ยามค่ำคืนที่ผ่านมาเป็นครั้งแรก ที่ฟู่หลงเหยียนไม่ฝันถึงเรื่องราวในอดีต เมื่อลืมตาตื่นขึ้นในเช้าวันใหม่ จึงรู้สึกสดชื่นอย่างที่ไม่เคย
รู้สึกมาหลายปี เขาไม่รู้จะขอบคุณสตรีที่แสนจะธรรมดาไม่เหมือนใคร แม้แต่ชื่อแซ่ก็ลืมถามไถ่กับนางไว้ ก่อนจะจากกันไปเสียได้ ฟู่หลงเหยียนตั้งใจไว้ว่าเช้านี้เขาจะถามชื่อของนางเป็นอย่างแรกทางด้านอวี้จิ่นที่เพิ่งตื่นนอนในต้นยามเฉิน พอตั้งสติได้ก็เกือบ
หัวทิ่มหัวตำลงจากเตียงด้วยความเร่งรีบ เมื่อนางนึกขึ้นได้ว่าใกล้ถึงเวลา ที่ฟู่หลงเหยียนจะมารับนาง เพื่อไปเก็บหลักฐานการกระทำความผิด ของเจ้าเมืองเฉียนโจว อวี้จิ่นรีบล้างหน้าบ้วนปากอาบน้ำอย่างรวดเร็ว ผมเผ้าทำเพียงเก็บรวบมัดยกเป็นหางม้าเท่านั้นเมื่อเดินออกมาด้านหน้าโรงเตี๊ยม บุรุษในชุดคลุมสีดำสองคน
มายืนรอนางอยู่ก่อนแล้วพร้อมม้าอีกสองตัว ทำเอาอวี้จิ่นละอายใจเล็กน้อยได้แต่กล่าวขอโทษ ที่นางตื่นสายทำให้ทั้งสองคนต้องรอนาน“อุ๊ย! แหะ ๆ ๆ ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ปล่อยให้พวกท่านรอนานเช่นนี้
ถ้าวันไหนข้าเข้านอนดึกมักจะตื่นสายเช่นนี้ประจำเจ้าค่ะ”“ไม่เป็นไร พวกข้าสองคนเพิ่งจะมาถึงไม่นานเช่นกัน เจ้าพอ
จะบอกที่ซ่อนของหลักฐานทั้งหมดได้ไหม ว่ามันถูกซ่อนไว้ที่ใด” ฟู่หลงเหยียนไม่ถือสาถึงจะนานเขาก็รอนางได้“ท่านเจ้าเมืองให้คนสนิทนำหลักฐานทั้งหมดนั้น ไปซ่อนไว้
ใต้ฐานพระพุทธรูปในวัดประจำตระกูลอวี่ บนภูเขาซานลู่ที่ตั้งอยู่ นอกเมืองไปประมาณห้าสิบลี้เจ้าค่ะ” อวี้จิ่นประมาณระยะทางตามภาพ ที่เห็นเพราะวัดนี้ไม่น่าจะอยู่ไกลมากนัก“นายน้อยบ่าวจำได้ว่าวัดแห่งนั้น เป็นทางผ่านก่อนที่จะถึง
เมืองเฉียนโจว และที่นั่นยังมีผู้คนไปทำบุญ กราบไหว้ขอพรมากพอสมควรขอรับ” เฉินอิ่นจำวัดนี้ได้เพราะเขาสงสัย ทำไมถึงสร้างวัดอยู่ติดเส้นทางหลักเช่นนี้“อืม นี่ก็ไม่เช้าแล้วพวกเรารีบไปกันเถิด หากได้หลักฐานมาเร็วเท่าไหร่จะได้จับตัวขุนนางที่กระทำผิด และเดินทางกลับเมืองหลวง
และเจ้า....เจ้าชื่อแซ่ว่าอันใดตัวข้าฟู่หลงเหยียน ส่วนคนสนิทของข้า ชื่อเฉินอิ่นอีกสองคนที่เหลือไว้ค่อยทำความรู้จักทีหลังเถิด” ฟู่หลงเหยียนไม่ลืมถามชื่อแซ่ของอวี้จิ่น ตามที่ตนได้ตั้งใจเอาไว้ หลังจากมาส่งนางที่โรงเตี๊ยม“อ่อ ข้าไม่มีแซ่ถูกเลี้ยงดูโดยหมอตำแยท่านหนึ่ง นางตั้งชื่อให้ข้าว่าอวี้จิ่น ท่านก็เรียกชื่อนี้เถิดเจ้าค่ะคุณชายฟู่” เพราะนางไม่มีแซ่จริง ๆ แม้แต่แซ่ของยายเฒ่าลิ่วนางยังไม่รู้
“เอาล่ะอวี้จิ่นพวกเรารีบไปที่วัดนั่นกันเถิด หากสายกว่านี้
แดดจะแรงเสียก่อน” ฟู่หลงเหยียนชักชวนอวี้จิ่นที่ทำหน้าเหมือนมีคำถาม“ข้าก็อยากไปให้เร็วอยู่นะเจ้าคะ แต่ว่ามีม้าแค่สองตัวแล้วมีคนสามคนจะไปกันอย่างไรหรือจะ...ว้ายยยย!!” อวี้จิ่นยังพูดไม่ทันจบ
ร่างของนางก็ถูกมือหนายกขึ้นไปนั่งบนหลังม้าเป็นที่เรียบร้อย“พรึ่บ! หมับ! ทีนี้ก็ไปได้แล้วสินะ หึ ๆ”
