก็คือถูกคนใช้ประโยชน์“พระชายารัชทายาทเพคะ ภายในบ่อน้ำลานส่วนหลังพบคนตาย...ยิ่งไปกว่านั้น ไป๋เหลียงตี้ตกใจจนหมดสติไป หมอหลวงเดินทางมาแล้ว...พูดว่านางตั้งครรภ์ได้หนึ่งเดือน เดิมทีครรภ์ยังไม่แข็งแรง ตกใจหนักถึงเพียงนี้เกือบรักษาเด็กไว้ไม่ได้ บัดนี้ทางฝั่งนั้นกำลังตกอยู่ในความชุลมุนวุ่นวายเพคะ...”สาวใช้คาดเดาแล้วพูดออกมาคนตาย นั่นคือเรื่องใหญ่ต่อสู้กันก็ช่างเถอะ หากเกี่ยวข้องกับการฆาตรกรรม นี่ก็จัดการยากแล้ว...“คนตายเป็นใคร”“นางกำนัลคนหนึ่งชื่อว่าเถิงว่านเพคะ”ภายในหอหยกหิมะ ประตูมีคนผ่านไปมาไม่ขาดสายไป๋เหลียงตี้นอนบนตั่งเตียงสีหน้าเผือดซีด จับผ้าห่มนุ่มบนตั่งเตียงเอาไว้แน่น ภายในสมองเต็มไปด้วยภาพศพหญิงบวมอืดในบ่อน้ำใบหน้าสีม่วงคล้ำเผือดซีดบวมเปล่งจนมองเห็นหน้าได้ไม่ชัด ผมดำสยายอยู่ภายในบ่อน้ำ ไฉนเลยนางจะเคยเห็นภาพน่ากลัวเช่นนี้“แหวะ...”“เหลียงตี้ เหลียงตี้ ท่านอย่าทำให้บ่าวตกใจเลยเพคะ” ซู่จิ่นตบหลังของนาง ภายในสายตาสะท้อนความร้อนใจอย่างสุดระงับไป๋ซื่อเงยหน้าขึ้นอ
ฉินซือเหิงนั่งบนตำแหน่งประธาน พระชายารัชทายาทนั่งถัดจากเขา“ตรวจสอบเป็นเช่นไร ได้ข้อสรุปแล้วหรือไม่”นักชันสูตรศพล้างมือในอ่างน้ำที่นางกำนัลยกมาให้ หันหลังเอ่ยตอบอย่างมีมารยาท “กระหม่อมมีคำตอบแล้ว นางกำนัลคนนี้มองดูคล้ายจมน้ำตาย แต่ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว สามารถมองเห็นรอยรัดลึกเข้าเนื้อบริเวณคอได้ จะต้องตายก่อนจมน้ำแน่พ่ะย่ะค่ะ”เงียบงันครู่หนึ่ง ฉินซือเหิงเอ่ยถามเสียงเครียด “สามารถมองออกว่าที่รัดคอนางตายเป็นสิ่งใดหรือไม่”นักชันสูตรศพเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยตอบ “กระหม่อมคิดว่า น่าจะเป็นของจำพวกผ้าต่วน แต่...”ฉินซือเหิงโบกมือ “เจ้าพูดมาก็พอ”“กระหม่อมคิดว่า สามารถทิ้งรอยลึกเช่นนี้ไว้ได้ คนร้ายจะต้องมีแรงมหาศาล น่ากลัวว่าเป็นฝีมือของผู้ชาย...แต่ กระหม่อมยังพบ ภายในนิ้วมือของฝ่ายหญิง มีเส้นด้ายบางๆ อยู่ กระหม่อมประเมินคร่าวๆ น่าจะเป็นด้ายเงาจันทร์พ่ะย่ะค่ะ”ผู้ชาย? ภายในตำหนักบูรพานอกจากขันทีแล้วก็มีแค่ขันทีองครักษ์หรือผู้ชายทั่วไป เดิมทีก็ไม่สามารถเข้ามาในตำหนักบูรพาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลานส่วนหลังส่วนด้ายเงาจันทร์...นี่คือเครื่องราชบรรณาการภายในวัง ตำหนักบูรพาย่อมมีเฉกเดียวกัน
