แชร์

ตอนที่ 8 ตระกูลเจียงของแม่ทัพใหญ่

บนโต๊ะอาหารในจวนเช่าของฟู่หลงเหยียน ยามนี้มันเต็มไปด้วยอาหารหน้าตาแปลก ๆ แต่กลิ่นมันกลับหอมชวนให้ท้องร้องอยากกินเสียเดี๋ยวนั้น สาเหตุมาจากอวี้จิ่นไม่อยากนั่งอยู่เฉย ๆ นางจึงลุกไปยังห้องครัว และลงมือทำอาหารจากเนื้อและผักจากในมิติของตน

โดยมีข้ออ้างกับตงลู่ว่า ตนเองแอบออกไปซื้อที่ตลาดมา และห้ามตงลู่บอกกับฟู่หลงเหยียนว่านางออกไปด้านนอก แต่ให้บอกว่าเขาคือคนที่ไปซื้อเนื้อกับผักพวกนี้ ตามคำขอของนาง อวี้จิ่นข่มขู่ตงลู่ด้วยอาหารบนโต๊ะนั่น ถ้าไม่ยอมทำตามที่นางบอกเขาจะอดกินมันอย่างแน่นอน

คำข่มขู่ของอวี้จิ่นย่อมเป็นผล เมื่อตงลู่อยากชิมอาหารบนโต๊ะ ซึ่งมันไม่เหมือนอาหารที่เขาเคยทานมาก่อน ตงลู่ต้องออกจากห้วงความคิดของตน เมื่อได้ยินเสียงประตูจวนถูกเปิด เขารีบบอกให้อวี้จิ่นไปซ่อนตัวไว้ ส่วนตนเองจับดาบไว้แน่น ออกไปยืนซ่อนตัวอยู่ด้านหลังประตู แต่คนที่มากลับเป็นเจ้านายของตนมิใช่คนร้าย

“แอ๊ดดด!! ชิ้ง!! พวกเจ้าปะ นายน้อย!!”

“ตงลู่! นี่เจ้าอยากประลองฝีมือกับนายน้อย ถึงกับถือดาบมาดักรออยู่หลังประตูเชียวรึ” อู๋จิ้งเห็นตงลู่ชักดาบเมื่อประตูเรือน

ด้านหน้าเปิดออกจึงเรียกสหายทันที

“ขออภัยขอรับนายน้อย บ่าวคิดว่ามีคนของใต้เท้าจินตามมา จึงได้ทำการล่วงเกินนายน้อยเช่นนี้” ตงลู่ไม่ห่วงนักโทษอย่างเจียนฉือนัก แต่เขาต้องปกป้องสตรีที่เจ้านายฝากไว้ให้ดูต่างหาก

“อืม ไม่เป็นไรเจ้าทำหน้าที่ได้ดีแล้ว ว่าแต่ทำไมเจ้าอยู่เพียงลำพัง จิ่นเอ๋อร์นางหายไปไหน หรือเจ้าลืมตามดูนางงั้นหรือตงลู่” ฟู่หลงเหยียนน้ำเสียงเริ่มเปลี่ยนเมื่อไม่เห็นอวี้จิ่นอยู่ในห้องนี้

“เอ่อ คือบ่าวให้คะ..”

“ข้าอยู่นี่เจ้าค่ะพี่ชายฟู่ ท่านอย่าดุน้าตงลู่เลยนะเพราะพวกท่านไม่ส่งเสียง จึงคิดว่าเป็นคนร้ายข้าถึงไปแอบหลบอยู่อีกห้องอย่างไรเล่า” อวี้จิ่นรีบแสดงตัวก่อนที่ตงลู่จะถูกทำโทษ

“พี่แค่ถามตงลู่ยังไม่ได้ดุอย่างที่เจ้าเข้าใจเสียหน่อย”

“เจ้าค่ะ ๆ ท่านไม่ได้ดุแค่ถามเฉย ๆ เท่านั้นเอง ว่าแต่ภารกิจของท่านเรียบร้อยดีหรือไม่เจ้าคะ” อวี้จิ่นเปลี่ยนเรื่องคุยหันไปถามเรื่องงานของฟู่หลงเหยียนแทน

