ตระกูลเจียงสายหลักและสายรองในเมืองหลวง กำลังต่อสู้กันอยู่อย่างเงียบ ๆ มีเพียงคนที่เป็นสหายเท่านั้น ที่รับรู้ว่าสองพี่น้องต่างแม่เกลียดกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ไม่ว่าอย่างไร คนที่เป็นฝ่ายชนะมักจะเป็นแม่ทัพใหญ่อยู่เสมอ
ทางด้านเมืองเฉียนโจว นายกองจั๋วได้เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว เหลือเวลาอีกหนึ่งวัน ฟู่หลงเหยียนจะนำตัวนักโทษออกเดินทางเสียที แต่ในต้นยามเฉินฟู่หลงเหยียนก็ได้รับจดหมายจากจิ้งโม่
“นายน้อยขอรับจดหมายจากจิ้งโม่น่าจะเพิ่งมาถึง คงเกี่ยวกับเรื่องของคุณหนูอวี้จิ่นนะขอรับ” เฉินอิ่นนำจดหมายออกจากขานกพิราบ ที่บินมาจากเมืองหลวงมอบให้เจ้านายของเขา
“อืม ขอบใจ”
ฟู่หลงเหยียนรับจดหมายมาเปิดอ่านที่เขียนมาสั้น ๆ แต่สามารถเข้าใจความหมายที่จิ้งโม่บอกมาเป็นอย่างดี
‘ตระกูลเจียง คาดว่าทารกถูกสับเปลี่ยนและเป็นแผนร้ายของตระกูลสายรอง สหายของนายน้อยกำลังเดินทางไปสมทบ’
“หึ นางเป็นบุตรสาวของตระกูลนี้จริง ๆ สินะ” เมื่อได้รับการยืนยันจากข่าวของจิ้งโม่ ฟู่หลงเหยียนจึงมั่นใจเต็มส่วน ว่าอวี้จิ่นคือบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ บิดาของสหายของตนอย่างเจียงหยวน
“เอ่อ นายน้อยข่าวของจิ้งโม่ว่าอย่างไรบ้างหรือขอรับ เจอตระกูลครอบครัวของคุณหนูอวี้จิ่นหรือไม่ขอรับ” ตงลู่เป็นหน่วยกล้าตายเอ่ยถามเรื่องอวีจิ้นกับฟู่หลงเหยียน
“อืม จิ้งโม่สืบได้แล้วว่า ตระกูลที่ยังใช้หยกทำกุญแจอายุยืน มีเพียงตระกูลเจียงของแม่ทัพใหญ่เจียงซือกุ่ยเท่านั้น” ฟู่หลงเหยียนไม่จำเป็นต้องปิดบังเรื่องนี้กับคนสนิท
“ห๊ะ!!/ตระกูลเจียง!!/แม่ทัพใหญ่!!” คนสนิททั้งสามตกใจกับตระกูลของอวี้จิ่น นั่นทำให้รู้ว่าเจ้านายของตนกำลังอยากได้ลูกเสือ แล้วเสือสองตัวของจวนนี้ก็ดุทั้งพ่อทั้งลูกเสียด้วย
“นะ นะ นายน้อยขอรับ หากส่งคุณหนูเข้าจวนตระกูลเจียงแล้ว นั่นหมายความว่าท่านส่งลูกเสือให้พ่อเสือกับพี่ชาย ที่น่าจะหวงคุณหนูเอาเรื่องอยู่ไม่น้อยเชียวนะขอรับ หากจะพบเจอตัวอย่างทุกวันนี้คงไม่ง่ายอีกแล้ว” เฉินอิ่นกล้าพูดได้เต็มปากว่าแม่ทัพใหญ่เจียง และบุตรชายเป็นเสือที่ดุและหวงอาณาเขตของตนเป็นอย่างยิ่ง
“หึ ๆ ๆ แล้วอย่างไร ในเมื่อข้าจับจองนางเอาไว้แล้ว หากนางอยู่ในความดูแลของแม่ทัพใหญ่และเจียงหยวน ข้าเชื่อว่าจิ่นเอ๋อร์ไม่มีวันได้รับสมรสพระราชทานอย่างแน่นอน” ฟู่หลงเหยียนพูดอย่างมั่นใจ เพราะในมือของแม่ทัพใหญ่ มีราชโองการจากฮ่องเต้เรื่องการเลือกคู่ครองไม่ว่าจะเป็นบุตรชายหรือบุตรสาว
“อ้อ บ่าวเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนายน้อยถึงไม่กลัดกลุ้มเช่นนี้ หากมีตระกูลขุนนางที่แบ่งพรรคแบ่งพวก อยู่กับองค์ชายทั้งหลาย คิดจะสู่ขอนางไปเป็นสะใภ้ละก็ ฮ่องเต้ย่อมเพ่งเล็กพวกเขาทันที เพราะแม่ทัพใหญ่มีทหารอยู่ในมือหลายแสนนาย แต่นายน้อยย่อมเข้าออกจวนนี้อย่างง่ายดาย เนื่องจากท่านเป็นสหายกับรองแม่ทัพเจียงนี่เอง”
ขณะที่กลางห้องรับแขกบุรุษร่างสูงใหญ่ทั้งสี่ กำลังพูดคุยเรื่องเกี่ยวกับอวี้จิ่น ไม่ทันไรเสียงของเจ้าของชื่อ ก็ดังอยู่ด้านหลังจนตงลู่ยังตกใจ ยกเว้นฟู่หลงเหยียนที่ชอบฟังเสียงของอวี้จิ่นมากกว่าใคร
“เฮ้!! นี่พวกท่านน่ะ!!”
