“อวี๋เจาซวิ่น” “น้อมคารวะฉือเฉิงฮุยเพคะ” อวี๋เหลียงเยว่ยิ้มพลางคารวะฉือชิวเยียนรีบส่งสัญญาณให้สาวใช้ไปประคองด้วยความเกรงใจมาก ก่อนจะรีบกล่าวว่า “ข้าไม่ถือเรื่องพวกนี้ ข้าเพิ่งเข้าตำหนักบูรพา ยังมีเรื่องมากมายที่ไม่เข้าใจ วันหน้ายังต้องรบกวนให้อวี๋เจาซวิ่นช่วยดูแลอีกมาก” อวี๋เหลียงเยว่ไม่เปลี่ยนสีหน้า “ฉือเฉิงฮุยกล่าวอันใดกันเพคะ ตำแหน่งของท่านสูงกว่าหม่อมฉัน ชาติตระกูลก็ดี วันหน้าจะต้องก้าวขึ้นตำแหน่งสูงอย่างรวดเร็วแน่นอนเพคะ”นี่เป็นการปฏิเสธคำขอของนางอย่างสุภาพฉือชิวเยียนหน้าทะมึนลง แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง “เจ้าไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวไป พอข้ามาถึงก็ได้ยินว่าเจ้าเข้ามาที่ตำหนักบูรพาก็ได้รับความโปรดปรานจากองค์รัชทายาทมาก ไฉนจะเหมือนกับพวกเราที่ได้ร่วมราตรีเพียงครั้งเดียวก็ไม่มีโอกาสได้พบองค์รัชทายาทอีก” ฉือซื่อพูดพลางทำหน้าหม่นหมองเล็กน้อย“องค์รัชทายาทจะพบใครหรือไม่พบใคร หม่อมฉันก็ไม่สามารถช่วยเรื่องนี้ได้เช่นกัน พี่ฉือเพคะ ตอนนี้หม่อมฉันรู้สึกง่วงเล็กน้อย ขอกลับเรือนก่อนนะเพคะ” อวี๋เหลียงเยว่กล่าวจบก็เดินจากไป ไม่ให้โอกาสฉือชิวเยียนได้พูดคุยต่อเลยคนหน้าเนื้อใจเส
“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ” ชิงหลิ่วตอบกลับ จากนั้นสิ่งที่ตอบรับนางก็คือเสียงลมหายใจของอวี๋เหลียงเยว่ที่หลับไหลไปแล้ว......สถานที่ที่มีสตรีมากมาย เรื่องราวก็ยิ่งมาก ฉากหน้าเป็นพี่น้องที่แสนดี ทุกคนล้วนให้ความเกรงใจกัน สนิมสนมกลมเกลียวกันมากแต่เบื้องหลังกลับแทบอยากจะฉีกหน้าอีกฝ่ายจนเละ ดึงทึ้งเครื่องประดับบนศีรษะของอีกฝ่ายให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ เรื่องราวต่อหน้าและลับหลังเกิดขึ้นในมุมมากมาย......“ได้ข่าวแล้วหรือยัง เหตุใดถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้!” ฉินมู่นั่งอยู่ข้างโต๊ะ จมอยู่ท่ามกลางเงาดำมืด แค่เสียงก็ทำให้คนรู้สึกกลัวจนตัวสั่นสะท้านที่ปรึกษาที่กำลังคุกเข่าอยู่ตัวสั่นระริก หยาดเหงื่อเม็ดใหญ่หยดลงพื้น “กระหม่อมสืบมาแล้ว ถึงได้ข่าวว่าคนผู้นั้น...มีความสัมพันธ์ย่ำแย่กับภรรยาที่บ้านมานานแล้ว ถึงขนาดที่พูดได้ว่า...จงเกลียดจงชัง ดังนั้นเมื่อเราเอาภรรยาของเขามาบีบบังคับ เขาจึงแกล้งรับปาก แต่ความจริงแล้วกลับสืบหาจุดมุ่งหมายและดูลาดเลาของพวกเรา สุดท้ายก็ตลบหลัง ไม่ทำตามที่เราสั่งพ่ะย่ะค่ะ...”นับตั้งแต่ที่ฉินมู่ได้รับข่าวจากทางอวี๋เหลียวเยว่เมื่อครั้งก่อน เขาก็ดำเนินการอย่างรวดเร็วเข