“คุณหนูอวี้จิ่นไม่ต้องห่วงขอรับ หากนายน้อยลงมือภารกิจย่อมสำเร็จอยู่แล้วขอรับ แต่ว่าตอนนี้ข้าได้กลิ่นหอมลอยมา คล้ายกับว่ามีคนทำอาหารอยู่ภายในจวนหลังนี้นะขอรับ” อู๋จิ้งตอบคำถามแทนเจ้านายและไม่ลืมถามที่มาของกลิ่นอาหาร

“แน่นอนว่ามันคือกลิ่นของอาหาร และคนที่ทำก็ไม่ใช่ใครแต่เป็นคุณหนูอวี้จิ่น ที่เข้าครัวทำอาหารหลายอย่างไว้ นายน้อยขอรับถือเสียว่าสงสารพวกบ่าว ท่านรีบไปล้างมือดีกว่าขอรับ หากปล่อยให้อาหารเย็นชืดไปเสียก่อน จะทานไม่อร่อยเอาได้นะขอรับ” ตงลู่อดทนตั้งแต่อวี้จิ่นทำอาหารจานแรกแล้ว จึงร้องขอความเมตตาจากเจ้านายเช่นนี้

“ข้าเห็นด้วยกับน้าตงลู่เจ้าค่ะ พี่ชายฟู่กับท่านน้าทั้งสอง รีบไปล้างมือให้สะอาดเถิด จะได้มานั่งทานอาหารด้วยกันนะเจ้าคะ”

“อืม ขอบใจจิ่นเอ๋อร์มากที่ทำอาหารไว้รอ ประเดี๋ยวพี่จะตามไปที่ห้องทานอาหารก็แล้วกัน พวกเจ้าสองคนก็ทำตามที่จิ่นเอ๋อร์บอกด้วยล่ะ แล้วไปนั่งทานอาหารพร้อมกันไม่ต้องแยกสำรับ” ฟู่หลงเหยียนสั่งให้คนสนิททำตามที่อวี้จิ่นบอก ทั้งที่เมื่อก่อนอดีตคนรักเคยสั่งพวกเฉินอิ่น แต่เขาไม่อนุญาตให้นางมายุ่งวุ่นวายกับทั้งสามคนสักครั้ง

‘แค่คำว่าน้าก็เจ็บปวดแล้ว’

‘ทำตามคำสั่งของคุณหนูอวี้จิ่น!’

‘อึก นั่งกินข้าวด้วยกันกับนายน้อยงั้นหรือ?’

ทั้งสามคนไม่รู้ว่ายามนี้จะตกใจกับเรื่องไหนก่อนดี ท่าทางของเจ้านายเปลี่ยนไปได้ภายในไม่กี่วันเมื่อพบกับอวี้จิ่น คงต้องพยายามปรับตัวกันเสียใหม่หลังจากนี้เสียแล้ว

เมื่อได้ชิมอาหารฝีมือของอวี้จิ่น คำแรกบุรุษทั้งสี่กลายเป็นคนใบ้ขึ้นมาทันที สตรีเพียงหนึ่งเดียวบนโต๊ะอาหาร ได้แต่มองซ้ายทีขวาทีมีแต่เสียงของตะเกียบกระทบชามข้าว นี่นางควรภูมิใจที่ฝีมือการทำอาหารยังใช้ได้อยู่ใช่ไหม

ภายหลังจากทานอาหารแสนอร่อยจนอิ่มหนำ ก่อนจะแยกย้ายฟู่หลงเหยียนไม่ลืมกำชับกับอวี้จิ่นว่า อีกสองวันหลังจากนี้ให้นางเตรียมตัวไว้ให้พร้อม เพราะนี่จะเป็นการเดินทางไกลนับเดือนกว่าจะไปถึงเมืองหลวง อวี้จิ่นรับคำอย่างกระตือรือร้นที่จะได้ออกเดินทางเสียที