“เฮือก!!”
“แอบมานั่งคุยกันอยู่ที่นี่เอง ข้าเรียกหาอยู่ตั้งนานแต่ไม่มีใครได้ยินเสียง ตกลงพวกท่านจะทานข้าวหรือไม่ หากไม่ทานข้าจะเอาไปแจกจ่ายให้ขอทานแล้วนะเจ้าคะ ฮึ่ย!” อวี้จิ่นทำอาหารเสร็จไปหลายจาน พอเรียกหาคนช่วยยกอาหาร กลับไม่มีใครตอบรับนางเลยสักคนจึงเดินตามหามาถึงที่นี่
“อย่าทำเช่นนั้นเลยนะขอรับคุณหนูอวี้จิ่น พวกข้าขออภัยที่มาอยู่ในห้องนี้ จนลืมว่าท่านกำลังทำอาหารอยู่เชิญท่านมานั่งพักจะดีกว่า เรื่องยกอาหารปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกข้าสามคนเองขอรับ” ตงลู่ไม่มีทางยอมให้อวี้จิ่นทำเช่นที่พูดแน่ เขารีบขอโทษก่อนใคร
"จิ่นเอ๋อร์มานั่งเถิด ที่เหลือให้ทั้งสามคนจัดการแทนเจ้าเอง ตื่นมาทำอาหารมากมายตั้งแต่เช้าเพียงลำพัง ตัวหรือก็แค่นี้แต่กลับมีแรงเยอะเสียจริงนะ” ฟู่หลงเหยียนเรียกอวิ้จิ่นให้มานั่งกับตน ส่วนสายตาหันไปออกคำสั่งให้คนสนิทรีบไปยกอาหาร เมื่อเจอสายตาดุร้ายของเจ้านายทั้งสามคน จึงแย่งกันวิ่งออกไปจากห้องรับแขกอย่างรวดเร็ว
“เฮ้อ รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกันนะเจ้าคะ ข้าไม่เคยเดินทางไกลมาก่อน ยิ่งเป็นเมืองหลวงที่มีฮ่องเต้กับพวกขุนนางใหญ่ ๆ แล้วจวนของพี่ชายฟู่อยู่ที่นั่นด้วยหรือไม่เจ้าคะ” อวี้จิ่นรู้แค่ว่าฟู่หลงเหยียนเป็นขุนนาง แต่ยังไม่รู้ว่าเขามีครอบครัวอยู่ที่ไหน
“อืม จวนตระกูลฟู่ย่อมอยู่ในเมืองหลวงที่กว้างใหญ่ เรื่องที่เจ้าจะเดินทางไปเมืองหลวงเพื่อตามหาครอบครัวนั้น หากไปถึงที่นั่นเจ้ามีแผนจะตามหาพวกเขาเช่นไรหรือจิ่นเอ๋อร์ ที่พี่ถามมิได้มีเจตนาอื่นแต่ในเมืองหลวงคนชั่วในคราบคนดีมีอยู่มาก พี่ไม่อยากให้เจ้าถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือเท่านั้น” ฟู่หลงเหยียนยังไม่พูดถึงเรื่องตระกูลเจียง
“วิธีตามหาไม่มีหรอกเจ้าค่ะ เพราะมีเพียงจวนของตระกูลเจียง ที่ข้าต้องไปพบเจ้าของจวนแห่งนั้นให้ได้ และยังมีเรื่องต้องสะสางอีกเล็กน้อย แต่การที่ข้ารู้ว่าต้องไปที่ตระกูลเจียงได้อย่างไร คงต้องขอปิดไว้ก่อนนะ ไม่ทราบว่าพี่ชายฟู่ถามเรื่องนี้ไปทำไมหรือเจ้าคะ” อวี้จิ่นรู้ตั้งแต่เห็นภาพนิมิตทั้งหมดจากยายเฒ่าลิ่วแล้ว นางแค่ยังไม่แน่ใจว่าคนในครอบครัวยังต้องการนางอยู่หรือไม่
“ถ้าพี่บอกกับจิ่นเอ๋อร์ว่า เรื่องของเจ้ารู้ถึงหูของทุกคนแล้ว ยามนี้พี่ชายของเจ้ากำลังเร่งเดินทางมาเพื่อพบกับเจ้าล่ะ เพราะพี่เป็นสหายกับพี่ชายของเจ้า เชื่อที่พี่พูดมาหรือไม่เล่า” เมื่ออวี้จิ่นพูดถึงเพียงนี้เขาไม่จำเป็นต้องปกปิดอันใดอีก มิสู้บอกเล่าให้นางได้รู้และเตรียมตัวเตรียมใจพบเจอคนในครอบครัวไว้แต่เนิ่น ๆ มิดีกว่าหรือ
“ท่านว่าอะไรนะ!! พวกเขารู้การมีอยู่ของข้าแล้วงั้นหรือ มิหนำซ้ำพี่ชายของข้ากำลังเร่งเดินทางมาพบกับพวกเรา หากเป็นเช่นที่พี่ชายฟู่พูดมา ก็หมายความว่าพวกเขาดีใจ และยินดีต้อนรับบุตรสาวคนนี้กลับเข้าตระกูลใช่ไหมเจ้าคะ” อวี้จิ่นไม่คิดว่าฟู่หลงเหยียนจะส่งข่าวเรื่องของนางไปเมืองหลวงตั้งนานแล้ว