ยามเหม่าเจ็ดเค่อ วันที่เจ็ดเดือนเจ็ด รัชศกซินโฉ่วปีที่หนึ่งอากาศร้อนอบอ้าว ในอากาศแฝงไว้ซึ่งความชื้นเหนอะหนะก่อนพายุฝน พืชพรรณและมวลบุปผาสองฟากทางในวังหลวงเหี่ยวเฉาโรยราข้างนอกคือวังหลวงงามวิจิตร ทุกหนแห่งแกะสลักลวดลายหงส์มังกร งดงามดุจวิมานหยกบนชั้นฟ้า ภายในตำหนักที่อ้างว้างห่างไกลแห่งหนึ่ง สีผนังหลุดล่อน ฝุ่นเกรอะรอบด้าน แมลงไม่ทราบนามไต่ตามข้าวของเครื่องใช้ภายในห้องเป็นระยะ ไม่สอดรับกับความโอ่อ่าหรูหราภายในวังหลวงโดยสิ้นเชิงประตูตำหนักปิดสนิท ขันทีและนางกำนัลปิดปากเงียบ รอบด้านสงัดเสียง สายตาทุกคนจับจ้องไปยังร่างหญิงงามที่ผมดำปล่อยสยายใบหน้าแดงเรื่อผิดปกติบนเตียงด้วยแววตาร้อนใจบรรยากาศเงียบงันเช่นนั้นเหมือนกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง กระทั่งเสียงลมหายใจก็ยังแผ่วเบาตามไปด้วยหมอหลวงจากสำนักหมอหลวงกุมมือยืนอยู่ข้างเตียงด้วยใบหน้าซีดขาว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความอบอ้าวภายในห้องหรือเพราะเหตุใด เหงื่อเม็ดโตจึงกลิ้งลงมาจากบนหน้าผาก หยดลงหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันกับฝุ่นบนพื้นหินคนทั้งห้องรอคอยด้วยความร้อนรน จิตใจกระสับกระส่าย รอให้สตรีบนเตียงหมดลมหายใจจะได้ไปรายงานกับฮ่องเต้องค์ใหม่เบื้
ในไม่ช้า ภายใต้ความร่วมมือกับฉินมู่หลายครั้งหลายครา อวี๋เหลียงเยว่ก็ได้รับความไว้วางใจเล็กน้อยจากฉินซือเหิงอย่างง่ายดาย แม้ไม่มาก แต่ก็เพียงพอแล้วแต่นางมักกลัวว่าจะถูกช่วงเวลาเช่นนี้ทำให้ไขว้เขวจึงเตือนตัวเองว่าไม่อาจลืมภารกิจตั้งแต่ต้นจนจบ นางล้วนไม่อาจลืมเลือนได้ พวกค้ามนุษย์เห็นว่านางมีรูปโฉมงดงามก็คิดจะนำนางไปขายให้ซ่องโสเภณีในราคาสูง เป็นฉินมู่ที่ช่วยเหลือนางไว้ท่ามกลางความสิ้นหวังค่ำคืนวันนั้น แสงดาวระยิบระยับ ดวงตาของเขาทั้งลึกล้ำและสว่างไสว ราวกับธารน้ำไหลเอื่อยในหุบเขา แม้จะปกคลุมด้วยม่านรัตติกาล แต่ก็ยังสะท้อนภาพของนางให้เห็นได้อย่างชัดเจนฉินมู่สอนการอ่านหนังสือคัดอักษรและสอนธรรมเนียมมารยาทให้นางด้วยตนเอง พานางห้อม้าโผนทะยาน ทุกสิ่งที่นางทำเป็นล้วนเป็นเขาถ่ายทอดให้ทั้งสิ้นนางได้สัมผัสกับทุกสิ่งที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนยามนั้นนางอายุเพียงสิบสี่ปี ความรู้สึกในวัยแรกแย้มประหนึ่งเปลวเพลิงที่ถูกลมพัดโหม เผาไหม้รุนแรงยิ่งนักนางหวั่นไหวแล้ว จึงยึดถือถ้อยคำของฉินมู่เป็นจริงเป็นจังฉินมู่บอกว่า รอจนนางทำภารกิจสำเร็จถอนตัวออกมาก็จะให้อยู่ข้างกายเขา สัญญาว่าจะให้ทุกสิ่งที่นาง
