ตอนแรกเดนิมคิดว่าเขากับพี่พัดไม่มีวันจะลงเอยกันได้อีก แต่เหตุการณ์กลับพลิกผันเมื่อเย็นวันหนึ่งเขาและชองส์ออกไปเที่ยวคลับแห่งหนึ่งกลางใจเมือง
เดนิมไม่ได้กลับบ้านเกิดเมืองนอนมาเสียนานเลยถือโอกาสเปิดหูเปิดตาอีกทั้งยังมีชองส์ที่เขาพอจะไว้ใจไปเที่ยวไหนมาไหนด้วยกันได้ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงนัดกันไปที่คลับแห่งหนึ่งว่ากันว่าบรรยากาศดีและติดหนึ่งในสามของสถานบันเทิงที่ครบครันมากที่สุดในย่านนั้น
เดนิมจองโต๊ะไว้บนชั้นสองซึ่งเป็นชั้นวีไอพีชั้นลอยที่สามารถมองเห็นเวทีข้างล่างได้อย่างชัดเจนบรรยากาศดีกับแกล้มอร่อยสมกับรีวิวจริงๆอีกทั้งบริกรก็ได้รับการเทรนมาอย่างดียิ่งพวกเขาเป็นแขกวีไอพียิ่งนอบน้อมเดนิมจิบไวน์ในมืออย่างสบายอารมณ์เขาคุ้นเคยกับไวน์มากกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆเพราะเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจที่บ้านส่วนชองส์กำลังดื่มด่ำกับคอนยัคสีอำพันในมือหากเขาไม่ได้มากับเดนิมรับรองว่าไม่ขาดคนข้างกายติดไม้ติดมือกับห้องไปด้วยแน่ๆสถานที่อโคจรแบบนี้ดูไม่ค่อยเหมาะกับเดนิมสักเท่าไหร่
“อย่าดื่มเยอะเบบี๋เดี๋ยวเมา”
“รู้แล้วแหละน่า” เดนิมบ่นอุบอิบแม้จะเลิกรากันไปกลายมาเป็นเพื่อนคนสนิทแต่ชองส์ก็ยังคอยบ่นจู้จี้จุกจิกเหมือนเดิมแถมยังขี้หวงมากอีกด้วย
“เฮ้นั่นใช่สุดที่รักของยูไหม” ชองส์พยักพเยิดหน้าไปทางเป้าหมายที่นั่งอยู่เคาน์เตอร์บาร์กับสาวสวยเซ็กซี่คนหนึ่งอย่างสนิทสนม
เดนิมหันไปมองเป็นพี่พัดจริงๆด้วยระยะเวลาเกือบสิบปีที่ไม่ได้เจอหน้ากันแต่พอกลับมาเจอกันมักอยู่ในสถานการณ์ที่ชวนกระอักกระอ่วนอยู่เสมอ “สุดที่รักอะไรกัน” เดนิมพึมพำก่อนจะหันมาจิบไวน์ในมืออีกทั้งเสียงหัวใจของเขายังเต้นตึกตักจนกลัวว่าจะแสดงออกมาทางแววตาและสีหน้าจึงหลุบตามองเครื่องดื่มในมือโดยไม่พูดอะไรอีก
“ไม่เข้าไปทักทายหน่อยเหรอไง”
“ไม่ล่ะ”
เดนิมละสายตาจากเครื่องดื่มในมือก่อนจะเงยหน้าไปมองรอบๆคลับเหมือนว่าไม่ได้สนใจแต่สมองกับคิดเรื่องของพิพัฒน์ซ้ำไปซ้ำมาจะว่าตัดใจแล้วก็พูดได้ไม่เต็มปากเดนิมรู้ดีอยู่แก่ใจไม่งั้นคงไม่เลิกรากับชองส์แม้ว่าชองส์จะเป็นผู้ชายเจ้าชู้มากเล่ห์แต่พอคบกันชองส์ไม่เคยทำให้เดนิมต้องรู้สึกไม่มั่นใจในความสัมพันธ์เดนิมรู้ว่าชองส์จริงจังกับตนแต่ทว่าเรื่องของความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้เขาไม่สามารถเปิดใจให้ใครได้อีกและเว้นที่ว่างไว้รอคอยใครคนนั้นเสมอมาคนคนนั้นก็คือพี่พัดพี่พัดสลักอยู่ในใจเดนิมตั้งแต่วันที่เขาจมน้ำแล้วอีกฝ่ายหยุดยื้อชีวิตเขามาจากมัจจุราชได้อย่างเส้นยาแดงผ่าแปดหลังจากนั้นพวกเราจบกันด้วยดีจนกลายมาเป็นเพื่อนกันที่คุยกันได้ทุกเรื่องไม่เว้นแม้แต่เรื่องของพิพัฒน์