“แน่นอนว่าทุกคนย่อมยินดีและรอคอยต้อนรับเจ้า ต่อไปเจ้าก็มีแซ่ให้ใช้เหมือนคนอื่นแล้วนะจิ่นเอ๋อร์ แต่แซ่ของเจ้าอาจเรียกความสนใจจากเชื้อพระวงศ์ หรือพวกขุนนางที่อยากได้เจ้าไปเป็นสะใภ้ของตระกูล เพื่อหวังอำนาจทางการทหารของบิดาเจ้าอย่างแม่ทัพใหญ่เจียงซือกุ่ย” เขาจำไม่ได้แล้วว่าชื่อของนางที่เจียงหยวนเคยพูดถึงคือชื่ออะไร
“เย้ ๆ ถ้าพวกเขายินดีต้อนรับข้า นั่นเป็นข่าวดีที่สุดเลยเจ้าค่ะ และข้าก็ไม่ใช่เด็กกำพร้าอีกต่อไป ส่วนเรื่องขุนนางหรือว่าเชื้อพระวงศ์อะไรนั่นข้าไม่สนใจหรอกเจ้าค่ะ เรื่องชีวิตส่วนตัวของข้าใครก็ไม่มีสิทธิ์มากำหนดได้ ถ้ามีใครกล้ามาวุ่นวายเรื่องนี้ละก็ จะให้ท่านพ่อสั่งสอนเสียให้เข็ดหรือมีคนคิดจะมารังแกข้า พี่ชายฟู่ช่วยจัดการไม่ได้หรือเจ้าคะ”
แรก ๆ ก็ดูห้าวหาญอยู่หรอก แต่ตอนท้ายหันไปทำตัวน่าสงสารกับฟู่หลงเหยียนอีก นางช่างไม่รู้อะไรเสียแล้วถึงนางจะไม่พูดฟู่หลงเหยียน จะยอมปล่อยคนพวกนั้นทำให้นางขุ่นเคืองใจได้อย่างไร ยิ่งหน้าตาท่าทางออดอ้อนของนาง ทำให้ใจของฟู่หลงเหยียนละลายไปหมดแล้วยามนี้
“จิ่นเอ๋อร์อย่าห่วงเลย คนที่คิดไม่ดีกับเจ้าพี่จะจัดการพวกมันเอง”
“ขอบคุณพี่ชายฟู่นะเจ้าคะ ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านไม่มีทางปล่อยคนชั่วไว้แน่ อ้อ ท่านบอกว่าท่านเป็นสหายกับพี่ชายของข้าใช่ไหมเจ้าคะ” อวี้จิ่นไม่ได้คิดว่าคำพูดของฟู่หลงเหยียนนั้น คือการกำจัดทุกคนที่คิดไม่ดีกับนางต่างหาก มิใช่การผดุงความยุติธรรม กำจัดคนชั่วตามกฎหมายเสียเมื่อไหร่กัน
“ใช่พี่กับเจียงหยวนเป็นสหายกันมาตั้งแต่เด็ก จิ่นเอ๋อร์ถามถึงเรื่องนี้เจ้าอยากรู้อะไรก็ถามมาเถิด พี่ย่อมตอบคำถามของเจ้าทุกข้ออยู่แล้ว” แม้แต่เรื่องส่วนตัวของเขา หากนางต้องการรู้ฟู่หลงเหยียนยินดีเล่าให้นางฟัง
แต่ก่อนที่อวี้จิ่นจะตอบตงลู่ได้ส่งเสียงเพื่อเชิญทั้งสองคน ไปรับอาหารเช้ายังห้องด้านข้างดังขึ้นเสียก่อน จึงต้องหยุดเรื่องที่คุยไว้เพียงแค่นั้น
“ก๊อก ๆ ๆ นายน้อยขอรับคุณหนูอวี้จิ่น อาหารถูกยกขึ้นโต๊ะพร้อมแล้วเชิญรับอาหารเช้าเถิดขอรับ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะน้าตงลู่ พี่ชายฟู่ไปทานอาหารกันเถิดเจ้าค่ะ เรื่องพี่ชายไว้ท่านค่อยเล่าให้ฟังระหว่างเดินทางก็ได้ เพราะข้าอยากรู้เกี่ยวกับทุกคนในครอบครัว มิใช่แค่พี่ชายเพียงคนเดียวเจ้าค่ะ” ยังมีเวลาอีกมากที่นางจะทำความเข้าใจกับนิสัยของคนในครอบครัว
“ได้สิพี่แล้วแต่จิ่นเอ๋อร์” เมื่ออวี้จิ่นอยากรู้เรื่องคนในครอบครัว ฟู่หลงเหยียนย่อมเล่าให้ฟัง ถือว่านี่เป็นการใช้เวลากับนางอีกรูปแบบหนึ่ง
ปลายยามโหย่วของวันต่อมา ก็ถึงวันต้องออกเดินทางกันแล้ว อวี้จิ่นฉวยโอกาสตื่นก่อนทุกคนในยามอิ๋น เพื่อจะเอาซาลาเปาออกมาโดยนางจะบอกกับฟู่หลงเหยียนว่าทำไว้เป็นมื้อเช้า เผื่อว่ามีใครรู้สึกหิวระหว่างทางจะได้มีเจ้าซาลาเปาไว้กินรองท้อง ที่สำคัญนางเตรียมไว้เยอะพอสมควร เพราะคำนวณจากรูปร่างของพวกเขา แค่สองลูกคงไม่อิ่มจึงหยิบออกมาจนลืมนับว่ามีจำนวนกี่ลูก
