เมื่อทั้งสามคนเดินมาถึงห้องส่วนตัวขนาดกลาง มีนักบวชคอยเฝ้าเอาไว้สองคน ก่อนจะเข้าไปได้ย่อมมีค่าผ่านประตู เรื่องนี้อวี้จิ่นย่อมเห็นจากภาพนิมิตมาแล้วจึงอาสาจัดการเอง
“เดี๋ยวก่อนประสกทั้งสาม หากต้องการใช้ห้องสวนมนต์แห่งนี้ พวกท่านทราบถึงกฎเกณฑ์ของทางวัดแล้วหรือไม่”
“คารวะไต้ซือเจ้าค่ะ คุณชายของข้าเพิ่งมาจากต่างเมือง เพื่อมาขอพรเกี่ยวกับการทำงานครั้งใหญ่ เห็นว่าที่วัดของตระกูลอวี่มีผู้คนเคารพนับถืออย่างมาก จึงอยากมากราบไหว้สักครั้ง ส่วนเรื่องกฎของทางวัด ข้าทราบเป็นอย่างดีว่าต้องทำอย่างไร ของในตะกร้าใบนี้หวังว่าไต้ซือจะอนุญาตให้คุณชายของข้า ได้เข้าไปสวดมนต์เป็นการส่วนตัวนะเจ้าคะ” พวกเห็นแก่เงินจะไม่รับไว้ได้อย่างไร ในตะกร้านั่นมีก้อนตำลึงเงินอยู่หลายก้อนเชียวนะ
“อืม เมื่อประสกตัวน้อยรู้จักทำตามกฎของวัด คุณชายของท่านย่อมสามารถเข้าไปสวดมนต์ด้านในได้ เชิญ” ไต้ซือตัวปลอมมัวแต่สนใจก้อนตำลึงในถุงผ้าใบเล็กในตะกร้าจึงไม่เอะใจคำพูดของอวี้จิ่นเท่าใดนัก
“ขอบคุณไต้ซือเจ้าค่ะ ที่เห็นใจชาวบ้านอย่างเรา เชิญคุณชายเข้าไปสวดมนต์เถิด งานที่ท่านหวังไว้จะได้สำเร็จโดยเร็วนะเจ้าคะ” อวี้จิ่นหันไปเชื้อเชิญฟู่หลงเหยียนเข้าไปในห้องสวดมนต์
“คงไม่เป็นการรบกวนไต้ซือมากนัก หากคนของข้าจะยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้าประตู เป็นเพื่อนพวกท่านใช่หรือไม่” เขาต้องการให้เฉิ่นอิ่นจับตาดูไต้ซือสองคนนี้เอาไว้ต่างหาก
“ไม่เป็นการรบกวนอันใด นี่เป็นเรื่องปกติของเหล่าประสก เพราะต้องการความเป็นส่วนตัวไม่ต้องการให้มีใครมารบกวน” เมื่อมีคนจ่ายเงินให้คนเหล่านั้นจะทำอะไรก็ได้ตามสบาย
ฟู่หลงเหยียนก้มศีรษะเล็กน้อยตามมายาท ก่อนจะเดินเข้าห้องไปด้านหลังคืออวี้จิ่น ผู้ทำหน้าที่เป็นสาวใช้และต้องไปเปิดที่ซ่อนหลักฐาน ทั้งสองต้องแสร้งทำเป็นไหว้พระสวดมนต์เสียก่อน เพื่อให้ไต้ซือสองคนนั่นไม่ระแวงจนเกินไป เมื่อแน่ใจแล้วว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผน อวี้จิ่นพาฟู่หลงเหยียนเดินไปด้านหลังพระพุทธรูปองค์ใหญ่ทันที
“นี่ ๆ คุณชายฟะ..”
“หือ..”
“อะ เอ่อ พี่ชายฟู่ท่านรอรับหลักฐานอยู่ด้านล่างก็แล้วกัน เพราะข้ารู้ว่ากลไกเปิดช่องลับอยู่ส่วนไหน อีกอย่างท่านช่วยส่งข้าขึ้นไปยืนตรงฐานด้านบนหน่อยสิเจ้าคะ ตัวข้าก็แค่นี้วรยุทธ์ก็ไม่มีขึ้นไปเองไม่ได้เจ้าค่ะ แหะ ๆ ๆ” อวี้จิ่นพูดจบทำเอาคนฟังถึงกับส่ายหน้า
“ได้ เจ้าเองขึ้นไปยืนด้านบนก็ระวังตัวด้วยเล่า เกิดเหยียบพลาดร่วงลงมาจะบาดเจ็บเอาได้เข้าใจไหม”
“เจ้าค่ะข้าจะระวังตัวให้มาก แต่ถ้าเกิดร่วงลงมาจริง ๆ ก็ยังมีพี่ชายฟู่รอรับอยู่มิใช่หรือเจ้าคะ หรือท่านจะปล่อยให้ข้าลงไปนอนบนพื้น คิ คิ คิ”
“พรึ่บ! รีบลงมือเข้าเถิด นานเกินไปพวกนั้นจะสงสัยเอาได้”
“อื้ม”
ฟู่หลงเหยียนไม่ตอบ เขาพาอวี้จิ่นขึ้นยืนบนฐานพระด้วยวิชาตัวเบา และลงมายืนรอรับหลักฐานตามที่นางบอกเอาไว้ ส่วนอวี้จิ่นเมื่อหาที่จับได้แล้ว ก็เอื้อมมือไปดันกลไกที่ซ่อนไว้อย่างแนบเนียน จากนั้นช่องลับค่อย ๆ เปิดออกอย่างช้า ๆ ด้านในช่องลับเต็มไปด้วยหลักฐาน ที่เจ้าเมืองเฉียนโจวให้คนสนิทนำมันมาซ่อนไว้ที่นี่
หลักฐานเล่มแล้วเล่มเล่าถูกอวี้จิ่นหยิบออกมา และโยนให้ฟู่หลงเหยียนรับไว้ ขณะที่นางกำลังจะบอกฟู่หลงเหยียนให้พานางลงไปด้านล่าง กลับเกิดเหตุการณ์ที่อวี้จิ่นคิดว่า มันเป็นความประมาทของตน แต่แท้จริงแล้วนางถูกคนที่มองไม่เห็นกลั่นแกล้งให้แล้วต่างหาก
“พี่ชายฟู่ อ๊ะ!!”
