บนโต๊ะอาหารในจวนเช่าของฟู่หลงเหยียน ยามนี้มันเต็มไปด้วยอาหารหน้าตาแปลก ๆ แต่กลิ่นมันกลับหอมชวนให้ท้องร้องอยากกินเสียเดี๋ยวนั้น สาเหตุมาจากอวี้จิ่นไม่อยากนั่งอยู่เฉย ๆ นางจึงลุกไปยังห้องครัว และลงมือทำอาหารจากเนื้อและผักจากในมิติของตน
โดยมีข้ออ้างกับตงลู่ว่า ตนเองแอบออกไปซื้อที่ตลาดมา และห้ามตงลู่บอกกับฟู่หลงเหยียนว่านางออกไปด้านนอก แต่ให้บอกว่าเขาคือคนที่ไปซื้อเนื้อกับผักพวกนี้ ตามคำขอของนาง อวี้จิ่นข่มขู่ตงลู่ด้วยอาหารบนโต๊ะนั่น ถ้าไม่ยอมทำตามที่นางบอกเขาจะอดกินมันอย่างแน่นอน
คำข่มขู่ของอวี้จิ่นย่อมเป็นผล เมื่อตงลู่อยากชิมอาหารบนโต๊ะ ซึ่งมันไม่เหมือนอาหารที่เขาเคยทานมาก่อน ตงลู่ต้องออกจากห้วงความคิดของตน เมื่อได้ยินเสียงประตูจวนถูกเปิด เขารีบบอกให้อวี้จิ่นไปซ่อนตัวไว้ ส่วนตนเองจับดาบไว้แน่น ออกไปยืนซ่อนตัวอยู่ด้านหลังประตู แต่คนที่มากลับเป็นเจ้านายของตนมิใช่คนร้าย
“แอ๊ดดด!! ชิ้ง!! พวกเจ้าปะ นายน้อย!!”
“ตงลู่! นี่เจ้าอยากประลองฝีมือกับนายน้อย ถึงกับถือดาบมาดักรออยู่หลังประตูเชียวรึ” อู๋จิ้งเห็นตงลู่ชักดาบเมื่อประตูเรือน
ด้านหน้าเปิดออกจึงเรียกสหายทันที“ขออภัยขอรับนายน้อย บ่าวคิดว่ามีคนของใต้เท้าจินตามมา จึงได้ทำการล่วงเกินนายน้อยเช่นนี้” ตงลู่ไม่ห่วงนักโทษอย่างเจียนฉือนัก แต่เขาต้องปกป้องสตรีที่เจ้านายฝากไว้ให้ดูต่างหาก
“อืม ไม่เป็นไรเจ้าทำหน้าที่ได้ดีแล้ว ว่าแต่ทำไมเจ้าอยู่เพียงลำพัง จิ่นเอ๋อร์นางหายไปไหน หรือเจ้าลืมตามดูนางงั้นหรือตงลู่” ฟู่หลงเหยียนน้ำเสียงเริ่มเปลี่ยนเมื่อไม่เห็นอวี้จิ่นอยู่ในห้องนี้
“เอ่อ คือบ่าวให้คะ..”
“ข้าอยู่นี่เจ้าค่ะพี่ชายฟู่ ท่านอย่าดุน้าตงลู่เลยนะเพราะพวกท่านไม่ส่งเสียง จึงคิดว่าเป็นคนร้ายข้าถึงไปแอบหลบอยู่อีกห้องอย่างไรเล่า” อวี้จิ่นรีบแสดงตัวก่อนที่ตงลู่จะถูกทำโทษ
“พี่แค่ถามตงลู่ยังไม่ได้ดุอย่างที่เจ้าเข้าใจเสียหน่อย”
“เจ้าค่ะ ๆ ท่านไม่ได้ดุแค่ถามเฉย ๆ เท่านั้นเอง ว่าแต่ภารกิจของท่านเรียบร้อยดีหรือไม่เจ้าคะ” อวี้จิ่นเปลี่ยนเรื่องคุยหันไปถามเรื่องงานของฟู่หลงเหยียนแทน
“คุณหนูอวี้จิ่นไม่ต้องห่วงขอรับ หากนายน้อยลงมือภารกิจย่อมสำเร็จอยู่แล้วขอรับ แต่ว่าตอนนี้ข้าได้กลิ่นหอมลอยมา คล้ายกับว่ามีคนทำอาหารอยู่ภายในจวนหลังนี้นะขอรับ” อู๋จิ้งตอบคำถามแทนเจ้านายและไม่ลืมถามที่มาของกลิ่นอาหาร
“แน่นอนว่ามันคือกลิ่นของอาหาร และคนที่ทำก็ไม่ใช่ใครแต่เป็นคุณหนูอวี้จิ่น ที่เข้าครัวทำอาหารหลายอย่างไว้ นายน้อยขอรับถือเสียว่าสงสารพวกบ่าว ท่านรีบไปล้างมือดีกว่าขอรับ หากปล่อยให้อาหารเย็นชืดไปเสียก่อน จะทานไม่อร่อยเอาได้นะขอรับ” ตงลู่อดทนตั้งแต่อวี้จิ่นทำอาหารจานแรกแล้ว จึงร้องขอความเมตตาจากเจ้านายเช่นนี้
“ข้าเห็นด้วยกับน้าตงลู่เจ้าค่ะ พี่ชายฟู่กับท่านน้าทั้งสอง รีบไปล้างมือให้สะอาดเถิด จะได้มานั่งทานอาหารด้วยกันนะเจ้าคะ”
“อืม ขอบใจจิ่นเอ๋อร์มากที่ทำอาหารไว้รอ ประเดี๋ยวพี่จะตามไปที่ห้องทานอาหารก็แล้วกัน พวกเจ้าสองคนก็ทำตามที่จิ่นเอ๋อร์บอกด้วยล่ะ แล้วไปนั่งทานอาหารพร้อมกันไม่ต้องแยกสำรับ” ฟู่หลงเหยียนสั่งให้คนสนิททำตามที่อวี้จิ่นบอก ทั้งที่เมื่อก่อนอดีตคนรักเคยสั่งพวกเฉินอิ่น แต่เขาไม่อนุญาตให้นางมายุ่งวุ่นวายกับทั้งสามคนสักครั้ง
‘แค่คำว่าน้าก็เจ็บปวดแล้ว’
‘ทำตามคำสั่งของคุณหนูอวี้จิ่น!’