ตงลู่และอู๋จิ้งเดินตามกลิ่นหอม ของเนื้อในซาลาเปามาจากห้องครัว ยังไม่ทันจะเอ่ยถามทั้งสองคนก็ถูกอวี้จิ่นไหว้วาน ให้เก็บซาลาเปาที่นึ่งเสร็จ ใส่กล่องไม้และนำผ้ามาคลุมไว้ก่อนจะปิดฝาให้มิดชิด ก่อนจะยกออกไปด้านหน้าจวน ที่ยามนี้ฟู่หลงเหยียนกำลังตรวจดูรถม้าขนาดกลาง เขาเตรียมมันไว้ให้กับอวี้จิ่นด้านในยังสั่งให้ปูฟูกหนา เผื่อว่านางเกิดง่วงนอนก็สามารถนอนพักได้ทันที ความเอาใจใส่นี้ทำให้อวี้จิ่นยิ่งรู้สึกปลาบปลื้มร่างสูงขึ้นไปอีก
ส่วนขบวนนักโทษและทรัพย์สินที่ยึดมาทั้งหมด นายกองจั๋วจัดการได้เรียบร้อย พร้อมคัดเลือกทหารฝีมือดี ติดตามคุ้มกันขบวนจนกว่าจะถึงเมืองหลวงเนื่องจากทรัพย์สินมีมากเหลือเกิน
“ขอบใจนายกองจั๋วมากที่ช่วยจัดการได้เป็นอย่างดี รวมถึงกำลังทหารบางส่วน ที่ต้องติดตามข้าไปเมืองหลวง อย่างไรเสียทางนี้จะขาดคนดูแลไม่ได้ รบกวนฝากเมืองเฉียนโจวและชาวบ้านทุกคน ให้นายกองจั๋วดูแลระหว่างรอการแต่งตั้งเจ้าเมืองคนใหม่ก็แล้วกัน”
“ใต้เท้าฟู่โปรดวางใจ ทางนี้ข้าน้อยจะช่วยดูแลทุกคนให้อยู่ในกฎหมาย หากมีการแต่งตั้งเจ้าเมืองคนใหม่ขอเป็นคนดีและซื่อสัตย์นะขอรับ” หากเป็นเหมือนเดิมเขาคงทนไม่ไหวอีกแน่
“อืม ครั้งนี้ข้าจะเป็นคนเสนอต่อฝ่าบาทเอง นายกองจั๋ววางใจเถิด เอาล่ะข้าต้องออกเดินทางแล้ว ไม่อาจเสียเวลาไปมากกว่านี้ขอตัวก่อน” ฟู่หลงเหยียนต้องเร่งเดินทาง เพราะกังวลทั้งเรื่องนักโทษและเงินทองที่มากมายนั่น
“ขอให้ใต้เท้าและทุกคนเดินทางปลอดภัยขอรับ” นายกองจั๋วได้แต่ภาวนาขอให้คนที่ฟู่หลงเหยียนส่งมา อย่าเป็นอย่างคนเก่าอีกเลยไม่เช่นนั้นตัวเขาเองคงต้องลาออกกลับบ้านเดิมแทน
“ออกเดินทางได้”
“ขอรับ!”
เมื่อขบวนเดินทางเคลื่อนตัวออกจากเมืองเฉียนโจว สองข้าทางมีชาวบ้านมากมาย ที่ในมือมีทั้งผักเน่าแม้แต่ก้อนหินก็ยังมี พวกเขาปาไปยังนักโทษทั้งหลาย ที่ไม่อาจปัดป้องสิ่งที่ปามาจึงบาดเจ็บกันไปเล็กน้อย ถึงจะพ้นประตูเมืองมาแล้วยังไม่วายมีเสียงสาปแช่งตามมาไม่ขาด
ระหว่างเดินทางฟู่หลงเหยียนไม่ลืมเล่าเรื่องตระกูลเจียง ตามที่ได้รับปากกับอวี้จิ่นเอาไว้ทุกครั้ง ที่แวะพักค้างแรมกลางป่าเขา นอกจากอาหารที่นางเตรียมไว้สำหรับคนแล้ว ยังมีผักให้เสี่ยวเฟิงซึ่งฟู่หลงเหยียนรู้สึกว่าม้าของตน จะถูกใจผักของอวี้จิ่นเป็นพิเศษ ถึงกับคิดว่าเจ้าเสี่ยวเฟิงกำลังอยากจะเปลี่ยนเจ้านาย จากตนเองไปเป็นอวี้จิ่นแทนเสียแล้ว
หลังจากเดินทางมาผ่านมาได้สองเมือง ใช้เวลาเกือบยี่สิบวัน เนื่องจากเป็นขบวนใหญ่จึงฝืนใช้ความเร็วมากไม่ได้ มิเช่นนั้นสัตว์ที่เทียมเกวียนอย่างวัวคงจะตายก่อนเป็นแน่ จนมาถึงเมืองซวนเหอ ซึ่งที่เมืองนี้อวี้จิ่นอยากจะเข้าไปเดินเล่นเพื่อผ่อนคลาย หลังจากนั่งอยู่ในรถม้ามาตลอดทางจนเบื่อ
“พี่ชายฟู่เจ้าคะเรามาถึงเขตเมืองซวนเหอและต้องพักที่นี่ ท่านช่วยพาข้าเข้าไปในเมืองได้หรือไม่เจ้าคะ” อวี้จิ่นที่พึ่งนึกขึ้นได้ว่า อยากหาของขวัญที่เหมาะกับคนในครอบครัว ติดมือไปด้วยสักเล็กน้อยจึงอยากไปดูที่ร้านเครื่องประดับเผื่อจะมีลายใหม่ ๆ มาขายบ้าง