“อวี้จิ่นระวัง!!”
“หมับ!! ตุบ! อึก จุ๊บ!! ”
“ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!”
‘เสียงหัวใจเต้นแรงเช่นนี้เฉินอิ่นต้องได้ยินเป็นแน่’
‘นางหนูข้าช่วยเจ้าเพิ่มความใกล้ชิดกับเนื้อคู่ให้แล้วนะ ฮ่า ๆ ๆ”
ฟู่หลงเหยียนช่วยรับร่างของอวี้จิ่น ที่ร่วงลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้ร่างของเขาล้มลง โดยมีร่างบางทับร่างของเขาเอาไว้ แต่เสียงหัวใจจะไม่ดังถึงเพียงนี้ หากว่าริมฝีบางของอวี้จิ่นจะไม่ประกบลงมา บนริมฝีปากหนาของฟู่หลงเหยียนอย่างจัง และแน่นอนว่าสิ่งที่ฟู่หลงเหยียนคิดนั้น เฉินอิ่นย่อมได้ยินเพียงแต่เฉินอิ่นจะบุ่มบ่ามเข้ามาด้านในไม่ได้ หากเจ้านายไม่เรียก
‘เกิดอะไรขึ้นด้านในกันแน่ เหตุใดเสียงหัวใจของทั้งสองถึงเต้นแรงเช่นนั้น’
แม้จะรู้สึกถึงแรงเต้นของหัวใจตนเอง แต่ยังคงเป็นฟู่หลงเหยียนที่ได้สติ และถามไถ่อวี้จิ่นด้วยกลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บ
“จิ่นเอ๋อร์! เจ้าบาดเจ็บที่ใดหรือไม่ พี่บอกให้ระวังอย่างไรเล่า หากพี่ไม่อยู่ตรงนี้เกิดร่วงลงมาแขนขาหักจะทำอย่างไร”
“เอ่อ ไม่เจ็บตรงไหนเลยเจ้าค่ะ แต่คำถามนี้ควรเป็นข้าที่ต้องถามท่านมากกว่า ว่าเจ็บที่ใดหรือไม่เพราะว่าท่านเข้ามารับข้าเอาไว้ แล้วก็ล้มหลายหลังไปเช่นนี้ อย่างไรก็น่าจะเจ็บอยู่ไม่น้อยนะเจ้าคะ” อวี้จิ่นคิดว่าต้องเป็นนางที่ถามมากกว่า
“อย่าทำเป็นเล่นนะจิ่นเอ๋อร์ ถ้าหากครั้งต่อไปเจ้าไม่โชคดีเช่นนี้เล่า ช่างเถอะ ๆ ต่อไปอย่าเอาตัวเจ้าไปเสี่ยงกับอันตรายอีกเข้าใจไหม” ฟู่หลงเหยียนเอ่ยเตือนร่างบางอย่างจริงจัง เพราะเขาคิดว่านางน่าจะดื้อรั้นไม่น้อย
“เจ้าค่ะ”
“เฮ้อ ที่ดุเจ้าเพราะเป็นห่วงอย่าได้แปลความหมายเป็นอื่น เอาล่ะมาช่วยกันเก็บหลักฐานทั้งหมดก่อนเถิด จะได้ไปจากที่นี่เสียที” ฟู่หลงเหยียนเห็นอวี้จิ่นรับคำเสียงอ่อย จึงรีบอธิบายถึงเหตุผลที่เขาดุนาง
“พี่ชายฟู่ท่านสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่มา เช่นนั้นเก็บหลักฐานพวกนี้ วางบนผ้าห่อให้มิดชิด แล้วผูกไว้กับตัวของท่านเถิดเจ้าค่ะ พวกไต้ซือตัวปลอมนั่นจะได้ไม่สงสัยนะเจ้าคะ”
“อืม ทำตามวิธีของเจ้าก็แล้วกัน”
เมื่อทำตามวิธีที่อวี้จิ่นบอกเสร็จเรียบร้อย ฟู่หลงเหยียนไม่ลืมเรื่องช่องลับ เขากระโดดขึ้นไปกดกลไกให้ช่องลับปิดไว้เช่นเดิมอีกครั้งและทั้งสองคนยืนอยู่เงียบ ๆ ราวหนึ่งถ้วยชา ก่อนที่ฟู่หลงเหยียนจะส่งเสียงเรียกเฉินอิ่นให้เปิดประตู
“เฉินอิ่น”
“เชิญนายน้อยขอรับ”
“ข้าต้องขอบคุณไต้ซือทั้งสองที่ต้อนรับเป็นอย่างดี หากงานของข้าสำเร็จลุล่วงตามที่ได้ขอพรไว้ รับรองว่าข้าจะกลับมาตอบแทนให้กับวัดประจำตระกูลอวี่อย่างยิ่งใหญ่แน่นอน” ใช่แล้วเขาจะตอบแทนให้ที่นี่กลายเป็นวัดร้าง
“โอ้ ขอบคุณประสกที่มีจิตเมตตามาทำบุญที่วัดแห่งนี้ งานของท่านต้องประสบความสำเร็จท่านสบายใจเถิด” ไต้ซือตัวปลอมทั้งสอง มองแขกของวัดว่าคนเหล่านี้เป็นคนโง่เขลา
“เช่นนั้นข้าต้องขอตัวกลับก่อน”
เฉินอิ่นเห็นเจ้านายแอบยกยิ้มพร้อมสายตาที่ดุร้าย เขาก็เดาออกได้อย่างง่ายดาย ว่าภารกิจในครั้งนี้ใกล้จะสำเร็จแล้วนั่นเอง
