ล่วงเลยเข้าปลายยามห้าย อวี้จิ่นออกจากห้องพักแสร้งเดินเล่น
ไปตามถนนในเมืองเฉียนโจว ในมือข้างซ้ายถือลูกผิงกั่วกัดกินไปด้วย ท่ามกลางความเงียบสงัดอย่างที่คนบังคับรถม้าบอก ทำให้รู้สึกวังเวง อยู่ไม่น้อย แต่นั่นไม่ช่วยให้ความอยากรู้ลดลงแต่อย่างใด ด้านบนหลังคายังมีคนกลุ่มหนึ่งคอยตามอวี้จิ่นไปเงียบ ๆหลังจากเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่หลายมุม จนเริ่มจะเมื่อยขาและอวี้จิ่นคิดว่า คืนนี้ไม่น่ามีเหตุการณ์ในข่าวลือเกิดขึ้น จึงคิดจะเดิน
กลับโรงเตี๊ยมเพื่อนอนพักเอาแรง ยามที่กำลังคิดเรื่องกลับห้องพัก ก็มีเสียงหัวเราะแทรกเข้ามา ด้วยบรรยากาศที่เงียบเชียบ พอมีเสียงหัวเราะกลับกลายเป็นความรู้สึกน่ากลัว สำหรับคนในเมืองเฉียนโจวยิ่งนัก แต่อวี้จิ่นทำเพียงหยุดเดินและรอคอยอย่างตั้งใจ ว่าผีสาวตนนี้จะทำอะไรกับนาง ถ้าหากนางถามคำถามออกไป มันจะตอบคำถามของนาง ได้หรือไม่“ฮิ ๆ ๆ อาหารของข้า”
“โอ๊ะ!! ในที่สุดก็ออกมาจนได้ ขอดูหน้าหน่อยก็แล้วกัน ว่าจะเป็น
ผีสาวใบหน้างดงามหรือน่าขยะแขยง”“ฮ่า ๆ ๆ มาเป็นอาหารให้ข้าเสียเถิดเด็กน้อย แผล่บ ๆ”
“ขวับ!! สวัสดีตอนดึกเจ้าค่ะ เป็นผีทำไมถึงรู้สึกหิวได้ล่ะ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยนะว่า วิญญาณคนตายจะรู้สึกหิวเหมือนคนปกติ”
“...?...”
“อ๋า เมื่อกี้ยังพูดอยู่เลยทำไมเงียบไปไม่ตอบคำถามข้าล่ะ หรือว่าจะหิวจนพูดไม่ออก เอานี่ไปกินรองท้องก่อนไหม ผลไม้นี้เรียกว่าผิงกั่ว
มันอร่อยมากเลยนะ ลองชิมดูแล้วเจ้าจะติดใจ” อวี้จิ่นหันไปถามกับผี ชุดขาวผมเผ้ารุงรังไม่เห็นใบหน้า และยังมีน้ำใจยื่นผลผิงกั่วให้ผีได้ชิมอีก‘อึก...!? นางเด็กนี่มีผลไม้ราคาแพงได้อย่างไร จากเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ ดูก็รู้ว่าฐานะยากจน แต่กลับมีผลผิงกั่วกินอย่างเอร็ดอร่อย ข้าทำงาน ให้ใต้เท้าอวี่มาตั้งนานยังไม่กล้าซื้อมากิน ฮึ่ม นี่นางกล้าหยามข้าซึ่งหน้าเช่นนี้เชียวรึคงต้องสั่งสอนเสียหน่อยแล้ว’
เจียนฉือลูกน้องอีกคนของเจ้าเมืองเฉียนโจว คิดอย่างดูถูกฐานะของอวี้จิ่นจากเสื้อผ้าที่นางใส่อยู่ เขาทำหน้าที่แต่งตัวเป็นผีสาวออกมาอาละวาดหลายเดือน เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้ชาวบ้าน ทั้งในเมือง
และนอกเมือง สำหรับเปิดทางให้เจ้าเมืองเฉียนโจวและคนใต้บัญชา ขององค์ชายหก ลักลอบนำเกลือเถื่อนเข้ามาก่อนจะกระจายออกไปขาย และวิธีนี้ช่วยให้องค์ชายหก ได้เงินจากการค้าเกลือเถื่อนแต่ละครั้ง หลายหมื่นตำลึงทอง ซึ่งจะนำไปเลี้ยงดูกองกำลังที่แอบซ่องสุมไว้“พี่สาวอย่าได้เกรงใจ มีของดีก็แบ่งกันกินคนละนิดคนละหน่อย กินคนเดียวมันจะไปอร่อยได้อย่างไรกัน อ่ะ ท่านถือไว้แล้วค่อยกัดทีละนิดจะได้รู้ว่ามันอร่อยมากแค่ไหน” อวี้จิ่นฉวยโอกาสที่เจียนฉือยืนนิ่งจ้องมา
ที่นางเดินเข้าไปใกล้และจับมือของเขาขึ้นมาแต่สิ่งที่อวี้จิ่นคาดไม่ถึงคือ ภาพที่ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้สัมผัสมือของเจียนฉือและนางเอาแต่ยืนนิ่ง เพราะกำลังปะติดปะต่อเรื่องราวจากภาพที่เห็น ว่าแท้จริงแล้วเป็นอย่างที่นางคิด ข่าวลือที่เกิดขึ้นคือฝีมือของคนและยังเป็นขุนนางอีกด้วยขณะนั้นเองกลุ่มคนที่คอยตามอวี้จิ่นมา เห็นว่านางยืนนิ่ง
ไม่ยอมขยับ ฟู่หลงเหยียนกำลังคิดว่านางคงถูกทำร้าย จึงกระโดดลงไปด้านล่างทันที เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เจียนฉือ ใช้มือทั้งสองข้างผลัก ร่างของอวี้จิ่น เนื่องจากนางไม่ทันระวังตัว เมื่อถูกผลักออกอย่างแรง ร่างของอวี้จิ่นจึงหงายหลัง เกือบจะบาดเจ็บเพราะความไม่รอบคอบ ของตน แต่เป็นฟู่หลงเหยียนที่กระโดดเข้ามารับร่างของนางเอาไว้เสียก่อน“ปึก อ๊ะ!!”