“แต่ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนั้นจะร้ายไม่เบา” ชองส์พูดพร้อมกับแกว่งของเหลวสีอำพันในมือแต่สายตากลับจดจ้องไปยังคนสองคนที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนิทสนม
“ยังไง” เดนิมหันกลับไปมองบ้างจากที่นั่งกลายเป็นยืนเกาะที่กั้นทางเคาน์เตอร์ค่อนข้างสว่างและมองเห็นชัดกว่าชั้นสองเพราะต้องการความเป็นส่วนตัว
“คิดว่าไงล่ะ”
“อย่ามาเล่นลิ้นน่า” เดนิมดูไม่ออกว่าผู้หญิงคนนั้นร้ายยังไงเห็นเพียงด้านข้างก็พอจะเดาได้ว่าเธอสวยและมีรสนิยมเอามากๆไม่ว่าจะการแต่งตัวและกิริยามารยาทเดนิมดูไม่ออกเลยสักนิดว่าระหว่างสองคนนั้นมีความผิดปกติอะไรอีกทั้งชองส์ไม่น่าจะรู้จักใครที่นี่ทำไมถึงมองออกว่าผู้หญิงคนนั้นดูร้ายไม่เบา?
“10 9 8 7 6 5…”
“นับอะไรน่ะ” เดนิมหันกลับไปมองอีกฝ่ายที่กำลังนั่งจิบคอนยัคในมืออย่างอารมณ์ดีเหมือนกับว่ากำลังมองดูภาพยนตร์ที่ถูกใจและตัวละครหลักหนึ่งในนั้นก็คือพิพัฒน์
เดนิมหันกลับมามองอีกทีก็เห็นพี่พัดฟุบลงไปกับเคาน์เตอร์คล้ายกำลังมึนเมาเสียงเพลงดังกระหึ่มและผู้คนที่เบียดเสียดวาดลวดลายกลางฟลอร์ทำเอาเดนิมตาพร่าเห็นเป้าหมายอีกทีก็ตอนที่พี่พัดถูกบริกรประคองออกไปพร้อมผู้หญิงคนนั้นแต่แปลก! ปกติพี่พัดคอแข็งจะตายแล้วอีกอย่างไม่น่าจะปล่อยให้ตัวเองต้องเมาจนไม่ได้สติขนาดนั้นเดนิมเริ่มลนลานก่อนจะเรียก
“ชองส์!!”
ชองส์เบะปากก่อนจะกระซิบกระซาบกับบริกรที่ยืนคอยบริการอยู่ข้างๆ
“ตามมา”
เดนิมสับสนความคิดมากมายวิ่งวนอยู่ในหัวผู้หญิงคนนั้นคิดจะทำอะไรกับพี่พัดกันแน่จะว่าเป็นคู่รักก็คงไม่ใช่เพราะที่เขารู้ตอนนี้พี่พัดไม่ได้มีใครการกระทำของผู้หญิงคนนั้นคิดในแง่ดีไม่ได้จริงๆพอเดนิมตามชองส์มาก็มาเจอจังหวะช็อตเด็ดชองส์ที่มีสติก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายเมื่อเห็นสาวสวยคนนั้นกำลังยื่นเงินให้บริกรด้วยแบงก์พันหลายใบเรื่องบริกรคนนั้นจัดการไม่ยากแต่ว่าผู้หญิงคนนี้เนี่ยสิพอจับคนเมาขึ้นรถได้ก็ขับรถออกไปสบายใจเฉิบเรื่องราวจะจบลงที่ตรงไหนผู้ชายมากเล่ห์อย่างชองส์เดาได้ไม่ยากหรอกอีกอย่างใกล้คลับที่นี่มีโรงแรมอย่างว่ารายล้อมส่วนใหญ่ก็คงหนีไม่พ้น The Lover ที่มีสาขาอยู่ทั่วโลกเป็นโรงแรมกระชับสัมพันธ์ระหว่างคู่รักที่เลื่องชื่อมากไปด้วยอุปกรณ์และบริการเสริมขึ้นอยู่กับกำลังทรัพย์และความต้องการของผู้บริโภค