หลังจากลงมาถึงเชิงเขาอวี้จิ่นยังคงขี่เจ้าเสี่ยวเฟิง โดยมีเจ้าของอย่างฟู่หลงเหยียนนั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง ทั้งสามคนขี่ม้าเข้าเมืองเฉียนโจวและมุ่งหน้าไปยังจวนหลังหนึ่ง ที่ยามนี้ใช้เป็นสถานที่คุมขังเจียนฉือลูกน้องของเจ้าเมือง ฟู่หลงเหยียนต้องการให้อวี้จิ่นอยู่ที่จวนหลังนี้กับตงลู่ตอนที่เขาไม่อยู่ เนื่องจากเขามีภารกิจให้อู๋จิ้งไปทำ ระหว่างที่เข้าไปจับกุมเจ้าเมืองเฉียนโจว
“ยู๊วววว!! ตุบ”
“หืม พี่ชายฟู่เหตุใดไม่พาข้าไปส่งที่โรงเตี๊ยมล่ะเจ้าคะ ท่านพาข้ามาที่จวนหลังนี้ทำไมกัน”
“จิ่นเอ๋อร์ที่พี่ต้องพาเจ้ามาที่นี่ เพราะอีกประเดี๋ยวกลางเมืองเฉียนโจวจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น และผู้คนอาจจะทำให้สถานการณ์วุ่นวาย เจ้าอยู่ที่นี่กับตงลู่จะปลอดภัยมากกว่า หากจบเรื่องแล้วอีกสองวันพวกเราจะออกเดินทางกลับเมืองหลวง เจ้าเข้าใจที่พี่พูดหรือไม่” เพราะยามเกิดเหตุวุ่นวายพวกคนชั่ว มักฉวยโอกาสทำเรื่องผิดกฎหมายอยู่เสมอ
“อ้อ เรื่องนี้เองหรือเจ้าคะ ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะพี่ชายฟู่ทำงานอย่างสบายใจเถิด ข้าจะรออยู่ที่นี่กับพี่ตะ เอ๊ย! น้าตงลู่เจ้าค่ะ” พูดผิดแค่นิดเดียวก็ทำหน้าบูดบึ้งเลยเชียว
“อืม เข้าใจก็ดีแล้ว”
แต่คนที่ไม่เข้าใจคงจะเป็นเฉินอิ่นและอีกสองคน ที่เพิ่งเดินมาถึงและทันได้ยินสิ่งที่เจ้านายของตน พูดกับสตรีร่างบางคนนี้ต่างหาก
‘จิ่นเอ๋อร์? พี่? ข้าเป็นน้าของนางตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
“ตงลู่”
“ขอรับนายน้อย”
“พาจิ่นเอ๋อร์เข้าไปอยู่ในจวนดูแลนางให้ดีข้ารู้ว่าเจ้าเข้าใจคำสั่งนี้”
“รับทราบขอรับนายน้อย เชิญคุณหนูอวี้จิ่นเข้าไปพักผ่อนในจวนขอรับ” ลองทำอะไรไม่ถูกใจหญิงสาวให้เจ้านายรู้ดูสิ แล้วจะรู้ว่านรกบนดินที่แท้จริงเป็นอย่างไร
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” อวี้จิ่นจำต้องทำตามที่ฟู่หลงเหยียนบอก เพราะยามนี้นางอยากออกเดินทางไปเมืองหลวงแล้ว
“ส่วนเจ้าอู๋จิ้ง”
“เชิญนายน้อยมีคำสั่งมาเถิดขอรับ”
“เจ้าใช้ป้ายคำสั่งไปที่หน่วยทหารรักษาเมืองเฉียนโจว จากนั้นนำกำลังทหารตามไปล้อมจวนเจ้าเมืองเอาไว้ หากมีใครหลบหนีออกมาจับตัวเอาไว้ทุกคน ถ้ามีใครกล้าต่อสู้ขัดขืนประหารได้ทันที” เนื่องจากฟู่หลงเหยียนมีป้ายทองผู้สำเร็จราชการจากฮ่องเต้ เขาสามารถลงโทษประหารก่อนแล้วค่อยถวายรายงานทีหลังได้
“รับทราบขอรับนายน้อย”
“เฉินอิ่นวันนี้เจ้าคงจะได้ออกแรงมากหน่อย อย่าปล่อยให้พวกมันหลุดมาถึงมือของข้าล่ะ”
“นายน้อยโปรดวางใจใครกล้าขัดขืนย่อมได้รับโทษตายขอรับ”
“อืม ไปกันได้แล้ว”
“ขอรับ”
ฟู่หลงเหยียนไม่ห่วงเรื่องอวี้จิ่นเมื่อมีตงลู่คอยดูแล สิ่งที่เขาคิดคือการทำภารกิจให้สำเร็จโดยเร็ว และพานางกลับเมืองหลวงเพื่อตามหาครอบครัว ซึ่งคาดว่าจิ้งโม่คงใกล้สืบได้ข้อมูลตามที่ต้องการแล้ว
ณ จวนเจ้าเมืองเฉียนโจว
ผู้ครองตำแหน่งอย่างอวี่เซิน กำลังนั่งเอกเขนกท่ามกลางเหล่าอนุคนงามทั้งหลาย ที่ล้อมหน้าล้อมหลัง ป้อนน้ำชาป้อนผลไม้ราคาแพงอย่างเอาใจ ส่วนฮูหยินเอกมิได้สนใจเรื่องนี้ เนื่องจากนางกำลังตรวจสมุดบัญชีที่มีเงินมากมายมหาศาล ที่ตัวนางและบรรดาบุตรชายบุตรสาวจะใช้อย่างไรก็ไม่มีวันหมด แต่ความสุขมักจะอยู่ได้ไม่นาน เมื่อเงินทองได้มาอย่างไม่ถูกต้อง
อู๋จิ้งทำงานได้รวดเร็วเช่นทุกครั้ง หลังจากฟู่หลงเหยียนมาถึงจวนเจ้าเมืองไม่ถึงหนึ่งเค่อ อู๋จิ้งก็นำทหารรักษาเมืองมาสมทบกับเขาที่นี่แล้ว
“ข้าน้อยนายกองจั๋ว คารวะใต้เท้าฟู่ขอรับ”