พรึ่บ! หมับ! ตุบ
“พวกเจ้าสามคนช่วยกันจับตัวมันไว้ อย่าปล่อยให้หนีรอดไปได้”
ฟู่หลงเหยียนเมื่อรับร่างบางไว้แล้ว จึงออกคำสั่งกับคนสนิททั้งสามทันที“ขอรับ/ขอรับ/ขอรับ”
“บาดเจ็บที่ใดหรือไม่” เมื่อร่างบางยืนได้มั่นคง ฟู่หลงเหยียน
จึงถามถึงอาการบาดเจ็บกับร่างบางในอ้อมแขนอวี้จิ่นที่ยังหลับตาอยู่ เพราะคิดว่าตนเองต้องเจ็บตัวแน่ ๆ
แต่พอได้ยินเสียงทุ้มติดไปทางดุเล็กน้อยถามกับตนเอง จึงตอบกลับไป ทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่เช่นเดิม“มะ มะ ไม่เจ้าค่ะ ดีที่ท่านมารับข้าไว้ทันจึงไม่บาดเจ็บ
ขอบคุณท่านมากที่ช่วยข้าเอาไว้เจ้าค่ะ”“หึ ควรมองหน้าผู้มีพระคุณยามต้องพูดคำว่าขอบคุณมิใช่หรือ”
“อ่อ ขอบคุณคุณชายมากที่ช่วยรับข้าเอาไว้จะ จะ เจ้าค่ะ” อวี้จิ่น
พูดจบและเงยหน้ามองผู้มีพระคุณก่อนจะอึกอัก เมื่อรู้สึกถึงอะไรบางอย่างทั้งยินดีและเกรงกลัวในคราวเดียวกัน“หึ ๆ ๆ ไม่เป็นอะไรก็ดี เจ้าหลบอยู่ด้านหลังข้าจะปลอดภัยกว่านะ และหวังว่าต่อไปจะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้กับเจ้าอีก”
“เชอะ! ครั้งนี้ข้าแค่ไม่ทันระวังตัวเท่านั้นแหละ เจ้าผีบ้านั่นถึงมีโอกาสทำร้ายข้าได้ เป็นคนดี ๆ ไม่ชอบกลับชอบทำตัวปลอมเป็นผีสาว
มาทำร้ายคน เจ้านายสารเลวของเจ้าถือว่าฉลาดมากที่ใช้วิธีนี้ แต่แผนการทั้งหมดมันจบลง เมื่อเจ้าต้องมาพบเจอคนอย่างอวี้จิ่น ฮึ” อวี้จินไม่ชอบใจที่ถูกบุรุษตรงหน้าดูถูกความสามารถ จึงลืมตัวพูดถึงแผนการของเจียนฉือที่รับคำสั่งจากเจ้าเมืองเฉียนโจวออกไปไม่รู้ตัว“เจ้านายสารเลว? แผนการร้าย? ที่เจ้าพูดมาหมายความว่าอย่างไร เรื่องข่าวลือมีคนบงการอยู่เบื้องหลังใช่หรือไม่!” ฟู่หลงเหยียน
ได้ยินเต็มสองรูหูและคิดว่าเขาฟังไม่ผิดแน่“ใช่น่ะสิพวกขุนนางชั่วเห็นแก่เงินสมควรถูกทำโทษ อุ๊บ!!”
