บนโต๊ะอาหารในจวนเช่าของฟู่หลงเหยียน ยามนี้มันเต็มไปด้วยอาหารหน้าตาแปลก ๆ แต่กลิ่นมันกลับหอมชวนให้ท้องร้องอยากกินเสียเดี๋ยวนั้น สาเหตุมาจากอวี้จิ่นไม่อยากนั่งอยู่เฉย ๆ นางจึงลุกไปยังห้องครัว และลงมือทำอาหารจากเนื้อและผักจากในมิติของตน
โดยมีข้ออ้างกับตงลู่ว่า ตนเองแอบออกไปซื้อที่ตลาดมา และห้ามตงลู่บอกกับฟู่หลงเหยียนว่านางออกไปด้านนอก แต่ให้บอกว่าเขาคือคนที่ไปซื้อเนื้อกับผักพวกนี้ ตามคำขอของนาง อวี้จิ่นข่มขู่ตงลู่ด้วยอาหารบนโต๊ะนั่น ถ้าไม่ยอมทำตามที่นางบอกเขาจะอดกินมันอย่างแน่นอน
คำข่มขู่ของอวี้จิ่นย่อมเป็นผล เมื่อตงลู่อยากชิมอาหารบนโต๊ะ ซึ่งมันไม่เหมือนอาหารที่เขาเคยทานมาก่อน ตงลู่ต้องออกจากห้วงความคิดของตน เมื่อได้ยินเสียงประตูจวนถูกเปิด เขารีบบอกให้อวี้จิ่นไปซ่อนตัวไว้ ส่วนตนเองจับดาบไว้แน่น ออกไปยืนซ่อนตัวอยู่ด้านหลังประตู แต่คนที่มากลับเป็นเจ้านายของตนมิใช่คนร้าย
“แอ๊ดดด!! ชิ้ง!! พวกเจ้าปะ นายน้อย!!”
“ตงลู่! นี่เจ้าอยากประลองฝีมือกับนายน้อย ถึงกับถือดาบมาดักรออยู่หลังประตูเชียวรึ” อู๋จิ้งเห็นตงลู่ชักดาบเมื่อประตูเรือน
ด้านหน้าเปิดออกจึงเรียกสหายทันที“ขออภัยขอรับนายน้อย บ่าวคิดว่ามีคนของใต้เท้าจินตามมา จึงได้ทำการล่วงเกินนายน้อยเช่นนี้” ตงลู่ไม่ห่วงนักโทษอย่างเจียนฉือนัก แต่เขาต้องปกป้องสตรีที่เจ้านายฝากไว้ให้ดูต่างหาก
“อืม ไม่เป็นไรเจ้าทำหน้าที่ได้ดีแล้ว ว่าแต่ทำไมเจ้าอยู่เพียงลำพัง จิ่นเอ๋อร์นางหายไปไหน หรือเจ้าลืมตามดูนางงั้นหรือตงลู่” ฟู่หลงเหยียนน้ำเสียงเริ่มเปลี่ยนเมื่อไม่เห็นอวี้จิ่นอยู่ในห้องนี้
“เอ่อ คือบ่าวให้คะ..”
“ข้าอยู่นี่เจ้าค่ะพี่ชายฟู่ ท่านอย่าดุน้าตงลู่เลยนะเพราะพวกท่านไม่ส่งเสียง จึงคิดว่าเป็นคนร้ายข้าถึงไปแอบหลบอยู่อีกห้องอย่างไรเล่า” อวี้จิ่นรีบแสดงตัวก่อนที่ตงลู่จะถูกทำโทษ
“พี่แค่ถามตงลู่ยังไม่ได้ดุอย่างที่เจ้าเข้าใจเสียหน่อย”
“เจ้าค่ะ ๆ ท่านไม่ได้ดุแค่ถามเฉย ๆ เท่านั้นเอง ว่าแต่ภารกิจของท่านเรียบร้อยดีหรือไม่เจ้าคะ” อวี้จิ่นเปลี่ยนเรื่องคุยหันไปถามเรื่องงานของฟู่หลงเหยียนแทน
“คุณหนูอวี้จิ่นไม่ต้องห่วงขอรับ หากนายน้อยลงมือภารกิจย่อมสำเร็จอยู่แล้วขอรับ แต่ว่าตอนนี้ข้าได้กลิ่นหอมลอยมา คล้ายกับว่ามีคนทำอาหารอยู่ภายในจวนหลังนี้นะขอรับ” อู๋จิ้งตอบคำถามแทนเจ้านายและไม่ลืมถามที่มาของกลิ่นอาหาร
“แน่นอนว่ามันคือกลิ่นของอาหาร และคนที่ทำก็ไม่ใช่ใครแต่เป็นคุณหนูอวี้จิ่น ที่เข้าครัวทำอาหารหลายอย่างไว้ นายน้อยขอรับถือเสียว่าสงสารพวกบ่าว ท่านรีบไปล้างมือดีกว่าขอรับ หากปล่อยให้อาหารเย็นชืดไปเสียก่อน จะทานไม่อร่อยเอาได้นะขอรับ” ตงลู่อดทนตั้งแต่อวี้จิ่นทำอาหารจานแรกแล้ว จึงร้องขอความเมตตาจากเจ้านายเช่นนี้
“ข้าเห็นด้วยกับน้าตงลู่เจ้าค่ะ พี่ชายฟู่กับท่านน้าทั้งสอง รีบไปล้างมือให้สะอาดเถิด จะได้มานั่งทานอาหารด้วยกันนะเจ้าคะ”
“อืม ขอบใจจิ่นเอ๋อร์มากที่ทำอาหารไว้รอ ประเดี๋ยวพี่จะตามไปที่ห้องทานอาหารก็แล้วกัน พวกเจ้าสองคนก็ทำตามที่จิ่นเอ๋อร์บอกด้วยล่ะ แล้วไปนั่งทานอาหารพร้อมกันไม่ต้องแยกสำรับ” ฟู่หลงเหยียนสั่งให้คนสนิททำตามที่อวี้จิ่นบอก ทั้งที่เมื่อก่อนอดีตคนรักเคยสั่งพวกเฉินอิ่น แต่เขาไม่อนุญาตให้นางมายุ่งวุ่นวายกับทั้งสามคนสักครั้ง
‘แค่คำว่าน้าก็เจ็บปวดแล้ว’
‘ทำตามคำสั่งของคุณหนูอวี้จิ่น!’
‘อึก นั่งกินข้าวด้วยกันกับนายน้อยงั้นหรือ?’