“เจ้าคงจะเบื่อที่ต้องอุดอู้อยู่ในรถม้าใช่หรือไม่เล่า ยังพอมีเวลาอีกมาก พี่จะพาจิ่นเอ๋อร์ไปเดินเล่นในเมืองก็แล้วกัน แต่พวกเราคงต้องขี่เจ้าเสี่ยวเฟิงไปจะได้ถึงที่นั่นเร็วกว่านั่งรถม้านะ” ฟู่หลงเหยียนพูดเหมือนไม่มีอะไร แต่คนสนิทคิดไปไกลแล้ว เพราะรู้สึกว่าเจ้านายจะชื่นชอบยามมีอวี้จิ่นอยู่ใกล้ ๆ
“เจ้าค่ะ เสี่ยวเฟิงพาข้าไปในเมืองหน่อยนะ แล้วจะมีผักแสนอร่อยเป็นรางวัลให้เจ้าเยอะ ๆ เลย” อวี้จิ่นลูบที่แผงคอของเสี่ยวเฟิงเบา ๆ พร้อมกับติดสินบนเป็นผักในมิติของตนกับเจ้าเสี่ยวเฟิง
“ฮี้ ๆ ๆ”
“ไปกันเถิด เฉินอิ่นเจ้าตามข้ากับจิ่นเอ๋อร์เข้าเมือง ส่วนพวกเจ้าสองคนคอยดูแลจัดการที่นี่ให้ดี ข้าไปในเมืองไม่นานแล้วจะรีบกลับมา” ฟู่หลงเหยียนไม่ลืมกำชับเรื่องงาน กับคนสนิทอีกสองคนอย่างตงลู่กับอู๋จิ้ง
“ขอรับนายน้อย”
“ท่านน้าทั้งสองทำงานให้ดีเล่าไว้ข้าจะซื้อของกินอร่อย ๆ จากในเมืองมาฝากนะเจ้าคะ”
“ขอบคุณหนูอวี้จิ่นขอรับ” ทั้งสองคนรับคำเสียงอ่อย เพราะไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ยังไม่ชินเสียที เมื่อคำว่าน้าออกมาจากปากของอวี้จิ่นมันช่างทำให้จิตใจห่อเหี่ยว พาลคิดว่าตนเองเป็นคนมีอายุไปเสียแล้ว
แต่อวี้จิ่นยังไม่รู้ว่าในเมืองซวนเหอแห่งนี้ มีเหตุการณ์บางอย่างที่จะทำให้นางโมโห จนลงมือทุบตีทำร้ายร่างกายคน เพราะไม่สามารถรับเรื่องที่สะเทือนใจเช่นนั้นได้ แม้แต่ฟู่หลงเหยียนและเฉินอิ่นยังรั้งตัวนางไว้ไม่ทัน จากเหตุการณ์นี้อวี้จิ่นได้ใช้ความสามารถพิเศษของตน จัดการเจ้าเมืองที่เห็นแก่เงินสินบนเพิ่มอีกหนึ่งคน รวมถึงเศรษฐีแก่จิตใจวิปริตที่ต้องสูญเสียเงินทองมากมาย เพื่อจ่ายเป็นค่าชดเชยและค่าทำขวัญ ให้กับครอบครัวของเด็กที่ตายอย่างทรมานจนหมดตัว
ณ บ้านเช่าราคาถูกเก่า ๆ ในมุมหนึ่งของเมืองใหญ่ มีหญิงสาว วัยยี่สิบปีเธอมีชื่อว่า ‘หยก’ ตั้งแต่เล็กจนโตเธอถูกเลี้ยงดูจาก บ้านเด็กกำพร้า ไม่เคยรู้ที่มาที่ไปว่าเธอเองมาจากไหนพ่อแม่เป็นใคร และเธอไม่สนใจที่จะตามหาอดีตให้เจ็บปวดหากพบเจอความจริง อันโหดร้าย จึงเลือกใช้ชีวิตด้วยการทำงาน หาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่เรียนจบมัธยมปลายหยก พยายามใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากในวันที่เธออายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์มีบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งมันเป็นเรื่องดีและร้ายในคราวเดียวกัน เมื่อลืมตาตื่นหลังผ่านวันเกิด อายุครบสิบแปดปี หยกสามารถมองเห็นชะตาชีวิตของคนที่บังเอิญ มาสัมผัสโดนตัวของเธอ หยกสติแตกไปหลายวันกว่าจะรวบรวมสติกลับมาได้ เธอตัดสินใจเล่าให้เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวอย่างไพลินฟัง และเพื่อนสนิทคนนี้นี่เอง ที่สนับสนุนให้หยกใช้ความสามารถนี้ เพื่อหาเงินจากพวกคนรวยที่เชื่อเรื่องทำนายดวงชะตา“ลินฉันเล่าให้แกฟังแค่คนเดียวแล้ว อย่าเอาไปเล่าให้ใครฟังล่ะ ฉันไว้ใจที่แกเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของฉัน หวังว่าจะไว้ใจแกได้ ในเรื่องนี้นะลิน ฉันไม่อยากถูกคนอื่นมองว่าเป็นคนบ้า” เพราะคนที่ไม
