ดวงวิญญาณของหยกถูกพลังงานบางอย่าง ดึงไปอย่างแรง
เธอไม่มีโอกาสบอกลาเพื่อนสนิท เพียงคนเดียวอย่างไพลิน ที่ป่านนี้ คงร้องไห้เป็นเผาเต่า เมื่อรู้ว่าเธอตายในกองเพลิงแห่งนั้นด้วยแรงดึงมหาศาล ดวงวิญญาณของหยกเข้าไปอยู่ในร่าง
ของเด็กสาวคนหนึ่ง ที่ถูกงูพิษกัดที่ข้อเท้าด้วยร่างกายที่อ่อนแอ จึงไม่อาจหาสมุนไพรแก้พิษได้ทัน จึงต้องตายอย่างน่าอนาจ ซึ่งที่นี่เป็นโลกคู่ขนานของยุคจีนโบราณ ที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนในประวัติศาสตร์ เมื่อหายใจและลืมตาขึ้นรอบ ๆ ตัวของหยกคือป่าแห่งหนึ่งของหมู่บ้านลิ่วหยางหยกจึงพยายามชันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ต้องล้มลงนอนอีกครั้ง
พร้อมอาการปวดหัวที่ทำเอาเธอตาพร่ามัวไปหมด ภาพในหัวตอนนี้ เป็นความทรงจำของเจ้าของร่างตั้งแต่เด็ก มีหญิงชราคนหนึ่งเลี้ยงดู มาจนเติบโต แต่มักจะมีสายตาที่เศร้าสร้อย ยามมองมาที่ร่างบาง และที่สำคัญ เจ้าของร่างยังเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาเลี้ยง“ทำไมคำขอของไอ้หยก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงให้ไม่ได้กันมันน่าโมโหนักโอ๊ย! นี่สิ่งศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์ หูหนวกตาบอดกันหรือยังไง หนูขอก่อนตายว่าอยากมีพ่อแม่ที่ร่ำรวย มีเงินมีทองใช้ไม่ขาดมือนะคะ แล้วนี่คืออะไร
ชาติก่อนก็เป็นเด็กกำพร้า ตายแล้วมาเกิดใหม่ในร่างคนอื่น ก็ยังจะให้ ไอ้หยกเป็นเด็กกำพร้าเหมือนเดิมอีกเหรอเนี่ย”“อ๊าก! น่าโมโหจริง ๆ อย่าให้รู้นะว่าใครพามาเกิดใหม่ในโลกนี้
จะอวยพรให้นั่งไม่ได้นอนไม่ได้ไปร้อยปีพันปีหมื่นปีเลย เพี้ยง!”“ช่างทำกับไอ้หยกเด็กน้อยผู้น่าสงสารได้ลงคอ ตุบ เฮ้อ”
“อ๊ากกก!! ทำไมถึงเจ็บที่ก้นเช่นนี้ เล่าใครหน้าไหนมากลั่นแกล้งข้า โผล่หัวของเจ้าออกมาบัดเดี๋ยวนี้ แล้วนี่เทพจันทราหายไปไหน
ไม่กี่ชั่วยามก่อนยังนั่งดื่มสุราด้วยกันอยู่ หรือจะมีภารกิจผูกด้ายแดง”“พรึ่บ! เพียะ! เข้าให้จะได้ตื่นเต็มตาเสียทีเทพชะตา”
“โอ้ย!! เทพจันทรานี่เจ้าตีข้าด้วยเหตุใดกัน ประเดี๋ยวก็ไม่แบ่ง
สุราดอกท้อให้เสียนี่ อูย มือหนักจริง ๆ”“หึ ตีเจ้าด้วยเหตุใดน่ะหรือ ลองมองลงไปเบื้องล่างนั่นสิ
เด็กสาวคนนั้นร้องขอสิ่งใดแล้วดูเจ้ามอบสิ่งใดให้กับนาง ถ่างตาดู ให้กว้าง ๆ แล้วจะรู้ว่าทำไมเจ้าถึงนั่งหรือนอนไม่ได้”เทพชะตาเมื่อได้เห็นสิ่งที่ตนทำผิดพลาดกับหยกไว้ ถึงกับ
กุมศีรษะอันขาวโพลนจนสำนึกผิดแทบไม่ทัน เพราะไม่คิดว่าจะมี ดวงวิญญาณ ที่เชื่อมโยงชะตาจากอีกโลกหนึ่งมาที่นี่ ถ้าอยากนั่งหรือนอนโดยไม่เจ็บปวด จำต้องไปขอโทษนางด้วยตนเองเท่านั้น“เฮ้อ ไม่น่าดื่มมากเกินไปจริง ๆ เจ้าก็มีส่วนผิดนะเทพจันทรา
ที่ไม่เตือนข้า ดังนั้นเจ้าต้องมีส่วนรับผิดชอบลงไปพร้อมกัน แล้วพวกเรา ให้พรกับนางคนละหนึ่งข้อเป็นอย่างไร”“จะ จะ เจ้านี่มันไร้ยางอายเสียเหลือเกิน แค่พรหนึ่งข้อข้าไม่หวงหรอกนะ แต่เจ้าต้องให้พรนางสองข้อข้าถึงจะยอมรับผิดชอบกับเจ้า”
“จิ๊ ๆ ๆ ได้ ๆ สองข้อก็สองข้อจะลงไปได้หรือยังเล่า อย่าให้มหาเทพรู้เข้าล่ะไม่ เช่นนั้นเจ้ากับข้ามีหวังไม่ได้ดื่มสุราดอกท้ออีกแน่”
