ระหว่างการเดินทางจากเมืองจ้าวโจวใช้เวลาถึงเจ็ดวัน กว่ารถม้าจะพาอวี้จิ่นมาถึงเมืองเฉียนโจว ที่ดูจะคึกคักไม่น้อยมีผู้คนเดิน
สวนทาง เข้าออกเมืองกันอย่างคับคั่ง ทั้งพ่อค้าแม่ค้าหรือนักเดินทาง จากต่างแคว้น แต่ถึงบรรยากาศยามกลางวันดูผู้คนพลุกพล่าน ใช้ชีวิตกันอย่างปกติทั่วไปเหมือนเมืองอื่น ๆ หากเมื่อใดใกล้ถึงยามค่ำคืนในเมืองเฉียนโจวกลับเงียบสนิท และเป็นครั้งแรกที่อวี้จิ่นรู้สึกว่า ที่เมืองเฉียนโจวมีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้น“แม่นางน้อยพวกเรามาถึงเมืองเฉียนโจวแล้วขอรับ ข้าคง
ส่งท่านถึงแค่หน้าประตูเมืองเท่านั้น หวังว่าท่านจะไม่โกรธนะขอรับ” คนบังคับรถม้าไม่อยากค้างคืนที่นี่ เพราะข่าวลือเรื่องยามค่ำคืนที่น่ากลัว“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านลุง ขอบคุณท่านมากที่มาส่งข้าว่าแต่ทำไมท่านลุง ไม่พักเหนื่อยที่เมืองเฉียนโจวเสียก่อนล่ะเจ้าคะ เดินทางมาตั้งไกลม้าเองก็น่าจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยนะเจ้าคะ” อวี้จิ่นสงสัยกับสายตา
ที่ดูหวาดกลัวบางอย่าง“เอ่อ ฮ้าย! หากข้าพูดให้แม่นางน้อยฟังแล้ว ท่านต้องมีสติ
ให้ดี ที่ข้าไม่อยากพักที่เมืองเฉียนโจวเป็นเพราะว่ามีข่าวลือเกิดขึ้น ในยามกลางคืนมักจะมีผีสาวนางหนึ่งออกอาละวาด และสังหารบุรุษเพื่อดูดพลังดังนั้นคืนนี้ถ้าท่านรู้สึกถึงความเงียบสงัดก็อย่าได้แปลกใจไปล่ะ”“ห๊ะ!! ผีสาวออกอาละวาดฆ่าบุรุษดูดพลังวิญญาณ เอ่อ ฟังแล้วมันไม่น่าจะเป็นไปได้นะเจ้าคะท่านลุง แล้วทางการว่าอย่างไรบ้าง
มีการตรวจสอบไหมเจ้าคะ ว่าเป็นฝีมือผีหรือว่าฝีมือของคนที่อุปโลกน์ขึ้นมา เพื่อทำการบางอย่างโดยใช้สถานการณ์นี้บังหน้าก็ได้นี่เจ้าคะ” อวี้จิ่นชอบดูหนังหรือซีรี่ย์แนวสืบสวน แบบมีกำลังภายในเหาะไปเหาะมามาก ๆ เพราะเธอรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ท้าทายดี“แม่นางน้อยเจ้าอย่าพูดเสียงดังไป มิเช่นนั้นจะถูกเพ่งเล็งเอาได้ ข้าจะบอกให้ว่าเรื่องนี้แม้แต่ทางการ หรือเจ้าเมืองยังไม่สนใจ ทำงาน
แค่สุกเอาเผากินไปวัน ๆ ยิ่งมีเรื่องน่ากลัวด้วยแล้ว ก็เอาแต่กลัวหัวหด นอนคลุมโปงอยู่ในจวนนั่นแหละ ชาวบ้านถึงไม่มีใครออกมาเดิน ในยามค่ำคืนอย่างไรเล่า หากท่านหาที่พักได้เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า อย่าออกมาข้างนอกเด็ดขาด ข้าเตือนเพราะหวังดีกับท่านจริง ๆ ตอนนี้ ก็ไม่เช้าแล้วข้าขอตัวเดินทางกลับก่อนล่ะนะแม่นางน้อย ขอให้เจ้าโชคดีเดินทางถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัย”“ขอบคุณท่านลุงมากเจ้าค่ะ ขอให้ท่านลุงสุขภาพแข็งแรง
อายุยืนยาวเช่นกันนะเจ้าคะ” อวี้จิ่นไม่เชื่อว่าจะมีเรื่องภูตผีวิญญาณอาละวาด แต่นางก็รับฟังเป็นความรู้เอาไว้เผื่อจะใช้ตีสนิทชาวบ้านได้แต่คำพูดของอวี้จิ่นทำให้บุรุษที่อยู่ในชุดผ้าคลุมสีดำ
ปกปิดใบหน้าและนั่งอยู่บนหลังม้าตัวใหญ่ ที่หยุดอยู่ไม่ไกลเขาได้ยินทุกคำพูดของนาง และมันเป็นสิ่งที่เขาเองก็คิดคล้าย ๆ กับนางเช่นกัน“ตงลู่..”
