อวี้จิ่นบอกลาเพื่อนบ้าน หลังจากผ่านงานศพของยายเฒ่าลิ่ว
ได้เจ็ดวัน โดยใช้ข้ออ้างว่าจะไปตามหาบุตรหลานของยายเฒ่าลิ่วเท่านั้น เพื่อนบ้านต่างอวยพรให้อวี้จิ่นปลอดภัยและทำภารกิจสำเร็จ บางคน มีมอบอาหารให้นางนำติดตัวไปคนละเล็กละน้อย ทำเอาอวี้จิ่น ถึงกับน้ำตาซึมที่เห็นความมีน้ำใจจากชาวบ้านเพราะหมู่บ้านอยู่ไม่ไกลจากตำบล จึงใช้การเดินเท้าอวี้จิ่นสำรวจสองข้างทางไปเรื่อย ๆ เพื่อเรียนรู้ทุกสิ่งในโลกใบใหม่ แต่ถ้านางต้องการเข้าเมืองย่อมไม่อาจเดินเท้าไปเองได้ ด้วยระยะทางที่ไกลจึงอาศัย
การนั่งเกวียนหรือรถม้าเท่านั้น ยังดีที่อวี้จิ่นมีเงินติดตัวมาห้าตำลึงเงิน กับเศษเหรียญอีแปะอีกเล็กน้อย นางถึงได้นั่งเกวียนวัวเข้าเมือง จ้าวโจวรอบสุดท้ายพอดี กว่าจะมาถึงเมืองจ้าวโจวก็เป็นเวลาพลบค่ำอวี้จิ่นอาศัยอารามร้างนอกเมืองเป็นที่หลับนอน เนื่องจากตอนนี้นางต้องประหยัดเงินไว้ก่อน ซึ่งที่นี่มีชาวบ้านที่นำของป่าที่ดูมีราคามาขายในเมือง พวกเขาก็เลือกที่จะพักในอารามร้างเช่นเดียวกัน แต่เป็นข่าวดีสำหรับอวี้จิ่นเมื่อชาวบ้านที่นั่งผิงไฟ เริ่มพูดถึงบุตรสาวของท่านเจ้าเมือง
ที่หายออกจากจวน แม้จะส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตามหาก็ยังไม่พบตัว“นี่เจ้าว่าบุตรสาวท่านเจ้าเมืองหายไปที่ใดรึ หลายวันแล้ว
ที่เจ้าหน้าที่ออกตามหาแต่ยังไร้วี่แวว”“ข้าว่านะคุณหนูว่านต้องถูกคนลักพาตัวไปแน่ ๆ”
“หรือว่าจะมีโจรภูเขาออกอาละวาดปล้นฆ่า และฉุดสตรีที่งดงาม พากลับไปปรนเปรอบำเรอกาม ในกลุ่มโจรหรือไม่ถึงไม่มีใครตามหา
ตัวนางพบนี่ก็ผ่านไปสิบกว่าวันแล้วนะ”‘หืม ลูกสาวเจ้าเมืองหายตัวไปงั้นเหรอน่าสนใจดี ไว้พรุ่งนี้เช้า เข้าเมืองได้ค่อยไปถามผู้คนในเมืองอีกรอบก็แล้วกัน’
“แต่ข้าว่านางอาจจะหนีตามคนรัก ที่ฐานะยากจนก็เป็นได้นะ
หากเป็นข้อนี้ก็น่าสงสารฝ่ายบุรุษที่ฐานะต่ำต้อย มิใช่คุณชายจากตระกูลสูงศักดิ์ทำให้ทั้งสองคนตัดสินใจทำเช่นนี้ะ”“นั่นน่ะสิหากฐานะเช่นพวกเรา นั่นคงเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวง ระหว่างบุตรสาวขุนนางกับชาวนายากจนแน่นอน”
“เฮ้อ โชคชะตาช่างเล่นตลกร้ายกับมนุษย์อย่างเราเสียจริง”
อวี้จิ่นนั่งอยู่ในมุมหนึ่งเงียบ ๆ ไม่สุงสิงกับใคร ยังดีที่เสื้อผ้าค่อนข้างเก่าจึงไม่มีใครสนใจนางเท่าใดนัก จนกระทั่งคนอื่น ๆ นอนพัก
เอาแรงกันหมดแล้ว อวี้จิ่นถึงได้แอบเข้าไปในมิติเพื่อหาของกินให้อิ่มท้องภายในมิติแห่งนี้กว้างใหญ่สมกับเป็นตลาดครอบจักรวาล
ทั้งอาหารสด อาหารแห้ง ผัก ผลไม้ ร้านขายยาหน้าตาแปลก ๆ ที่บอกว่าเป็นยาวิเศษรักษาได้ทุกโรค อวี้จิ่นหยุดชะเง้อมองเข้าไปด้านในเล็กน้อย แต่เพียงประเดี๋ยวก็เดินไปหาของกินต่ออีกทางอวี้จิ่นเดินไปหาร้านซาลาเปาที่ยังคงความร้อนอยู่ และร้านติดกันก็เป็นร้านหมูปิ้ง ที่กลิ่นหอมของมันชวนให้ท้องร้องหนักมาก อวี้จิ่นใช้เวลาเติมพลังอยู่ในมิติเพียงหนึ่งเค่อเท่านั้น จึงกลับออกมานอนที่เดิม