“รู้แล้วน่ารีบไปกันเถิดก่อนที่นางจะลงเขากลับบ้านไปเสียก่อน”
ส่วนหยกที่ยังคงนั่งทำความคุ้นเคยกับร่างใหม่อยู่กลางป่า
ใกล้ ๆ มีตะกร้าที่ขึ้นมาหาสมุนไพร และผักป่ากลับไปทำอาหาร และนำสมุนไพรไปขายเพื่อซื้อยากลับมารักษายายเฒ่าลิ่ว แต่ร่างบาง ก็ต้องหงายหลังหมดสติลงไปอีกครั้ง เมื่อท่านเทพทั้งสองต้องการพบเธอในห้วงความคิด“โอ๊ะ! อะไรวะเนี่ยนั่งเฉย ๆ ก็ตายอีกรอบได้เหรอ แล้วทำไมมันมีแต่ควันขาว ๆ ไม่เห็นมีใครมารับเหมือนในละครล่ะ”
“เจ้ายังไม่ตายอีกรอบจะให้ยมทูตมารับไปได้อย่างไร พวกข้า
อยู่ด้านหลังของเจ้าต่างหากนางหนู” เทพจันทราตอบคำถามของหยก ที่ยืนบ่นโดยหันหน้าไปอีกด้าน“หืม เฮ้ยยย!! มะ มะ มาไงล่ะเนี่ยแล้วแต่งตัวอะไรแปลก ๆ
กำลังถ่ายซีรี่ย์เรื่องไหนกันอยู่อ่ะคุณลุง พระเอกหล่อป่ะแล้วทีมงาน ซ่อนอยู่ตรงไหนพาหนูไปดูเบื้องหลังด้วยคนสิได้ไหมคะ” หยกที่เห็นคนแต่งกายชุดจีนโบราณ ก็คิดว่ากำลังถ่ายทำซีรี่ย์กันอยู่“โป๊ก! อูย เจ็บ ๆ ๆ”
“เจ็บก็ดีผีเจาะปากมาพูดแท้ ๆ เอาล่ะเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน
ข้าเทพชะตาส่วนอีกคนคือเทพจันทราสหายข้าเอง เรื่องที่ดวงวิญญาณของเจ้ามาเข้าร่างของเด็กสาวคนนี้ คงต้องขออภัยเจ้าจริง ๆ เป็นความผิดของข้าเองที่ไม่มีสติมากพอ จึงทำให้เกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่ ทั้งที่เจ้าไม่อยากเป็นเด็กกำพร้าแต่พอได้ร่างใหม่ก็ยังเป็นเด็กกำพร้าอยู่ดี”“หึ ก็ใช่น่ะสิใครจะอยากเกิดมาลำบากอดมื้อกินมื้อกันเล่า”
“ฟังให้จบก่อนสินางหนู ประเดี๋ยวก็ทำให้เป็นใบ้ชั่วคราวเสียนี่
เอาล่ะตั้งใจฟังให้ดี แม้ร่างที่เจ้ามาเกิดใหม่ตอนนี้จะเป็นเด็กกำพร้า แต่ความเป็นจริงแล้วบิดามารดาของร่างนี้ยังมีชีวิตอยู่ เนื่องจาก เคราะห์กรรมที่เคยทำไว้ จำต้องถูกคนวางแผนทำร้าย ยังดีที่ยายแก่นั่น สงสาร จึงพาเจ้าหนีมาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ ส่วนรายละเอียดทั้งหมด เจ้าก็ไปถามกับยายแก่ที่บ้านเองเถิด คาดว่านางจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้วล่ะ” เทพชะตาเล่าเรื่องราวให้หยกได้รู้เพียงเล็กน้อย“เพราะพวกข้าสองคนทำให้เจ้าต้องมาลำบากอีกครั้ง จึงมีพร
ให้เจ้าขอได้สามข้อลองนึกดูดี ๆ สิ่งที่เจ้าอยากมีไว้เพื่อดูแลตนเอง และสามารถนำมันไปช่วยเหลือผู้อื่นที่ลำบาก มีอะไรที่อยากได้บ้าง เรื่องภาษาของโลกนี้อย่าได้กังวล เจ้าเข้าใจและพูดได้ตั้งแต่เข้ามาอยู่ ในร่างนี้แล้วล่ะ” เทพจันทราถามความต้องการของหยก“อืม อย่างแรกต้องเกี่ยวกับปากท้อง ซึ่งมันสำคัญมากที่สุด
ในยุคโบราณเช่นนี้ ขอมิติตลาดครอบจักรวาลของโลกเดิม เป็นพร ข้อแรกค่ะ ส่วนข้อที่สองนั้นขอเป็นความสามารถในการทำนายดวงชะตา เพียงแค่เพ่งกระแสจิตหรือสัมผัสแค่ปลายนิ้ว ก็มองเห็นทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคตของคนที่ต้องการช่วยเหลือ และคนชั่วที่ต้องได้รับโทษเท่านั้น ส่วนข้อสุดท้ายเทพจันทรามีหน้าที่ผูกด้ายแดงใช่ไหมคะ”“อืม ใช่นั่นคือหน้าที่หลักของข้าเจ้าถามทำไมรึ?”
