ณ บ้านเช่าราคาถูกเก่า ๆ ในมุมหนึ่งของเมืองใหญ่ มีหญิงสาว
วัยยี่สิบปีเธอมีชื่อว่า ‘หยก’ ตั้งแต่เล็กจนโตเธอถูกเลี้ยงดูจาก บ้านเด็กกำพร้า ไม่เคยรู้ที่มาที่ไปว่าเธอเองมาจากไหนพ่อแม่เป็นใคร และเธอไม่สนใจที่จะตามหาอดีตให้เจ็บปวดหากพบเจอความจริง อันโหดร้าย จึงเลือกใช้ชีวิตด้วยการทำงาน หาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่เรียนจบมัธยมปลายหยก พยายามใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากในวันที่เธออายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์มีบางอย่างเกิดขึ้น
ซึ่งมันเป็นเรื่องดีและร้ายในคราวเดียวกัน เมื่อลืมตาตื่นหลังผ่านวันเกิด อายุครบสิบแปดปี หยกสามารถมองเห็นชะตาชีวิตของคนที่บังเอิญ มาสัมผัสโดนตัวของเธอ หยกสติแตกไปหลายวันกว่าจะรวบรวมสติกลับมาได้ เธอตัดสินใจเล่าให้เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวอย่างไพลินฟัง และเพื่อนสนิทคนนี้นี่เอง ที่สนับสนุนให้หยกใช้ความสามารถนี้ เพื่อหาเงินจากพวกคนรวยที่เชื่อเรื่องทำนายดวงชะตา“ลินฉันเล่าให้แกฟังแค่คนเดียวแล้ว อย่าเอาไปเล่าให้ใครฟังล่ะ
ฉันไว้ใจที่แกเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของฉัน หวังว่าจะไว้ใจแกได้ ในเรื่องนี้นะลิน ฉันไม่อยากถูกคนอื่นมองว่าเป็นคนบ้า” เพราะคนที่ไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาตินั้นมีอยู่มาก บางคนคิดว่าเป็นเรื่องงมงายไร้สาระ มองคนที่ชอบการทำนายดวงชะตาเป็นคนโง่“เอาน่าไอ้หยกแกจะคิดมากไปทำไมวะเพื่อน ในเมื่อแกเองสามารถทำนายดวงชะตา จากการสัมผัสเพียงผิวเผินได้ ก็ใช้มันหาเงิน
ไม่ดีกว่าเหรอ ยิ่งพวกคนรวยที่ชอบดูดวงน่ะ คนพวกนี้จ่ายหนักมากเลยนะยิ่งแกทำนายได้แม่นรับรองดูแค่เดือนละสองสามคนก็รวยแล้ว”“มันจะดีเหรอวะ เกิดทำนายไปแล้วมันไม่แม่นล่ะแก ฉันไม่โดนพวกมันพาคนมารุมกระทืบจนตายเลยเหรอ” หยกกลัวจะถูกทำร้ายมากกว่าหากมันไม่เป็นอย่างที่ทำนายไว้
“แต่แกเคยทักแม่ฉันไว้ และมันก็เป็นเรื่องจริงไม่ใช่เหรอเพื่อน
เอางี้แกลองทำนายชะตาให้แม่ของไอ้เชนห้องหนึ่งเป็นไง ฉันแอบรู้มาว่าแม่ไอ้เชนทำธุรกิจฐานะร่ำรวยใช้ได้ แล้วอีกอย่างแม่ไอ้เชนก็ชอบ ไปมูเตลูมากซะด้วยนะเว้ย ไอ้หยกแกลองคิดดูให้ดี ๆ เพื่อน แกไม่ยอมเรียนต่อเงินเดือนก็ได้ไม่ถึงหมื่นไหนจะค่าเช่าบ้าน ค่ากินค่าอยู่อีกสารพัด” ไพลินก็ใช่ว่าจะมีฐานะร่ำรวยอะไร เธอก็แค่ลูกแม่ค้าขายข้าวแกงทั่วไป“ก็ได้พรุ่งนี้เป็นวันหยุดแกพาแม่ไอ้เชนไปที่บ้านฉันก็แล้วกัน