“พอแล้ว” ฉินซือเหิงพูดตัดบทนางด้วยเสียงเย็นชา “เรื่องนี้ให้จบลงเท่านี้ นางกำนัลคนนั้นฆ่าตัวตายเป็นความผิดใหญ่หลวง ต้องถูกประหารทั้งตระกูล เกิดเรื่องเช่นนี้ภายในตำหนักบูรพา ภายภาคหน้าเพิ่มการลาดตระเวนให้เข้มงวดทั้งภายในภายนอกยิ่งขึ้น หากยังเกิดเรื่องเช่นนี้อีก คนลาดตระเวนเหล่านั้น รวมถึงคนที่เกี่ยวข้อง ทั้งหมดจะต้องถูกลงโทษตามความผิด”พูดจบ ถึงขั้นมีความคิดปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปชิวเฉิงฮุยร้อนใจมากยิ่งขึ้น หลักฐานเหล่านั้นล้วนชี้มาที่นาง รัชทายาทปล่อยผ่านไปอย่างง่ายดายถึงเพียงนี้ เช่นนั้นภายภาคหน้า...ความร้อนใจภายในใจนางถูกสายตาของฉินซือเหิงขัดขึ้น เพราะสายตาของเขาตกลงบนตัวอวี๋เหลียงเยว่ตั้งแต่เริ่มจนจบอวี๋เหลียงเยว่นั่งฟังพวกเขาพูดอยู่ทางด้านข้าง บางครั้งหลังได้ยินข้อสรุปของนักชันสูตรศพ สีหน้าก็เผือดซีดขึ้นเล็กน้อย เงาร่างเล็กๆ นั่งสั่นเทาอยู่ตรงนั้น ท่าทางน่าสงสารอย่างมาก“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า...เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถอะ ไม่มีเรื่องใดก็ไม่ต้องออกจากเรือน อยู่พักผ่อนภายในเรือนดีๆ”สิ้นคำก็หันไปพูดกับพระชายารัชทายาท “หอชมจันทร์มีคนปรนนิบัติน้อยเกินไป ข้าได้ยินจ้าวเฉียนพูด
จ้าวเฉียนขยับขึ้นไปค้อมตัวลง “พรุ่งนี้บ่าวจะสั่งให้คนนำของมาส่งเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ”“อืม” ฉินซือเหิงนี่ถึงรับคำอย่างพึงพอใจภายในใจจ้าวเฉียนมีความทุกข์ใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่ใช่เขาไม่มอบของให้ อีกทั้งยังไม่ใช่ตำหนักบูรพาปฏิบัติอย่างเข้มงวด แต่รัชทายาทเขา...ไม่เห็นอวี๋เจาซวิ่นสำคัญตั้งแต่แรก เจ้านายของเขาไม่ใส่ใจ พวกเขาบ่าวรับใช้ยิ่งไม่ใส่ใจอวี๋เหลียงเยว่ไม่มีท่าทีตอบสนองใดต่อบทสนทนาของทั้งคู่ แต่ยืนว่าง่ายอยู่ที่ฝั่งหนึ่ง บางครั้งเงยหน้าขึ้นลอบมองฉินซือเหิงอย่างซุกซนฉินซือเหิงไฉนเลยจะมองไม่เห็นสายตาของนาง โบกมือ เป็นสัญญาณให้นางเข้ามา“ยืนอยู่ทำอะไร นั่งลงเถอะ พูดเป็นเพื่อนเรา”“เพคะ”“ได้ยินมาว่าหลายวันนี้เจ้าไม่ชอบออกจากบ้าน เราเห็นเจ้าผอมแล้ว ได้รับความตกใจจากวันนั้นหรือ?”ถ้อยคำนี้มองแล้วคล้ายกำลังสงสัย แต่แท้จริงแล้วกลับมั่นใจหลายวันมานี้ภายนอกร้อนอยู่บ้าง นางคร้านจะลุกขึ้น ไม่ชอบออกนอกบ้าน อากาศร้อนความอยากอาหารเองก็ไม่ดี นี่ถึงผอมลงแต่ความเข้าใจผิดอันแสนงดงามนี้ อวี๋เหลียงเยว่คิดว่าดียิ่งนัก“หม่อม...หม่อมฉันนึกถึงเรื่องวันนั้น จึงรู้สึกกลัวอยู่บ้างเพคะ” อวี๋เหลียงเยว่