ยามเหม่าของวันต่อมา อวี้จิ่นตื่นทีหลังชาวบ้านคนอื่นเล็กน้อย ก่อนจะล้างหน้าบ้วนปาก เตรียมตัวไปต่อแถวเข้าเมืองจ้าวโจว หากไปสายต้องยืนต่อแถวยาวเหยียดตากแดดร้อน ๆ กันพอดี
เมื่อผ่านการตรวจป้ายประจำตัวเข้าเมืองมาได้ อวี้จิ่นไม่รอช้า
รีบหาลู่ทางสืบข่าว เกี่ยวกับบุตรสาวของจวนเจ้าเมืองทันที แต่รายละเอียดของเรื่องราวมิได้มีใจความสำคัญเท่าใดนัก เพราะฉะนั้นอวี้จิ่นจึงตัดสินใจ ที่จะไปพบท่านเจ้าเมืองที่ศาลาว่าการแทน ซึ่งมันไม่ง่ายเลยเมื่อเจ้าหน้าที่ด้านหน้า ไม่ยอมให้นางได้พบท่านเจ้าเมือง“พี่ชายเจ้าคะไม่ทราบว่าท่านเจ้าเมือง ยังต้องการคนช่วยตามหาบุตรสาวอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
“หืม เจ้าถามไปทำไม เป็นสตรีจะช่วยเรื่องตามหาคนได้อย่างไร เจ้าเข้าเมืองมาหางานทำก็ไปหาที่อื่น อย่าได้มาสร้างความวุ่นวายที่นี่”
“พี่ชายข้าสามารถช่วยตามหาคุณหนูว่านได้จริง ๆ นะเจ้าคะ
ท่านช่วยพาข้าไปพบท่านเจ้าเมืองด้วยเถิด หากปล่อยเวลาให้ผ่านไป เรื่อย ๆ เช่นนี้อาจจะไม่ทันการณ์ได้นะเจ้าคะ” อวี้จิ่นยังคงยืนกราน จะขอเข้าพบท่านเจ้าเมือง“เอ๊ะ! เจ้าฟังภาษาคนไม่เข้าใจหรืออย่างไร อย่าได้วุ่นวายอีก
รีบไปเสีย เพราะเรื่องคนที่จะช่วยตามหาคุณหนูว่าน พวกเรารับเฉพาะ บุรุษเท่านั้นไม่รับสตรีมาเป็นภาระหรอกนะ”“ทำไมพวกท่านถึงดะ”
ขณะที่อวี้จิ่นถกเถียงกับเจ้าหน้าที่อยู่ด้านหน้าประตู ก็มีเสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นมาเสียก่อน ทุกคนจึงหันไปทางต้นเสียง พอได้เห็นท่าทาง
ของเจ้าหน้าที่อวี้จิ่นจึงเดาได้ว่า เจ้าของเสียงนี้คือท่านเจ้าเมือง อย่างแน่นอน“มีเรื่องอะไรกันถึงได้เสียงดังไปถึงด้านใน ใครพอจะอธิบายให้ข้าฟังได้บ้างไหม” ว่านเหิงหลวนได้รับรายงานจากคนสนิท ว่ามีเด็กคนหนึ่งยืนถกเถียงกับเจ้าหน้าที่ด้านหน้าประตู เพราะต้องการพบตนเอง
เกี่ยวกับเรื่องของบุตรสาว“เรียนใต้เท้าเด็กสาวคนนี้บอกว่าต้องการพบท่าน เนื่องจากนางสามารถช่วยตามหาคุณหนูได้ขอรับ ข้าได้บอกไปแล้วว่าจะรับเฉพาะ
บุรุษเท่านั้นไม่รับสตรี แต่นางก็ไม่ยอมยืนกรานที่จะพบใต้เท้าให้ได้ขอรับ”“หืม เจ้าบอกว่า สามารถช่วยตามหาบุตรสาวของข้าได้เช่นนั้นรึ ทุกคนออกตามหาอยู่หลายวัน ยังไร้วี่แววว่าจะพบตัว แล้วเจ้ามีวิธีใด
ที่จะช่วยตามหาตัวนางให้พบได้เล่า” ใต้เท้าว่านพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งมิได้โมโหแต่อย่างใด“แน่นอนว่าข้าย่อมมีวิธีที่ใครก็ไม่อาจทำได้ ขอเพียงท่านเจ้าเมืองอนุญาตให้ข้าได้พบฮูหยิน และสาวใช้คนสนิทของคุณหนูว่าน รับรองว่าวันนี้ท่านเจ้าเมือง จะได้ตัวคุณหนูว่านกลับมาอย่างปลอดภัย แต่หากท่านคิดว่าสิ่งที่ข้าพูดเป็นเรื่องไร้สาระของเด็กสาวคนหนึ่ง ท่านกับฮูหยิน
จะไม่ได้พบกับบุตรสาวคนนี้อีกตลอดกาล” อวี้จิ่นไม่ได้พูดล้อเล่น กับเจ้าเมืองว่าน เพราะความรู้สึกของนางบอกเช่นนั้นจริง ๆ“ได้ ข้าจะลองเชื่อเจ้าดูสักครั้ง ตามข้าไปพบฮูหยินที่จวนเถิด