ดวงวิญญาณของหยกถูกพลังงานบางอย่าง ดึงไปอย่างแรง เธอไม่มีโอกาสบอกลาเพื่อนสนิท เพียงคนเดียวอย่างไพลิน ที่ป่านนี้ คงร้องไห้เป็นเผาเต่า เมื่อรู้ว่าเธอตายในกองเพลิงแห่งนั้นด้วยแรงดึงมหาศาล ดวงวิญญาณของหยกเข้าไปอยู่ในร่าง ของเด็กสาวคนหนึ่ง ที่ถูกงูพิษกัดที่ข้อเท้าด้วยร่างกายที่อ่อนแอ จึงไม่อาจหาสมุนไพรแก้พิษได้ทัน จึงต้องตายอย่างน่าอนาจ ซึ่งที่นี่เป็นโลกคู่ขนานของยุคจีนโบราณ ที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนในประวัติศาสตร์ เมื่อหายใจและลืมตาขึ้นรอบ ๆ ตัวของหยกคือป่าแห่งหนึ่งของหมู่บ้านลิ่วหยางหยกจึงพยายามชันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ต้องล้มลงนอนอีกครั้ง พร้อมอาการปวดหัวที่ทำเอาเธอตาพร่ามัวไปหมด ภาพในหัวตอนนี้ เป็นความทรงจำของเจ้าของร่างตั้งแต่เด็ก มีหญิงชราคนหนึ่งเลี้ยงดู มาจนเติบโต แต่มักจะมีสายตาที่เศร้าสร้อย ยามมองมาที่ร่างบาง และที่สำคัญ เจ้าของร่างยังเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาเลี้ยง“ทำไมคำขอของไอ้หยก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงให้ไม่ได้กันมันน่าโมโหนักโอ๊ย! นี่สิ่งศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์ หูหนวกตาบอดกันหรือยังไง หนูขอก่อนตายว่าอยากมีพ่อแม่ที่ร่ำรวย มีเงินมีทองใช้ไม่ขาดมือนะคะ แล้วนี่คืออะไร ชาติก่อ
อวี้จิ่นบอกลาเพื่อนบ้าน หลังจากผ่านงานศพของยายเฒ่าลิ่ว ได้เจ็ดวัน โดยใช้ข้ออ้างว่าจะไปตามหาบุตรหลานของยายเฒ่าลิ่วเท่านั้น เพื่อนบ้านต่างอวยพรให้อวี้จิ่นปลอดภัยและทำภารกิจสำเร็จ บางคน มีมอบอาหารให้นางนำติดตัวไปคนละเล็กละน้อย ทำเอาอวี้จิ่น ถึงกับน้ำตาซึมที่เห็นความมีน้ำใจจากชาวบ้านเพราะหมู่บ้านอยู่ไม่ไกลจากตำบล จึงใช้การเดินเท้าอวี้จิ่นสำรวจสองข้างทางไปเรื่อย ๆ เพื่อเรียนรู้ทุกสิ่งในโลกใบใหม่ แต่ถ้านางต้องการเข้าเมืองย่อมไม่อาจเดินเท้าไปเองได้ ด้วยระยะทางที่ไกลจึงอาศัย การนั่งเกวียนหรือรถม้าเท่านั้น ยังดีที่อวี้จิ่นมีเงินติดตัวมาห้าตำลึงเงิน กับเศษเหรียญอีแปะอีกเล็กน้อย นางถึงได้นั่งเกวียนวัวเข้าเมือง จ้าวโจวรอบสุดท้ายพอดี กว่าจะมาถึงเมืองจ้าวโจวก็เป็นเวลาพลบค่ำอวี้จิ่นอาศัยอารามร้างนอกเมืองเป็นที่หลับนอน เนื่องจากตอนนี้นางต้องประหยัดเงินไว้ก่อน ซึ่งที่นี่มีชาวบ้านที่นำของป่าที่ดูมีราคามาขายในเมือง พวกเขาก็เลือกที่จะพักในอารามร้างเช่นเดียวกัน แต่เป็นข่าวดีสำหรับอวี้จิ่นเมื่อชาวบ้านที่นั่งผิงไฟ เริ่มพูดถึงบุตรสาวของท่านเจ้าเมือง ที่หายออกจากจวน แม้จะส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตามหาก็ยัง