“ขอรับนายน้อย”
“ตามนางไป รอดูจนแน่ใจว่านางมาคนเดียวหรือนัดพบใครหรือไม่ พักอยู่ที่ไหนแล้วกลับมารายงานข้าโดยเร็วที่สุด”
“รับทราบขอรับนายน้อย”
เมื่อตงลู่ได้รับคำสั่งจากเจ้านาย ก็แยกตัวเดินตามอวี้จิ่นทันที และเจ้านายที่ออกคำสั่งนี้มิใช่ใครที่ไหนเขาคือ ‘ฟู่หลงเหยียน’ หัวหน้าสำนักตรวจสอบของฮ่องเต้ บุตรชายคนโตทายาทจวนไคกั๋วกง ที่มีบิดาเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี มารดาเป็นบุตรสาวของนายท่านเซี่ย
แห่งหนานเจียง เจ้าของท่าเรือขนส่งสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นจ้าว ครั้งนี้ฟู่หลงเหยียนได้รับพระบัญชาจากฮ่องเต้ รับสั่งให้เดินทางมาหาสาเหตุของข่าวลือเรื่องผีสาวในเมืองเฉียนโจวที่สำคัญฟู่หลงเหยียนที่คิดว่า เรื่องนี้มีจุดน่าสงสัยอยู่พอได้ยินสิ่งที่อวี้จิ่นพูดออกมา ยิ่งทำให้เขาสนใจมากกว่าเดิม แต่ที่แปลกไปกว่า
ทุกครั้งคือเขากลับรู้สึกใจสั่นอย่างแรง เมื่อเห็นใบหน้าพร้อมรอยยิ้ม ของสตรีร่างบาง ที่มีความคิดเหมือนกับเขาเสียอย่างนั้น ทั้งที่ความรู้สึกนี้หายไปเกือบสิบปีตั้งแต่สตรีที่เขาพึงใจ ยอมแต่งงานเพื่อเพิ่มอำนาจให้กับตระกูล ฟู่หลงเหยียนไม่อยากเชื่อว่ามันกำลังเกิดขึ้นกับเขาอีกครั้ง และยังเป็นเด็กสาวหน้าตาธรรมดา แต่มีอำนาจต่อหัวใจของเขาเสียเหลือเกินด้านอวี้จิ่นที่ไม่รู้ตัวว่ายามนี้มีคนกำลังติดตามตนเอง ก็เดิน
มาหาห้องพักที่โรงเตี๊ยมระดับกลาง ที่ราคาไม่แพงนัก หองพักส่วนตัว ของอวี้จิ่น อยู่บนชั้นสองห้องริมสุดทางเดิน ตงลู่ที่ติดตามมาจึงเฝ้าสังเกตอยู่เงียบ ๆ รอดูว่าจะมีใครมาพบกับอวี้จิ่นหรือไม่ แต่ระหว่างที่เฝ้าดู ตงลู่ได้ยินเสียงพึมพำพูดกับตนเองของสตรีในห้องอย่างชัดเจน“เฮ้อ เหนื่อยใช่ย่อยเลย ถึงจะนั่งรถม้าก็เมื่อยเอาเรื่องนะเนี่ย
ถ้ามีรถม้าหรือขี่ม้าเองน่าจะถึงเมืองหลวง ภายในสองเดือนก็ได้นะ แต่ไปถึงเร็วก็ยิ่งดีไม่ใช่หรือไร จะได้ตามหาครอบครัว จากนั้นก็จัดการ สองผัวเมียชั่วช้านั่นให้ได้รับโทษอย่างสาสม ถ้าพวกเขายินดีต้อนรับก็ดีหากไม่ยอมรับก็ดีอีกเช่นกัน ถึงจะมีเจ้าหยกชิ้นนี้ช่วยยืนยันตัวตน แต่ใช่ว่าคนที่เห็นจะเชื่อในทันที ไม่น่าจะเป็นไปได้ ช่างเถิดถึงเวลาก็รู้เองว่า จะเป็นอย่างไรอืม แต่เรื่องผีสาวในข่าวลือที่ว่านี่ มันไม่แปลกไปหน่อย