อวี้จิ่นมัวแต่โมโหจึงลืมตัวบ่นเรื่องขุนนางกังฉินออกไป“เจ้าจะปิดปากตนเองไปทำไมกัน พูดมาเสียขนาดนี้แล้วอย่าคิดจะแก้ตัวว่า เจ้าแค่พูดออกมาตามสถานการณ์เพราะมันไม่ทันแล้วล่ะ”
ยังไม่ทันจะโต้ตอบคนรู้ทัน เสียงเอะอะจากคนที่ถูกจับตัวได้
เรียกสายตาคนทั้งสองให้หันไปมอง เมื่อภายใต้ผมเผ้าที่บดบังใบหน้าไว้ แท้จริงแล้วเป็นบุรุษรูปร่างคล้ายสตรีมิใช่สตรีจริง ๆ“เจ้าจะดิ้นไปทำไมให้เหนื่อยถึงอย่างไรก็หนีไม่พ้นอยู่ดี”
อู่จิ้งเริ่มรำคาญเจียนฉือที่ไม่ยอมหยุดดิ้น“ปล่อยข้า!! หากพวกเจ้าไม่อยากเดือดร้อน จงรีบปล่อยข้าไปเดี๋ยวนี้ ถ้านายท่านของข้ารู้ว่าพวกเจ้าสอดมือเข้ามายุ่ง รับรองว่าพวกเจ้าต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ที่เมืองเฉียนโจวแห่งนี้แน่นอน” เจียนฉือแอบอ้างบารมีเจ้าเมืองมาข่มขู่กลุ่มคนที่จับตัวเขาไว้
“ไอหยา ข้ากลัวจนตัวสั่นไปหมดแล้วเจ้านายของเจ้าต้องมีอำนาจมากใช่ไหม ถึงได้กล้าให้ลูกน้องอย่างเจ้ามาสร้างข่าวลือเช่นนี้” ตงลู่ทำทีว่าเกรงกลัวอำนาจของอีกฝ่ายเหลือเกิน
“นายน้อยจับตัวคนผู้นี้ได้แล้วจะให้พาไปที่ใดดีขอรับ” เฉินอิ่น
สอบถามถึงสถานที่สำหรับการไต่สวนหาความจริง“ปิดปากให้เงียบแล้วพาไปยังตรอกร้างทิศตะวันตก ข้าต้องการรู้ความจริงทั้งหมดในคืนนี้ก่อนจะวางแผนขั้นต่อไป” แต่นั่นต้องขึ้นอยู่กับสตรีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาด้วย
“รับทราบขอรับ รีบเอาตัวมันไปที่นั่น ก่อนจะมีชาวบ้านมาเห็น
เข้าเสียก่อน” เฉินอิ่นหันไปกำชับกับสหายอีกสองคน ก่อนจะฉีกชายเสื้อของเจียนฉือออกมาอุดปากของเจ้าตัวไว้“อื้อ ๆ ๆ”
อวี้จิ่นที่ยืนมองคนแปลกหน้าพาตัวเจียนฉือไป นางคิดว่าคงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตนแล้วจึงจะกลับโรงเตี๊ยม แต่กลับมีมือหนาจับเข้า
ที่ข้อมือของนางเอาไว้ พร้อมกับแรงดึงให้เดินตามคนกลุ่มนั้นไป หมับ!!“เฮ้ย!! ดะ ดะ เดี๋ยวก่อน ๆ ๆ ท่านจะจับมือข้าไว้ทำไมกันเจ้าคะ
แล้วจะพาไปที่ใดข้าจะกลับโรงเตี๊ยมของข้านะเจ้าคะ”“หืม ใครบอกว่าจะให้เจ้ากลับไปโรงเตี๊ยมในยามนี้ เจ้าต้องตามข้าไปและเรื่องในคืนนี้ เจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมาก เพราะเจ้ารู้ในสิ่ง
ที่ข้าไม่รู้ดังนั้นเดินตามไปเสียดี ๆ หากเจ้ายังดื้อดึง ข้าจะอุ้มเจ้าแทนการจับมือว่าอย่างไรจะเลือกอย่างไหนรึ” ฟู่หลงเหยียนข่มขู่อวี้จิ่น เมื่อนางบอกว่าจะกลับโรงเตี๊ยม“ข้าเดินเองได้ท่านแค่เดินนำทางไปก็พอเจ้าค่ะ” จะเลือกได้ยังไง
ที่เขาพูดมานางเสียเปรียบทั้งสองทาง“เอาตามที่ข้าตัดสินใจจับมือเจ้าไว้น่ะดีแล้วจะได้ไม่หลงทางเพราะตรอกร้างที่จะไปมันมืดมาก รีบตามพวกนั้นไปเถิดได้เบาะแสทั้งหมดเมื่อไหร่ ข้าจะไปส่งเจ้าที่โรงเตี๊ยมด้วยตัวเอง” ฟู่หลงเหยียน
ได้จับมือบางที่เขาสามารถกำได้รอบ ก็ได้แต่คิดว่าที่ผ่านมานางได้กิน อิ่มท้องบ้างหรือไม่เหตุใดถึงผอมเหลือเกิน“ข้าจะโต้แย้งไปทำไมในเมื่อท่านตัดสินใจแล้วนี่”
พอเห็นอวี้จิ่นทำหน้าไม่พอใจด้วยการทำแก้มป่องนั่น ทำเอา
คนเย็นชาถึงกับแอบยกยิ้มมุมปากโดยไม่รู้ตัว เขามองว่าท่าทาง ของอวี้จิ่นยามนี้ช่างน่ารักมากเสียจริง และอยากจะแกล้งนางบ่อย ๆ ทั้งที่เขาไม่ใช่คนนิสัยขี้แกล้งเลยสักนิดเมื่อมาถึงตรอกร้าง การเค้นเอาความจริงจากเจียนฉือก็เริ่มขึ้น