ทั้งสามคนไม่รู้ว่ายามนี้จะตกใจกับเรื่องไหนก่อนดี ท่าทางของเจ้านายเปลี่ยนไปได้ภายในไม่กี่วันเมื่อพบกับอวี้จิ่น คงต้องพยายามปรับตัวกันเสียใหม่หลังจากนี้เสียแล้ว
เมื่อได้ชิมอาหารฝีมือของอวี้จิ่น คำแรกบุรุษทั้งสี่กลายเป็นคนใบ้ขึ้นมาทันที สตรีเพียงหนึ่งเดียวบนโต๊ะอาหาร ได้แต่มองซ้ายทีขวาทีมีแต่เสียงของตะเกียบกระทบชามข้าว นี่นางควรภูมิใจที่ฝีมือการทำอาหารยังใช้ได้อยู่ใช่ไหม
ภายหลังจากทานอาหารแสนอร่อยจนอิ่มหนำ ก่อนจะแยกย้ายฟู่หลงเหยียนไม่ลืมกำชับกับอวี้จิ่นว่า อีกสองวันหลังจากนี้ให้นางเตรียมตัวไว้ให้พร้อม เพราะนี่จะเป็นการเดินทางไกลนับเดือนกว่าจะไปถึงเมืองหลวง อวี้จิ่นรับคำอย่างกระตือรือร้นที่จะได้ออกเดินทางเสียที
ณ ร้านน้ำชาแห่งหนึ่งในเมืองหลวงแคว้นจ้าว
จิ้งโม่และมู่ฉีทั้งสองคนเป็นบ่าวในจวนตระกูลฟู่ และทั้งสองได้ร่วมฝึกฝนกับนายน้อยของตระกูล เพื่อทำงานคอยสืบข่าวสำคัญซึ่งครั้งนี้จิ้งโม่ได้รับภารกิจจากนายน้อย จึงได้ชวนสหายอย่างมู่ฉีมาช่วยสืบเรื่องราวของตระกูลขุนนางใหญ่ ที่เป็นขุนนางในราชสำนัก เกี่ยวกับการมอบกุญแจหยกอายุยืนให้บุตรหลาน ในวันที่ออกมาลืมตาดูโลก รวมถึงตระกูลใดมีบุตรสาวหรือหลานสาวหายตัวไปหรือไม่
“ปึก! มู่ฉีเจ้ากับข้าสืบเรื่องราวของตระกูลใหญ่ จนเกือบจะครบทั้งเมืองหลวงแล้ว แต่มีเพียงตระกูลเจียงของแม่ทัพใหญ่ที่เดียวเท่านั้น ที่เจ้าก็รู้อย่างที่ข้ารู้ว่าไม่สามารถจะแฝงตัวเข้าไปได้ง่ายดายนัก เฮ้อ” จิ้งโม่ถอดถอนใจเพราะคิดไม่ออกว่า จะเข้าไปในจวนตระกูลเจียงอย่างไร
“เท่าที่ข้าคิดออกในตอนนี้มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น นั่นก็คือพวกเราต้องขอเข้าพบรองแม่ทัพเจียง ในเมื่อไม่อาจแฝงตัวสืบอย่างลับ ๆ มิสู้เข้าหาอย่างตรงไปตรงมาไม่ดีกว่ารึ” มู่ฉีก็หนักใจไม่ต่างกับสหายนัก
“ก็ดีเหมือนกันเพราะอย่างน้อย ๆ รองแม่ทัพเจียงก็เป็นสหายกับนายน้อย หากพวกเราสอบถามไปตามตรง ย่อมดีกว่าเป็นไหน ๆ ถึงอย่างไรพวกเราก็มีข้ออ้าง เกี่ยวกับกุญแจหยกอายุยืนนั่น เพราะตระกูลอื่นใช้ทองคำมานานแล้ว ยกเว้นตระกูลเจียงที่ยังคงใช้หยก ทำเป็นกุญแจอายุยืนมอบให้บุตรหลานจนถึงทุกวันนี้” จิ้งโม่เห็นด้วยกับวิธีนี้ของสหาย
“อืม พรุ่งนี้พวกเราค่อยไปพบรองแม่ทัพ ที่ค่ายฝึกทหารในยามเฉิน ข้าคิดว่าเรื่องนี้อาจทำให้รองแม่ทัพต้องรู้สึกเสียใจอีกครั้ง”
“วันนี้พวกเรากลับไปพักกันก่อนเถิด จะได้นำจดหมายติดตัวไปด้วย” จิ้งโม่คิดว่านำจดหมายของเจ้านายไปด้วยเผื่อจำเป็นต้องใช้
“อืม”
ด้านรองแม่ทัพเจียงหยวน บุตรชายคนโตของแม่ทัพใหญ่ ยังคงไม่รู้ตัวว่ากำลังมีคนนำเรื่องเกี่ยวกับน้องสาวเพียงคนเดียว
ที่ต้องตายอย่างไร้สาเหตุตั้งแต่ยังไม่ทันได้ลืมตา เรื่องนี้ยังคงติดค้างอยู่ในใจของเจียงหยวนมาถึงปัจจุบัน และมันยังทำให้มารดาของเขาไม่มีรอยยิ้ม ไม่ว่าบิดาจะพยายามทำทุกวิธีที่คิดได้ ก็ไม่สามารถเรียกรอยยิ้มจากมารดาได้อยู่ดียามเฉินของวันต่อมาจิ้งโม่และมู่ฉีมาถึงค่ายฝึกทหาร เพื่อขอเข้าพบรองแม่ทัพเจียง เนื่องจากมีเรื่องสำคัญต้องการสอบถามด้วยตนเอง หลี่อี้ที่รับเรื่องแล้วนำไปรายงานต่อเจ้านาย มีความสงสัยเล็กน้อยว่าเหตุใดคนของใต้เท้าฟู่ ถึงได้มาขอพบเจ้านายของตนถึงค่ายฝึกทหารเช่นนี้
“เรียนคุณชายที่หน้าค่ายทหาร มีคนของใต้เท้าฟู่มาขอพบท่านขอรับ”
“หืม มิใช่ว่าสหายข้าคนนี้ไปทำภารกิจที่ต่างเมืองมิใช่หรือ แล้วคนที่มาขอพบข้าเป็นคนไหนงั้นรึหลี่อี้” เจียงหยวนรู้เพียงว่าสหายของเขาคนนี้ เดินทางไปทำภารกิจจากรับสั่งของฮ่องเต้
“คนหนึ่งชื่อจิ้งโม่ส่วนอีกคนชื่อมู่ฉีขอรับคุณชาย”
“เจ้าไปพาทั้งสองคนเข้ามาพบข้าที่นี่ก็แล้วกัน”
“รับทราบขอรับ”
จิ้งโม่และมู่ฉีที่ยืนรอเมื่อเห็นหลี่อี้กลับออกมา และบอกว่าเจียงหยวนอนุญาตให้เข้าพบได้ก็รู้สึกดีใจมาก ทั้งสองเดินตามหลี่อี้เข้าไปยังกระโจมทำงานของเจียงหยวน
“ข้าน้อยจิ้งโม่กับมูฉีคารวะรองแม่ทัพเจียงขอรับ”
“ไม่ต้องมากพิธีพวกเจ้าสองคนต้องการพบข้า เพราะเจ้านายของเจ้ามีเรื่องอันใดจะให้ข้าช่วยรึ” เจียงหยวนคิดเพียงเรื่องงานเท่านั้น
“เอ่อ เรื่องที่นายน้อยต้องการจากรองแม่ทัพเจียง มิใช่ความช่วยเหลือเรื่องงานแต่อย่างใดขอรับ แต่ว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับน้องสาวของท่านน่ะขอรับ” จิ้งโม่พูดอย่างไม่เต็มเสียงนัก เพราะเขาคาดเดาได้ถูก หากพูดเรื่องของน้องสาวเจียงหยวนย่อมไม่อยากพูดถึง
“เรื่องของน้องสาวข้า แล้วฟู่หลงเหยียนต้องการรู้ไปทำไม พวกเจ้ากลับไปเถิดข้าไม่อยากพูดถึงเรื่องในอดีตอีก” เจียงหยวนเมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องของน้องสาวก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที
“รองแม่ทัพเจียงอย่าเพิ่งไล่พวกข้าเลยขอรับ ที่นายน้อยต้องการทราบเรื่องของน้องสาวท่าน เป็นเพราะยามนี้นายน้อยพบหญิงสาวคนหนึ่งที่เมืองเฉียนโจว ที่สำคัญนางมีกุญแจหยกอายุยืนของตระกูลเจียงของท่านด้วยขอรับ” จิ้งโม่รีบขอร้องเจียงหยวน และบอกรายละเอียดในจดหมายของฟู่หลงเหยียนออกไป
“เจ้าว่าอะไรนะ!! อาเหยียนเจอใครที่เมืองเฉียนโจว พวกเจ้าเล่ามาให้ละเอียดเดี๋ยวนี้” แม้เจียงหยวนจะตกใจแต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ
“เรียนรองแม่ทัพเจียง นายน้อยของพวกเราเจอหญิงสาวคนหนึ่ง ยามนี้อายุน่าจะเลยวัยปักปิ่นมาได้เกือบหนึ่งปีแล้ว มันเป็นความบังเอิญเสียมากกว่า ที่นายน้อยได้ยินสิ่งที่นางพูดก่อนเข้าเมืองเฉียนโจว จึงให้ตงลู่สะกดรอยตามนางไป และนั่นทำให้ตงลู่ได้เห็นกุญแจหยกอายุยืน รวมถึงคำพูดของนางที่ว่าจะเดินทางมาเมืองหลวง
เพื่อตามหาครอบครัว โดยใช้หยกชิ้นนี้เป็นหลักฐานขอรับ เรื่องทั้งหมดเป็นที่มาของการสืบเรื่องราวของตระกูลขุนนางใหญ่ ซึ่งพวกข้าสองคนไปสืบมาจนครบแล้ว เหลือเพียงตระกูลเจียงที่พวกข้าตัดสินใจมาขอเข้าพบท่านโดยตรงขอรับ” มู่ฉีรีบอธิบายเรื่องราวที่มาที่ไปให้สหายของเจ้านายทราบ ก่อนที่เขาจะโมโหไปมากกว่านี้แล้วพวกตนต้องคว้าน้ำเหลว
“ ตุบ นางมีหยกชิ้นนั้นได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นน้องสาวที่น่าสงสารของข้า นางตายตั้งแต่คลอดออกมาไม่ถึงหนึ่งเค่อด้วยซ้ำ”
“ยามนั้น ใครเป็นคนจัดการเรื่องศพของคุณหนูเจียงหรือขอรับ มีใครเห็นบ้างหรือไม่ยามที่หมอตำแยนำร่างของคุณหนูไปทำความสะอาด แต่พอกลับมาก็บอกว่านางตายเสียแล้ว รองแม่ทัพเจียงเป็นไปได้หรือไม่ขอรับ ที่เรื่องนี้จะมีคนที่ไม่ต้องการให้น้องสาวของท่านมีชีวิตอยู่ เพราะนางคือคุณหนูใหญ่ของตระกูลเจียง ที่ในอนาคตจะถูกจับจ้องจากเชื้อพระวงศ์และตระกูลขุนนางนะขอรับ” จิ้งโม่เกิดความสงสัยยามที่เกิดเรื่องนี้
“หรือว่า!! คุณชายขอรับจากที่จิ้งโม่พูดมา หากสิ้นคุณหนูไปคนที่จะถูกให้ความสำคัญ ย่อมเป็นคุณหนูจากบ้านนายท่านรอง และตอนนี้มีหลายตระกูลรวมถึงตำหนักขององค์ชายหลายคน ที่กำลังคิดจะส่งแม่สื่อมาทาบทามนางมิใช่หรือขอรับคุณชาย” หลี่อี้ลองคิดตามคำถามของจิ้งโม่เขาก็คิดถึงบ้านรองของน้องชายนายท่านใหญ่คนเดียวเท่านั้น
“หมายความว่าบ้านรอง วางแผนเอาไว้ตั้งแต่แรกงั้นหรือ พวกมันช่างใจกล้าเกินไปแล้ว อยากมีอำนาจเหนือบ้านหลัก ถึงกับคิดสังหารน้องสาวข้าตั้งแต่นางเกิด จิตใจอำมหิตเกินไปแล้ว เรื่องของหมอตำแยที่ทำคลอดให้ท่านแม่คนของท่านพ่อไปตามหาไม่พบ หลังจากที่จัดงานฝังศพให้กับน้องสาวของข้า” เจียงหยวนพอจะรู้มาตั้งแต่เด็กว่าบ้านรองนั้นอิจฉาท่านพ่อเพียงใด
“หากเป็นเช่นนั้นมีความเป็นไปได้ว่า หมอตำแยทำการสับเปลี่ยนทารก นางไม่กล้าพอที่จะสังหารคุณหนูจึงพานางหลบหนีไป และเลี้ยงดูคุณหนูจนนางเติบโต จากนั้นความรู้สึกผิดในใจ ทำให้หมอตำแยสารภาพความจริง ส่งผลให้คุณหนูออกเดินทางเข้าเมืองหลวง เพื่อตามหาพวกท่านก็เป็นได้นะขอรับรองแม่ทัพเจียง” มู่ฉีคิดว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้อย่างมาก
“ใช่! ถ้าเป็นอย่างที่พวกเจ้าพูด น้องสาวของข้านางยังมีชีวิตอยู่แน่ ๆ ข้าต้องไปพบท่านพ่อเพื่อบอกเกี่ยวกับเรื่องนี้ รบกวนพวกเจ้าสองคนตามข้าไปด้วยได้หรือไม่” เจียงหยวนรู้สึกมีความหวังที่จะได้เจอน้องสาว
“พวกข้ายินดีขอรับ” ในที่สุดพวกเขาก็มีข่าวดีส่งให้เจ้านายแล้ว
“อืม ขอบใจมากพวกเราไปที่กระโจมของท่านพ่อกันเถิด”
“ขอรับ”
เจียงหยวนแม้จะมิได้เชื่อ ที่คนของสหายพูดมาทั้งหมด แต่เมื่อพิจารณาบางข้อก็มีจุดให้น่าสงสัยอยู่เช่นกัน ฉะนั้นการนำเรื่องดังกล่าวไปหารือกับบิดาของตน ย่อมเป็นทางออกที่ดีที่สุดในยามนี้ เพราะเจียงหยวนรู้ดีว่าในใจของบิดา ก็เสียใจและคิดถึงน้องสาวมากเช่นกัน
เจียงเล่อคนสนิทของแม่ทัพใหญ่ ยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้ากระโจมเขาจะไม่รู้สึกแปลกใจหากบุตรชายของเจ้านาย จะมาพบบิดาเพียงลำพัง แต่วันนี้ด้านหลังของคุณชาย กลับมีคนที่ไม่รู้จักติดตามมาถึงสองคน
“คาราวะคุณชายขอรับ”
“อืม เจียงเล่อตอนนี้ท่านพ่ออยู่คนเดียวหรือมีแขก”
“เรียนคุณชาย นายท่านทำงานอยู่ด้านในเพียงลำพังขอรับ”
“ขอบใจมาก พวกเจ้าสองคนตามข้าเข้าไปด้านในเถิด หลี่อี้เจ้าอยู่เฝ้าด้านหน้ากับเจียงเล่อ อย่าเพิ่งให้ใครเข้าพบจนกว่าข้าจะกลับออกมา” เจียงหยวนเฝ้าระวังทุกฝีก้าวเพื่อป้องกันคนของบ้านรอง
“ทราบแล้วขอรับคุณชาย”
“คุณชายรีบเข้าไปพบนายท่านเถิดขอรับ เรื่องที่ท่านกังวลบ่าวจะเฝ้าระวังเป็นอย่างดี มิให้ใครเข้าใกล้กระโจมนี้ได้แน่” หลี่อี้เข้าใจคำสั่งนี้ดี
“พรึ่บ! คารวะท่านพ่อ/คารวะท่านแม่ทัพใหญ่ขอรับ”
“หืม อาหยวนมีเรื่องอะไรหรือไม่ ถึงได้มาพบพ่อยามนี้แล้วเจ้าพาใครมาด้วยล่ะนั่น พ่อไม่คุ้นหน้าทั้งสองคนเลย” แม่ทัพใหญ่เอ่ยถามบุตรชายที่พาคนแปลกหน้าเข้ามาพบกับตน
“เรียนท่านพ่อ ทั้งสองคนนี้เป็นคนของอาเหยียนขอรับ ที่ข้าพาพวกเขาเข้ามาพบท่านพ่อในเวลางานเช่นนี้ เป็นเพราะมีเรื่องเกี่ยวกับกุญแจหยกอายุยืนของตระกูลเจียงของเราขอรับ”
“ลองเล่ารายละเอียดมาสิว่าเกิดอะไรกับเรื่องนี้ แล้วอาเหยียนอยากรู้เกี่ยวกับกุญแจหยกอายุยืนด้วยเหตุใด” พอได้ยินบุตรชายพูดถึงเรื่องนี้แม่ทัพใหญ่วางตำราลงและถามอย่างจริงจัง
“พวกเจ้าเล่าให้ท่านพ่อฟัง อย่างที่เล่าไปก่อนหน้านี้เถิด ท่านพ่อจะได้พิจารณาว่ามีทางเป็นไปได้หรือไม่” เจียงหยวนให้จิ้งโม่กับมู่ฉีเป็นคนเล่ารายละเอียดกับบิดาเอง
“ขอรับ เรียนท่านแม่ทัพใหญ่ เรื่องนี้เกิดจากนายน้อยที่กำลังทำภารกิจอยู่ที่เมืองเฉียนโจว และด้วยความบังเอิญในวันที่เดินทางไปถึงที่นั่น นายน้อยได้ยินหญิงสาวนางหนึ่ง พูดถึงเรื่องข่าวลือและนางคิดว่าน่าจะเป็นฝีมือของคน จากคำพูดนี้ของนางนายน้อยจึงให้ตงลู่สะกดรอยตามไป เพราะเกิดความสงสัยว่าเหตุใดนางถึงไม่กลัวเช่นชาวบ้านคนอื่น ๆ นอกจากนี้ตงลู่เห็นนางมีกุญแจหยกอายุยืน และพูดถึงการเข้าเมืองหลวง เพื่อตามครอบครัวที่แท้จริงโดยใช้หยกชิ้นนั้นเป็นหลักฐานขอรับ”
