Share

ตอนที่ 6 บุรุษผู้นี้คือเนื้อคู่ของเจ้า

ยามค่ำคืนที่ผ่านมาเป็นครั้งแรก ที่ฟู่หลงเหยียนไม่ฝันถึงเรื่องราวในอดีต เมื่อลืมตาตื่นขึ้นในเช้าวันใหม่ จึงรู้สึกสดชื่นอย่างที่ไม่เคย

รู้สึกมาหลายปี เขาไม่รู้จะขอบคุณสตรีที่แสนจะธรรมดาไม่เหมือนใคร แม้แต่ชื่อแซ่ก็ลืมถามไถ่กับนางไว้ ก่อนจะจากกันไปเสียได้ ฟู่หลงเหยียนตั้งใจไว้ว่าเช้านี้เขาจะถามชื่อของนางเป็นอย่างแรก

ทางด้านอวี้จิ่นที่เพิ่งตื่นนอนในต้นยามเฉิน พอตั้งสติได้ก็เกือบ

หัวทิ่มหัวตำลงจากเตียงด้วยความเร่งรีบ เมื่อนางนึกขึ้นได้ว่าใกล้ถึงเวลา

ที่ฟู่หลงเหยียนจะมารับนาง เพื่อไปเก็บหลักฐานการกระทำความผิด

ของเจ้าเมืองเฉียนโจว อวี้จิ่นรีบล้างหน้าบ้วนปากอาบน้ำอย่างรวดเร็ว

ผมเผ้าทำเพียงเก็บรวบมัดยกเป็นหางม้าเท่านั้น

เมื่อเดินออกมาด้านหน้าโรงเตี๊ยม บุรุษในชุดคลุมสีดำสองคน

มายืนรอนางอยู่ก่อนแล้วพร้อมม้าอีกสองตัว ทำเอาอวี้จิ่นละอายใจเล็กน้อยได้แต่กล่าวขอโทษ ที่นางตื่นสายทำให้ทั้งสองคนต้องรอนาน

“อุ๊ย! แหะ ๆ ๆ ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ปล่อยให้พวกท่านรอนานเช่นนี้

ถ้าวันไหนข้าเข้านอนดึกมักจะตื่นสายเช่นนี้ประจำเจ้าค่ะ”

“ไม่เป็นไร พวกข้าสองคนเพิ่งจะมาถึงไม่นานเช่นกัน เจ้าพอ

จะบอกที่ซ่อนของหลักฐานทั้งหมดได้ไหม ว่ามันถูกซ่อนไว้ที่ใด”

ฟู่หลงเหยียนไม่ถือสาถึงจะนานเขาก็รอนางได้

“ท่านเจ้าเมืองให้คนสนิทนำหลักฐานทั้งหมดนั้น ไปซ่อนไว้

ใต้ฐานพระพุทธรูปในวัดประจำตระกูลอวี่ บนภูเขาซานลู่ที่ตั้งอยู่

นอกเมืองไปประมาณห้าสิบลี้เจ้าค่ะ” อวี้จิ่นประมาณระยะทางตามภาพ

ที่เห็นเพราะวัดนี้ไม่น่าจะอยู่ไกลมากนัก

“นายน้อยบ่าวจำได้ว่าวัดแห่งนั้น เป็นทางผ่านก่อนที่จะถึง

เมืองเฉียนโจว และที่นั่นยังมีผู้คนไปทำบุญ กราบไหว้ขอพรมากพอสมควรขอรับ” เฉินอิ่นจำวัดนี้ได้เพราะเขาสงสัย ทำไมถึงสร้างวัดอยู่ติดเส้นทางหลักเช่นนี้

“อืม นี่ก็ไม่เช้าแล้วพวกเรารีบไปกันเถิด หากได้หลักฐานมาเร็วเท่าไหร่จะได้จับตัวขุนนางที่กระทำผิด และเดินทางกลับเมืองหลวง

และเจ้า....เจ้าชื่อแซ่ว่าอันใดตัวข้าฟู่หลงเหยียน ส่วนคนสนิทของข้า

ชื่อเฉินอิ่นอีกสองคนที่เหลือไว้ค่อยทำความรู้จักทีหลังเถิด” ฟู่หลงเหยียนไม่ลืมถามชื่อแซ่ของอวี้จิ่น ตามที่ตนได้ตั้งใจเอาไว้ หลังจากมาส่งนางที่โรงเตี๊ยม