ฟู่หลงเหยียนหาที่นั่งให้อวี้จิ่น ในระยะที่ห่างจากคนร้ายพอสมควร เพื่อป้องกันไม่ให้คนร้ายฉวยโอกาสใช้นางเป็นข้อต่อรอง“บอกความจริงเกี่ยวกับนายของเจ้ามาทั้งหมด สิ่งที่ทำอยู่
โดยใช้ข่าวลือเรื่องผีสาวฆ่าคนเพื่ออะไร หากสารภาพโทษหนักจะได้ กลายเป็นเบา แต่หากไม่ยอมสารภาพเจ้าย่อมรู้ดีว่าจะได้รับโทษเยี่ยงไร” ฟู่หลงเหยียนยืนอยู่ด้านหน้าเจียนฉือเพื่อสอบถามความจริง“เพ้ย!! คิดว่าข้าโง่มากไม่รู้ความคิดของพวกเจ้ารึ ไม่ว่าจะพูดหรือไม่พูดก็ต้องรับโทษตายอยู่ดี แล้วข้าจะพูดให้เปลืองน้ำลายทำไม
ฮ่า ๆ ๆ” เจียนฉือรู้ดีว่าการทำงานอันตรายเช่นนี้ หากถูกจับได้ขึ้นมา ย่อมถูกไต่สวนอย่างทรมาน สุดท้ายก็รับโทษตามกฎหมายของแคว้น“อ่อ ถามดี ๆ ไม่ชอบต้องเจ็บตัวก่อนกระมังถึงจะยอมพูด ตงลู่
เจ้าช่วยถามแบบเจ็บ ๆ กับคนร้ายทีสิข้าอยากรู้ว่าจะปากแข็งได้นาน แค่ไหน” ฟู่หลงเหยียนไม่อยากเสียเวลา จึงสั่งตงลู่ออกแรงสั่งสอนเล็กน้อย แต่คำว่าเล็กน้อยของเขามันไม่เหมือนผู้อื่นนี่สิ“ขอรับนายน้อย”
ผัวะ! อ่ะ ผัวะ! อั่ก แค่ก ๆ ๆ
ฟู่หลงเหยียนเห็นตงลู่ลงมือ เขาจึงนึกขึ้นได้ว่ายังมีอวี้จิ่นนั่งดูอยู่ จึงรีบเดินไปขวางหน้าของนางไว้ เพราะไม่อยากให้เห็นความรุนแรงนี้
“อ้าว นี่คุณชายท่านจะมายืนบังไว้ทำไมกันเจ้าคะ หรือท่านคิดว่าข้าจะหวาดกลัวกับเรื่องเช่นนี้ ท่านสบายใจเถิดข้าไม่ได้อ่อนแอ
ถึงเพียงนั้น” เพราะเรื่องต่อยตีไม่ว่ากับบุรุษหรือสตรี ในโลกก่อนอวี้จิ่นล้วนผ่านมาแล้วทั้งสิ้น“งั้นหรือ?” ฟู่หลงเหยียนหันไปมองหน้าอวี้จิ่น ที่กำลังบอกว่าเขาบดบังเรื่องสนุก อย่างการให้ผู้ติดตามของตน ทำการสั่งสอนเพื่อให้คนร้ายยอมสารภาพ
“อืม ข้าขึ้นเขาต้องพบเจอสัตวดุร้ายเป็นประจำ แค่เรื่องลงมือ
เพื่อเค้นเอาความจริงกับคนร้ายถือว่าเรื่องเล็กเจ้าค่ะ แต่ข้าว่าถึงท่าน จะสั่งสอนไปก็เท่านั้น บุรุษผู้นี้ไม่มีทางยอมสารภาพแน่ เอาเป็นว่า ครั้งนี้ข้าจะช่วยเหลือให้ท่านจับคนชั่วมาลงโทษก็แล้วกัน ท่านรับปาก ได้หรือไม่ว่าจะไม่บอกใครว่ารู้มาจากข้าน่ะ” อวี้จิ่นอยากให้ชาวบ้าน ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่ต้องคอยระแวงเกี่ยวกับเรื่องภูตผีอีก อย่างไรเสียความสามารถของนางก็มีไว้ช่วยเหลือคนดี“ได้ข้ารับปากเจ้าจะไม่บอกใครเด็ดขาด ว่ารู้เรื่องทั้งหมด
มาจากเจ้า และยินดีช่วยเหลือหากเจ้าต้องการให้ข้าช่วย ทีนี้บอกมา ได้หรือยังว่าเจ้ารู้อะไรบ้าง เกี่ยวกับเรื่องข่าวลือของเมืองเฉียนโจว”ฟู่หลงเหยียนถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง แม้ในใจจะเกิดความสงสัยว่าสตรีร่างบางที่เขายังไม่รู้จักชื่อแซ่ รู้รายละเอียดเบื้องหลังการปลอม
เป็นภูตผีได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่เขากับนางเข้าเมืองเฉียนโจวในวันเดียวกัน“อืม ข้ารู้ว่าข่าวลือที่สร้างขึ้นบังหน้านี้ เพราะต้องการให้ชาวบ้านหวาดกลัว ไม่กล้าออกจากบ้านยามค่ำคืน เนื่องจากเจ้าเมืองเฉียนโจว ต้องการเปิดทางให้พรรคพวก ลักลอบขนเกลือเถื่อนเข้ามาขายทุก ๆ
สามเดือน ส่วนคนที่เป็นขุนนางตำแหน่งสูงกว่านั้น ข้าได้ยินเจ้าเมืองเรียกว่าใต้เท้าจินและมีอีกคนที่เป็นองค์ชายด้วยเจ้าค่ะ”“นี่เจ้า!! เจ้าเป็นสายลับของใคร เหตุใดถึงรู้ความลับเรื่องนี้ได้?”