ฟู่หลงเหยียนไม่ฟังคำถามของอวี้จิ่นให้จบ เขาก็เดาได้จึงรีบพานางขึ้นนั่งบนหลังเจ้าเสี่ยวเฟิง พร้อมกับตัวของฟู่หลงเหยียน ที่นั่ง
ซ้อนด้านหลังอวี้จิ่นไว้ส่วนมือของเขาก็กำเชือกไว้แน่น รอออกคำสั่ง ให้เสี่ยวเฟิงพุ่งทะยานไปตามถนนมุ่งหน้าออกนอกเมือง“กะ กะ ก็ไปได้เจ้าค่ะ ข้าแค่ตกใจนิดหน่อยแบบเพิ่งเคยขี่ม้า
เป็นครั้งแรกเจ้าค่ะ ไม่ได้กลัวนะเจ้าคะแค่รู้สึกตื่นเต้นเท่านั้นเอง แฮร่” ที่พูดโดยรวมความหมายของมันคือนางกลัวตก“หืม ไม่กลัวก็ไม่กลัวจับไว้แน่น ๆ ก็แล้วกัน ย๊า!!”
ฟู่หลงเหยียนแอบขำเล็กน้อยกับการแก้ตัวของอวี้จิ่น นางบอกว่าไม่กลัวแต่กลับนั่งตัวแข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด เขาจำต้องลดความเร็ว
ของเสี่ยวเฟิงลง ด้วยไม่อยากให้อวี้จิ่นกลัวการขี่ม้า ทั้งสามคนเดินทาง มามาถึงเชิงเขาซานลู่ตอนต้นยามซื่อ ซึ่งเริ่มมีผู้คนเดินขึ้นไปทำบุญ บ้างประปราย ฟู่หลงเหยียนจึงอยากลงมือให้เร็วที่สุดยามที่มีคนน้อยเช่นนี้ อวี้จิ่นที่ยืนนิ่งก้าวขาไม่ออกเรียกอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน เพราะพวกเขา จะเดินขึ้นไปโดยไม่มีท่าทีจะมาทำบุญไม่ได้“เดี๋ยวเจ้าค่ะคุณชายฟู่”
“หืม มีอะไรหรืออวี้จิ่นหรือว่าเจ้ายังไม่หายกลัวการขี่ม้า”
เขาหยุดเท้าเมื่อถูกอวี้จิ่นเรียกและคิดว่า นางยังไม่หายกลัวจึงเย้าแหย่ นางออกไป“ชิ ไม่ใช่เรื่องขี่ม้าเจ้าค่ะ แต่พวกเราจะเดินขึ้นตรง ๆ เช่นนี้ไม่ได้
นะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นจะถูกพวกที่เป็นนักบวชบนวัดนั่นสงสัยเอาได้เจ้าค่ะ ท่านช่วยซื้อพวกดอกไม้จากชาวบ้าน ที่นำมาวางขายติดไม้ติดมือ ไปสักหน่อยเถิด”“วิธีของคุณหนูอวี้จิ่นก็ดีนะขอรับนายน้อย พวกเราจะได้ไม่ดู
แปลกแยกกับผู้คนที่มาทำบุญ แค่สวมเสื้อคลุมมาเช่นนี้ก็ดูน่าแปลก พออยู่แล้วนะขอรับ” เฉินอิ่นเห็นด้วยกับอวี้จิ่น“อืม งั้นเจ้าไปซื้อดอกไม้จากชาวบ้านมาหลาย ๆ ช่อก็แล้วกัน
แล้วเจ้าก็เป็นคนถือเดินตามข้ากับอวี้จิ่นขึ้นไปด้านบน เข้าใจไหมเฉินอิ่น” ฟู่หลงเหยียนสั่งเฉินอิ่น โดยไม่มองสีหน้าของคนสนิทที่กำลังตกตะลึง‘นี่นายน้อยไม่คัดค้านเลยรึ ทั้งที่เกลียดดอกไม้มากถึงเพียงนั้น หรือว่าจะเป็นคุณหนูอวี้จิ่น ที่จะทำให้นายน้อยอยากมีความรักอีกครั้ง’
“เอ่อ คุณชายฟู่ทำไมพี่เฉินอิ่นถึงยืนนิ่งอยู่กับที่ล่ะเจ้าคะ” อวี้จิ่นได้ยินฟู่หลงเหยียนสั่งคนสนิทที่เห็นด้วยกับนาง แต่คนสนิทดันไม่ยอม
ขยับตัวทำตามคำสั่ง“หืม เจ้าเรียกข้าว่าคุณชายฟู่ แต่กับเฉินอิ่นกลับเรียกว่าพี่งั้นหรือ ทั้งที่ข้าอายุน้อยกว่าเฉินอิ่นถึงห้าปีเชียวนะอวี้จิ่น คนที่เจ้าควรเรียกว่าพี่คือข้า ส่วนเฉินอิ่นเจ้าต้องเรียกเขาว่าน้าเข้าใจไหม” ฟู่หลงเหยียนไม่สนใจคำถามของอวี้จิ่น แต่เขากลับไม่พอใจเรื่องที่นาง เรียกสรรพนาม
ของตนเองอย่างห่างเหิน และกับเฉินอิ่นนางดันเรียกอย่างสนิท“ห๊ะ!!/ห๊า!!”