“อ่อ ข้าไม่มีแซ่ถูกเลี้ยงดูโดยหมอตำแยท่านหนึ่ง นางตั้งชื่อให้ข้าว่าอวี้จิ่น ท่านก็เรียกชื่อนี้เถิดเจ้าค่ะคุณชายฟู่” เพราะนางไม่มีแซ่จริง ๆ แม้แต่แซ่ของยายเฒ่าลิ่วนางยังไม่รู้

“เอาล่ะอวี้จิ่นพวกเรารีบไปที่วัดนั่นกันเถิด หากสายกว่านี้

แดดจะแรงเสียก่อน” ฟู่หลงเหยียนชักชวนอวี้จิ่นที่ทำหน้าเหมือนมีคำถาม

“ข้าก็อยากไปให้เร็วอยู่นะเจ้าคะ แต่ว่ามีม้าแค่สองตัวแล้วมีคนสามคนจะไปกันอย่างไรหรือจะ...ว้ายยยย!!” อวี้จิ่นยังพูดไม่ทันจบ

ร่างของนางก็ถูกมือหนายกขึ้นไปนั่งบนหลังม้าเป็นที่เรียบร้อย

“พรึ่บ! หมับ! ทีนี้ก็ไปได้แล้วสินะ หึ ๆ”

ฟู่หลงเหยียนไม่ฟังคำถามของอวี้จิ่นให้จบ เขาก็เดาได้จึงรีบพานางขึ้นนั่งบนหลังเจ้าเสี่ยวเฟิง พร้อมกับตัวของฟู่หลงเหยียน ที่นั่ง

ซ้อนด้านหลังอวี้จิ่นไว้ส่วนมือของเขาก็กำเชือกไว้แน่น รอออกคำสั่ง

ให้เสี่ยวเฟิงพุ่งทะยานไปตามถนนมุ่งหน้าออกนอกเมือง

“กะ กะ ก็ไปได้เจ้าค่ะ ข้าแค่ตกใจนิดหน่อยแบบเพิ่งเคยขี่ม้า

เป็นครั้งแรกเจ้าค่ะ ไม่ได้กลัวนะเจ้าคะแค่รู้สึกตื่นเต้นเท่านั้นเอง แฮร่”

ที่พูดโดยรวมความหมายของมันคือนางกลัวตก

“หืม ไม่กลัวก็ไม่กลัวจับไว้แน่น ๆ ก็แล้วกัน ย๊า!!”

ฟู่หลงเหยียนแอบขำเล็กน้อยกับการแก้ตัวของอวี้จิ่น นางบอกว่าไม่กลัวแต่กลับนั่งตัวแข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด เขาจำต้องลดความเร็ว

ของเสี่ยวเฟิงลง ด้วยไม่อยากให้อวี้จิ่นกลัวการขี่ม้า ทั้งสามคนเดินทาง

มามาถึงเชิงเขาซานลู่ตอนต้นยามซื่อ ซึ่งเริ่มมีผู้คนเดินขึ้นไปทำบุญ

บ้างประปราย ฟู่หลงเหยียนจึงอยากลงมือให้เร็วที่สุดยามที่มีคนน้อยเช่นนี้ อวี้จิ่นที่ยืนนิ่งก้าวขาไม่ออกเรียกอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน เพราะพวกเขา

จะเดินขึ้นไปโดยไม่มีท่าทีจะมาทำบุญไม่ได้

“เดี๋ยวเจ้าค่ะคุณชายฟู่”

“หืม มีอะไรหรืออวี้จิ่นหรือว่าเจ้ายังไม่หายกลัวการขี่ม้า”

เขาหยุดเท้าเมื่อถูกอวี้จิ่นเรียกและคิดว่า นางยังไม่หายกลัวจึงเย้าแหย่

นางออกไป

“ชิ ไม่ใช่เรื่องขี่ม้าเจ้าค่ะ แต่พวกเราจะเดินขึ้นตรง ๆ เช่นนี้ไม่ได้

นะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นจะถูกพวกที่เป็นนักบวชบนวัดนั่นสงสัยเอาได้เจ้าค่ะ

ท่านช่วยซื้อพวกดอกไม้จากชาวบ้าน ที่นำมาวางขายติดไม้ติดมือ

ไปสักหน่อยเถิด”