เจียนฉือตกใจกับความจริงที่อวี้จิ่นพูดออกมา เรื่องนี้เป็นความลับที่น้อยคนจะรู้ ไม่มีทางที่คนอย่างอวี้จิ่นจะรู้ลึกถึงเพียงนี้แน่
“ห๊ะ!! แค่รู้ความลับชั่ว ๆ ของพวกเจ้า ข้าต้องเป็นสายลับด้วยรึ
แต่ข้าเพิ่งจะมาถึงเมืองเฉียนโจวเมื่อกลางวันนี้เองนะ จะมีความสามารถปลอมตัวเป็นสายลับเข้าจวนเจ้าเมืองทันได้อย่างไร” อวี้จิ่นงุนงงที่คนร้ายกล่าวหาว่านางเป็นสายลับของฝ่ายตรงข้าม“ใต้เท้าจินและองค์ชายงั้นหรือ ที่แท้คนพวกนี้ก็มีแผนการร้าย
ต่อราชบัลลังก์จริง ๆ อู๋จิ้งเจ้าไปหาเช่าจวนหลังเล็กแล้วนำตัวมันไปขังไว้ ที่นั่น อย่าให้หลบหนีออกมาได้ตงลู่เจ้าไปช่วยอู๋จิ้ง ส่วนข้าและเฉินอิ่น จะตามหาหลักฐานที่ซ่อนไว้ทั้งหมดเอง เมื่อได้หลักฐานค่อยนำตัวนักโทษกลับเมืองหลวง” ฟู่หลงเหยียนคิดไว้แล้วว่าขุนนางในราชสำนักต้องมีส่วน“รับทราบขอรับนายน้อย”
อวี้จิ่นพอได้ยินคำว่าเมืองหลวงจากปากของฟู่หลงเหยียน
จึงนึกบางอย่างขึ้นมาได้และต้องการทำข้อแลกเปลี่ยน เพื่อจะขอติดตามเดินทางไปเมืองหลวงกับฟู่หลงเหยียน“เอ่อ คุณชายพวกท่านมาจากเมืองหลวงหรือเจ้าคะ หากข้า
มีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่าง อยากเสนอกับท่านจะได้ไหมเจ้าค่ะ”“หืม เจ้ามีข้อแลกเปลี่ยนกับข้า แล้วสิ่งที่เจ้าต้องการแลกเปลี่ยนคือสิ่งใดหรือ” เขาแปลกใจเล็กน้อยที่จู่ ๆ นางก็บอกว่ามีข้อแลกเปลี่ยน
"ข้าแค่จะขอติดตาม ขบวนเดินทางของพวกท่านไปเมืองหลวงเท่านั้นเจ้าค่ะ” ขอเพียงได้ติดตามขบวนของขุนนาง การเดินทางของตนย่อมปลอดภัย อวี้จิ่นคิดเพียงเท่านี้จริง ๆ
“แค่นี้หรือที่เจ้าต้องการทำการแลกเปลี่ยนกับข้า?”
“ใช่เจ้าค่ะ ข้าคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับท่าน และคนติดตามแต่อย่างใด” พวกเขาเก่งกาจถึงเพียงนี้ แค่สตรีร่างเล็กอย่างนาง
คงไม่มีปัญหากระมัง“ตกลง ข้ายินดีให้เจ้าติดตามขบวนเดินทางไปด้วย ว่าแต่สิ่งที่เจ้าจะใช้แลกเปลี่ยนในครั้งนี้คืออะไร”
“ข้ารู้ว่าหลักฐานที่คุณชายต้องการนั้นซ่อนอยู่ที่ไหน และสามารถพาท่านไปเก็บหลักฐานทั้งหมด เพื่อลงโทษขุนนางชั่วได้เจ้าค่ะ” อวี้จิ่น
พูดด้วยสีหน้าท่าทางจริงจังมาก แต่มันกลับดูน่ามองสำหรับบุรุษร่างสูงอย่างฟู่หลงเหยียนเสียเหลือเกิน“อืม เช่นนั้นคืนนี้ข้าจะส่งเจ้ากลับโรงเตี๊ยม นอนพักผ่อนให้มาก แล้วพรุ่งนี้ยามเฉินข้ากับเฉินอิ่น จะไปรอเจ้าอยู่ตรงหน้าโรงเตี๊ยม
เพื่อไปค้นหาหลักฐานจากที่ซ่อนตามที่เจ้าได้บอกเอาไว้” ฟู่หลงเหยียนพยายามสังเกตอวี้จิ่นว่านางโกหกหรือไม่ แต่แววตาของนางกลับไม่เหมือนคนโกหกแม้แต่น้อย“เจ้าค่ะ”
อวี้จิ่นรู้สึกโล่งอก เมื่อไม่ต้องเดินทางเพียงลำพังอีก แต่เรื่องนี้
กลับทำให้ฟู่หลงเหยียนชอบใจมากกว่า ตลอดการเดินทางกลับเมืองหลวงเขาจะได้ทำความรู้จักกับอวี้จิ่นให้มากกว่านี้ เพราะฟู่หลงเหยียนแน่ใจ แล้วว่า นางคือคนที่ทำให้หัวใจที่ไม่เคยเต้นแรงกับสตรีใดอีก กลับมา มีชีวิตชีวาอีกครั้งด้วยการกระทำที่เป็นธรรมชาติของนาง ซึ่งมันแตกต่างกับอดีตคนรักของเขา ที่เป็นสตรีมีใบหน้างดงาม กิริยามารยาทอ่อนหวานได้รับคำชื่นชมอยู่เสมอ แต่แท้จริงแล้วเขาไม่เคยรู้จักตัวตนจริง ๆ ของนางเลยแม้แต่น้อยยามค่ำคืนที่ผ่านมาเป็นครั้งแรก ที่ฟู่หลงเหยียนไม่ฝันถึงเรื่องราวในอดีต เมื่อลืมตาตื่นขึ้นในเช้าวันใหม่ จึงรู้สึกสดชื่นอย่างที่ไม่เคย รู้สึกมาหลายปี เขาไม่รู้จะขอบคุณสตรีที่แสนจะธรรมดาไม่เหมือนใคร