ภายในรถม้าคันใหญ่ของตระกูลฟู่คนหนึ่งนั่งมองนิ่ง ๆ แต่อีกคนกลับนั่งขยุกขยิกด้วยความดีใจที่จะได้เดินเที่ยวตามร้านค้าต่าง ๆ ซึ่งมีหลายร้านที่อวี้จิ่นสนใจแม้แต่ตลาดยามเช้านางก็อยากไป เพื่อดูว่าจะมีผักที่คล้ายกับโลกที่จากมาหรือไม่แม้มิติตลาดคลอบจักรวาลจะมีของอยู่มากมายให้เลือกใช้ได้ก็ตาม อวี้จิ่นคิดว่าต้องรออีกสักพักนางจะค่อย ๆ บอกให้คนในครอบครัวได้รู้เรื่องของมิตินี้จนรถม้าผ่านเข้ามาในเขตที่เป็นร้านค้าฟู่หลงเหยียนจึงได้สั่งให้หยุดรถ เพราะเขาจะพาอวี้จิ่นลงเดินตั้งแต่มุมนี้เป็นต้นไป โดยให้อู๋จิ้งประจำอยู่ที่รถม้าส่วนเฉินอิ่นกับตงลู่คอยติดตามทั้งสองคน ฟู่หลงเหยียนรับอวี้จิ่นลงจากรถม้าได้นางก็เริ่มเดินดูสิ่งของที่วางขายทันที ทั้งร้านแผงลอยที่มีสินค้าแปลก ๆ หรือจะเป็นสมุนไพรที่นางรู้จักก็มีวางขาย ฟู่หลงเหยียนคอยเดินอยู่ข้าง ๆ เพื่อตอบคำถามของอวี้จิ่น ที่มีคำถามไม่สิ้นสุดแต่ทั้งสองคนยังไม่รู้ตัวว่ามีสายตาคู่หนึ่ง ที่มองอวี้จิ่นดั่งต้องการฉีกร่างของนางเป็นชิ้น ๆเหมาซูเจียวคุณหนูใหญ่แห่งจวนเสนาบดีกรมพิธีการ นางหลงรักฟู่หลงเหยียนตั้งแต่ยังไม่ถึงวัยปักปิ่นเมื่อสี่ปีที่ผ่านมา แค่นางเห็นเขาเดินเคี
ด้านจวนตระกูลเจียงแม่ทัพใหญ่นั่งทำงานกับบุตรชายในห้องหนังสือของตน แต่ทั้งสองไม่คิดเลยว่าบุตรสาวและน้องสาวที่ออกไปเดินเล่นเพียงครึ่งชั่วยาม จะมีสตรีใจกล้ามาหาเรื่องถึงขึ้นทำให้นางได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ ตงลู่ที่มาถึงอย่างรีบร้อนเล่าอย่างกระชับไม่เยิ่นเย้อ เนื่องจากเจ้านายของเขาต้องการให้แม่ทัพใหญ่ไปที่ศาลต้าหลี่โดยเร็ว“ตึก ตึก ตึก ก๊อก ๆ ๆ นายท่านมะ...” พ่อบ้านเจียงที่พาตงลู่มายังห้องทำงานของเจ้านายยังพูดไม่ทันจบ ประตูก็ถูกเปิดตัวของคนก็พุ่งเข้าไปด้านในเช่นกัน“พรึ่บ! ขออภัยท่านแม่ทัพใหญ่ที่ข้าน้อยเสียมารยาทขอรับ แต่นายน้อยมีคำสั่งให้มารายงานกับท่านว่า บุตรสาวคนโตของเสนาบดีกรมพิธีการมากลั่นแกล้งคุณหนูเจียง แย่งชิงสิ่งที่อยู่ในมือด้วยแรงของการยื้อแย่ง ทำให้คุณหนูเจียงเสียเปรียบและได้รับบาดเจ็บที่มะ....” ตงลู่พูดถึงแค่อวี้จิ่นได้รับบาดเจ็บแม่ทัพใหญ่ก็เริ่มโมโหแล้ว“ปัง!!! เจ้าบอกว่าใครมาหาเรื่องบุตรสาวของข้านะ! ไม่พอยังกล้าแย่งชิงของที่อยู่ในมือนางจนบาดเจ็บงั้นรึ พูดมาว่าสตรีนางนั้นเป็นบุตรสาวของผู้ใด ถึงจะเป็นองค์หญิงข้าก็ไม่ไว้หน้าหรอกนะ ในเมื่อมาทำร้ายจิ่นเอ๋อร์จนบาดเจ็บเช่นนี้” ทุกคนใน