“นายกองจั๋วรบกวนท่านแบ่งทหารล้อมจวนไว้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนที่เหลือตามเข้าไปด้านใน เพื่อยึดทรัพย์สินทั้งหมดของนักโทษ” ฟู่หลงเหยียนสั่งการกับนายกองจั๋วให้เริ่มลงมือ
“รับทราบขอรับใต้เท้าฟู่ ซวนเหอเจ้าคอยดูแลกำลังทหารที่ล้อมจวน และทำตามคำสั่งของใต้เท้าฟู่อย่าให้เกิดข้อผิดพลาดได้”
“ขอรับ”
เมื่อข้ามธรณีประตูจวนเข้ามา ฟู่หลงเหยียนออกคำสั่งให้ทหารค้นจวนหลังนี้ให้ทั่ว และจับตัวทุกคนมารวมไว้ที่ลานกว้างหน้าเรือนใหญ่
“ค้นให้ทั่วจับทุกคนไม่มีการยกเว้น ยึดทรัพย์สินทั้งหมด อย่าให้เหลือแม้แต่เศษเหรียญอีแปะไว้ที่จวนหลังนี้เด็ดขาด”
“ขอรับ!”
“เฉินอิ่น! อู๋จิ้ง! เปิดทาง” แค่คำพูดสั้น ๆ คนสนิทอย่างเฉินอิ่นย่อมเข้าใจได้ไม่ยาก
“ทราบแล้วขอรับนายน้อย”
เฉินอิ่นกับอู๋จิ้งได้ยินคำสั่งนี้ จึงออกเดินนำหน้าเจ้านาย พบเจอองครักษ์ของอวี่เซินคนไหนก็สังหารคนนั้น จนเสียงการต่อสู้ดังเข้าไปใกล้เรือนใหญ่เรื่อย ๆ อวี่เซินถึงกับตะโกนถามพวกบ่าวไพร่ ว่าเกิดอะไรขึ้นในจวนของตน
อ๊ากกกก!! ฉัวะ เคร้ง เคร้ง ฉัวะ อึก กรี๊ดดด!! ช่วยด้วย!
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!! พวกเจ้าวิ่งหนีอะไรกัน หรือว่าจะมีกลุ่มโจรบุกเข้ามาปล้นจวนของข้างั้นรึ ไม่ได้การแล้วข้าต้องไปซ่อนเงินไว้ให้มากที่สุด ไม่เช่นนั้นพวกโจรต้องขนไปจนไม่เหลือแน่” อวี่เซินยังคงเข้าใจว่า คนที่บุกมาเป็นกลุ่มโจร เนื่องจากมีเสียงการต่อสู้ให้ได้ยิน
“ใต้เท้า ๆ รีบหนีเร็วเข้าคนที่มาฝีมือร้ายกาจนัก พวกข้าต้านไว้ไม่อยู่แล้ว ยังมีนายกองจั๋วที่พากำลังทหารมาสมทบด้วยขอรับ” หวู่ชิงรีบวิ่งมาบอกให้อวี่เซินหลบหนี เพราะลูกน้องของตนไม่สามารถต้านกำลังทหาร รวมถึงเฉินอิ่นและอู๋จิ้งได้
“จะ จะ เจ้าว่าพวกนั้นไม่ใช่โจรแล้วยังมีนายกองจั๋วเฟิงนั่นอีกรึ”
“ถึงวันนี้เจ้าจะมีปีกบินก็หนีไปไหนไม่พ้น นักโทษอวี่เซินเจ้าจงคุกเข่าลง ยอมให้พวกข้าจับตัวเสียดี ๆ หากยังไม่อยากตายตอนนี้” ฟู่หลงเหยียนทันได้ยินหวู่ชิงบอกให้นายของตนรีบหลบหนี
“เจ้าเป็นใคร! ถึงได้กล้าพานายกองจั๋วบุกเข้ามาในจวนของข้า รู้หรือไม่ว่าผู้อยู่เบื้องหลังของข้าเป็นใคร หากคนผู้นั้นรู้ถึงสิ่งที่เจ้าทำในวันนี้ รับรองว่าชีวิตของเจ้ากับครอบครัวจะหายไปในพริบตา” อวี่เซินอ้างบารมีผู้ที่อยู่เบื้องหลังของตนเพื่อข่มขู่ฟู่หลงเหยียน
“หึ ๆ ๆ ฮ่า ๆ ๆ นี่เจ้ากำลังข่มขู่นายน้อยของพวกข้าเช่นนั้นหรือ แม้แต่ฮ่องเต้นายน้อยของพวกข้ายังไม่กลัว เจ้าคิดว่าคนที่อยู่เบื้องหลังของเจ้า นายน้อยของข้าจะกลัวจนตัวสั่นยามที่เจ้าพูดถึงหรืออย่างไร” เฉินอิ่นตอบกลับอย่างไม่ไว้หน้า
“ก็แค่องค์ชายหกกับเสนาบดีกรมขุนนาง จะมีอำนาจเหนือฝ่าบาทได้อย่างไร พวกเจ้ากล้าทำเรื่องผิดกฎหมายร้ายแรงของแคว้นจ้าว ย่อมรู้ดีถึงโทษที่จะได้รับเมื่อถูกทางการจับตัวได้” อู๋จิ้งไม่ยอมน้อยหน้าสหายจึงพูดสำทับขึ้นไปอีก
“หึ จะจับคนต้องมีหลักฐานมิใช่หรือ ว่าข้ากระทำความผิดร้ายแรงตามกฎหมายของแคว้นจ้าว หากมีหลักฐานก็เอาออกมายืนยันสิอย่าพูดปากเปล่าใส่ร้ายผู้อื่น” อวี่เซินยังคงหาทางรอดให้ตนเอง
“อ้อ หลักฐานที่เจ้าพูดถึง ใช่ที่นำไปซ่อนไว้ในช่องลับด้านหลังพระพุทธรูป บนวัดประจำตระกูลอวี่ของเจ้าหรือไม่ ถ้าเจ้าหมายถึงหลักฐานพวกนั้นแล้วละก็ ยามนี้มันอยู่ในมือข้าทั้งหมดแล้ว เช่นสมุดบัญชีเล่มนี้เป็นอย่างไร เท่าที่ข้าอ่านผ่าน ๆ น่าจะเป็นรายได้เมื่อสามเดือนก่อน” ฟู่หลงเหยียนรู้ว่าอวี่เซินจะมาไม้นี้ เขาจึงเตรียมหลักฐานมาด้วยหนึ่งเล่ม
