จิ้งโม่และมู่ฉีกลับที่พักของพวกตนทันที หลังจากออกมาจากค่ายทหาร ในจดหมายจิ้งโม่เขียนไว้อย่างละเอียด รวมถึงเรื่องที่เจียงหยวนกำลังออกเดินทางไปรอเจ้านาย อาจจะเป็นที่เมืองชางโจว เมื่อภารกิจสำเร็จทั้งสองจึงไปดื่มฉลองกันเล็กน้อยตามประสาบุรุษ
ด้านแม่ทัพใหญ่ที่กลับมาถึงจวนในยามเซิน ได้สั่งให้พ่อบ้านเจียงไปแจ้งที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าว่า เย็นนี้เขาจะพาฮูหยินไปรับสำรับเย็นที่นั่น และบอกให้แม่ครัวเตรียมอาหารไว้มากกว่าเดิมสักหน่อย ก่อนที่ตัวของแม่ทัพใหญ่จะกลับไปชำระล้างร่างกายเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อไปพบฮูหยินที่ไม่ยอมออกจากจวนมาหลายปี
มู่เสียสาวใช้คนสนิทของจางฮูหยิน เมื่อเห็นว่านายท่านของจวน มาพบนายหญิงของตนเร็วกว่าทุกวัน จึงจะเข้าไปบอกเจ้านายแต่ว่านางถูกนายท่านเรียกตัวเอาไว้เสียก่อน
“มู่เสีย”
“คารวะนายท่านเจ้าค่ะ”
“เจ้าไม่ต้องไปรายงานน้องหญิง แต่ไปเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ดูชุดที่มีสีสันสดใสสักเล็กน้อยก็แล้วกัน วันนี้ข้าจะพานางไปรับอาหารเย็นที่เรือนท่านแม่” แม่ทัพใหญ่สั่งงานกับมู่เสีย ก่อนจะเข้าไปหาฮูหยินของตน ที่ยังคงมีสีหน้าไร้ชีวิตชีวาเช่นทุกวัน
“เอ่อ เจ้าค่ะนายท่าน” มู่เสียทำท่าคล้ายมีคำถาม แต่ก็ต้องหยุดเอาไว้และแยกตัวไปทำตามคำสั่งเจ้านาย
เมื่อสั่งงานสาวใช้อย่างมู่เสียแล้วแม่ทัพใหญ่จึงเข้าในห้องนั่งเล่น ซึ่งมีฮูหยินของตนที่ยามนี้รางกายซูบผอมลงไปมาก นั่งพักผ่อนอยู่บนตั่งนอนเหม่อมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง พอเห็นสตรีที่รักเป็นเช่นนี้ยิ่งทำให้แม่ทัพใหญ่เจ็บปวดใจเสียเหลือเกิน พาลนึกโกรธคนบ้านรองที่ทำให้ฮูหยินของเขาต้องกลายเป็นคนอมทุกข์
ตึก ตึก ตึก
“มู่เสียเจ้าช่วยไปบอกแม่ครัวว่าวันนี้ยกสำรับมาไม่ต้องมาก ข้าไม่รู้สึกหิวเท่าใดนัก ให้แบ่งส่วนของข้าให้เจ้าแทนก็แล้วกัน” จางฮูหยินคิดว่าคนที่เดินเข้ามาคือมู่เสีย ไม่คิดว่าจะเป็นสามีของตน
“หากเจ้าทานน้อยลง วันนี้พี่คงไม่บอกข่าวดีกับเจ้าแน่อวี้เอ๋อร์” แม่ทัพใหญ่เอ่ยเย้าแหย่ฮูหยินของตน
“ขวับ! ท่านพี่เหตุใดวันนี้ถึงกลับเร็วได้เจ้าคะ หรือว่าให้อาหยวนรับหน้าที่ดูแลการฝึกทหารแทนอีกแล้ว”
“ที่พี่กลับจวนเร็วเพราะมีเรื่องดีเกิดขึ้นกับพวกเรา และพี่อยากจะบอกเจ้ากับท่านแม่พร้อมกัน ถึงได้มารับเจ้าอย่างไรเล่า”
“มีเรื่องดีเกิดขึ้นกับพวกเราหรือเจ้าคะ เอ่อ หรือว่าท่านพี่ไปทำสตรีคนไหนตั้งครรภ์ แล้วจะรับเข้าจวนใช่ไหมเจ้าคะ” จางฮูหยินคิดไปไกล
“หึ ๆ ๆ เจ้าคิดไปถึงไหนกันอวี้เอ๋อร์ ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดแน่นอน หากเป็นเช่นนั้นจวนของเราคงมีเรือนหลังมากมายไปแล้ว หากเจ้าอยากรู้ว่าคือเรื่องอะไร ก็รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ก่อนเถิด”
“ทำไมฟังแล้วมีลับลมคมในแปลก ๆ เจ้าคะ บอกตอนนี้เลยมิได้หรือเจ้าคะท่านพี่”