ส่วนเรื่องค่าบริการไว้เก็บหลังจากผ่านพ้นคำนายเถอะ ลูกค้าจะได้ไม่คิดว่าพวกเราโกหกหลอกลวงเอาเงินเท่านั้น”“โอเค ไว้ฉันจะดักรอลูกค้าคนแรกของเราตอนฉันเลิกเรียนให้ พรุ่งนี้แกก็เตรียมสถานที่ให้มันดูน่าเชื่อถือหน่อยล่ะ เผื่อว่าเราจะได้
ลูกค้าเพิ่มจะทำให้ขายหน้าแม่หมอสุดแม่นไม่ได้นะเว้ย ฮ่า ๆ ๆ”“เออ ๆ ๆ รู้แล้วน่าบ้านเช่าก็หลังแค่นั้นจะจัดให้ดูดีแค่ไหนกันเชียวไอ้ลิน ถ้างานนี้สำเร็จพวกเราจะแบ่งเงินกันยังไงดีวะ” หยกไม่อยาก
เอาเปรียบเพื่อนถ้าจะเธอจะรับส่วนแบ่งมากกว่า“อย่าคิดมากเลยแกคนที่มีพลังวิเศษคือตัวแกไม่ใช่ฉัน เอาเป็นว่าจบงานฉันสามสิบแกเจ็ดสิบตกลงป่ะ” เธอก็แค่หาลูกค้าให้เพื่อนเท่านั้น
“เอาตามนี้ก็แล้วกันกลับเข้าห้องเรียนเถอะ จะหมดเวลาพักแล้ว อย่าลืมรูดซิปปากให้สนิทนะไอ้ลิน นี่เป็นความลับสุดยอด ที่พวกเรารู้กัน
แค่สองคนเท่านั้นถ้าแกยังไม่อยากถูกล้อว่าเป็นบ้าน่ะ” หยกไม่ลืมกำชับกับเพื่อนสาวให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับอีกครั้ง“รู้แล้ว ๆ ๆ แกพูดรอบที่ร้อยแล้วนะไอ้หยก ไป ๆ เข้าห้องเรียนกันได้แล้ว” ไพลินรับปากเพื่อนก็ชักชวนกันกลับห้องเรียน
หลังเลิกเรียนไพลินดักรอแม่ของเชน เด็กเรียนสมัยมัธยม
ที่หน้าบริษัท และใส่สีตีไข่เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับการทำนายดวงชะตา จนคนที่ได้ฟังอยากจะพบแม่หมอเสียวันนี้ แต่ก็ต้องอดทนทั้งสองคน จึงได้นัดพบกัน ตามสถานที่ที่ไพลินบอกเป็นที่เรียบร้อยสิบโมงเช้าของวันต่อมา ไพลินพากชนิภาแม่ของเชนมาหาหยก
ที่บ้านเช่า ถึงจะเป็นบ้านไม้เก่า ๆ แต่หยกก็ทำความสะอาดจัดข้าวของอย่างเป็นระเบียบ ภายในห้องโล่ง ๆ หยกได้ปูเสื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าสวมชุด สีขาว พร้อมกับมีผ้าผืนบางปิดหน้าใส่แว่นตา ปิดบังใบหน้าของเธอเอาไว้“นี่หนูลินแม่หมอจะทำนายแม่นจริงหรือเปล่าจ๊ะ อย่าทำให้น้าเสียเวลาเชียวนะ แต่ถ้าแม่หมอทำนายแม่นกว่าตำหนักอื่นที่น้าเคยไปละก็ รับรองค่าไหว้ครูน้าจัดเต็มอย่างแน่นอน และจะพาเพื่อนมาที่นี่แทน”
“โธ่ คุณน้ากชเชื่อได้เต็มร้อยค่ะว่าแม่หมอคนนี้ ทำนายได้แม่นอย่างกับตาเห็น ถ้าครั้งนี้คุณน้าผู้ชายเจรจาธุรกิจหลายร้อยล้านสำเร็จ คุณน้าอย่าลืมสนับสนุนค่าน้ำค่าไฟ ทำบุญกับแม่หมอเยอะ ๆ ด้วยนะคะ” ถ้าไม่ได้หยกทักแม่ของเธอ ป่านนี้พ่อของเธอคงจะเป็นม่ายไปแล้ว
“เชิญนั่งก่อนสิ ไม่ทราบว่าคุณนายต้องการให้ฉันทำนาย
เรื่องอะไร บอกชื่อและนามสกุลคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องมาด้วยล่ะ” หยกเริ่มถามกับลูกค้าคนแรกทันทีที่ไพลินพาเข้ามาด้านในบ้านเช่า“เอ่อ แม่หมอช่วยทำนายเรื่องเจรจาธุรกิจของสามีฉันหน่อย