หรือไงนะ มีคนถูกฆ่าตายแต่เจ้าเมืองกลับเพิกเฉย ไม่สืบหาความจริง แล้วยังจะทำตัวขี้ขลาดตาขาว หลบอยู่แต่ในจวนเช่นนั้นอีก ข้าไม่เชื่อ หรอกว่าเรื่องนี้จะไม่มีคนชักใยอยู่เบื้องหลัง ตอนนี้นอนพักเอาแรง สักหน่อยน่าจะดี กลางดึกจะได้พิสูจน์ความจริงกันว่า เป็นฝีมือผีหรือคน ฮ่า ๆ ๆ” พอคิดได้ดังนั้นอวี้จิ่นเช็ดหน้าเช็ดตา ก่อนจะนอนพักผ่อน และหลับไปอย่างรวดเร็ว ด้วยอาการอ่อนเพลียจากการเดินทาง นางต้องแข็งแรงถึงจะไปจนถึงเมืองหลวงตงลู่จดจำสิ่งที่อวี้จิ่นพูดไว้ทุกคำเขาเฝ้าดูจนแน่ใจแล้วว่า คนที่เจ้านายให้ติดตามมา มิได้นัดพบผู้ใดและนางก็เดินทางตัวคนเดียวเท่านั้น
‘นางจะไปเมืองหลวงตัวคนเดียวเชียวรึ แล้วยังจะไปพิสูจน์ เรื่องผีสาวกลางดึกอีกใจกล้าไม่เบา หากนายน้อยรู้ว่านางจะออกไป ข้างนอกยามดึก จะยังให้ข้าติดตามนางไปอีกครั้งหรือไม่นะ’
แน่นอนว่าฟู่หลงเหยียนเข้าพักที่โรงเตี๊ยมอันดับหนึ่งของเมือง เนื่องจากมีความเป็นส่วนตัวสูงแขกของที่นี่ ล้วนมีฐานะร่ำรวยทั้งสิ้น
อู๋จิ้งที่สังเกตเห็นอาการผิดปกติของเจ้านาย จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“นายน้อยตอนนี้ไม่ทราบว่า ท่านยังรู้สึกใจเต้นแรงอยู่หรือไม่ขอรับ หากยังไม่หายบ่าวจะได้ไปตามท่านหมอมาตรวจดูอาการให้ขอรับ”
“ข้าไม่ได้เป็นอะไรเจ้าอย่าได้กังวลจนเกินไปนัก ยามนี้ควรมุ่ง
ไปที่ข่าวลือของเมืองเฉียนโจวมากกว่าสิ่งใด” ฟู่หลงเหยียนบอกปัด และพูดถึงเรื่องงานแทน“อ่อ แล้วที่นายน้อยให้ตงลู่ติดตามคุณหนูคนนั้น เพราะเหตุใดหรือขอรับ บ่าวดูท่าทางของนางไม่น่าจะเป็นพวกมีแผนการร้ายอันใด”
“เพราะนางมีความคิดคล้าย ๆ กับข้า เกี่ยวกับเรื่องข่าวลือนั่น บางทีที่นี่มิได้มีภูตผีตั้งแต่แรกแต่เป็นฝีมือของคนร้าย ที่ต้องการใช้เรื่องนี้บังหน้าและทำเรื่องผิดกฎหมายลับหลังมากกว่า” ฟู่หลงเหยียนไม่เชื่อว่าจะมีภูตผีอยู่จริง
“บ่าวเข้าใจแล้วขอรับ” อู๋จิ้งเพิ่งจะนึกออกว่าคำพูดของอวี้จิ่น
ที่พวกเขาได้ยินทำให้ทุกคนมั่นใจ เกี่ยวกับข่าวลือมากขึ้นไปอีก ว่าเป็นน้ำมือของคนที่ต้องการอำพรางบางสิ่งไว้เบื้องหลัง“หากเบื้องหลังเรื่องนี้เกี่ยวกับการลักลอบค้าเกลือเถื่อน ที่สายของเรารายงานมาแต่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด ว่าผู้บงการตัวจริงคือผู้ใดเพราะพวกลูกน้องที่จับตัวได้ไม่ยอมรับสารภาพ ครั้งนี้นายน้อยอาจต้องใช้เวลาสืบหา ที่ซ่อนของหลักฐานนานกว่างานอื่นนะขอรับ” เฉินอิ่นเห็นด้วยกับเจ้านายว่าเรื่องนี้มีเบื้องลึกไม่ธรรมดา
“อืม ที่น่าสงสัยในตอนนี้คงไม่พ้นเจ้าเมือง ที่ไม่ทำการทำงาน นั่งกินนอนกินเงินเบี้ยหวัดไปวัน ๆ ดูท่าแล้วคงรับสินบนใต้โต๊ะบ่อย