“ไม่ได้หรอก เจ้าค่อยฟังพร้อมกับท่านแม่จะดีกว่า แล้วพวกเราก็รับสำรับที่เรือนท่านแม่เสีย เพราะพี่สั่งพ่อบ้านเจียงให้ไปแจ้งท่านแม่ไว้แล้วว่า วันนี้พวกเราจะทานอาหารเป็นเพื่อนท่านแม่” แม่ทัพใหญ่ใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเห็นท่าทางอยากรู้ของฮูหยิน ภายในใจได้แต่ภาวนาขอให้หญิงสาวที่ฟู่หลงเหยียนพบเจอนั้น เป็นบุตรสาวของพวกเขาจริง ๆ เถิด
“ก็ได้เจ้าค่ะ” จางฮูหยินจำต้องทำตามคำขอของสามี
แม่ทัพใหญ่นั่งรอเพียงสองเค่อกว่า ๆ ฮูหยินของตนก็ออกมา พร้อมกับสวมชุดที่เขาสั่งมู่เสียให้เตรียมไว้ จากนั้นจึงประคองฮูหยินค่อย ๆ เดินไปยังเรือนชุ่ยฮวาของมารดา ที่ยามนี้นั่งจิบชารอบุตรชายอยู่ในห้องรับแขกของเรือน
“มากันแล้วหรืออากุ่ย” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยทักบุตรชายและลูกสะใภ้
“ลูกคารวะท่านแม่ขอรับ”
“ลูกสะใภ้คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ”
“ไปนั่งที่เก้าอี้คุยกันดี ๆ เถิดอาอวี้ยิ่งไม่แข็งแรงอยู่” ฮูหยินผู้เฒ่าสงสารลูกสะใภ้อยู่ไม่น้อย เพราะนางอยากมีบุตรสาวที่น่ารักสักคนมาก
“ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ”
“อืม แม่ได้ยินว่าเจ้าให้พ่อบ้านเจียงบอกแม่ครัวทำอาหารมากกว่าทุกวัน มีเรื่องดี ๆ อันใดเกิดขึ้นกับตระกูลเจียงของเราหรืออากุ่ย” ผ่านมาหลายปีหากไม่ใช่วันไหว้บรรพบุรุษจะไม่มีการทำอาหารเยอะเช่นนี้
“เจียงเล่อเจ้ากับพ่อบ้านเจียงคอยตรวจรอบ ๆ เรือน แม่นมฮวนรบกวนท่านให้สาวใช้ออกไปอยู่ที่สวนดอกไม้ด้วย” แม่ทัพใหญ่ไม่อาจวางใจใครได้หากต้องพูดเรื่องสำคัญ
“ขอรับ/เจ้าค่ะ”
แม่นมฮวนที่สั่งให้สาวใช้ทั้งหมดออกไปด้านนอกเสร็จ จึงกลับมาคอยดูแลฮูหยินผู้เฒ่าในห้องเช่นเดิม ส่วนเจียงเล่อกับพ่อบ้านเจียงคอยเดินตรวจรอบ ๆ เรือนป้องกันมิให้ใครมาแอบฟัง
“อากุ่ยนี่มันเรื่องอะไรกันแน่ถึงได้เข้มงวดเพียงนี้” ฮูหยินผู้เฒ่าตกใจกับการกระทำของบุตรชาย
“ท่านแม่อย่าได้เข้าใจผิดที่ข้าทำเช่นนี้ แค่ป้องกันคนจากบ้านรองเท่านั้นขอรับ เนื่องจากเรื่องที่ข้าจะบอกกับท่านแม่และอวี้เอ๋อร์นั้น เป็นความลับแต่ก็เป็นข่าวดีสำหรับพวกเราด้วยเช่นกัน” แม่ทัพใหญ่รีบอธิบายให้มารดาของตนเข้าใจ ว่าสิ่งที่ทำลงไปมีสาเหตุมาจากอะไร
“หากเป็นอย่างที่เจ้าพูดมา เรื่องนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับบ้านรองโดยตรง ไม่ว่าจะผ่านไปนานกี่ปีสตรีนางนั้นก็ไม่เคยปล่อยวาง จนอายุล่วงเลยมาถึงป่านนี้แล้ว ก็ยังอยากมีอำนาจเหนือข้าเช่นเดิม ไม่พอยังสั่งสอนบุตรหลานให้มีความคิดเหมือนกับนางอีก” ฮูหยินผู้เฒ่านึกถึงสตรีผู้เป็นอนุของสามีที่ได้มาเพราะแผนสกปรกของนางผู้นั้น
“ท่านพี่เจ้าคะท่านบอกข้ากับท่านแม่มาเถิด แท้จริงแล้วมันคือเรื่องอะไรกันแน่ ท่านถึงได้ระวังตัวมากแม้อยู่ในเรือนของท่านแม่”
“ได้ก่อนอื่นขอให้ท่านแม่กับอวี้เอ๋อร์ ตั้งสติให้ดีเรื่องที่ข้าจะบอกต่อไปนี้เกี่ยวข้องกับเยี่ยนเอ๋อร์ เมื่อยามเฉินของวันนี้มีคนของอาเหยียนมาขอพบอาหยวนกับข้าที่ค่ายฝึกทหาร พวกเขามาเพื่อสอบถามเกี่ยวกับกุญแจหยกอายุยืนของตระกูลเจียง เพราะว่าอาเหยียนพบสตรีนางหนึ่งที่เมืองเฉียนโจวและนางมีหยกชิ้นนี้อยู่กับตัว นอกจากนี้นางยังพูดอีกว่าจะมาตามหาครอบครัวที่เมืองหลวง”
“อากุ่ย!!/ท่านพี่!!” ทั้งฮูหยินผู้เฒ่าและจางฮูหยิน อุทานเรียกแม่ทัพใหญ่ขึ้นพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
“ท่านพี่แต่เยี่ยนเอ๋อร์ตาย หลังจากที่ข้าคลอดนางออกมาแล้วนะเจ้าคะ คนที่มากับหมอตำแยยังพาร่างของนางมาให้ข้าดูด้วยซ้ำ แล้วเรื่องนี้จะเป็นไปได้หรือเจ้าคะว่านางจะยังมีชีวิตอยู่” จางฮูหยินเห็นกับตาของนางเองว่าบุตรสาวไม่หายใจแล้ว
“นั่นน่ะสิอากุ่ย พวกเรานำร่างของเยี่ยนเอ๋อร์นอนในโลงศพด้วยตนเอง เรื่องนี้ไม่น่าเป็นไปได้พวกเขาจำผิดหรือไม่อากุ่ย” ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังไม่เชื่อว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ได้
“คราแรกข้าก็ไม่เชื่อ จนกระทั่งคนของอาเหยียนตั้งข้อสังเกตถึงการตายของเยี่ยนเอ๋อร์ หากนางได้เติบโตเป็นคุณหนูใหญ่แห่งจวนแม่ทัพเช่นข้า แน่นอนว่าทั้งเชื้อพระวงศ์จากตำหนักทั้งหลาย รวมถึงตระกูลขุนนาง ย่อมต้องการเกี่ยวดองกับข้าผ่านทางบุตรสาวมิใช่หรือ ถ้าไม่มีเยี่ยนเอ๋อร์สักคนแล้วใครกัน ที่จะเรียกความสนใจจากคนเหล่านั้น” แม่ทัพใหญ่บอกถึงความสงสัยถึงการตายของบุตรสาว
“จะเป็นใครไปไม่ได้ เพราะในวันนั้นสะใภ้บ้านรองก็คลอดบุตรสาวเช่นกัน หรือเรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับพวกขี้อิจฉาใช่ไหมอากุ่ย”
“คะ คะ คนบ้านรองวางแผนสังหารเยี่ยนเอ๋อร์ของข้างั้นหรือ ฮึก ๆ ทำไมกันนางเพิ่งจะคลอดออกมาจากท้องของข้า พวกเขาจิตใจอำมหิตเกินไปแล้ว ฮือ ๆ เยี่ยนเอ๋อร์ลูกแม่” จางฮูหยินยังคงทำใจกับเรื่องนี้ไม่ได้ ตลอดเวลานับสิบกว่าปีนางเอาแต่โทษตนเอง
“ฮูหยินเจ้าคะทำใจดี ๆ ไว้ก่อนนะเจ้าคะ ถ้าเป็นอย่างที่นายท่านพูดมาแสดงว่าหญิงสาวคนนั้น อาจจะเป็นคุณหนูที่ยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ ก็ได้นะเจ้าคะ” มู่เสียรีบเข้าไปปลอบใจเจ้านาย ที่ยังเสียใจกับการตายของบุตรสาว
“ใช่แล้วอวี้เอ๋อร์ คนของอาเหยียนคิดว่าหมอตำแยนั่น น่าจะทำการสลับร่างเด็กทารก เอาร่างเด็กทารกที่ตายแล้วมาให้เจ้าดู ส่วนเยี่ยนเอ๋อร์ตัวจริงหมอตำแยเป็นคนพานางไป แต่ตัดใจทำร้ายนางไม่ได้ จึงเก็บนางไว้และเลี้ยงดูจนเติบโต และด้วยความรู้สึกผิดหมอตำแยจึงยอมเล่าความจริง ทำให้เยี่ยนเอ๋อร์อยากเดินทางมาเมืองหลวงตามหาพวกเราอย่างไรเล่า” แม่ทัพใหญ่พูดปลอบใจฮูหยินของตน
“ลูกสะใภ้พวกเราคิดไปในทางที่ดีไว้ก่อนเถิดนะ รอให้นางมาถึงเมืองหลวงก็จะได้รู้แล้วว่าใช่เยี่ยนเอ๋อร์หรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่าปลอบใจลูกสะใภ้และปลอบใจตนเองในคราวเดียวกัน
“ฮึก เจ้าค่ะท่านแม่”
“ถือเสียว่าพวกเรายังมีความหวัง และที่อาหยวนไม่กลับมาที่จวน เพราะข้าให้ออกเดินทางไปรอขบวนของอาเหยียนกลางทาง เผื่อว่านางจะติดตามมาด้วย แต่สิ่งที่สำคัญในตอนนี้คือท่านแม่กับอวี้เอ๋อร์ ต้องบำรุงร่างกายให้มากหน่อย หากว่านางคือเยี่ยนเอ๋อร์จริง ๆ ระวังจะไม่มีแรงพูดคุยเล่นกับนางนะ” แม่ทัพใหญ่อ้างเรื่องนี้เพื่อให้สตรีทั้งสองคนทานอาหารให้มากขึ้น