เฉินอิ่นที่ยืนนิ่งกับความคิดของตนเองอยู่นั้น พอได้ยินเจ้านายบอกให้อวี้จิ่นเรียกตนว่าน้า และต้องเรียกเจ้านายว่าพี่ นี่ยิ่งทำให้เฉินอิ่น
ตกใจยิ่งกว่าการให้เขาไปซื้อดอกไม้เสียอีก แม้แต่อดีตคนรักของเจ้านายยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้คำนี้ ไม่ต่างกับอวี้จิ่นที่งงกับคำพูดของคนร่างสูงเพราะเสียงที่พูดออกมา นางรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจและพอจะอธิบาย เขาก็สะบัดหน้าเดินขึ้นบันไดไปเสียทื่อ ๆ“เอ่อ ตะ ตะ แต่ว่าพี่เฉินอิ่นอายุน่าจะไม่มากนะทะ...”
“หึ พรึ่บ!!”
“อะ อ้าว เดี๋ยวสิเจ้าคะ!! ข้ายังพูดไม่จบทำไมต้องเดินหนีด้วยเล่า ทำเป็นคนแก่หัวล้านขี้น้อยใจไปได้ ฮึ่ย!”
“คะ คะ คุณหนูอวี้จิ่น ข้าว่าท่านทำตามที่นายน้อยบอกเถิดนะ
ถ้าได้เจอตงลู่กับอู๋จิ้ง ท่านก็เรียกสองคนนั้นว่าน้าด้วยเช่นกัน ถือว่าเมตตาสงสารพวกข้าสามคนสักครั้งนะคุณหนูอวี้จิ่น”“อะไรกันทั้งนายทั้งบ่าวช่างเถอะ ๆ ท่านรีบไปซื้อดอกไม้จะดีกว่า โน่นเจ้านายท่านเดินไปได้จะครึ่งทางอยู่แล้วนะ ขอบอกไว้ก่อนว่า
ข้าไม่มีทางวิ่งตามขึ้นไปเด็ดขาด เพราะมันจะเหนื่อยเกินไป ถ้าเจ้านาย ของท่านอยากขึ้นไปให้ถึงโดยเร็ว ก็เดินกลับลงมาอุ้มข้าก็แล้วกัน เชอะ” อวี้จิ่นลืมไปว่าในโลกนี้คนที่มีวรยุทธ์ มักจะมีประสาทสัมผัสที่ไว ฉะนั้นที่นางพูดกับเฉินอิ่นฟู่หลงเหยียนได้ยินมันทั้งหมด“งั้นคุณหนูเดินไปก่อนเถิด ข้าจะไปซื้อดอกไม้แล้วจะรีบตามไปขอรับ” เฉินอิ่นไม่อยากถูกทำโทษ จึงวิ่งไปซื้อดอกไม้อย่างรวดเร็ว
อวี้จิ่นที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินขึ้นบันได และบ่นพึมพำเงียบ ๆ
จึงไม่เห็นว่าด้านหน้าของตนอีกไม่กี่ขั้นมีคนยืนรอนางอยู่“ฮึ ตนเองฐานะสูงส่งเป็นเจ้านาย ข้าเรียกคุณชายกลับไม่พอใจ แต่อยากให้เรียกพี่แล้วให้เรียกคนสนิทว่าน้าเนี่ยนะ คนเขาไม่ได้อายุมากถึงขั้นต้องเรียกว่าน้าเสียหน่อย” อวี้จิ่นเดินไปบ่นไปเอาแต่จ้องมองขั้นบันได
“เจ้ากำลังบ่นถึงใครเช่นนั้นรึ”
“ก็บ่นให้คนขี้น้อยใจอย่างไร อายุก็ยังน้อยไม่รู้จะเอาแต่ใจตนเองทำไมนัก เอ๋? เฮ้ยย!! ละ ละ แล้วท่าน เดินย้อนกลับมาทำไมเจ้าคะ”
อวี้จิ่นตอบพร้อมเงยหน้าจนเกือบหยุดไม่ทัน ก่อนจะเปลี่ยนคำตอบแทบไม่ทัน เมื่อคนที่นางตอบคำถาม กลายเป็นคนที่นางกำลังบ่นอยู่พอดี“ข้าเดินย้อนกลับมา เพราะได้ยินใครบางคนพูดว่า ถ้าอยากขึ้นไปให้ถึงด้านบนวัดโดยเร็ว ข้าต้องอุ้มนางเท่านั้น เนื่องจากนางขี้เกียจวิ่งตามมันจะทำให้นางเหน็ดเหนื่อยเกินไป ซึ่งข้าก็คิดว่าเป็นความคิดที่เข้าท่า