เมื่ออวี้จิ่นถูกบิดาและพี่ชายพากลับมาถึงจวนก็มีจางฮูหยินและฮูหยินผู้เฒ่า ต่างพากันมานั่งรออยู่ภายในห้องรับแขกแล้ว เพราะเรื่องที่อวี้จิ่นบาดเจ็บจากการถูกเหมาซูเจียวทำร้าย รู้ถึงหูของทั้งสองจากพ่อบ้านเจียง เพราะจางฮูหยินได้สั่งเอาไว้ว่าเรื่องของอวี้จิ่น ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ต้องรายงานกับนางทุกเรื่อง“พรึ่บ! ลูกแม่!/หลานย่า!”“จิ่นเอ๋อร์มาให้แม่ดูหน่อยสิลูกเจ็บมากหรือไม่ เหมาซูเจียวนางกล้าดีอย่างไรถึงมาทำร้ายลูกของแม่เช่นนี้”“นั่นสิอากุ่ย แล้วศาลต้าหลี่มีคำตัดสินว่าอย่างไร หากนางไม่ถูกลงโทษแม่ไม่ยอมแน่และเรื่องนี้ จะต้องถึงพระกรรณของไทเฮา” ฮูหยินผู้เฒ่ามีความสนิทสนมกับไทเฮา ครั้งสามีของนางยังมีชีวิตอยู่“ท่านแม่ไม่ต้องห่วงนางถูกลงโทษโบยห้าไม้ จากเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่แล้วขอรับ ท่านแม่ลองคิดดูว่าน้ำหนักมือที่ตีในแต่ละครั้ง ย่อมทำให้ผิวของนางแตกจนได้เลือดเชียวนะขอรับ”“ใช่เจ้าค่ะท่านย่านางต้องนอนรักษาตัวนานกว่าข้าแน่นอน เพราะบาดแผลที่มืออีกไม่กี่วันก็หายไม่ทิ้งรอยแผลเป็นด้วยเจ้าค่ะ ถึงตอนนั้นพวกท่านจะได้ชิมอาหารฝีมือของข้าแล้วล่ะ” อวี้จิ่นดึงความสนใจจากท่านย่าของตนไปเรื่องอื่น
เช้าของวันต่อมาคนรอบโต๊ะทานอาหารของจวนตระกูลเจียง ต่างถือตะเกียบค้างไว้กลางอากาศเมื่อเห็นอวี้จิ่นใช้ตะเกียบอย่างคล่องแคล่ว ประหนึ่งไม่ใช่คนที่เพิ่งได้รับบาดเจ็บที่ฝ่ามือเมื่อวานก็ไม่ปาน ยิ่งไปกว่านั้นฝ่ามือของนางก็ไม่มีรอยแผลให้เห็นจริง ๆ “หืม อึก เอ่อ พวกท่านจ้องกันเช่นนี้ข้าก็เขินอายเป็นนะเจ้าคะ หากมีคำถามได้โปรดถามได้เลยเจ้าค่ะข้ายินดีตอบทุกเรื่อง” อวี้จิ่นที่รู้ตัวว่าไม่มีใครคีบอาหารเช่นนางก็หยุดไปด้วยอีกคน“จะ จะ จิ่นเอ๋อร์ มะ มะ มือของเจ้าไม่มีรอยแผลแล้วจะเป็นไปได้อย่างไรกัน หรือว่า!! เจ้าเป็นปีศาจเจ้ากลืนร่างน้องสาวของข้าไปแล้วใช่หรือมะ...อ๊ะ!!” เจียงหยวนยังพูดไม่จบก็ถูกบิดาใช้ตะเกียบในมือเคาะศีรษะไปหนึ่งที“เจ้าพูดไร้สาระอันใดกันอาหยวนปีศาจบ้าบอจากที่ใดไม่มีอย่างที่เจ้าพูดหรอกน่า พวกเราควรถามจิ่นเอ๋อร์มากกว่าว่าทำไมแผลของเจ้า ถึงได้หายเร็วดั่งทายาวิเศษหรือมีใครใช้เวทมนต์ช่วยรักษาเจ้ากันนะ...อ๊ะ!!” แม่ทัพใหญ่ก็โดนเช่นที่ตนทำกับบุตรชาย“นี่อากุ่ยเจ้ายังจะไร้สาระตามหลานชายข้าไปอีกคนรึ เวทมนต์อันใดกันไม่มีแน่ ๆ แม่ไม่เชื่อที่พวกเจ้าพูดแต่ถ้าเป็นเทพบนสวรรค์ช่วยรักษาให้ละ...”“ท่าน
เมื่อเจ้าของจวนและแขกที่มาอย่างฟู่หลงเหยียนเข้ามานั่งในห้องทานอาหาร ก็เกิดอาการเช่นเดียวกับเจ้าของจวนเมื่อสองวันก่อนเช่นกัน เมื่อเขาเห็นอวี้จิ่นใช้มือข้างที่บาดเจ็บได้อย่างคล่องแคล่วไม่มีการเจ็บปวด แม้แต่ผ้าพันแผลก็ไม่มีคนอื่น ๆ พอเห็นอาการของฟู่หลงเหยียนก็หัวเราะออกมาเบา ๆ เนื่องจากอาการนี้มันช่างคล้ายกับพวกตนเสียเหลือเกิน