“ท่านแม่ที่ท่านพี่พูดมาก็ถูก ระหว่างนี้พวกเราต้องบำรุงร่างกายกันแล้วนะเจ้าคะ เกิดว่าเยี่ยนเอ๋อร์แข็งแรงมากกว่าคงจะถูกนางกลั่นแกล้งแน่ ๆ เจ้าค่ะ” จางฮูหยินนึกอยากเห็นหญิงสาวคนนั้นเสียแล้ว
“ได้ ๆ แม่ฟังพวกเจ้า เช่นนั้นวันนี้ก็ทานข้าวให้มากหน่อยเถิดนะ”
“แม่นมฮวนประคองท่านแม่ไปที่ห้องอาหารเถิด”
“เจ้าค่ะนายท่าน”
“พวกเราก็ไปกันเถิดฮูหยิน จากนี้ไปเจ้าต้องยิ้มให้มากนะรู้ไหม ยามที่เยี่ยนเอ๋อร์กลับมาจะได้เห็นว่าท่านแม่ของนาง ยามที่มีรอยยิ้มนั้นงดงามน่ามองมากเพียงใด พี่คิดว่าเยี่ยนเอ๋อร์จะต้องเหมือนเจ้าแน่ ๆ” แม่ทัพใหญ่ตกหลุมรักจางฮูหยินก็เพราะรอยยิ้มที่งดงามของนาง
“ท่านพี่ละก็รีบตามท่านแม่ไปได้แล้วเจ้าค่ะ”
แม่ทัพใหญ่รู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง ที่เห็นจางฮูหยินเริ่มจะกลับมายิ้มได้ บรรยากาศการทานอาหาร ในเรือนชุ่ยฮวาของบ้านหลัก ช่างอบอุ่นและไม่เครียดพูดคุยเรื่องทั่วไปไม่ติดขัด แต่มันช่างขัดกับอารมณ์ของคนบ้านรองสกุลเจียงยิ่งนัก
บรรยากาศบนโต๊ะทานอาหารของบ้านรองตระกูลเจียง ยามนี้เต็มไปด้วยความน่าอึดอัดเพราะในใจของแต่ละคน ต่างมีแผนการอยากมีอำนาจบารมีมากกว่าเดิมยิ่งตัวของเจียงซูลี่ ที่ทุกวันนี้ใช้เงินหมดไปกับการซื้อเสื้อผ้าเครื่องประดับ เมื่อได้รู้ว่าจากปากบิดาว่าจินกุ้ยเฟยสนใจในตัวนางอยากจะทาบทาม ให้เป็นพระชายารองอีกคนขององค์ชายหก คนในจวนจึงไม่มีใครขัดใจไม่ว่า เจียงซูลี่อยากได้อะไรล้วนตามใจทุกอย่าง
“อาฉินเรื่องที่จินกุ้ยเฟยพูดกับเจ้าเกี่ยวกับลี่เอ๋อร์ พระนางจะกราบทูลกับฝ่าบาทเมื่อใดรึ พวกเราจะได้เตรียมตัวล่วงหน้าไว้ก่อน ยามที่ได้ฤกษ์อภิเษกจะได้ไม่ฉุกละหุกจนเกินไป” ฮูหยินผู้เฒ่าอิ๋นถามกับบุตรชายเพียงคนเดียวของตน
“คงไม่เกินสองสามวันนี้ขอรับท่านแม่ คนของจินกุ้ยเฟยบอกกับข้าอย่างนั้น เนื่องจากระยะนี้ฝ่าบาทมีฎีกาจากพวกขุนนางท้องถิ่นหลายฉบับ จึงมิได้เสด็จไปที่ตำหนักของจินกุ้ยเฟย แต่พระนางรับปากไว้แล้วย่อมไม่ผิดจากที่พูดไว้แน่นอน ท่านแม่วางใจเถิดขอรับ” เจียงกุ้ยฉินยามนี้มีตำแหน่งเป็นรองเจ้ากรมขุนนาง หากว่าเขามิใช่น้องชายของแม่ทัพใหญ่เจียง มีหรือที่จินจือคงจะยอมให้จินกุ้ยเฟยดึงมาเป็นพวก เพื่อใช้ประโยชน์เกี่ยวกับแผนการดึงกำลังทหารของตระกูลเจียง
“ก็ดีหากภายหน้าเจ้าช่วยสนับสนุนองค์ชายหก ขึ้นนั่งบัลลังก์มังกรได้ บ้านรองของเราจะมีอำนาจเหนือบ้านหลักเสียที ข้าไม่อยากเห็นนางเฟยซิ่นเชิดหน้าชูคออยู่เหนือข้าเช่นทุกวันนี้อีกต่อไปแล้ว”
“ท่านแม่อดใจรออีกสักนิดเถิดเจ้าค่ะ เชื่อฝีมือของท่านพี่แม้ว่าลี่เอ๋อร์จะได้เป็นพระชายารองขององค์ชายหก แต่แค่ตำแหน่งนี้ก็เสริมบารมีให้ท่านแม่ดูสูงส่งกว่านางแก่บ้านหลักเป็นไหน ๆ เพราะพวกมันไม่มีหลานสาว เพื่อแต่งกับเชื้อพระวงศ์เหมือนกับท่านแม่อย่างไรล่ะเจ้าคะ” เย่จือเหมยลูกสะใภ้ที่เจียงกุ้ยฉินหามานั้น มีนิสัยคล้ายคลึงกับมารดาของตนอย่างมาก
“จริงด้วยเจ้าค่ะท่านย่า หลานเห็นสภาพที่ไม่น่ามองของพวกนาง คิดว่าอีกไม่นานพวกมันก็น่าจะตาย โดยที่พวกเราไม่ต้องลงมือก็ได้เจ้าค่ะ อี๋ แค่นึกภาพหลานก็ทานอะไรไม่ลงแล้วนะเจ้าคะท่านย่า” เจียงซูลี่ทำท่าทางขยะแขยงคนบ้านหลักดั่งเป็นของสกปรกก็มิปาน