เจ้าค่ะ สามีฉันชื่อชนิน นามสกุลญาณณนนท์ เจ้าค่ะ พอดีสามีของฉัน จะเดินทางไปเจรจาเกี่ยวกับธุรกิจของครอบครัวที่ต่างประเทศ ก็เลย อยากรู้ว่าครั้งนี้จะสำเร็จอย่างที่หวังไว้หรือไม่น่ะเจ้าค่ะ” เพราะสามี ของกชนิภายอมทุ่มเงินหมดหน้าตักกับธุรกิจในครั้งนี้“รบกวนคุณนายวางมือบนโต๊ะด้านหน้า จะได้เริ่มทำนาย
เรื่องที่คุณนายอยากรู้กันเลย”เมื่อกชนิภาวางมือลงบนโต๊ะ หยกจึงใช้มือสัมผัสลงไปที่ฝ่ามือ เพียงชั่วพริบตาเรื่องเกี่ยวกับสามีของกชนิภาก็ปรากฏให้เห็น
ภาพต่าง ๆ ที่หยกเห็นมันเกิดขึ้นเร็วมาก แค่หนึ่งนาทีเธอ
ก็สรุปเรื่องราวได้ทันที“เฮ้อ คุณนายสามีของคุณนายเป็นคนอารมณ์ร้อนอยู่บ้างใช่ไหม”
“ชะ ชะ ใช่เจ้าค่ะแม่หมอ คุณชนินมักจะอารมณ์ร้อน เวลาทำอะไรมักต้องการให้สำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก” กชนิภาไม่คิดว่าหยกจะรู้ถึง
นิสัยของสามีเธอ ซึ่งคนอื่นที่เธอเคยไปดูดวงไม่เคยพูดเรื่องนี้กับเธอสักครั้ง“ทีนี้เชื่อหรือยังคะคุณน้าว่าแม่หมอของลินแม่นมากจริง ๆ”
“หากคุณนายอยากให้สามีเจรจาธุรกิจครั้งนี้สำเร็จ ต้องทำตามคำแนะนำของฉันอย่างเคร่งครัด หลังจากประสบความสำเร็จแล้ว
สามีของคุณนายรวมถึงทุกคนในครอบครัว จงทำบุญครั้งใหญ่กราบไหว้บรรพบุรุษและทำทานกับบ้านเด็กกำพร้า หากทำเป็นประจำทุกปีได้ จะยิ่งส่งผลให้ธุระกิจมีคนอยากมาร่วมลงทุนมากขึ้น” แม้จะมีวิธีแก้ให้ แต่หยกก็อยากให้คนที่ประสบความสำเร็จ ได้ช่วยเหลือผู้อื่นที่ลำบากบ้างถึงจะไม่มากก็ตาม“จริงเหรอคะแม่หมอเชิญแม่หมอบอกมาได้เลย ฉันจะให้สามี
ทำตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดเจ้าค่ะ” กชนิภาดีใจมาก“ให้สามีของคุณนายงดเว้นเนื้อสัตว์เป็นเวลาเจ็ดวัน นั่งสมาธิควบคุมลมหายใจและอารมณ์ให้นิ่ง มีสติให้มากยามที่เจรจาเรื่องธุรกิจหากทำได้ย่อมสมหวังอย่างแน่นอน”
“ขอบคุณแม่หมอมากเจ้าค่ะ แล้วแม่หมอคิดค่าดูเท่าไหร่เจ้าคะ”
“อยู่ที่ความศรัทธาของคุณนาย รอให้เรื่องที่ทำนายผ่านพ้น
ไปก่อน แล้วค่อยกลับมาทำบุญกับแม่หมอคนนี้เถิด” หยกบอกกับกชนิภาอย่างที่ตั้งใจเอาไว้“ใช่ค่ะคุณน้าถือว่าเป็นการซื้อใจกันในครั้งแรกเถอะนะคะ ถึงยังไงแม่หมอก็อยู่ที่นี่ไม่ย้ายไปไหนอยู่แล้วค่ะ อย่างที่ลินบอกกับคุณน้า
ไว้ก่อนหน้านี้ยังไงล่ะคะ”“เอางั้นเหรอ ตกลงฉันจะทำตามที่แม่หมอบอกก็นะเจ้าคะ
วันนี้ต้องขอตัวกลับไปคุยกับสามีเสียก่อนไว้เจอกันใหม่เจ้าค่ะ”ไพลินอาสาเดินออกไปส่งกชนิภาถึงหน้าปากซอย ก่อนจะกลับมานั่งเล่นกับหยกอย่างที่เคยทำที่บ้านเช่าอีกครั้ง ทั้งสองคนเฝ้ารอให้ถึงวัน