จนเคยตัวกระมัง” งานของเขาที่เมืองเฉียนโจว คงได้กำจัดขุนนางกังฉินหลายคนพร้อมกันเป็นแน่ขณะที่ฟู่หลงเหยียนกำลังพูดคุยเรื่องข่าวลืออยู่นั้น ตงลู่
ก็กลับมาเพื่อรายงานเรื่องเกี่ยวกับอวี้จิ่นให้เจ้านายได้ทราบ“ก๊อก ๆ ๆ นายน้อยบ่าวตงลู่ขอรับ”
“เข้ามาเถิด”
แอ๊ดดด ปึก
“ได้อะไรกลับมาบ้างเล่าออกมาให้หมด”
“เรียนนายน้อยคุณหนูผู้นั้นมิได้นัดพบกับใครที่นี่ นางแค่แวะพักเพื่อจะเดินทางเข้าเมืองหลวง ไปตามหาครอบครัวขอรับ บ่าวได้ยินนางพูดอีกว่า ถึงมีหลักฐานใช้ยืนยันตัวตนของนางได้ แต่ถ้าครอบครัวไม่ยอมรับว่านางเป็นบุตรสาว ก็จะไม่ร้องขอความเห็นใจแต่จะออกเดินทาง
ไปท่องเที่ยวทั่วแคว้นจ้าวแทนขอรับ” ตงลู่รายงานสิ่งที่ได้ยินให้เจ้านายฟัง“หืม ตามหาครอบครัวที่เมืองหลวงด้วยตัวคนเดียวน่ะหรือ
นางมีหลักฐานอันใดในมือ ที่สามารถใช้ยืนยันการบุตรสาวของครอบครัวได้งั้นรึต่งลู่” ฟู่หลงเหยียนยิ่งแปลกใจที่รู้ว่า สตรีที่เพิ่งเจอจะเดินทาง คนเดียวเพราะอะไร“เรียนนายน้อยนางมีกุญแจหยกอายุยืนเป็นหลักฐาน และบ่าวคิดว่าสิ่งนี้น่าจะใช้ในหมู่บุตรหลานขุนนางชั้นสูงขอรับ” ตงลู่เคยเห็น
พิธีการรับขวัญบุตรหลานของตระกูลขุนนางมาหลายครั้ง“กุญแจหยกอายุยืนงั้นหรือ ในเมืองหลวงมีไม่กี่ตระกูล ที่มักจะใช้หยกแทนทองคำมอบให้บุตรหลานที่เพิ่งเกิด เฉินอิ่นส่งจดหมาย
บอกจิ้งโม่ไปสืบเรื่องนี้มาให้ข้า ว่ามีตระกูลใดบ้างมอบกุญแจหยกอายุยืน กับคนในตระกูล ที่สำคัญมีตระกูลไหนบุตรหลานหายตัวไปบ้าง สืบมาอย่างละเอียดอย่าได้ตกหล่นแม้แต่เรื่องเดียว” ฟู่หลงเหยียนอยากรู้ว่าสตรีที่ทำให้หัวใจของเขากลับมาเต้นแรงอีกครั้ง จะเป็นบุตรหลานของตระกูลขุนนางกังฉินหรือไม่“ขอรับนายน้อย”
“เอ่อ นายน้อยบ่าวได้ยินนางพูดก่อนจะนอนหลับอีกเรื่องหนึ่ง นางพูดว่าคืนนี้จะออกไปดูหน้าผีสาวตนนั้นเสียหน่อย ว่าคือผีจริง ๆ
หรือคือคนแต่งเป็นผีเพื่อสร้างข่าวลือด้วยขอรับ” ตงลู่นึกถึงคำพูดนี้ ของอวี้จิ่นก็นับถือในความใจกล้าของนาง“โอ้ ช่างเป็นสตรีใจกล้าเสียด้วย” อู๋จิ้งแปลกใจที่มีคนไม่กลัวตาย
“หึ ตัวรึก็เล็กแค่นั้น แต่ใจกล้ายิ่งกว่าบุรุษใจเสาะอย่างเจ้าเมืองเสียอีก ในเมื่อนางจะออกไปพิสูจน์เรื่องนี้ด้วยตนเอง พวกเจ้าสามคนเตรียมตัวไว้ ข้าจะตามนางไปพิสูจน์ความจริงเช่นกัน แยกย้ายกลับไปพักผ่อนได้แล้วยามห้ายค่อยพบกันด้านหน้าโรงเตี๊ยม” ฟู่หลงเหยียน
นึกเป็นห่วงสตรีแปลกหน้า แต่เขาเองก็อยากรู้ความจริงเหมือนกันกับนาง“ขอรับนายน้อย!”