“ท่านแม่ข้าก็เบื่อขี้หน้าคนบ้านหลักเต็มทีเช่นกันขอรับ แต่ว่าข้ากำลังคิดหาวิธีจะส่งคนเข้าไปที่บ้านหลัก เพื่อหาทางจัดการกับพวกมันทั้งสี่คนให้ตกตายภายในสามเดือน หากพวกมันยังอยู่ใต้เท้าจินคงลงมือตามแผนไม่สะดวกนัก ข้าคิดว่าจะส่งสตรีเข้าไปเป็นสาวใช้ และจัดการวางยาพิษนางแก่นั่นพร้อมลูกสะใภ้ หนามยอกอกของข้ากับท่านแม่จะได้หายไปเสียทีขอรับ” เจี้ยกุ้ยฉินเตรียมแผนการนี้มาสักพักแล้ว
“ฮึ ให้พวกมันตายทั้งหมดในเร็ววันได้ยิ่งดี พวกเราจะได้กลายเป็นบ้านหลักแทนและทุกสิ่งทุกอย่าง ย่อมกลายมาเป็นของเราทั้งหมด ข้าจะใช้สมบัติของพวกมันเสวยสุขให้ดู ฮ่า ๆ ๆ” ฮูหยินผู้เฒ่าอิ๋นนับวันรอที่จะได้ครอบครองตระกูลเจียงอย่างเต็มตัวเสียที
แต่เจียงกุ้ยฉินยังไม่รู้ว่ายามนี้ ที่จวนพระราชทานของบ้านหลัก แม่ทัพใหญ่ได้สั่งการเจียงเล่อและพ่อบ้าน ให้ทหารและบ่าวที่ฝึกฝนไว้คอยจับตาดูคนในจวนอย่างใกล้ชิด หากพบว่าใครมีพิรุธให้จับตัวไปไต่สวนทันที ไม่ว่าใครเสนอขายตัวมาเป็นบ่าว ห้ามผู้ใดรับเข้ามาเด็ดขาดถ้าพบว่าใครกล้าขัดคำสั่งลงโทษโบยทันทียี่สิบไม้ และขายออกไปทันที
นับว่าบ่าวไพร่ในจวนของแม่ทัพใหญ่ยังรู้จักเลือกนาย ไม่สร้างปัญหาให้กับเจ้าของจวน และยังช่วยกันเฝ้าระวังคนแปลกหน้าอยู่เสมอ
เมื่อคนที่เจียงกุ้ยฉินส่งไป ไม่สามารถเข้าไปในจวนบ้านหลักได้ ทำเอาเจียงกุ้ยฉินโมโหถึงขั้นทำลายข้าวของ ลงโทษบ่าวไพร่ด้วยความรุนแรงอย่างไร้เหตุผล แต่กระนั้นก็ยังไม่ล้มเลิกความคิด เขายังคงหาหนทางวางแผนเพื่อกำจัดพี่ชายต่างแม่คนนี้ให้ได้
แต่ที่มากไปกว่านั้นคือเรื่องของเจียงหยวน ที่ออกเดินทางได้ไปถึงหูเสนาบดีจิน จากคนที่คอยจับตาดูสองพ่อลูก แม้จะไม่รู้ว่าเจียงหยวนจะไปที่ใด เสนาบดีจินยังสั่งให้คนติดตามไป และจ้างพวกนักฆ่าที่มีฝีมือตามไปกำจัดเจียงหยวนกลางทางเสีย
ตระกูลเจียงสายหลักและสายรองในเมืองหลวง กำลังต่อสู้กันอยู่อย่างเงียบ ๆ มีเพียงคนที่เป็นสหายเท่านั้น ที่รับรู้ว่าสองพี่น้องต่างแม่เกลียดกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ไม่ว่าอย่างไร คนที่เป็นฝ่ายชนะมักจะเป็นแม่ทัพใหญ่อยู่เสมอทางด้านเมืองเฉียนโจว นายกองจั๋วได้เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว เหลือเวลาอีกหนึ่งวัน ฟู่หลงเหยียนจะนำตัวนักโทษออกเดินทางเสียที แต่ในต้นยามเฉินฟู่หลงเหยียนก็ได้รับจดหมายจากจิ้งโม่“นายน้อยขอรับจดหมายจากจิ้งโม่น่าจะเพิ่งมาถึง คงเกี่ยวกับเรื่องของคุณหนูอวี้จิ่นนะขอรับ” เฉินอิ่นนำจดหมายออกจากขานกพิราบ ที่บินมาจากเมืองหลวงมอบให้เจ้านายของเขา“อืม ขอบใจ”ฟู่หลงเหยียนรับจดหมายมาเปิดอ่านที่เขียนมาสั้น ๆ แต่สามารถเข้าใจความหมายที่จิ้งโม่บอกมาเป็นอย่างดี‘ตระกูลเจียง คาดว่าทารกถูกสับเปลี่ยนและเป็นแผนร้ายของตระกูลสายรอง สหายของนายน้อยกำลังเดินทางไปสมทบ’“หึ นางเป็นบุตรสาวของตระกูลนี้จริง ๆ สินะ” เมื่อได้รับการยืนยันจากข่าวของจิ้งโม่ ฟู่หลงเหยียนจึงมั่นใจเต็มส่วน ว่าอวี้จิ่นคือบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ บิดาของสหายของตนอย่างเจียงหยวน“เอ่อ นายน้อยข่าวของจิ้งโม่ว่าอย่างไรบ้างหรือขอรับ เจอตระกูลครอบค