“เช่นนั้นพรข้อที่สาม ขอเนื้อคู่ที่รักหนูแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น
ไม่เกรงกลัวอันตรายไม่ว่าคนผู้นั้นจะตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหน ขอคนหน้าตาหล่อเหลาฐานะร่ำรวย สายเปย์ด้วยยิ่งดีได้ไหมคะท่านเทพ”“เรื่องแค่นี้เองน่ะหรือ ได้! เนื้อคู่ของเจ้าเป็นไปตามที่เจ้าต้องการ
แต่จะได้พบพานเมื่อใดนั้น ข้าไม่อาจบอกกับเจ้าได้หวังว่าจะเข้าใจนะ” แต่เทพจันทราที่ลงมือผูกด้ายแดงกลับไม่ได้มองว่า เส้นด้ายเนื้อคู่ ที่มอบให้กับหยกนั้น เป็นบุรุษที่มีนิสัยยิ่งกว่าที่นางร้องขอเสียอีก“แล้วของท่านเทพชะตาล่ะคะจะให้เป็นแบบไหนดี”
“พรึ่บ!! มิติตลาดครอบจักรวาลของเจ้าอยู่ในปานดอกอิงฮวา
หลังใบหูข้างซ้าย ส่วนการทำนายดวงชะตาก็ทำเช่นที่เคยทำ และจะไม่กินพลังชีวิตของเจ้า การช่วยเหลือคนคือการทำความดีคนไหนควรเก็บเงิน ก็เก็บ เรื่องนี้ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะเข้าใจได้ง่ายอยู่กระมัง”“ขอบคุณท่านเทพทั้งสองมาก ขอให้พวกท่านมีพลังบำเพ็ญเพิ่มขึ้นอีกหลายพันปีนะคะ สิ่งใดที่เคยพูดจาก้าวล่วงเกินไป ขอให้เป็นโมฆะเสีย ส่วนเรื่องของคนที่คิดร้ายกับเจ้าของร่างจะต้องแก้แค้นเจ้าค่ะ แต่การลงโทษจะมาจากน้ำมือของผู้ใช้กฎหมายของแคว้นเท่านั้น
หากไม่มีใครคิดจะสังหารร่างนี้ หนูสัญญาว่าจะไม่ฆ่าใครเช่นกันค่ะ”“อืม พวกข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเด็กดี และซื่อตรงกับความต้องการ
ของตนเอง เอาล่ะได้เวลาพวกข้าต้องกลับขึ้นไปทำหน้าที่แล้ว เจ้าเอง ก็จงเดินทางปลอดภัยจัดการปัญหาต่าง ๆ อย่างไร้อุปสรรคเถิด”“ขอบคุณท่านเทพทั้งสองมากค่ะ”
วูบ..!
หลังจากท่านเทพทั้งสองกลับขึ้นสวรรค์ หยกในร่างของ ‘อวี้จิ่น’
ชื่อที่หมอตำแยตั้งให้กับเจ้าของร่าง เมื่อลืมตาและตั้งสติได้อีกครั้ง จึงสะพายตะกร้าลงจากเขา เพื่อกลับไปดูแลยายเฒ่าลิ่วที่เลี้ยงดู นางมาตั้งแต่แบเบาะ ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรที่ใช้เป็นยารักษาคนหรือใช้ เพื่อฆ่าคน ยายเฒ่าลิ่วก็สอนให้กับอวี้จิ่นจนหมด ด้วยหวังว่าวันใดที่ตน หมดลมหายใจ อวี้จิ่นสามารถใช้ความรู้เหล่านี้ทำงานหาเลี้ยงตนเองได้“แฮ่ก ๆ ๆ โอย ทำไมมันเหนื่อยขนาดนี้ แค่เดินลงจากเขานะ
หรือจะเป็นเพราะยังไม่ชินกับรูปร่างของคนยุคโบราณแน่ ๆ”“อวี้จิ่น!”