เดนิมขับรถตามไปด้วยความกระวนกระวายคล้ายสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนชองส์ต้องคอยเรียกสติกันอยู่ตลอดสายตาของเขามองเพียงทะเบียนรถคันตรงหน้าที่ขับตามห่างๆอยู่สองสามร้อยเมตรและแล้วก็เป็นดังที่ชองส์คาดการณ์ไว้ไม่ผิด
รถญี่ปุ่นตรงหน้าเลี้ยวเข้าไปยัง The Lover เดนิมเหยียบเบรกด้วยความรู้สึกเย็นวาบไปตั้งแต่หัวจรดเท้าผู้หญิงคนนั้นวางยาพี่พัดจริงๆ
เดนิมหันไปมองคนข้างๆที่ไม่มีอาการตื่นตระหนกเลยสักนิดชองส์หยิบเงินเป็นปึกออกมาจากในกระเป๋า
“จะทำยังไงต่อไปดี”
“จะไปยากอะไรลงมา”
แม้ชองส์จะเป็นลูกครึ่งเติบโตและใช้ชีวิตที่ฝรั่งเศสเป็นหลักแต่กลับรู้จักใช้เส้นสายได้เก่งยิ่งกว่าเดนิมที่เป็นคนไทยแท้ๆเสียอีกเงินง้างปากได้หมดถ้ามากพอและแล้วหมายเลขห้องก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า
1459
เสียงเคาะประตูทำให้นิชาที่กำลังถอดเสื้อให้พิพัฒน์ชะงักมือเธอเดินไปดูยังตาแมวพบบริกรกำลังยืนถือถาดใส่เครื่องดื่มอยู่ในมือ
นิชาครุ่นคิดแต่ก็ไม่ได้เอะใจ ‘สงสัยจะเป็นเซอร์วิสของทางโรงแรม’ แต่เมื่อเปิดประตูก็ต้องชะงักเมื่อเจอกับชายหนุ่มสองคนคนหนึ่งเอเชียคนหนึ่งต่างชาติตาสีเขียวนิชางุนงงแต่ยังไม่ทันสอบถามอะไรทั้งสองคนก็วิ่งพุ่งพรวดเข้ามาในห้องพยุงพิพัฒน์ที่กำลังนอนสะลึมสะลือใบหน้าคมแดงก่ำมีเหงื่อผุดตามไรผมคล้ายทรมานกับอะไรบางสิ่ง
“เดี๋ยวพวกแกสองคนจะทำอะไรปล่อยนะ”
“ฉันบอกให้ปล่อยไม่งั้นฉันจะแจ้งความ” หญิงสาวเริ่มแผดเสียงโวยวาย
“งั้นก็แจ้งเลยผมจะได้แจ้งว่าคุณมอมยาแล้วยังจะทำอนาจารอีก” เดนิมพูดเสียงแข็ง
นิชาชะงักที่ได้ยิน “ใครมอมยาใครแกมีหลักฐานหรือไง”
“มีไม่มีก็รอหมายเรียกละกัน” นิชาลนลานทันทีที่ได้ยินพลางหยิบกระเป๋าวิ่งออกจากห้องพักโดยไม่หันมามองอีก
พิพัฒน์ที่เมาไม่ได้สติทิ้งตัวลงมาแทบจะพยุงไม่ไหวเดนิมที่สูงเพียงแค่อกต้องใช้เรี่ยวแรงมหาศาลร่วมกับชองส์พยุงคนเมาขึ้นรถที่จอดไว้อย่างทุลักทุเล
“ไปไหนต่อเอาไปส่งที่บ้านไหม”
“กลัวว่าที่บ้านจะเป็นห่วงนะสิดึกแล้วด้วย” ก่อนจะต่อสายหาพี่แฝดแต่ก็ไม่มีคนรับสงสัยจะนอนกันหมดแล้วจะไปส่งโรงพยาบาลก็กลัวว่าจะมีข่าวฉาวหลุดออกไปอีกทั้งพิพัฒน์กำลังเป็นที่จับตาของโลกออนไลน์เป็นเด็กหนุ่มไฟแรงในโลกธุรกิจอยู่ตอนนี้จะเอาไปส่งที่บ้านคุณน้ามาลินีก็ไกลเกินไปเดนิมทำท่าครุ่นคิดพลางมองดูคนบนตักที่นอนกระสับกระส่ายใบหน้าแดงก่ำอย่างน่าสงสารหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อให้ด้วยความเป็นห่วงชองส์เหลือบตามองกระจกหลังอย่างเป็นระยะพลางเบ้ปากอย่างไม่ชอบใจโตเป็นควายขนาดนี้ยังถูกวางยาอีกไก่อ่อนชะมัด