“หญิงสาวชาวบ้านจะมีหยกชิ้นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อมันเป็นของขวัญที่ตระกูลเจียงจะทำขึ้น ยามที่มีบุตรหลานในตระกูลคลอดลูกออกมาเท่านั้น ตงลู่อาจจะมองผิดไปก็เป็นได้พวกเจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ” แม่ทัพใหญ่ยังไม่คิดเชื่อว่าที่ตงลู่เห็นจะเป็นหยกของตระกูลเจียง
“ท่านแม่ทัพใหญ่ตงลู่จะมองผิดได้อย่างไรขอรับ พวกเราถูกฝึกฝนมาอย่างหนัก หากมองผิดการทำภารกิจย่อมล้มเหลวนะขอรับ และเรื่องนี้พวกข้าทำการสืบจากตระกูลอื่น ๆ ทั้งหมดแล้ว พวกเขาล้วนใช้ทองคำมีเพียงตระกูลเจียงเท่านั้นที่ยังใช้หยก ข้ากับมู่ฉีจึงมาขอพบรองแม่ทัพโดยตรงเพราะไม่อยากแอบสืบอย่างลับ ๆ” จิ้งโม่พยายามอธิบายกับแม่ทัพใหญ่
“ท่านพ่อคนของอาเหยียน ตั้งข้อสังเกตว่ามีคนต้องการไม่ให้น้องสาวมีชีวิตอยู่ เพราะจะเป็นอุปสรรคต่อบุตรสาวของพวกเขา สำหรับเพิ่มอำนาจให้ตนเอง ท่านพ่อย่อมรู้ดีว่าบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่เช่นท่าน ย่อมมีหลายฝ่ายจับจ้องอยากเกี่ยวดองด้วยทั้งนั้นมิใช่หรือขอรับ” เจียงหยวนเริ่มพูดให้บิดาคิดตาม
“ท่านแม่ทัพใหญ่ พวกข้าคิดว่ามีความเป็นไปได้อย่างมาก ที่บุตรสาวของท่านจะถูกสับเปลี่ยนกับศพทารก จากแผนการร้ายของผู้ไม่หวังดีในวันที่ฮูหยินคลอด แต่คนที่นำคุณหนูไปตัดใจทำร้ายเด็กไม่ลงจึงเลี้ยงดูไว้เอง อาจจะด้วยความรู้สึกที่ติดตามหลอกหลอน สุดท้ายจึงยอมบอกความจริงกับคุณหนูก็ได้ขอรับ” จิ้งโม่คิดว่าต้องเป็นเช่นนี้แน่
“เรียนท่านแม่ทัพใหญ่หญิงสาวคนนั้น อายุเลยวัยปักปิ่นมาเกือบหนึ่งปีแล้ว เมื่อลองพิจารณาเรื่องอายุของคุณหนูเจียง ก็ถือว่าใกล้เคียงกันมากนะขอรับ” มู่ฉีเปรียบเทียบเรื่องอายุของทั้งสองคน ยิ่งคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงอย่างมาก
“คนที่ไม่อยากให้บุตรสาวของข้าเป็นอุปสรรคงั้นหรือ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าคนขี้อิจฉานั่น หากพวกมันคือคนที่คิดทำร้ายบุตรสาวของข้าจริงละก็ พวกมันทั้งครอบครัวไม่ว่าจะหัวหงอกหัวดำ ต้องชดใช้ด้วยชีวิตเท่านั้น สิบกว่าปีที่ฮูหยินต้องอยู่กับความเสียใจ หากไม่ใช่เพราะมีอาหยวนอยู่ นางคงตรอมใจตายไปนานแล้ว และสิบกว่าปีที่บุตรสาวของข้าต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก อยู่ที่ไหนสักแห่งทั้งที่ชีวิตของนางควรอยู่อย่างสุขสบาย มีบ่าวคอยรับใช้เช่นคุณหนูในห้องหอคนอื่น อาหยวน” แม่ทัพใหญ่ยามนี้คล้ายได้ปลดบางสิ่ง ที่ต้องทนมาหลายปีออกไปบ้างแล้ว
“ขอรับท่านพ่อ”
“พ่อรู้ว่าตอนนี้เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ พ่ออนุญาตให้เจ้าหยุดพักผ่อน และพาหลี่อี้ติดตามไปรออาเหยียนกลางทาง เพื่อรับน้องสาวของเจ้ากลับบ้านอย่างปลอดภัยเถิด ส่วนแม่ของเจ้าพ่อจะค่อย ๆ คุยกับนางเอง” คนเป็นพ่อแค่มองสายตาของบุตรชาย ทำไมจะไม่รู้ว่าต้องการสิ่งใด เนื่องจากตัวของแม่ทัพใหญ่เอง หากไม่ติดว่าต้องสะสางกองโต ย่อมอยากไปพบเด็กสาวคนนี้ด้วยตนเองแน่
“ขอบคุณท่านพ่อ ข้าจะพาน้องสาวกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน หากมีใครคิดจะทำร้ายนางอีกครั้ง มีเพียงความตายที่พวกมันจะได้รับ ข้ากับหลี่อี้จะออกเดินทางคืนนี้ รบกวนท่านบอกกับท่านแม่ด้วยนะขอรับ”
“อืม เจ้าไปเตรียมตัวเถิดอาหยวน”
“ข้าขอตัวก่อนขอรับ”
“ส่วนพวกเจ้าสองคนข้าต้องขอบใจมาก ที่นำเรื่องนี้มาบอกเอาไว้นายน้อยของพวกเจ้ากลับมาถึงเมืองหลวง ข้าจะเชิญมาทานอาหารที่จวนเป็นการขอบคุณอีกครั้งก็แล้วกัน” เรื่องนี้แม่ทัพใหญ่จะลืมได้อย่างไร
“พวกเรายินดีเป็นอย่างมาก ที่ได้ทำภารกิจในครั้งนี้ขอรับ ขอแสดงความยินดีกับท่านแม่ทัพใหญ่ล่วงหน้า ที่จะได้เจอคุณหนูเจียงอีกครั้งด้วยขอรับ” แต่สิ่งสำคัญคือพวกเขาสองคน ต้องรีบส่งจดหมายถึงเจ้านายเป็นการด่วน
“ขอบใจ ๆ”
“เช่นนั้นพวกข้าสองคนต้องขอตัวก่อนนะขอรับ อย่างไรเสียก็ต้องส่งข่าวรายงานให้นายน้อยได้ทราบด้วยขอรับ” พวกเขาจะชักช้าไม่ได้เด็ดขาด เพราะต้องเขียนรายละเอียดทั้งหมดลงไป
“ฝากขอบใจอาเหยียนแทนข้าด้วยก็แล้วกัน”
“ทราบแล้วขอรับท่านแม่ทัพใหญ่”
แม้จิ้งโม่กับมู่ฉีจะดีใจที่ภารกิจของตนในครั้งนี้จะสำเร็จ แต่คนที่ดีใจมากคงหนีไม่พ้นเจียงหยวน ยามเดินออกมาด้านนอก
เขาทำเพียงเรียกหลี่อี้ให้เดินตามกลับไปที่พัก และสั่งให้เตรียมสัมภาระเท่านั้น ทำเอาบ่าวคนสนิทถึงกับงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้านาย แต่ก็ได้รู้เมื่อถึงเวลาออกเดินทาง หลี่อี้ดีใจกับเจ้านายของตนที่จะได้เจอคุณหนูเสียที ส่วนแม่ทัพใหญ่กำลังเตรียมคำพูด ที่ต้องบอกกับฮูหยินของตน รวมถึงมารดาที่แก่ชราไปมาก อย่างน้อยเมื่อรู้ข่าวดีอาจทำให้มารดาสุขภาพแข็งแรงก็เป็นได้จิ้งโม่และมู่ฉีกลับที่พักของพวกตนทันที หลังจากออกมาจากค่ายทหาร ในจดหมายจิ้งโม่เขียนไว้อย่างละเอียด รวมถึงเรื่องที่เจียงหยวนกำลังออกเดินทางไปรอเจ้านาย อาจจะเป็นที่เมืองชางโจว เมื่อภารกิจสำเร็จทั้งสองจึงไปดื่มฉลองกันเล็กน้อยตามประสาบุรุษด้านแม่ทัพใหญ่ที่กลับมาถึงจวนในยามเซิน ได้สั่งให้พ่อบ้านเจียงไปแจ้งที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าว่า เย็นนี้เขาจะพาฮูหยินไปรับสำรับเย็นที่นั่น และบอกให้แม่ครัวเตรียมอาหารไว้มากกว่าเดิมสักหน่อย ก่อนที่ตัวของแม่ทัพใหญ่จะกลับไปชำระล้างร่างกายเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อไปพบฮูหยินที่ไม่ยอมออกจากจวนมาหลายปีมู่เสียสาวใช้คนสนิทของจางฮูหยิน เมื่อเห็นว่านายท่านของจวน มาพบนายหญิงของตนเร็วกว่าทุกวัน จึงจะเข้าไปบอกเจ้านายแต่ว่านางถูกนายท่านเรียกตัวเอาไว้เสียก่อน“มู่เสีย”“คารวะนายท่านเจ้าค่ะ”“เจ้าไม่ต้องไปรายงานน้องหญิง แต่ไปเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ดูชุดที่มีสีสันสดใสสักเล็กน้อยก็แล้วกัน วันนี้ข้าจะพานางไปรับอาหารเย็นที่เรือนท่านแม่” แม่ทัพใหญ่สั่งงานกับมู่เสีย ก่อนจะเข้าไปหาฮูหยินของตน ที่ยังคงมีสีหน้าไร้ชีวิตชีวาเช่นทุกวัน“เอ่อ เจ้าค่ะนายท่าน” มู่เสียทำท่าคล้ายมีคำถาม แต่ก็ต