ที่คำทำนายจะเกิดขึ้นจริง และภาวนาให้สามีของกชนิภาทำตามคำแนะนำของหยกด้วยเช่นกันด้านกชนิภากลับไปบอกเล่าเรื่องคำทำนายกับสามี และขอให้เขาทำตามที่หยกได้แนะนำเอาไว้ ยังดีที่สามีของเธอไม่ได้ต่อต้าน ลองทำตามก็ไม่เสียหายเพราะว่าแม่หมอคนนี้พูดถูก เรื่องที่เขาเป็นคนอารมณ์ร้อนยามต้องการให้งานได้ดั่งใจเสมอ เมื่อถึงกำหนดบินไปต่างประเทศ
เพื่อเจรจาธุรกิจ ทำให้ชนินมีสติควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดี จนประสบผลสำเร็จอย่างที่หยกพูดไว้ เขาได้เป็นตัวแทนเพียงแห่งเดียวในประเทศคนที่ดีใจมากและเชื่อสุดใจ กับคำทำนายคงหนีไม่พ้นกชนิภา
เมื่อได้รับข่าวดีจากสามี เธอจึงรีบนำเงินสดใส่ซองมามอบให้กับหยก ถึงหนึ่งแสนบาท หากเทียบกับธุรกิจที่สามีเจรจากลับมาได้ เงินแค่ หนึ่งแสนถือว่าเป็นเรื่องเล็กจ้อยสำหรับกชนิภาไปแล้วในตอนนี้จนกระทั่งเหล่าเพื่อน ๆ ในวงธุรกิจ หรือคุณหญิงคุณนายทั้งหลาย ต่างพากันมาสอบถามเรื่องแม่หมอกับกชนิภามากมาย ตั้งแต่
นั้นเป็นต้นมา หยกจึงมีลูกค้าประจำที่มีฐานะร่ำรวยเท่านั้น เพราะเธอ ไม่อยากถูกคนที่ทำอาชีพดูดวงรุมกระทืบตายนับตั้งแต่ได้เงินก้อนแรกจากกชนิภา หยกและไพลินก็พอมีเงินเก็บไว้ใช้ยามจำเป็น รวมถึงแบ่งเงินส่วนหนึ่งไปทำบุญกับพี่น้อง
บ้านเด็กกำพร้า ที่ได้ดูแลเลี้ยงดูเธอจนเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ หยกยังคงทำงานเป็นลูกจ้างธรรมดา และไพลินยังคงเป็นนายหน้าหาลูกค้า มาให้หยกเช่นเดิมแต่ชีวิตคนเราจะอยู่บนโลกนี้ เพื่อชดใช้เวรกรรมได้นานกี่ปี
ไม่มีใครรู้ เพราะหยกก็ไม่สามารถรู้อนาคตของตนเองได้เช่นกัน ว่าในวัน ที่เธอมีอายุครบยี่สิบปีจะเป็นวันตายของเธอเอง หยกได้พบกับลูกค้า คนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลมากเขามาหาเธอด้วยความเครียด และต้องการรู้ชะตาชีวิตของตัวเองเพื่อหลบเลี่ยงศัตรู หยกได้ทำการดูดวงชะตาให้ และพบว่าเขาจะต้องเผชิญกับอันตรายที่ใหญ่หลวง ต้องทำตามคำแนะนำของเธอเท่านั้นถึงจะผ่านไปได้แต่เมื่อเธอบอกคำทำนายนี้ เขากลับไม่พอใจและคิดว่าเธอ
เป็นเพียงนักต้มตุ๋น และสั่งให้บอดี้การ์ดข้างกายจัดการฆ่าปิดปากหยก พร้อมกับเผาบ้านเช่าหลังน้อย กว่าจะมีคนแจ้งเจ้าหน้าที่บ้านที่อยู่ มาหลายปี ก็เหลือเพียงเศษเถ้าถ่าน และร่างที่ดำเป็นตอตะโกของหยกเท่านั้น“เกิดชาติหน้าฉันท์ใด ขอให้หนูได้อยู่พร้อมหน้ากับครอบครัว ที่มีฐานะร่ำรวยมีกินมีใช้ ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเหมือนชาตินี้ด้วยเทอญ”
“หืม เอิ้กกก อืม พรึ่บ!! ตุบ คร่อกกกก”
“เฮ้ย!! ตาแก่ตายแน่เรื่องใหญ่แล้วไหมเล่าเรื่องนี้ข้าไม่เกี่ยวนะ เจ้าส่งนางไปเองก็รับผิดชอบคนเดียวก็แล้วกันข้าไปล่ะ พรึ่บ!”