ไม่น้อย ดังนั้นถึงได้มาหยุดรออยู่ตรงนี้อย่างไรเล่า หึ ๆ ๆ” ฟู่หลงเหยียน ตอบอวี้จิ่นด้วยแววตาเจ้าเล่ห์“คระ คระ ใครกันที่พูดแบบนั้นไม่น่ารักเลยนะเจ้าคะ เดินแค่นี้
ก็บ่นกลัวจะเหนื่อยน่าตียิ่งนักเจ้าค่ะ ข้าว่าพวกเรารีบเดินต่อเถิด หากชักช้าคนจะมาที่นี่มากกว่าเดิมนะเจ้าคะ” พอรู้ว่าฟู่หลงเหยียน ย้อนคำพูดของตน อวี้จิ่นทำทีสงสัยและบอกว่าคนผู้นั่นควรถูกลงโทษพร้อมกับก้าวเท้าขึ้นบันได“อืม เจ้าพูดถูกคนผู้นั้นน่าตีจริง ๆ แต่ข้าทำไม่ลง ครั้งนี้จะยกโทษให้ก็แล้วกัน” ฟู่หลงเหยียนนึกภาพอวี้จิ่นถูกตีก็รับไม่ได้แล้ว
“ข้าคิดไว้อยู่แล้วว่าท่านต้องเป็นคนมีใจเมตตาเจ้าคะ..ว้ายย!!”
“แบบนี้เจ้าจะได้ไม่เหนื่อยและพวกเรา คงถึงวัดเร็วกว่าเดิมมากจริงไหม รีบเดินเข้าเฉินอิ่นเมื่อกลับเข้าเมืองข้าจะไปจับตัวเจ้าเมืองทันที” ฟู่หลงเหยียนช้อนร่างบางขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนอย่างง่ายดาย เขาคิดว่า
อุ้มนางเดินเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะอวี้จิ่นมีน้ำหนักตัวไม่เยอะเลยสักนิด จนฟู่หลงเหยียนเริ่มคิดหาวิธีบำรุงร่างกายของนางในใจเงียบ ๆ“ขอรับนายน้อย”
เฉินอิ่นไม่กล้าแสดงสีหน้าดีอกดีใจ เรื่องของเจ้านายมากนัก เพราะนั่นเป็นเรื่องส่วนตัว แม้สถานการณ์ยามนี้ถือว่าเริ่มต้นได้ดี
แต่ถ้าวันหนึ่งเจ้านายของตน ได้พบกับอดีตคนรักอย่างพระชายารองเซียง จะยังรู้สึกเจ็บปวดและกลายเป็นคนเงียบขรึมเย็นชา เอาแต่เคร่งเครียด กับงานเช่นที่ผ่านมาอีกหรือไม่อวี้จิ่นที่ถูกบุรุษร่างสูงอุ้มเดินขึ้นบันได ก็เอามือปิดหน้าตนไว้ เพราะมีคนที่เดินอยู่คอยมองมาที่นางตลอดเวลา ที่สำคัญนางไม่กล้า
มองหน้าคนที่อุ้มนางอยู่ แต่อวี้จิ่นกำลังถามและตอบตนเองอยู่ ในความคิด ว่าเหตุใดนางถึงได้รู้สึกอุ่นใจ ยามมีฟู่หลงเหยียนอยู่ใกล้ ๆ จนนางนึกถึงเรื่องที่เคยขอกับเทพจันทราเอาไว้ขึ้นมาได้‘อย่าบอกนะว่าเนื้อคู่ที่เคยขอกับท่านเทพไว้ จะเป็นคุณชายฟู่ คนนี้ ไม่เร็วไปหน่อยหรือท่านเทพ ข้าเพิ่งมาอยู่ในร่างของอวี้จิ่นไม่ถึง หนึ่งเดือน ท่านก็ส่งเนื้อคู่มาให้นี่ร่างกายนี้ยังผอมแห้งแรงน้อยอยู่เลยนะ อายุก็เพิ่งจะสิบห้าย่างสิบหกเอง ที่สำคัญข้ายังไม่ได้ดูแลหน้าตาให้งดงาม ท่านเทพท่านไม่คิดจะให้ข้าได้เปิดหูเปิดตา ดูบุรุษรูปงามคนอื่นบ้าง หรืออย่างไร’
‘ฮัดเช้ย!! บ๊ะ นางหนูคนนี้เนื้อคู่ของเจ้า ข้าย่อมคัดเลือกให้อย่างดี ยังจะบ่นอยู่อีกบุรุษอื่นหน้าตาหล่อเหลาแต่นิสัยต่ำช้า ข้าจะให้เป็นเนื้อคู่ของเจ้าได้อย่างไรเล่า แม้คนนี้จะเหี้ยมโหดสักหน่อย แต่มีทุกข้อที่เจ้าขอ กับข้าเชียวนะนางหนู ยอมรับความจริงเถิดอย่าบ่นข้าอีกล่ะ ฮ่า ๆ ๆ’
“อวี้จิ่น? อวี้จิ่น!”