“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ” ชิงหลิ่วตอบกลับ จากนั้นสิ่งที่ตอบรับนางก็คือเสียงลมหายใจของอวี๋เหลียงเยว่ที่หลับไหลไปแล้ว......สถานที่ที่มีสตรีมากมาย เรื่องราวก็ยิ่งมาก ฉากหน้าเป็นพี่น้องที่แสนดี ทุกคนล้วนให้ความเกรงใจกัน สนิมสนมกลมเกลียวกันมากแต่เบื้องหลังกลับแทบอยากจะฉีกหน้าอีกฝ่ายจนเละ ดึงทึ้งเครื่องประดับบนศีรษะของอีกฝ่ายให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ เรื่องราวต่อหน้าและลับหลังเกิดขึ้นในมุมมากมาย......“ได้ข่าวแล้วหรือยัง เหตุใดถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้!” ฉินมู่นั่งอยู่ข้างโต๊ะ จมอยู่ท่ามกลางเงาดำมืด แค่เสียงก็ทำให้คนรู้สึกกลัวจนตัวสั่นสะท้านที่ปรึกษาที่กำลังคุกเข่าอยู่ตัวสั่นระริก หยาดเหงื่อเม็ดใหญ่หยดลงพื้น “กระหม่อมสืบมาแล้ว ถึงได้ข่าวว่าคนผู้นั้น...มีความสัมพันธ์ย่ำแย่กับภรรยาที่บ้านมานานแล้ว ถึงขนาดที่พูดได้ว่า...จงเกลียดจงชัง ดังนั้นเมื่อเราเอาภรรยาของเขามาบีบบังคับ เขาจึงแกล้งรับปาก แต่ความจริงแล้วกลับสืบหาจุดมุ่งหมายและดูลาดเลาของพวกเรา สุดท้ายก็ตลบหลัง ไม่ทำตามที่เราสั่งพ่ะย่ะค่ะ...”นับตั้งแต่ที่ฉินมู่ได้รับข่าวจากทางอวี๋เหลียวเยว่เมื่อครั้งก่อน เขาก็ดำเนินการอย่างรวดเร็วเข
“อวี๋เจาซวิ่น” “น้อมคารวะฉือเฉิงฮุยเพคะ” อวี๋เหลียงเยว่ยิ้มพลางคารวะฉือชิวเยียนรีบส่งสัญญาณให้สาวใช้ไปประคองด้วยความเกรงใจมาก ก่อนจะรีบกล่าวว่า “ข้าไม่ถือเรื่องพวกนี้ ข้าเพิ่งเข้าตำหนักบูรพา ยังมีเรื่องมากมายที่ไม่เข้าใจ วันหน้ายังต้องรบกวนให้อวี๋เจาซวิ่นช่วยดูแลอีกมาก” อวี๋เหลียงเยว่ไม่เปลี่ยนสีหน้า “ฉือเฉิงฮุยกล่าวอันใดกันเพคะ ตำแหน่งของท่านสูงกว่าหม่อมฉัน ชาติตระกูลก็ดี วันหน้าจะต้องก้าวขึ้นตำแหน่งสูงอย่างรวดเร็วแน่นอนเพคะ”นี่เป็นการปฏิเสธคำขอของนางอย่างสุภาพฉือชิวเยียนหน้าทะมึนลง แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง “เจ้าไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวไป พอข้ามาถึงก็ได้ยินว่าเจ้าเข้ามาที่ตำหนักบูรพาก็ได้รับความโปรดปรานจากองค์รัชทายาทมาก