ดวงวิญญาณของหยกถูกพลังงานบางอย่าง ดึงไปอย่างแรง เธอไม่มีโอกาสบอกลาเพื่อนสนิท เพียงคนเดียวอย่างไพลิน ที่ป่านนี้ คงร้องไห้เป็นเผาเต่า เมื่อรู้ว่าเธอตายในกองเพลิงแห่งนั้นด้วยแรงดึงมหาศาล ดวงวิญญาณของหยกเข้าไปอยู่ในร่าง ของเด็กสาวคนหนึ่ง ที่ถูกงูพิษกัดที่ข้อเท้าด้วยร่างกายที่อ่อนแอ จึงไม่อาจหาสมุนไพรแก้พิษได้ทัน จึงต้องตายอย่างน่าอนาจ ซึ่งที่นี่เป็นโลกคู่ขนานของยุคจีนโบราณ ที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนในประวัติศาสตร์ เมื่อหายใจและลืมตาขึ้นรอบ ๆ ตัวของหยกคือป่าแห่งหนึ่งของหมู่บ้านลิ่วหยางหยกจึงพยายามชันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ต้องล้มลงนอนอีกครั้ง พร้อมอาการปวดหัวที่ทำเอาเธอตาพร่ามัวไปหมด ภาพในหัวตอนนี้ เป็นความทรงจำของเจ้าของร่างตั้งแต่เด็ก มีหญิงชราคนหนึ่งเลี้ยงดู มาจนเติบโต แต่มักจะมีสายตาที่เศร้าสร้อย ยามมองมาที่ร่างบาง และที่สำคัญ เจ้าของร่างยังเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาเลี้ยง“ทำไมคำขอของไอ้หยก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงให้ไม่ได้กันมันน่าโมโหนักโอ๊ย! นี่สิ่งศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์ หูหนวกตาบอดกันหรือยังไง หนูขอก่อนตายว่าอยากมีพ่อแม่ที่ร่ำรวย มีเงินมีทองใช้ไม่ขาดมือนะคะ แล้วนี่คืออะไร ชาติก่อ
อวี้จิ่นบอกลาเพื่อนบ้าน หลังจากผ่านงานศพของยายเฒ่าลิ่ว ได้เจ็ดวัน โดยใช้ข้ออ้างว่าจะไปตามหาบุตรหลานของยายเฒ่าลิ่วเท่านั้น เพื่อนบ้านต่างอวยพรให้อวี้จิ่นปลอดภัยและทำภารกิจสำเร็จ บางคน มีมอบอาหารให้นางนำติดตัวไปคนละเล็กละน้อย ทำเอาอวี้จิ่น ถึงกับน้ำตาซึมที่เห็นความมีน้ำใจจากชาวบ้านเพราะหมู่บ้านอยู่ไม่ไกลจากตำบล จึงใช้การเดินเท้าอวี้จิ่นสำรวจสองข้างทางไปเรื่อย ๆ เพื่อเรียนรู้ทุกสิ่งในโลกใบใหม่ แต่ถ้านางต้องการเข้าเมืองย่อมไม่อาจเดินเท้าไปเองได้ ด้วยระยะทางที่ไกลจึงอาศัย การนั่งเกวียนหรือรถม้าเท่านั้น ยังดีที่อวี้จิ่นมีเงินติดตัวมาห้าตำลึงเงิน กับเศษเหรียญอีแปะอีกเล็กน้อย นางถึงได้นั่งเกวียนวัวเข้าเมือง จ้าวโจวรอบสุดท้ายพอดี กว่าจะมาถึงเมืองจ้าวโจวก็เป็นเวลาพลบค่ำอวี้จิ่นอาศัยอารามร้างนอกเมืองเป็นที่หลับนอน เนื่องจากตอนนี้นางต้องประหยัดเงินไว้ก่อน ซึ่งที่นี่มีชาวบ้านที่นำของป่าที่ดูมีราคามาขายในเมือง พวกเขาก็เลือกที่จะพักในอารามร้างเช่นเดียวกัน แต่เป็นข่าวดีสำหรับอวี้จิ่นเมื่อชาวบ้านที่นั่งผิงไฟ เริ่มพูดถึงบุตรสาวของท่านเจ้าเมือง ที่หายออกจากจวน แม้จะส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตามหาก็ยัง