‘อึก นั่งกินข้าวด้วยกันกับนายน้อยงั้นหรือ?’
ทั้งสามคนไม่รู้ว่ายามนี้จะตกใจกับเรื่องไหนก่อนดี ท่าทางของเจ้านายเปลี่ยนไปได้ภายในไม่กี่วันเมื่อพบกับอวี้จิ่น คงต้องพยายามปรับตัวกันเสียใหม่หลังจากนี้เสียแล้ว
เมื่อได้ชิมอาหารฝีมือของอวี้จิ่น คำแรกบุรุษทั้งสี่กลายเป็นคนใบ้ขึ้นมาทันที สตรีเพียงหนึ่งเดียวบนโต๊ะอาหาร ได้แต่มองซ้ายทีขวาทีมีแต่เสียงของตะเกียบกระทบชามข้าว นี่นางควรภูมิใจที่ฝีมือการทำอาหารยังใช้ได้อยู่ใช่ไหม
ภายหลังจากทานอาหารแสนอร่อยจนอิ่มหนำ ก่อนจะแยกย้ายฟู่หลงเหยียนไม่ลืมกำชับกับอวี้จิ่นว่า อีกสองวันหลังจากนี้ให้นางเตรียมตัวไว้ให้พร้อม เพราะนี่จะเป็นการเดินทางไกลนับเดือนกว่าจะไปถึงเมืองหลวง อวี้จิ่นรับคำอย่างกระตือรือร้นที่จะได้ออกเดินทางเสียที
ณ ร้านน้ำชาแห่งหนึ่งในเมืองหลวงแคว้นจ้าว
จิ้งโม่และมู่ฉีทั้งสองคนเป็นบ่าวในจวนตระกูลฟู่ และทั้งสองได้ร่วมฝึกฝนกับนายน้อยของตระกูล เพื่อทำงานคอยสืบข่าวสำคัญซึ่งครั้งนี้จิ้งโม่ได้รับภารกิจจากนายน้อย จึงได้ชวนสหายอย่างมู่ฉีมาช่วยสืบเรื่องราวของตระกูลขุนนางใหญ่ ที่เป็นขุนนางในราชสำนัก เกี่ยวกับการมอบกุญแจหยกอายุยืนให้บุตรหลาน ในวันที่ออกมาลืมตาดูโลก รวมถึงตระกูลใดมีบุตรสาวหรือหลานสาวหายตัวไปหรือไม่
“ปึก! มู่ฉีเจ้ากับข้าสืบเรื่องราวของตระกูลใหญ่ จนเกือบจะครบทั้งเมืองหลวงแล้ว แต่มีเพียงตระกูลเจียงของแม่ทัพใหญ่ที่เดียวเท่านั้น ที่เจ้าก็รู้อย่างที่ข้ารู้ว่าไม่สามารถจะแฝงตัวเข้าไปได้ง่ายดายนัก เฮ้อ” จิ้งโม่ถอดถอนใจเพราะคิดไม่ออกว่า จะเข้าไปในจวนตระกูลเจียงอย่างไร
“เท่าที่ข้าคิดออกในตอนนี้มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น นั่นก็คือพวกเราต้องขอเข้าพบรองแม่ทัพเจียง ในเมื่อไม่อาจแฝงตัวสืบอย่างลับ ๆ มิสู้เข้าหาอย่างตรงไปตรงมาไม่ดีกว่ารึ” มู่ฉีก็หนักใจไม่ต่างกับสหายนัก
“ก็ดีเหมือนกันเพราะอย่างน้อย ๆ รองแม่ทัพเจียงก็เป็นสหายกับนายน้อย หากพวกเราสอบถามไปตามตรง ย่อมดีกว่าเป็นไหน ๆ ถึงอย่างไรพวกเราก็มีข้ออ้าง เกี่ยวกับกุญแจหยกอายุยืนนั่น เพราะตระกูลอื่นใช้ทองคำมานานแล้ว ยกเว้นตระกูลเจียงที่ยังคงใช้หยก ทำเป็นกุญแจอายุยืนมอบให้บุตรหลานจนถึงทุกวันนี้” จิ้งโม่เห็นด้วยกับวิธีนี้ของสหาย
“อืม พรุ่งนี้พวกเราค่อยไปพบรองแม่ทัพ ที่ค่ายฝึกทหารในยามเฉิน ข้าคิดว่าเรื่องนี้อาจทำให้รองแม่ทัพต้องรู้สึกเสียใจอีกครั้ง”
“วันนี้พวกเรากลับไปพักกันก่อนเถิด จะได้นำจดหมายติดตัวไปด้วย” จิ้งโม่คิดว่านำจดหมายของเจ้านายไปด้วยเผื่อจำเป็นต้องใช้
“อืม”
ด้านรองแม่ทัพเจียงหยวน บุตรชายคนโตของแม่ทัพใหญ่ ยังคงไม่รู้ตัวว่ากำลังมีคนนำเรื่องเกี่ยวกับน้องสาวเพียงคนเดียว
ที่ต้องตายอย่างไร้สาเหตุตั้งแต่ยังไม่ทันได้ลืมตา เรื่องนี้ยังคงติดค้างอยู่ในใจของเจียงหยวนมาถึงปัจจุบัน และมันยังทำให้มารดาของเขาไม่มีรอยยิ้ม ไม่ว่าบิดาจะพยายามทำทุกวิธีที่คิดได้ ก็ไม่สามารถเรียกรอยยิ้มจากมารดาได้อยู่ดียามเฉินของวันต่อมาจิ้งโม่และมู่ฉีมาถึงค่ายฝึกทหาร เพื่อขอเข้าพบรองแม่ทัพเจียง เนื่องจากมีเรื่องสำคัญต้องการสอบถามด้วยตนเอง หลี่อี้ที่รับเรื่องแล้วนำไปรายงานต่อเจ้านาย มีความสงสัยเล็กน้อยว่าเหตุใดคนของใต้เท้าฟู่ ถึงได้มาขอพบเจ้านายของตนถึงค่ายฝึกทหารเช่นนี้
“เรียนคุณชายที่หน้าค่ายทหาร มีคนของใต้เท้าฟู่มาขอพบท่านขอรับ”
“หืม มิใช่ว่าสหายข้าคนนี้ไปทำภารกิจที่ต่างเมืองมิใช่หรือ แล้วคนที่มาขอพบข้าเป็นคนไหนงั้นรึหลี่อี้” เจียงหยวนรู้เพียงว่าสหายของเขาคนนี้ เดินทางไปทำภารกิจจากรับสั่งของฮ่องเต้
“คนหนึ่งชื่อจิ้งโม่ส่วนอีกคนชื่อมู่ฉีขอรับคุณชาย”
“เจ้าไปพาทั้งสองคนเข้ามาพบข้าที่นี่ก็แล้วกัน”
“รับทราบขอรับ”
จิ้งโม่และมู่ฉีที่ยืนรอเมื่อเห็นหลี่อี้กลับออกมา และบอกว่าเจียงหยวนอนุญาตให้เข้าพบได้ก็รู้สึกดีใจมาก ทั้งสองเดินตามหลี่อี้เข้าไปยังกระโจมทำงานของเจียงหยวน
“ข้าน้อยจิ้งโม่กับมูฉีคารวะรองแม่ทัพเจียงขอรับ”
“ไม่ต้องมากพิธีพวกเจ้าสองคนต้องการพบข้า เพราะเจ้านายของเจ้ามีเรื่องอันใดจะให้ข้าช่วยรึ” เจียงหยวนคิดเพียงเรื่องงานเท่านั้น
“เอ่อ เรื่องที่นายน้อยต้องการจากรองแม่ทัพเจียง มิใช่ความช่วยเหลือเรื่องงานแต่อย่างใดขอรับ แต่ว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับน้องสาวของท่านน่ะขอรับ” จิ้งโม่พูดอย่างไม่เต็มเสียงนัก เพราะเขาคาดเดาได้ถูก หากพูดเรื่องของน้องสาวเจียงหยวนย่อมไม่อยากพูดถึง
“เรื่องของน้องสาวข้า แล้วฟู่หลงเหยียนต้องการรู้ไปทำไม พวกเจ้ากลับไปเถิดข้าไม่อยากพูดถึงเรื่องในอดีตอีก” เจียงหยวนเมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องของน้องสาวก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที
“รองแม่ทัพเจียงอย่าเพิ่งไล่พวกข้าเลยขอรับ ที่นายน้อยต้องการทราบเรื่องของน้องสาวท่าน เป็นเพราะยามนี้นายน้อยพบหญิงสาวคนหนึ่งที่เมืองเฉียนโจว ที่สำคัญนางมีกุญแจหยกอายุยืนของตระกูลเจียงของท่านด้วยขอรับ” จิ้งโม่รีบขอร้องเจียงหยวน และบอกรายละเอียดในจดหมายของฟู่หลงเหยียนออกไป
“เจ้าว่าอะไรนะ!! อาเหยียนเจอใครที่เมืองเฉียนโจว พวกเจ้าเล่ามาให้ละเอียดเดี๋ยวนี้” แม้เจียงหยวนจะตกใจแต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ
“เรียนรองแม่ทัพเจียง นายน้อยของพวกเราเจอหญิงสาวคนหนึ่ง ยามนี้อายุน่าจะเลยวัยปักปิ่นมาได้เกือบหนึ่งปีแล้ว มันเป็นความบังเอิญเสียมากกว่า ที่นายน้อยได้ยินสิ่งที่นางพูดก่อนเข้าเมืองเฉียนโจว จึงให้ตงลู่สะกดรอยตามนางไป และนั่นทำให้ตงลู่ได้เห็นกุญแจหยกอายุยืน รวมถึงคำพูดของนางที่ว่าจะเดินทางมาเมืองหลวง
เพื่อตามหาครอบครัว โดยใช้หยกชิ้นนี้เป็นหลักฐานขอรับ เรื่องทั้งหมดเป็นที่มาของการสืบเรื่องราวของตระกูลขุนนางใหญ่ ซึ่งพวกข้าสองคนไปสืบมาจนครบแล้ว เหลือเพียงตระกูลเจียงที่พวกข้าตัดสินใจมาขอเข้าพบท่านโดยตรงขอรับ” มู่ฉีรีบอธิบายเรื่องราวที่มาที่ไปให้สหายของเจ้านายทราบ ก่อนที่เขาจะโมโหไปมากกว่านี้แล้วพวกตนต้องคว้าน้ำเหลว
“ ตุบ นางมีหยกชิ้นนั้นได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นน้องสาวที่น่าสงสารของข้า นางตายตั้งแต่คลอดออกมาไม่ถึงหนึ่งเค่อด้วยซ้ำ”
“ยามนั้น ใครเป็นคนจัดการเรื่องศพของคุณหนูเจียงหรือขอรับ มีใครเห็นบ้างหรือไม่ยามที่หมอตำแยนำร่างของคุณหนูไปทำความสะอาด แต่พอกลับมาก็บอกว่านางตายเสียแล้ว รองแม่ทัพเจียงเป็นไปได้หรือไม่ขอรับ ที่เรื่องนี้จะมีคนที่ไม่ต้องการให้น้องสาวของท่านมีชีวิตอยู่ เพราะนางคือคุณหนูใหญ่ของตระกูลเจียง ที่ในอนาคตจะถูกจับจ้องจากเชื้อพระวงศ์และตระกูลขุนนางนะขอรับ” จิ้งโม่เกิดความสงสัยยามที่เกิดเรื่องนี้
“หรือว่า!! คุณชายขอรับจากที่จิ้งโม่พูดมา หากสิ้นคุณหนูไปคนที่จะถูกให้ความสำคัญ ย่อมเป็นคุณหนูจากบ้านนายท่านรอง และตอนนี้มีหลายตระกูลรวมถึงตำหนักขององค์ชายหลายคน ที่กำลังคิดจะส่งแม่สื่อมาทาบทามนางมิใช่หรือขอรับคุณชาย” หลี่อี้ลองคิดตามคำถามของจิ้งโม่เขาก็คิดถึงบ้านรองของน้องชายนายท่านใหญ่คนเดียวเท่านั้น
“หมายความว่าบ้านรอง วางแผนเอาไว้ตั้งแต่แรกงั้นหรือ พวกมันช่างใจกล้าเกินไปแล้ว อยากมีอำนาจเหนือบ้านหลัก ถึงกับคิดสังหารน้องสาวข้าตั้งแต่นางเกิด จิตใจอำมหิตเกินไปแล้ว เรื่องของหมอตำแยที่ทำคลอดให้ท่านแม่คนของท่านพ่อไปตามหาไม่พบ หลังจากที่จัดงานฝังศพให้กับน้องสาวของข้า” เจียงหยวนพอจะรู้มาตั้งแต่เด็กว่าบ้านรองนั้นอิจฉาท่านพ่อเพียงใด
“หากเป็นเช่นนั้นมีความเป็นไปได้ว่า หมอตำแยทำการสับเปลี่ยนทารก นางไม่กล้าพอที่จะสังหารคุณหนูจึงพานางหลบหนีไป และเลี้ยงดูคุณหนูจนนางเติบโต จากนั้นความรู้สึกผิดในใจ ทำให้หมอตำแยสารภาพความจริง ส่งผลให้คุณหนูออกเดินทางเข้าเมืองหลวง เพื่อตามหาพวกท่านก็เป็นได้นะขอรับรองแม่ทัพเจียง” มู่ฉีคิดว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้อย่างมาก
“ใช่! ถ้าเป็นอย่างที่พวกเจ้าพูด น้องสาวของข้านางยังมีชีวิตอยู่แน่ ๆ ข้าต้องไปพบท่านพ่อเพื่อบอกเกี่ยวกับเรื่องนี้ รบกวนพวกเจ้าสองคนตามข้าไปด้วยได้หรือไม่” เจียงหยวนรู้สึกมีความหวังที่จะได้เจอน้องสาว
“พวกข้ายินดีขอรับ” ในที่สุดพวกเขาก็มีข่าวดีส่งให้เจ้านายแล้ว
“อืม ขอบใจมากพวกเราไปที่กระโจมของท่านพ่อกันเถิด”
“ขอรับ”
เจียงหยวนแม้จะมิได้เชื่อ ที่คนของสหายพูดมาทั้งหมด แต่เมื่อพิจารณาบางข้อก็มีจุดให้น่าสงสัยอยู่เช่นกัน ฉะนั้นการนำเรื่องดังกล่าวไปหารือกับบิดาของตน ย่อมเป็นทางออกที่ดีที่สุดในยามนี้ เพราะเจียงหยวนรู้ดีว่าในใจของบิดา ก็เสียใจและคิดถึงน้องสาวมากเช่นกัน
เจียงเล่อคนสนิทของแม่ทัพใหญ่ ยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้ากระโจมเขาจะไม่รู้สึกแปลกใจหากบุตรชายของเจ้านาย จะมาพบบิดาเพียงลำพัง แต่วันนี้ด้านหลังของคุณชาย กลับมีคนที่ไม่รู้จักติดตามมาถึงสองคน
“คาราวะคุณชายขอรับ”
“อืม เจียงเล่อตอนนี้ท่านพ่ออยู่คนเดียวหรือมีแขก”
“เรียนคุณชาย นายท่านทำงานอยู่ด้านในเพียงลำพังขอรับ”
“ขอบใจมาก พวกเจ้าสองคนตามข้าเข้าไปด้านในเถิด หลี่อี้เจ้าอยู่เฝ้าด้านหน้ากับเจียงเล่อ อย่าเพิ่งให้ใครเข้าพบจนกว่าข้าจะกลับออกมา” เจียงหยวนเฝ้าระวังทุกฝีก้าวเพื่อป้องกันคนของบ้านรอง
“ทราบแล้วขอรับคุณชาย”
“คุณชายรีบเข้าไปพบนายท่านเถิดขอรับ เรื่องที่ท่านกังวลบ่าวจะเฝ้าระวังเป็นอย่างดี มิให้ใครเข้าใกล้กระโจมนี้ได้แน่” หลี่อี้เข้าใจคำสั่งนี้ดี
“พรึ่บ! คารวะท่านพ่อ/คารวะท่านแม่ทัพใหญ่ขอรับ”
“หืม อาหยวนมีเรื่องอะไรหรือไม่ ถึงได้มาพบพ่อยามนี้แล้วเจ้าพาใครมาด้วยล่ะนั่น พ่อไม่คุ้นหน้าทั้งสองคนเลย” แม่ทัพใหญ่เอ่ยถามบุตรชายที่พาคนแปลกหน้าเข้ามาพบกับตน
“เรียนท่านพ่อ ทั้งสองคนนี้เป็นคนของอาเหยียนขอรับ ที่ข้าพาพวกเขาเข้ามาพบท่านพ่อในเวลางานเช่นนี้ เป็นเพราะมีเรื่องเกี่ยวกับกุญแจหยกอายุยืนของตระกูลเจียงของเราขอรับ”
“ลองเล่ารายละเอียดมาสิว่าเกิดอะไรกับเรื่องนี้ แล้วอาเหยียนอยากรู้เกี่ยวกับกุญแจหยกอายุยืนด้วยเหตุใด” พอได้ยินบุตรชายพูดถึงเรื่องนี้แม่ทัพใหญ่วางตำราลงและถามอย่างจริงจัง
“พวกเจ้าเล่าให้ท่านพ่อฟัง อย่างที่เล่าไปก่อนหน้านี้เถิด ท่านพ่อจะได้พิจารณาว่ามีทางเป็นไปได้หรือไม่” เจียงหยวนให้จิ้งโม่กับมู่ฉีเป็นคนเล่ารายละเอียดกับบิดาเอง
“ขอรับ เรียนท่านแม่ทัพใหญ่ เรื่องนี้เกิดจากนายน้อยที่กำลังทำภารกิจอยู่ที่เมืองเฉียนโจว และด้วยความบังเอิญในวันที่เดินทางไปถึงที่นั่น นายน้อยได้ยินหญิงสาวนางหนึ่ง พูดถึงเรื่องข่าวลือและนางคิดว่าน่าจะเป็นฝีมือของคน จากคำพูดนี้ของนางนายน้อยจึงให้ตงลู่สะกดรอยตามไป เพราะเกิดความสงสัยว่าเหตุใดนางถึงไม่กลัวเช่นชาวบ้านคนอื่น ๆ นอกจากนี้ตงลู่เห็นนางมีกุญแจหยกอายุยืน และพูดถึงการเข้าเมืองหลวง เพื่อตามครอบครัวที่แท้จริงโดยใช้หยกชิ้นนั้นเป็นหลักฐานขอรับ”
“หญิงสาวชาวบ้านจะมีหยกชิ้นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อมันเป็นของขวัญที่ตระกูลเจียงจะทำขึ้น ยามที่มีบุตรหลานในตระกูลคลอดลูกออกมาเท่านั้น ตงลู่อาจจะมองผิดไปก็เป็นได้พวกเจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ” แม่ทัพใหญ่ยังไม่คิดเชื่อว่าที่ตงลู่เห็นจะเป็นหยกของตระกูลเจียง
“ท่านแม่ทัพใหญ่ตงลู่จะมองผิดได้อย่างไรขอรับ พวกเราถูกฝึกฝนมาอย่างหนัก หากมองผิดการทำภารกิจย่อมล้มเหลวนะขอรับ และเรื่องนี้พวกข้าทำการสืบจากตระกูลอื่น ๆ ทั้งหมดแล้ว พวกเขาล้วนใช้ทองคำมีเพียงตระกูลเจียงเท่านั้นที่ยังใช้หยก ข้ากับมู่ฉีจึงมาขอพบรองแม่ทัพโดยตรงเพราะไม่อยากแอบสืบอย่างลับ ๆ” จิ้งโม่พยายามอธิบายกับแม่ทัพใหญ่
“ท่านพ่อคนของอาเหยียน ตั้งข้อสังเกตว่ามีคนต้องการไม่ให้น้องสาวมีชีวิตอยู่ เพราะจะเป็นอุปสรรคต่อบุตรสาวของพวกเขา สำหรับเพิ่มอำนาจให้ตนเอง ท่านพ่อย่อมรู้ดีว่าบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่เช่นท่าน ย่อมมีหลายฝ่ายจับจ้องอยากเกี่ยวดองด้วยทั้งนั้นมิใช่หรือขอรับ” เจียงหยวนเริ่มพูดให้บิดาคิดตาม
“ท่านแม่ทัพใหญ่ พวกข้าคิดว่ามีความเป็นไปได้อย่างมาก ที่บุตรสาวของท่านจะถูกสับเปลี่ยนกับศพทารก จากแผนการร้ายของผู้ไม่หวังดีในวันที่ฮูหยินคลอด แต่คนที่นำคุณหนูไปตัดใจทำร้ายเด็กไม่ลงจึงเลี้ยงดูไว้เอง อาจจะด้วยความรู้สึกที่ติดตามหลอกหลอน สุดท้ายจึงยอมบอกความจริงกับคุณหนูก็ได้ขอรับ” จิ้งโม่คิดว่าต้องเป็นเช่นนี้แน่
“เรียนท่านแม่ทัพใหญ่หญิงสาวคนนั้น อายุเลยวัยปักปิ่นมาเกือบหนึ่งปีแล้ว เมื่อลองพิจารณาเรื่องอายุของคุณหนูเจียง ก็ถือว่าใกล้เคียงกันมากนะขอรับ” มู่ฉีเปรียบเทียบเรื่องอายุของทั้งสองคน ยิ่งคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงอย่างมาก
“คนที่ไม่อยากให้บุตรสาวของข้าเป็นอุปสรรคงั้นหรือ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าคนขี้อิจฉานั่น หากพวกมันคือคนที่คิดทำร้ายบุตรสาวของข้าจริงละก็ พวกมันทั้งครอบครัวไม่ว่าจะหัวหงอกหัวดำ ต้องชดใช้ด้วยชีวิตเท่านั้น สิบกว่าปีที่ฮูหยินต้องอยู่กับความเสียใจ หากไม่ใช่เพราะมีอาหยวนอยู่ นางคงตรอมใจตายไปนานแล้ว และสิบกว่าปีที่บุตรสาวของข้าต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก อยู่ที่ไหนสักแห่งทั้งที่ชีวิตของนางควรอยู่อย่างสุขสบาย มีบ่าวคอยรับใช้เช่นคุณหนูในห้องหอคนอื่น อาหยวน” แม่ทัพใหญ่ยามนี้คล้ายได้ปลดบางสิ่ง ที่ต้องทนมาหลายปีออกไปบ้างแล้ว
“ขอรับท่านพ่อ”
“พ่อรู้ว่าตอนนี้เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ พ่ออนุญาตให้เจ้าหยุดพักผ่อน และพาหลี่อี้ติดตามไปรออาเหยียนกลางทาง เพื่อรับน้องสาวของเจ้ากลับบ้านอย่างปลอดภัยเถิด ส่วนแม่ของเจ้าพ่อจะค่อย ๆ คุยกับนางเอง” คนเป็นพ่อแค่มองสายตาของบุตรชาย ทำไมจะไม่รู้ว่าต้องการสิ่งใด เนื่องจากตัวของแม่ทัพใหญ่เอง หากไม่ติดว่าต้องสะสางกองโต ย่อมอยากไปพบเด็กสาวคนนี้ด้วยตนเองแน่
“ขอบคุณท่านพ่อ ข้าจะพาน้องสาวกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน หากมีใครคิดจะทำร้ายนางอีกครั้ง มีเพียงความตายที่พวกมันจะได้รับ ข้ากับหลี่อี้จะออกเดินทางคืนนี้ รบกวนท่านบอกกับท่านแม่ด้วยนะขอรับ”
“อืม เจ้าไปเตรียมตัวเถิดอาหยวน”
“ข้าขอตัวก่อนขอรับ”
“ส่วนพวกเจ้าสองคนข้าต้องขอบใจมาก ที่นำเรื่องนี้มาบอกเอาไว้นายน้อยของพวกเจ้ากลับมาถึงเมืองหลวง ข้าจะเชิญมาทานอาหารที่จวนเป็นการขอบคุณอีกครั้งก็แล้วกัน” เรื่องนี้แม่ทัพใหญ่จะลืมได้อย่างไร
“พวกเรายินดีเป็นอย่างมาก ที่ได้ทำภารกิจในครั้งนี้ขอรับ ขอแสดงความยินดีกับท่านแม่ทัพใหญ่ล่วงหน้า ที่จะได้เจอคุณหนูเจียงอีกครั้งด้วยขอรับ” แต่สิ่งสำคัญคือพวกเขาสองคน ต้องรีบส่งจดหมายถึงเจ้านายเป็นการด่วน
“ขอบใจ ๆ”
“เช่นนั้นพวกข้าสองคนต้องขอตัวก่อนนะขอรับ อย่างไรเสียก็ต้องส่งข่าวรายงานให้นายน้อยได้ทราบด้วยขอรับ” พวกเขาจะชักช้าไม่ได้เด็ดขาด เพราะต้องเขียนรายละเอียดทั้งหมดลงไป
“ฝากขอบใจอาเหยียนแทนข้าด้วยก็แล้วกัน”
“ทราบแล้วขอรับท่านแม่ทัพใหญ่”