ผู้ติดตามคนสนิททั้งสาม ออกจากห้องพักของฟู่หลงเหยียนไป พร้อมกับความสงสัย ที่พวกเขาเห็นสายตาที่อ่านไม่ออกของเจ้านาย
ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในตอนนี้กันแน่ ไหนจะอยากรู้เรื่องของสตรี แปลกหน้าที่เพิ่งจะได้พบเพียงครั้งเดียวนั่นอีก“หรือว่า!” เฉินอิ่นพูดออกมาก่อนอย่างตกใจ
“ข้าก็คิดเหมือนเจ้า!” ตงลู่รู้ทันทีว่าสหายคิดอะไรอยู่
“ใช่! ว่าแต่พวกเจ้าสองคนคิดเรื่องอะไรกัน?” อู๋จิ้งทำทีตามน้ำไปกับสหายแต่กลับไม่รู้ว่าสิ่งที่ทั้งสองคนคิดคือเรื่องอะไร
“ป้าบ! โอ๊ย”
“เฉินอิ่นเจ้าตบหัวข้าทำไมมันเจ็บนะ อูย ไม่คิดจะยั้งแรงให้กันบ้างเลย” อู๋จิ้งลูบท้ายทอยไปมา
“เจ้านี่น้าไม่เคยรู้ทันอะไรกับคนอื่นบ้างเลย ถ้าเจ้าอยากรู้ก็รอดูเอาเองแล้วค่อย ๆ คิดตาม อีกไม่นานจะเข้าใจว่าพวกข้าสองคนเออออเรื่องอะไรไปพักผ่อนกันได้แล้ว” เฉินอิ่นส่ายหน้ากับความซื่อของสหาย
ทางด้านอวี้จิ่นที่ตื่นนอนและจัดการธุระส่วนตัวเสร็จ
จึงสั่งอาหารมื้อเย็นขึ้นไปทานบนห้องพักของตน และนั่งคิดเรื่องผีสาว ถ้านั่นเป็นคนปลอมตัวมาอาจจะมีอันตราย นางจึงเข้ามิติเดินหาร้านค้า ขายอุปกรณ์เดินป่า จนได้มีดพกที่เหมาะมือมาหนึ่งเล่มเพราะเป็นเด็กกำพร้าใช้ชีวิตลำบาก หากไม่อยากถูกคนอื่นรังแกจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีป้องกันตัว เพื่อเอาชีวิตรอดจากพวกอันธพาล
ทักษะการใช้มีดอวี้จิ่นฝึกด้วยตนเอง ผ่านการดูตัวอย่างจากโลกโซเซี่ยลจนชำนาญ หมัดมวยไม่ถึงกับเก่งกาจแต่เอาตัวรอดได้ทุกสถานการณ์ล่วงเลยเข้าปลายยามห้าย อวี้จิ่นออกจากห้องพักแสร้งเดินเล่น ไปตามถนนในเมืองเฉียนโจว ในมือข้างซ้ายถือลูกผิงกั่วกัดกินไปด้วย ท่ามกลางความเงียบสงัดอย่างที่คนบังคับรถม้าบอก ทำให้รู้สึกวังเวง อยู่ไม่น้อย แต่นั่นไม่ช่วยให้ความอยากรู้ลดลงแต่อย่างใด ด้านบนหลังคายังมีคนกลุ่มหนึ่งคอยตามอวี้จิ่นไปเงียบ ๆหลังจากเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่หลายมุม จนเริ่มจะเมื่อยขาและอวี้จิ่นคิดว่า คืนนี้ไม่น่ามีเหตุการณ์ในข่าวลือเกิดขึ้น จึงคิดจะเดิน กลับโรงเตี๊ยมเพื่อนอนพักเอาแรง ยามที่กำลังคิดเรื่องกลับห้องพัก ก็มีเสียงหัวเราะแทรกเข้ามา ด้วยบรรยากาศที่เงียบเชียบ พอมีเสียงหัวเราะกลับกลายเป็นความรู้สึกน่ากลัว สำหรับคนในเมืองเฉียนโจวยิ่งนัก แต่อวี้จิ่นทำเพียงหยุดเดินและรอคอยอย่างตั้งใจ ว่าผีสาวตนนี้จะทำอะไรกับนาง ถ้าหากนางถามคำถามออกไป มันจะตอบคำถามของนาง ได้หรือไม่“ฮิ ๆ ๆ อาหารของข้า”“โอ๊ะ!! ในที่สุดก็ออกมาจนได้ ขอดูหน้าหน่อยก็แล้วกัน ว่าจะเป็น ผีสาวใบหน้างดงามหรือน่าขยะแขยง”“ฮ่า ๆ ๆ มาเป็นอาหารให้ข้าเสียเถิดเด็กน้อย แผล่บ ๆ”“ขวับ!! สวัสดีตอนดึกเจ้าค่ะ เป็นผีทำไมถึงรู้สึกหิวได้ล่ะ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยน
ยามค่ำคืนที่ผ่านมาเป็นครั้งแรก ที่ฟู่หลงเหยียนไม่ฝันถึงเรื่องราวในอดีต เมื่อลืมตาตื่นขึ้นในเช้าวันใหม่ จึงรู้สึกสดชื่นอย่างที่ไม่เคย รู้สึกมาหลายปี เขาไม่รู้จะขอบคุณสตรีที่แสนจะธรรมดาไม่เหมือนใคร แม้แต่ชื่อแซ่ก็ลืมถามไถ่กับนางไว้ ก่อนจะจากกันไปเสียได้ ฟู่หลงเหยียนตั้งใจไว้ว่าเช้านี้เขาจะถามชื่อของนางเป็นอย่างแรกทางด้านอวี้จิ่นที่เพิ่งตื่นนอนในต้นยามเฉิน พอตั้งสติได้ก็เกือบ หัวทิ่มหัวตำลงจากเตียงด้วยความเร่งรีบ เมื่อนางนึกขึ้นได้ว่าใกล้ถึงเวลา ที่ฟู่หลงเหยียนจะมารับนาง เพื่อไปเก็บหลักฐานการกระทำความผิด ของเจ้าเมืองเฉียนโจว อวี้จิ่นรีบล้างหน้าบ้วนปากอาบน้ำอย่างรวดเร็ว ผมเผ้าทำเพียงเก็บรวบมัดยกเป็นหางม้าเท่านั้นเมื่อเดินออกมาด้านหน้าโรงเตี๊ยม บุรุษในชุดคลุมสีดำสองคน มายืนรอนางอยู่ก่อนแล้วพร้อมม้าอีกสองตัว ทำเอาอวี้จิ่นละอายใจเล็กน้อยได้แต่กล่าวขอโทษ ที่นางตื่นสายทำให้ทั้งสองคนต้องรอนาน“อุ๊ย! แหะ ๆ ๆ ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ปล่อยให้พวกท่านรอนานเช่นนี้ ถ้าวันไหนข้าเข้านอนดึกมักจะตื่นสายเช่นนี้ประจำเจ้าค่ะ”“ไม่เป็นไร พวกข้าสองคนเพิ่งจะมาถึงไม่นานเช่นกัน เจ้าพอ จะบอกที่ซ่อนของหลักฐาน
เมื่อทั้งสามคนเดินมาถึงห้องส่วนตัวขนาดกลาง มีนักบวชคอยเฝ้าเอาไว้สองคน ก่อนจะเข้าไปได้ย่อมมีค่าผ่านประตู เรื่องนี้อวี้จิ่นย่อมเห็นจากภาพนิมิตมาแล้วจึงอาสาจัดการเอง“เดี๋ยวก่อนประสกทั้งสาม หากต้องการใช้ห้องสวนมนต์แห่งนี้ พวกท่านทราบถึงกฎเกณฑ์ของทางวัดแล้วหรือไม่”“คารวะไต้ซือเจ้าค่ะ คุณชายของข้าเพิ่งมาจากต่างเมือง เพื่อมาขอพรเกี่ยวกับการทำงานครั้งใหญ่ เห็นว่าที่วัดของตระกูลอวี่มีผู้คนเคารพนับถืออย่างมาก จึงอยากมากราบไหว้สักครั้ง ส่วนเรื่องกฎของทางวัด ข้าทราบเป็นอย่างดีว่าต้องทำอย่างไร ของในตะกร้าใบนี้หวังว่าไต้ซือจะอนุญาตให้คุณชายของข้า ได้เข้าไปสวดมนต์เป็นการส่วนตัวนะเจ้าคะ” พวกเห็นแก่เงินจะไม่รับไว้ได้อย่างไร ในตะกร้านั่นมีก้อนตำลึงเงินอยู่หลายก้อนเชียวนะ“อืม เมื่อประสกตัวน้อยรู้จักทำตามกฎของวัด คุณชายของท่านย่อมสามารถเข้าไปสวดมนต์ด้านในได้ เชิญ” ไต้ซือตัวปลอมมัวแต่สนใจก้อนตำลึงในถุงผ้าใบเล็กในตะกร้าจึงไม่เอะใจคำพูดของอวี้จิ่นเท่าใดนัก“ขอบคุณไต้ซือเจ้าค่ะ ที่เห็นใจชาวบ้านอย่างเรา เชิญคุณชายเข้าไปสวดมนต์เถิด งานที่ท่านหวังไว้จะได้สำเร็จโดยเร็วนะเจ้าคะ” อวี้จิ่นหันไปเชื้อเชิญฟู่หลงเหย
บนโต๊ะอาหารในจวนเช่าของฟู่หลงเหยียน ยามนี้มันเต็มไปด้วยอาหารหน้าตาแปลก ๆ แต่กลิ่นมันกลับหอมชวนให้ท้องร้องอยากกินเสียเดี๋ยวนั้น สาเหตุมาจากอวี้จิ่นไม่อยากนั่งอยู่เฉย ๆ นางจึงลุกไปยังห้องครัว และลงมือทำอาหารจากเนื้อและผักจากในมิติของตนโดยมีข้ออ้างกับตงลู่ว่า ตนเองแอบออกไปซื้อที่ตลาดมา และห้ามตงลู่บอกกับฟู่หลงเหยียนว่านางออกไปด้านนอก แต่ให้บอกว่าเขาคือคนที่ไปซื้อเนื้อกับผักพวกนี้ ตามคำขอของนาง อวี้จิ่นข่มขู่ตงลู่ด้วยอาหารบนโต๊ะนั่น ถ้าไม่ยอมทำตามที่นางบอกเขาจะอดกินมันอย่างแน่นอนคำข่มขู่ของอวี้จิ่นย่อมเป็นผล เมื่อตงลู่อยากชิมอาหารบนโต๊ะ ซึ่งมันไม่เหมือนอาหารที่เขาเคยทานมาก่อน ตงลู่ต้องออกจากห้วงความคิดของตน เมื่อได้ยินเสียงประตูจวนถูกเปิด เขารีบบอกให้อวี้จิ่นไปซ่อนตัวไว้ ส่วนตนเองจับดาบไว้แน่น ออกไปยืนซ่อนตัวอยู่ด้านหลังประตู แต่คนที่มากลับเป็นเจ้านายของตนมิใช่คนร้าย“แอ๊ดดด!! ชิ้ง!! พวกเจ้าปะ นายน้อย!!”