จนอวี้จิ่นต้องอธิบายว่านางมียารักษาแผลที่ดีกว่าท่านหมอ จึงทำให้นางหายเร็วกว่าปกติซึ่งมันไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะแผลมิได้ลึกถึงกระดูก“เอ่อ จิ่นเอ๋อร์มิใช่ว่าพี่ไม่อยากเชื่อหรอกนะแต่ว่ายาที่เจ้าบอกมามันมีอยู่จริงเช่นนั้นหรือ หากคนชั่วเห็นแก่ตัวรู้เรื่องยานี้เข้าเจ้าจะไม่เป็นอันตรายรึจิ่นเอ๋อร์” ฟู่หลงเหยียนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับเรื่องยาในครั้งนี้“อืม นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่ายานี้ข้าจะใช้กับผู้ใดอีกนั่นแหละเจ้าค่ะ พี่ใหญ่กับพี่ชายฟู่ไม่น่าจะกลัวเจ็บจากการถูกของมีคมบาดกระมังเจ้าคะ” อวี้จิ่นรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ทำใจให้เชื่อได้ยากหากไม่มีการพิสูจน์ให้เห็นกับตา“แน่นอนสิจิ่นเอ๋อร์พี่เป็นทหารในกองทัพเชียวนา กับแค่แผลเล็ก ๆ อย่างที่เจ้าพูดมาจะกลัวไปใยแล้วเจ้าถามไปทำไมรึ” เ
ระหว่างที่เจียงกุ้ยฉินถูกทหารควบคุมตัวกลับจวนอยู่นั้น ภายในห้องโถงใหญ่ของจวนมีเสียงกรีดร้องของสองแม่ลูกดังขึ้น ทำเอาบ่าวไพร่ในจวนต่างตกใจว่าเกิดเหตุร้ายอันใดหรือไม่ เมื่อพากันวิ่งมาดูเพื่อให้การช่วยเหลือก็ต้องผงะ จนเกือบล้มกันเป็นแถว เนื่องจากฮูหยินและคุณหนูของจวนบัดนี้กำลังกลายเป็นคนชรา ผิวหนังเริ่มเหี่ยวย่นอย่างช้า ๆ แม้แต่สาวใช้คนสนิทยังไม่กล้าเข้าใกล้พวกนางทั้งสองคน“กรี๊ดดดด!!! ท่านแม่ช่วยด้วยเจ้าค่ะท่านแม่ช่วยข้าด้วย กรี๊ดดด!” เจียงซูลี่เมื่อมองเห็นใบหน้าของตนในกระจกทองเหลือง ก็กรีดร้องดั่งคนสติไม่สมประกอบร้องเรียกหามารดาให้มาช่วยเหลือตน “กรี๊ดดด!! ไม่จริง ๆ ข้าไม่เชื่อใบหน้าของข้าเหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ หงชิง!! เจ้าไปตามหมอมาให้ข้าเดี๋ยวนี้เร็วเข้า พวกเจ้าจะยืนมองอยู่ทำไมมีหน้าที่อันใดก็ไปทำสิ ไป๊!!” เย่จือเหมยไม่สนใจเสียงกรีดร้องของบุตรสาวแล้วในยามนี้ เพราะใบหน้าของนางเริ่มเหี่ยวย่นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนมันกำลังลุกลามไปตามแขนของนางแล้วบ่าวไพร่เมื่อถูกเจ้านายไล่ก็วิ่งไปคนละทิศละทาง แต่กลับมีพ่อบ้านวิ่งสวนกลับเข้ามาหาเย่จือเหมย เพื่อรายงานว่านายท่านของจวนกลับมาพร้อมทหารมากมา
เมื่อพาคนมาส่งและมอบม้าตามคำสัญญาให้กับอวี้จิ่นแล้ว ฟู่หลงเยียนจึงขอตัวกลับเนื่องจากยังต้องสะสางงานอยู่พอสมควร แม่ทัพใหญ่ได้บอกกับฟู่หลงเหยียนว่า ให้สอบถามฟู่กั๋วกงเกี่ยวกับเวลาว่างสักหน่อย หากมีวันว่างขอให้บ่าวที่จวนตระกูลฟู่ช่วยมาส่งข่าวให้ตนเอง เพื่อนัดหมายทานข้าวเพราะต้องการขอบใจฟู่หลงเหยียนเรื่องบุตรสาว ซึ่งสามวันต่อมามีบ่าวจากจวนตระกูลฟู่มาแจ้งกับพ่อบ้านเจียง