แม้จิ้งโม่กับมู่ฉีจะดีใจที่ภารกิจของตนในครั้งนี้จะสำเร็จ แต่คนที่ดีใจมากคงหนีไม่พ้นเจียงหยวน ยามเดินออกมาด้านนอก
เขาทำเพียงเรียกหลี่อี้ให้เดินตามกลับไปที่พัก และสั่งให้เตรียมสัมภาระเท่านั้น ทำเอาบ่าวคนสนิทถึงกับงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้านาย แต่ก็ได้รู้เมื่อถึงเวลาออกเดินทาง หลี่อี้ดีใจกับเจ้านายของตนที่จะได้เจอคุณหนูเสียที ส่วนแม่ทัพใหญ่กำลังเตรียมคำพูด ที่ต้องบอกกับฮูหยินของตน รวมถึงมารดาที่แก่ชราไปมาก อย่างน้อยเมื่อรู้ข่าวดีอาจทำให้มารดาสุขภาพแข็งแรงก็เป็นได้จิ้งโม่และมู่ฉีกลับที่พักของพวกตนทันที หลังจากออกมาจากค่ายทหาร ในจดหมายจิ้งโม่เขียนไว้อย่างละเอียด รวมถึงเรื่องที่เจียงหยวนกำลังออกเดินทางไปรอเจ้านาย อาจจะเป็นที่เมืองชางโจว เมื่อภารกิจสำเร็จทั้งสองจึงไปดื่มฉลองกันเล็กน้อยตามประสาบุรุษด้านแม่ทัพใหญ่ที่กลับมาถึงจวนในยามเซิน ได้สั่งให้พ่อบ้านเจียงไปแจ้งที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าว่า เย็นนี้เขาจะพาฮูหยินไปรับสำรับเย็นที่นั่น และบอกให้แม่ครัวเตรียมอาหารไว้มากกว่าเดิมสักหน่อย ก่อนที่ตัวของแม่ทัพใหญ่จะกลับไปชำระล้างร่างกายเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อไปพบฮูหยินที่ไม่ยอมออกจากจวนมาหลายปีมู่เสียสาวใช้คนสนิทของจางฮูหยิน เมื่อเห็นว่านายท่านของจวน มาพบนายหญิงของตนเร็วกว่าทุกวัน จึงจะเข้าไปบอกเจ้านายแต่ว่านางถูกนายท่านเรียกตัวเอาไว้เสียก่อน“มู่เสีย”“คารวะนายท่านเจ้าค่ะ”“เจ้าไม่ต้องไปรายงานน้องหญิง แต่ไปเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ดูชุดที่มีสีสันสดใสสักเล็กน้อยก็แล้วกัน วันนี้ข้าจะพานางไปรับอาหารเย็นที่เรือนท่านแม่” แม่ทัพใหญ่สั่งงานกับมู่เสีย ก่อนจะเข้าไปหาฮูหยินของตน ที่ยังคงมีสีหน้าไร้ชีวิตชีวาเช่นทุกวัน“เอ่อ เจ้าค่ะนายท่าน” มู่เสียทำท่าคล้ายมีคำถาม แต่ก็ต
ตระกูลเจียงสายหลักและสายรองในเมืองหลวง กำลังต่อสู้กันอยู่อย่างเงียบ ๆ มีเพียงคนที่เป็นสหายเท่านั้น ที่รับรู้ว่าสองพี่น้องต่างแม่เกลียดกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ไม่ว่าอย่างไร คนที่เป็นฝ่ายชนะมักจะเป็นแม่ทัพใหญ่อยู่เสมอทางด้านเมืองเฉียนโจว นายกองจั๋วได้เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว เหลือเวลาอีกหนึ่งวัน ฟู่หลงเหยียนจะนำตัวนักโทษออกเดินทางเสียที แต่ในต้นยามเฉินฟู่หลงเหยียนก็ได้รับจดหมายจากจิ้งโม่“นายน้อยขอรับจดหมายจากจิ้งโม่น่าจะเพิ่งมาถึง คงเกี่ยวกับเรื่องของคุณหนูอวี้จิ่นนะขอรับ” เฉินอิ่นนำจดหมายออกจากขานกพิราบ ที่บินมาจากเมืองหลวงมอบให้เจ้านายของเขา“อืม ขอบใจ”ฟู่หลงเหยียนรับจดหมายมาเปิดอ่านที่เขียนมาสั้น ๆ แต่สามารถเข้าใจความหมายที่จิ้งโม่บอกมาเป็นอย่างดี‘ตระกูลเจียง คาดว่าทารกถูกสับเปลี่ยนและเป็นแผนร้ายของตระกูลสายรอง สหายของนายน้อยกำลังเดินทางไปสมทบ’“หึ นางเป็นบุตรสาวของตระกูลนี้จริง ๆ สินะ” เมื่อได้รับการยืนยันจากข่าวของจิ้งโม่ ฟู่หลงเหยียนจึงมั่นใจเต็มส่วน ว่าอวี้จิ่นคือบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ บิดาของสหายของตนอย่างเจียงหยวน“เอ่อ นายน้อยข่าวของจิ้งโม่ว่าอย่างไรบ้างหรือขอรับ เจอตระกูลครอบค
ณ บ้านเช่าราคาถูกเก่า ๆ ในมุมหนึ่งของเมืองใหญ่ มีหญิงสาว วัยยี่สิบปีเธอมีชื่อว่า ‘หยก’ ตั้งแต่เล็กจนโตเธอถูกเลี้ยงดูจาก บ้านเด็กกำพร้า ไม่เคยรู้ที่มาที่ไปว่าเธอเองมาจากไหนพ่อแม่เป็นใคร และเธอไม่สนใจที่จะตามหาอดีตให้เจ็บปวดหากพบเจอความจริง อันโหดร้าย จึงเลือกใช้ชีวิตด้วยการทำงาน หาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่เรียนจบมัธยมปลายหยก พยายามใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากในวันที่เธออายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์มีบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งมันเป็นเรื่องดีและร้ายในคราวเดียวกัน เมื่อลืมตาตื่นหลังผ่านวันเกิด อายุครบสิบแปดปี หยกสามารถมองเห็นชะตาชีวิตของคนที่บังเอิญ มาสัมผัสโดนตัวของเธอ หยกสติแตกไปหลายวันกว่าจะรวบรวมสติกลับมาได้ เธอตัดสินใจเล่าให้เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวอย่างไพลินฟัง และเพื่อนสนิทคนนี้นี่เอง ที่สนับสนุนให้หยกใช้ความสามารถนี้ เพื่อหาเงินจากพวกคนรวยที่เชื่อเรื่องทำนายดวงชะตา“ลินฉันเล่าให้แกฟังแค่คนเดียวแล้ว อย่าเอาไปเล่าให้ใครฟังล่ะ ฉันไว้ใจที่แกเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของฉัน หวังว่าจะไว้ใจแกได้ ในเรื่องนี้นะลิน ฉันไม่อยากถูกคนอื่นมองว่าเป็นคนบ้า” เพราะคนที่ไม
ดวงวิญญาณของหยกถูกพลังงานบางอย่าง ดึงไปอย่างแรง เธอไม่มีโอกาสบอกลาเพื่อนสนิท เพียงคนเดียวอย่างไพลิน ที่ป่านนี้ คงร้องไห้เป็นเผาเต่า เมื่อรู้ว่าเธอตายในกองเพลิงแห่งนั้นด้วยแรงดึงมหาศาล ดวงวิญญาณของหยกเข้าไปอยู่ในร่าง ของเด็กสาวคนหนึ่ง ที่ถูกงูพิษกัดที่ข้อเท้าด้วยร่างกายที่อ่อนแอ จึงไม่อาจหาสมุนไพรแก้พิษได้ทัน จึงต้องตายอย่างน่าอนาจ ซึ่งที่นี่เป็นโลกคู่ขนานของยุคจีนโบราณ ที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนในประวัติศาสตร์ เมื่อหายใจและลืมตาขึ้นรอบ ๆ ตัวของหยกคือป่าแห่งหนึ่งของหมู่บ้านลิ่วหยางหยกจึงพยายามชันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ต้องล้มลงนอนอีกครั้ง พร้อมอาการปวดหัวที่ทำเอาเธอตาพร่ามัวไปหมด ภาพในหัวตอนนี้ เป็นความทรงจำของเจ้าของร่างตั้งแต่เด็ก มีหญิงชราคนหนึ่งเลี้ยงดู มาจนเติบโต แต่มักจะมีสายตาที่เศร้าสร้อย ยามมองมาที่ร่างบาง และที่สำคัญ เจ้าของร่างยังเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาเลี้ยง“ทำไมคำขอของไอ้หยก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงให้ไม่ได้กันมันน่าโมโหนักโอ๊ย! นี่สิ่งศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์ หูหนวกตาบอดกันหรือยังไง หนูขอก่อนตายว่าอยากมีพ่อแม่ที่ร่ำรวย มีเงินมีทองใช้ไม่ขาดมือนะคะ แล้วนี่คืออะไร ชาติก่อ
อวี้จิ่นบอกลาเพื่อนบ้าน หลังจากผ่านงานศพของยายเฒ่าลิ่ว ได้เจ็ดวัน โดยใช้ข้ออ้างว่าจะไปตามหาบุตรหลานของยายเฒ่าลิ่วเท่านั้น เพื่อนบ้านต่างอวยพรให้อวี้จิ่นปลอดภัยและทำภารกิจสำเร็จ บางคน มีมอบอาหารให้นางนำติดตัวไปคนละเล็กละน้อย ทำเอาอวี้จิ่น ถึงกับน้ำตาซึมที่เห็นความมีน้ำใจจากชาวบ้านเพราะหมู่บ้านอยู่ไม่ไกลจากตำบล จึงใช้การเดินเท้าอวี้จิ่นสำรวจสองข้างทางไปเรื่อย ๆ เพื่อเรียนรู้ทุกสิ่งในโลกใบใหม่ แต่ถ้านางต้องการเข้าเมืองย่อมไม่อาจเดินเท้าไปเองได้ ด้วยระยะทางที่ไกลจึงอาศัย การนั่งเกวียนหรือรถม้าเท่านั้น ยังดีที่อวี้จิ่นมีเงินติดตัวมาห้าตำลึงเงิน กับเศษเหรียญอีแปะอีกเล็กน้อย นางถึงได้นั่งเกวียนวัวเข้าเมือง จ้าวโจวรอบสุดท้ายพอดี กว่าจะมาถึงเมืองจ้าวโจวก็เป็นเวลาพลบค่ำอวี้จิ่นอาศัยอารามร้างนอกเมืองเป็นที่หลับนอน เนื่องจากตอนนี้นางต้องประหยัดเงินไว้ก่อน ซึ่งที่นี่มีชาวบ้านที่นำของป่าที่ดูมีราคามาขายในเมือง พวกเขาก็เลือกที่จะพักในอารามร้างเช่นเดียวกัน แต่เป็นข่าวดีสำหรับอวี้จิ่นเมื่อชาวบ้านที่นั่งผิงไฟ เริ่มพูดถึงบุตรสาวของท่านเจ้าเมือง ที่หายออกจากจวน แม้จะส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตามหาก็ยัง
ระหว่างการเดินทางจากเมืองจ้าวโจวใช้เวลาถึงเจ็ดวัน กว่ารถม้าจะพาอวี้จิ่นมาถึงเมืองเฉียนโจว ที่ดูจะคึกคักไม่น้อยมีผู้คนเดิน สวนทาง เข้าออกเมืองกันอย่างคับคั่ง ทั้งพ่อค้าแม่ค้าหรือนักเดินทาง จากต่างแคว้น แต่ถึงบรรยากาศยามกลางวันดูผู้คนพลุกพล่าน ใช้ชีวิตกันอย่างปกติทั่วไปเหมือนเมืองอื่น ๆ หากเมื่อใดใกล้ถึงยามค่ำคืนในเมืองเฉียนโจวกลับเงียบสนิท และเป็นครั้งแรกที่อวี้จิ่นรู้สึกว่า ที่เมืองเฉียนโจวมีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้น“แม่นางน้อยพวกเรามาถึงเมืองเฉียนโจวแล้วขอรับ ข้าคง ส่งท่านถึงแค่หน้าประตูเมืองเท่านั้น หวังว่าท่านจะไม่โกรธนะขอรับ” คนบังคับรถม้าไม่อยากค้างคืนที่นี่ เพราะข่าวลือเรื่องยามค่ำคืนที่น่ากลัว“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านลุง ขอบคุณท่านมากที่มาส่งข้าว่าแต่ทำไมท่านลุง ไม่พักเหนื่อยที่เมืองเฉียนโจวเสียก่อนล่ะเจ้าคะ เดินทางมาตั้งไกลม้าเองก็น่าจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยนะเจ้าคะ” อวี้จิ่นสงสัยกับสายตา ที่ดูหวาดกลัวบางอย่าง“เอ่อ ฮ้าย! หากข้าพูดให้แม่นางน้อยฟังแล้ว ท่านต้องมีสติ ให้ดี ที่ข้าไม่อยากพักที่เมืองเฉียนโจวเป็นเพราะว่ามีข่าวลือเกิดขึ้น ในยามกลางคืนมักจะมีผีสาวนางหนึ่งออกอาละวาด แ
ล่วงเลยเข้าปลายยามห้าย อวี้จิ่นออกจากห้องพักแสร้งเดินเล่น ไปตามถนนในเมืองเฉียนโจว ในมือข้างซ้ายถือลูกผิงกั่วกัดกินไปด้วย ท่ามกลางความเงียบสงัดอย่างที่คนบังคับรถม้าบอก ทำให้รู้สึกวังเวง อยู่ไม่น้อย แต่นั่นไม่ช่วยให้ความอยากรู้ลดลงแต่อย่างใด ด้านบนหลังคายังมีคนกลุ่มหนึ่งคอยตามอวี้จิ่นไปเงียบ ๆหลังจากเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่หลายมุม จนเริ่มจะเมื่อยขาและอวี้จิ่นคิดว่า คืนนี้ไม่น่ามีเหตุการณ์ในข่าวลือเกิดขึ้น จึงคิดจะเดิน กลับโรงเตี๊ยมเพื่อนอนพักเอาแรง ยามที่กำลังคิดเรื่องกลับห้องพัก ก็มีเสียงหัวเราะแทรกเข้ามา ด้วยบรรยากาศที่เงียบเชียบ พอมีเสียงหัวเราะกลับกลายเป็นความรู้สึกน่ากลัว สำหรับคนในเมืองเฉียนโจวยิ่งนัก แต่อวี้จิ่นทำเพียงหยุดเดินและรอคอยอย่างตั้งใจ ว่าผีสาวตนนี้จะทำอะไรกับนาง ถ้าหากนางถามคำถามออกไป มันจะตอบคำถามของนาง ได้หรือไม่“ฮิ ๆ ๆ อาหารของข้า”“โอ๊ะ!! ในที่สุดก็ออกมาจนได้ ขอดูหน้าหน่อยก็แล้วกัน ว่าจะเป็น ผีสาวใบหน้างดงามหรือน่าขยะแขยง”“ฮ่า ๆ ๆ มาเป็นอาหารให้ข้าเสียเถิดเด็กน้อย แผล่บ ๆ”“ขวับ!! สวัสดีตอนดึกเจ้าค่ะ เป็นผีทำไมถึงรู้สึกหิวได้ล่ะ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยน
ยามค่ำคืนที่ผ่านมาเป็นครั้งแรก ที่ฟู่หลงเหยียนไม่ฝันถึงเรื่องราวในอดีต เมื่อลืมตาตื่นขึ้นในเช้าวันใหม่ จึงรู้สึกสดชื่นอย่างที่ไม่เคย รู้สึกมาหลายปี เขาไม่รู้จะขอบคุณสตรีที่แสนจะธรรมดาไม่เหมือนใคร แม้แต่ชื่อแซ่ก็ลืมถามไถ่กับนางไว้ ก่อนจะจากกันไปเสียได้ ฟู่หลงเหยียนตั้งใจไว้ว่าเช้านี้เขาจะถามชื่อของนางเป็นอย่างแรกทางด้านอวี้จิ่นที่เพิ่งตื่นนอนในต้นยามเฉิน พอตั้งสติได้ก็เกือบ หัวทิ่มหัวตำลงจากเตียงด้วยความเร่งรีบ เมื่อนางนึกขึ้นได้ว่าใกล้ถึงเวลา ที่ฟู่หลงเหยียนจะมารับนาง เพื่อไปเก็บหลักฐานการกระทำความผิด ของเจ้าเมืองเฉียนโจว อวี้จิ่นรีบล้างหน้าบ้วนปากอาบน้ำอย่างรวดเร็ว ผมเผ้าทำเพียงเก็บรวบมัดยกเป็นหางม้าเท่านั้นเมื่อเดินออกมาด้านหน้าโรงเตี๊ยม บุรุษในชุดคลุมสีดำสองคน มายืนรอนางอยู่ก่อนแล้วพร้อมม้าอีกสองตัว ทำเอาอวี้จิ่นละอายใจเล็กน้อยได้แต่กล่าวขอโทษ ที่นางตื่นสายทำให้ทั้งสองคนต้องรอนาน“อุ๊ย! แหะ ๆ ๆ ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ปล่อยให้พวกท่านรอนานเช่นนี้ ถ้าวันไหนข้าเข้านอนดึกมักจะตื่นสายเช่นนี้ประจำเจ้าค่ะ”“ไม่เป็นไร พวกข้าสองคนเพิ่งจะมาถึงไม่นานเช่นกัน เจ้าพอ จะบอกที่ซ่อนของหลักฐาน