“อย่าบอกนะว่าคอนโดยูไอไม่เห็นด้วยเด็ดขาด”
“ยูก็อยู่กะไอด้วยไงไม่ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองสักหน่อย” ชองส์ไม่สบอารมณ์แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อีกอย่างนี่ก็ดึกมากแล้วด้วยทั้งง่วงทั้งเพลียแถมยังต้องมาช่วยไอ้ศัตรูหัวใจตัวฉกาจอีก
เดนิมและชองส์หิ้วปีกคนเมาขึ้นมายังห้องอย่างทุลักทุเลชองส์บ่นด่าไปตลอดทางออกไปเที่ยวแทนที่จะได้ความสำราญกลับต้องเจอเรื่องน่ารำคาญใจอย่างนี้อีกชองส์แทบจะโยนอีกฝ่ายลงบนเตียงก่อนจะจับมือเดนิมให้เดินออกไปนอนห้องของตัวเองเขายอมรับว่าไม่ไว้ใจไม่รู้ว่ายาที่อีกฝ่ายได้รับคือยาอะไรกันไว้ดีกว่าแก้
“แต่แบบนี้ไม่อึดอัดไปเหรอ” เดนิมมองร่างพิพัฒน์ที่นอนคว่ำอยู่บนเตียงเสื้อเชิ้ตกางเกงสแล็คสีดำพร้อมเข็มขัดรองเท้าครบชุดแบบนี้ไม่น่าจะสบายตัว
“แล้วไง?” ชองส์ไหวไหล่ตอบอย่างไม่แยแสช่วยมาขนาดนี้แล้วจะต้องทำอะไรอีกตอนแรกแค่ได้ยินชื่อก็รู้สึกไม่ถูกชะตาอยู่แล้วพอมาเห็นกับตายิ่งกว่าคำว่าไม่ถูกชะตาเขาไม่ชอบไอ้เหี้ยนี่แม่งเอ้ย! หน้าตาก็ไม่ได้หล่อเหลามากมายอะไรแถมยังโง่เป็นควายเสียท่าให้ผู้หญิงอีกไอ้ไก่อ่อนชองส์เท้าสะเอวอย่างหัวเสีย
“เอาน่ายูถอดเสื้อผ้าของเขาออกซะเดี๋ยวไอจะไปเอาผ้ามาเช็ดตัวกับชุดนอนตัวใหม่มาให้”
“ถ้าไอบอกไม่อยากทำละ”
“งั้นไอทำเอง”
“จิ๊” ชองส์ได้แต่จิ๊ปากกลอกตาอย่างไม่สบอารมณ์ปีนขึ้นไปบนเตียงสองมือดึงทึ้งเสื้อผ้าออกจากร่างกายคนเมาอย่างไม่ออมแรง
พิพัฒน์ครางเสียงแผ่วร่างกายค่อยๆอุ่นร้อนขึ้นอย่างน่าประหลาดทั้งๆที่ร่างกายเหลือเพียงชั้นในที่ปกปิดของสงวนเอาไว้พร้อมกับโยนผ้าห่มคลุมร่างกายเอาไว้เดนิมยกอ่างน้ำอุ่นพร้อมผ้าขนหนูในมือซับหน้าคนเมาอย่างเบามือ
“แค่หน้าก็พอ”
“อื้อ” เดนิมหน้าแดงเมื่อเห็นกองเสื้อผ้าที่อยู่ข้างเตียง
“ปะไปนอนได้แล้ว” ชองส์กึ่งลากกึ่งจูงเดนิมออกมาจากห้องนั้นอย่างทุลักทุเล
“ไอจะนอนที่นี่” เขาหรี่ตามองอีกฝ่ายที่เอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
“มองอะไร”
“ไอรู้นะว่ายูคิดอะไรอยู่”
“อะไร…ไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น” ชองส์ดีดหน้าผากขาวนั้นอย่างแรง
“อย่าแม้แต่จะคิด!”