ว่าเจ้านายของตนจะมาทานอาหารเย็นในวันถัดไปทันทีและยังคงเป็นอวี้จิ่นที่อาสาเข้าครัวทำอาหารอีกเช่นเคย ครั้งนี้รายการอาหารมาครบทั้ง หมู เห็ด เป็ด ไก่ อาหารที่นางทำไม่มีความเลี่ยนจากน้ำมันแม้แต่จานเดียว รสชาติของอาหารมีครบทุกรส บนโต๊ะอาหารไม่ว่าจะเป็นเจ้าของจวนหรือแขกที่เชิญมา ทุกคนสามารถเลือกทานตามความชอบของตนเอง หลังจากที่เตรียมอาหารเสร็จอวี้จิ่นกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสียใหม่ จากนั้นมาสมทบคนในครอบครัวเพื่อรอต้อนรับแขกที่หน้าประตูจวน ซึ่งเย็นวันนี้เซี่ยฮูหยินจะได้เห็นรอยยิ้มของบุตรชาย และถูกแม่หมออวี้จิ่นมองเห็นอันตรายจากผู้ไม่หวังดี“คารวะฟู่กั๋วกงข้าต้องขอบคุณที่ท่านตอบรับคำเชิญในครั้งนี้นะ”“แม่ทัพใหญ่กล่าวเกินไปแล้วพวกเราค
ทางอวี้จิ่นที่รู้ว่าพี่ชายของตนและฟู่หลงเหยียน ต้องมีประมือกับโจรตัวปลอม นางก็เกรงว่าจะมีคนได้รับบาดเจ็บจึงลงกลอนประตูดับไฟ เพื่อให้เฟยอินคิดว่านางเข้านอนเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะมองไปรอบ ๆ ห้องอีกครั้งและหายเข้าไปในมิติทันที‘เฉินหนงวันนี้ข้ามีเรื่องอยากจะรบกวนเจ้าสักเล็กน้อยได้หรือไม่’‘นายหญิงเชิญท่านพูดมาได้เลยขอรับว่าต้องการสิ่งใด’‘รบกวนเจ้าช่วยปรับสูตรยาทารักษาแผลที่เคยให้ข้าหน่อยสิ อย่างเช่นใช้ทาสามวันแผลถึงจะสมานจนเกือบหายดี ไม่เอาทาปุ๊บหายปั๊บเช่นของข้านะเฉินหนง ประเดี๋ยวจะเกิดเรื่องใหญ่เอาได้’‘ได้สิขอรับเรื่องนี้ง่ายมากไม่ทราบว่านายหญิงต้องการยาจำนวนกี่กระปุกขอรับ’‘อืมมม ขอแยกเป็นสองฝั่งก็แล้วกันนะเฉินหนง กระปุกที่มีด้ายสีแดงเป็นของส่วนตัวข้า ส่วนกระปุกที่มีด้ายสีเหลืองเป็นของคนที่ข้าจะใช้เพื่อช่วยรักษาแผลให้น่ะ ครั้งนี้ข้าขออย่างละสิบกระปุก และต้องเป็นกระปุกขนาดไม่เล็กจนเกินไปนะเฉินหนง’‘เช่นนั้นข้าจะนำชั้นวางของจากร้านค้าด้านตลาดของท่าน มาวางกระปุกยาแต่ละชั้นจะเป็นยาที่ท่านสั่งทำในแต่ละครั้งนะขอรับ นายหญิงต้องการใช้ยามใดแค่คิดจำนวนไว้ ยาจะปรากฏตามที่คิดทันทีขอรับ’‘อื้ม ข
ฟู่หลงเหยียนและเจียงหยวนยังคงซ่อนตัวอยู่ พวกเขาอยากรู้ว่าสองพี่น้องจะรับมือคนพวกนี้ เพื่อหาทางเอาตัวรอดอย่างไร “พวกเจ้าเอาตัวเด็กสองคนนั่นลงมา อย่ามัวชักช้ายืดยาด หากงานไม่สำเร็จละก็ จะกลายเป็นพวกเราที่ต้องตายแทน” ซานถูลงไปยืนรอยังจุดที่เลือกไว้ สำหรับการขุดหลุมฝังเจียงข่ายเหวินและฟู่เจียฉี“ถุ้ย!! อย่าเอามือสกปรกของเจ้ามาถูกตัวน้องสาวข้า” เจียงข่ายเหวินตะคอกลูกน้องซานถูทันที เมื่อมือหยาบนั้นกำลังจะดึงตัวฟู่เจียฉี ออกไปจากอ้อมกอดของตน“เหวินเกอไม่ต้องกลัวนะ ฉีเอ๋อร์จะปกป้องท่านเองเจ้าค่ะ” ฟู่เจียฉีมิใช่เด็กหญิงตัวน้อยขี้แย