“ตงลู่! นี่เจ้าอยากประลองฝีมือกับนายน้อย ถึงกับถือดาบมาดักรออยู่หลังประตูเชียวรึ” อู๋จิ้งเห็นตงลู่ชักดาบเมื่อประตูเรือนด้านหน้าเปิดออกจึงเรียกสหายทันที“ขออภัยขอรับนายน้อย บ่าวคิดว่ามี
จิ้งโม่และมู่ฉีกลับที่พักของพวกตนทันที หลังจากออกมาจากค่ายทหาร ในจดหมายจิ้งโม่เขียนไว้อย่างละเอียด รวมถึงเรื่องที่เจียงหยวนกำลังออกเดินทางไปรอเจ้านาย อาจจะเป็นที่เมืองชางโจว เมื่อภารกิจสำเร็จทั้งสองจึงไปดื่มฉลองกันเล็กน้อยตามประสาบุรุษด้านแม่ทัพใหญ่ที่กลับมาถึงจวนในยามเซิน ได้สั่งให้พ่อบ้านเจียงไปแจ้งที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าว่า เย็นนี้เขาจะพาฮูหยินไปรับสำรับเย็นที่นั่น และบอกให้แม่ครัวเตรียมอาหารไว้มากกว่าเดิมสักหน่อย ก่อนที่ตัวของแม่ทัพใหญ่จะกลับไปชำระล้างร่างกายเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อไปพบฮูหยินที่ไม่ยอมออกจากจวนมาหลายปีมู่เสียสาวใช้คนสนิทของจางฮูหยิน เมื่อเห็นว่านายท่านของจวน มาพบนายหญิงของตนเร็วกว่าทุกวัน จึงจะเข้าไปบอกเจ้านายแต่ว่านางถูกนายท่านเรียกตัวเอาไว้เสียก่อน“มู่เสีย”“คารวะนายท่านเจ้าค่ะ”“เจ้าไม่ต้องไปรายงานน้องหญิง แต่ไปเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ดูชุดที่มีสีสันสดใสสักเล็กน้อยก็แล้วกัน วันนี้ข้าจะพานางไปรับอาหารเย็นที่เรือนท่านแม่” แม่ทัพใหญ่สั่งงานกับมู่เสีย ก่อนจะเข้าไปหาฮูหยินของตน ที่ยังคงมีสีหน้าไร้ชีวิตชีวาเช่นทุกวัน“เอ่อ เจ้าค่ะนายท่าน” มู่เสียทำท่าคล้ายมีคำถาม แต่ก็ต
ตระกูลเจียงสายหลักและสายรองในเมืองหลวง กำลังต่อสู้กันอยู่อย่างเงียบ ๆ มีเพียงคนที่เป็นสหายเท่านั้น ที่รับรู้ว่าสองพี่น้องต่างแม่เกลียดกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ไม่ว่าอย่างไร คนที่เป็นฝ่ายชนะมักจะเป็นแม่ทัพใหญ่อยู่เสมอทางด้านเมืองเฉียนโจว นายกองจั๋วได้เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว เหลือเวลาอีกหนึ่งวัน ฟู่หลงเหยียนจะนำตัวนักโทษออกเดินทางเสียที แต่ในต้นยามเฉินฟู่หลงเหยียนก็ได้รับจดหมายจากจิ้งโม่“นายน้อยขอรับจดหมายจากจิ้งโม่น่าจะเพิ่งมาถึง คงเกี่ยวกับเรื่องของคุณหนูอวี้จิ่นนะขอรับ” เฉินอิ่นนำจดหมายออกจากขานกพิราบ ที่บินมาจากเมืองหลวงมอบให้เจ้านายของเขา“อืม ขอบใจ”ฟู่หลงเหยียนรับจดหมายมาเปิดอ่านที่เขียนมาสั้น ๆ แต่สามารถเข้าใจความหมายที่จิ้งโม่บอกมาเป็นอย่างดี‘ตระกูลเจียง คาดว่าทารกถูกสับเปลี่ยนและเป็นแผนร้ายของตระกูลสายรอง สหายของนายน้อยกำลังเดินทางไปสมทบ’“หึ นางเป็นบุตรสาวของตระกูลนี้จริง ๆ สินะ” เมื่อได้รับการยืนยันจากข่าวของจิ้งโม่ ฟู่หลงเหยียนจึงมั่นใจเต็มส่วน ว่าอวี้จิ่นคือบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ บิดาของสหายของตนอย่างเจียงหยวน“เอ่อ นายน้อยข่าวของจิ้งโม่ว่าอย่างไรบ้างหรือขอรับ เจอตระกูลครอบค