ระหว่างการเดินทางจากเมืองจ้าวโจวใช้เวลาถึงเจ็ดวัน กว่ารถม้าจะพาอวี้จิ่นมาถึงเมืองเฉียนโจว ที่ดูจะคึกคักไม่น้อยมีผู้คนเดิน สวนทาง เข้าออกเมืองกันอย่างคับคั่ง ทั้งพ่อค้าแม่ค้าหรือนักเดินทาง จากต่างแคว้น แต่ถึงบรรยากาศยามกลางวันดูผู้คนพลุกพล่าน ใช้ชีวิตกันอย่างปกติทั่วไปเหมือนเมืองอื่น ๆ หากเมื่อใดใกล้ถึงยามค่ำคืนในเมืองเฉียนโจวกลับเงียบสนิท และเป็นครั้งแรกที่อวี้จิ่นรู้สึกว่า ที่เมืองเฉียนโจวมีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้น“แม่นางน้อยพวกเรามาถึงเมืองเฉียนโจวแล้วขอรับ ข้าคง ส่งท่านถึงแค่หน้าประตูเมืองเท่านั้น หวังว่าท่านจะไม่โกรธนะขอรับ” คนบังคับรถม้าไม่อยากค้างคืนที่นี่ เพราะข่าวลือเรื่องยามค่ำคืนที่น่ากลัว“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านลุง ขอบคุณท่านมากที่มาส่งข้าว่าแต่ทำไมท่านลุง ไม่พักเหนื่อยที่เมืองเฉียนโจวเสียก่อนล่ะเจ้าคะ เดินทางมาตั้งไกลม้าเองก็น่าจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยนะเจ้าคะ” อวี้จิ่นสงสัยกับสายตา ที่ดูหวาดกลัวบางอย่าง“เอ่อ ฮ้าย! หากข้าพูดให้แม่นางน้อยฟังแล้ว ท่านต้องมีสติ ให้ดี ที่ข้าไม่อยากพักที่เมืองเฉียนโจวเป็นเพราะว่ามีข่าวลือเกิดขึ้น ในยามกลางคืนมักจะมีผีสาวนางหนึ่งออกอาละวาด แ
ล่วงเลยเข้าปลายยามห้าย อวี้จิ่นออกจากห้องพักแสร้งเดินเล่น ไปตามถนนในเมืองเฉียนโจว ในมือข้างซ้ายถือลูกผิงกั่วกัดกินไปด้วย ท่ามกลางความเงียบสงัดอย่างที่คนบังคับรถม้าบอก ทำให้รู้สึกวังเวง อยู่ไม่น้อย แต่นั่นไม่ช่วยให้ความอยากรู้ลดลงแต่อย่างใด ด้านบนหลังคายังมีคนกลุ่มหนึ่งคอยตามอวี้จิ่นไปเงียบ ๆหลังจากเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่หลายมุม จนเริ่มจะเมื่อยขาและอวี้จิ่นคิดว่า คืนนี้ไม่น่ามีเหตุการณ์ในข่าวลือเกิดขึ้น จึงคิดจะเดิน กลับโรงเตี๊ยมเพื่อนอนพักเอาแรง ยามที่กำลังคิดเรื่องกลับห้องพัก ก็มีเสียงหัวเราะแทรกเข้ามา ด้วยบรรยากาศที่เงียบเชียบ พอมีเสียงหัวเราะกลับกลายเป็นความรู้สึกน่ากลัว สำหรับคนในเมืองเฉียนโจวยิ่งนัก แต่อวี้จิ่นทำเพียงหยุดเดินและรอคอยอย่างตั้งใจ ว่าผีสาวตนนี้จะทำอะไรกับนาง ถ้าหากนางถามคำถามออกไป มันจะตอบคำถามของนาง ได้หรือไม่“ฮิ ๆ ๆ อาหารของข้า”“โอ๊ะ!! ในที่สุดก็ออกมาจนได้ ขอดูหน้าหน่อยก็แล้วกัน ว่าจะเป็น ผีสาวใบหน้างดงามหรือน่าขยะแขยง”“ฮ่า ๆ ๆ มาเป็นอาหารให้ข้าเสียเถิดเด็กน้อย แผล่บ ๆ”“ขวับ!! สวัสดีตอนดึกเจ้าค่ะ เป็นผีทำไมถึงรู้สึกหิวได้ล่ะ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยน
ยามค่ำคืนที่ผ่านมาเป็นครั้งแรก ที่ฟู่หลงเหยียนไม่ฝันถึงเรื่องราวในอดีต เมื่อลืมตาตื่นขึ้นในเช้าวันใหม่ จึงรู้สึกสดชื่นอย่างที่ไม่เคย รู้สึกมาหลายปี เขาไม่รู้จะขอบคุณสตรีที่แสนจะธรรมดาไม่เหมือนใคร แม้แต่ชื่อแซ่ก็ลืมถามไถ่กับนางไว้ ก่อนจะจากกันไปเสียได้ ฟู่หลงเหยียนตั้งใจไว้ว่าเช้านี้เขาจะถามชื่อของนางเป็นอย่างแรกทางด้านอวี้จิ่นที่เพิ่งตื่นนอนในต้นยามเฉิน พอตั้งสติได้ก็เกือบ หัวทิ่มหัวตำลงจากเตียงด้วยความเร่งรีบ เมื่อนางนึกขึ้นได้ว่าใกล้ถึงเวลา ที่ฟู่หลงเหยียนจะมารับนาง เพื่อไปเก็บหลักฐานการกระทำความผิด ของเจ้าเมืองเฉียนโจว