หากเจ้าช่วยตามหาบุตรสาวของข้าได้จริง เงินรางวัลห้าสิบตำลึงทอง จะเป็นของเจ้า แต่หากกลับกันเจ้าคงรู้นะว่า จะเกิดอะไรหากทำไม่ได้อย่างที่พูดเอาไว้”“เจ้าค่ะเรื่องนั้นข้าย่อมรู้และเข้าใจดี”
“อืม”
อวี้จิ่นตามเจ้าเมืองว่านไปยังจวนหลังใหญ่ ซึ่งเป็นที่พักสำหรับตำแหน่งเจ้าเมืองจ้าวโจวแห่งนี้ เจ้าเมืองว่านให้พ่อบ้านไปเชิญฮูหยินเอกของตน และสาวใช้ของบุตรสาวอีกสองคนมายังห้องรับแขกของจวน
“ท่านพี่ให้พ่อบ้านไปตามข้ากับสาวใช้ของชิงเอ๋อร์มาที่นี่ หรือว่า
มีเรื่องเกี่ยวกับลูกของเราแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ” หั่วฮูหยินเป็นห่วงบุตรสาวจนกินไม่ได้นอนไม่หลับมาหลายวัน เอ่ยถามกับสามีเมื่อได้ยินจากพ่อบ้านว่าสามีต้องการพบนาง“น้องหญิงใจเย็น ๆ นั่งลงก่อนเถิดนะ ที่พี่ให้คนไปตามเจ้ามาพบ เนื่องจากเด็กสาวคนนี้นางบอกว่าสามารถช่วยตามหาชิงเอ๋อร์ได้”
“คารวะฮูหยินเจ้าค่ะ” อวี้จิ่นทำความเคารพอย่างที่เคยดูในซีรี่ย์จีนโบราณเรื่องโปรด
“เจ้าพูดจริงหรือไม่ เรื่องการตามหาชิงเอ๋อร์ของข้าน่ะ เจ้าไม่ได้โกหกให้ข้ากับสามีดีใจเก้อใช่ไหม” หั่วฮูหยินได้ยินสามีพูดถึงอวี้จิ่นเช่นนั้นก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
“เรียนฮูหยิน ข้าไม่คิดสร้างเรื่องโกหกให้ตนเองต้องเดือดร้อน
ทีหลังแน่เจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าคนไหนคือสาวใช้ของคุณหนูว่านหรือเจ้าคะ”“อ้อ เป็นนางสองคนอาฟานกับอาส่าง ที่คอยดูแลชิงเอ๋อร์
ของข้าน่ะ” หั่วฮูหยินหันไปชี้ตัวสาวใช้ทั้งสองที่ยืนอยู่ด้านข้างกับอวี้จิ่น“ข้าอาฟาน”
“ข้าอาส่าง”
‘อ้าว ทำไมต้องเสียงแข็งกับข้าล่ะ ท่าทางจะมีพิรุธนะสาวใช้ ที่ชื่ออาส่างนี่ หึ อีกเดี๋ยวเจ้าจะห้าวไม่ออกแน่’
“สวัสดีพี่สาวทั้งสองเจ้าค่ะ พี่อาฟานข้ารบกวนท่านยื่นมือออกมาให้ข้าสักประเดี๋ยวนะเจ้าคะ”
“ได้สิ”
หมับ! วูบ!
อวี้จิ่นยื่นมือไปจับมือของอาฟานไว้ และภาพต่าง ๆ ในวันเกิดเหตุก็ฉายชัดอยู่ในห้วงความคิดของตนทันที เห็นได้ชัดว่าอาฟานซื่อสัตย์
รักและเป็นห่วงเจ้านายอย่างแท้จริง นางปกป้องว่านอี้ชิงจนถูกคนทำร้ายจากด้านหลัง เป็นเหตุให้หมดสติเปิดโอกาสให้คนร้ายได้ตัวของว่านอี้ชิงไป“อืม ต่อไปก็ตาท่านแล้วเจ้าค่ะพี่อาส่าง”
“ฮึ เจ้าเช็ดมือเสียหน่อยเถิดข้าเห็นแล้วขยะแขยง”
“อาส่างอย่าเสียมารยาทนาง แค่จับมือประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น” เจ้าเมืองว่านหันไปอบรมสาวใช้ของบุตรสาว
“เจ้าค่ะนายท่าน”
“หึ ขอบคุณพี่สาวท่านวางใจเถิดมือข้าสะอาดกว่าท่านเยอะ”
และแล้วเหตุการณ์ที่เห็นผ่านการสัมผัสมือของอาส่าง ทำให้อวี้จิ่นค่อย ๆ เม้มปากพยายามหายใจเข้าออกช้า ๆ เพื่อระงับความโกรธ
อันเกิดจากภาพที่เห็น ช่างเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ยากจริง ๆ สำหรับเรื่อง ความริษยาของสตรี แต่ที่ทำให้อวี้จิ่นรับไม่ได้ และตัดสินใจหักข้อมือ ของอาส่าง คือการที่สาวใช้คนนี้ใช้แจกันใบใหญ่ ทุบไปที่ศีรษะของอาฟานอย่างแรง เพื่อทำให้แผนการของเจ้านายตัวจริงสำเร็จ“พรึ่บ! กร๊อบบบ!! กรี๊ดดดด!!”