แม้แต่ชื่อแซ่ก็ลืมถามไถ่กับนางไว้ ก่อนจะจากกันไปเสียได้ ฟู่หลงเหยียนตั้งใจไว้ว่าเช้านี้เขาจะถามชื่อของนางเป็นอย่างแรกทางด้านอวี้จิ่นที่เพิ่งตื่นนอนในต้นยามเฉิน พอตั้งสติได้ก็เกือบ หัวทิ่มหัวตำลงจากเตียงด้วยความเร่งรีบ เมื่อนางนึกขึ้นได้ว่าใกล้ถึงเวลา ที่ฟู่หลงเหยียนจะมารับนาง เพื่อไปเก็บหลักฐานการกระทำความผิด ของเจ้าเมืองเฉียนโจว อวี้จิ่นรีบล้างหน้าบ้วนปากอาบน้ำอย่างรวดเร็ว ผมเผ้าทำเพียงเก็บรวบมัดยกเป็นหางม้าเท่านั้นเมื่อเดินออกมาด้านหน้าโรงเตี๊ยม บุรุษในชุดคลุมสีดำสองคน มายืนรอนางอยู่ก่อนแล้วพร้อมม้าอีกสองตัว ทำเอาอวี้จิ่นละอายใจเล็กน้อยได้แต่กล่าวขอโทษ ที่นางตื่นสายทำให้ทั้งสองคนต้องรอนาน“อุ๊ย! แหะ ๆ ๆ ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ปล่อยให้พวกท่านรอนานเช่นนี้ ถ้าวันไหนข้าเข้านอนดึกมักจะตื่นสายเช่นนี้ประจำเจ้าค่ะ”“ไม่เป็นไร พวกข้าสองคนเพิ่งจะมาถึงไม่นานเช่นกัน เจ้าพอ จะบอกที่ซ่อนของหลักฐาน
เมื่อทั้งสามคนเดินมาถึงห้องส่วนตัวขนาดกลาง มีนักบวชคอยเฝ้าเอาไว้สองคน ก่อนจะเข้าไปได้ย่อมมีค่าผ่านประตู เรื่องนี้อวี้จิ่นย่อมเห็นจากภาพนิมิตมาแล้วจึงอาสาจัดการเอง“เดี๋ยวก่อนประสกทั้งสาม หากต้องการใช้ห้องสวนมนต์แห่งนี้ พวกท่านทราบถึงกฎเกณฑ์ของทางวัดแล้วหรือไม่”“คารวะไต้ซือเจ้าค่ะ คุณชายของข้าเพิ่งมาจากต่างเมือง เพื่อมาขอพรเกี่ยวกับการทำงานครั้งใหญ่ เห็นว่าที่วัดของตระกูลอวี่มีผู้คนเคารพนับถืออย่างมาก จึงอยากมากราบไหว้สักครั้ง ส่วนเรื่องกฎของทางวัด ข้าทราบเป็นอย่างดีว่าต้องทำอย่างไร ของในตะกร้าใบนี้หวังว่าไต้ซือจะอนุญาตให้คุณชายของข้า ได้เข้าไปสวดมนต์เป็นการส่วนตัวนะเจ้าคะ” พวกเห็นแก่เงินจะไม่รับไว้ได้อย่างไร ในตะกร้านั่นมีก้อนตำลึงเงินอยู่หลายก้อนเชียวนะ“อืม เมื่อประสกตัวน้อยรู้จักทำตามกฎของวัด คุณชายของท่านย่อมสามารถเข้าไปสวดมนต์ด้านในได้ เชิญ” ไต้ซือตัวปลอมมัวแต่สนใจก้อนตำลึงในถุงผ้าใบเล็กในตะกร้าจึงไม่เอะใจคำพูดของอวี้จิ่นเท่าใดนัก“ขอบคุณไต้ซือเจ้าค่ะ ที่เห็นใจชาวบ้านอย่างเรา เชิญคุณชายเข้าไปสวดมนต์เถิด งานที่ท่านหวังไว้จะได้สำเร็จโดยเร็วนะเจ้าคะ” อวี้จิ่นหันไปเชื้อเชิญฟู่หลงเหย
บนโต๊ะอาหารในจวนเช่าของฟู่หลงเหยียน ยามนี้มันเต็มไปด้วยอาหารหน้าตาแปลก ๆ แต่กลิ่นมันกลับหอมชวนให้ท้องร้องอยากกินเสียเดี๋ยวนั้น สาเหตุมาจากอวี้จิ่นไม่อยากนั่งอยู่เฉย ๆ นางจึงลุกไปยังห้องครัว และลงมือทำอาหารจากเนื้อและผักจากในมิติของตนโดยมีข้ออ้างกับตงลู่ว่า ตนเองแอบออกไปซื้อที่ตลาดมา และห้ามตงลู่บอกกับฟู่หลงเหยียนว่านางออกไปด้านนอก แต่ให้บอกว่าเขาคือคนที่ไปซื้อเนื้อกับผักพวกนี้ ตามคำขอของนาง อวี้จิ่นข่มขู่ตงลู่ด้วยอาหารบนโต๊ะนั่น ถ้าไม่ยอมทำตามที่นางบอกเขาจะอดกินมันอย่างแน่นอนคำข่มขู่ของอวี้จิ่นย่อมเป็นผล เมื่อตงลู่อยากชิมอาหารบนโต๊ะ ซึ่งมันไม่เหมือนอาหารที่เขาเคยทานมาก่อน ตงลู่ต้องออกจากห้วงความคิดของตน เมื่อได้ยินเสียงประตูจวนถูกเปิด เขารีบบอกให้อวี้จิ่นไปซ่อนตัวไว้ ส่วนตนเองจับดาบไว้แน่น ออกไปยืนซ่อนตัวอยู่ด้านหลังประตู แต่คนที่มากลับเป็นเจ้านายของตนมิใช่คนร้าย“แอ๊ดดด!! ชิ้ง!! พวกเจ้าปะ นายน้อย!!”“ตงลู่! นี่เจ้าอยากประลองฝีมือกับนายน้อย ถึงกับถือดาบมาดักรออยู่หลังประตูเชียวรึ” อู๋จิ้งเห็นตงลู่ชักดาบเมื่อประตูเรือนด้านหน้าเปิดออกจึงเรียกสหายทันที“ขออภัยขอรับนายน้อย บ่าวคิดว่ามี