ตระกูลเจียงสายหลักและสายรองในเมืองหลวง กำลังต่อสู้กันอยู่อย่างเงียบ ๆ มีเพียงคนที่เป็นสหายเท่านั้น ที่รับรู้ว่าสองพี่น้องต่างแม่เกลียดกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ไม่ว่าอย่างไร คนที่เป็นฝ่ายชนะมักจะเป็นแม่ทัพใหญ่อยู่เสมอทางด้านเมืองเฉียนโจว นายกองจั๋วได้เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว เหลือเวลาอีกหนึ่งวัน ฟู่หลงเหยียนจะนำตัวนักโทษออกเดินทางเสียที แต่ในต้นยามเฉินฟู่หลงเหยียนก็ได้รับจดหมายจากจิ้งโม่“นายน้อยขอรับจดหมายจากจิ้งโม่น่าจะเพิ่งมาถึง คงเกี่ยวกับเรื่องของคุณหนูอวี้จิ่นนะขอรับ” เฉินอิ่นนำจดหมายออกจากขานกพิราบ ที่บินมาจากเมืองหลวงมอบให้เจ้านายของเขา“อืม ขอบใจ”ฟู่หลงเหยียนรับจดหมายมาเปิดอ่านที่เขียนมาสั้น ๆ แต่สามารถเข้าใจความหมายที่จิ้งโม่บอกมาเป็นอย่างดี‘ตระกูลเจียง คาดว่าทารกถูกสับเปลี่ยนและเป็นแผนร้ายของตระกูลสายรอง สหายของนายน้อยกำลังเดินทางไปสมทบ’“หึ นางเป็นบุตรสาวของตระกูลนี้จริง ๆ สินะ” เมื่อได้รับการยืนยันจากข่าวของจิ้งโม่ ฟู่หลงเหยียนจึงมั่นใจเต็มส่วน ว่าอวี้จิ่นคือบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ บิดาของสหายของตนอย่างเจียงหยวน“เอ่อ นายน้อยข่าวของจิ้งโม่ว่าอย่างไรบ้างหรือขอรับ เจอตระกูลครอบค
หลังจากเข้ามาในเมืองซวนเหอ ฟู่หลงเหยียนพาอวี้จิ่นเข้าออกร้านเครื่องปรับไปสองร้านแล้ว แต่ว่านางก็ยังไม่เจอสิ่งที่ถูกใจ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เหมือนกันไปหมด ถึงกับบ่นในใจเงียบ ๆ ว่าคนที่ออกแบบเครื่องประดับไม่คิดลวดลายใหม่ ๆ บ้างหรืออย่างไร ขณะที่ทั้งสามกำลังจะเดินไปร้านใหม่ ก็มีเสียงเอะอะและเสียงร้องไห้ อวี้จิ่นที่ได้ยินเสียงเด็กที่ร้องไห้ก็ออกตัวเดินนำไปก่อนใคร“พวกไร้ประโยชน์!! เลี้ยงเสียข้าวสุกจริง ๆ ให้ช่วยทำงานอะไรก็ไม่ได้เรื่อง พวกเจ้าสองคนทำข้าวของในบ้านข้าเสียหายไปเท่าไหร่แล้ว คิดว่าบ้านข้าร่ำรวยมีเงินซื้อชิ้นใหม่ทุกวันรึ ข้าเลี้ยงพวกเจ้าสองคนพี่น้องไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ถึงเวลาต้องตอบแทนบุญคุณ พวกเจ้าถูกซื้อตัวโดยเศรษฐีเย่าแล้วรีบลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ ข้าเหนื่อยจะพูดเต็มทีแล้วนะ!” เสียงสตรีวัยกลางคนที่ตะคอกเด็กสองพี่น้อง ที่ไม่มีการตอบโต้มิหน้ำซ้ำยังถูกทุบตีอย่างทารุณอวี้จิ่นแหวกทางผู้คนเข้ามาก็เห็นสตรีร่างท้วมดูมีอายุ สวมใส่เสื้อผ้าธรรมดาทั่วไปคล้ายชาวบ้าน ที่พอจะมีกินมีใช้กำลังพยายามดึงเชือกที่มัดเด็กชายกับเด็กหญิง พวกเขาน่าจะเป็นพี่น้องกันอายุคงไม่เกินสิบเอ็ดหรือสิบสองหนาว เสื้อผ้า
เมื่อจบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองซวนเหอ วันต่อมาขบวนนักโทษจึงออกเดินทางอีกครั้ง แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นหลังจากพวกเขาไปแล้ว เริ่มเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวาง เรื่องที่มีสตรีฟื้นจากความตายพร้อมพรวิเศษเพื่อจัดการคนชั่ว เริ่มแพร่กระจายออกไปตามพื้นที่ต่าง ๆ อย่างรวดเร็วและมีทั้งคนที่เชื่อและไม่เชื่อแต่สำหรับฟู่หลงเหยียนเขาเชื่ออย่างสนิทใจกับเรื่องนี้ มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาอยากรู้ว่า เกิดเหตุการณ์อะไรกับอวี้จิ่น ถึงทำให้นางต้องตาย และเหตุผลที่นางได้ฟื้นขึ้นมาจากความตายคืออะไร หรือจะเกี่ยวกับเรื่องที่นางไม่ได้รับความยุติธรรม จากฝีมือของตระกูลเจียงสายรอง แม้อยากรู้รายละเอียดมากเพียงใด ก็ไม่คิดจะถามเพราะนั่นเป็นความลับของนางการเดินทางยังคงเป็นไปอย่างราบรื่น เช่นที่ผ่านมาหลายหัวเมือง ซึ่งพวกเขาใกล้จะถึงเขตของเมืองเหลียนโจว ที่นี่มีเจียงหยวนกับหลี่อี้ที่เดินทางมาถึงได้สองวัน และกำลังพักให้หายเหนื่อยจากการเดินทาง แต่คนเป็นพี่ชายที่จะได้เจอน้องสาว ที่ไม่เคยเห็นหน้ากำลังตื่นเต้นจนชักชวนหลี่อี้ไปเดินหาซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับไว้รอน้องสาว“หลี่อี้เจ้าว่าน้องสาวของข้า นางจะเหมาะกับเสื้อผ้าสีอะไร