“โอ๊ย เจ้าทำร้ายข้าทำไม ปล่อยมือข้าเดี๋ยวนี้นะเจ้าทำข้อมือ
ข้าเจ็บไปหมดแล้ว”“จะ จะ เจ้าทำเช่นนั้นกับอาส่างทำไมหรือแม่นาง เหตุใดไม่พูดจากันดี ๆ เล่า” หั่วฮูหยินตกใจรีบลุกขึ้นไปหาสามีทันที ที่อาส่างกรีดร้อง
ด้วยความเจ็บ“เรียนท่านเจ้าเมือง ให้คนของท่านนำเชือกมามัดนางไว้ก่อนเถิดเจ้าค่ะ เพราะท่านยังต้องทำการลงโทษสาวใช้คนนี้พร้อมกับผู้ร้ายที่เหลือ”
“เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร!”
“นายท่านนางใส่ร้ายบ่าวเจ้าค่ะ บ่าวไม่รู้ว่านางพูดถึงเรื่องอันใด นายท่านอย่าได้เชื่อคำพูดไร้สาระของนางนะเจ้าคะ” อาส่างเริ่มกังวลว่าอวี้จิ่นจะมีเบาะแสเกี่ยวกับว่านอี้ชิง จึงพยายามพูดให้ตนเองน่าสงสาร
“หุบปาก!! ข้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อนาง ไม่จำเป็นให้เจ้ามาสอน
ถ้ายังไม่เงียบปากของเจ้าข้าจะให้คนตบปากเจ้าทันที”“มีคนต้องการให้บุตรสาวของตน แต่งงานกับว่าที่บุตรเขย
ของท่าน จึงได้วางแผนลักพาตัวคุณหนูว่าน เพื่อทำให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียง ความอิจฉาริษยาของสตรี เป็นสิ่งที่น่ากลัวมากนะเจ้าคะ ท่านเจ้าเมือง” อวี้จิ่นพูดชี้นำเพราะนางคิดว่าเพียงเท่านี้ เจ้าเมืองว่าน น่าจะพอคาดเดาผู้อยู่เบื้องหลังได้แล้วว่าเป็นใคร“ปัง!! บัดซบ!! นางกล้าดีอย่างไร ถึงวางแผนทำร้ายชิงเอ๋อร์
ได้ถึงเพียงนี้ แสดงว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานางวางแผนสกปรก อยู่ภายใต้ใบหน้าที่อ่อนหวานนั่นมาเสมอสินะ” เจ้าเมืองว่านรู้ได้ในทันทีว่า คนที่อวี้จิ่นพูดถึงคือใคร“ยามนี้ท่านเจ้าเมือง ควรไปช่วยคุณหนูว่านออกมาจากที่นั่นเสียก่อน เพราะคณหนูว่านไม่ได้ทานอะไรมาหลายวันแล้ว มีเพียงน้ำเปล่าที่ช่วยต่อเวลาชีวิตให้นางเพียงเท่านั้น และนางอยู่ในห้องลับของเรือน
คนที่ท่านเจ้าเมืองได้คาดเดาเอาไว้นั่นแหละเจ้าค่ะ เรื่องอื่นค่อยจัดการ ทีหลังเมื่อคุณหนูว่านปลอดภัยเถิดเจ้าค่ะ” การมีภรรยาหลายคน มักจะเจอเหตุการณ์เช่นนี้ แต่บุรุษยุคโบราณคิดแค่เรื่องการขยาย วงศ์ตระกูลมากกว่า“เช่นนั้นรบกวนเจ้าอยู่กับฮูหยินที่นี่ก่อน ข้าจะพาคนไปจัดการเรื่องนี้แล้วเราค่อยมาพูดคุยกันอีกครั้ง”
“เจ้าค่ะ ข้าน้อยรอได้เชิญท่านเจ้าเมืองเถิด”
“อาจู้ร์นำกำลังคนไปล้อมเรือนฮูหยินรองไว้ทุกด้าน ส่วนพ่อบ้านพาคนไปตรวจสอบบ่าวไพร่ในจวนทุกคน ใครที่มีพิรุธจับตัวเอาไว้
แล้วพามาพบข้าทีหลัง” แม้จะอยู่ในอารมณ์โกรธแค้น แต่เจ้าเมืองว่านก็ยังห่วงฮูหยินเอกของตน“ขอรับนายท่าน/ขอรับนายท่าน”
ในที่สุดการตามหาบุตรสาวก็ได้สิ้นสุดลงเสียที เมื่อเจ้าเมืองว่านนำคนไปค้นจนพบห้องลับในเรือนของฮูหยินรอง ที่บุตรสาวอีกคนของตนกำลังทรมานว่านอี้ชิงอยู่ เมื่อถูกจับได้คาหนังคาเขาฮูหยินรอง
ไม่อาจปฏิเสธได้ นางอ้างถึงความรักและสงสารบุตรสาว จึงได้ทำเรื่อง ชั่วช้าลงไป นางพยายามร้องขอความเห็นใจจากสามี แต่นางคงคาดไม่ถึงว่าบุรุษอย่างเจ้าเมืองว่าน จะเด็ดขาดกับการทำผิดเช่นนี้“นำตัวฮูหยินรองกับบุตรสาวของนาง รวมถึงสาวใช้และบ่าวไพร่
ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ไปรับโทษโบยยี่สิบไม้จากนั้นเนรเทศไปเป็นทาสในเหมืองของแคว้น เอาตัวไปลงทัณฑ์!” เพราะฮูหยินรองคนนี้ได้มาจากความไม่เต็มใจ เมื่อมีโอกาสกำจัดนางออกไปจากจวนได้ เจ้าเมืองว่าน จึงไม่ลังเลที่จะตัดสินโทษร้ายแรงให้พวกนาง“นายท่าน!!/ท่านพ่อ!!”