จิ้งโม่และมู่ฉีกลับที่พักของพวกตนทันที หลังจากออกมาจากค่ายทหาร ในจดหมายจิ้งโม่เขียนไว้อย่างละเอียด รวมถึงเรื่องที่เจียงหยวนกำลังออกเดินทางไปรอเจ้านาย อาจจะเป็นที่เมืองชางโจว เมื่อภารกิจสำเร็จทั้งสองจึงไปดื่มฉลองกันเล็กน้อยตามประสาบุรุษด้านแม่ทัพใหญ่ที่กลับมาถึงจวนในยามเซิน ได้สั่งให้พ่อบ้านเจียงไปแจ้งที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าว่า เย็นนี้เขาจะพาฮูหยินไปรับสำรับเย็นที่นั่น และบอกให้แม่ครัวเตรียมอาหารไว้มากกว่าเดิมสักหน่อย ก่อนที่ตัวของแม่ทัพใหญ่จะกลับไปชำระล้างร่างกายเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อไปพบฮูหยินที่ไม่ยอมออกจากจวนมาหลายปีมู่เสียสาวใช้คนสนิทของจางฮูหยิน เมื่อเห็นว่านายท่านของจวน มาพบนายหญิงของตนเร็วกว่าทุกวัน จึงจะเข้าไปบอกเจ้านายแต่ว่านางถูกนายท่านเรียกตัวเอาไว้เสียก่อน“มู่เสีย”“คารวะนายท่านเจ้าค่ะ”“เจ้าไม่ต้องไปรายงานน้องหญิง แต่ไปเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ดูชุดที่มีสีสันสดใสสักเล็กน้อยก็แล้วกัน วันนี้ข้าจะพานางไปรับอาหารเย็นที่เรือนท่านแม่” แม่ทัพใหญ่สั่งงานกับมู่เสีย ก่อนจะเข้าไปหาฮูหยินของตน ที่ยังคงมีสีหน้าไร้ชีวิตชีวาเช่นทุกวัน“เอ่อ เจ้าค่ะนายท่าน” มู่เสียทำท่าคล้ายมีคำถาม แต่ก็ต
ตระกูลเจียงสายหลักและสายรองในเมืองหลวง กำลังต่อสู้กันอยู่อย่างเงียบ ๆ มีเพียงคนที่เป็นสหายเท่านั้น ที่รับรู้ว่าสองพี่น้องต่างแม่เกลียดกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ไม่ว่าอย่างไร คนที่เป็นฝ่ายชนะมักจะเป็นแม่ทัพใหญ่อยู่เสมอทางด้านเมืองเฉียนโจว นายกองจั๋วได้เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว เหลือเวลาอีกหนึ่งวัน ฟู่หลงเหยียนจะนำตัวนักโทษออกเดินทางเสียที แต่ในต้นยามเฉินฟู่หลงเหยียนก็ได้รับจดหมายจากจิ้งโม่“นายน้อยขอรับจดหมายจากจิ้งโม่น่าจะเพิ่งมาถึง คงเกี่ยวกับเรื่องของคุณหนูอวี้จิ่นนะขอรับ” เฉินอิ่นนำจดหมายออกจากขานกพิราบ ที่บินมาจากเมืองหลวงมอบให้เจ้านายของเขา“อืม ขอบใจ”ฟู่หลงเหยียนรับจดหมายมาเปิดอ่านที่เขียนมาสั้น ๆ แต่สามารถเข้าใจความหมายที่จิ้งโม่บอกมาเป็นอย่างดี‘ตระกูลเจียง คาดว่าทารกถูกสับเปลี่ยนและเป็นแผนร้ายของตระกูลสายรอง สหายของนายน้อยกำลังเดินทางไปสมทบ’“หึ นางเป็นบุตรสาวของตระกูลนี้จริง ๆ สินะ” เมื่อได้รับการยืนยันจากข่าวของจิ้งโม่ ฟู่หลงเหยียนจึงมั่นใจเต็มส่วน ว่าอวี้จิ่นคือบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ บิดาของสหายของตนอย่างเจียงหยวน“เอ่อ นายน้อยข่าวของจิ้งโม่ว่าอย่างไรบ้างหรือขอรับ เจอตระกูลครอบค
ณ บ้านเช่าราคาถูกเก่า ๆ ในมุมหนึ่งของเมืองใหญ่ มีหญิงสาว วัยยี่สิบปีเธอมีชื่อว่า ‘หยก’ ตั้งแต่เล็กจนโตเธอถูกเลี้ยงดูจาก บ้านเด็กกำพร้า ไม่เคยรู้ที่มาที่ไปว่าเธอเองมาจากไหนพ่อแม่เป็นใคร และเธอไม่สนใจที่จะตามหาอดีตให้เจ็บปวดหากพบเจอความจริง อันโหดร้าย จึงเลือกใช้ชีวิตด้วยการทำงาน หาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่เรียนจบมัธยมปลายหยก พยายามใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากในวันที่เธออายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์มีบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งมันเป็นเรื่องดีและร้ายในคราวเดียวกัน