“มะ มะ ไม่จริงเป็นไปไม่ได้!! เจ้าจะรู้ที่ซ่อนนั้นได้อย่างไร แม้แต่คนในครอบครัวของข้ายังไม่มีใครรู้ นั่นต้องเป็นของปลอมแน่เจ้าทำมันขึ้นมาเพื่อใส่ร้ายข้า ใช่! ใช่แล้วในมือเจ้าเป็นหลักฐานปลอม” อวี่เซินไม่ยอมรับความจริง ว่าสมุดบัญชีที่อยู่ในมือฟู่หลงเหเยียนคือของจริง
“ใต้เท้ารีบหนีไปข้าจะขวางพวกมันไว้ท่านรีบไปเร็วเข้า!”
อวี่เซินได้ยินเช่นนั้นก็หันหลังวิ่งหาทางหนีทันที แต่ฟู่หลงเหยียนจะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร
“เฉินอิ่นเจ้าจัดการทาสผู้ซื่อสัตย์คนนี้ให้ข้า ส่วนนักโทษอวี่เซินยกให้อู๋จิ้งไปตามจับตัวกลับมา ข้าให้เวลาแค่หนึ่งจิบชาเท่านั้น”
“ขอรับนายน้อย/ขอรับนายน้อย”
ฟู่หลงเหยียนเดินไปนั่งรอคนสนิท ยังโต๊ะกลางสวนดอกไม้ปล่อยให้คนสนิทได้ทำงานอย่างเต็มที่ ส่วนนายกองจั๋วพาทหารอีกส่วนหนึ่งเข้าไปตรวจค้นในเรือนใหญ่ เผื่อว่าอวี่เซินจะซุกซ่อนสิ่งใดไว้ที่เรือนแห่งนี้
ทางด้านของเฉินอิ่นใช้แค่ไม่กี่กระบวนท่า ก็สังหารหวู่ชิงได้แล้ว ส่วนอวี่เซินวิ่งหนีไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ถูกอู๋จิ้งจับตัวกลับมา ซึ่งตอนนี้ทุกคนในครอบครัวพร้อมกับบ่าวไพร่ทั้งหมด ถูกนำตัวมานั่งรวมกันยังลานกว้างหน้าเรือนใหญ่
“นักโทษอวี่เซินกระทำความผิดร้ายแรงฐาน ลักลอบค้าเกลือเถื่อนไม่ทำหน้าที่เจ้าเมือง ปล่อยปละละเลยความเป็นอยู่ของชาวบ้าน อีกสองวันจะนำตัวนักโทษอวี่เซินและครอบครัว เดินทางกลับเมืองหลวง เพื่อรับการไต่สวนจากกรมอาญา และรอรับโทษจากฮ่องเต้
ส่วนบ่าวไพร่ทั้งหมดเนรเทศไปใช้แรงงานที่ชายแดน รบกวนนายกองจั๋วช่วยจัดการขังนักโทษ รวมถึงส่งบ่าวไพร่
ไปชายแดนด้วย” ฟู่หลงเหยียนประกาศความผิดของอวี่เซิน ต่อหน้าคนในครอบครัวเมื่อทุกคนถูกจับมานั่งรวมกันทั้งหมด“ข้าน้อยจะจัดการให้เรียบร้อยขอใต้เท้าฟู่โปรดวางใจ เกวียนที่ใช้ขนนักโทษเข้าเมืองหลวง และทรัพย์สินที่ยึดได้ทั้งหมด
ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าน้อย กับทหารรักษาเมืองเองขอรับ” ที่ผ่านมาเขาถูกข่มขู่เอาชีวิตคนในครอบครัว จึงไม่สามารถขัดขวางการค้าเกลือเถื่อนของอวี่เซินได้“ขอบใจนายกองจั๋วเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
“ใต้เท้าฟู่ค่อย ๆ เดิน”
ที่ฟู่หลงเหยียนฝากฝังกับนายกองจั๋ว ไม่ใช่เพราะเขาขี้เกียจแต่อย่างใด แค่ต้องการกลับไปดูอวี้จิ่นว่ายามนี้นางกำลังทำสิ่งใด จะดื้อรั้นจนตงลู่ปวดหัวจนตามใจนางหรือไม่มากกว่า แต่ฟู่หลงเหยียนคิดผิดไปมากอวี้จิ่นมิได้ดื้อรั้น นางแค่ทำอาหารหลายอย่างจนตงลู่อยากกินทั้งหมดคนเดียว ซึ่งตงลู่ทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น เพราะอาหารบนโต๊ะยังต้องแบ่งไว้ สำหรับเจ้านายอย่างฟู่หลงเหยียนและสหายของตนอีกสองคน ที่ยามนี้ทั้งสามคนกำลังขี่ม้ากลับมาด้วยความรวดเร็ว