“นายท่านโปรดเมตตาด้วย!” ฮูหยินรองถึงกับรีบร้องขอความเมตตา เมื่อสามีที่นางใช้วิธีสกปรกเพื่อให้ได้มาซึ่งฐานะนี้ ตัดสินโทษหนักให้นางกับบุตรสาว โดยไม่พิจารณาถึงคำว่าภรรยาและลูกสักนิด
“ท่านพ่อ! ข้าเป็นลูกของท่านเช่นกันนะ ท่านพ่อ! ฮือ ๆ ๆ”
เจ้าเมืองว่านไม่เห็นแก่สัมพันธ์ส่วนตัว ในเมื่อกระทำความผิด ย่อมได้รับโทษตามกฎหมายหากเขาเห็นแก่ตัว จะมีชาวบ้านเคารพนับถือว่าเป็นเจ้าเมืองที่มีความยุติธรรมได้อย่างไร
เมื่อจบเรื่องอวี้จิ่นได้เงินรางวัลห้าสิบตำลึงทองมาอยู่ในมือ
จึงเตรียมหาซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ไว้ผลัดเปลี่ยนยามเดินทาง อวี้จิ่นกลับมาใส่ชุดสตรีเนื้อผ้าธรรมดาทั่วไปที่ดูไม่โดดเด่น ถึงอย่างไรร่างนี้เพิ่งจะพ้น วัยปักปิ่นเท่านั้น ใบหน้าที่ไร้การแต่งแต้มจึงไม่น่าดึงดูด และมันเป็นการดีซึ่งช่วยให้ไม่มีบุรุษใด มองอวี้จิ่นอย่างเสน่หาถือว่าปลอดภัยในระดับหนึ่งก่อนจะออกเดินทางไปยังเมืองถัดไป ด้วยรถม้าที่เจ้าเมืองว่าน
หามาให้ อวี้จิ่นไม่ลืมเตือนให้เจ้าเมืองว่าน ยึดมั่นปณิธานการเป็นขุนนางตงฉินต่อไป เพราะนางได้บอกกับเจ้าเมืองว่านกลาย ๆ ว่าในอนาคต เขาจะได้เลื่อนตำแหน่ง และเจ้าเมืองว่านก็เชื่อว่าที่อวี้จิ่นพูดมาย่อมเป็นเรื่องจริง เนื่องจากมีตัวอย่างให้เห็นในเรื่องของบุตรสาวมาแล้วนั่นเองระหว่างการเดินทางจากเมืองจ้าวโจวใช้เวลาถึงเจ็ดวัน กว่ารถม้าจะพาอวี้จิ่นมาถึงเมืองเฉียนโจว ที่ดูจะคึกคักไม่น้อยมีผู้คนเดิน สวนทาง เข้าออกเมืองกันอย่างคับคั่ง ทั้งพ่อค้าแม่ค้าหรือนักเดินทาง จากต่างแคว้น แต่ถึงบรรยากาศยามกลางวันดูผู้คนพลุกพล่าน ใช้ชีวิตกันอย่างปกติทั่วไปเหมือนเมืองอื่น ๆ หากเมื่อใดใกล้ถึงยามค่ำคืนในเมืองเฉียนโจวกลับเงียบสนิท และเป็นครั้งแรกที่อวี้จิ่นรู้สึกว่า ที่เมืองเฉียนโจวมีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้น“แม่นางน้อยพวกเรามาถึงเมืองเฉียนโจวแล้วขอรับ ข้าคง ส่งท่านถึงแค่หน้าประตูเมืองเท่านั้น หวังว่าท่านจะไม่โกรธนะขอรับ” คนบังคับรถม้าไม่อยากค้างคืนที่นี่ เพราะข่าวลือเรื่องยามค่ำคืนที่น่ากลัว“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านลุง ขอบคุณท่านมากที่มาส่งข้าว่าแต่ทำไมท่านลุง ไม่พักเหนื่อยที่เมืองเฉียนโจวเสียก่อนล่ะเจ้าคะ เดินทางมาตั้งไกลม้าเองก็น่าจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยนะเจ้าคะ” อวี้จิ่นสงสัยกับสายตา ที่ดูหวาดกลัวบางอย่าง“เอ่อ ฮ้าย! หากข้าพูดให้แม่นางน้อยฟังแล้ว ท่านต้องมีสติ ให้ดี ที่ข้าไม่อยากพักที่เมืองเฉียนโจวเป็นเพราะว่ามีข่าวลือเกิดขึ้น ในยามกลางคืนมักจะมีผีสาวนางหนึ่งออกอาละวาด แ