“หืม ท่านป้าจูทำไมมาถึงเชิงเขาได้ล่ะเจ้าคะ”
“ป้าก็มาตามเจ้าน่ะสิอวี้จิ่น ลงมาจากเขาเสียทีรีบกลับบ้านไปดูยายเฒ่าลิ่วเถิด ท่าทางจะทนไม่ไหวกับอาการป่วยที่เป็นแล้วล่ะ”
นางจูที่อยู่บ้านติดกันกับอวี้จิ่น อาสามาตามหานาง เนื่องจากในยามนี้ ยายเฒ่าลิ่วอาการป่วยกำเริบหนักกว่าเดิม จนทุกคนที่มาเยี่ยมต่างคิด เหมือนกันว่านางคงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว“ท่านยายอาการกำเริบหรือเจ้าคะท่านป้าจู เช่นนั้นข้าขอตัว
วิ่งกลับบ้านก่อนนะเจ้าคะ ท่านป้าไม่ต้องรีบค่อย ๆ เดินกลับเข้าหมู่บ้าน ก็ได้เจ้าค่ะ” อวี้จิ่นไม่ลืมเป็นห่วงป้าข้างบ้านอย่างนางจูเมื่อมาถึงบ้านหลังเก่า ๆ และมีคนในหมู่บ้านยืนอยู่ จึงแหวกทางเข้าไปดูอาการคนที่กำลังป่วยหนัก ชาวบ้านที่มาเยี่ยมทยอย
เดินออกมาเพื่อให้ทั้งสองได้พูดคุยกัน ซึ่งครั้งนี้ยายเฒ่าลิ่วยอมเปิดปากบอกความจริงกับอวี้จิ่น พร้อมมอบหยกรูปกุญแจอายุยืนให้กับนาง ไว้ใช้เป็นหลักฐาน หากเดินทางไปตามหาบิดามารดาในเมืองหลวง“ท่านยายเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ท่านอดทนอีกนิดเถิด
วันนี้ข้าหาสมุนไพรได้เยอะกว่าทุกครั้ง จะไปแลกยามาให้ท่านนะเจ้าคะ”“แค่ก ๆ ๆ อวี้จิ่นอย่าเสียเวลารักษายายแก่อย่างข้าอีกเลย
เจ้าหยิบกล่องไม้เล็ก ๆ ที่อยู่ในตู้เก็บของมาให้ข้าที”“นี่เจ้าค่ะท่านยาย”
“อวี้จิ่น แค่ก ๆ ๆ กุญแจหยกอายุยืนนี้ เจ้าจงเก็บเอาไว้ให้ดี
อย่าได้ทำมันหายเป็นอันขาดเข้าใจหรือไม่ แค่ก ๆ ๆ”“ทำไมท่านยายถึงให้ข้าเก็บเอาไว้ล่ะเจ้าคะ มันดูมีราคาแพงมากท่านยายไม่มอบให้กับญาติพี่น้องของท่านเล่า”
อวี้จิ่นยังไม่เข้ามากนัก ว่าเจ้ากุญแจหยกอายุยืนนี้ เกี่ยวข้อง
กับนางในด้านไหน จนกระทั่งยายเฒ่าลิ่ววางมันลงในมือของนาง ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ในจวนหลังใหญ่ ก็ปรากฏขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว“นะ นะ นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“อวี้จิ่นความจริงแล้ว เจ้าคือบุตรสาวของท่านแม่ทัพใหญ่
ของแคว้นจ้าว หรือก็คือแม่ทัพเจียงซื่อกุ่ย แต่ยามนั้นเพราะข้าเห็นแก่เงินเล็กน้อย ถึงได้ยอมทำตามคำสั่งของฮูหยินนายท่านรองตระกูลเจียง ที่ได้คลอดบุตรสาวในเวลาไล่เลี่ยกันกับเจ้า และนางต้องการให้บุตรสาว เป็นคุณหนูเพียงคนเดียวของตระกูลเจียง เพื่อในวันหน้าจะได้เกี่ยวดอง กับเชื้อพระวงศ์ของแคว้น อันที่จริงฮูหยินของนายท่านรอง สั่งให้ข้า กำจัดเจ้าไปเสีย” ยายเฒ่าลิ่วเล่าออกมาด้วยความรู้สึกผิด“แล้วทำไมท่านถึงไม่ทำตามคำสั่งของนางล่ะเจ้าคะ นอกจาก
จะไม่กำจัดข้า ยังเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งให้เติบโตจนถึงทุกวันนี้” อวี้จิ่นได้ฟังมาถึงตรงนี้ก็อยากทราบเหตุผล ที่ยายเฒ่าลิ่วไม่ลงมือกำขัดนาง ตามที่ฮูหยินยองนายท่านรองนั่นสั่งไปเสีย“แค่ก ๆ ๆ คงเพราะเสียงร้องไห้ของเจ้ากระมัง ที่เรียกสติให้ข้า
รู้สำนึกกับสิ่งที่ทำลงไปในยามนั้น อวี้จิ่นหากเจ้าต้องการไปพบบิดา ของเจ้าที่เมืองหลวง จะ จะ จงระวังตัวให้มาก เพราะบ้านรองตระกูลเจียง ล้วนจิตใจคับแคบและเหี้ยมโหดอย่างเงียบ ๆ ถึงเวลาที่ข้าต้องไปแล้ว อวี้จิ่นรักษาตัวด้วยคุณหนูจะ..ตุบ” ยายเฒ่าลิ่วตายตาหลับเมื่อได้บอก สิ่งที่นางเก็บไว้มาตลอดสิบกว่าปี“ท่านยาย! ฮึก ข้าเพิ่งจะมาอยู่ในโลกนี้แท้ ๆ ต้องกลับไปมีชีวิต
ที่โดดเดี่ยวอีกแล้วหรือ ฮึก ๆ ขอบคุณที่ท่านไม่กำจัดข้าในวันนั้น ส่วนเรื่องครอบครัวตระกูลเจียงข้าย่อมไปตามหา และเอาตัวคนชั่วส่งทางการ ให้ได้รับโทษแน่นอนเจ้าค่ะ ขอให้ท่านยายไปสู่สุคตินะเจ้าคะ”อวี้จิ่นก้มคำนับทำความเคารพยายเฒ่าลิ่ว เพื่อขอบคุณที่ดูแลนางมาสิบกว่าปี ชาวบ้านที่ยังรออยู่ด้านนอก เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้
ของอวี้จิ่น ก็รู้แล้วว่ายายเฒ่าลิ่วได้จากไปอย่างสงบ ทุกคนจึงช่วยเตรียมงานศพตามพิธีอย่างเรียบง่าย เนื่องจากพวกเขามิได้มีเงินทองมากนัก เพียงแค่หนึ่งวันก็ทำพิธีฝังร่างของยายเฒ่าลิ่วไว้ที่สุสานของหมู่บ้านแห่งนี้ภายหลังเสร็จสิ้นงานศพ อวี้จิ่นได้ตัดสินใจจะเดินทาง
เข้าเมืองหลวง ซึ่งระยะทางไกลนับพันลี้ นางคิดว่าจะเดินทางไปทีละเมืองเผื่อจะมีลูกค้าต้องการความช่วยเหลือ แม้เรื่องอาหารจะไม่ต้องกังวล ก็ตาม แต่อย่างไรมีเงินติดตัวไว้ย่อมสบายใจกว่า เพียงแค่การเดินทาง ถึงเมืองแรกอวี้จิ่นก็ได้ใช้ความสามารถที่มีของตนหาเงินทันทีอวี้จิ่นบอกลาเพื่อนบ้าน หลังจากผ่านงานศพของยายเฒ่าลิ่ว ได้เจ็ดวัน โดยใช้ข้ออ้างว่าจะไปตามหาบุตรหลานของยายเฒ่าลิ่วเท่านั้น เพื่อนบ้านต่างอวยพรให้อวี้จิ่นปลอดภัยและทำภารกิจสำเร็จ บางคน มีมอบอาหารให้นางนำติดตัวไปคนละเล็กละน้อย ทำเอาอวี้จิ่น ถึงกับน้ำตาซึมที่เห็นความมีน้ำใจจากชาวบ้านเพราะหมู่บ้านอยู่ไม่ไกลจากตำบล จึงใช้การเดินเท้าอวี้จิ่นสำรวจสองข้างทางไปเรื่อย ๆ เพื่อเรียนรู้ทุกสิ่งในโลกใบใหม่ แต่ถ้านางต้องการเข้าเมืองย่อมไม่อาจเดินเท้าไปเองได้ ด้วยระยะทางที่ไกลจึงอาศัย การนั่งเกวียนหรือรถม้าเท่านั้น ยังดีที่อวี้จิ่นมีเงินติดตัวมาห้าตำลึงเงิน กับเศษเหรียญอีแปะอีกเล็กน้อย นางถึงได้นั่งเกวียนวัวเข้าเมือง จ้าวโจวรอบสุดท้ายพอดี กว่าจะมาถึงเมืองจ้าวโจวก็เป็นเวลาพลบค่ำอวี้จิ่นอาศัยอารามร้างนอกเมืองเป็นที่หลับนอน เนื่องจากตอนนี้นางต้องประหยัดเงินไว้ก่อน ซึ่งที่นี่มีชาวบ้านที่นำของป่าที่ดูมีราคามาขายในเมือง พวกเขาก็เลือกที่จะพักในอารามร้างเช่นเดียวกัน แต่เป็นข่าวดีสำหรับอวี้จิ่นเมื่อชาวบ้านที่นั่งผิงไฟ เริ่มพูดถึงบุตรสาวของท่านเจ้าเมือง ที่หายออกจากจวน แม้จะส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตามหาก็ยัง
ระหว่างการเดินทางจากเมืองจ้าวโจวใช้เวลาถึงเจ็ดวัน กว่ารถม้าจะพาอวี้จิ่นมาถึงเมืองเฉียนโจว ที่ดูจะคึกคักไม่น้อยมีผู้คนเดิน สวนทาง เข้าออกเมืองกันอย่างคับคั่ง ทั้งพ่อค้าแม่ค้าหรือนักเดินทาง จากต่างแคว้น แต่ถึงบรรยากาศยามกลางวันดูผู้คนพลุกพล่าน ใช้ชีวิตกันอย่างปกติทั่วไปเหมือนเมืองอื่น ๆ หากเมื่อใดใกล้ถึงยามค่ำคืนในเมืองเฉียนโจวกลับเงียบสนิท และเป็นครั้งแรกที่อวี้จิ่นรู้สึกว่า ที่เมืองเฉียนโจวมีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้น“แม่นางน้อยพวกเรามาถึงเมืองเฉียนโจวแล้วขอรับ ข้าคง ส่งท่านถึงแค่หน้าประตูเมืองเท่านั้น หวังว่าท่านจะไม่โกรธนะขอรับ” คนบังคับรถม้าไม่อยากค้างคืนที่นี่ เพราะข่าวลือเรื่องยามค่ำคืนที่น่ากลัว“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านลุง ขอบคุณท่านมากที่มาส่งข้าว่าแต่ทำไมท่านลุง ไม่พักเหนื่อยที่เมืองเฉียนโจวเสียก่อนล่ะเจ้าคะ เดินทางมาตั้งไกลม้าเองก็น่าจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยนะเจ้าคะ” อวี้จิ่นสงสัยกับสายตา ที่ดูหวาดกลัวบางอย่าง“เอ่อ ฮ้าย! หากข้าพูดให้แม่นางน้อยฟังแล้ว ท่านต้องมีสติ ให้ดี ที่ข้าไม่อยากพักที่เมืองเฉียนโจวเป็นเพราะว่ามีข่าวลือเกิดขึ้น ในยามกลางคืนมักจะมีผีสาวนางหนึ่งออกอาละวาด แ
ล่วงเลยเข้าปลายยามห้าย อวี้จิ่นออกจากห้องพักแสร้งเดินเล่น ไปตามถนนในเมืองเฉียนโจว ในมือข้างซ้ายถือลูกผิงกั่วกัดกินไปด้วย ท่ามกลางความเงียบสงัดอย่างที่คนบังคับรถม้าบอก ทำให้รู้สึกวังเวง อยู่ไม่น้อย แต่นั่นไม่ช่วยให้ความอยากรู้ลดลงแต่อย่างใด ด้านบนหลังคายังมีคนกลุ่มหนึ่งคอยตามอวี้จิ่นไปเงียบ ๆหลังจากเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่หลายมุม จนเริ่มจะเมื่อยขาและอวี้จิ่นคิดว่า คืนนี้ไม่น่ามีเหตุการณ์ในข่าวลือเกิดขึ้น จึงคิดจะเดิน กลับโรงเตี๊ยมเพื่อนอนพักเอาแรง ยามที่กำลังคิดเรื่องกลับห้องพัก ก็มีเสียงหัวเราะแทรกเข้ามา ด้วยบรรยากาศที่เงียบเชียบ พอมีเสียงหัวเราะกลับกลายเป็นความรู้สึกน่ากลัว สำหรับคนในเมืองเฉียนโจวยิ่งนัก แต่อวี้จิ่นทำเพียงหยุดเดินและรอคอยอย่างตั้งใจ ว่าผีสาวตนนี้จะทำอะไรกับนาง ถ้าหากนางถามคำถามออกไป มันจะตอบคำถามของนาง ได้หรือไม่“ฮิ ๆ ๆ อาหารของข้า”“โอ๊ะ!! ในที่สุดก็ออกมาจนได้ ขอดูหน้าหน่อยก็แล้วกัน ว่าจะเป็น ผีสาวใบหน้างดงามหรือน่าขยะแขยง”“ฮ่า ๆ ๆ มาเป็นอาหารให้ข้าเสียเถิดเด็กน้อย แผล่บ ๆ”“ขวับ!! สวัสดีตอนดึกเจ้าค่ะ เป็นผีทำไมถึงรู้สึกหิวได้ล่ะ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยน
ยามค่ำคืนที่ผ่านมาเป็นครั้งแรก ที่ฟู่หลงเหยียนไม่ฝันถึงเรื่องราวในอดีต เมื่อลืมตาตื่นขึ้นในเช้าวันใหม่ จึงรู้สึกสดชื่นอย่างที่ไม่เคย รู้สึกมาหลายปี เขาไม่รู้จะขอบคุณสตรีที่แสนจะธรรมดาไม่เหมือนใคร แม้แต่ชื่อแซ่ก็ลืมถามไถ่กับนางไว้ ก่อนจะจากกันไปเสียได้ ฟู่หลงเหยียนตั้งใจไว้ว่าเช้านี้เขาจะถามชื่อของนางเป็นอย่างแรกทางด้านอวี้จิ่นที่เพิ่งตื่นนอนในต้นยามเฉิน พอตั้งสติได้ก็เกือบ หัวทิ่มหัวตำลงจากเตียงด้วยความเร่งรีบ เมื่อนางนึกขึ้นได้ว่าใกล้ถึงเวลา ที่ฟู่หลงเหยียนจะมารับนาง เพื่อไปเก็บหลักฐานการกระทำความผิด ของเจ้าเมืองเฉียนโจว อวี้จิ่นรีบล้างหน้าบ้วนปากอาบน้ำอย่างรวดเร็ว ผมเผ้าทำเพียงเก็บรวบมัดยกเป็นหางม้าเท่านั้นเมื่อเดินออกมาด้านหน้าโรงเตี๊ยม บุรุษในชุดคลุมสีดำสองคน มายืนรอนางอยู่ก่อนแล้วพร้อมม้าอีกสองตัว ทำเอาอวี้จิ่นละอายใจเล็กน้อยได้แต่กล่าวขอโทษ ที่นางตื่นสายทำให้ทั้งสองคนต้องรอนาน“อุ๊ย! แหะ ๆ ๆ ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ปล่อยให้พวกท่านรอนานเช่นนี้ ถ้าวันไหนข้าเข้านอนดึกมักจะตื่นสายเช่นนี้ประจำเจ้าค่ะ”“ไม่เป็นไร พวกข้าสองคนเพิ่งจะมาถึงไม่นานเช่นกัน เจ้าพอ จะบอกที่ซ่อนของหลักฐาน
เมื่อทั้งสามคนเดินมาถึงห้องส่วนตัวขนาดกลาง มีนักบวชคอยเฝ้าเอาไว้สองคน ก่อนจะเข้าไปได้ย่อมมีค่าผ่านประตู เรื่องนี้อวี้จิ่นย่อมเห็นจากภาพนิมิตมาแล้วจึงอาสาจัดการเอง“เดี๋ยวก่อนประสกทั้งสาม หากต้องการใช้ห้องสวนมนต์แห่งนี้ พวกท่านทราบถึงกฎเกณฑ์ของทางวัดแล้วหรือไม่”“คารวะไต้ซือเจ้าค่ะ คุณชายของข้าเพิ่งมาจากต่างเมือง เพื่อมาขอพรเกี่ยวกับการทำงานครั้งใหญ่ เห็นว่าที่วัดของตระกูลอวี่มีผู้คนเคารพนับถืออย่างมาก จึงอยากมากราบไหว้สักครั้ง ส่วนเรื่องกฎของทางวัด ข้าทราบเป็นอย่างดีว่าต้องทำอย่างไร ของในตะกร้าใบนี้หวังว่าไต้ซือจะอนุญาตให้คุณชายของข้า ได้เข้าไปสวดมนต์เป็นการส่วนตัวนะเจ้าคะ” พวกเห็นแก่เงินจะไม่รับไว้ได้อย่างไร ในตะกร้านั่นมีก้อนตำลึงเงินอยู่หลายก้อนเชียวนะ“อืม เมื่อประสกตัวน้อยรู้จักทำตามกฎของวัด คุณชายของท่านย่อมสามารถเข้าไปสวดมนต์ด้านในได้ เชิญ” ไต้ซือตัวปลอมมัวแต่สนใจก้อนตำลึงในถุงผ้าใบเล็กในตะกร้าจึงไม่เอะใจคำพูดของอวี้จิ่นเท่าใดนัก“ขอบคุณไต้ซือเจ้าค่ะ ที่เห็นใจชาวบ้านอย่างเรา เชิญคุณชายเข้าไปสวดมนต์เถิด งานที่ท่านหวังไว้จะได้สำเร็จโดยเร็วนะเจ้าคะ” อวี้จิ่นหันไปเชื้อเชิญฟู่หลงเหย
บนโต๊ะอาหารในจวนเช่าของฟู่หลงเหยียน ยามนี้มันเต็มไปด้วยอาหารหน้าตาแปลก ๆ แต่กลิ่นมันกลับหอมชวนให้ท้องร้องอยากกินเสียเดี๋ยวนั้น สาเหตุมาจากอวี้จิ่นไม่อยากนั่งอยู่เฉย ๆ นางจึงลุกไปยังห้องครัว และลงมือทำอาหารจากเนื้อและผักจากในมิติของตนโดยมีข้ออ้างกับตงลู่ว่า ตนเองแอบออกไปซื้อที่ตลาดมา และห้ามตงลู่บอกกับฟู่หลงเหยียนว่านางออกไปด้านนอก แต่ให้บอกว่าเขาคือคนที่ไปซื้อเนื้อกับผักพวกนี้ ตามคำขอของนาง อวี้จิ่นข่มขู่ตงลู่ด้วยอาหารบนโต๊ะนั่น ถ้าไม่ยอมทำตามที่นางบอกเขาจะอดกินมันอย่างแน่นอนคำข่มขู่ของอวี้จิ่นย่อมเป็นผล เมื่อตงลู่อยากชิมอาหารบนโต๊ะ ซึ่งมันไม่เหมือนอาหารที่เขาเคยทานมาก่อน ตงลู่ต้องออกจากห้วงความคิดของตน เมื่อได้ยินเสียงประตูจวนถูกเปิด เขารีบบอกให้อวี้จิ่นไปซ่อนตัวไว้ ส่วนตนเองจับดาบไว้แน่น ออกไปยืนซ่อนตัวอยู่ด้านหลังประตู แต่คนที่มากลับเป็นเจ้านายของตนมิใช่คนร้าย“แอ๊ดดด!! ชิ้ง!! พวกเจ้าปะ นายน้อย!!”“ตงลู่! นี่เจ้าอยากประลองฝีมือกับนายน้อย ถึงกับถือดาบมาดักรออยู่หลังประตูเชียวรึ” อู๋จิ้งเห็นตงลู่ชักดาบเมื่อประตูเรือนด้านหน้าเปิดออกจึงเรียกสหายทันที“ขออภัยขอรับนายน้อย บ่าวคิดว่ามี
จิ้งโม่และมู่ฉีกลับที่พักของพวกตนทันที หลังจากออกมาจากค่ายทหาร ในจดหมายจิ้งโม่เขียนไว้อย่างละเอียด รวมถึงเรื่องที่เจียงหยวนกำลังออกเดินทางไปรอเจ้านาย อาจจะเป็นที่เมืองชางโจว เมื่อภารกิจสำเร็จทั้งสองจึงไปดื่มฉลองกันเล็กน้อยตามประสาบุรุษด้านแม่ทัพใหญ่ที่กลับมาถึงจวนในยามเซิน ได้สั่งให้พ่อบ้านเจียงไปแจ้งที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าว่า เย็นนี้เขาจะพาฮูหยินไปรับสำรับเย็นที่นั่น และบอกให้แม่ครัวเตรียมอาหารไว้มากกว่าเดิมสักหน่อย ก่อนที่ตัวของแม่ทัพใหญ่จะกลับไปชำระล้างร่างกายเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อไปพบฮูหยินที่ไม่ยอมออกจากจวนมาหลายปีมู่เสียสาวใช้คนสนิทของจางฮูหยิน เมื่อเห็นว่านายท่านของจวน มาพบนายหญิงของตนเร็วกว่าทุกวัน จึงจะเข้าไปบอกเจ้านายแต่ว่านางถูกนายท่านเรียกตัวเอาไว้เสียก่อน“มู่เสีย”“คารวะนายท่านเจ้าค่ะ”“เจ้าไม่ต้องไปรายงานน้องหญิง แต่ไปเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ดูชุดที่มีสีสันสดใสสักเล็กน้อยก็แล้วกัน วันนี้ข้าจะพานางไปรับอาหารเย็นที่เรือนท่านแม่” แม่ทัพใหญ่สั่งงานกับมู่เสีย ก่อนจะเข้าไปหาฮูหยินของตน ที่ยังคงมีสีหน้าไร้ชีวิตชีวาเช่นทุกวัน“เอ่อ เจ้าค่ะนายท่าน” มู่เสียทำท่าคล้ายมีคำถาม แต่ก็ต
ตระกูลเจียงสายหลักและสายรองในเมืองหลวง กำลังต่อสู้กันอยู่อย่างเงียบ ๆ มีเพียงคนที่เป็นสหายเท่านั้น ที่รับรู้ว่าสองพี่น้องต่างแม่เกลียดกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ไม่ว่าอย่างไร คนที่เป็นฝ่ายชนะมักจะเป็นแม่ทัพใหญ่อยู่เสมอทางด้านเมืองเฉียนโจว นายกองจั๋วได้เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว เหลือเวลาอีกหนึ่งวัน ฟู่หลงเหยียนจะนำตัวนักโทษออกเดินทางเสียที แต่ในต้นยามเฉินฟู่หลงเหยียนก็ได้รับจดหมายจากจิ้งโม่“นายน้อยขอรับจดหมายจากจิ้งโม่น่าจะเพิ่งมาถึง คงเกี่ยวกับเรื่องของคุณหนูอวี้จิ่นนะขอรับ” เฉินอิ่นนำจดหมายออกจากขานกพิราบ ที่บินมาจากเมืองหลวงมอบให้เจ้านายของเขา“อืม ขอบใจ”ฟู่หลงเหยียนรับจดหมายมาเปิดอ่านที่เขียนมาสั้น ๆ แต่สามารถเข้าใจความหมายที่จิ้งโม่บอกมาเป็นอย่างดี‘ตระกูลเจียง คาดว่าทารกถูกสับเปลี่ยนและเป็นแผนร้ายของตระกูลสายรอง สหายของนายน้อยกำลังเดินทางไปสมทบ’“หึ นางเป็นบุตรสาวของตระกูลนี้จริง ๆ สินะ” เมื่อได้รับการยืนยันจากข่าวของจิ้งโม่ ฟู่หลงเหยียนจึงมั่นใจเต็มส่วน ว่าอวี้จิ่นคือบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ บิดาของสหายของตนอย่างเจียงหยวน“เอ่อ นายน้อยข่าวของจิ้งโม่ว่าอย่างไรบ้างหรือขอรับ เจอตระกูลครอบค