เพราะมีบิดาคอยสอนให้เข้มแข็งมีสติ ถึงจะเป็นเด็กแต่เมื่อมีสติก็สามารถเอาตัวรอดได้“ฮ่า ๆ ๆ ลูกพี่ดูเจ้าเด็กสองคนนี่สิ ช่างเป็นญาติพี่น้องที่รักกันดีเสียเหลือเกิน” เกาจิ่งหัวเราะกับท่าทางของฟู่เจียฉี“เหอะ ก็คงเห็นตัวอย่างจากบิดมารดากระมัง เร็ว ๆ ๆ พาตัวลงจากรถม้าได้แล้ว ยังต้องขุดหลุมอีกพวกเจ้าอย่าลืมสิ” ซานถูเร่งลูกน้องของตนให้ทำตามคำสั่งขณะที่เกาจิ่งหันไปพูดคุยกับซานถู ฟู่เจียเฟยได้หยิบห่อยาพิษที่บิดาเพิ่งมอบให้ ก่อนจะแบ่งให้เจียงข่ายเหวินอีกสองห่อ เด็กชายมองหน้า
ณ จวนตระกูลเจียงหลังจากอวี้จิ่นออกเรือนแต่งเข้าตระกูลฟู่ ลูกสะใภ้ของตระกูลเจียงอย่างจ้าวเจียเฟย ก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย ซึ่งในอนาคตเขาขคือผู้สืบทอดตระกูลเจียงต่อจากบิดา ชื่อของหลานชายฮ่องเต้ผู้เป็นเสด็จตา ประทานนามให้ว่า ‘ข่ายเหวิน’ หมายถึง ผู้ชนะและมีความรู้ และชื่อนี้ก็เข้ากับลักษณะนิสัยของเจ้าตัวน้อยได้เป็นอย่างดีนอกจากมารดาจะเป็นที่โปรดปรานแล้ว เมื่อให้กำเนิดหลานชายย่อมได้รับความโปรดปราน ไม่ต่างจากผู้เป็นมารดาเช่นกัน สร้างความอิจฉาริษยาให้กับองค์ชายองค์หญิงที่มีหลานให้กับฮ่องเต้ องค์ชายองค์หญิงที่รู้จักประมาณตน จะอบรมสั่งสอนบุตรของตนให้รักญาติพี่น้อง แต่สำหรับคนที่จิตใจดำมืดเกินเยียวยา ย่อมสั่งสอนและปลูกฝังความริษยาลงในจิตใจของบุตร ตระกูลเจียงมีทายาทแล้ว ทางด้านตระกูลฟู่จะไม่มีได้อย่างไร หลังจากเจียงข่ายเหวินอายุได้สองหนาว อวี้จิ่นแต่งเข้าจวนฟู่ได้ครึ่งปีก็ตั้งครรค์ และให้กำเนิดบุตรสาวนามว่าฟู่เจียฉี หากจะกล่าวว่าญาติผู้พี่เจียงข่ายเหวินหล่อเหลาตั้งแต่เยาว์วัย ญาติผู้น้องอย่างฟู่เจียฉีจะน้อยหน้าได้หรือ เด็กหญิงเกิดมาพร้อมกับดวงหน้ารูปหยดน้ำ จมูกโด่งได้รูปรับกับใบหน้า ริ
หลังจากตระกูลฟู่และตระกูลเจียง ได้แลกหนังสือหมั้นหมายของบุตรชายบุตรสาว ข่าวลือเรื่องทั้งสองตระกูลจะเกี่ยวดองกัน ก็แพร่กระจายไปตามร้านรวงต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว คนที่อวยพรให้ทั้งสองสุขสมก็มีอยู่มาก คนที่อิจฉาริษยาก็มีไม่น้อย ล้วนเป็นสตรีที่ยังไม่ออกแต่แล้วอย่างไรในเมื่อฟู่หลงเหยียนมิได้สนใจ พวกนางก็เป็นได้แค่เศษฝุ่นที่ลอยไปกับสายลมเท่านั้น เพราะในสายตาของฟู่หลงเหยียน ไม่เคยละไปจากคู่หมั้นที่เริ่มจะเปล่งประกายความงามหลังจากนั้นอีกสามเดือนต่อมา ปรากฏว่าองค์หญิงใหญ่ตั้งครรภ์ อย่างที่อวี้จิ่นเคยบอกพวกเขาเอาไว้จริง ๆ เจียงหยวนแอบไปพบน้องสาว เพราะเขาอยากรู้ว่าเด็กในครรภ์องค์หญิงใหญ่ เป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง เขาจะได้เตรียมรับมือบุตรคนได้ถูก