เมื่อทำความเข้าใจกันเป็นที่เรียบร้อย หลี่อี้ที่ไปตามเฉินอิ่นก็เดินเข้ามาพร้อมกันพอดี จึงเริ่มหารือแผนการรับมือนักฆ่าขึ้น“นายน้อย/คุณชาย”“พวกเจ้ามาก็ดีแล้วนั่งลงเถิด ข้ากับอาหยวนมีเรื่องต้องบอกกับพวกเจ้า คืนนี้กำชับทุกคนให้ระวังตัวเอาไว้ เพราะจิ่นเอ๋อร์เห็นว่ามีนักฆ่าติดตามมาเพื่อสังหารอาหยวน และตอนนี้คงหลบซ่อนตัวอยู่ น่าจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล จากบริเวณจุดพักของพวกเรา ดังนั้นคืนนี้ตงลู่เจ้ามีหน้าที่คอยอารักขาจิ่นเอ๋อร์ที่รถม้า หากมีนักฆ่าหลุดรอดไปถึงที่นั่นฆ่าพวกมันให้หมดส่วนเฉินอิ่นกับอู๋จิ้งแยกกันไปอยู่กับกลุ่มทหาร หลี่อี้เจ้าอยู่กับพวกข้าที่นี่พวกมันต้องแยกกันสังหารทุกคน แต่ตัวหัวหน้ากับลูกน้องบางส่วน คงตรงมาหาอาหยวนที่เป็นเป้าหมายหลัก” ฟู่หลงเหยียนสั่งการแบ่งหน้าที่ เพื่อปกป้องทหารจากเมืองเฉียนโจวด้วย พวกเขายังต้องกลับไปหาครอบครัวเช่นกัน“รับทราบขอรับนายน้อย” เฉินอิ่นที่รู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ย่อมเกิดขึ้นจริง จึงสะกิดสหายให้ทำตามคำสั่งของเจ้านาย เพราะพวกเขายังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองซวนเหอ ตงลู่กับอู๋จิ้งจึงอ่านปากของเฉินอิ่น ที่บอกว่าจะเล่าเรื่องราวให้ฟังทีหลัง“รับทราบขอรับ
ยามเฉินวันต่อมาขบวนนักโทษของฟู่หลงเหยียน เริ่มออกเดินทางมุ่งหน้ากลับสู่เมืองหลวงอีกครั้ง หลังจากผ่านเหตุการณ์ที่นักฆ่าติดตามมา เพื่อสังหารรองแม่ทัพเจียง ทุกคนในขบวนจึงเพิ่มความระแวดระวังมากขึ้น คอยสังเกตผู้คนและบรรยากาศ ที่ทำให้คิดไปในทางร้ายไว้ก่อน แล้วค่อยทำการตรวจสอบอีกครั้ง ว่ามีปัญหาหรือไม่แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดีจากเมืองเหลียนโจว ขบวนนักโทษใช้เวลาอีกยี่สิบห้าวัน ในที่สุดก็มองเห็นกำแพงอันกว้างใหญ่ของเมืองหลวงเสีย ผู้คนมากมายที่รออยู่ด้านหน้า ต่างก็หลีกทางให้ขบวนนักโทษ เมื่อมีรองแม่ทัพเจียงเป็นผู้เปิดทางด้วยตนเอง ก่อนจะแยกย้ายไปทำภารกิจของตนให้สำเร็จลุล่วง ฟู่หลงเหยียนไม่ลืมเข้าไปบอกกล่าวกับอวี้จิ่น ที่กำลังตะลึงกับความคึกคักของเมืองหลวงแคว้นจ้าวแห่งนี้“ว้าว! นี่คือเมืองหลวงงั้นหรือผู้คนดูพลุกพล่านไม่น้อยเลยนะเนี่ย”“จิ่นเอ๋อร์”“หืม เจ้าคะพี่ชายฟู่”“เจ้ากลับไปที่ตระกูลเจียงกับพี่ชายของเจ้าก่อนนะ ไว้พี่จัดการเรื่องนักโทษพวกนี้เสร็จสิ้นแล้ว จะไปเยี่ยมเจ้าที่จวนจำที่พี่เคยเตือนไว้ได้หรือไม่เรื่องของตระกูลเจียงสายรองน่ะ”“จำได้สิเจ้าคะ พี่ชายฟู่ไม่ต้องห่วงข้าจะระวังให้มาก หากมีใค
วันนี้เป็นที่จางฮูหยินมีความสุขในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากวันนี้นางได้ช่วยบุตรสาวอาบน้ำ ทำความสะอาดเส้นผมรวมถึงทำผมเช่นคุณหนูที่ปักปิ่นแล้ว ด้วยเครื่องประดับราคาแพงและเสื้อผ้าชุดใหม่ ที่ทำจากผ้าไหมชั้นดีจากร้านผ้าชื่อดังแห่งเมืองหลวงเมื่อหญิงสาวที่ไร้เครื่องประทินโฉม หน้าตามอมแมมจากชนบทได้ลอกคราบเก่าทิ้งไป กลายเป็นคุณหนูแห่งจวนแม่ทัพใหญ่เจียง ที่ใบหน้ายามนี้ยิ่งน่ามองกว่าเดิม โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นของนางเมื่อจางฮูหยินได้พาอวี้จิ่นกลับมาพบบิดาและพี่ชายอีกครั้ง บุรุษทั้งสองยังต้องตะลึงกับการเปลี่ยนแปลงนี้ของนาง แม้แต่เจียงเล่อกับหลี่อี้ก็ยังเห็นด้วยกับเจ้านายของตน ที่ลูกเป็ดขี้เหร่ได้กลายร่างเป็นนางหงส์ไปแล้ว“นะ นี่เจ้าใช่จิ่นเอ๋อร์น้องสาวของข้าจริงรึ ท่านแม่ลอกคราบน้องสาวของข้าจนจำคนก่อนไม่ได้แล้วขอรับ ไม่ได้ ๆ ท่านพ่อข้าไม่ยอมให้น้องสาวออกจากจวนตัวคนเดียวแน่ ท่านพ่อต้องช่วยคัดเลือกสาวใช้หรือองครักษ์ที่มีวรยุทธ์ เพื่อคอยติดตามดูแลจิ่นเอ๋อร์ ยามที่นางออกไปนอกจวนนะขอรับ หาไม่แล้วต้องมีคนหมายตานางเป็นแถวเชียวนะขอรับท่านพ่อ” จางหยวนเห็นความงามของอวี้จิ่น ก็หาพรรคพวกอย่างบิดาของตน เน
ภายในเรือนชุ่ยฮวาของฮูหยินผู้เฒ่า มารดาของแม่ทัพใหญ่เจียงมีทั้งเสียงหัวเราะและความเอ็นดู สงสารบุตรหลานที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางป่าเขาที่แสนอันตราย ไม่ว่าสิ่งใดก็ต้องลงมือทำด้วยตนเองเท่านั้นไม่มีบ่าวไพร่คอยรับใช้แม้สายตาของทุกคนในเรือนแห่งนี้จะรื้นไปด้วยน้ำตา แต่น้ำเสียงที่บอกเล่าประสบการณ์ชีวิตของตนอย่างอวี้จิ่น กลับไม่มีการเรียกร้องความสงสารจากผู้ใดสักนิด นางเล่าด้วยความภูมิใจที่มีความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรจากยายเฒ่าลิ่ว ฝีมือการทำอาหารที่นางสัญญาว่า จะเข้าครัวทำให้ทุกคนได้ทาน ทุกเรื่องที่ออกจากปากของนางเต็มไปด้วยความสุข“หลานย่าช่างเป็นสตรีที่เข้มแข็งมากจริง ๆ แม้หมอตำแยคนนั้นจะพาเจ้าไป แต่อย่างน้อยนางก็ยังเลี้ยงดูเจ้าให้เติบโต แม้จะลำบากไปสักหน่อยก็ตาม ถือว่านางได้ทำคุณไถ่โทษพวกเราอโหสิกรรมให้นางเถิด ยามนี้นางคงจะไปรับโทษทัณฑ์ในปรโลกแล้วล่ะ แค่ก ๆ ๆ” ฮูหยินผู้เฒ่าพูดจบก็มีอาการไอเล็กน้อยนางเป็นเช่นนี้มาสักพักแล้ว“ท่านแม่!!/ท่านย่า!!”“ไม่เป็นไร ๆ พวกเจ้าไม่ต้องตกใจไปหรอก น่าจะเป็นหวัดเท่านั้นดื่มยาสักสองสามเทียบก็หายแล้วล่ะ”“แม่นมฮวนเจ้าคะท่านย่ามีอาการไอบ่อยแค่ไหนในหนึ่งวัน” อวี
ฟู่หลงเหยียนและเจียงหยวนยังคงซ่อนตัวอยู่ พวกเขาอยากรู้ว่าสองพี่น้องจะรับมือคนพวกนี้ เพื่อหาทางเอาตัวรอดอย่างไร “พวกเจ้าเอาตัวเด็กสองคนนั่นลงมา อย่ามัวชักช้ายืดยาด หากงานไม่สำเร็จละก็ จะกลายเป็นพวกเราที่ต้องตายแทน” ซานถูลงไปยืนรอยังจุดที่เลือกไว้ สำหรับการขุดหลุมฝังเจียงข่ายเหวินและฟู่เจียฉี“ถุ้ย!! อย่าเอามือสกปรกของเจ้ามาถูกตัวน้องสาวข้า” เจียงข่ายเหวินตะคอกลูกน้องซานถูทันที เมื่อมือหยาบนั้นกำลังจะดึงตัวฟู่เจียฉี ออกไปจากอ้อมกอดของตน“เหวินเกอไม่ต้องกลัวนะ ฉีเอ๋อร์จะปกป้องท่านเองเจ้าค่ะ” ฟู่เจียฉีมิใช่เด็กหญิงตัวน้อยขี้แย เพราะมีบิดาคอยสอนให้เข้มแข็งมีสติ ถึงจะเป็นเด็กแต่เมื่อมีสติก็สามารถเอาตัวรอดได้“ฮ่า ๆ ๆ ลูกพี่ดูเจ้าเด็กสองคนนี่สิ ช่างเป็นญาติพี่น้องที่รักกันดีเสียเหลือเกิน” เกาจิ่งหัวเราะกับท่าทางของฟู่เจียฉี“เหอะ ก็คงเห็นตัวอย่างจากบิดมารดากระมัง เร็ว ๆ ๆ พาตัวลงจากรถม้าได้แล้ว ยังต้องขุดหลุมอีกพวกเจ้าอย่าลืมสิ” ซานถูเร่งลูกน้องของตนให้ทำตามคำสั่งขณะที่เกาจิ่งหันไปพูดคุยกับซานถู ฟู่เจียเฟยได้หยิบห่อยาพิษที่บิดาเพิ่งมอบให้ ก่อนจะแบ่งให้เจียงข่ายเหวินอีกสองห่อ เด็กชายมองหน้า