ล่วงเลยเข้าปลายยามห้าย อวี้จิ่นออกจากห้องพักแสร้งเดินเล่น ไปตามถนนในเมืองเฉียนโจว ในมือข้างซ้ายถือลูกผิงกั่วกัดกินไปด้วย ท่ามกลางความเงียบสงัดอย่างที่คนบังคับรถม้าบอก ทำให้รู้สึกวังเวง อยู่ไม่น้อย แต่นั่นไม่ช่วยให้ความอยากรู้ลดลงแต่อย่างใด ด้านบนหลังคายังมีคนกลุ่มหนึ่งคอยตามอวี้จิ่นไปเงียบ ๆหลังจากเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่หลายมุม จนเริ่มจะเมื่อยขาและอวี้จิ่นคิดว่า คืนนี้ไม่น่ามีเหตุการณ์ในข่าวลือเกิดขึ้น จึงคิดจะเดิน กลับโรงเตี๊ยมเพื่อนอนพักเอาแรง ยามที่กำลังคิดเรื่องกลับห้องพัก ก็มีเสียงหัวเราะแทรกเข้ามา ด้วยบรรยากาศที่เงียบเชียบ พอมีเสียงหัวเราะกลับกลายเป็นความรู้สึกน่ากลัว สำหรับคนในเมืองเฉียนโจวยิ่งนัก แต่อวี้จิ่นทำเพียงหยุดเดินและรอคอยอย่างตั้งใจ ว่าผีสาวตนนี้จะทำอะไรกับนาง ถ้าหากนางถามคำถามออกไป มันจะตอบคำถามของนาง ได้หรือไม่“ฮิ ๆ ๆ อาหารของข้า”“โอ๊ะ!! ในที่สุดก็ออกมาจนได้ ขอดูหน้าหน่อยก็แล้วกัน ว่าจะเป็น ผีสาวใบหน้างดงามหรือน่าขยะแขยง”“ฮ่า ๆ ๆ มาเป็นอาหารให้ข้าเสียเถิดเด็กน้อย แผล่บ ๆ”“ขวับ!! สวัสดีตอนดึกเจ้าค่ะ เป็นผีทำไมถึงรู้สึกหิวได้ล่ะ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยน
ยามค่ำคืนที่ผ่านมาเป็นครั้งแรก ที่ฟู่หลงเหยียนไม่ฝันถึงเรื่องราวในอดีต เมื่อลืมตาตื่นขึ้นในเช้าวันใหม่ จึงรู้สึกสดชื่นอย่างที่ไม่เคย รู้สึกมาหลายปี เขาไม่รู้จะขอบคุณสตรีที่แสนจะธรรมดาไม่เหมือนใคร แม้แต่ชื่อแซ่ก็ลืมถามไถ่กับนางไว้ ก่อนจะจากกันไปเสียได้ ฟู่หลงเหยียนตั้งใจไว้ว่าเช้านี้เขาจะถามชื่อของนางเป็นอย่างแรกทางด้านอวี้จิ่นที่เพิ่งตื่นนอนในต้นยามเฉิน พอตั้งสติได้ก็เกือบ หัวทิ่มหัวตำลงจากเตียงด้วยความเร่งรีบ เมื่อนางนึกขึ้นได้ว่าใกล้ถึงเวลา ที่ฟู่หลงเหยียนจะมารับนาง เพื่อไปเก็บหลักฐานการกระทำความผิด ของเจ้าเมืองเฉียนโจว อวี้จิ่นรีบล้างหน้าบ้วนปากอาบน้ำอย่างรวดเร็ว ผมเผ้าทำเพียงเก็บรวบมัดยกเป็นหางม้าเท่านั้นเมื่อเดินออกมาด้านหน้าโรงเตี๊ยม บุรุษในชุดคลุมสีดำสองคน มายืนรอนางอยู่ก่อนแล้วพร้อมม้าอีกสองตัว ทำเอาอวี้จิ่นละอายใจเล็กน้อยได้แต่กล่าวขอโทษ ที่นางตื่นสายทำให้ทั้งสองคนต้องรอนาน“อุ๊ย! แหะ ๆ ๆ ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ปล่อยให้พวกท่านรอนานเช่นนี้ ถ้าวันไหนข้าเข้านอนดึกมักจะตื่นสายเช่นนี้ประจำเจ้าค่ะ”“ไม่เป็นไร พวกข้าสองคนเพิ่งจะมาถึงไม่นานเช่นกัน เจ้าพอ จะบอกที่ซ่อนของหลักฐาน
เมื่อทั้งสามคนเดินมาถึงห้องส่วนตัวขนาดกลาง มีนักบวชคอยเฝ้าเอาไว้สองคน ก่อนจะเข้าไปได้ย่อมมีค่าผ่านประตู เรื่องนี้อวี้จิ่นย่อมเห็นจากภาพนิมิตมาแล้วจึงอาสาจัดการเอง“เดี๋ยวก่อนประสกทั้งสาม หากต้องการใช้ห้องสวนมนต์แห่งนี้ พวกท่านทราบถึงกฎเกณฑ์ของทางวัดแล้วหรือไม่”“คารวะไต้ซือเจ้าค่ะ คุณชายของข้าเพิ่งมาจากต่างเมือง เพื่อมาขอพรเกี่ยวกับการทำงานครั้งใหญ่ เห็นว่าที่วัดของตระกูลอวี่มีผู้คนเคารพนับถืออย่างมาก จึงอยากมากราบไหว้สักครั้ง ส่วนเรื่องกฎของทางวัด ข้าทราบเป็นอย่างดีว่าต้องทำอย่างไร ของในตะกร้าใบนี้หวังว่าไต้ซือจะอนุญาตให้คุณชายของข้า ได้เข้าไปสวดมนต์เป็นการส่วนตัวนะเจ้าคะ” พวกเห็นแก่เงินจะไม่รับไว้ได้อย่างไร ในตะกร้านั่นมีก้อนตำลึงเงินอยู่หลายก้อนเชียวนะ“อืม เมื่อประสกตัวน้อยรู้จักทำตามกฎของวัด คุณชายของท่านย่อมสามารถเข้าไปสวดมนต์ด้านในได้ เชิญ” ไต้ซือตัวปลอมมัวแต่สนใจก้อนตำลึงในถุงผ้าใบเล็กในตะกร้าจึงไม่เอะใจคำพูดของอวี้จิ่นเท่าใดนัก“ขอบคุณไต้ซือเจ้าค่ะ ที่เห็นใจชาวบ้านอย่างเรา เชิญคุณชายเข้าไปสวดมนต์เถิด งานที่ท่านหวังไว้จะได้สำเร็จโดยเร็วนะเจ้าคะ” อวี้จิ่นหันไปเชื้อเชิญฟู่หลงเหย
บนโต๊ะอาหารในจวนเช่าของฟู่หลงเหยียน ยามนี้มันเต็มไปด้วยอาหารหน้าตาแปลก ๆ แต่กลิ่นมันกลับหอมชวนให้ท้องร้องอยากกินเสียเดี๋ยวนั้น สาเหตุมาจากอวี้จิ่นไม่อยากนั่งอยู่เฉย ๆ นางจึงลุกไปยังห้องครัว และลงมือทำอาหารจากเนื้อและผักจากในมิติของตนโดยมีข้ออ้างกับตงลู่ว่า ตนเองแอบออกไปซื้อที่ตลาดมา และห้ามตงลู่บอกกับฟู่หลงเหยียนว่านางออกไปด้านนอก แต่ให้บอกว่าเขาคือคนที่ไปซื้อเนื้อกับผักพวกนี้ ตามคำขอของนาง อวี้จิ่นข่มขู่ตงลู่ด้วยอาหารบนโต๊ะนั่น ถ้าไม่ยอมทำตามที่นางบอกเขาจะอดกินมันอย่างแน่นอนคำข่มขู่ของอวี้จิ่นย่อมเป็นผล เมื่อตงลู่อยากชิมอาหารบนโต๊ะ ซึ่งมันไม่เหมือนอาหารที่เขาเคยทานมาก่อน ตงลู่ต้องออกจากห้วงความคิดของตน เมื่อได้ยินเสียงประตูจวนถูกเปิด เขารีบบอกให้อวี้จิ่นไปซ่อนตัวไว้ ส่วนตนเองจับดาบไว้แน่น ออกไปยืนซ่อนตัวอยู่ด้านหลังประตู แต่คนที่มากลับเป็นเจ้านายของตนมิใช่คนร้าย“แอ๊ดดด!! ชิ้ง!! พวกเจ้าปะ นายน้อย!!”“ตงลู่! นี่เจ้าอยากประลองฝีมือกับนายน้อย ถึงกับถือดาบมาดักรออยู่หลังประตูเชียวรึ” อู๋จิ้งเห็นตงลู่ชักดาบเมื่อประตูเรือนด้านหน้าเปิดออกจึงเรียกสหายทันที“ขออภัยขอรับนายน้อย บ่าวคิดว่ามี
จิ้งโม่และมู่ฉีกลับที่พักของพวกตนทันที หลังจากออกมาจากค่ายทหาร ในจดหมายจิ้งโม่เขียนไว้อย่างละเอียด รวมถึงเรื่องที่เจียงหยวนกำลังออกเดินทางไปรอเจ้านาย อาจจะเป็นที่เมืองชางโจว เมื่อภารกิจสำเร็จทั้งสองจึงไปดื่มฉลองกันเล็กน้อยตามประสาบุรุษด้านแม่ทัพใหญ่ที่กลับมาถึงจวนในยามเซิน ได้สั่งให้พ่อบ้านเจียงไปแจ้งที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าว่า เย็นนี้เขาจะพาฮูหยินไปรับสำรับเย็นที่นั่น และบอกให้แม่ครัวเตรียมอาหารไว้มากกว่าเดิมสักหน่อย ก่อนที่ตัวของแม่ทัพใหญ่จะกลับไปชำระล้างร่างกายเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อไปพบฮูหยินที่ไม่ยอมออกจากจวนมาหลายปีมู่เสียสาวใช้คนสนิทของจางฮูหยิน เมื่อเห็นว่านายท่านของจวน มาพบนายหญิงของตนเร็วกว่าทุกวัน จึงจะเข้าไปบอกเจ้านายแต่ว่านางถูกนายท่านเรียกตัวเอาไว้เสียก่อน“มู่เสีย”“คารวะนายท่านเจ้าค่ะ”“เจ้าไม่ต้องไปรายงานน้องหญิง แต่ไปเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ดูชุดที่มีสีสันสดใสสักเล็กน้อยก็แล้วกัน วันนี้ข้าจะพานางไปรับอาหารเย็นที่เรือนท่านแม่” แม่ทัพใหญ่สั่งงานกับมู่เสีย ก่อนจะเข้าไปหาฮูหยินของตน ที่ยังคงมีสีหน้าไร้ชีวิตชีวาเช่นทุกวัน“เอ่อ เจ้าค่ะนายท่าน” มู่เสียทำท่าคล้ายมีคำถาม แต่ก็ต