“ไม่ได้คิดอะไรจริงๆ” เดนิมตอบตามจริง
“ขอให้มันจริง”
“ไปอาบน้ำได้แล้วไปจะตี 3 อยู่แล้ว” เสียงครืดคราดในกระเป๋ากางเกงทำเอาชองส์ชะงักเวลานี้ใครกันที่โทรมาไม่รู้จักเวล่ำเวลาขนาดนี้ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญเขาจะด่าให้เสียหมาเลยคอยดู
ชองส์รับสายด้วยความหงุดหงิดพ่นภาษาแม่ฝรั่งเศสไฟแลบเหตุการณ์ตึงเครียดน่าดูเมื่อวางสายเดนิมจึงอดถามไม่ได้
“วุ่นวายขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ก็ใช่นะสิฝ่ายนั้นจะเอาหมายเลขไอดีการ์ดเดี๋ยวนี้เพราะเรื่องภาษีน่ะ”
“จะกลับตอนนี้เลยเหรอ”
“เดนิม…ไอรู้ว่ายูคิดยังไงกับไอ้หมอนั่นแต่ยูต้องสัญญากับไอมาก่อนถ้าไอไปแล้วต้องล็อกห้องให้สนิทไม่เข้าไปในห้องนั้นจนกว่าไอจะกลับมาโอเค?” ชองส์จับใบหน้าสวยหวานนั้นให้หันมาสบตากับตัวเองเขารู้สึกตงิดๆในใจยังไงชอบกลเหมือนกับว่าหากไม่มีเขาอยู่ที่นี่ด้วยเหมือนจะเกิดเรื่องอะไรสักอย่างขึ้นแน่ๆเขาไม่กล้าคาดเดาและไม่อยากจะคาดเดาอะไรทำนองนั้น
ชองส์ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยแก้มใสนั้นด้วยความรู้สึกห่วงหาอาทรเดนิมควรจะได้เจอคนที่ดีกว่านี้เขาถึงจะวางใจ
“รีบไปเถอะน่าจะเช้าอยู่แล้วเอารถไอไปเถอะจะได้ไปกลับสะดวก”
“สัญญามาก่อนว่าจะไม่เข้าไปที่ห้องนั้น” เดนิมหลบสายตาไม่กล้าจ้องมองอีกฝ่าย
“เดนิม!” เสียงเรียกของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงจริงจังทำเอาเดนิมอดที่จะจ้องมองไปยังดวงตาคู่นั้นไม่ได้ก่อนจะตอบตกลง
“อื้อสัญญา” ชองส์ถอนหายใจออกมาดังเฮือกคล้ายโล่งอกกับคำสัญญานั้น
กว่าจะได้อาบน้ำเข้านอนก็เกือบจะตี 4 อยู่แล้วในขณะที่เดนิมกำลังจะเคลิ้มหลับกลับได้ยินเสียงเหมือนอะไรหล่นดังโครมมาจากห้องนอนแขกเขานั่งอยู่บนเตียงของตัวเองชั่งใจสักครู่อีกอย่างเขาก็สัญญากับชองส์ไว้แล้วว่าจะไม่เข้าไปยังห้องนอนนั้นหากไม่มีชองส์อยู่ด้วย
ในขณะที่กำลังจะเอนตัวนอนก็ได้ยินเสียงดังเคร้งอีกครั้งคล้ายกับมีอะไรหล่นเดนิมค่อยๆลงจากเตียงของตัวเองอย่างกล้าๆกลัวๆค่อยๆแง้มประตูยื่นหน้าเข้าไปมองภายในห้องเดนิมจำได้ว่าเขาเปิดไฟที่หัวเตียงทิ้งไว้แต่ตอนนี้กลับมืดมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้นเลยอาศัยไฟทางเดินเปิดประตูให้กว้างมากขึ้นเพื่อให้เห็นภายในห้องบนเตียงว่างเปล่าไม่มีร่างของพี่พัดเดนิมตกใจก้าวเข้าไปเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังนอนคุดคู้อยู่ข้างล่างเตียงหอบหายใจกระเส่า