ณ จวนตระกูลเจียงหลังจากอวี้จิ่นออกเรือนแต่งเข้าตระกูลฟู่ ลูกสะใภ้ของตระกูลเจียงอย่างจ้าวเจียเฟย ก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย ซึ่งในอนาคตเขาขคือผู้สืบทอดตระกูลเจียงต่อจากบิดา ชื่อของหลานชายฮ่องเต้ผู้เป็นเสด็จตา ประทานนามให้ว่า ‘ข่ายเหวิน’ หมายถึง ผู้ชนะและมีความรู้ และชื่อนี้ก็เข้ากับลักษณะนิสัยของเจ้าตัวน้อยได้เป็นอย่างดีนอกจากมารดาจะเป็นที่โปรดปรานแล้ว เมื่อให้กำเนิดหลานชายย่อมได้รับความโปรดปราน ไม่ต่างจากผู้เป็นมารดาเช่นกัน สร้างความอิจฉาริษยาให้กับองค์ชายองค์หญิงที่มีหลานให้กับฮ่องเต้ องค์ชายองค์หญิงที่รู้จักประมาณตน จะอบรมสั่งสอนบุตรของตนให้รักญาติพี่น้อง แต่สำหรับคนที่จิตใจดำมืดเกินเยียวยา ย่อมสั่งสอนและปลูกฝังความริษยาลงในจิตใจของบุตร ตระกูลเจียงมีทายาทแล้ว ทางด้านตระกูลฟู่จะไม่มีได้อย่างไร หลังจากเจียงข่ายเหวินอายุได้สองหนาว อวี้จิ่นแต่งเข้าจวนฟู่ได้ครึ่งปีก็ตั้งครรค์ และให้กำเนิดบุตรสาวนามว่าฟู่เจียฉี หากจะกล่าวว่าญาติผู้พี่เจียงข่ายเหวินหล่อเหลาตั้งแต่เยาว์วัย ญาติผู้น้องอย่างฟู่เจียฉีจะน้อยหน้าได้หรือ เด็กหญิงเกิดมาพร้อมกับดวงหน้ารูปหยดน้ำ จมูกโด่งได้รูปรับกับใบหน้า ริ
หลังจากตระกูลฟู่และตระกูลเจียง ได้แลกหนังสือหมั้นหมายของบุตรชายบุตรสาว ข่าวลือเรื่องทั้งสองตระกูลจะเกี่ยวดองกัน ก็แพร่กระจายไปตามร้านรวงต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว คนที่อวยพรให้ทั้งสองสุขสมก็มีอยู่มาก คนที่อิจฉาริษยาก็มีไม่น้อย ล้วนเป็นสตรีที่ยังไม่ออกแต่แล้วอย่างไรในเมื่อฟู่หลงเหยียนมิได้สนใจ พวกนางก็เป็นได้แค่เศษฝุ่นที่ลอยไปกับสายลมเท่านั้น เพราะในสายตาของฟู่หลงเหยียน ไม่เคยละไปจากคู่หมั้นที่เริ่มจะเปล่งประกายความงามหลังจากนั้นอีกสามเดือนต่อมา ปรากฏว่าองค์หญิงใหญ่ตั้งครรภ์ อย่างที่อวี้จิ่นเคยบอกพวกเขาเอาไว้จริง ๆ เจียงหยวนแอบไปพบน้องสาว เพราะเขาอยากรู้ว่าเด็กในครรภ์องค์หญิงใหญ่ เป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง เขาจะได้เตรียมรับมือบุตรคนได้ถูก พอได้รู้ว่าตนเองจะได้บุตรชาย การวางแผนเลี้ยงดูจึงถูกคิดขึ้นทันทีตั้งแต่อวี้จิ่นกลายเป็นคู่หมั้นของหัวสำนักตรวจการ หากไม่มีภารกิจลับและออกเดินทางไปต่างเมือง ข้างกายของอวี้จิ่นย่อมมีบุรุษร่างสูงใหญ่กำยำ นามว่าฟู่หลงเหยียนอยู่กับนางเสมอ จนเหล่าบุรุษที่มั่นใจว่าตนเองหน้าตาหล่อเหลา ต้องวิ่งหาที่หลบแทบไม่ทัน แค่ฟู่หลงเหยียนจ้องมองพวกเขาก็หายไม่ออกกันแล้วทุก
ฟู่หลงเหยียนพาอวี้จิ่นกลับมาส่งที่จวน ภายหลังที่พลุถูกจุดจนหมดเรียบร้อยแล้ว ด้วยตอนมาร่วมงานเขานั่งรถม้า ยามนี้จำเป็นต้องยืมเจ้าเสี่ยวหงกลับจวนไปก่อน และค่อยนำมันมาคืนอวี้จิ่นทีหลังอวี้จิ่นยืนส่งฟู่หลงเหยียนขี่เจ้าเสี่ยวหง จนแผ่นหลังของเขาหายลับไปจากสายตา ถึงได้เดินเข้าจวนอย่างอารมณ์ดี ทำให้คนเดินตามหลังอย่างตงลู่กับเฟยอิน เอ็นดูกับท่าทางที่เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวเขินอาย อยากจะหัวเราะแต่ต้องอดกลั้นเอาไว้แต่พอมาถึงเรือนของตนอวี้จิ่นพบว่า เป่าจูสาวใช้ของพี่สะใภ้ กำลังเดินไปมาชะเง้อมองหาใครอยู่ “หืม นั่นใช่พี่เป่าจูสาวใช้ของพี่สะใภ้ใช่ไหมพี่เฟยอิน”“ใช่จริง ๆ ด้วยเจ้าค่ะคุณหนู ว่าแต่นางมาทำอะไรที่เรือนของท่าน ยามนี้มิใช่ต้องอยู่รอรับใช้องค์หญิงใหญ่หรอกรึ?”เป่าจูเมื่อเห็นอวี้จิ่นกลับมาที่เรือน จึงสาวเท้าไปหานางดั่งพายุ สร้างความงุนงงจนอดคิดไม่ได้ว่า จะเกิดเรื่องอันใดที่เรือนของพี่ชายตนหรือไม่“คุณหนูเจียงในที่สุดท่านก็กลับมาเสียทีเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของเป่าจูดูร้อนรนแปลก ๆ“พี่เป่าจูท่านมารอพบข้ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่เจ้าคะ”“คือบ่าวมารอพบคุณหนูที่นี่ เพราะมีเรื่องจะรบกวนท่านจริง ๆ เจ้าค่ะ”“พี่เ
ซีอ๋องอยู่ร่วมงานเลี้ยงชนะสงครามเท่านั้น อีกสองวันต่อมาจึงออกเดินทางพร้อมหีบยาจำนวนมาก ยังมีเมล็ดพันธุ์ผักที่อวี้จิ่นใจดีมอบให้อีกหนึ่งหีบ ที่สำคัญทรงอยากกลับไปชำระความ กับสตรีชั่วที่ปองร้ายบุตรชายเพียงคนเดียวของตน ซึ่งตอนนี้นางกำลังตั้งตนเป็นเจ้าของตำหนักอ๋อง จนลืมไปว่านางเป็นแค่ชายารองเท่านั้นข่าวลือที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว เรื่องฤกษ์มหามงคลที่มีขึ้น ในอีกสามสัปดาห์ต่อจากนี้ ทำเอาวังหลวงวุ่นวายจนเวียนหัว เพื่อเตรียมงานอภิเษกสมรสขององค์หญิงใหญ่ พระธิดาคนโปรดของฮ่องเต้ให้ออกมาดีที่สุด ห้ามขาดตกบกพร่องแม้แต่นิดเดียวส่วนตระกูลเจียงถือว่าโชคดีมาก ที่อวี้จิ่นได้บอกมารดาไว้ก่อนหน้านี้ ทุกอย่างในจวนจึงพร้อมต้อนรับสะใภ้ใหญ่ หลังจบงานเลี้ยงวันถัดมายามปลายยามเฉิน ขบวนสินสอดนับร้อยหีบผูกด้วยผ้าสีแดง พร้อมสามหนังสือหกพิธีการนำไปส่งมอบให้กับฮองเฮา ก็ทยอยออกจากจวนตระกูลเจียงมุ่งหน้าไปยังวังหลวงทันทีชาวบ้านสองข้างทางต่างหยุดมอง และเริ่มพูดถึงเรื่องสมรสพระราชทานอีกครั้ง ตระกูลใดที่รอจัดงานพร้อมแม่ทัพเจียง ต่างเร่งจัดเตรียมข้าวของเรือนหอ อาหารการกินที่ต้องใช้เลี้ยงแขกในงาน เผื่อว่าการแต่งงานในฤก