พอได้รู้ว่าตนเองจะได้บุตรชาย การวางแผนเลี้ยงดูจึงถูกคิดขึ้นทันทีตั้งแต่อวี้จิ่นกลายเป็นคู่หมั้นของหัวสำนักตรวจการ หากไม่มีภารกิจลับและออกเดินทางไปต่างเมือง ข้างกายของอวี้จิ่นย่อมมีบุรุษร่างสูงใหญ่กำยำ นามว่าฟู่หลงเหยียนอยู่กับนางเสมอ จนเหล่าบุรุษที่มั่นใจว่าตนเองหน้าตาหล่อเหลา ต้องวิ่งหาที่หลบแทบไม่ทัน แค่ฟู่หลงเหยียนจ้องมองพวกเขาก็หายไม่ออกกันแล้วทุก
ฟู่หลงเหยียนพาอวี้จิ่นกลับมาส่งที่จวน ภายหลังที่พลุถูกจุดจนหมดเรียบร้อยแล้ว ด้วยตอนมาร่วมงานเขานั่งรถม้า ยามนี้จำเป็นต้องยืมเจ้าเสี่ยวหงกลับจวนไปก่อน และค่อยนำมันมาคืนอวี้จิ่นทีหลังอวี้จิ่นยืนส่งฟู่หลงเหยียนขี่เจ้าเสี่ยวหง จนแผ่นหลังของเขาหายลับไปจากสายตา ถึงได้เดินเข้าจวนอย่างอารมณ์ดี ทำให้คนเดินตามหลังอย่างตงลู่กับเฟยอิน เอ็นดูกับท่าทางที่เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวเขินอาย อยากจะหัวเราะแต่ต้องอดกลั้นเอาไว้แต่พอมาถึงเรือนของตนอวี้จิ่นพบว่า เป่าจูสาวใช้ของพี่สะใภ้ กำลังเดินไปมาชะเง้อมองหาใครอยู่ “หืม นั่นใช่พี่เป่าจูสาวใช้ของพี่สะใภ้ใช่ไหมพี่เฟยอิน”“ใช่จริง ๆ ด้วยเจ้าค่ะคุณหนู ว่าแต่นางมาทำอะไรที่เรือนของท่าน ยามนี้มิใช่ต้องอยู่รอรับใช้องค์หญิงใหญ่หรอกรึ?”เป่าจูเมื่อเห็นอวี้จิ่นกลับมาที่เรือน จึงสาวเท้าไปหานางดั่งพายุ สร้างความงุนงงจนอดคิดไม่ได้ว่า จะเกิดเรื่องอันใดที่เรือนของพี่ชายตนหรือไม่“คุณหนูเจียงในที่สุดท่านก็กลับมาเสียทีเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของเป่าจูดูร้อนรนแปลก ๆ“พี่เป่าจูท่านมารอพบข้ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่เจ้าคะ”“คือบ่าวมารอพบคุณหนูที่นี่ เพราะมีเรื่องจะรบกวนท่านจริง ๆ เจ้าค่ะ”“พี่เ
ซีอ๋องอยู่ร่วมงานเลี้ยงชนะสงครามเท่านั้น อีกสองวันต่อมาจึงออกเดินทางพร้อมหีบยาจำนวนมาก ยังมีเมล็ดพันธุ์ผักที่อวี้จิ่นใจดีมอบให้อีกหนึ่งหีบ ที่สำคัญทรงอยากกลับไปชำระความ กับสตรีชั่วที่ปองร้ายบุตรชายเพียงคนเดียวของตน ซึ่งตอนนี้นางกำลังตั้งตนเป็นเจ้าของตำหนักอ๋อง จนลืมไปว่านางเป็นแค่ชายารองเท่านั้นข่าวลือที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว เรื่องฤกษ์มหามงคลที่มีขึ้น ในอีกสามสัปดาห์ต่อจากนี้ ทำเอาวังหลวงวุ่นวายจนเวียนหัว เพื่อเตรียมงานอภิเษกสมรสขององค์หญิงใหญ่ พระธิดาคนโปรดของฮ่องเต้ให้ออกมาดีที่สุด ห้ามขาดตกบกพร่องแม้แต่นิดเดียวส่วนตระกูลเจียงถือว่าโชคดีมาก ที่อวี้จิ่นได้บอกมารดาไว้ก่อนหน้านี้ ทุกอย่างในจวนจึงพร้อมต้อนรับสะใภ้ใหญ่ หลังจบงานเลี้ยงวันถัดมายามปลายยามเฉิน ขบวนสินสอดนับร้อยหีบผูกด้วยผ้าสีแดง พร้อมสามหนังสือหกพิธีการนำไปส่งมอบให้กับฮองเฮา ก็ทยอยออกจากจวนตระกูลเจียงมุ่งหน้าไปยังวังหลวงทันทีชาวบ้านสองข้างทางต่างหยุดมอง และเริ่มพูดถึงเรื่องสมรสพระราชทานอีกครั้ง ตระกูลใดที่รอจัดงานพร้อมแม่ทัพเจียง ต่างเร่งจัดเตรียมข้าวของเรือนหอ อาหารการกินที่ต้องใช้เลี้ยงแขกในงาน เผื่อว่าการแต่งงานในฤก