ณ ร้านน้ำชาแห่งหนึ่งในเมืองหลวงแคว้นจ้าว

จิ้งโม่และมู่ฉีทั้งสองคนเป็นบ่าวในจวนตระกูลฟู่ และทั้งสองได้ร่วมฝึกฝนกับนายน้อยของตระกูล เพื่อทำงานคอยสืบข่าวสำคัญซึ่งครั้งนี้จิ้งโม่ได้รับภารกิจจากนายน้อย จึงได้ชวนสหายอย่างมู่ฉีมาช่วยสืบเรื่องราวของตระกูลขุนนางใหญ่ ที่เป็นขุนนางในราชสำนัก เกี่ยวกับการมอบกุญแจหยกอายุยืนให้บุตรหลาน ในวันที่ออกมาลืมตาดูโลก รวมถึงตระกูลใดมีบุตรสาวหรือหลานสาวหายตัวไปหรือไม่

“ปึก! มู่ฉีเจ้ากับข้าสืบเรื่องราวของตระกูลใหญ่ จนเกือบจะครบทั้งเมืองหลวงแล้ว แต่มีเพียงตระกูลเจียงของแม่ทัพใหญ่ที่เดียวเท่านั้น ที่เจ้าก็รู้อย่างที่ข้ารู้ว่าไม่สามารถจะแฝงตัวเข้าไปได้ง่ายดายนัก เฮ้อ” จิ้งโม่ถอดถอนใจเพราะคิดไม่ออกว่า จะเข้าไปในจวนตระกูลเจียงอย่างไร

“เท่าที่ข้าคิดออกในตอนนี้มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น นั่นก็คือพวกเราต้องขอเข้าพบรองแม่ทัพเจียง ในเมื่อไม่อาจแฝงตัวสืบอย่างลับ ๆ มิสู้เข้าหาอย่างตรงไปตรงมาไม่ดีกว่ารึ” มู่ฉีก็หนักใจไม่ต่างกับสหายนัก

“ก็ดีเหมือนกันเพราะอย่างน้อย ๆ รองแม่ทัพเจียงก็เป็นสหายกับนายน้อย หากพวกเราสอบถามไปตามตรง ย่อมดีกว่าเป็นไหน ๆ ถึงอย่างไรพวกเราก็มีข้ออ้าง เกี่ยวกับกุญแจหยกอายุยืนนั่น เพราะตระกูลอื่นใช้ทองคำมานานแล้ว ยกเว้นตระกูลเจียงที่ยังคงใช้หยก ทำเป็นกุญแจอายุยืนมอบให้บุตรหลานจนถึงทุกวันนี้” จิ้งโม่เห็นด้วยกับวิธีนี้ของสหาย

“อืม พรุ่งนี้พวกเราค่อยไปพบรองแม่ทัพ ที่ค่ายฝึกทหารในยามเฉิน ข้าคิดว่าเรื่องนี้อาจทำให้รองแม่ทัพต้องรู้สึกเสียใจอีกครั้ง”

“วันนี้พวกเรากลับไปพักกันก่อนเถิด จะได้นำจดหมายติดตัวไปด้วย” จิ้งโม่คิดว่านำจดหมายของเจ้านายไปด้วยเผื่อจำเป็นต้องใช้

“อืม”

ด้านรองแม่ทัพเจียงหยวน บุตรชายคนโตของแม่ทัพใหญ่ ยังคงไม่รู้ตัวว่ากำลังมีคนนำเรื่องเกี่ยวกับน้องสาวเพียงคนเดียว

ที่ต้องตายอย่างไร้สาเหตุตั้งแต่ยังไม่ทันได้ลืมตา เรื่องนี้ยังคงติดค้างอยู่ในใจของเจียงหยวนมาถึงปัจจุบัน และมันยังทำให้มารดาของเขาไม่มีรอยยิ้ม ไม่ว่าบิดาจะพยายามทำทุกวิธีที่คิดได้ ก็ไม่สามารถเรียกรอยยิ้มจากมารดาได้อยู่ดี

ยามเฉินของวันต่อมาจิ้งโม่และมู่ฉีมาถึงค่ายฝึกทหาร เพื่อขอเข้าพบรองแม่ทัพเจียง เนื่องจากมีเรื่องสำคัญต้องการสอบถามด้วยตนเอง หลี่อี้ที่รับเรื่องแล้วนำไปรายงานต่อเจ้านาย มีความสงสัยเล็กน้อยว่าเหตุใดคนของใต้เท้าฟู่ ถึงได้มาขอพบเจ้านายของตนถึงค่ายฝึกทหารเช่นนี้