อวี้จิ่นรีบล้างหน้าบ้วนปากอาบน้ำอย่างรวดเร็ว ผมเผ้าทำเพียงเก็บรวบมัดยกเป็นหางม้าเท่านั้นเมื่อเดินออกมาด้านหน้าโรงเตี๊ยม บุรุษในชุดคลุมสีดำสองคน มายืนรอนางอยู่ก่อนแล้วพร้อมม้าอีกสองตัว ทำเอาอวี้จิ่นละอายใจเล็กน้อยได้แต่กล่าวขอโทษ ที่นางตื่นสายทำให้ทั้งสองคนต้องรอนาน“อุ๊ย! แหะ ๆ ๆ ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ปล่อยให้พวกท่านรอนานเช่นนี้ ถ้าวันไหนข้าเข้านอนดึกมักจะตื่นสายเช่นนี้ประจำเจ้าค่ะ”“ไม่เป็นไร พวกข้าสองคนเพิ่งจะมาถึงไม่นานเช่นกัน เจ้าพอ จะบอกที่ซ่อนของหลักฐาน
เมื่อทั้งสามคนเดินมาถึงห้องส่วนตัวขนาดกลาง มีนักบวชคอยเฝ้าเอาไว้สองคน ก่อนจะเข้าไปได้ย่อมมีค่าผ่านประตู เรื่องนี้อวี้จิ่นย่อมเห็นจากภาพนิมิตมาแล้วจึงอาสาจัดการเอง“เดี๋ยวก่อนประสกทั้งสาม หากต้องการใช้ห้องสวนมนต์แห่งนี้ พวกท่านทราบถึงกฎเกณฑ์ของทางวัดแล้วหรือไม่”“คารวะไต้ซือเจ้าค่ะ คุณชายของข้าเพิ่งมาจากต่างเมือง เพื่อมาขอพรเกี่ยวกับการทำงานครั้งใหญ่ เห็นว่าที่วัดของตระกูลอวี่มีผู้คนเคารพนับถืออย่างมาก จึงอยากมากราบไหว้สักครั้ง ส่วนเรื่องกฎของทางวัด ข้าทราบเป็นอย่างดีว่าต้องทำอย่างไร ของในตะกร้าใบนี้หวังว่าไต้ซือจะอนุญาตให้คุณชายของข้า ได้เข้าไปสวดมนต์เป็นการส่วนตัวนะเจ้าคะ” พวกเห็นแก่เงินจะไม่รับไว้ได้อย่างไร ในตะกร้านั่นมีก้อนตำลึงเงินอยู่หลายก้อนเชียวนะ“อืม เมื่อประสกตัวน้อยรู้จักทำตามกฎของวัด คุณชายของท่านย่อมสามารถเข้าไปสวดมนต์ด้านในได้ เชิญ” ไต้ซือตัวปลอมมัวแต่สนใจก้อนตำลึงในถุงผ้าใบเล็กในตะกร้าจึงไม่เอะใจคำพูดของอวี้จิ่นเท่าใดนัก“ขอบคุณไต้ซือเจ้าค่ะ ที่เห็นใจชาวบ้านอย่างเรา เชิญคุณชายเข้าไปสวดมนต์เถิด งานที่ท่านหวังไว้จะได้สำเร็จโดยเร็วนะเจ้าคะ” อวี้จิ่นหันไปเชื้อเชิญฟู่หลงเหย
บนโต๊ะอาหารในจวนเช่าของฟู่หลงเหยียน ยามนี้มันเต็มไปด้วยอาหารหน้าตาแปลก ๆ แต่กลิ่นมันกลับหอมชวนให้ท้องร้องอยากกินเสียเดี๋ยวนั้น สาเหตุมาจากอวี้จิ่นไม่อยากนั่งอยู่เฉย ๆ นางจึงลุกไปยังห้องครัว และลงมือทำอาหารจากเนื้อและผักจากในมิติของตนโดยมีข้ออ้างกับตงลู่ว่า ตนเองแอบออกไปซื้อที่ตลาดมา และห้ามตงลู่บอกกับฟู่หลงเหยียนว่านางออกไปด้านนอก แต่ให้บอกว่าเขาคือคนที่ไปซื้อเนื้อกับผักพวกนี้ ตามคำขอของนาง อวี้จิ่นข่มขู่ตงลู่ด้วยอาหารบนโต๊ะนั่น ถ้าไม่ยอมทำตามที่นางบอกเขาจะอดกินมันอย่างแน่นอนคำข่มขู่ของอวี้จิ่นย่อมเป็นผล เมื่อตงลู่อยากชิมอาหารบนโต๊ะ ซึ่งมันไม่เหมือนอาหารที่เขาเคยทานมาก่อน ตงลู่ต้องออกจากห้วงความคิดของตน เมื่อได้ยินเสียงประตูจวนถูกเปิด เขารีบบอกให้อวี้จิ่นไปซ่อนตัวไว้ ส่วนตนเองจับดาบไว้แน่น ออกไปยืนซ่อนตัวอยู่ด้านหลังประตู แต่คนที่มากลับเป็นเจ้านายของตนมิใช่คนร้าย“แอ๊ดดด!! ชิ้ง!! พวกเจ้าปะ นายน้อย!!”“ตงลู่! นี่เจ้าอยากประลองฝีมือกับนายน้อย ถึงกับถือดาบมาดักรออยู่หลังประตูเชียวรึ” อู๋จิ้งเห็นตงลู่ชักดาบเมื่อประตูเรือนด้านหน้าเปิดออกจึงเรียกสหายทันที“ขออภัยขอรับนายน้อย บ่าวคิดว่ามี