“วิธีของคุณหนูอวี้จิ่นก็ดีนะขอรับนายน้อย พวกเราจะได้ไม่ดู

แปลกแยกกับผู้คนที่มาทำบุญ แค่สวมเสื้อคลุมมาเช่นนี้ก็ดูน่าแปลก

พออยู่แล้วนะขอรับ” เฉินอิ่นเห็นด้วยกับอวี้จิ่น

“อืม งั้นเจ้าไปซื้อดอกไม้จากชาวบ้านมาหลาย ๆ ช่อก็แล้วกัน

แล้วเจ้าก็เป็นคนถือเดินตามข้ากับอวี้จิ่นขึ้นไปด้านบน เข้าใจไหมเฉินอิ่น” ฟู่หลงเหยียนสั่งเฉินอิ่น โดยไม่มองสีหน้าของคนสนิทที่กำลังตกตะลึง

‘นี่นายน้อยไม่คัดค้านเลยรึ ทั้งที่เกลียดดอกไม้มากถึงเพียงนั้น หรือว่าจะเป็นคุณหนูอวี้จิ่น ที่จะทำให้นายน้อยอยากมีความรักอีกครั้ง’

“เอ่อ คุณชายฟู่ทำไมพี่เฉินอิ่นถึงยืนนิ่งอยู่กับที่ล่ะเจ้าคะ” อวี้จิ่นได้ยินฟู่หลงเหยียนสั่งคนสนิทที่เห็นด้วยกับนาง แต่คนสนิทดันไม่ยอม

ขยับตัวทำตามคำสั่ง

“หืม เจ้าเรียกข้าว่าคุณชายฟู่ แต่กับเฉินอิ่นกลับเรียกว่าพี่งั้นหรือ ทั้งที่ข้าอายุน้อยกว่าเฉินอิ่นถึงห้าปีเชียวนะอวี้จิ่น คนที่เจ้าควรเรียกว่าพี่คือข้า ส่วนเฉินอิ่นเจ้าต้องเรียกเขาว่าน้าเข้าใจไหม” ฟู่หลงเหยียนไม่สนใจคำถามของอวี้จิ่น แต่เขากลับไม่พอใจเรื่องที่นาง เรียกสรรพนาม

ของตนเองอย่างห่างเหิน และกับเฉินอิ่นนางดันเรียกอย่างสนิท

“ห๊ะ!!/ห๊า!!”

เฉินอิ่นที่ยืนนิ่งกับความคิดของตนเองอยู่นั้น พอได้ยินเจ้านายบอกให้อวี้จิ่นเรียกตนว่าน้า และต้องเรียกเจ้านายว่าพี่ นี่ยิ่งทำให้เฉินอิ่น

ตกใจยิ่งกว่าการให้เขาไปซื้อดอกไม้เสียอีก แม้แต่อดีตคนรักของเจ้านายยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้คำนี้ ไม่ต่างกับอวี้จิ่นที่งงกับคำพูดของคนร่างสูงเพราะเสียงที่พูดออกมา นางรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจและพอจะอธิบาย

เขาก็สะบัดหน้าเดินขึ้นบันไดไปเสียทื่อ ๆ

 “เอ่อ ตะ ตะ แต่ว่าพี่เฉินอิ่นอายุน่าจะไม่มากนะทะ...”

“หึ พรึ่บ!!”

“อะ อ้าว เดี๋ยวสิเจ้าคะ!! ข้ายังพูดไม่จบทำไมต้องเดินหนีด้วยเล่า ทำเป็นคนแก่หัวล้านขี้น้อยใจไปได้ ฮึ่ย!”

“คะ คะ คุณหนูอวี้จิ่น ข้าว่าท่านทำตามที่นายน้อยบอกเถิดนะ

ถ้าได้เจอตงลู่กับอู๋จิ้ง ท่านก็เรียกสองคนนั้นว่าน้าด้วยเช่นกัน ถือว่าเมตตาสงสารพวกข้าสามคนสักครั้งนะคุณหนูอวี้จิ่น”

“อะไรกันทั้งนายทั้งบ่าวช่างเถอะ ๆ ท่านรีบไปซื้อดอกไม้จะดีกว่า โน่นเจ้านายท่านเดินไปได้จะครึ่งทางอยู่แล้วนะ ขอบอกไว้ก่อนว่า

ข้าไม่มีทางวิ่งตามขึ้นไปเด็ดขาด เพราะมันจะเหนื่อยเกินไป ถ้าเจ้านาย

ของท่านอยากขึ้นไปให้ถึงโดยเร็ว ก็เดินกลับลงมาอุ้มข้าก็แล้วกัน เชอะ”