“เรียนคุณชายที่หน้าค่ายทหาร มีคนของใต้เท้าฟู่มาขอพบท่านขอรับ”

“หืม มิใช่ว่าสหายข้าคนนี้ไปทำภารกิจที่ต่างเมืองมิใช่หรือ แล้วคนที่มาขอพบข้าเป็นคนไหนงั้นรึหลี่อี้” เจียงหยวนรู้เพียงว่าสหายของเขาคนนี้ เดินทางไปทำภารกิจจากรับสั่งของฮ่องเต้

“คนหนึ่งชื่อจิ้งโม่ส่วนอีกคนชื่อมู่ฉีขอรับคุณชาย”

“เจ้าไปพาทั้งสองคนเข้ามาพบข้าที่นี่ก็แล้วกัน”

“รับทราบขอรับ”

จิ้งโม่และมู่ฉีที่ยืนรอเมื่อเห็นหลี่อี้กลับออกมา และบอกว่าเจียงหยวนอนุญาตให้เข้าพบได้ก็รู้สึกดีใจมาก ทั้งสองเดินตามหลี่อี้เข้าไปยังกระโจมทำงานของเจียงหยวน

“ข้าน้อยจิ้งโม่กับมูฉีคารวะรองแม่ทัพเจียงขอรับ”

“ไม่ต้องมากพิธีพวกเจ้าสองคนต้องการพบข้า เพราะเจ้านายของเจ้ามีเรื่องอันใดจะให้ข้าช่วยรึ” เจียงหยวนคิดเพียงเรื่องงานเท่านั้น

“เอ่อ เรื่องที่นายน้อยต้องการจากรองแม่ทัพเจียง มิใช่ความช่วยเหลือเรื่องงานแต่อย่างใดขอรับ แต่ว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับน้องสาวของท่านน่ะขอรับ” จิ้งโม่พูดอย่างไม่เต็มเสียงนัก เพราะเขาคาดเดาได้ถูก หากพูดเรื่องของน้องสาวเจียงหยวนย่อมไม่อยากพูดถึง

“เรื่องของน้องสาวข้า แล้วฟู่หลงเหยียนต้องการรู้ไปทำไม พวกเจ้ากลับไปเถิดข้าไม่อยากพูดถึงเรื่องในอดีตอีก” เจียงหยวนเมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องของน้องสาวก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที

“รองแม่ทัพเจียงอย่าเพิ่งไล่พวกข้าเลยขอรับ ที่นายน้อยต้องการทราบเรื่องของน้องสาวท่าน เป็นเพราะยามนี้นายน้อยพบหญิงสาวคนหนึ่งที่เมืองเฉียนโจว ที่สำคัญนางมีกุญแจหยกอายุยืนของตระกูลเจียงของท่านด้วยขอรับ” จิ้งโม่รีบขอร้องเจียงหยวน และบอกรายละเอียดในจดหมายของฟู่หลงเหยียนออกไป

“เจ้าว่าอะไรนะ!! อาเหยียนเจอใครที่เมืองเฉียนโจว พวกเจ้าเล่ามาให้ละเอียดเดี๋ยวนี้” แม้เจียงหยวนจะตกใจแต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ

“เรียนรองแม่ทัพเจียง นายน้อยของพวกเราเจอหญิงสาวคนหนึ่ง ยามนี้อายุน่าจะเลยวัยปักปิ่นมาได้เกือบหนึ่งปีแล้ว มันเป็นความบังเอิญเสียมากกว่า ที่นายน้อยได้ยินสิ่งที่นางพูดก่อนเข้าเมืองเฉียนโจว จึงให้ตงลู่สะกดรอยตามนางไป และนั่นทำให้ตงลู่ได้เห็นกุญแจหยกอายุยืน รวมถึงคำพูดของนางที่ว่าจะเดินทางมาเมืองหลวง