“พี่พัด” เดนิมค่อยๆพยุงคนเมาให้ขึ้นมานอนบนเตียงเหมือนว่าอีกฝ่ายจะนอนดิ้นหรืออย่างไรไม่ทราบโคมไฟบนหัวเตียงหล่นอยู่ที่พื้นรวมไปถึงพวกกรอบรูปต่างๆที่วางเอาไว้บนตู้ตรงหัวเตียงเช่นกันแต่เพราะรูปร่างที่ต่างกันเกินไปอีกทั้งพิพัฒน์ยังอยู่ในสภาพเมาทิ้งน้ำหนักไปกับแรงโน้มถ่วงจนเดนิมประคองแทบไม่ไหวเสียแรงและเหงื่อไปไม่น้อยกว่าอีกฝ่ายจะขึ้นมานอนบนเตียงอีกครั้ง
เดนิมรู้สึกว่าร่างกายของพี่พัดร้อนเหมือนเป็นไข้จึงจะผละไปเอาผ้าไปชุบน้ำมาเช็ดให้ฝ่ามือขาวที่วางอยู่บนหน้าผากถูกจับไว้แน่นจนเดนิมรู้สึกเจ็บจนนิ่วหน้า
“พี่พัด” แรงฉุดกระชากทำเอาเดนิมตกใจเมื่อได้สติก็พบว่าตนเป็นฝ่ายอยู่ข้างล่างตอนนี้พี่พัดคล้ายเป็นใครคนหนึ่งที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อนเสียงหายใจกระเส่าทำเอาเดนิมทำตัวไม่ถูก
“พี่พัดนิมเองครับ” เดนิมส่งเสียงแรงอีกฝ่ายตะกุกตะกัก
“อ๊ะ” แรงบีบที่หัวไหล่ทั้งสองข้างทำเอาเดนิมร้องเสียงหลง
ความร้อนรุ่มภายในร่างกายใกล้ถึงขีดสุดพิพัฒน์รู้แล้วว่าเขาจะระบายความอัดอั้นนี้ยังไงโดยไม่รู้เลยว่าความสัมพันธ์ครั้งนี้จะผูกมัดระหว่างเขากับเดนิมโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไป
“พี่พัดนี่นิมเองครับ” เดนิมหน้าแดงรู้สึกทำตัวไม่ถูกเมื่อรู้สึกถึงแท่งร้อนที่กำลังดุนดันหน้าขาของเขา
“พี่พัด” เดนิมร้องเรียกอีกฝ่ายเพราะกลัวว่าเหตุการณ์จะเลยเถิดไปกันใหญ่
“นิมเดนิม” เสียงเรียกชื่อกระเส่าข้างใบหูทำเอาเดนิมจนลุกซู่มือที่ตั้งท่าจะผลักอีกฝ่ายออกไปแข็งข้างอยู่อย่างนั้น
“นิม” ริมฝีปากร้อนลากไล้ไปตามซอกคอขาวกลิ่นหอมของครีมอาบน้ำผสมผสานกับกลิ่นกายของคนตรงหน้าทำเอาพิพัฒน์อารมณ์ความปรารถนาพุ่งขึ้นสูงไปอีกความอัดอั้นที่ไม่สามารถปลดปล่อยได้ด้วยมือตัวเองทำเอาพิพัฒน์ทรมานจนแทบบ้าเขาขยับมือเพื่อต้องการปลอบประโลมความกระสันของตัวเองที่พลุ่งพล่านแต่ทว่าไม่สามารถไปถึงฝั่งฝันได้สักทีจนได้ยินเสียงเรียกชื่อเขาจากใครอีกคนพิพัฒน์รีบคว้าเชือกเส้นสุดท้ายนั้นไว้หากเขามีสติสัมปชัญญะเพียงพอเขาจะผลักไสเดนิมออกไปให้เร็วที่สุดแต่ตอนนี้ไม่ใช่…เขาต้องการต้องการใครสักคนมาช่วยปลดปล่อยความต้องการนั้นให้ทุเลาร่างกายภายในคล้ายถูกไฟเผาไหม้
“นิมช่วยพี่ด้วยนิม”
เดนิมนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น “ชะช่วยยังไงครับ”
“อ๊ะ” แรงขบเม้มที่หัวไหล่ทำเอาเดนิมสูดปากเพื่อระบายความเจ็บปวด “นิมเจ็บ”
“นิมเดนิม” เสียงเรียกชื่อของเขาทำเอาเดนิมตกอยู่ในภวังค์พิพัฒน์เพื่อต้องการระบายความต้องการเขาเอ่ยขอร้องอีกฝ่ายจากจิตใต้สำนึก “ช่วยพี่…ช่วย” เสียงพูดขาดหายริมฝีปากลากไล้พรมจูบไปทั่วหน้าไม่ว่าจะหน้าผากเปลือกตาโหนกแก้มไล่ลงมาจนถึงริมฝีปากบางที่มีรสสตรอเบอร์รี่ของลิปมันเคลือบไว้อยู่มือที่กั้นอยู่กลางอกระหว่างพวกเขาทั้งสองค่อยๆอ่อนแรงลงกลายเป็นคล้องคออีกฝ่ายเพื่อรับการจุมพิตจากเจ้าชายที่เขาใฝ่ฝันมาตลอดหากนี่คือฝันเดนิมไม่อยากจะตื่นขึ้นมาเลยจริงๆเขายินดีจะจมดิ่งไปยังห้วงฝันนี้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ชุดนอนถูกดึงทึ้งออกจากร่างกายอย่างรวดเร็วไม่รู้ว่าเมื่อไหร่รู้ตัวอีกทีแผ่นหลังของเขาที่ปราศจากอาภรณ์ก็สัมผัสกับเตียงกว้างเครื่องปรับอากาศที่เย็นฉ่ำก็ไม่สามารถดับไฟราคะของพวกเขาทั้งสองให้มอดดับลงไปได้
เดนิมคิดว่าหากพวกเขามีสัมพันธ์ทางกายกันแล้วพี่พัดคงจะมีความรู้สึกดีๆให้เขากลับมาบ้างความคิดตื้นเขินของเด็กน้อยคนหนึ่งที่สร้างวิมานกลางอากาศเอาไว้อย่างสวยหรูคล้ายจะเป็นจริงในวันนี้ในวันที่พี่พัดโอบกอดเขาโดยปราศจากข้อกังขาใดๆอีกทั้งเรื่องนี้จะเป็นความลับระหว่างพวกเขาสองคน
แม้จะรู้ว่าเขาเองก็เป็นเพียงคนฉวยโอกาสคนหนึ่ง
“นิมยินดีเป็นของพี่พัดนิมจะเป็นของพี่พัดคนเดียว” เดนิมเอ่ยออกมาหลังจากที่พวกเขาต่างก็โกยอากาศเข้าปอดหลังจากผ่านการจูบแลกลิ้นที่ดูดดื่ม
“อื้ม”
เพราะอารมณ์พุ่งสูงจนได้ที่พิพัฒน์ไม่มีสติมาไตร่ตรองและเตรียมพร้อมช่องทางให้แก่อีกฝ่ายเขารู้เพียงแต่ต้องการหาทางระบายความอัดอั้นนี้ให้เร็วที่สุดแท่งร้อนดุนดันช่องทางตีบแคบนั้นอย่างโหยหาอาศัยเพียงความชุ่มชื้นที่ส่วนหัวเท่านั้นมันทั้งฝืดและแคบพิพัฒน์กัดฟันแน่นก่อนจะค่อยๆขยับเอวออกแล้วขยับเข้าอยู่อย่างนั้นอย่างทุลักทุเลก่อนจะเข้าไปได้จนสุดโคน
เดนิมเจ็บจนน้ำตาไหลออกมาเป็นสายเขารู้สึกถึงของเหลวร้อนที่เอ่อล้นออกมาเจ็บจนต้องเกร็งร่างกายแต่ก็ไม่ปริปากออกมาสักคำกัดริมฝีปากตัวเองจนเลือดซิบ
พอได้เห็นสีหน้าที่เชิดขึ้นพร้อมเสียงครางด้วยความสุขสมของพี่พัดความเจ็บแค่นี้เขาทนได้ถ้ามันจะทำให้พี่พัดมีความสุข