หลังจากหวาอานส่งจดหมายกลับไปยังเหอหยาง เมื่อแม่ทัพเสียนมู่ได้อ่านเนื้อหาในจดหมาย จึงนำกำลังทหารบางส่วนมุ่งหน้าไปยังจวนซีอ๋อง เพื่อรับตัวซื่อจื่อมาดูแลเป็นการชั่วคราว คราแรกพระชายารองไม่ยินยอม แต่พอได้เห็นป้ายผู้แทนของซีอ๋อง ที่อยู่ในมือของแม่ทัพเสียนมู่แล้ว ถึงได้ยอมปล่อยซื่อจื่อให้แม่ทัพเสียนมู่พาตัวกลับจวนส่วนเจ้าของคำสั่งที่พักอาศัยในจวนแม่ทัพใหญ่ ได้เห็นแปลงผักที่หลากหลายก็เกิดความสนใจ ซีอ๋องคิดว่าหากกองทัพหรือราษฎรที่เหอหยาง สามารถปลูกพืชผักได้เช่นจวนแม่ทัพใหญ่ ย่อมมีเสบียงสำรองมากพอยามฤดูเหมันต์มาเยือน ทุกคนต้องผ่านความอดอยากได้แน่เมื่อซีอ๋องถามกับบ่าวไพร่เรื่องการปลูกผัก คำตอบที่ได้ก็เกี่ยวกับบุตรสาวแม่ทัพใหญ่อีกแล้ว จนกระทั่งได้มานั่งพูดคุยเรื่องการค้า ซีอ๋องจึงถือโอกาสสอบถามอวี้จิ่นเรื่องผักที่ปลูกด้วยเสียเลย“คุณหนูเจียงเรื่องสัญญาการค้ายาสมุนไพร เปิ่นหวางยินดีทำตามข้อเสนอของเจ้า เพียงแต่ว่ามีอีกเรื่องที่เปิ่นหวางอยากรู้”“ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ยอมทำการค้า กับร้านยาเล็ก ๆ ของหม่อมฉันเพคะ ว่าแต่ท่านอ๋องทรงอยากทราบเรื่องอันใดหรือเพคะ”“เปิ่นหวางอยากถามเกี่ยวกับวิธีปลูกผัก ให้ไ
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงบุปผาในวังหลวง ถูกพูดถึงในเช้าวันต่อมาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเรื่องของเลี่ยวหลวนเฉิน สมรู้ร่วมคิดกับโจรหยางเสวียน กดขี่ข่มเหงขูดรีดเงินภาษีจากชาวเมืองซุยโจว เมื่อถึงเวลานำตัวทาสทุกคนออกเดินทาง จึงใช้เวลานานกว่าทุกครั้งเพราะผู้คนสองข้างทาง ต่างเฝ้ารอขว้างปาสิ่งของและด่าทอสาปแช่ง กว่าจะหลุดพ้นจากประตูเมืองหลวง ก็บาดเจ็บกันไปไม่น้อยกับทาสทั้งหลายหลังจากงานเลี้ยงจบลงได้ไม่ดีเท่าใดนัก อีกสามวันต่อมารัชทายาทจ้าวเจาเยี่ยน ก็กลับมาจากการทำภารกิจตามราชโองการ แต่รัชทายาทกลับไปชำระล้างพระวรกายที่ตำหนักบูรพา จากนั้นจึงเสด็จไปเข้าเฝ้ากราบทูลรายงานต่อพระบิดา“ถวายพระพรเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”“อืม ลุกขึ้นเถิดรัชทายาท เจ้าเพิ่งกลับมาถึงเช่นนั้นรึ” ฮ่องเต้ทรงเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของโอรสก็ทรงทราบแล้ว“พ่ะย่ะค่ะ ลูกเพิ่งกลับมาถึงเมื่อยามซื่อ และต้องการรายงานเรื่องน้ำที่เมืองสุยโจวพ่ะย่ะค่ะ” รัชทายาทมิอาจรั้งรอได้นาน เนื่องจากต้องรีบคัดเลือกขุนนางไปรับตำแหน่งเจ้าเมือง“ปัญหาเรื่องน้ำที่เมืองสุยโจวเป็นอย่างไร สาเหตุเกิดจากภัยธรรมชาติหรือฝีมือของมนุษย์กันแน่”“ทูลเสด็จพ่อเป็น
ภายหลังที่ได้หลักฐานและล่วงรู้แผนชั่วแล้ว ฟู่หลงเหยียนมาส่งอวี้จิ่นด้วยวิธีเดิม และไม่ลืมพูดถึงเรื่องงานเลี้ยงบุปผา ที่ฮองเฮาจะจัดขึ้นในอีกเจ็ดวันข้างหน้า เขาบอกให้อวี้จิ่นและมารดารออยู่ที่จวน แล้วเขาจะเป็นคนมารับอวี้จิ่นด้วยตนเองพอกลับมาถึงจวนฟู่หลงเหยียนย่อมไปพบบิดา เพื่อบอกเล่าแผนการของเลี่ยวหลวนคุน และยังมีหลักฐานที่สายของตนได้มา“ก๊อก ๆ ๆ ท่านพ่อข้าเองขอรับ”“เข้ามาเถิดอาเหยียน”เมื่ออนุญาตให้บุตรชายเข้ามาในห้องหนังสือได้ ก็มีห่อผ้าวางลงตรงหน้าของฟู่กั๋วกง คำถามจึงเกิดจากสายตาโดยไม่ต้องมีคำพูด“เรียนท่านพ่อ ในห่อผ้านี้เป็นสมุดบัญชีที่ใต้เท้าเลี่ยว แอบนำไปฝังไว้ใต้ดินหลังจากเสร็จสิ้นการประชุม สายของเราที่อยู่ในจวนสังเกตเห็นท่าทางมีพิรุธ ถึงได้ตามไปเงียบ ๆ จากนั้นก็ขุดมันออกมามอบให้ข้าขอรับ”“หมายความว่าสิบปีที่ผ่านมา ใต้เท้าเลี่ยวติดต่อกับโจรป่าหยางเสวียน และแบ่งปันทรัพย์สินจากการปล้น รวมถึงเงินที่เก็บภาษีจากชาวบ้านด้วยงั้นรึ” ฟู่กั๋วกงไม่คิดมาก่อนว่าใต้เท้าเลี่ยว จะเก็บซ่อนความลับนี้ได้นานถึงสิบปี โดยไม่มีผู้ใดระแคะระคายแม้แต่น้อย“คาดว่าจะเป็นเช่นที่ท่านพ่อพูดมาขอรับ ส่วนเรื่อง
หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลเศรษฐีม่าย เมื่อพยานอย่างม่ายจิ่นเม่ยให้การกับใต้เท้ากวน และลูกน้องทั้งสองของท่านหมอซัง ยอมสารภาพทุกอย่างต่อใต้เท้ากวน เพราะพวกเขาถูกดวงวิญญาณหญิงสาว ตามมาคอยหลอกหลอนจนนอนไม่หลับ ไหนจะความเจ็บปวดจากยาพิษของอวี้จิ่น ทำให้พวกเขาอยากตายเพื่อหลุดพ้นความทรมานเมื่อมีทั้งพยานที่ยังรอดชีวิตและคำสารภาพ จากคนเป็นลูกน้องของซังปินจีทั้งสองคน โทษประหารชีวิตย่อมเกิดขึ้นแน่นอน เพียงแค่ก่อนจะลงดาบประหารนั้น ใต้เท้ากวนได้ให้ทั้งสามคนได้รู้ซึ้งถึงความทรมาน ของหญิงสาวที่ตกตายด้วยน้ำมือของพวกเขาเสียก่อน ด้วยการให้เจ้าหน้าที่ทำการแขวนคอนักโทษ พอใกล้จะขาดใจก็หย่อนเชือกให้หายใจต่อ ทำเช่นนั้นอยู่ถึงสามครั้งถึงจะนำตัวไปตัดหัว“เจ้าหมอชั่วจงตกนรกอย่าได้กลับมาเกิดเป็นคนอีกเลย”“ถ้าพวกเจ้ากลับมาเกิดขอให้เป็นสัตว์เดรัจฉาน ที่เป็นเหยื่อให้สัตว์ใหญ่ไล่ล่ากินเนื้อพวกเจ้า”“สงสารหญิงสาวที่ต้องตายเพราะคนชั่วจริง ๆ ขอให้พวกเจ้าไปสู่สุขคติด้วยเถิด”ในวันประหารชีวิตมีชาวบ้านไม่น้อยมามุงดู หนึ่งในนั้นย่อมเป็นครอบครัวตระกูลม่าย ที่ได้รับความเป็นธรรมและยังมีชีวิตอยู่ต่อไปก่อนครอบครัวตระกูล