หลังจากหวาอานส่งจดหมายกลับไปยังเหอหยาง เมื่อแม่ทัพเสียนมู่ได้อ่านเนื้อหาในจดหมาย จึงนำกำลังทหารบางส่วนมุ่งหน้าไปยังจวนซีอ๋อง เพื่อรับตัวซื่อจื่อมาดูแลเป็นการชั่วคราว คราแรกพระชายารองไม่ยินยอม แต่พอได้เห็นป้ายผู้แทนของซีอ๋อง ที่อยู่ในมือของแม่ทัพเสียนมู่แล้ว ถึงได้ยอมปล่อยซื่อจื่อให้แม่ทัพเสียนมู่พาตัวกลับจวนส่วนเจ้าของคำสั่งที่พักอาศัยในจวนแม่ทัพใหญ่ ได้เห็นแปลงผักที่หลากหลายก็เกิดความสนใจ ซีอ๋องคิดว่าหากกองทัพหรือราษฎรที่เหอหยาง สามารถปลูกพืชผักได้เช่นจวนแม่ทัพใหญ่ ย่อมมีเสบียงสำรองมากพอยามฤดูเหมันต์มาเยือน ทุกคนต้องผ่านความอดอยากได้แน่เมื่อซีอ๋องถามกับบ่าวไพร่เรื่องการปลูกผัก คำตอบที่ได้ก็เกี่ยวกับบุตรสาวแม่ทัพใหญ่อีกแล้ว จนกระทั่งได้มานั่งพูดคุยเรื่องการค้า ซีอ๋องจึงถือโอกาสสอบถามอวี้จิ่นเรื่องผักที่ปลูกด้วยเสียเลย“คุณหนูเจียงเรื่องสัญญาการค้ายาสมุนไพร เปิ่นหวางยินดีทำตามข้อเสนอของเจ้า เพียงแต่ว่ามีอีกเรื่องที่เปิ่นหวางอยากรู้”“ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ยอมทำการค้า กับร้านยาเล็ก ๆ ของหม่อมฉันเพคะ ว่าแต่ท่านอ๋องทรงอยากทราบเรื่องอันใดหรือเพคะ”“เปิ่นหวางอยากถามเกี่ยวกับวิธีปลูกผัก ให้ไ
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงบุปผาในวังหลวง ถูกพูดถึงในเช้าวันต่อมาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเรื่องของเลี่ยวหลวนเฉิน สมรู้ร่วมคิดกับโจรหยางเสวียน กดขี่ข่มเหงขูดรีดเงินภาษีจากชาวเมืองซุยโจว เมื่อถึงเวลานำตัวทาสทุกคนออกเดินทาง จึงใช้เวลานานกว่าทุกครั้งเพราะผู้คนสองข้างทาง ต่างเฝ้ารอขว้างปาสิ่งของและด่าทอสาปแช่ง กว่าจะหลุดพ้นจากประตูเมืองหลวง ก็บาดเจ็บกันไปไม่น้อยกับทาสทั้งหลายหลังจากงานเลี้ยงจบลงได้ไม่ดีเท่าใดนัก อีกสามวันต่อมารัชทายาทจ้าวเจาเยี่ยน ก็กลับมาจากการทำภารกิจตามราชโองการ แต่รัชทายาทกลับไปชำระล้างพระวรกายที่ตำหนักบูรพา จากนั้นจึงเสด็จไปเข้าเฝ้ากราบทูลรายงานต่อพระบิดา“ถวายพระพรเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”“อืม ลุกขึ้นเถิดรัชทายาท เจ้าเพิ่งกลับมาถึงเช่นนั้นรึ” ฮ่องเต้ทรงเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของโอรสก็ทรงทราบแล้ว“พ่ะย่ะค่ะ ลูกเพิ่งกลับมาถึงเมื่อยามซื่อ และต้องการรายงานเรื่องน้ำที่เมืองสุยโจวพ่ะย่ะค่ะ” รัชทายาทมิอาจรั้งรอได้นาน เนื่องจากต้องรีบคัดเลือกขุนนางไปรับตำแหน่งเจ้าเมือง“ปัญหาเรื่องน้ำที่เมืองสุยโจวเป็นอย่างไร สาเหตุเกิดจากภัยธรรมชาติหรือฝีมือของมนุษย์กันแน่”“ทูลเสด็จพ่อเป็น