ไฉนจะเหมือนกับพวกเราที่ได้ร่วมราตรีเพียงครั้งเดียวก็ไม่มีโอกาสได้พบองค์รัชทายาทอีก” ฉือซื่อพูดพลางทำหน้าหม่นหมองเล็กน้อย“องค์รัชทายาทจะพบใครหรือไม่พบใคร หม่อมฉันก็ไม่สามารถช่วยเรื่องนี้ได้เช่นกัน พี่ฉือเพคะ ตอนนี้หม่อมฉันรู้สึกง่วงเล็กน้อย ขอกลับเรือนก่อนนะเพคะ” อวี๋เหลียงเยว่กล่าวจบก็เดินจากไป ไม่ให้โอกาสฉือชิวเยียนได้พูดคุยต่อเลยคนหน้าเนื้อใจเส
เมื่อสูญเสียบุตรไปแล้ว ฉินซือเหิงได้รับข่าวก็รีบไปที่หอหยกหิมะ เมื่อเผชิญหน้ากับเขา ไป๋ซื่อก็ร้องห่มร้องไห้ด้วยความเสียใจอีกครั้งราวกับดอกสาลี่ต้องหยาดฝน ช่างน่าสะเทือนใจ ถึงอย่างไรก็เป็นสตรีที่ตอนเคยโปรดปรานมาก่อน เมื่อเห็นนางเสียใจถึงเพียงนี้ เขาเองก็เศร้าใจกับกาสูญเสียบุตรไปเช่นกัน จึงปลอบใจดี ๆ อยู่นาน อีกทั้งยังพำนักอยู่ในเรือนของนางหลายวันต่อมา ไป๋ซื่อรั้งองค์รัชทายาทให้พำนักอยู่ในเรือนของนางทุกคืน หอหยกหิมะที่ก่อนหน้านี้ยังไร้ชีวิตชีวา ไม่นานก็คึกคักขึ้นมาอีกครั้งภายในหอดุจจันทร์ พระชายารัชทายาทลูบสร้อยประคำในมือโดยที่ไม่ได้รู้สึกแย่อะไร วันนี้ตำแหน่งด้านขวาล่างว่างเปล่าอีกครั้งคนอื่น ๆ มากันครบแล้วใบหน้าของนางดูไม่ออกถึงความรู้สึกใด ๆ อวี๋เหลียงเยว่เริ่มสังเกตสองคนที่มาใหม่อย่างละเอียดอีกครั้ง คนหนึ่งแซ่อวี้ มีนามว่าอวี้หานเซียง ชื่อช่างเหมาะสมกับตัวคน เล่ากันว่าเมื่อเกิดมาก็มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ติดกาย รูปโฉมงดงามแต่ไม่ได้เย้ายวน ตรงกันข้ามใบหน้ากลับให้ความรู้สึกเย็นชานับตั้งแต่ที่เข้ามาในหอดุจจันทร์ อวี๋เหลียงเยวก็สังเกตเห็นว่านางนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางเชิดคางมองตร
ฮวาต้วนก็มองอย่างตะลึงงัน แต่บทเรียนจากหลายครั้งที่ผ่านมาทำให้นางใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว รีบตัดสินใจส่งน้ำแก้วหนึ่งไปที่ริมฝีปากของไป๋ซื่อ “เหลียงตี้เพคะ ท่านรีบดื่มน้ำเถิดเพคะ! อาจจะดีขึ้นบ้าง! ยังต้องใช้เวลาสักพักกว่าหมอหลวงจะมาถึง ท่านไม่ได้เสวยอะไรมาทั้งวัน เวลานี้ก็ไม่มีแรงแล้วด้วย”ไป๋ซื่อกำลังคิดจะบันดาลโทสะ เมื่อได้ยินคำพูดของนางก็รู้สึกว่ามีเหตุผลมาก จึงรับไปดื่มรวดเดียวจนหมดหลังจากดื่มหมดก็เป็นการรอคอนที่แสนยาวนานเวลานี้นางรู้สึกนึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง หมอหลวงกำชับอย่างเด็ดขาดแล้วว่าให้นางพักผ่อนให้ดี อย่าได้มีอารมณ์รุนแรงแต่ว่าตอนนี้นึกเสียใจก็ไม่มีประโยชน์แล้ว เนื่องจากไม่นานก็มีดอกไม้โลหิตสีสันสดใสเบ่งบานเป็นดวงใหญ่ที่ใต้ชายกระโปรง ย้อมจนเป็นสีแดงผืนใหญ่ เมื่อฮวาต้วนเห็นสีแดงนั้นในดวงตาก็เหมือนกับเห็นกระบี่ที่แย่งชิงชีวิตก็ไม่ปาน ทำให้นางกรีดร้องด้วยความตกใจ!“ใครก็ได้ แย่แล้ว! ใครก็ได้รีบมาที เหลียงตี้แย่แล้ว!” นางเหมือนกับเป็นบ้าไม่สนใจภาพลักษณ์ ปิ่นมุกบนศีรษะก็หลุดรุ่ย ก่อนจะกรีดร้องตะโกนเสียงดังตรงหน้าประตูไม่นานข้ารับใช้ด้านล่างก็รีบกรูกันเข้ามา บ้างก็ไปตามหมอห
“พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท กระหม่อมทราบแล้ว” จ้าวเฉียนเดินตามหลัง ข่มกลั้นความตกตะลึงในใจ บังคับตัวเองไม่ให้หันห้าไปมองอวี๋ซื่อ องค์รัชทายาทไม่เคยลุ่มหลงในความงดงามของอิสตรี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเอาใจใส่สตรีนางหนึ่ง อวี๋เจาซวิ่นเพิ่งร่วมราตรีได้ไม่นาน ก็ได้รับความโปรดปรานจากองค์รัชทายาทถึงเพียงนี้ ทำให้เขาตกใจจริง ๆ...แต่ก็เห็นได้ถึง ความเฉียบแหลมของอวี๋เจาซวิ่น“หยกสมปรารถนาชิ้นนั้นเป็นของที่อดีตฮ่องเต้ทรงทิ้งไว้ พระราชทานให้กับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน และฝ่าบาทได้พระราชทานให้องค์รัชทายาท บัดนี้องค์รัชทยาททรงมอบให้อวี๋เจาซวิ่น ช่างเป็นการเอาใจใส่เกินไปหน่อยจริงๆ” พระชายารัชทายาทหยุดพลิกดูสมุดบัญชีในมือ แล้วทำสีหน้าใคร่ครวญออกมาพระชายารัชทายาทชอบดูชอบฟังเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความอวดดีไร้เหตุผลของไป๋ซื่อ ประการแรกเป็นเพราะกำลังสนับสนุนจากตระกูลมารดาของนาง ประการที่สองเป็นเพราะความโปรดปรานจากองค์รัชทายาท อีกทั้งยังให้กำเนิดพระนัดดารัชทายาทเพียงหนึ่งเดียวแต่อวี๋ซื่อผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลหรือว่าสิ่งอื่นใดล้วนห่างชั้นจากไป๋ซื่อมากนัก แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่ผ่านมานี้ รู้สึกได้ราง ๆ ว่านางยัง