ณ บ้านเช่าราคาถูกเก่า ๆ ในมุมหนึ่งของเมืองใหญ่ มีหญิงสาว วัยยี่สิบปีเธอมีชื่อว่า ‘หยก’ ตั้งแต่เล็กจนโตเธอถูกเลี้ยงดูจาก บ้านเด็กกำพร้า ไม่เคยรู้ที่มาที่ไปว่าเธอเองมาจากไหนพ่อแม่เป็นใคร และเธอไม่สนใจที่จะตามหาอดีตให้เจ็บปวดหากพบเจอความจริง อันโหดร้าย จึงเลือกใช้ชีวิตด้วยการทำงาน หาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่เรียนจบมัธยมปลายหยก พยายามใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากในวันที่เธออายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์มีบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งมันเป็นเรื่องดีและร้ายในคราวเดียวกัน เมื่อลืมตาตื่นหลังผ่านวันเกิด อายุครบสิบแปดปี หยกสามารถมองเห็นชะตาชีวิตของคนที่บังเอิญ มาสัมผัสโดนตัวของเธอ หยกสติแตกไปหลายวันกว่าจะรวบรวมสติกลับมาได้ เธอตัดสินใจเล่าให้เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวอย่างไพลินฟัง และเพื่อนสนิทคนนี้นี่เอง ที่สนับสนุนให้หยกใช้ความสามารถนี้ เพื่อหาเงินจากพวกคนรวยที่เชื่อเรื่องทำนายดวงชะตา“ลินฉันเล่าให้แกฟังแค่คนเดียวแล้ว อย่าเอาไปเล่าให้ใครฟังล่ะ ฉันไว้ใจที่แกเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของฉัน หวังว่าจะไว้ใจแกได้ ในเรื่องนี้นะลิน ฉันไม่อยากถูกคนอื่นมองว่าเป็นคนบ้า” เพราะคนที่ไม
ดวงวิญญาณของหยกถูกพลังงานบางอย่าง ดึงไปอย่างแรง เธอไม่มีโอกาสบอกลาเพื่อนสนิท เพียงคนเดียวอย่างไพลิน ที่ป่านนี้ คงร้องไห้เป็นเผาเต่า เมื่อรู้ว่าเธอตายในกองเพลิงแห่งนั้นด้วยแรงดึงมหาศาล ดวงวิญญาณของหยกเข้าไปอยู่ในร่าง ของเด็กสาวคนหนึ่ง ที่ถูกงูพิษกัดที่ข้อเท้าด้วยร่างกายที่อ่อนแอ จึงไม่อาจหาสมุนไพรแก้พิษได้ทัน จึงต้องตายอย่างน่าอนาจ ซึ่งที่นี่เป็นโลกคู่ขนานของยุคจีนโบราณ ที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนในประวัติศาสตร์ เมื่อหายใจและลืมตาขึ้นรอบ ๆ ตัวของหยกคือป่าแห่งหนึ่งของหมู่บ้านลิ่วหยางหยกจึงพยายามชันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ต้องล้มลงนอนอีกครั้ง พร้อมอาการปวดหัวที่ทำเอาเธอตาพร่ามัวไปหมด ภาพในหัวตอนนี้ เป็นความทรงจำของเจ้าของร่างตั้งแต่เด็ก มีหญิงชราคนหนึ่งเลี้ยงดู มาจนเติบโต แต่มักจะมีสายตาที่เศร้าสร้อย ยามมองมาที่ร่างบาง และที่สำคัญ เจ้าของร่างยังเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาเลี้ยง“ทำไมคำขอของไอ้หยก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงให้ไม่ได้กันมันน่าโมโหนักโอ๊ย! นี่สิ่งศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์ หูหนวกตาบอดกันหรือยังไง หนูขอก่อนตายว่าอยากมีพ่อแม่ที่ร่ำรวย มีเงินมีทองใช้ไม่ขาดมือนะคะ แล้วนี่คืออะไร ชาติก่อ
อวี้จิ่นบอกลาเพื่อนบ้าน หลังจากผ่านงานศพของยายเฒ่าลิ่ว ได้เจ็ดวัน โดยใช้ข้ออ้างว่าจะไปตามหาบุตรหลานของยายเฒ่าลิ่วเท่านั้น เพื่อนบ้านต่างอวยพรให้อวี้จิ่นปลอดภัยและทำภารกิจสำเร็จ บางคน มีมอบอาหารให้นางนำติดตัวไปคนละเล็กละน้อย ทำเอาอวี้จิ่น ถึงกับน้ำตาซึมที่เห็นความมีน้ำใจจากชาวบ้านเพราะหมู่บ้านอยู่ไม่ไกลจากตำบล จึงใช้การเดินเท้าอวี้จิ่นสำรวจสองข้างทางไปเรื่อย ๆ เพื่อเรียนรู้ทุกสิ่งในโลกใบใหม่ แต่ถ้านางต้องการเข้าเมืองย่อมไม่อาจเดินเท้าไปเองได้ ด้วยระยะทางที่ไกลจึงอาศัย การนั่งเกวียนหรือรถม้าเท่านั้น ยังดีที่อวี้จิ่นมีเงินติดตัวมาห้าตำลึงเงิน กับเศษเหรียญอีแปะอีกเล็กน้อย นางถึงได้นั่งเกวียนวัวเข้าเมือง จ้าวโจวรอบสุดท้ายพอดี กว่าจะมาถึงเมืองจ้าวโจวก็เป็นเวลาพลบค่ำอวี้จิ่นอาศัยอารามร้างนอกเมืองเป็นที่หลับนอน เนื่องจากตอนนี้นางต้องประหยัดเงินไว้ก่อน ซึ่งที่นี่มีชาวบ้านที่นำของป่าที่ดูมีราคามาขายในเมือง พวกเขาก็เลือกที่จะพักในอารามร้างเช่นเดียวกัน แต่เป็นข่าวดีสำหรับอวี้จิ่นเมื่อชาวบ้านที่นั่งผิงไฟ เริ่มพูดถึงบุตรสาวของท่านเจ้าเมือง ที่หายออกจากจวน แม้จะส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตามหาก็ยัง
ระหว่างการเดินทางจากเมืองจ้าวโจวใช้เวลาถึงเจ็ดวัน กว่ารถม้าจะพาอวี้จิ่นมาถึงเมืองเฉียนโจว ที่ดูจะคึกคักไม่น้อยมีผู้คนเดิน สวนทาง เข้าออกเมืองกันอย่างคับคั่ง ทั้งพ่อค้าแม่ค้าหรือนักเดินทาง จากต่างแคว้น แต่ถึงบรรยากาศยามกลางวันดูผู้คนพลุกพล่าน ใช้ชีวิตกันอย่างปกติทั่วไปเหมือนเมืองอื่น ๆ หากเมื่อใดใกล้ถึงยามค่ำคืนในเมืองเฉียนโจวกลับเงียบสนิท และเป็นครั้งแรกที่อวี้จิ่นรู้สึกว่า ที่เมืองเฉียนโจวมีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้น“แม่นางน้อยพวกเรามาถึงเมืองเฉียนโจวแล้วขอรับ ข้าคง ส่งท่านถึงแค่หน้าประตูเมืองเท่านั้น หวังว่าท่านจะไม่โกรธนะขอรับ” คนบังคับรถม้าไม่อยากค้างคืนที่นี่ เพราะข่าวลือเรื่องยามค่ำคืนที่น่ากลัว“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านลุง ขอบคุณท่านมากที่มาส่งข้าว่าแต่ทำไมท่านลุง ไม่พักเหนื่อยที่เมืองเฉียนโจวเสียก่อนล่ะเจ้าคะ เดินทางมาตั้งไกลม้าเองก็น่าจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยนะเจ้าคะ” อวี้จิ่นสงสัยกับสายตา ที่ดูหวาดกลัวบางอย่าง“เอ่อ ฮ้าย! หากข้าพูดให้แม่นางน้อยฟังแล้ว ท่านต้องมีสติ ให้ดี ที่ข้าไม่อยากพักที่เมืองเฉียนโจวเป็นเพราะว่ามีข่าวลือเกิดขึ้น ในยามกลางคืนมักจะมีผีสาวนางหนึ่งออกอาละวาด แ
ล่วงเลยเข้าปลายยามห้าย อวี้จิ่นออกจากห้องพักแสร้งเดินเล่น ไปตามถนนในเมืองเฉียนโจว ในมือข้างซ้ายถือลูกผิงกั่วกัดกินไปด้วย ท่ามกลางความเงียบสงัดอย่างที่คนบังคับรถม้าบอก ทำให้รู้สึกวังเวง อยู่ไม่น้อย แต่นั่นไม่ช่วยให้ความอยากรู้ลดลงแต่อย่างใด ด้านบนหลังคายังมีคนกลุ่มหนึ่งคอยตามอวี้จิ่นไปเงียบ ๆหลังจากเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่หลายมุม จนเริ่มจะเมื่อยขาและอวี้จิ่นคิดว่า คืนนี้ไม่น่ามีเหตุการณ์ในข่าวลือเกิดขึ้น จึงคิดจะเดิน กลับโรงเตี๊ยมเพื่อนอนพักเอาแรง ยามที่กำลังคิดเรื่องกลับห้องพัก ก็มีเสียงหัวเราะแทรกเข้ามา