ณ บ้านเช่าราคาถูกเก่า ๆ ในมุมหนึ่งของเมืองใหญ่ มีหญิงสาว วัยยี่สิบปีเธอมีชื่อว่า ‘หยก’ ตั้งแต่เล็กจนโตเธอถูกเลี้ยงดูจาก บ้านเด็กกำพร้า ไม่เคยรู้ที่มาที่ไปว่าเธอเองมาจากไหนพ่อแม่เป็นใคร และเธอไม่สนใจที่จะตามหาอดีตให้เจ็บปวดหากพบเจอความจริง อันโหดร้าย จึงเลือกใช้ชีวิตด้วยการทำงาน หาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่เรียนจบมัธยมปลายหยก พยายามใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากในวันที่เธออายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์มีบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งมันเป็นเรื่องดีและร้ายในคราวเดียวกัน เมื่อลืมตาตื่นหลังผ่านวันเกิด อายุครบสิบแปดปี หยกสามารถมองเห็นชะตาชีวิตของคนที่บังเอิญ มาสัมผัสโดนตัวของเธอ หยกสติแตกไปหลายวันกว่าจะรวบรวมสติกลับมาได้ เธอตัดสินใจเล่าให้เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวอย่างไพลินฟัง และเพื่อนสนิทคนนี้นี่เอง ที่สนับสนุนให้หยกใช้ความสามารถนี้ เพื่อหาเงินจากพวกคนรวยที่เชื่อเรื่องทำนายดวงชะตา“ลินฉันเล่าให้แกฟังแค่คนเดียวแล้ว อย่าเอาไปเล่าให้ใครฟังล่ะ ฉันไว้ใจที่แกเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของฉัน หวังว่าจะไว้ใจแกได้ ในเรื่องนี้นะลิน ฉันไม่อยากถูกคนอื่นมองว่าเป็นคนบ้า” เพราะคนที่ไม
ดวงวิญญาณของหยกถูกพลังงานบางอย่าง ดึงไปอย่างแรง เธอไม่มีโอกาสบอกลาเพื่อนสนิท เพียงคนเดียวอย่างไพลิน ที่ป่านนี้ คงร้องไห้เป็นเผาเต่า เมื่อรู้ว่าเธอตายในกองเพลิงแห่งนั้นด้วยแรงดึงมหาศาล ดวงวิญญาณของหยกเข้าไปอยู่ในร่าง ของเด็กสาวคนหนึ่ง ที่ถูกงูพิษกัดที่ข้อเท้าด้วยร่างกายที่อ่อนแอ จึงไม่อาจหาสมุนไพรแก้พิษได้ทัน จึงต้องตายอย่างน่าอนาจ ซึ่งที่นี่เป็นโลกคู่ขนานของยุคจีนโบราณ ที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนในประวัติศาสตร์ เมื่อหายใจและลืมตาขึ้นรอบ ๆ ตัวของหยกคือป่าแห่งหนึ่งของหมู่บ้านลิ่วหยางหยกจึงพยายามชันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ต้องล้มลงนอนอีกครั้ง พร้อมอาการปวดหัวที่ทำเอาเธอตาพร่ามัวไปหมด ภาพในหัวตอนนี้ เป็นความทรงจำของเจ้าของร่างตั้งแต่เด็ก มีหญิงชราคนหนึ่งเลี้ยงดู มาจนเติบโต แต่มักจะมีสายตาที่เศร้าสร้อย ยามมองมาที่ร่างบาง และที่สำคัญ เจ้าของร่างยังเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาเลี้ยง“ทำไมคำขอของไอ้หยก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงให้ไม่ได้กันมันน่าโมโหนักโอ๊ย! นี่สิ่งศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์ หูหนวกตาบอดกันหรือยังไง หนูขอก่อนตายว่าอยากมีพ่อแม่ที่ร่ำรวย มีเงินมีทองใช้ไม่ขาดมือนะคะ แล้วนี่คืออะไร ชาติก่อ