ภายหลังที่ได้หลักฐานและล่วงรู้แผนชั่วแล้ว ฟู่หลงเหยียนมาส่งอวี้จิ่นด้วยวิธีเดิม และไม่ลืมพูดถึงเรื่องงานเลี้ยงบุปผา ที่ฮองเฮาจะจัดขึ้นในอีกเจ็ดวันข้างหน้า เขาบอกให้อวี้จิ่นและมารดารออยู่ที่จวน แล้วเขาจะเป็นคนมารับอวี้จิ่นด้วยตนเองพอกลับมาถึงจวนฟู่หลงเหยียนย่อมไปพบบิดา เพื่อบอกเล่าแผนการของเลี่ยวหลวนคุน และยังมีหลักฐานที่สายของตนได้มา“ก๊อก ๆ ๆ ท่านพ่อข้าเองขอรับ”“เข้ามาเถิดอาเหยียน”เมื่ออนุญาตให้บุตรชายเข้ามาในห้องหนังสือได้ ก็มีห่อผ้าวางลงตรงหน้าของฟู่กั๋วกง คำถามจึงเกิดจากสายตาโดยไม่ต้องมีคำพูด“เรียนท่านพ่อ ในห่อผ้านี้เป็นสมุดบัญชีที่ใต้เท้าเลี่ยว แอบนำไปฝังไว้ใต้ดินหลังจากเสร็จสิ้นการประชุม สายของเราที่อยู่ในจวนสังเกตเห็นท่าทางมีพิรุธ ถึงได้ตามไปเงียบ ๆ จากนั้นก็ขุดมันออกมามอบให้ข้าขอรับ”“หมายความว่าสิบปีที่ผ่านมา ใต้เท้าเลี่ยวติดต่อกับโจรป่าหยางเสวียน และแบ่งปันทรัพย์สินจากการปล้น รวมถึงเงินที่เก็บภาษีจากชาวบ้านด้วยงั้นรึ” ฟู่กั๋วกงไม่คิดมาก่อนว่าใต้เท้าเลี่ยว จะเก็บซ่อนความลับนี้ได้นานถึงสิบปี โดยไม่มีผู้ใดระแคะระคายแม้แต่น้อย“คาดว่าจะเป็นเช่นที่ท่านพ่อพูดมาขอรับ ส่วนเรื่อง
หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลเศรษฐีม่าย เมื่อพยานอย่างม่ายจิ่นเม่ยให้การกับใต้เท้ากวน และลูกน้องทั้งสองของท่านหมอซัง ยอมสารภาพทุกอย่างต่อใต้เท้ากวน เพราะพวกเขาถูกดวงวิญญาณหญิงสาว ตามมาคอยหลอกหลอนจนนอนไม่หลับ ไหนจะความเจ็บปวดจากยาพิษของอวี้จิ่น ทำให้พวกเขาอยากตายเพื่อหลุดพ้นความทรมานเมื่อมีทั้งพยานที่ยังรอดชีวิตและคำสารภาพ จากคนเป็นลูกน้องของซังปินจีทั้งสองคน โทษประหารชีวิตย่อมเกิดขึ้นแน่นอน เพียงแค่ก่อนจะลงดาบประหารนั้น ใต้เท้ากวนได้ให้ทั้งสามคนได้รู้ซึ้งถึงความทรมาน ของหญิงสาวที่ตกตายด้วยน้ำมือของพวกเขาเสียก่อน ด้วยการให้เจ้าหน้าที่ทำการแขวนคอนักโทษ พอใกล้จะขาดใจก็หย่อนเชือกให้หายใจต่อ ทำเช่นนั้นอยู่ถึงสามครั้งถึงจะนำตัวไปตัดหัว“เจ้าหมอชั่วจงตกนรกอย่าได้กลับมาเกิดเป็นคนอีกเลย”“ถ้าพวกเจ้ากลับมาเกิดขอให้เป็นสัตว์เดรัจฉาน ที่เป็นเหยื่อให้สัตว์ใหญ่ไล่ล่ากินเนื้อพวกเจ้า”“สงสารหญิงสาวที่ต้องตายเพราะคนชั่วจริง ๆ ขอให้พวกเจ้าไปสู่สุขคติด้วยเถิด”ในวันประหารชีวิตมีชาวบ้านไม่น้อยมามุงดู หนึ่งในนั้นย่อมเป็นครอบครัวตระกูลม่าย ที่ได้รับความเป็นธรรมและยังมีชีวิตอยู่ต่อไปก่อนครอบครัวตระกูล