อวี้จิ่นลืมไปว่าในโลกนี้คนที่มีวรยุทธ์ มักจะมีประสาทสัมผัสที่ไว

ฉะนั้นที่นางพูดกับเฉินอิ่นฟู่หลงเหยียนได้ยินมันทั้งหมด

“งั้นคุณหนูเดินไปก่อนเถิด ข้าจะไปซื้อดอกไม้แล้วจะรีบตามไปขอรับ” เฉินอิ่นไม่อยากถูกทำโทษ จึงวิ่งไปซื้อดอกไม้อย่างรวดเร็ว

อวี้จิ่นที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินขึ้นบันได และบ่นพึมพำเงียบ ๆ

จึงไม่เห็นว่าด้านหน้าของตนอีกไม่กี่ขั้นมีคนยืนรอนางอยู่

“ฮึ ตนเองฐานะสูงส่งเป็นเจ้านาย ข้าเรียกคุณชายกลับไม่พอใจ แต่อยากให้เรียกพี่แล้วให้เรียกคนสนิทว่าน้าเนี่ยนะ คนเขาไม่ได้อายุมากถึงขั้นต้องเรียกว่าน้าเสียหน่อย” อวี้จิ่นเดินไปบ่นไปเอาแต่จ้องมองขั้นบันได

“เจ้ากำลังบ่นถึงใครเช่นนั้นรึ”

“ก็บ่นให้คนขี้น้อยใจอย่างไร อายุก็ยังน้อยไม่รู้จะเอาแต่ใจตนเองทำไมนัก เอ๋? เฮ้ยย!! ละ ละ แล้วท่าน เดินย้อนกลับมาทำไมเจ้าคะ”

อวี้จิ่นตอบพร้อมเงยหน้าจนเกือบหยุดไม่ทัน ก่อนจะเปลี่ยนคำตอบแทบไม่ทัน เมื่อคนที่นางตอบคำถาม กลายเป็นคนที่นางกำลังบ่นอยู่พอดี

“ข้าเดินย้อนกลับมา เพราะได้ยินใครบางคนพูดว่า ถ้าอยากขึ้นไปให้ถึงด้านบนวัดโดยเร็ว ข้าต้องอุ้มนางเท่านั้น เนื่องจากนางขี้เกียจวิ่งตามมันจะทำให้นางเหน็ดเหนื่อยเกินไป ซึ่งข้าก็คิดว่าเป็นความคิดที่เข้าท่า

ไม่น้อย ดังนั้นถึงได้มาหยุดรออยู่ตรงนี้อย่างไรเล่า หึ ๆ ๆ” ฟู่หลงเหยียน

ตอบอวี้จิ่นด้วยแววตาเจ้าเล่ห์

“คระ คระ ใครกันที่พูดแบบนั้นไม่น่ารักเลยนะเจ้าคะ เดินแค่นี้

ก็บ่นกลัวจะเหนื่อยน่าตียิ่งนักเจ้าค่ะ ข้าว่าพวกเรารีบเดินต่อเถิด

หากชักช้าคนจะมาที่นี่มากกว่าเดิมนะเจ้าคะ” พอรู้ว่าฟู่หลงเหยียน

ย้อนคำพูดของตน อวี้จิ่นทำทีสงสัยและบอกว่าคนผู้นั่นควรถูกลงโทษพร้อมกับก้าวเท้าขึ้นบันได

“อืม เจ้าพูดถูกคนผู้นั้นน่าตีจริง ๆ แต่ข้าทำไม่ลง ครั้งนี้จะยกโทษให้ก็แล้วกัน” ฟู่หลงเหยียนนึกภาพอวี้จิ่นถูกตีก็รับไม่ได้แล้ว

“ข้าคิดไว้อยู่แล้วว่าท่านต้องเป็นคนมีใจเมตตาเจ้าคะ..ว้ายย!!”