ตระกูลเจียงสายหลักและสายรองในเมืองหลวง กำลังต่อสู้กันอยู่อย่างเงียบ ๆ มีเพียงคนที่เป็นสหายเท่านั้น ที่รับรู้ว่าสองพี่น้องต่างแม่เกลียดกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ไม่ว่าอย่างไร คนที่เป็นฝ่ายชนะมักจะเป็นแม่ทัพใหญ่อยู่เสมอทางด้านเมืองเฉียนโจว นายกองจั๋วได้เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว เหลือเวลาอีกหนึ่งวัน ฟู่หลงเหยียนจะนำตัวนักโทษออกเดินทางเสียที แต่ในต้นยามเฉินฟู่หลงเหยียนก็ได้รับจดหมายจากจิ้งโม่“นายน้อยขอรับจดหมายจากจิ้งโม่น่าจะเพิ่งมาถึง คงเกี่ยวกับเรื่องของคุณหนูอวี้จิ่นนะขอรับ” เฉินอิ่นนำจดหมายออกจากขานกพิราบ ที่บินมาจากเมืองหลวงมอบให้เจ้านายของเขา“อืม ขอบใจ”ฟู่หลงเหยียนรับจดหมายมาเปิดอ่านที่เขียนมาสั้น ๆ แต่สามารถเข้าใจความหมายที่จิ้งโม่บอกมาเป็นอย่างดี‘ตระกูลเจียง คาดว่าทารกถูกสับเปลี่ยนและเป็นแผนร้ายของตระกูลสายรอง สหายของนายน้อยกำลังเดินทางไปสมทบ’“หึ นางเป็นบุตรสาวของตระกูลนี้จริง ๆ สินะ” เมื่อได้รับการยืนยันจากข่าวของจิ้งโม่ ฟู่หลงเหยียนจึงมั่นใจเต็มส่วน ว่าอวี้จิ่นคือบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ บิดาของสหายของตนอย่างเจียงหยวน“เอ่อ นายน้อยข่าวของจิ้งโม่ว่าอย่างไรบ้างหรือขอรับ เจอตระกูลครอบค
ณ บ้านเช่าราคาถูกเก่า ๆ ในมุมหนึ่งของเมืองใหญ่ มีหญิงสาว วัยยี่สิบปีเธอมีชื่อว่า ‘หยก’ ตั้งแต่เล็กจนโตเธอถูกเลี้ยงดูจาก บ้านเด็กกำพร้า ไม่เคยรู้ที่มาที่ไปว่าเธอเองมาจากไหนพ่อแม่เป็นใคร และเธอไม่สนใจที่จะตามหาอดีตให้เจ็บปวดหากพบเจอความจริง อันโหดร้าย จึงเลือกใช้ชีวิตด้วยการทำงาน หาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่เรียนจบมัธยมปลายหยก พยายามใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากในวันที่เธออายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์มีบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งมันเป็นเรื่องดีและร้ายในคราวเดียวกัน เมื่อลืมตาตื่นหลังผ่านวันเกิด อายุครบสิบแปดปี หยกสามารถมองเห็นชะตาชีวิตของคนที่บังเอิญ มาสัมผัสโดนตัวของเธอ หยกสติแตกไปหลายวันกว่าจะรวบรวมสติกลับมาได้ เธอตัดสินใจเล่าให้เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวอย่างไพลินฟัง และเพื่อนสนิทคนนี้นี่เอง ที่สนับสนุนให้หยกใช้ความสามารถนี้ เพื่อหาเงินจากพวกคนรวยที่เชื่อเรื่องทำนายดวงชะตา“ลินฉันเล่าให้แกฟังแค่คนเดียวแล้ว อย่าเอาไปเล่าให้ใครฟังล่ะ ฉันไว้ใจที่แกเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของฉัน หวังว่าจะไว้ใจแกได้ ในเรื่องนี้นะลิน ฉันไม่อยากถูกคนอื่นมองว่าเป็นคนบ้า” เพราะคนที่ไม