เมื่อลืมตาตื่นหลังผ่านวันเกิด อายุครบสิบแปดปี หยกสามารถมองเห็นชะตาชีวิตของคนที่บังเอิญ มาสัมผัสโดนตัวของเธอ หยกสติแตกไปหลายวันกว่าจะรวบรวมสติกลับมาได้ เธอตัดสินใจเล่าให้เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวอย่างไพลินฟัง และเพื่อนสนิทคนนี้นี่เอง ที่สนับสนุนให้หยกใช้ความสามารถนี้ เพื่อหาเงินจากพวกคนรวยที่เชื่อเรื่องทำนายดวงชะตา“ลินฉันเล่าให้แกฟังแค่คนเดียวแล้ว อย่าเอาไปเล่าให้ใครฟังล่ะ ฉันไว้ใจที่แกเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของฉัน หวังว่าจะไว้ใจแกได้ ในเรื่องนี้นะลิน ฉันไม่อยากถูกคนอื่นมองว่าเป็นคนบ้า” เพราะคนที่ไม
ดวงวิญญาณของหยกถูกพลังงานบางอย่าง ดึงไปอย่างแรง เธอไม่มีโอกาสบอกลาเพื่อนสนิท เพียงคนเดียวอย่างไพลิน ที่ป่านนี้ คงร้องไห้เป็นเผาเต่า เมื่อรู้ว่าเธอตายในกองเพลิงแห่งนั้นด้วยแรงดึงมหาศาล ดวงวิญญาณของหยกเข้าไปอยู่ในร่าง ของเด็กสาวคนหนึ่ง ที่ถูกงูพิษกัดที่ข้อเท้าด้วยร่างกายที่อ่อนแอ จึงไม่อาจหาสมุนไพรแก้พิษได้ทัน จึงต้องตายอย่างน่าอนาจ ซึ่งที่นี่เป็นโลกคู่ขนานของยุคจีนโบราณ ที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนในประวัติศาสตร์ เมื่อหายใจและลืมตาขึ้นรอบ ๆ ตัวของหยกคือป่าแห่งหนึ่งของหมู่บ้านลิ่วหยางหยกจึงพยายามชันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ต้องล้มลงนอนอีกครั้ง พร้อมอาการปวดหัวที่ทำเอาเธอตาพร่ามัวไปหมด ภาพในหัวตอนนี้ เป็นความทรงจำของเจ้าของร่างตั้งแต่เด็ก มีหญิงชราคนหนึ่งเลี้ยงดู มาจนเติบโต แต่มักจะมีสายตาที่เศร้าสร้อย ยามมองมาที่ร่างบาง และที่สำคัญ เจ้าของร่างยังเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาเลี้ยง“ทำไมคำขอของไอ้หยก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงให้ไม่ได้กันมันน่าโมโหนักโอ๊ย! นี่สิ่งศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์ หูหนวกตาบอดกันหรือยังไง หนูขอก่อนตายว่าอยากมีพ่อแม่ที่ร่ำรวย มีเงินมีทองใช้ไม่ขาดมือนะคะ แล้วนี่คืออะไร ชาติก่อ
อวี้จิ่นบอกลาเพื่อนบ้าน หลังจากผ่านงานศพของยายเฒ่าลิ่ว ได้เจ็ดวัน โดยใช้ข้ออ้างว่าจะไปตามหาบุตรหลานของยายเฒ่าลิ่วเท่านั้น เพื่อนบ้านต่างอวยพรให้อวี้จิ่นปลอดภัยและทำภารกิจสำเร็จ บางคน มีมอบอาหารให้นางนำติดตัวไปคนละเล็กละน้อย ทำเอาอวี้จิ่น ถึงกับน้ำตาซึมที่เห็นความมีน้ำใจจากชาวบ้านเพราะหมู่บ้านอยู่ไม่ไกลจากตำบล จึงใช้การเดินเท้าอวี้จิ่นสำรวจสองข้างทางไปเรื่อย ๆ เพื่อเรียนรู้ทุกสิ่งในโลกใบใหม่ แต่ถ้านางต้องการเข้าเมืองย่อมไม่อาจเดินเท้าไปเองได้ ด้วยระยะทางที่ไกลจึงอาศัย การนั่งเกวียนหรือรถม้าเท่านั้น ยังดีที่อวี้จิ่นมีเงินติดตัวมาห้าตำลึงเงิน กับเศษเหรียญอีแปะอีกเล็กน้อย นางถึงได้นั่งเกวียนวัวเข้าเมือง จ้าวโจวรอบสุดท้ายพอดี กว่าจะมาถึงเมืองจ้าวโจวก็เป็นเวลาพลบค่ำอวี้จิ่นอาศัยอารามร้างนอกเมืองเป็นที่หลับนอน เนื่องจากตอนนี้นางต้องประหยัดเงินไว้ก่อน ซึ่งที่นี่มีชาวบ้านที่นำของป่าที่ดูมีราคามาขายในเมือง พวกเขาก็เลือกที่จะพักในอารามร้างเช่นเดียวกัน แต่เป็นข่าวดีสำหรับอวี้จิ่นเมื่อชาวบ้านที่นั่งผิงไฟ เริ่มพูดถึงบุตรสาวของท่านเจ้าเมือง ที่หายออกจากจวน แม้จะส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตามหาก็ยัง