ด้วยบรรยากาศที่เงียบเชียบ พอมีเสียงหัวเราะกลับกลายเป็นความรู้สึกน่ากลัว สำหรับคนในเมืองเฉียนโจวยิ่งนัก แต่อวี้จิ่นทำเพียงหยุดเดินและรอคอยอย่างตั้งใจ ว่าผีสาวตนนี้จะทำอะไรกับนาง ถ้าหากนางถามคำถามออกไป มันจะตอบคำถามของนาง ได้หรือไม่“ฮิ ๆ ๆ อาหารของข้า”“โอ๊ะ!! ในที่สุดก็ออกมาจนได้ ขอดูหน้าหน่อยก็แล้วกัน ว่าจะเป็น ผีสาวใบหน้างดงามหรือน่าขยะแขยง”“ฮ่า ๆ ๆ มาเป็นอาหารให้ข้าเสียเถิดเด็กน้อย แผล่บ ๆ”“ขวับ!! สวัสดีตอนดึกเจ้าค่ะ เป็นผีทำไมถึงรู้สึกหิวได้ล่ะ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยน
ยามค่ำคืนที่ผ่านมาเป็นครั้งแรก ที่ฟู่หลงเหยียนไม่ฝันถึงเรื่องราวในอดีต เมื่อลืมตาตื่นขึ้นในเช้าวันใหม่ จึงรู้สึกสดชื่นอย่างที่ไม่เคย รู้สึกมาหลายปี เขาไม่รู้จะขอบคุณสตรีที่แสนจะธรรมดาไม่เหมือนใคร แม้แต่ชื่อแซ่ก็ลืมถามไถ่กับนางไว้ ก่อนจะจากกันไปเสียได้ ฟู่หลงเหยียนตั้งใจไว้ว่าเช้านี้เขาจะถามชื่อของนางเป็นอย่างแรกทางด้านอวี้จิ่นที่เพิ่งตื่นนอนในต้นยามเฉิน พอตั้งสติได้ก็เกือบ หัวทิ่มหัวตำลงจากเตียงด้วยความเร่งรีบ เมื่อนางนึกขึ้นได้ว่าใกล้ถึงเวลา ที่ฟู่หลงเหยียนจะมารับนาง เพื่อไปเก็บหลักฐานการกระทำความผิด ของเจ้าเมืองเฉียนโจว อวี้จิ่นรีบล้างหน้าบ้วนปากอาบน้ำอย่างรวดเร็ว ผมเผ้าทำเพียงเก็บรวบมัดยกเป็นหางม้าเท่านั้นเมื่อเดินออกมาด้านหน้าโรงเตี๊ยม บุรุษในชุดคลุมสีดำสองคน มายืนรอนางอยู่ก่อนแล้วพร้อมม้าอีกสองตัว ทำเอาอวี้จิ่นละอายใจเล็กน้อยได้แต่กล่าวขอโทษ ที่นางตื่นสายทำให้ทั้งสองคนต้องรอนาน“อุ๊ย! แหะ ๆ ๆ ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ปล่อยให้พวกท่านรอนานเช่นนี้ ถ้าวันไหนข้าเข้านอนดึกมักจะตื่นสายเช่นนี้ประจำเจ้าค่ะ”“ไม่เป็นไร พวกข้าสองคนเพิ่งจะมาถึงไม่นานเช่นกัน เจ้าพอ จะบอกที่ซ่อนของหลักฐาน
เมื่อทั้งสามคนเดินมาถึงห้องส่วนตัวขนาดกลาง มีนักบวชคอยเฝ้าเอาไว้สองคน ก่อนจะเข้าไปได้ย่อมมีค่าผ่านประตู เรื่องนี้อวี้จิ่นย่อมเห็นจากภาพนิมิตมาแล้วจึงอาสาจัดการเอง“เดี๋ยวก่อนประสกทั้งสาม หากต้องการใช้ห้องสวนมนต์แห่งนี้ พวกท่านทราบถึงกฎเกณฑ์ของทางวัดแล้วหรือไม่”“คารวะไต้ซือเจ้าค่ะ คุณชายของข้าเพิ่งมาจากต่างเมือง เพื่อมาขอพรเกี่ยวกับการทำงานครั้งใหญ่ เห็นว่าที่วัดของตระกูลอวี่มีผู้คนเคารพนับถืออย่างมาก จึงอยากมากราบไหว้สักครั้ง ส่วนเรื่องกฎของทางวัด ข้าทราบเป็นอย่างดีว่าต้องทำอย่างไร ของในตะกร้าใบนี้หวังว่าไต้ซือจะอนุญาตให้คุณชายของข้า ได้เข้าไปสวดมนต์เป็นการส่วนตัวนะเจ้าคะ” พวกเห็นแก่เงินจะไม่รับไว้ได้อย่างไร ในตะกร้านั่นมีก้อนตำลึงเงินอยู่หลายก้อนเชียวนะ“อืม เมื่อประสกตัวน้อยรู้จักทำตามกฎของวัด คุณชายของท่านย่อมสามารถเข้าไปสวดมนต์ด้านในได้ เชิญ” ไต้ซือตัวปลอมมัวแต่สนใจก้อนตำลึงในถุงผ้าใบเล็กในตะกร้าจึงไม่เอะใจคำพูดของอวี้จิ่นเท่าใดนัก“ขอบคุณไต้ซือเจ้าค่ะ ที่เห็นใจชาวบ้านอย่างเรา เชิญคุณชายเข้าไปสวดมนต์เถิด งานที่ท่านหวังไว้จะได้สำเร็จโดยเร็วนะเจ้าคะ” อวี้จิ่นหันไปเชื้อเชิญฟู่หลงเหย