ชิงหลิ่วที่อยู่ข้างๆ กระตุกแขนเสื้ออวี๋เหลียงเยว่เบาๆ พลางมองความเงียบสงัดรอบด้านแล้วหดตัวเล็กน้อย “คุณหนู จู่ๆ มาสถานที่เปลี่ยวๆ แบบนี้กลางดึกกลางดื่นทำไมเจ้าคะ พวกเรารีบกลับกันเถอะเจ้าค่ะ”อวี๋เหลียงเยว่ปรายตามองนางพลางยิ้มบาง “ไม่ต้องร้อนใจ อีกไม่นานก็กลับแล้ว ถ้าเรื่องนี้สำเร็จ วันเวลาดีๆ ของคุณหนูของเจ้ากำลังจะมาถึงแล้วละ...”นางเอ่ยประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงเบายิ่ง ชิงหลิ่วได้ยินไม่ชัดนัก แต่นางก็ไม่ได้ถามต่อแอ๊ดหลังจากนั้นมีเสียงเปิดประตูทึบๆ ดังขึ้น ห้องที่ห่างไกลห้องหนึ่งถูกเปิดออก ฝุ่นที่ปะทะเข้ามาหาทำให้สองนายบ่าวไอโขลกไม่หยุด“ปัดกวาดสักหน่อยเถอะ ข้าจะไหว้แม่ข้าที่นี่”ชิงหลิ่วเผยอปากอย่างประหลาดใจ “คุณหนู กราบไหว้ตามอำเภอใจในวัง ถ้าถูกจับได้จะต้องถูกลงโทษนะเจ้าคะ...”“เจ้าวางใจเถอะ”สีหน้าสงบหนักแน่นของอวี๋เหลียงเยว่ทำให้ชิงหลิ่วใจกล้าขึ้นมาบ้าง นางก้าวเข้าไปปัดฝุ่นบนเบาะกลมอย่างรวดเร็ว แล้วปัดกวาดพื้นที่สะอาดมุมหนึ่งให้อวี๋เหลียงเยว่ใช้งาน จากนั้นจึงหลบไปยืนข้างๆ ด้วยใบหน้าผมเผ้าเปื้อนฝุ่นรอยยิ้มบางประดับอยู่บนใบหน้าอวี๋เหลียงเยว่ตั้งแต่ต้นจนจบ มองดูดวงจันทร์ข้
ใบหน้าไม่แต่งแต้มแป้งชาด แต่เมื่อเข้าไปใกล้กลับได้กลิ่นหอมกรุ่นอ่อนจางจากบนร่างนางดวงตาเขาทอแววลุ่มลึก ยกมือเชื้อเชิญอวี๋เหลียงเยว่ “มานี่”อวี๋เหลียงเยว่หวาดกลัวสามส่วน เขินอายสามส่วน ก้าวมาข้างหน้าช้าๆ ชายกระโปรงเลิกขึ้นรำไรระหว่างเยื้องย่าง เผยให้เห็นความขาวผ่องบอบบางตรงข้อเท้าคล้ายกับรังเกียจว่านางเดินช้าเกินไป ฉินซือเหิงจึงลุกขึ้นมา เมื่อยืนขึ้น เงาร่างสูงใหญ่นั้นก็บดบังสตรีร่างบอบบางตรงหน้าได้อย่างมิดชิด แขนทรงพลังราวกำแพงเล็กนั้นอุ้มร่างนางขึ้นมาก้าวเดินตรงไปที่เตียงอวี๋เหลียงเยว่หลับตาปี๋ แขนที่โอบรอบลำคอเขาสั่นเทิ้มน้อยๆ ฉินซือเหิงนึกว่านางสะเทิ้นอาย มุมปากจึงคลี่ยิ้มบางออกมาแต่มีเพียงนางเองจึงทราบว่า นางหวาดกลัวแล้วกลัวว่าฉินซือเหิงจะมองเห็นความทะเยอทะยานและความปรารถนาในแววตานางเครื่องนอนบนเตียงปูไว้เรียบร้อยมาแต่แรก อวี๋เหลียงเยว่ถูกเขาวางลงบนเตียงอย่างหยาบกระด้าง ต่อจากนั้นก็สัมผัสได้ว่าเขาเริ่มปลดเปลื้องอาภรณ์นางเหมือนชาติที่แล้วไม่มีผิด ฉินซือเหิงช่างไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาเอาเสียจริงๆถูกกักไว้ในอ้อมแขน นางหลบก็ไม่มีที่ให้หลบ ทั้งยังไม่มีเหตุผลให้หลบใน
นอกจากนี้ ฉินซือเหิงเทียบกับฉินมู่แล้ว แม้จะเย็นชาไปสักหน่อย แต่เป็นคนใจกว้าง รักษาคำพูด ถือว่าเป็นที่พึ่งที่ดีคนหนึ่งหลังแต่งตัวเรียบร้อย ใบหน้าประดับไว้ด้วยรอยยิ้มพอเหมาะพอเจาะ อวี๋เหลียงเยว่พาชิงหลิ่วไปยังเรือนที่คุ้นเคยหลังนั้นด้วยฝีเท้าเชื่องช้าตลอดทางที่เดินมา ทิวทัศน์ของที่นี่จดจำได้ขึ้นใจมาแต่แรก ชาติที่แล้วนางเคยมานับพันนับหมื่นครั้ง ทว่าสภาพจิตใจไม่เหมือนกัน นางในยามนี้ฝีเท้าเบาสบายขึ้นมากต่างจากการรอโอกาสอย่างเบื่อหน่ายในเรือนหลังของฉินซือเหิงในชาติก่อน