เขายื่นมือไปโอบเอวบางของอวี๋เหลียงเยว่ ให้นางนั่งตักของเขาแล้วหัวเราะเบา ๆ ว่า “เจ้ามาอยู่ตำหนักบูรพาได้นานพอสมควรแล้ว ได้ยินว่าเจ้าให้ความเคารพต่อพระชายารัชทายาทมาก” ได้รับความโปรดปรานแต่ไม่เย่อหยิ่ง ถือเป็นข้อดีอย่างหนึ่งยามค่ำคืนอวี๋เหลียงเยว่ก็ถอดปิ่นมุกมากมายบนศีรษะออกเช่นกัน เส้มผมสีดำสยายอยู่ด้านหลังศีรษะ มีหลายเส้นตกลงมาบนไหปลาร้าของนางอย่างซุกซน ทำให้ฉินซือเหิงอดมองนานขึ้นไม่ได้ “พระชายาทรงมีเมตตาต่อหม่อมฉันมากมาตลอด หม่อมฉันย่อมเคารพนางเป็นธรรมดาเพคะ”นางกล่าวด้วยใบหน้าไร้เดียงสา จากนั้นก็ยื่นแขนขาวนวลไปโอบคอของรัชทายาทอย่างกล้าหาญมากอีกครั้ง ท่าทางดูพึ่งพิงมาก ทำให้ฉินซือเหิงรู้สึกสบายใจมากเขายกมือขึ้นมาลูบดวงหน้าเล็กนุ่มละมุนของนาง “เจ้ารู้ความ เราย่อมโปรดปรานเจ้ามากยิ่งขึ้น” อวี๋เหลียงเยว่ฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไป ไม่ได้เก็บมาใส่ใจแม้แต่น้อย หากชอบเจ้า เจ้าก็จะเป็นของล้ำค่าในดวงใจ ไม่ว่าทำสิ่งใดล้วนดีไปหมด หากชิงชังเจ้า เกรงว่าเจ้าไม่อาจเทียบได้แม้กระทั่งฝุ่นบนพื้น ฝุ่นยังมีคนปัดกวาด ชาติที่แล้วนางไม่ได้รับความโปรดปราน ทำได้เพียงปล่อยให้คนเหยียบย่ำ อวี๋เหลียงเย
หลังจากนี้ต่อให้จับได้ พอถึงตอนนั้นก็สายไปแล้วลองถามดูเถิด ใครเล่าจะเชื่อคำพูดของนักโทษคนหนึ่ง? คำพูดเพ้อเจ้อของนักโทษ หากเชื่อขึ้นมา ตนเองก็คงเป็นคนบ้าเหมือนกันไม่ใช่หรือ? นางหัวเราะเบา ๆ แล้วไม่อธิบายอะไรอีก ก่อนจะแกว่งเท้าเล็ก ๆ ดื่มเครื่องดื่มเย็น ๆ ในชามจนหมดในอึกเดียว จากนั้นก็เงยหน้าเผยให้เห็นความจริงใจเล็กน้อย “ชิงหลิ่วคนดี อีกประเดี๋ยวเจ้านี่ก็หมดแล้ว ไม่สู้...เจ้าช่วยไปที่ห้องเครื่องเอามาให้ข้าอีกสักชามเถิด” นางกล่าวพลางทำทางไร้เดียงสา ชิงหลิ่ว “นายหญิงเพคะ ส่วนของท่านมีแค่ชามเดียว หมดแล้วเพคะ”อวี๋เหลียงเยว่ไม่หลงกล ขณะที่กำลังเตรียมตัวอ้อนวอนต่อ สายตามองไปเห็นเงาดำด้านนอกประตู จึงเปลี่ยนน้ำเสียงในพริบตาว่า “บัดนี้องค์รัชทายาททรงโปรดปรานข้า ข้าขอเครื่องดื่มเย็น ๆ เพิ่มอีกชามคงไม่เป็นไรหรอก! องค์รัชทายาททรงมีความสามารถถึงเพียงนี้ ยังจะถูกข้ากินจนหมดตัวได้อีกหรือ!” “พูดได้ดี เราต้องพยายามเสียแล้ว เพื่อไม่ให้เราโดนเจ้ากินจนหมดตัว”ฉินซือเหิงสาวเท้าเดินเข้ามาอย่างฉับไว ใบหน้ามีรอยยิ้มบาง ๆ แค่เห็นก็รู้ว่าอารมณ์ดีมากปลาติดเบ็ดแล้ว ได้มาอย่างไม่เปลืองแรงเลยแต่สิ่ง
ข่าวที่ชิงหลิ่วส่งออกไปถูกส่งต่อไปถึงมือของฉินมู่ เขามองชื่อที่เขียนบนกระดาษจดหมายแล้วขมวดคิ้วกล่าวว่า “สืบประวัติคนผู้นี้แล้วหรือยัง”ที่ปรึกษาใต้บังคับบัญชาพยักหน้า เอ่ยเสียงเบาว่า “กระหม่อมไปสืบแล้วพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบขององค์รัชทายาทมาโดยตลอดจริง ๆ หากเขาอยู่ในกองขนส่งเสบียง กระหม่อมคิดว่าข่าวนี้เป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ” ฉินมู่ผงกศีรษะ แนวกรามที่เรียบคมเผยให้เห็นความเย็นชาอำมหิต เขานั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน แสงไฟภายในห้องสลัว ครู่ต่อมาเขาจึงถามอีกว่า “แม่นางอวี๋ในตำหนักบูรพาสบายดีหรือไม่” ที่ปรึกษามองเขาอย่างยากจะสังเกตเห็นแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้ากล่าวออกมาว่า “สบายดีไปหมดทุกอย่างพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อได้ยินคำนี้ แววตาของเขาก็ทะมึนลง จากนั้นก็คลี่ยิ้มหยันออกมา “ดี” ไม่มีใครเห็นว่าบนโต๊ะของเขามีภาพวาดภาพหนึ่ง สตรีบนภาพเลอโฉมเฉิดฉัน ดวงหน้างดงามดุจดังเทพเยนในภาพวาด นัยน์ตาดูเฉลียวฉลาด หางตาและคิ้วมีเสน่ห์เย้ายวนใจราวกับพรายน้ำเขายกมือขึ้นมา นิ้วที่มีข้อต่อชัดเจนลูบไล้แก้มของสตรีในภาพวาด ผ่านไปสักพักก็มีเสียงแผ่วเบาดังมาจากในห้องที่มืดสลัวว่า “เจ้าเป็นของข้า...
ชิงหลิ่วไม่รู้ว่าเหตุใดจึงถามเช่นนี้ จึงทำได้เพียงพยายามเอ่ยอย่างคลุมเครือให้มากที่สุด ยิ่งเอ่ยมากก็ยิ่งผิดมากฉินซือเหิงเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้ว หนึ่งเดือนมานี้มีคนใหม่เข้ามาในตำหนักบูรพา อวี๋เหลียงเยว่จึงอยากพึ่งพิงเขามากขึ้นเล็กน้อย...คิดว่าคงไม่สบายใจ ทว่าเมื่อเกิดการคาดเดาเช่นนี้ขึ้นมา ในใจของเขาก็เกิดความรู้สึกที่ยากจะอธิบายให้ชัดเจนขึ้นมาเล็กน้อยความรู้สึกนี้ดำเนินต่อไปจนกระทั่งเขาเข้าเฝ้าที่ท้องพระโรงถึงค่อย ๆ จางหายไป...... หลังจากเข้าเฝ้าเสร็จสิ้นแล้วกลับมาที่ตำหนักบูรพา จ้าวเฉียนก็มาช่วยเขาเปลี่ยนเป็นสวมชุดฉางฝู ยังไม่ทันนั่งลง สาวใช้ด้านนอกก็มาแจ้งว่าไป๋เหลียงตี้อาเจียนไม่หยุด ขอให้องค์รัชทายาทไปดูความหมายในคำพูดนี้มีไม่น้อยเลยจริง ๆ อาเจียนสินะ เมื่อคำนวณดูแล้วไป๋เหลียงตี้เพิ่งจะตั้งครรภ์นี้ได้แค่หนึ่งเดือน น่าจะยังไม่ถึงช่วงเวลานี้ อีกอย่างการที่สตรีมีครรภ์อาเจียน ปกติแล้วเป็นเพราะว่าได้กลิ่นอะไรบางอย่าง หรือว่ากินอะไรบางอย่าง ไม่ว่าเป็นเพราะอะไร คิดว่าไป๋เหลียงตี้คงจะสร้างเรื่องอีกแล้ว จ้าวเฉียนคิดเช่นนี้ ฉินซือเหิงลูบสร้อยประคำมันเงาบนมือแล้วสั่งการว่า “ไปเช