ระหว่างการเดินทางจากเมืองจ้าวโจวใช้เวลาถึงเจ็ดวัน กว่ารถม้าจะพาอวี้จิ่นมาถึงเมืองเฉียนโจว ที่ดูจะคึกคักไม่น้อยมีผู้คนเดิน สวนทาง เข้าออกเมืองกันอย่างคับคั่ง ทั้งพ่อค้าแม่ค้าหรือนักเดินทาง จากต่างแคว้น แต่ถึงบรรยากาศยามกลางวันดูผู้คนพลุกพล่าน ใช้ชีวิตกันอย่างปกติทั่วไปเหมือนเมืองอื่น ๆ หากเมื่อใดใกล้ถึงยามค่ำคืนในเมืองเฉียนโจวกลับเงียบสนิท และเป็นครั้งแรกที่อวี้จิ่นรู้สึกว่า ที่เมืองเฉียนโจวมีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้น“แม่นางน้อยพวกเรามาถึงเมืองเฉียนโจวแล้วขอรับ ข้าคง ส่งท่านถึงแค่หน้าประตูเมืองเท่านั้น หวังว่าท่านจะไม่โกรธนะขอรับ” คนบังคับรถม้าไม่อยากค้างคืนที่นี่ เพราะข่าวลือเรื่องยามค่ำคืนที่น่ากลัว“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านลุง ขอบคุณท่านมากที่มาส่งข้าว่าแต่ทำไมท่านลุง ไม่พักเหนื่อยที่เมืองเฉียนโจวเสียก่อนล่ะเจ้าคะ เดินทางมาตั้งไกลม้าเองก็น่าจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยนะเจ้าคะ” อวี้จิ่นสงสัยกับสายตา ที่ดูหวาดกลัวบางอย่าง“เอ่อ ฮ้าย! หากข้าพูดให้แม่นางน้อยฟังแล้ว ท่านต้องมีสติ ให้ดี ที่ข้าไม่อยากพักที่เมืองเฉียนโจวเป็นเพราะว่ามีข่าวลือเกิดขึ้น ในยามกลางคืนมักจะมีผีสาวนางหนึ่งออกอาละวาด แ
ล่วงเลยเข้าปลายยามห้าย อวี้จิ่นออกจากห้องพักแสร้งเดินเล่น ไปตามถนนในเมืองเฉียนโจว ในมือข้างซ้ายถือลูกผิงกั่วกัดกินไปด้วย ท่ามกลางความเงียบสงัดอย่างที่คนบังคับรถม้าบอก ทำให้รู้สึกวังเวง อยู่ไม่น้อย แต่นั่นไม่ช่วยให้ความอยากรู้ลดลงแต่อย่างใด ด้านบนหลังคายังมีคนกลุ่มหนึ่งคอยตามอวี้จิ่นไปเงียบ ๆหลังจากเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่หลายมุม จนเริ่มจะเมื่อยขาและอวี้จิ่นคิดว่า คืนนี้ไม่น่ามีเหตุการณ์ในข่าวลือเกิดขึ้น จึงคิดจะเดิน กลับโรงเตี๊ยมเพื่อนอนพักเอาแรง ยามที่กำลังคิดเรื่องกลับห้องพัก ก็มีเสียงหัวเราะแทรกเข้ามา ด้วยบรรยากาศที่เงียบเชียบ พอมีเสียงหัวเราะกลับกลายเป็นความรู้สึกน่ากลัว สำหรับคนในเมืองเฉียนโจวยิ่งนัก แต่อวี้จิ่นทำเพียงหยุดเดินและรอคอยอย่างตั้งใจ ว่าผีสาวตนนี้จะทำอะไรกับนาง ถ้าหากนางถามคำถามออกไป มันจะตอบคำถามของนาง ได้หรือไม่“ฮิ ๆ ๆ อาหารของข้า”“โอ๊ะ!! ในที่สุดก็ออกมาจนได้ ขอดูหน้าหน่อยก็แล้วกัน ว่าจะเป็น ผีสาวใบหน้างดงามหรือน่าขยะแขยง”“ฮ่า ๆ ๆ มาเป็นอาหารให้ข้าเสียเถิดเด็กน้อย แผล่บ ๆ”“ขวับ!! สวัสดีตอนดึกเจ้าค่ะ เป็นผีทำไมถึงรู้สึกหิวได้ล่ะ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยน
ยามค่ำคืนที่ผ่านมาเป็นครั้งแรก ที่ฟู่หลงเหยียนไม่ฝันถึงเรื่องราวในอดีต เมื่อลืมตาตื่นขึ้นในเช้าวันใหม่ จึงรู้สึกสดชื่นอย่างที่ไม่เคย รู้สึกมาหลายปี เขาไม่รู้จะขอบคุณสตรีที่แสนจะธรรมดาไม่เหมือนใคร แม้แต่ชื่อแซ่ก็ลืมถามไถ่กับนางไว้ ก่อนจะจากกันไปเสียได้ ฟู่หลงเหยียนตั้งใจไว้ว่าเช้านี้เขาจะถามชื่อของนางเป็นอย่างแรกทางด้านอวี้จิ่นที่เพิ่งตื่นนอนในต้นยามเฉิน พอตั้งสติได้ก็เกือบ หัวทิ่มหัวตำลงจากเตียงด้วยความเร่งรีบ เมื่อนางนึกขึ้นได้ว่าใกล้ถึงเวลา ที่ฟู่หลงเหยียนจะมารับนาง เพื่อไปเก็บหลักฐานการกระทำความผิด ของเจ้าเมืองเฉียนโจว อวี้จิ่นรีบล้างหน้าบ้วนปากอาบน้ำอย่างรวดเร็ว ผมเผ้าทำเพียงเก็บรวบมัดยกเป็นหางม้าเท่านั้นเมื่อเดินออกมาด้านหน้าโรงเตี๊ยม บุรุษในชุดคลุมสีดำสองคน มายืนรอนางอยู่ก่อนแล้วพร้อมม้าอีกสองตัว ทำเอาอวี้จิ่นละอายใจเล็กน้อยได้แต่กล่าวขอโทษ ที่นางตื่นสายทำให้ทั้งสองคนต้องรอนาน“อุ๊ย! แหะ ๆ ๆ ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ปล่อยให้พวกท่านรอนานเช่นนี้ ถ้าวันไหนข้าเข้านอนดึกมักจะตื่นสายเช่นนี้ประจำเจ้าค่ะ”“ไม่เป็นไร พวกข้าสองคนเพิ่งจะมาถึงไม่นานเช่นกัน เจ้าพอ จะบอกที่ซ่อนของหลักฐาน
เมื่อทั้งสามคนเดินมาถึงห้องส่วนตัวขนาดกลาง มีนักบวชคอยเฝ้าเอาไว้สองคน ก่อนจะเข้าไปได้ย่อมมีค่าผ่านประตู เรื่องนี้อวี้จิ่นย่อมเห็นจากภาพนิมิตมาแล้วจึงอาสาจัดการเอง“เดี๋ยวก่อนประสกทั้งสาม หากต้องการใช้ห้องสวนมนต์แห่งนี้ พวกท่านทราบถึงกฎเกณฑ์ของทางวัดแล้วหรือไม่”“คารวะไต้ซือเจ้าค่ะ คุณชายของข้าเพิ่งมาจากต่างเมือง เพื่อมาขอพรเกี่ยวกับการทำงานครั้งใหญ่ เห็นว่าที่วัดของตระกูลอวี่มีผู้คนเคารพนับถืออย่างมาก จึงอยากมากราบไหว้สักครั้ง ส่วนเรื่องกฎของทางวัด ข้าทราบเป็นอย่างดีว่าต้องทำอย่างไร ของในตะกร้าใบนี้หวังว่าไต้ซือจะอนุญาตให้คุณชายของข้า ได้เข้าไปสวดมนต์เป็นการส่วนตัวนะเจ้าคะ” พวกเห็นแก่เงินจะไม่รับไว้ได้อย่างไร ในตะกร้านั่นมีก้อนตำลึงเงินอยู่หลายก้อนเชียวนะ“อืม เมื่อประสกตัวน้อยรู้จักทำตามกฎของวัด คุณชายของท่านย่อมสามารถเข้าไปสวดมนต์ด้านในได้ เชิญ” ไต้ซือตัวปลอมมัวแต่สนใจก้อนตำลึงในถุงผ้าใบเล็กในตะกร้าจึงไม่เอะใจคำพูดของอวี้จิ่นเท่าใดนัก“ขอบคุณไต้ซือเจ้าค่ะ ที่เห็นใจชาวบ้านอย่างเรา เชิญคุณชายเข้าไปสวดมนต์เถิด งานที่ท่านหวังไว้จะได้สำเร็จโดยเร็วนะเจ้าคะ” อวี้จิ่นหันไปเชื้อเชิญฟู่หลงเหย