เพื่อตามหาครอบครัว โดยใช้หยกชิ้นนี้เป็นหลักฐานขอรับ เรื่องทั้งหมดเป็นที่มาของการสืบเรื่องราวของตระกูลขุนนางใหญ่ ซึ่งพวกข้าสองคนไปสืบมาจนครบแล้ว เหลือเพียงตระกูลเจียงที่พวกข้าตัดสินใจมาขอเข้าพบท่านโดยตรงขอรับ” มู่ฉีรีบอธิบายเรื่องราวที่มาที่ไปให้สหายของเจ้านายทราบ ก่อนที่เขาจะโมโหไปมากกว่านี้แล้วพวกตนต้องคว้าน้ำเหลว

“ ตุบ นางมีหยกชิ้นนั้นได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นน้องสาวที่น่าสงสารของข้า นางตายตั้งแต่คลอดออกมาไม่ถึงหนึ่งเค่อด้วยซ้ำ”

“ยามนั้น ใครเป็นคนจัดการเรื่องศพของคุณหนูเจียงหรือขอรับ มีใครเห็นบ้างหรือไม่ยามที่หมอตำแยนำร่างของคุณหนูไปทำความสะอาด แต่พอกลับมาก็บอกว่านางตายเสียแล้ว รองแม่ทัพเจียงเป็นไปได้หรือไม่ขอรับ ที่เรื่องนี้จะมีคนที่ไม่ต้องการให้น้องสาวของท่านมีชีวิตอยู่ เพราะนางคือคุณหนูใหญ่ของตระกูลเจียง ที่ในอนาคตจะถูกจับจ้องจากเชื้อพระวงศ์และตระกูลขุนนางนะขอรับ” จิ้งโม่เกิดความสงสัยยามที่เกิดเรื่องนี้

“หรือว่า!! คุณชายขอรับจากที่จิ้งโม่พูดมา หากสิ้นคุณหนูไปคนที่จะถูกให้ความสำคัญ ย่อมเป็นคุณหนูจากบ้านนายท่านรอง และตอนนี้มีหลายตระกูลรวมถึงตำหนักขององค์ชายหลายคน ที่กำลังคิดจะส่งแม่สื่อมาทาบทามนางมิใช่หรือขอรับคุณชาย” หลี่อี้ลองคิดตามคำถามของจิ้งโม่เขาก็คิดถึงบ้านรองของน้องชายนายท่านใหญ่คนเดียวเท่านั้น

“หมายความว่าบ้านรอง วางแผนเอาไว้ตั้งแต่แรกงั้นหรือ พวกมันช่างใจกล้าเกินไปแล้ว อยากมีอำนาจเหนือบ้านหลัก ถึงกับคิดสังหารน้องสาวข้าตั้งแต่นางเกิด จิตใจอำมหิตเกินไปแล้ว เรื่องของหมอตำแยที่ทำคลอดให้ท่านแม่คนของท่านพ่อไปตามหาไม่พบ หลังจากที่จัดงานฝังศพให้กับน้องสาวของข้า” เจียงหยวนพอจะรู้มาตั้งแต่เด็กว่าบ้านรองนั้นอิจฉาท่านพ่อเพียงใด

“หากเป็นเช่นนั้นมีความเป็นไปได้ว่า หมอตำแยทำการสับเปลี่ยนทารก นางไม่กล้าพอที่จะสังหารคุณหนูจึงพานางหลบหนีไป และเลี้ยงดูคุณหนูจนนางเติบโต จากนั้นความรู้สึกผิดในใจ ทำให้หมอตำแยสารภาพความจริง ส่งผลให้คุณหนูออกเดินทางเข้าเมืองหลวง เพื่อตามหาพวกท่านก็เป็นได้นะขอรับรองแม่ทัพเจียง” มู่ฉีคิดว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้อย่างมาก

“ใช่! ถ้าเป็นอย่างที่พวกเจ้าพูด น้องสาวของข้านางยังมีชีวิตอยู่แน่ ๆ ข้าต้องไปพบท่านพ่อเพื่อบอกเกี่ยวกับเรื่องนี้ รบกวนพวกเจ้าสองคนตามข้าไปด้วยได้หรือไม่” เจียงหยวนรู้สึกมีความหวังที่จะได้เจอน้องสาว

“พวกข้ายินดีขอรับ” ในที่สุดพวกเขาก็มีข่าวดีส่งให้เจ้านายแล้ว

“อืม ขอบใจมากพวกเราไปที่กระโจมของท่านพ่อกันเถิด”