“เจ้าคะ! อยู่ใกล้ถึงเพียงนี้ท่านจะเสียงดังทำไมเล่า”
“ที่ข้าเรียกเพราะพวกเราขึ้นมาถึงด้านบนวัดกันแล้วน่ะสิ แต่เจ้าดูกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ ข้าจำเป็นต้องเรียกเสียงดังเล็กน้อย”
“อ่อ งั้นท่านก็วางข้าลงได้แล้วกระมังเจ้าคะ จะได้เดินไปยังห้อง
ที่เจ้าเมืองใช้ซ่อนหลักฐานกันเสียที”“อืม เจ้าเดินนำทางไปเถิด”
อวี้จิ่นพาฟู่หลงเหยียนเดินอ้อมไปอีกด้านของภูเขา ซึ่งที่นั่น
จะมีห้องแยกออกมาเป็นส่วนตัว สำหรับพวกเศรษฐีหรือคนร่ำรวย ที่ชอบมาทำบุญเอาหน้าให้ชาวบ้านชื่นชมความมีน้ำใจ แต่หารู้ไม่ว่านักบวชในวัดแห่งนี้ล้วนเป็นนักบวชปลอมทั้งสิ้นเมื่อทั้งสามคนเดินมาถึงห้องส่วนตัวขนาดกลาง มีนักบวชคอยเฝ้าเอาไว้สองคน ก่อนจะเข้าไปได้ย่อมมีค่าผ่านประตู เรื่องนี้อวี้จิ่นย่อมเห็นจากภาพนิมิตมาแล้วจึงอาสาจัดการเอง“เดี๋ยวก่อนประสกทั้งสาม หากต้องการใช้ห้องสวนมนต์แห่งนี้ พวกท่านทราบถึงกฎเกณฑ์ของทางวัดแล้วหรือไม่”“คารวะไต้ซือเจ้าค่ะ คุณชายของข้าเพิ่งมาจากต่างเมือง เพื่อมาขอพรเกี่ยวกับการทำงานครั้งใหญ่ เห็นว่าที่วัดของตระกูลอวี่มีผู้คนเคารพนับถืออย่างมาก จึงอยากมากราบไหว้สักครั้ง ส่วนเรื่องกฎของทางวัด ข้าทราบเป็นอย่างดีว่าต้องทำอย่างไร ของในตะกร้าใบนี้หวังว่าไต้ซือจะอนุญาตให้คุณชายของข้า ได้เข้าไปสวดมนต์เป็นการส่วนตัวนะเจ้าคะ” พวกเห็นแก่เงินจะไม่รับไว้ได้อย่างไร ในตะกร้านั่นมีก้อนตำลึงเงินอยู่หลายก้อนเชียวนะ“อืม เมื่อประสกตัวน้อยรู้จักทำตามกฎของวัด คุณชายของท่านย่อมสามารถเข้าไปสวดมนต์ด้านในได้ เชิญ” ไต้ซือตัวปลอมมัวแต่สนใจก้อนตำลึงในถุงผ้าใบเล็กในตะกร้าจึงไม่เอะใจคำพูดของอวี้จิ่นเท่าใดนัก“ขอบคุณไต้ซือเจ้าค่ะ ที่เห็นใจชาวบ้านอย่างเรา เชิญคุณชายเข้าไปสวดมนต์เถิด งานที่ท่านหวังไว้จะได้สำเร็จโดยเร็วนะเจ้าคะ” อวี้จิ่นหันไปเชื้อเชิญฟู่หลงเหย
บนโต๊ะอาหารในจวนเช่าของฟู่หลงเหยียน ยามนี้มันเต็มไปด้วยอาหารหน้าตาแปลก ๆ แต่กลิ่นมันกลับหอมชวนให้ท้องร้องอยากกินเสียเดี๋ยวนั้น สาเหตุมาจากอวี้จิ่นไม่อยากนั่งอยู่เฉย ๆ นางจึงลุกไปยังห้องครัว และลงมือทำอาหารจากเนื้อและผักจากในมิติของตนโดยมีข้ออ้างกับตงลู่ว่า ตนเองแอบออกไปซื้อที่ตลาดมา และห้ามตงลู่บอกกับฟู่หลงเหยียนว่านางออกไปด้านนอก แต่ให้บอกว่าเขาคือคนที่ไปซื้อเนื้อกับผักพวกนี้ ตามคำขอของนาง อวี้จิ่นข่มขู่ตงลู่ด้วยอาหารบนโต๊ะนั่น ถ้าไม่ยอมทำตามที่นางบอกเขาจะอดกินมันอย่างแน่นอนคำข่มขู่ของอวี้จิ่นย่อมเป็นผล เมื่อตงลู่อยากชิมอาหารบนโต๊ะ ซึ่งมันไม่เหมือนอาหารที่เขาเคยทานมาก่อน ตงลู่ต้องออกจากห้วงความคิดของตน เมื่อได้ยินเสียงประตูจวนถูกเปิด เขารีบบอกให้อวี้จิ่นไปซ่อนตัวไว้ ส่วนตนเองจับดาบไว้แน่น ออกไปยืนซ่อนตัวอยู่ด้านหลังประตู แต่คนที่มากลับเป็นเจ้านายของตนมิใช่คนร้าย“แอ๊ดดด!! ชิ้ง!! พวกเจ้าปะ นายน้อย!!”“ตงลู่! นี่เจ้าอยากประลองฝีมือกับนายน้อย ถึงกับถือดาบมาดักรออยู่หลังประตูเชียวรึ” อู๋จิ้งเห็นตงลู่ชักดาบเมื่อประตูเรือนด้านหน้าเปิดออกจึงเรียกสหายทันที“ขออภัยขอรับนายน้อย บ่าวคิดว่ามี
จิ้งโม่และมู่ฉีกลับที่พักของพวกตนทันที หลังจากออกมาจากค่ายทหาร ในจดหมายจิ้งโม่เขียนไว้อย่างละเอียด รวมถึงเรื่องที่เจียงหยวนกำลังออกเดินทางไปรอเจ้านาย อาจจะเป็นที่เมืองชางโจว เมื่อภารกิจสำเร็จทั้งสองจึงไปดื่มฉลองกันเล็กน้อยตามประสาบุรุษด้านแม่ทัพใหญ่ที่กลับมาถึงจวนในยามเซิน ได้สั่งให้พ่อบ้านเจียงไปแจ้งที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าว่า เย็นนี้เขาจะพาฮูหยินไปรับสำรับเย็นที่นั่น และบอกให้แม่ครัวเตรียมอาหารไว้มากกว่าเดิมสักหน่อย ก่อนที่ตัวของแม่ทัพใหญ่จะกลับไปชำระล้างร่างกายเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อไปพบฮูหยินที่ไม่ยอมออกจากจวนมาหลายปีมู่เสียสาวใช้คนสนิทของจางฮูหยิน เมื่อเห็นว่านายท่านของจวน มาพบนายหญิงของตนเร็วกว่าทุกวัน จึงจะเข้าไปบอกเจ้านายแต่ว่านางถูกนายท่านเรียกตัวเอาไว้เสียก่อน“มู่เสีย”“คารวะนายท่านเจ้าค่ะ”“เจ้าไม่ต้องไปรายงานน้องหญิง แต่ไปเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ดูชุดที่มีสีสันสดใสสักเล็กน้อยก็แล้วกัน วันนี้ข้าจะพานางไปรับอาหารเย็นที่เรือนท่านแม่” แม่ทัพใหญ่สั่งงานกับมู่เสีย ก่อนจะเข้าไปหาฮูหยินของตน ที่ยังคงมีสีหน้าไร้ชีวิตชีวาเช่นทุกวัน“เอ่อ เจ้าค่ะนายท่าน” มู่เสียทำท่าคล้ายมีคำถาม แต่ก็ต
ตระกูลเจียงสายหลักและสายรองในเมืองหลวง กำลังต่อสู้กันอยู่อย่างเงียบ ๆ มีเพียงคนที่เป็นสหายเท่านั้น ที่รับรู้ว่าสองพี่น้องต่างแม่เกลียดกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ไม่ว่าอย่างไร คนที่เป็นฝ่ายชนะมักจะเป็นแม่ทัพใหญ่อยู่เสมอทางด้านเมืองเฉียนโจว นายกองจั๋วได้เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว เหลือเวลาอีกหนึ่งวัน ฟู่หลงเหยียนจะนำตัวนักโทษออกเดินทางเสียที แต่ในต้นยามเฉินฟู่หลงเหยียนก็ได้รับจดหมายจากจิ้งโม่“นายน้อยขอรับจดหมายจากจิ้งโม่น่าจะเพิ่งมาถึง คงเกี่ยวกับเรื่องของคุณหนูอวี้จิ่นนะขอรับ” เฉินอิ่นนำจดหมายออกจากขานกพิราบ ที่บินมาจากเมืองหลวงมอบให้เจ้านายของเขา“อืม ขอบใจ”ฟู่หลงเหยียนรับจดหมายมาเปิดอ่านที่เขียนมาสั้น ๆ แต่สามารถเข้าใจความหมายที่จิ้งโม่บอกมาเป็นอย่างดี‘ตระกูลเจียง คาดว่าทารกถูกสับเปลี่ยนและเป็นแผนร้ายของตระกูลสายรอง สหายของนายน้อยกำลังเดินทางไปสมทบ’“หึ นางเป็นบุตรสาวของตระกูลนี้จริง ๆ สินะ” เมื่อได้รับการยืนยันจากข่าวของจิ้งโม่ ฟู่หลงเหยียนจึงมั่นใจเต็มส่วน ว่าอวี้จิ่นคือบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ บิดาของสหายของตนอย่างเจียงหยวน“เอ่อ นายน้อยข่าวของจิ้งโม่ว่าอย่างไรบ้างหรือขอรับ เจอตระกูลครอบค
ณ บ้านเช่าราคาถูกเก่า ๆ ในมุมหนึ่งของเมืองใหญ่ มีหญิงสาว วัยยี่สิบปีเธอมีชื่อว่า ‘หยก’ ตั้งแต่เล็กจนโตเธอถูกเลี้ยงดูจาก บ้านเด็กกำพร้า ไม่เคยรู้ที่มาที่ไปว่าเธอเองมาจากไหนพ่อแม่เป็นใคร และเธอไม่สนใจที่จะตามหาอดีตให้เจ็บปวดหากพบเจอความจริง อันโหดร้าย จึงเลือกใช้ชีวิตด้วยการทำงาน หาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่เรียนจบมัธยมปลายหยก พยายามใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากในวันที่เธออายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์มีบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งมันเป็นเรื่องดีและร้ายในคราวเดียวกัน เมื่อลืมตาตื่นหลังผ่านวันเกิด อายุครบสิบแปดปี หยกสามารถมองเห็นชะตาชีวิตของคนที่บังเอิญ มาสัมผัสโดนตัวของเธอ หยกสติแตกไปหลายวันกว่าจะรวบรวมสติกลับมาได้ เธอตัดสินใจเล่าให้เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวอย่างไพลินฟัง และเพื่อนสนิทคนนี้นี่เอง ที่สนับสนุนให้หยกใช้ความสามารถนี้ เพื่อหาเงินจากพวกคนรวยที่เชื่อเรื่องทำนายดวงชะตา“ลินฉันเล่าให้แกฟังแค่คนเดียวแล้ว อย่าเอาไปเล่าให้ใครฟังล่ะ ฉันไว้ใจที่แกเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของฉัน หวังว่าจะไว้ใจแกได้ ในเรื่องนี้นะลิน ฉันไม่อยากถูกคนอื่นมองว่าเป็นคนบ้า” เพราะคนที่ไม
ดวงวิญญาณของหยกถูกพลังงานบางอย่าง ดึงไปอย่างแรง เธอไม่มีโอกาสบอกลาเพื่อนสนิท เพียงคนเดียวอย่างไพลิน ที่ป่านนี้ คงร้องไห้เป็นเผาเต่า เมื่อรู้ว่าเธอตายในกองเพลิงแห่งนั้นด้วยแรงดึงมหาศาล ดวงวิญญาณของหยกเข้าไปอยู่ในร่าง ของเด็กสาวคนหนึ่ง ที่ถูกงูพิษกัดที่ข้อเท้าด้วยร่างกายที่อ่อนแอ จึงไม่อาจหาสมุนไพรแก้พิษได้ทัน จึงต้องตายอย่างน่าอนาจ ซึ่งที่นี่เป็นโลกคู่ขนานของยุคจีนโบราณ ที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนในประวัติศาสตร์ เมื่อหายใจและลืมตาขึ้นรอบ ๆ ตัวของหยกคือป่าแห่งหนึ่งของหมู่บ้านลิ่วหยางหยกจึงพยายามชันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ต้องล้มลงนอนอีกครั้ง พร้อมอาการปวดหัวที่ทำเอาเธอตาพร่ามัวไปหมด ภาพในหัวตอนนี้ เป็นความทรงจำของเจ้าของร่างตั้งแต่เด็ก มีหญิงชราคนหนึ่งเลี้ยงดู มาจนเติบโต แต่มักจะมีสายตาที่เศร้าสร้อย ยามมองมาที่ร่างบาง และที่สำคัญ เจ้าของร่างยังเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาเลี้ยง“ทำไมคำขอของไอ้หยก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงให้ไม่ได้กันมันน่าโมโหนักโอ๊ย! นี่สิ่งศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์ หูหนวกตาบอดกันหรือยังไง หนูขอก่อนตายว่าอยากมีพ่อแม่ที่ร่ำรวย มีเงินมีทองใช้ไม่ขาดมือนะคะ แล้วนี่คืออะไร ชาติก่อ
อวี้จิ่นบอกลาเพื่อนบ้าน หลังจากผ่านงานศพของยายเฒ่าลิ่ว ได้เจ็ดวัน โดยใช้ข้ออ้างว่าจะไปตามหาบุตรหลานของยายเฒ่าลิ่วเท่านั้น เพื่อนบ้านต่างอวยพรให้อวี้จิ่นปลอดภัยและทำภารกิจสำเร็จ บางคน มีมอบอาหารให้นางนำติดตัวไปคนละเล็กละน้อย ทำเอาอวี้จิ่น ถึงกับน้ำตาซึมที่เห็นความมีน้ำใจจากชาวบ้านเพราะหมู่บ้านอยู่ไม่ไกลจากตำบล จึงใช้การเดินเท้าอวี้จิ่นสำรวจสองข้างทางไปเรื่อย ๆ เพื่อเรียนรู้ทุกสิ่งในโลกใบใหม่ แต่ถ้านางต้องการเข้าเมืองย่อมไม่อาจเดินเท้าไปเองได้ ด้วยระยะทางที่ไกลจึงอาศัย การนั่งเกวียนหรือรถม้าเท่านั้น ยังดีที่อวี้จิ่นมีเงินติดตัวมาห้าตำลึงเงิน กับเศษเหรียญอีแปะอีกเล็กน้อย นางถึงได้นั่งเกวียนวัวเข้าเมือง จ้าวโจวรอบสุดท้ายพอดี กว่าจะมาถึงเมืองจ้าวโจวก็เป็นเวลาพลบค่ำอวี้จิ่นอาศัยอารามร้างนอกเมืองเป็นที่หลับนอน เนื่องจากตอนนี้นางต้องประหยัดเงินไว้ก่อน ซึ่งที่นี่มีชาวบ้านที่นำของป่าที่ดูมีราคามาขายในเมือง พวกเขาก็เลือกที่จะพักในอารามร้างเช่นเดียวกัน แต่เป็นข่าวดีสำหรับอวี้จิ่นเมื่อชาวบ้านที่นั่งผิงไฟ เริ่มพูดถึงบุตรสาวของท่านเจ้าเมือง ที่หายออกจากจวน แม้จะส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตามหาก็ยัง
ระหว่างการเดินทางจากเมืองจ้าวโจวใช้เวลาถึงเจ็ดวัน กว่ารถม้าจะพาอวี้จิ่นมาถึงเมืองเฉียนโจว ที่ดูจะคึกคักไม่น้อยมีผู้คนเดิน สวนทาง เข้าออกเมืองกันอย่างคับคั่ง ทั้งพ่อค้าแม่ค้าหรือนักเดินทาง จากต่างแคว้น แต่ถึงบรรยากาศยามกลางวันดูผู้คนพลุกพล่าน ใช้ชีวิตกันอย่างปกติทั่วไปเหมือนเมืองอื่น ๆ หากเมื่อใดใกล้ถึงยามค่ำคืนในเมืองเฉียนโจวกลับเงียบสนิท และเป็นครั้งแรกที่อวี้จิ่นรู้สึกว่า ที่เมืองเฉียนโจวมีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้น“แม่นางน้อยพวกเรามาถึงเมืองเฉียนโจวแล้วขอรับ ข้าคง ส่งท่านถึงแค่หน้าประตูเมืองเท่านั้น หวังว่าท่านจะไม่โกรธนะขอรับ” คนบังคับรถม้าไม่อยากค้างคืนที่นี่ เพราะข่าวลือเรื่องยามค่ำคืนที่น่ากลัว“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านลุง ขอบคุณท่านมากที่มาส่งข้าว่าแต่ทำไมท่านลุง ไม่พักเหนื่อยที่เมืองเฉียนโจวเสียก่อนล่ะเจ้าคะ เดินทางมาตั้งไกลม้าเองก็น่าจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยนะเจ้าคะ” อวี้จิ่นสงสัยกับสายตา ที่ดูหวาดกลัวบางอย่าง“เอ่อ ฮ้าย! หากข้าพูดให้แม่นางน้อยฟังแล้ว ท่านต้องมีสติ ให้ดี ที่ข้าไม่อยากพักที่เมืองเฉียนโจวเป็นเพราะว่ามีข่าวลือเกิดขึ้น ในยามกลางคืนมักจะมีผีสาวนางหนึ่งออกอาละวาด แ