บนโต๊ะอาหารในจวนเช่าของฟู่หลงเหยียน ยามนี้มันเต็มไปด้วยอาหารหน้าตาแปลก ๆ แต่กลิ่นมันกลับหอมชวนให้ท้องร้องอยากกินเสียเดี๋ยวนั้น สาเหตุมาจากอวี้จิ่นไม่อยากนั่งอยู่เฉย ๆ นางจึงลุกไปยังห้องครัว และลงมือทำอาหารจากเนื้อและผักจากในมิติของตนโดยมีข้ออ้างกับตงลู่ว่า ตนเองแอบออกไปซื้อที่ตลาดมา และห้ามตงลู่บอกกับฟู่หลงเหยียนว่านางออกไปด้านนอก แต่ให้บอกว่าเขาคือคนที่ไปซื้อเนื้อกับผักพวกนี้ ตามคำขอของนาง อวี้จิ่นข่มขู่ตงลู่ด้วยอาหารบนโต๊ะนั่น ถ้าไม่ยอมทำตามที่นางบอกเขาจะอดกินมันอย่างแน่นอนคำข่มขู่ของอวี้จิ่นย่อมเป็นผล เมื่อตงลู่อยากชิมอาหารบนโต๊ะ ซึ่งมันไม่เหมือนอาหารที่เขาเคยทานมาก่อน ตงลู่ต้องออกจากห้วงความคิดของตน เมื่อได้ยินเสียงประตูจวนถูกเปิด เขารีบบอกให้อวี้จิ่นไปซ่อนตัวไว้ ส่วนตนเองจับดาบไว้แน่น ออกไปยืนซ่อนตัวอยู่ด้านหลังประตู แต่คนที่มากลับเป็นเจ้านายของตนมิใช่คนร้าย“แอ๊ดดด!! ชิ้ง!! พวกเจ้าปะ นายน้อย!!”“ตงลู่! นี่เจ้าอยากประลองฝีมือกับนายน้อย ถึงกับถือดาบมาดักรออยู่หลังประตูเชียวรึ” อู๋จิ้งเห็นตงลู่ชักดาบเมื่อประตูเรือนด้านหน้าเปิดออกจึงเรียกสหายทันที“ขออภัยขอรับนายน้อย บ่าวคิดว่ามี
จิ้งโม่และมู่ฉีกลับที่พักของพวกตนทันที หลังจากออกมาจากค่ายทหาร ในจดหมายจิ้งโม่เขียนไว้อย่างละเอียด รวมถึงเรื่องที่เจียงหยวนกำลังออกเดินทางไปรอเจ้านาย อาจจะเป็นที่เมืองชางโจว เมื่อภารกิจสำเร็จทั้งสองจึงไปดื่มฉลองกันเล็กน้อยตามประสาบุรุษด้านแม่ทัพใหญ่ที่กลับมาถึงจวนในยามเซิน ได้สั่งให้พ่อบ้านเจียงไปแจ้งที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าว่า เย็นนี้เขาจะพาฮูหยินไปรับสำรับเย็นที่นั่น และบอกให้แม่ครัวเตรียมอาหารไว้มากกว่าเดิมสักหน่อย ก่อนที่ตัวของแม่ทัพใหญ่จะกลับไปชำระล้างร่างกายเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อไปพบฮูหยินที่ไม่ยอมออกจากจวนมาหลายปีมู่เสียสาวใช้คนสนิทของจางฮูหยิน เมื่อเห็นว่านายท่านของจวน มาพบนายหญิงของตนเร็วกว่าทุกวัน จึงจะเข้าไปบอกเจ้านายแต่ว่านางถูกนายท่านเรียกตัวเอาไว้เสียก่อน“มู่เสีย”“คารวะนายท่านเจ้าค่ะ”“เจ้าไม่ต้องไปรายงานน้องหญิง แต่ไปเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ดูชุดที่มีสีสันสดใสสักเล็กน้อยก็แล้วกัน วันนี้ข้าจะพานางไปรับอาหารเย็นที่เรือนท่านแม่” แม่ทัพใหญ่สั่งงานกับมู่เสีย ก่อนจะเข้าไปหาฮูหยินของตน ที่ยังคงมีสีหน้าไร้ชีวิตชีวาเช่นทุกวัน“เอ่อ เจ้าค่ะนายท่าน” มู่เสียทำท่าคล้ายมีคำถาม แต่ก็ต
ตระกูลเจียงสายหลักและสายรองในเมืองหลวง กำลังต่อสู้กันอยู่อย่างเงียบ ๆ มีเพียงคนที่เป็นสหายเท่านั้น ที่รับรู้ว่าสองพี่น้องต่างแม่เกลียดกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ไม่ว่าอย่างไร คนที่เป็นฝ่ายชนะมักจะเป็นแม่ทัพใหญ่อยู่เสมอทางด้านเมืองเฉียนโจว นายกองจั๋วได้เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว เหลือเวลาอีกหนึ่งวัน ฟู่หลงเหยียนจะนำตัวนักโทษออกเดินทางเสียที แต่ในต้นยามเฉินฟู่หลงเหยียนก็ได้รับจดหมายจากจิ้งโม่“นายน้อยขอรับจดหมายจากจิ้งโม่น่าจะเพิ่งมาถึง คงเกี่ยวกับเรื่องของคุณหนูอวี้จิ่นนะขอรับ” เฉินอิ่นนำจดหมายออกจากขานกพิราบ ที่บินมาจากเมืองหลวงมอบให้เจ้านายของเขา“อืม ขอบใจ”ฟู่หลงเหยียนรับจดหมายมาเปิดอ่านที่เขียนมาสั้น ๆ แต่สามารถเข้าใจความหมายที่จิ้งโม่บอกมาเป็นอย่างดี‘ตระกูลเจียง คาดว่าทารกถูกสับเปลี่ยนและเป็นแผนร้ายของตระกูลสายรอง สหายของนายน้อยกำลังเดินทางไปสมทบ’“หึ นางเป็นบุตรสาวของตระกูลนี้จริง ๆ สินะ” เมื่อได้รับการยืนยันจากข่าวของจิ้งโม่ ฟู่หลงเหยียนจึงมั่นใจเต็มส่วน ว่าอวี้จิ่นคือบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ บิดาของสหายของตนอย่างเจียงหยวน“เอ่อ นายน้อยข่าวของจิ้งโม่ว่าอย่างไรบ้างหรือขอรับ เจอตระกูลครอบค