“แบบนี้เจ้าจะได้ไม่เหนื่อยและพวกเรา คงถึงวัดเร็วกว่าเดิมมากจริงไหม รีบเดินเข้าเฉินอิ่นเมื่อกลับเข้าเมืองข้าจะไปจับตัวเจ้าเมืองทันที” ฟู่หลงเหยียนช้อนร่างบางขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนอย่างง่ายดาย เขาคิดว่า

อุ้มนางเดินเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะอวี้จิ่นมีน้ำหนักตัวไม่เยอะเลยสักนิด

จนฟู่หลงเหยียนเริ่มคิดหาวิธีบำรุงร่างกายของนางในใจเงียบ ๆ

“ขอรับนายน้อย”

เฉินอิ่นไม่กล้าแสดงสีหน้าดีอกดีใจ เรื่องของเจ้านายมากนัก เพราะนั่นเป็นเรื่องส่วนตัว แม้สถานการณ์ยามนี้ถือว่าเริ่มต้นได้ดี

แต่ถ้าวันหนึ่งเจ้านายของตน ได้พบกับอดีตคนรักอย่างพระชายารองเซียง จะยังรู้สึกเจ็บปวดและกลายเป็นคนเงียบขรึมเย็นชา เอาแต่เคร่งเครียด

กับงานเช่นที่ผ่านมาอีกหรือไม่

อวี้จิ่นที่ถูกบุรุษร่างสูงอุ้มเดินขึ้นบันได ก็เอามือปิดหน้าตนไว้ เพราะมีคนที่เดินอยู่คอยมองมาที่นางตลอดเวลา ที่สำคัญนางไม่กล้า

มองหน้าคนที่อุ้มนางอยู่ แต่อวี้จิ่นกำลังถามและตอบตนเองอยู่

ในความคิด ว่าเหตุใดนางถึงได้รู้สึกอุ่นใจ ยามมีฟู่หลงเหยียนอยู่ใกล้ ๆ

จนนางนึกถึงเรื่องที่เคยขอกับเทพจันทราเอาไว้ขึ้นมาได้

‘อย่าบอกนะว่าเนื้อคู่ที่เคยขอกับท่านเทพไว้ จะเป็นคุณชายฟู่

คนนี้ ไม่เร็วไปหน่อยหรือท่านเทพ ข้าเพิ่งมาอยู่ในร่างของอวี้จิ่นไม่ถึง

หนึ่งเดือน ท่านก็ส่งเนื้อคู่มาให้นี่ร่างกายนี้ยังผอมแห้งแรงน้อยอยู่เลยนะ อายุก็เพิ่งจะสิบห้าย่างสิบหกเอง ที่สำคัญข้ายังไม่ได้ดูแลหน้าตาให้งดงาม ท่านเทพท่านไม่คิดจะให้ข้าได้เปิดหูเปิดตา ดูบุรุษรูปงามคนอื่นบ้าง

หรืออย่างไร’

‘ฮัดเช้ย!! บ๊ะ นางหนูคนนี้เนื้อคู่ของเจ้า ข้าย่อมคัดเลือกให้อย่างดี ยังจะบ่นอยู่อีกบุรุษอื่นหน้าตาหล่อเหลาแต่นิสัยต่ำช้า ข้าจะให้เป็นเนื้อคู่ของเจ้าได้อย่างไรเล่า แม้คนนี้จะเหี้ยมโหดสักหน่อย แต่มีทุกข้อที่เจ้าขอ

กับข้าเชียวนะนางหนู ยอมรับความจริงเถิดอย่าบ่นข้าอีกล่ะ ฮ่า ๆ ๆ’

“อวี้จิ่น? อวี้จิ่น!”

“เจ้าคะ! อยู่ใกล้ถึงเพียงนี้ท่านจะเสียงดังทำไมเล่า”

“ที่ข้าเรียกเพราะพวกเราขึ้นมาถึงด้านบนวัดกันแล้วน่ะสิ แต่เจ้าดูกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ ข้าจำเป็นต้องเรียกเสียงดังเล็กน้อย”

“อ่อ งั้นท่านก็วางข้าลงได้แล้วกระมังเจ้าคะ จะได้เดินไปยังห้อง

ที่เจ้าเมืองใช้ซ่อนหลักฐานกันเสียที”

“อืม เจ้าเดินนำทางไปเถิด”

อวี้จิ่นพาฟู่หลงเหยียนเดินอ้อมไปอีกด้านของภูเขา ซึ่งที่นั่น

จะมีห้องแยกออกมาเป็นส่วนตัว สำหรับพวกเศรษฐีหรือคนร่ำรวย

ที่ชอบมาทำบุญเอาหน้าให้ชาวบ้านชื่นชมความมีน้ำใจ แต่หารู้ไม่ว่านักบวชในวัดแห่งนี้ล้วนเป็นนักบวชปลอมทั้งสิ้น

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status