ตอนนี้นางมีความหวังต่อชีวิตในอนาคตเป็นอย่างมากตลอดทางมานี้ สาวใช้และหญิงรับใช้เบื้องล่างทราบข่าวมาแต่แรก ต่างแสดงคารวะต่อนางด้วยท่าทางสุภาพการแสดงออกของอวี๋เหลียงเยว่ทั้งไม่เย่อหยิ่งและไม่ประหม่า ทำให้คนจำนวนไม่น้อยบังเกิดความรู้สึกที่ต่างออกไปต่ออนุภรรยาเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่ได้มาจากตระกูลสูงศักดิ์อย่างนางจากหอชมจันทร์มาถึงที่พักของพระชายารัชทายาทต้องใช้เวลาราวครึ่งชั่วยาม ตอนนางมาถึง ทั้งเรือนยังคงเงียบสงัดสาวใช้ที่แต่งตัวค่อนข้างดีคนหนึ่งออกมายิ้มเอ่ยว่า “พระชายากำลังแต่งตัวอยู่เพคะ อวี๋เกิงอีเชิญตามสบายนะเพคะ
“พระชายาอย่าโทษที่บ่าวพูดมากเลยนะเพคะ แต่รูปโฉมของอวี๋ซื่อออกจะ...”หมิ่นซื่อเลิกคิ้วแย้มยิ้ม วางจอกชาในมือลง แววตาเต็มไปด้วยความไม่แยแส “ข้ารู้ว่าหมัวมัวต้องการจะพูดอะไร นางรูปโฉมงดงามก็สามารถใช้ความงามสร้างความสำราญให้ผู้อื่นได้พอดีเลยมิใช่หรือ นอกจากนี้ นางยังไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่ สามารถเข้าตำหนักบูรพาที่ใหญ่โตนี้มาได้ก็ได้แต่อาศัยใบหน้านั้น อย่าว่ากระนั้นเลย สายตาของรัชทายาทช่างดีโดยแท้ เป็นคนงามที่เลอโฉมยิ่งนัก”สวี่หมัวมัวได้ยินแล้ว หัวคิ้วก็คลายออกจากกันไม่น้อย พยักหน้ายิ้มๆ “พระชายาพูดถูกเพคะ นับแต่โบราณมาแล้ว แต่งภรรยาเอกดูที่คุณธรรม รับอนุภรรยาดูที่ความงาม ไป๋ซื่อผู้นี้ยามปกติมักทำตัวโอหัง บัดนี้มีอวี๋ซื่อมาอีกคน สามารถข่มนางให้พระชายาได้พอดี หากสามารถแย่งชิงความโปรดปรานจากนางมาได้บ้าง วันหน้าดูซิว่านางยังจะทำอันใดได้”หมิ่นซื่อได้ยินแล้วก็มิได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ทว่าในแววตาแฝงความเยาะหยันไว้รางๆ “ไป๋ซื่อโง่เขลาเบาปัญญา ยังนึกว่ารัชทายาทรักนางด้วยความจริงใจ ก็แค่เพราะรัชทายาทต้องแยกจากแม่แท้ๆ สมัยยังเด็ก เด็กที่ไม่มีแม่ พบเรื่องน้อยเนื้อต่ำใจอย่างไรก็ต้องกล้ำกลืนลงไป ดังนั้น
“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ” ชิงหลิ่วตอบกลับ จากนั้นสิ่งที่ตอบรับนางก็คือเสียงลมหายใจของอวี๋เหลียงเยว่ที่หลับไหลไปแล้ว......สถานที่ที่มีสตรีมากมาย เรื่องราวก็ยิ่งมาก ฉากหน้าเป็นพี่น้องที่แสนดี ทุกคนล้วนให้ความเกรงใจกัน สนิมสนมกลมเกลียวกันมากแต่เบื้องหลังกลับแทบอยากจะฉีกหน้าอีกฝ่ายจนเละ ดึงทึ้งเครื่องประดับบนศีรษะของอีกฝ่ายให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ เรื่องราวต่อหน้าและลับหลังเกิดขึ้นในมุมมากมาย......“ได้ข่าวแล้วหรือยัง เหตุใดถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้!” ฉินมู่นั่งอยู่ข้างโต๊ะ จมอยู่ท่ามกลางเงาดำมืด แค่เสียงก็ทำให้คนรู้สึกกลัวจนตัวสั่นสะท้านที่ปรึกษาที่กำลังคุกเข่าอยู่ตัวสั่นระริก หยาดเหงื่อเม็ดใหญ่หยดลงพื้น “กระหม่อมสืบมาแล้ว ถึงได้ข่าวว่าคนผู้นั้น...มีความสัมพันธ์ย่ำแย่กับภรรยาที่บ้านมานานแล้ว ถึงขนาดที่พูดได้ว่า...จงเกลียดจงชัง ดังนั้นเมื่อเราเอาภรรยาของเขามาบีบบังคับ เขาจึงแกล้งรับปาก แต่ความจริงแล้วกลับสืบหาจุดมุ่งหมายและดูลาดเลาของพวกเรา สุดท้ายก็ตลบหลัง ไม่ทำตามที่เราสั่งพ่ะย่ะค่ะ...”นับตั้งแต่ที่ฉินมู่ได้รับข่าวจากทางอวี๋เหลียวเยว่เมื่อครั้งก่อน เขาก็ดำเนินการอย่างรวดเร็วเข
“อวี๋เจาซวิ่น” “น้อมคารวะฉือเฉิงฮุยเพคะ” อวี๋เหลียงเยว่ยิ้มพลางคารวะฉือชิวเยียนรีบส่งสัญญาณให้สาวใช้ไปประคองด้วยความเกรงใจมาก ก่อนจะรีบกล่าวว่า “ข้าไม่ถือเรื่องพวกนี้ ข้าเพิ่งเข้าตำหนักบูรพา ยังมีเรื่องมากมายที่ไม่เข้าใจ วันหน้ายังต้องรบกวนให้อวี๋เจาซวิ่นช่วยดูแลอีกมาก” อวี๋เหลียงเยว่ไม่เปลี่ยนสีหน้า “ฉือเฉิงฮุยกล่าวอันใดกันเพคะ ตำแหน่งของท่านสูงกว่าหม่อมฉัน ชาติตระกูลก็ดี วันหน้าจะต้องก้าวขึ้นตำแหน่งสูงอย่างรวดเร็วแน่นอนเพคะ”นี่เป็นการปฏิเสธคำขอของนางอย่างสุภาพฉือชิวเยียนหน้าทะมึนลง แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง “เจ้าไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวไป พอข้ามาถึงก็ได้ยินว่าเจ้าเข้ามาที่ตำหนักบูรพาก็ได้รับความโปรดปรานจากองค์รัชทายาทมาก ไฉนจะเหมือนกับพวกเราที่ได้ร่วมราตรีเพียงครั้งเดียวก็ไม่มีโอกาสได้พบองค์รัชทายาทอีก” ฉือซื่อพูดพลางทำหน้าหม่นหมองเล็กน้อย“องค์รัชทายาทจะพบใครหรือไม่พบใคร หม่อมฉันก็ไม่สามารถช่วยเรื่องนี้ได้เช่นกัน พี่ฉือเพคะ ตอนนี้หม่อมฉันรู้สึกง่วงเล็กน้อย ขอกลับเรือนก่อนนะเพคะ” อวี๋เหลียงเยว่กล่าวจบก็เดินจากไป ไม่ให้โอกาสฉือชิวเยียนได้พูดคุยต่อเลยคนหน้าเนื้อใจเส
เมื่อสูญเสียบุตรไปแล้ว ฉินซือเหิงได้รับข่าวก็รีบไปที่หอหยกหิมะ เมื่อเผชิญหน้ากับเขา ไป๋ซื่อก็ร้องห่มร้องไห้ด้วยความเสียใจอีกครั้งราวกับดอกสาลี่ต้องหยาดฝน ช่างน่าสะเทือนใจ ถึงอย่างไรก็เป็นสตรีที่ตอนเคยโปรดปรานมาก่อน เมื่อเห็นนางเสียใจถึงเพียงนี้ เขาเองก็เศร้าใจกับกาสูญเสียบุตรไปเช่นกัน จึงปลอบใจดี ๆ อยู่นาน อีกทั้งยังพำนักอยู่ในเรือนของนางหลายวันต่อมา ไป๋ซื่อรั้งองค์รัชทายาทให้พำนักอยู่ในเรือนของนางทุกคืน หอหยกหิมะที่ก่อนหน้านี้ยังไร้ชีวิตชีวา ไม่นานก็คึกคักขึ้นมาอีกครั้งภายในหอดุจจันทร์ พระชายารัชทายาทลูบสร้อยประคำในมือโดยที่ไม่ได้รู้สึกแย่อะไร วันนี้ตำแหน่งด้านขวาล่างว่างเปล่าอีกครั้งคนอื่น ๆ มากันครบแล้วใบหน้าของนางดูไม่ออกถึงความรู้สึกใด ๆ อวี๋เหลียงเยว่เริ่มสังเกตสองคนที่มาใหม่อย่างละเอียดอีกครั้ง คนหนึ่งแซ่อวี้ มีนามว่าอวี้หานเซียง ชื่อช่างเหมาะสมกับตัวคน เล่ากันว่าเมื่อเกิดมาก็มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ติดกาย รูปโฉมงดงามแต่ไม่ได้เย้ายวน ตรงกันข้ามใบหน้ากลับให้ความรู้สึกเย็นชานับตั้งแต่ที่เข้ามาในหอดุจจันทร์ อวี๋เหลียงเยวก็สังเกตเห็นว่านางนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางเชิดคางมองตร
ฮวาต้วนก็มองอย่างตะลึงงัน แต่บทเรียนจากหลายครั้งที่ผ่านมาทำให้นางใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว รีบตัดสินใจส่งน้ำแก้วหนึ่งไปที่ริมฝีปากของไป๋ซื่อ “เหลียงตี้เพคะ ท่านรีบดื่มน้ำเถิดเพคะ! อาจจะดีขึ้นบ้าง! ยังต้องใช้เวลาสักพักกว่าหมอหลวงจะมาถึง ท่านไม่ได้เสวยอะไรมาทั้งวัน เวลานี้ก็ไม่มีแรงแล้วด้วย”ไป๋ซื่อกำลังคิดจะบันดาลโทสะ เมื่อได้ยินคำพูดของนางก็รู้สึกว่ามีเหตุผลมาก จึงรับไปดื่มรวดเดียวจนหมดหลังจากดื่มหมดก็เป็นการรอคอนที่แสนยาวนานเวลานี้นางรู้สึกนึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง หมอหลวงกำชับอย่างเด็ดขาดแล้วว่าให้นางพักผ่อนให้ดี อย่าได้มีอารมณ์รุนแรงแต่ว่าตอนนี้นึกเสียใจก็ไม่มีประโยชน์แล้ว เนื่องจากไม่นานก็มีดอกไม้โลหิตสีสันสดใสเบ่งบานเป็นดวงใหญ่ที่ใต้ชายกระโปรง ย้อมจนเป็นสีแดงผืนใหญ่ เมื่อฮวาต้วนเห็นสีแดงนั้นในดวงตาก็เหมือนกับเห็นกระบี่ที่แย่งชิงชีวิตก็ไม่ปาน ทำให้นางกรีดร้องด้วยความตกใจ!“ใครก็ได้ แย่แล้ว! ใครก็ได้รีบมาที เหลียงตี้แย่แล้ว!” นางเหมือนกับเป็นบ้าไม่สนใจภาพลักษณ์ ปิ่นมุกบนศีรษะก็หลุดรุ่ย ก่อนจะกรีดร้องตะโกนเสียงดังตรงหน้าประตูไม่นานข้ารับใช้ด้านล่างก็รีบกรูกันเข้ามา บ้างก็ไปตามหมอห
“พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท กระหม่อมทราบแล้ว” จ้าวเฉียนเดินตามหลัง ข่มกลั้นความตกตะลึงในใจ บังคับตัวเองไม่ให้หันห้าไปมองอวี๋ซื่อ องค์รัชทายาทไม่เคยลุ่มหลงในความงดงามของอิสตรี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเอาใจใส่สตรีนางหนึ่ง อวี๋เจาซวิ่นเพิ่งร่วมราตรีได้ไม่นาน ก็ได้รับความโปรดปรานจากองค์รัชทายาทถึงเพียงนี้ ทำให้เขาตกใจจริง ๆ...แต่ก็เห็นได้ถึง ความเฉียบแหลมของอวี๋เจาซวิ่น“หยกสมปรารถนาชิ้นนั้นเป็นของที่อดีตฮ่องเต้ทรงทิ้งไว้ พระราชทานให้กับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน และฝ่าบาทได้พระราชทานให้องค์รัชทายาท บัดนี้องค์รัชทยาททรงมอบให้อวี๋เจาซวิ่น ช่างเป็นการเอาใจใส่เกินไปหน่อยจริงๆ” พระชายารัชทายาทหยุดพลิกดูสมุดบัญชีในมือ แล้วทำสีหน้าใคร่ครวญออกมาพระชายารัชทายาทชอบดูชอบฟังเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความอวดดีไร้เหตุผลของไป๋ซื่อ ประการแรกเป็นเพราะกำลังสนับสนุนจากตระกูลมารดาของนาง ประการที่สองเป็นเพราะความโปรดปรานจากองค์รัชทายาท อีกทั้งยังให้กำเนิดพระนัดดารัชทายาทเพียงหนึ่งเดียวแต่อวี๋ซื่อผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลหรือว่าสิ่งอื่นใดล้วนห่างชั้นจากไป๋ซื่อมากนัก แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่ผ่านมานี้ รู้สึกได้ราง ๆ ว่านางยัง
เขายื่นมือไปโอบเอวบางของอวี๋เหลียงเยว่ ให้นางนั่งตักของเขาแล้วหัวเราะเบา ๆ ว่า “เจ้ามาอยู่ตำหนักบูรพาได้นานพอสมควรแล้ว ได้ยินว่าเจ้าให้ความเคารพต่อพระชายารัชทายาทมาก” ได้รับความโปรดปรานแต่ไม่เย่อหยิ่ง ถือเป็นข้อดีอย่างหนึ่งยามค่ำคืนอวี๋เหลียงเยว่ก็ถอดปิ่นมุกมากมายบนศีรษะออกเช่นกัน เส้มผมสีดำสยายอยู่ด้านหลังศีรษะ มีหลายเส้นตกลงมาบนไหปลาร้าของนางอย่างซุกซน ทำให้ฉินซือเหิงอดมองนานขึ้นไม่ได้ “พระชายาทรงมีเมตตาต่อหม่อมฉันมากมาตลอด หม่อมฉันย่อมเคารพนางเป็นธรรมดาเพคะ”นางกล่าวด้วยใบหน้าไร้เดียงสา จากนั้นก็ยื่นแขนขาวนวลไปโอบคอของรัชทายาทอย่างกล้าหาญมากอีกครั้ง ท่าทางดูพึ่งพิงมาก ทำให้ฉินซือเหิงรู้สึกสบายใจมากเขายกมือขึ้นมาลูบดวงหน้าเล็กนุ่มละมุนของนาง “เจ้ารู้ความ เราย่อมโปรดปรานเจ้ามากยิ่งขึ้น” อวี๋เหลียงเยว่ฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไป ไม่ได้เก็บมาใส่ใจแม้แต่น้อย หากชอบเจ้า เจ้าก็จะเป็นของล้ำค่าในดวงใจ ไม่ว่าทำสิ่งใดล้วนดีไปหมด หากชิงชังเจ้า เกรงว่าเจ้าไม่อาจเทียบได้แม้กระทั่งฝุ่นบนพื้น ฝุ่นยังมีคนปัดกวาด ชาติที่แล้วนางไม่ได้รับความโปรดปราน ทำได้เพียงปล่อยให้คนเหยียบย่ำ อวี๋เหลียงเย
หลังจากนี้ต่อให้จับได้ พอถึงตอนนั้นก็สายไปแล้วลองถามดูเถิด ใครเล่าจะเชื่อคำพูดของนักโทษคนหนึ่ง? คำพูดเพ้อเจ้อของนักโทษ หากเชื่อขึ้นมา ตนเองก็คงเป็นคนบ้าเหมือนกันไม่ใช่หรือ? นางหัวเราะเบา ๆ แล้วไม่อธิบายอะไรอีก ก่อนจะแกว่งเท้าเล็ก ๆ ดื่มเครื่องดื่มเย็น ๆ ในชามจนหมดในอึกเดียว จากนั้นก็เงยหน้าเผยให้เห็นความจริงใจเล็กน้อย “ชิงหลิ่วคนดี อีกประเดี๋ยวเจ้านี่ก็หมดแล้ว ไม่สู้...เจ้าช่วยไปที่ห้องเครื่องเอามาให้ข้าอีกสักชามเถิด” นางกล่าวพลางทำทางไร้เดียงสา ชิงหลิ่ว “นายหญิงเพคะ ส่วนของท่านมีแค่ชามเดียว หมดแล้วเพคะ”อวี๋เหลียงเยว่ไม่หลงกล ขณะที่กำลังเตรียมตัวอ้อนวอนต่อ สายตามองไปเห็นเงาดำด้านนอกประตู จึงเปลี่ยนน้ำเสียงในพริบตาว่า “บัดนี้องค์รัชทายาททรงโปรดปรานข้า ข้าขอเครื่องดื่มเย็น ๆ เพิ่มอีกชามคงไม่เป็นไรหรอก! องค์รัชทายาททรงมีความสามารถถึงเพียงนี้ ยังจะถูกข้ากินจนหมดตัวได้อีกหรือ!” “พูดได้ดี เราต้องพยายามเสียแล้ว เพื่อไม่ให้เราโดนเจ้ากินจนหมดตัว”ฉินซือเหิงสาวเท้าเดินเข้ามาอย่างฉับไว ใบหน้ามีรอยยิ้มบาง ๆ แค่เห็นก็รู้ว่าอารมณ์ดีมากปลาติดเบ็ดแล้ว ได้มาอย่างไม่เปลืองแรงเลยแต่สิ่ง
ข่าวที่ชิงหลิ่วส่งออกไปถูกส่งต่อไปถึงมือของฉินมู่ เขามองชื่อที่เขียนบนกระดาษจดหมายแล้วขมวดคิ้วกล่าวว่า “สืบประวัติคนผู้นี้แล้วหรือยัง”ที่ปรึกษาใต้บังคับบัญชาพยักหน้า เอ่ยเสียงเบาว่า “กระหม่อมไปสืบแล้วพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบขององค์รัชทายาทมาโดยตลอดจริง ๆ หากเขาอยู่ในกองขนส่งเสบียง กระหม่อมคิดว่าข่าวนี้เป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ” ฉินมู่ผงกศีรษะ แนวกรามที่เรียบคมเผยให้เห็นความเย็นชาอำมหิต เขานั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน แสงไฟภายในห้องสลัว ครู่ต่อมาเขาจึงถามอีกว่า “แม่นางอวี๋ในตำหนักบูรพาสบายดีหรือไม่” ที่ปรึกษามองเขาอย่างยากจะสังเกตเห็นแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้ากล่าวออกมาว่า “สบายดีไปหมดทุกอย่างพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อได้ยินคำนี้ แววตาของเขาก็ทะมึนลง จากนั้นก็คลี่ยิ้มหยันออกมา “ดี” ไม่มีใครเห็นว่าบนโต๊ะของเขามีภาพวาดภาพหนึ่ง สตรีบนภาพเลอโฉมเฉิดฉัน ดวงหน้างดงามดุจดังเทพเยนในภาพวาด นัยน์ตาดูเฉลียวฉลาด หางตาและคิ้วมีเสน่ห์เย้ายวนใจราวกับพรายน้ำเขายกมือขึ้นมา นิ้วที่มีข้อต่อชัดเจนลูบไล้แก้มของสตรีในภาพวาด ผ่านไปสักพักก็มีเสียงแผ่วเบาดังมาจากในห้องที่มืดสลัวว่า “เจ้าเป็นของข้า...
ชิงหลิ่วไม่รู้ว่าเหตุใดจึงถามเช่นนี้ จึงทำได้เพียงพยายามเอ่ยอย่างคลุมเครือให้มากที่สุด ยิ่งเอ่ยมากก็ยิ่งผิดมากฉินซือเหิงเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้ว หนึ่งเดือนมานี้มีคนใหม่เข้ามาในตำหนักบูรพา อวี๋เหลียงเยว่จึงอยากพึ่งพิงเขามากขึ้นเล็กน้อย...คิดว่าคงไม่สบายใจ ทว่าเมื่อเกิดการคาดเดาเช่นนี้ขึ้นมา ในใจของเขาก็เกิดความรู้สึกที่ยากจะอธิบายให้ชัดเจนขึ้นมาเล็กน้อยความรู้สึกนี้ดำเนินต่อไปจนกระทั่งเขาเข้าเฝ้าที่ท้องพระโรงถึงค่อย ๆ จางหายไป...... หลังจากเข้าเฝ้าเสร็จสิ้นแล้วกลับมาที่ตำหนักบูรพา จ้าวเฉียนก็มาช่วยเขาเปลี่ยนเป็นสวมชุดฉางฝู ยังไม่ทันนั่งลง สาวใช้ด้านนอกก็มาแจ้งว่าไป๋เหลียงตี้อาเจียนไม่หยุด ขอให้องค์รัชทายาทไปดูความหมายในคำพูดนี้มีไม่น้อยเลยจริง ๆ อาเจียนสินะ เมื่อคำนวณดูแล้วไป๋เหลียงตี้เพิ่งจะตั้งครรภ์นี้ได้แค่หนึ่งเดือน น่าจะยังไม่ถึงช่วงเวลานี้ อีกอย่างการที่สตรีมีครรภ์อาเจียน ปกติแล้วเป็นเพราะว่าได้กลิ่นอะไรบางอย่าง หรือว่ากินอะไรบางอย่าง ไม่ว่าเป็นเพราะอะไร คิดว่าไป๋เหลียงตี้คงจะสร้างเรื่องอีกแล้ว จ้าวเฉียนคิดเช่นนี้ ฉินซือเหิงลูบสร้อยประคำมันเงาบนมือแล้วสั่งการว่า “ไปเช