ณ บ้านเช่าราคาถูกเก่า ๆ ในมุมหนึ่งของเมืองใหญ่ มีหญิงสาว วัยยี่สิบปีเธอมีชื่อว่า ‘หยก’ ตั้งแต่เล็กจนโตเธอถูกเลี้ยงดูจาก บ้านเด็กกำพร้า ไม่เคยรู้ที่มาที่ไปว่าเธอเองมาจากไหนพ่อแม่เป็นใคร และเธอไม่สนใจที่จะตามหาอดีตให้เจ็บปวดหากพบเจอความจริง อันโหดร้าย จึงเลือกใช้ชีวิตด้วยการทำงาน หาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่เรียนจบมัธยมปลายหยก พยายามใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากในวันที่เธออายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์มีบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งมันเป็นเรื่องดีและร้ายในคราวเดียวกัน เมื่อลืมตาตื่นหลังผ่านวันเกิด อายุครบสิบแปดปี หยกสามารถมองเห็นชะตาชีวิตของคนที่บังเอิญ มาสัมผัสโดนตัวของเธอ หยกสติแตกไปหลายวันกว่าจะรวบรวมสติกลับมาได้ เธอตัดสินใจเล่าให้เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวอย่างไพลินฟัง และเพื่อนสนิทคนนี้นี่เอง ที่สนับสนุนให้หยกใช้ความสามารถนี้ เพื่อหาเงินจากพวกคนรวยที่เชื่อเรื่องทำนายดวงชะตา“ลินฉันเล่าให้แกฟังแค่คนเดียวแล้ว อย่าเอาไปเล่าให้ใครฟังล่ะ ฉันไว้ใจที่แกเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของฉัน หวังว่าจะไว้ใจแกได้ ในเรื่องนี้นะลิน ฉันไม่อยากถูกคนอื่นมองว่าเป็นคนบ้า” เพราะคนที่ไม
ดวงวิญญาณของหยกถูกพลังงานบางอย่าง ดึงไปอย่างแรง เธอไม่มีโอกาสบอกลาเพื่อนสนิท เพียงคนเดียวอย่างไพลิน ที่ป่านนี้ คงร้องไห้เป็นเผาเต่า เมื่อรู้ว่าเธอตายในกองเพลิงแห่งนั้นด้วยแรงดึงมหาศาล ดวงวิญญาณของหยกเข้าไปอยู่ในร่าง ของเด็กสาวคนหนึ่ง ที่ถูกงูพิษกัดที่ข้อเท้าด้วยร่างกายที่อ่อนแอ จึงไม่อาจหาสมุนไพรแก้พิษได้ทัน จึงต้องตายอย่างน่าอนาจ ซึ่งที่นี่เป็นโลกคู่ขนานของยุคจีนโบราณ ที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนในประวัติศาสตร์ เมื่อหายใจและลืมตาขึ้นรอบ ๆ ตัวของหยกคือป่าแห่งหนึ่งของหมู่บ้านลิ่วหยางหยกจึงพยายามชันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ต้องล้มลงนอนอีกครั้ง พร้อมอาการปวดหัวที่ทำเอาเธอตาพร่ามัวไปหมด ภาพในหัวตอนนี้ เป็นความทรงจำของเจ้าของร่างตั้งแต่เด็ก มีหญิงชราคนหนึ่งเลี้ยงดู มาจนเติบโต แต่มักจะมีสายตาที่เศร้าสร้อย ยามมองมาที่ร่างบาง และที่สำคัญ เจ้าของร่างยังเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาเลี้ยง“ทำไมคำขอของไอ้หยก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงให้ไม่ได้กันมันน่าโมโหนักโอ๊ย! นี่สิ่งศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์ หูหนวกตาบอดกันหรือยังไง หนูขอก่อนตายว่าอยากมีพ่อแม่ที่ร่ำรวย มีเงินมีทองใช้ไม่ขาดมือนะคะ แล้วนี่คืออะไร ชาติก่อ