“ขอรับ”

เจียงหยวนแม้จะมิได้เชื่อ ที่คนของสหายพูดมาทั้งหมด แต่เมื่อพิจารณาบางข้อก็มีจุดให้น่าสงสัยอยู่เช่นกัน ฉะนั้นการนำเรื่องดังกล่าวไปหารือกับบิดาของตน ย่อมเป็นทางออกที่ดีที่สุดในยามนี้ เพราะเจียงหยวนรู้ดีว่าในใจของบิดา ก็เสียใจและคิดถึงน้องสาวมากเช่นกัน

เจียงเล่อคนสนิทของแม่ทัพใหญ่ ยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้ากระโจมเขาจะไม่รู้สึกแปลกใจหากบุตรชายของเจ้านาย จะมาพบบิดาเพียงลำพัง แต่วันนี้ด้านหลังของคุณชาย กลับมีคนที่ไม่รู้จักติดตามมาถึงสองคน

“คาราวะคุณชายขอรับ”

“อืม เจียงเล่อตอนนี้ท่านพ่ออยู่คนเดียวหรือมีแขก”

“เรียนคุณชาย นายท่านทำงานอยู่ด้านในเพียงลำพังขอรับ”

“ขอบใจมาก พวกเจ้าสองคนตามข้าเข้าไปด้านในเถิด หลี่อี้เจ้าอยู่เฝ้าด้านหน้ากับเจียงเล่อ อย่าเพิ่งให้ใครเข้าพบจนกว่าข้าจะกลับออกมา” เจียงหยวนเฝ้าระวังทุกฝีก้าวเพื่อป้องกันคนของบ้านรอง

“ทราบแล้วขอรับคุณชาย”

“คุณชายรีบเข้าไปพบนายท่านเถิดขอรับ เรื่องที่ท่านกังวลบ่าวจะเฝ้าระวังเป็นอย่างดี มิให้ใครเข้าใกล้กระโจมนี้ได้แน่” หลี่อี้เข้าใจคำสั่งนี้ดี

“พรึ่บ! คารวะท่านพ่อ/คารวะท่านแม่ทัพใหญ่ขอรับ”

“หืม อาหยวนมีเรื่องอะไรหรือไม่ ถึงได้มาพบพ่อยามนี้แล้วเจ้าพาใครมาด้วยล่ะนั่น พ่อไม่คุ้นหน้าทั้งสองคนเลย” แม่ทัพใหญ่เอ่ยถามบุตรชายที่พาคนแปลกหน้าเข้ามาพบกับตน

“เรียนท่านพ่อ ทั้งสองคนนี้เป็นคนของอาเหยียนขอรับ ที่ข้าพาพวกเขาเข้ามาพบท่านพ่อในเวลางานเช่นนี้ เป็นเพราะมีเรื่องเกี่ยวกับกุญแจหยกอายุยืนของตระกูลเจียงของเราขอรับ”

“ลองเล่ารายละเอียดมาสิว่าเกิดอะไรกับเรื่องนี้ แล้วอาเหยียนอยากรู้เกี่ยวกับกุญแจหยกอายุยืนด้วยเหตุใด” พอได้ยินบุตรชายพูดถึงเรื่องนี้แม่ทัพใหญ่วางตำราลงและถามอย่างจริงจัง

“พวกเจ้าเล่าให้ท่านพ่อฟัง อย่างที่เล่าไปก่อนหน้านี้เถิด ท่านพ่อจะได้พิจารณาว่ามีทางเป็นไปได้หรือไม่” เจียงหยวนให้จิ้งโม่กับมู่ฉีเป็นคนเล่ารายละเอียดกับบิดาเอง

“ขอรับ เรียนท่านแม่ทัพใหญ่ เรื่องนี้เกิดจากนายน้อยที่กำลังทำภารกิจอยู่ที่เมืองเฉียนโจว และด้วยความบังเอิญในวันที่เดินทางไปถึงที่นั่น นายน้อยได้ยินหญิงสาวนางหนึ่ง พูดถึงเรื่องข่าวลือและนางคิดว่าน่าจะเป็นฝีมือของคน จากคำพูดนี้ของนางนายน้อยจึงให้ตงลู่สะกดรอยตามไป เพราะเกิดความสงสัยว่าเหตุใดนางถึงไม่กลัวเช่นชาวบ้านคนอื่น ๆ นอกจากนี้ตงลู่เห็นนางมีกุญแจหยกอายุยืน และพูดถึงการเข้าเมืองหลวง เพื่อตามครอบครัวที่แท้จริงโดยใช้หยกชิ้นนั้นเป็นหลักฐานขอรับ”

“หญิงสาวชาวบ้านจะมีหยกชิ้นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อมันเป็นของขวัญที่ตระกูลเจียงจะทำขึ้น ยามที่มีบุตรหลานในตระกูลคลอดลูกออกมาเท่านั้น ตงลู่อาจจะมองผิดไปก็เป็นได้พวกเจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ” แม่ทัพใหญ่ยังไม่คิดเชื่อว่าที่ตงลู่เห็นจะเป็นหยกของตระกูลเจียง

“ท่านแม่ทัพใหญ่ตงลู่จะมองผิดได้อย่างไรขอรับ พวกเราถูกฝึกฝนมาอย่างหนัก หากมองผิดการทำภารกิจย่อมล้มเหลวนะขอรับ และเรื่องนี้พวกข้าทำการสืบจากตระกูลอื่น ๆ ทั้งหมดแล้ว พวกเขาล้วนใช้ทองคำมีเพียงตระกูลเจียงเท่านั้นที่ยังใช้หยก ข้ากับมู่ฉีจึงมาขอพบรองแม่ทัพโดยตรงเพราะไม่อยากแอบสืบอย่างลับ ๆ” จิ้งโม่พยายามอธิบายกับแม่ทัพใหญ่

“ท่านพ่อคนของอาเหยียน ตั้งข้อสังเกตว่ามีคนต้องการไม่ให้น้องสาวมีชีวิตอยู่ เพราะจะเป็นอุปสรรคต่อบุตรสาวของพวกเขา สำหรับเพิ่มอำนาจให้ตนเอง ท่านพ่อย่อมรู้ดีว่าบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่เช่นท่าน ย่อมมีหลายฝ่ายจับจ้องอยากเกี่ยวดองด้วยทั้งนั้นมิใช่หรือขอรับ” เจียงหยวนเริ่มพูดให้บิดาคิดตาม

“ท่านแม่ทัพใหญ่ พวกข้าคิดว่ามีความเป็นไปได้อย่างมาก ที่บุตรสาวของท่านจะถูกสับเปลี่ยนกับศพทารก จากแผนการร้ายของผู้ไม่หวังดีในวันที่ฮูหยินคลอด แต่คนที่นำคุณหนูไปตัดใจทำร้ายเด็กไม่ลงจึงเลี้ยงดูไว้เอง อาจจะด้วยความรู้สึกที่ติดตามหลอกหลอน สุดท้ายจึงยอมบอกความจริงกับคุณหนูก็ได้ขอรับ” จิ้งโม่คิดว่าต้องเป็นเช่นนี้แน่

“เรียนท่านแม่ทัพใหญ่หญิงสาวคนนั้น อายุเลยวัยปักปิ่นมาเกือบหนึ่งปีแล้ว เมื่อลองพิจารณาเรื่องอายุของคุณหนูเจียง ก็ถือว่าใกล้เคียงกันมากนะขอรับ” มู่ฉีเปรียบเทียบเรื่องอายุของทั้งสองคน ยิ่งคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงอย่างมาก

“คนที่ไม่อยากให้บุตรสาวของข้าเป็นอุปสรรคงั้นหรือ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าคนขี้อิจฉานั่น หากพวกมันคือคนที่คิดทำร้ายบุตรสาวของข้าจริงละก็ พวกมันทั้งครอบครัวไม่ว่าจะหัวหงอกหัวดำ ต้องชดใช้ด้วยชีวิตเท่านั้น สิบกว่าปีที่ฮูหยินต้องอยู่กับความเสียใจ หากไม่ใช่เพราะมีอาหยวนอยู่ นางคงตรอมใจตายไปนานแล้ว และสิบกว่าปีที่บุตรสาวของข้าต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก อยู่ที่ไหนสักแห่งทั้งที่ชีวิตของนางควรอยู่อย่างสุขสบาย มีบ่าวคอยรับใช้เช่นคุณหนูในห้องหอคนอื่น อาหยวน” แม่ทัพใหญ่ยามนี้คล้ายได้ปลดบางสิ่ง ที่ต้องทนมาหลายปีออกไปบ้างแล้ว

“ขอรับท่านพ่อ”

“พ่อรู้ว่าตอนนี้เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ พ่ออนุญาตให้เจ้าหยุดพักผ่อน และพาหลี่อี้ติดตามไปรออาเหยียนกลางทาง เพื่อรับน้องสาวของเจ้ากลับบ้านอย่างปลอดภัยเถิด ส่วนแม่ของเจ้าพ่อจะค่อย ๆ คุยกับนางเอง” คนเป็นพ่อแค่มองสายตาของบุตรชาย ทำไมจะไม่รู้ว่าต้องการสิ่งใด เนื่องจากตัวของแม่ทัพใหญ่เอง หากไม่ติดว่าต้องสะสางกองโต ย่อมอยากไปพบเด็กสาวคนนี้ด้วยตนเองแน่

“ขอบคุณท่านพ่อ ข้าจะพาน้องสาวกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน หากมีใครคิดจะทำร้ายนางอีกครั้ง มีเพียงความตายที่พวกมันจะได้รับ ข้ากับหลี่อี้จะออกเดินทางคืนนี้ รบกวนท่านบอกกับท่านแม่ด้วยนะขอรับ”

“อืม เจ้าไปเตรียมตัวเถิดอาหยวน”

“ข้าขอตัวก่อนขอรับ”

“ส่วนพวกเจ้าสองคนข้าต้องขอบใจมาก ที่นำเรื่องนี้มาบอกเอาไว้นายน้อยของพวกเจ้ากลับมาถึงเมืองหลวง ข้าจะเชิญมาทานอาหารที่จวนเป็นการขอบคุณอีกครั้งก็แล้วกัน” เรื่องนี้แม่ทัพใหญ่จะลืมได้อย่างไร

“พวกเรายินดีเป็นอย่างมาก ที่ได้ทำภารกิจในครั้งนี้ขอรับ ขอแสดงความยินดีกับท่านแม่ทัพใหญ่ล่วงหน้า ที่จะได้เจอคุณหนูเจียงอีกครั้งด้วยขอรับ” แต่สิ่งสำคัญคือพวกเขาสองคน ต้องรีบส่งจดหมายถึงเจ้านายเป็นการด่วน

“ขอบใจ ๆ”

“เช่นนั้นพวกข้าสองคนต้องขอตัวก่อนนะขอรับ อย่างไรเสียก็ต้องส่งข่าวรายงานให้นายน้อยได้ทราบด้วยขอรับ” พวกเขาจะชักช้าไม่ได้เด็ดขาด เพราะต้องเขียนรายละเอียดทั้งหมดลงไป

“ฝากขอบใจอาเหยียนแทนข้าด้วยก็แล้วกัน”

“ทราบแล้วขอรับท่านแม่ทัพใหญ่”

แม้จิ้งโม่กับมู่ฉีจะดีใจที่ภารกิจของตนในครั้งนี้จะสำเร็จ แต่คนที่ดีใจมากคงหนีไม่พ้นเจียงหยวน ยามเดินออกมาด้านนอก

เขาทำเพียงเรียกหลี่อี้ให้เดินตามกลับไปที่พัก และสั่งให้เตรียมสัมภาระเท่านั้น ทำเอาบ่าวคนสนิทถึงกับงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้านาย แต่ก็ได้รู้เมื่อถึงเวลาออกเดินทาง หลี่อี้ดีใจกับเจ้านายของตนที่จะได้เจอคุณหนูเสียที ส่วนแม่ทัพใหญ่กำลังเตรียมคำพูด ที่ต้องบอกกับฮูหยินของตน รวมถึงมารดาที่แก่ชราไปมาก อย่างน้อยเมื่อรู้ข่าวดีอาจทำให้มารดาสุขภาพแข็งแรงก็เป็นได้

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status