บนโต๊ะอาหารในจวนเช่าของฟู่หลงเหยียน ยามนี้มันเต็มไปด้วยอาหารหน้าตาแปลก ๆ แต่กลิ่นมันกลับหอมชวนให้ท้องร้องอยากกินเสียเดี๋ยวนั้น สาเหตุมาจากอวี้จิ่นไม่อยากนั่งอยู่เฉย ๆ นางจึงลุกไปยังห้องครัว และลงมือทำอาหารจากเนื้อและผักจากในมิติของตนโดยมีข้ออ้างกับตงลู่ว่า ตนเองแอบออกไปซื้อที่ตลาดมา และห้ามตงลู่บอกกับฟู่หลงเหยียนว่านางออกไปด้านนอก แต่ให้บอกว่าเขาคือคนที่ไปซื้อเนื้อกับผักพวกนี้ ตามคำขอของนาง อวี้จิ่นข่มขู่ตงลู่ด้วยอาหารบนโต๊ะนั่น ถ้าไม่ยอมทำตามที่นางบอกเขาจะอดกินมันอย่างแน่นอนคำข่มขู่ของอวี้จิ่นย่อมเป็นผล เมื่อตงลู่อยากชิมอาหารบนโต๊ะ ซึ่งมันไม่เหมือนอาหารที่เขาเคยทานมาก่อน ตงลู่ต้องออกจากห้วงความคิดของตน เมื่อได้ยินเสียงประตูจวนถูกเปิด เขารีบบอกให้อวี้จิ่นไปซ่อนตัวไว้ ส่วนตนเองจับดาบไว้แน่น ออกไปยืนซ่อนตัวอยู่ด้านหลังประตู แต่คนที่มากลับเป็นเจ้านายของตนมิใช่คนร้าย“แอ๊ดดด!! ชิ้ง!! พวกเจ้าปะ นายน้อย!!”“ตงลู่! นี่เจ้าอยากประลองฝีมือกับนายน้อย ถึงกับถือดาบมาดักรออยู่หลังประตูเชียวรึ” อู๋จิ้งเห็นตงลู่ชักดาบเมื่อประตูเรือนด้านหน้าเปิดออกจึงเรียกสหายทันที“ขออภัยขอรับนายน้อย บ่าวคิดว่ามี
จิ้งโม่และมู่ฉีกลับที่พักของพวกตนทันที หลังจากออกมาจากค่ายทหาร ในจดหมายจิ้งโม่เขียนไว้อย่างละเอียด รวมถึงเรื่องที่เจียงหยวนกำลังออกเดินทางไปรอเจ้านาย อาจจะเป็นที่เมืองชางโจว เมื่อภารกิจสำเร็จทั้งสองจึงไปดื่มฉลองกันเล็กน้อยตามประสาบุรุษด้านแม่ทัพใหญ่ที่กลับมาถึงจวนในยามเซิน ได้สั่งให้พ่อบ้านเจียงไปแจ้งที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าว่า เย็นนี้เขาจะพาฮูหยินไปรับสำรับเย็นที่นั่น และบอกให้แม่ครัวเตรียมอาหารไว้มากกว่าเดิมสักหน่อย ก่อนที่ตัวของแม่ทัพใหญ่จะกลับไปชำระล้างร่างกายเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อไปพบฮูหยินที่ไม่ยอมออกจากจวนมาหลายปีมู่เสียสาวใช้คนสนิทของจางฮูหยิน เมื่อเห็นว่านายท่านของจวน มาพบนายหญิงของตนเร็วกว่าทุกวัน จึงจะเข้าไปบอกเจ้านายแต่ว่านางถูกนายท่านเรียกตัวเอาไว้เสียก่อน“มู่เสีย”“คารวะนายท่านเจ้าค่ะ”“เจ้าไม่ต้องไปรายงานน้องหญิง แต่ไปเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ดูชุดที่มีสีสันสดใสสักเล็กน้อยก็แล้วกัน วันนี้ข้าจะพานางไปรับอาหารเย็นที่เรือนท่านแม่” แม่ทัพใหญ่สั่งงานกับมู่เสีย ก่อนจะเข้าไปหาฮูหยินของตน ที่ยังคงมีสีหน้าไร้ชีวิตชีวาเช่นทุกวัน“เอ่อ เจ้าค่ะนายท่าน” มู่เสียทำท่าคล้ายมีคำถาม แต่ก็ต