อวี้จิ่นบอกลาเพื่อนบ้าน หลังจากผ่านงานศพของยายเฒ่าลิ่ว ได้เจ็ดวัน โดยใช้ข้ออ้างว่าจะไปตามหาบุตรหลานของยายเฒ่าลิ่วเท่านั้น เพื่อนบ้านต่างอวยพรให้อวี้จิ่นปลอดภัยและทำภารกิจสำเร็จ บางคน มีมอบอาหารให้นางนำติดตัวไปคนละเล็กละน้อย ทำเอาอวี้จิ่น ถึงกับน้ำตาซึมที่เห็นความมีน้ำใจจากชาวบ้านเพราะหมู่บ้านอยู่ไม่ไกลจากตำบล จึงใช้การเดินเท้าอวี้จิ่นสำรวจสองข้างทางไปเรื่อย ๆ เพื่อเรียนรู้ทุกสิ่งในโลกใบใหม่ แต่ถ้านางต้องการเข้าเมืองย่อมไม่อาจเดินเท้าไปเองได้ ด้วยระยะทางที่ไกลจึงอาศัย การนั่งเกวียนหรือรถม้าเท่านั้น ยังดีที่อวี้จิ่นมีเงินติดตัวมาห้าตำลึงเงิน กับเศษเหรียญอีแปะอีกเล็กน้อย นางถึงได้นั่งเกวียนวัวเข้าเมือง จ้าวโจวรอบสุดท้ายพอดี กว่าจะมาถึงเมืองจ้าวโจวก็เป็นเวลาพลบค่ำอวี้จิ่นอาศัยอารามร้างนอกเมืองเป็นที่หลับนอน เนื่องจากตอนนี้นางต้องประหยัดเงินไว้ก่อน ซึ่งที่นี่มีชาวบ้านที่นำของป่าที่ดูมีราคามาขายในเมือง พวกเขาก็เลือกที่จะพักในอารามร้างเช่นเดียวกัน แต่เป็นข่าวดีสำหรับอวี้จิ่นเมื่อชาวบ้านที่นั่งผิงไฟ เริ่มพูดถึงบุตรสาวของท่านเจ้าเมือง ที่หายออกจากจวน แม้จะส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตามหาก็ยัง
ระหว่างการเดินทางจากเมืองจ้าวโจวใช้เวลาถึงเจ็ดวัน กว่ารถม้าจะพาอวี้จิ่นมาถึงเมืองเฉียนโจว ที่ดูจะคึกคักไม่น้อยมีผู้คนเดิน สวนทาง เข้าออกเมืองกันอย่างคับคั่ง ทั้งพ่อค้าแม่ค้าหรือนักเดินทาง จากต่างแคว้น แต่ถึงบรรยากาศยามกลางวันดูผู้คนพลุกพล่าน ใช้ชีวิตกันอย่างปกติทั่วไปเหมือนเมืองอื่น ๆ หากเมื่อใดใกล้ถึงยามค่ำคืนในเมืองเฉียนโจวกลับเงียบสนิท และเป็นครั้งแรกที่อวี้จิ่นรู้สึกว่า ที่เมืองเฉียนโจวมีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้น“แม่นางน้อยพวกเรามาถึงเมืองเฉียนโจวแล้วขอรับ ข้าคง ส่งท่านถึงแค่หน้าประตูเมืองเท่านั้น หวังว่าท่านจะไม่โกรธนะขอรับ” คนบังคับรถม้าไม่อยากค้างคืนที่นี่ เพราะข่าวลือเรื่องยามค่ำคืนที่น่ากลัว“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านลุง ขอบคุณท่านมากที่มาส่งข้าว่าแต่ทำไมท่านลุง ไม่พักเหนื่อยที่เมืองเฉียนโจวเสียก่อนล่ะเจ้าคะ เดินทางมาตั้งไกลม้าเองก็น่าจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยนะเจ้าคะ” อวี้จิ่นสงสัยกับสายตา ที่ดูหวาดกลัวบางอย่าง“เอ่อ ฮ้าย! หากข้าพูดให้แม่นางน้อยฟังแล้ว ท่านต้องมีสติ ให้ดี ที่ข้าไม่อยากพักที่เมืองเฉียนโจวเป็นเพราะว่ามีข่าวลือเกิดขึ้น ในยามกลางคืนมักจะมีผีสาวนางหนึ่งออกอาละวาด แ
ล่วงเลยเข้าปลายยามห้าย อวี้จิ่นออกจากห้องพักแสร้งเดินเล่น ไปตามถนนในเมืองเฉียนโจว ในมือข้างซ้ายถือลูกผิงกั่วกัดกินไปด้วย ท่ามกลางความเงียบสงัดอย่างที่คนบังคับรถม้าบอก ทำให้รู้สึกวังเวง อยู่ไม่น้อย แต่นั่นไม่ช่วยให้ความอยากรู้ลดลงแต่อย่างใด ด้านบนหลังคายังมีคนกลุ่มหนึ่งคอยตามอวี้จิ่นไปเงียบ ๆหลังจากเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่หลายมุม จนเริ่มจะเมื่อยขาและอวี้จิ่นคิดว่า คืนนี้ไม่น่ามีเหตุการณ์ในข่าวลือเกิดขึ้น จึงคิดจะเดิน กลับโรงเตี๊ยมเพื่อนอนพักเอาแรง ยามที่กำลังคิดเรื่องกลับห้องพัก ก็มีเสียงหัวเราะแทรกเข้ามา ด้วยบรรยากาศที่เงียบเชียบ พอมีเสียงหัวเราะกลับกลายเป็นความรู้สึกน่ากลัว สำหรับคนในเมืองเฉียนโจวยิ่งนัก แต่อวี้จิ่นทำเพียงหยุดเดินและรอคอยอย่างตั้งใจ ว่าผีสาวตนนี้จะทำอะไรกับนาง ถ้าหากนางถามคำถามออกไป มันจะตอบคำถามของนาง ได้หรือไม่“ฮิ ๆ ๆ อาหารของข้า”“โอ๊ะ!! ในที่สุดก็ออกมาจนได้ ขอดูหน้าหน่อยก็แล้วกัน ว่าจะเป็น ผีสาวใบหน้างดงามหรือน่าขยะแขยง”“ฮ่า ๆ ๆ มาเป็นอาหารให้ข้าเสียเถิดเด็กน้อย แผล่บ ๆ”“ขวับ!! สวัสดีตอนดึกเจ้าค่ะ เป็นผีทำไมถึงรู้สึกหิวได้ล่ะ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยน