ตอนที่ 9
ไม่มีอะไรติดค้าง
ชม้อยและรุจิราเดินทางกลับในเช้าของอีกวันเพราะออมสินต้องไปโรงเรียนและยังมีงานที่บริษัทรออยู่
“แม่ฝากตะวันด้วยนะลูก คุณหมอบอกหนูทรายแล้วใช่ไหมว่าพี่เขาคงต้องใช้เวลานานกว่าจะกลับมาเดินได้ปกติ”
ชม้อยพูดเองเพราะคุณหมอไม่ได้บอกอะไรกับนิรดาเลยตั้งแต่ชม้อยมาถึงทางโรงพยาบาลก็จะคุยทุกอย่างกับเธอมากกว่า
“ไม่ได้บอกค่ะ คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะคะต่อให้พี่ตะวันจะเดินไม่ได้ ทรายจะเป็นเท้าเป็นมือเป็นทุกอย่างให้สามีของทรายเอง ความรักที่พี่ตะวันมีให้ทรายมันมากเกินกว่าที่ทรายจะตอบแทนได้ หลังจากนี้เราจะใช้ความรักดูแลกันและกันตลอดไปค่ะ”
ชม้อยได้ยินแบบนี้ก็ดีใจ เธอรู้สบายใจขึ้นที่ต้องทิ้งตะวันไปแบบนี้แต่ถ้าจะให้อยู่เฝ้าเธอก็อดเป็นห่วงรุจิรากับออมสินไม่ได้เพราะงานที่บริษัทกำลังยุ่งมากอยู่ในช่วงฟื้นตัวหลังจากที่ไตรมาสที่แล้วผลกำไรลดลงเกือบเท่าตัว
หญิงสาวที่กำลังท้องใหญ่ทำอะไรไม่ค่อยถนัดแต่ก็พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดทั้งเช็ดตัว พาคนป่วยไปเข้าห้องน้ำ เดินขึ้นเดินลงคอยซื้อของให้ ดูแลปรนิบัติอย่างดีที่สุดจนคุณหมออนุญาติให้ตะวันกลับบ้านได้หลังจากที่นอนอยู่โรงพยาบาลมาเกือบหนึ่งเดือนเต็ม
นิรดาอยากถามคุณหมอเรื่องที่ตะวันยังเดินไม่ได้แต่ก็ไม่กล้าถามต่อหน้าสามีพยายามที่จะโอกาสคุยกับคุณหมอแบบส่วนตัวแต่ก็ไม่มีโอกาสจนถึงเวลากลับบ้าน
“ค่อย ๆ นะคะ”
หญิงสาวเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ สำหรับคนที่เดินไม่ได้ไว้ที่บ้านของเธอเรียบร้อยแล้วเพราคิดว่าคงอีกหลายวันกว่าที่ทางแม่สามีจะมารับลูกชาย
“คุณแม่บอกว่ายังไม่รู้ว่าจะได้มารับพี่ตะวันเมื่อไหร่ ท่านไม่ยอมให้เราขับรถกลับกันไปเอง คงจะยังไม่ไว้ใจเลยกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุอีกค่ะ”
หญิงสาวรีบอธิบายให้สามีฟังเพราะกลัวคนป่วยจะคิดถึงบ้านแล้ว
“พี่ตั้งใจว่าจะอยู่กับทรายที่บ้านนี้ก่อนยังไม่อยากกลับบ้าน ทรายดูแลพี่ได้ไหม”
คนเจ็บหันมาสบตาคนขับดวงตาของเขาแสดงถึงความเศร้าออกมา
“ทำไมจะไม่ได้ เราอยู่ที่นี่ด้วยกันก็ดีเหมือนกันค่ะ ถ้าพี่ตะวันเห็นบ้านของปู่กับย่ารับรองว่าพี่จะต้องชอบแน่ ๆ ”
หญิงสาวพยายามที่จะเปลี่ยนเรื่องคุยไม่อยากให้คนข้าง ๆ เศร้าไปกว่านี้ นิรดาเข้าใจความรู้สึกของสามีว่าเขาคงไม่อยากเจอใครในสภาพแบบนี้
“พี่ชอบทุกทีที่มีทรายมีลูก”
คำพูดที่ฟังดูหวานจับใจแต่คนฟังกับยิ่งรู้สึกผิดที่ได้ยินไม่ว่าเธอจะทำร้ายสามีแค่ไหนเขาก็ยังจะรักเธอ ตัวเธอเองเกือบทำให้ทุกอย่างสายเกินไปแต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมาอ่อนแอเพราะตะวันกำลังต้องการกำลังใจจากเธอ คนท้องจึงได้แต่สูดลมหายใจเรียกพลังความเข้มแข็งให้กลับมาอีกครั้ง
“วันนี้กินอะไรดีคะ อนุญาตให้พี่ตะวันเลือกได้หนึ่งวัน ตลาดอยู่ก่อนถึงบ้านเราจะได้แวะไปซื้อของมาทำกับข้าวกัน”
เมนูที่ชายหนุ่มอยากกินก็เป็นเมนูเดิมที่หญิงสาวก็รู้อยู่แล้วเพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนตะวันก็ยังเลือกที่จะกินกับข้าวเดิมและฝีมือจากแม่ครัวคนเดิมด้วย
วันแรกของการพาคนป่วยกลับบ้านก็จะดูทุลักทุเลกันหน่อยแถมฝนก็ดันมาตกอีก นิรดาวิ่งวุ่นอยู่คนเดียวทั้งเก็บผ้า ปิดหน้าต่างและเตรียมไฟฉายและตะเกียงให้เรียบร้อยเพราะที่นี่ถ้าฝนตกหนักไฟจะชอบดับทุกครั้ง
“อุ๊ย!”
“ทราย ทราย”
ตะวันเรียหาภรรยาทันทีด้วยความเป็นห่วงเมื่อไฟทุกดวงดับลงแต่พอมีแสงสว่างจากฟ้าที่กำลังแลบอยู่จึงทำให้มองเห็นว่าภรรยาของเขากำลังเดินมา
“ไฟฉายค่ะ พี่ตะวันนั่งอยู่ตรงนี้นะคะ ทรายจะไปยกกับข้าวมาให้”
ชายหนุ่มทำหน้าที่ส่องไฟให้ภรรยาที่กำลังยกกับข้าวมื้อเย็นมาวางที่โต๊ะญี่ปุ่นใกล้ ๆ กับเขา
“โรแมนติกจังเลยกินข้าวกลางแสงเทียน”
แสงเทียนที่ว่าไม่ใช่เทียนจริง ๆ แต่เป็นเทียนที่ทำจากหลอดไฟแทน
“ทนร้อนนิดนะคะ ฝนเริ่มซาแล้วอีกไม่นาไฟก็คงจะมาไว้พรุ่งนี้ทรายจะไปหาซื้อพัดลมแบบที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้ามาเตรียมไว้ให้ค่ะ”
“อากาศข้างนอกเย็นไฟสบายไม่เห็นจะร้อนสักนิด ทรายดูแลพี่มาทั้งวันยังต้องมาเหนื่อยมาร้อนกับไฟที่ดับอีก พี่ชักเริ่มคิดว่าหรือพี่จะเปลี่ยนใจกลับไปอยู่บ้านดีจะได้จ้างคนมาดูแลพี่แทน”
คนท้องใช้มือช่วยพยุงตัวเองให้ลุกจากพื้นเพื่อมานั่งใกล้ ๆ กับคนป่วยที่ดูกำลังน้อยใจตัวเองอยู่ที่ต้องมานั่งรถเข็นอยู่แบบนี้
“สามีทราย ทรายก็ต้องดูแลเองสิคะ อย่าพูดแบบนี้อีกนะถ้ายังรักทรายกับลูก”
นิรดาตักกับข้าวใส่จานส่งให้สามี อาหารวันนี้เป็นเมนูตามคำเรียกร้องของคนเจ็บ ส่วนพรุ่งนี้จะเป็นอาหารที่คุณหมอเน้นย้ำมาว่าดีต่อสุขภาพ
2 เดือนต่อมา
ท้องที่เริ่มใหญ่ทำให้ตอนนี้ตะวันอดที่จะสงสารภรรยาไม่ได้ เขาจึงตัดสินใจที่จะต้องทำอะไรสักอย่างแล้ววันนี้
“พี่ตะวัน พี่ตะวันหายไปไหนคะ !”
นิรดาตะโกนเรียกสามีสุดเสียงเมื่อเธอลืมตาขึ้นมาแล้วไม่เห็นสามีนอนอยู่ข้าง ๆ
“พี่อยู่นี่”
เสียงของชายหนุ่มตะโกนตอบรับดังมาจากประตูหน้าบ้านที่ติดกับระเบียง
“พี่ตะวันมานั่งตรงนี้ได้อย่างไรคะคลานมาทำไม มันอันตรายมากเลยรู้ไหมอยากมาทำไมไม่ปลุกทราย”
คนเป็นห่วงพยายามนั่งลงกับพื้นข้าง ๆ สามีด้วยความลำบากเพราะตอนนี้ท้องของเธอเริ่มใหญ่มาก
“เดือนหน้าลูกของเราก็จะออกมาลืมตาดูโลกที่งดงามใบนี้แล้ว คงถึงเวลาที่พี่จะต้องบอกความจริงให้ทรายรู้”
ตะวันเอียงหน้าหันมาสบตาภรรยาสาวสองมือกุมมือของเธอไว้แน่นเหมือนกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนีเขาไปไหนถ้าเขาพูดบางอย่างออกไป
“อะไร ความจริงอะไรคะ”
นิรดาเริ่มไม่แน่ใจว่าที่เธอกำลังจะได้ยินเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีกันแน่
“ฟังพี่ให้จบก่อนนะแล้วค่อยพูดอะไรออกมา สัญญากับพี่ได้ไหม”
หญิงสาวพยักหน้าแทนคำตอบตอนนี้หัวใจเธอพร้อมรับฟังทุกอย่างขอเพียงอย่างเดียวสิ่งที่ตะวันกำลังจะบอกต้องไม่ใช่เรื่องที่ทำให้เธอกับเขาต้องจากกันอีกก็พอ
“ความจริงพี่เดินได้ตั้งแต่กลับจากโรงพยาบาลแต่ที่พี่โกหกเพราะอยากใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากและอยากแน่ใจว่าที่ทรายกลับมาหาพี่เพราะรักไม่ใช่เพราะรู้สึกผิดอย่างเดียว”
คนท้องได้แต่มองหน้าสามีด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกมันทั้งดีใจ โกรธและขำกับสิ่งที่สามีลงทุนแสดงเป็นคนเดินไม่ได้ถึงสองเดือนเพียงเพื่อพิสูจน์รักแท้เหมือนพระเอกกับนางเอกในละคร
“ทรายฟังพี่อยู่หรือเปล่า ทำไมไม่พูดอะไรสักคำ”
ตะวันเห็นอีกฝ่ายเอาแต่จ้องหน้าเขาเงียบ ทำให้รู้สึก ไม่สบายใจกลัวว่าหญิงสาวจะโกรธและหนีไปจากเขาอีก
“พี่ตะวันสุดยอดไปเลยค่ะทนนั่งรถเข็ญอย่างเดียวเกือบสองเดือนถ้าเป็นทรายคงอึดอัดตายแน่ ๆ ”
นิรดาเก็บความขำเอาไว้ไม่อยู่เธอหัวเราะจนน้ำตาไหลที่เห็นสามีของเธอทำหน้ากังวลแบบนั้น
“ร้ายจริง ๆ ทำหน้าเสียพี่ตกใจหมดที่แท้ก็ขำพี่นี่เอง”
ดวงตาคู่สวยของทั้งคู่จ้องมองกัน บรรยากาศที่เงียบสงบงามค่ำคืนของชนบททำให้ทุกอย่างดูโรแมนติกสดชื่นไปหมด
“หายกันแล้วนะ ตอนแรกทรายหลอกพี่แต่ตอนนี้พี่หลอกทราย ต่อไปนี้จะไม่มีใครรู้สึกผิดอีกแล้วถือว่าเราหายกัน ลืมเรื่องร้าย ๆ ในอดีตให้หมดต่อจากนี้เราจะเป็นครอบครัวที่มีความสุขที่สุด ขอบคุณที่เข้ามาเติบเต็มทุกอย่างในชีวิตพี่ ขอบคุณที่วันนี้ไม่ทิ้งพี่ไปไหน พี่รักทรายนะ”
คำบอกรักที่ฟังมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งแต่ทุกครั้งที่ได้ยินมันก็ทำให้หัวใจของหญิงสาวที่ขาดความรักจากบิดามาตลอดรู้สึกอบอุ่นหัวใจทุกที
“ทรายอาจไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีที่สุดแต่จะขอเป็นภรรยาที่รักพี่ตะวันที่สุดนะคะ”
ความจริงถูกเปิดเผยแล้ว ตอนนี้ก็ได้เวลากลับบ้านเพราะตะวันตั้งใจไว้แล้วว่าจะให้นิรดากลับไปคลอดลูกที่โรงพยาบาลแถวบ้านของเขาที่มีเครื่องมือที่พร้อมกว่าและอยู่ใกล้กับครอบครัวของทั้งคู่
วันที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงเด็กน้อยตัวกลมลืมตาดูโลก เสียงร้องที่ดังออกมาจากห้องคลอดเป็นเหมือนเสียงจากสวรรค์ที่ทำให้ทั้งสองครอบครัวยิ้มได้
ความแค้นเป็นอันปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์ทุกอย่างถูกลบออกจากความทรงจำเหลือไว้แค่เพียงความรู้สึกดี ๆ ที่ทุกคนมีให้กัน ครอบครัวทั้งสองถูกผูกไว้ด้วยความรักที่มีแก้วตาดวงใจเป็นเด็กน้อยสองคนเชื่อมสองครอบครัวนี้ไว้ด้วยกันตลอดไป
ความรักครั้งนี้ของตะวันจบลงด้วยความสุขหรือความจริงแล้วนี่อาจเป็นรักแรกของเขาและเป็นรักครั้งสุดท้าย หลังจากที่เขาได้รู้จักกับนิรดาตะวันเริ่มแน่ใจว่าที่ผ่ามามันไม่ใช่ความรักส่วนครั้งครั้งนี้คือรักแท้ที่มีเพียงหนึ่งเดียวคือภรรยาและลูกของเขาเท่านั้น
จบบริบูรณ์
***ขอบคุณทุกยอดโหลดทุกความเมตตาจากนักอ่านทุกคนนะคะ****
ตอนที่ 1เลขาเด็กเส้น...........“คุณตุลาเซ็นเอกสารไม่ครบหนึ่งหน้าค่ะ”น้ำขิงเลขาสาวที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้เพียงแค่ไม่ถึง 2 เดือนเธอเคาะประตูแต่ไม่ได้รับเสียงตอบจากเจ้านายจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาในห้องเพราะมีเอกสารเร่งด่วนที่ตุลาลืมเซ็นและเธอต้องส่งให้กับบริษัทของลูกค้าภายในวันนี้“ผมอนุญาตให้คุณเข้ามาแล้วหรือไงไม่เห็นหรือว่าผมกำลังยุ่งอยู่”เจ้านายขึ้นเสียงใส่อารมณ์กับเลขาสาวที่เขาไม่ค่อยชอบขี้หน้าด้วยความหงุดหงิดเพราะตอนนี้อารมณ์ของเจ้านายกำลังอยู่ในสภาวะเหมือนไฟที่กำลังโหมลุกในใจเมื่อเพื่อนชายคนสนิทโทรศัพท์มาเล่าว่าได้พบภรรยาของตุลาที่หน้าโรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งความเป็นจริงแล้วภรรยาของเขายืนยันว่าตอนนี้เธอกำลังนั่งเฝ้า ลูกสาวอยู่ที่โรงเรียน“ไม่มีใครอนุญาตค่ะแต่มีเอกสารสำคัญที่คุณต้องเซ็น”ตุลาคว้าแฟ้มจากมือของลูกน้องที่ดูคล้ายว่าเขาจะกระชากเสียมากกว่า เขารีบเซ็นเอกสารตามที่น้ำขิงต้องการและยื่นให้เธอโดยไม่มองสบสายตาเหมือนว่าตอนนี้หัวใจของเขากำลังล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว“น้ำขิงนั่งก่อนสิผมมีอะไรอยากถาม”ตุลาเอ่ยเรียกลูกน้องที่กำลังจะเปิดประตูหน้าห้องออกไปเพราะตอนนี้
ตุลาเปิดประตูห้องทำงานออกมาเขาคิดว่าเวลานี้คงไม่มีใครอยู่ในบริษัทแล้วเพราะปกติบริษัทของเขาให้พนักงานกลับได้ในเวลา ห้าโมงเย็น เต็มที่ทุกคนก็จะอยู่กันไม่เกินหกโมงแต่นี่เลยเวลาเลิกงานมานานแล้วเขากลับพบว่าน้ำขิงยังคงนั่งอยู่ที่หน้าห้องของเขาตามเดิม“ฉันเห็นคุณยังไม่กลับก็เลยคิดว่าบางทีคุณอาจจะกำลังทำงานและฉันในฐานะเลขาก็ควรจะอยู่ก่อนเผื่อคุณจะมีอะไรให้ทำ”“ไปกินข้าวเย็นเป็นเพื่อนหน่อยสิจอดรถไว้ที่บริษัทเดี๋ยวผมไปส่งคุณที่บ้านเองส่วนพรุ่งนี้เช้าผมก็จะแวะไปรับไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมหรือว่ามีนัดแล้วก็บอก”น้ำขิงแทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่เธอกำลังได้ยินตอนนี้เพราะตั้งแต่เธอเข้ามาทำงานเจ้านายของเธอก็แทบจะไม่มีท่าทางแห่งความเป็นมิตรให้เพราะตุลาไม่พอใจที่บิดาของเขาบังคับให้เขาต้องรับน้ำขิงเข้ามาทำงานในตำแหน่งเลขาทั้งที่เขามองว่ามีคนที่เหมาะสมกว่าจึงสบประมาทสาวน้อยว่าเป็นเด็กเส้นและก็จ้องแต่จะจับผิดเธอตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงานจนถึงวันนี้ หญิงสาวแทบไม่เชื่อเลยว่าตอนนี้เขาจะเอ่ยปากชวนเธอไปกินข้าวและยอมไปรับไปส่งซึ่งมันคงจะทำให้ฟ้าฝนตกจนกรุงเทพฯน้ำท่วมเป็นแน่“ร้านนี้เป็นร้านอาหารแบบบ้าน ๆ ไม่รู้ว่าเธอจะกิน
ตอนที่ 2เมียพี่มีชู้“วันนี้เราไปรับลูกที่บ้านคุณพ่อกันนะ”ตุลาชวนภรรยาทันทีหลังจากที่เขาตื่นนอนถึงแม้ว่าหญิงสาวข้างๆจะยังไม่ลืมตาก็ตามแต่การพลิกตัวไปมาทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าตอนนี้เธอตื่นแล้ว“คุณไปรับคนเดียวเถอะจะได้มีเวลาอยู่กับพ่อแม่คุณบ้าง วันนี้ดารู้สึกเหนื่อยอยากจะหลับนาน ๆ ไม่อยากไปไหน”คนเป็นสามีได้แต่ถอนหายใจเพราะไม่มีประโยชน์อะไรแล้วที่เขาจะหาเรื่องทะเลาะกับภรรยาที่ผ่านมาตลอด 2 เดือนที่เขาสงสัยว่าเธอกำลังมีคนอื่นทุกครั้งที่เขาเอ่ยถามเธอตรง ๆ นิดาก็มักจะก่อสงครามวาจาขึ้นทันทีตุลาคิดถึงครั้งล่าสุดที่ทั้งคู่ทะเลาะกันถึงขั้นขว้างปาของและคนที่ได้รับผลกระทบก็คือเด็กน้อยขนมจีนที่ร้องไห้มาเคาะห้องนอนของพ่อและแม่ตัวสั่นเทาด้วยความกลัวคนเป็นพ่อจึงตั้งใจว่าจะไม่ทะเลาะกับภรรยาอีกปู่กับย่ารับรู้เรื่องราวของพ่อและแม่หลานสาวมาโดยตลอดแต่ไม่ใช่จากปากของทั้งคู่แต่เป็นจากแม่บ้านซึ่งเป็นคนสนิทของวลีเธอส่งแม่บ้านให้ไปคอยดูแลลูกชายและรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนั้นทั้งหมด“นิดาเขาดูไม่มีเวลาให้ครอบครัวเลยนะลูก”ตั้งแต่ลูกชายแต่งงานและแยกบ้านออกไปครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่วลีเลือกที่จะถามเรื่
ตุลาเดินออกมาพร้อมแฟ้มงานยื่นให้เลขา เขากล่าวขอบคุณด้วยใจจริงเพราะเขาไม่คิดว่าหญิงสาวที่เขาเคยพูดไม่ดีด้วยตลอดจะช่วยเลี้ยงลูกโดยเฉพาะสามารถทำให้ขนมจีนมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้ตลอดทั้งวันซึ่งปกติแล้วลูกสาวคนนี้ของเขาจะไม่ค่อยเข้ากับคนแปลกหน้าง่าย ๆ ตุลายังคิดว่าท้ายที่สุดแล้วเขาคงต้องเป็นคนเลี้ยงลูกคนเดียวแน่ถ้าขนมจีนไม่ยอมอยู่กับน้ำขิงแต่สุดท้ายแล้วเด็กน้อยไม่ยอมห่างจากคุณพี่เลขาเลย เจ้านายพาเลขาสาวและขนมจีนไปเลี้ยงอาหารมื้อค่ำเพื่อเป็นการตอบแทนที่วันนี้นอกจากน้ำขิงจะทำหน้าที่เลขาได้เป็นอย่างดี เธอยังทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้กับขนมจีนอีก ร้านอาหารที่ทั้งคู่เลือกคราวนี้ไม่ใช่ร้านอาหารอีสานแต่เป็นร้านสเต็กตามแบบที่ขนมจีนชื่นชอบแต่ไม่บ่อยครั้งที่ตุลาจะยอมพาลูกมาเพราะไม่อยากให้ลูกสาวต้องติดนิสัยนอนดึกส่วนมากจึงเลือกที่จะกินแต่อาหารที่บ้านเท่านั้น“วันนี้คุณพ่อใจดีจังค่ะ” ลูกสาวพูดด้วยรอยยิ้มเพราะนานมากแล้วที่เธอไม่มีโอกาสได้มากินอาหารนอกบ้านแบบนี้“พ่อไม่ค่อยมีเวลาวันนี้ถือว่าเป็นโอกาสดีพ่อก็เลยตามใจลูกเป็นพิเศษหลังจากกินเสร็จแล้วพ่อว่าจะพาขนมจีนไปแวะซื้อของเล่นแต่พ่อให้งบจำกัดและห้าม
ตอนที่ 3เลขาภรรยาข้ามคืน“คุณออกมาหาผมหน่อยได้ไหมแต่ผมคงไม่ได้เข้าไปรับหรอกนะเอาเป็นว่าผมจะรอคุณอยู่ลานจอดรถของที่บริษัท”ตุลาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะไปที่ไหนหรือควรจะไประบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ใครฟังแล้วคนแรกที่เขาคิดถึงก็คือน้ำขิง ผู้หญิงที่เขาเคยไม่ชอบหน้าและมองว่าเธอเป็นเด็กไม่รู้จักโตตุลาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเวลานี้เขากลับต้องการให้เธอมารับฟังถึงแม้ว่าเธอจะไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยแต่ทุกครั้งที่ได้อยู่กับน้ำขิงเจ้านายอย่างเขากลับรู้สึกสบายใจ“มีอะไรเกิดขึ้นหรือคะถึงได้โทรมาเวลานี้”เลขาสาวรู้สึกงัวเงียเมื่อถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยเสียงโทรศัพท์เพราะตอนนี้ใกล้เวลาจะตีหนึ่งแล้ว“มันคงดึกไปจริง ๆ เธอเองก็เป็นผู้หญิงคงไม่เหมาะที่จะออกมาในเวลานี้...ไม่เป็นไรผมไม่มีอะไรหรอกแค่รู้สึกว่าไม่อยากอยู่คนเดียว”เจ้านายนึกขึ้นมาได้ว่าถึงแม้ว่าน้ำขิงจะเป็นเลขาของเขาแต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถโทรเรียกเธอมาเมื่อไหร่ก็ได้เพราะตอนนี้เป็นเวลาที่ดึกมากแล้วแต่สุดท้ายยิ่งสาวกลับตัดสินใจที่จะออกมาตามคำขอร้องของเจ้านายด้วยความเป็นห่วง“ขอบคุณนะที่ยอมออกมา ผมว่าเราไปหาที่สงบคุยกันดีกว่าที่นี่
ชายหนุ่มเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนนี้ก่อนที่เขาจะย้อนไปถึงความสัมพันธ์ของเขากับภรรยาที่เริ่มไม่เหมือนเดิมตั้งแต่วันที่ นิดาคลอดขนมจีนออกมา น้ำขิงตั้งใจฟังเธอเข้าใจดีว่าชายหนุ่มกำลังต้องการบอกเธอว่าทุกการเปลี่ยนแปลงของนิดาสาเหตุทั้งหมดก็มาจากความจริงในค่ำคืนนี้เธอมีผู้ชายอื่นมาโดยตลอดซึ่งผู้ชายคนนั้นไม่ได้เป็นคนใหม่ที่เข้ามาแต่เขากลับเป็นคนเก่าที่ไม่เคยหายไปจากชีวิตเธอเลย“แล้วคุณจะไปสนใจอะไรกับคนที่ไม่ได้รักคุณ”น้ำขิงคิดอย่างที่พูดจริง ๆ เพราะชีวิตของเธอ เธอไม่เคยมีความรักมาก่อน เธอไม่รู้จักความผิดหวังหรือสมหวังชีวิตของเธอ เธอรู้จักแค่ความรักที่พ่อและแม่มีให้ความฝันของเธอมีความหมายกว่าทุกสิ่ง เธอถึงไม่เข้าใจความรู้สึกของตุลาตอนนี้สำหรับเธอแล้วในเมื่อความรักมันคือทุกข์ เดินออกมาแล้วปล่อยให้นิดาได้ไปมีชีวิตของตัวเองน่าจะดีที่สุด“พูดเหมือนง่าย ใครว่าผมไม่อยากปล่อยนิดาไป ผมพยายามแล้วแต่แค่คิดว่าจะไม่มีเธอผมก็อยู่ไม่ได้”“ทำไมจะอยู่ไม่ได้ก่อนหน้านี้ คุณเกิดมาคุณก็ไม่มีภรรยา คุณมีแค่พ่อกับแม่แล้วก็ชีวิตของคุณเองที่ผู้มีพระคุณให้มาเท่านั้นคุณอย่าเอาข้ออ้างนี้มาใช้ในการทำร้ายตัวเองหร
ตอนที่ 4ยอมเป็นตัวสำรอง“ง่วงนอนไหมถ้าคุณจะลาครึ่งวันก็ได้นะ ผมจะแจ้ง ฝ่ายบุคคลให้ว่า ผมให้คุณออกไปทำงานข้างนอก”น้ำขิงเอางานเข้ามาเสนอให้เจ้านายด้วยใบหน้าที่ซีดเซียวเธอไม่ได้ง่วงนอนเหมือนที่อีกฝ่ายสงสัยแต่เธอแค่กำลังรู้สึก หมดแรงที่จะสู้หน้าใครต่อใครถึงแม้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจะไม่มีใครรู้แต่ตัวเองที่รู้อยู่เต็มอกน้ำขิงไม่เสียใจที่เธอเสียตัวให้กับผู้ชายตรงหน้าแต่เธอเสียใจที่เขาไม่เคยเห็นค่าของเธอเลยมากกว่า“บ่ายนี้คุณมีประชุม เอกสารที่ต้องใช้ฉันจะเตรียมไว้ให้ก่อนเที่ยงค่ะ”หญิงสาวไม่ตอบคำถามแต่เธอเลือกที่จะพูดถึงแต่เรื่องงานทุกอย่างที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเมื่อคืนนี้เธอตั้งใจแล้วว่าเธอจะทำเหมือนว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นเหมือนทุกอย่างเป็นเพียงแค่ความฝันที่ผ่านไปแล้วและเธอจะพยายามลืมมันให้ได้วันเวลาที่ปกติแล้วน้ำขิงรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่เธอได้มาทำงานเพราะเธอชอบในตำแหน่งหน้าที่ที่เธอได้รับเพราะมันตรงกับที่เธอเรียนมาแต่นับจากนาทีนี้มันคือความทรมานใจน้ำขิงเฝ้าถามตัวเองว่าสุดท้ายแล้วเธอจะเลือกเส้นทางชีวิตของอย่างไรทว่ามันไม่มีคำตอบเธอรู้แค่เพียงเธอไม่อยากจากที่นี
ประตูห้องทำงานของตุลาปิดลงเสียงของคนที่ทะเลาะกันอยู่ข้างในนั้นดังเล็ดลอดออกมาบ้างแต่ก็ไม่สามารถที่จะจับใจความได้ว่าทั้งคู่พูดคุยอะไรกันและเวลานี้น้ำขิงก็ได้แต่เอามือทั้งสองข้างปิดหูตัวเองเพราะเธอไม่อยากจะหลอกตัวเองต่อไปว่าสุดท้ายแล้วทั้งคู่คงจะหย่ากันในที่สุดความและสัมพันธ์ของเธอที่เกิดขึ้นเมื่อคืนคงไม่เป็นเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบหรือไฟสวาทที่โหมลุกขึ้นแค่เพียงครั้งเดียวและจบลงไปโดยที่ไม่ทิ้งร่องรอยภายในหัวใจไว้ให้กับฝ่ายชายเพราะว่าตอนนี้รอยไหม้ในหัวใจของเธอมันมีแต่ใหญ่เพิ่มมากขึ้นจนเธอรู้สึกว่าไม่สามารถออกจากความรักที่เธอมีให้เขาได้อีกต่อไปประตูห้องทำงานเปิดขึ้นอีกครั้ง นิดาเดินออกมาด้วยอารมณ์โมโห เธอมองหน้าของน้ำขิงก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ตอนแรกเลขาสาวตกใจว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรแต่กลับไม่ใช่อย่างที่เธอคิดนิดาแค่เพียงส่งยิ้มแล้วก็เดินออกไปจากบริษัทเหมือนกับว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นข้างในคงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอ“ออกไปข้างนอกกับผมหน่อย” เจ้านายหนุ่มเดินมาคว้ามือของเลขาสาวให้ลุกเดินตามเขาไปโดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันแม้แต่จะได้เก็บงานบนโต๊ะ“จะไปไหนคะฉันยังไม่ได้เก็บงานที่วางอยู่บนโต๊ะเลยแล้วพรุ