“อื้อ” แกนกายค่อยๆขยับเข้าขยับออกตามจังหวะเดนิมกอดรัดพร้อมจิกเล็บลงบนแผ่นหลังเปลือยเปล่าเพื่อระบายความเจ็บปวดและความรู้สึกเสียดเสียวที่ตีตื้นขึ้นมาพร้อมๆกันกับจังหวะที่แปรเปลี่ยนไปพี่พัดกอดก่ายลูบไล้ร่างกายของเขาอย่างโหยหาสองร่างแนบชิดติดกันจนแทบไม่มีช่องว่างเสียงเนื้อกระทบเนื้อเสียงเฉอะแฉะของน้ำลายที่ดังอยู่ในโสตประสาทบอกกับเดนิมว่าทั้งหมดคือเรื่องจริง
ตอนนี้เขากับพี่พัดเป็นของกันและกันอย่างสมบูรณ์
“ซี้ด” เสียงครางกระเส่าทำเอาเดนิมโอนอ่อนร่างกายไปตามแรงกระแทกแล้วแต่พี่พัดจะนำพาร่างกายนี้หากสร้างความสุขให้กับพี่พัดได้เขายินดีและเต็มใจแรงกระแทกกระทั้นไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลงไม่รู้ว่าถูกจับให้พลิกคว่ำหงายไปกี่รอบเดนิมเสร็จสมไปไม่รู้กี่ครั้งแต่เหมือนว่าคนข้างหลังยังไม่ได้ปลดปล่อยออกมาหลับใหลกรอบ
“อื้ออ๊ะ” เดนิมหมอบอยู่กับที่นอนส่วนสะโพกยกสูงขึ้นเพื่อรองรับการตอกกระแทกท่านี้เข้าไปลึกจนร่างบางสั่นกระตุกไม่หยุดช่องทางภายในตอดดูดจนทำให้ความเสียวแล่นไปทั่วร่างกายหัวสมองของพิพัฒน์ชาวาบขาวโพลนเมื่อไปถึงปลายฝั่งฝันอย่างที่ใจปรารถนา
“อ๊าซี้ด” พิพัฒน์ฟุบอยู่บนหลังเดนิมหายใจกอบโกยเข้าปอดอย่างหนักแกนกายกระตุกเพื่อปลดปล่อยความกำหนัดสู่โพรงร้อนนั้นอยู่นานเขาไม่อยากถอดถอนออกไปจริงๆมันทั้งอุ่นและตอดรัดแน่นแบบนี้
เดนิมเหลือบมองนาฬิกาบนผนังเกือบหกโมงครึ่งแล้วเหรอเนี่ยอีกอย่างเขากลัวชองส์จะกลับมาในตอนนี้แถมประตูห้องนอนก็เปิดอ้าซ่าเอาไว้แบบนั้นเดนิมดิ้นขลุกขลักแม้จะอ่อนเพลียจากรสรักแต่เขาก็ไม่อยากมาเล่นหนังสดให้ใครได้ดูและไม่อยากให้ใครได้ล่วงรู้ความลับของเรา
“พี่พัดปล่อยนิมก่อนครับ” เดนิมดิ้นขลุกขลักแต่ไม่เป็นผลแถมยังรู้สึกถึงความเเข็งขืนของแก่นกายที่คาอยู่ตรงช่องทางนั้นพิพัฒน์พลิกกายขึ้นมาทาบทามพร้อมกับจุมพิตริมฝีปากบางนั้นอย่างโหยหาก่อนจะเสือกไสแก่นกายเข้าไปหาโพรงอุ่นนั้นอีกครั้งและอีกครั้งอย่างไม่รู้เบื่อหัวสมองเดนิมมึนเบลอร่างกายของเขาคล้ายโดนสูบเอาวิญญาณออกไปยังไงยังงั้นช่องทางหลังที่รองรับการสอดใส่มานานเริ่มส่งสัญญาณประท้วงความรู้สึกแสบชาตีตื้นขึ้นมาเมื่อแกนกายสอดเข้าออกอยู่อย่างนี้
“อื้ออ๊ะ” ร่างกายบิ้วพลิ้วไปด้วยความเสียดเสียวครั้งแล้วครั้งเล่าสองเท้างองุ้มจิกเกร็งเมื่อพาดอยู่บนบ่ากว้างสองมือจิกทึ้งผ้าปูที่นอนปลอกหมอนที่หลุดลุ่ยออกมาเพื่อระบายความเสียดเสียวที่แล่นริ้วไปทั่วร่างกาย
พี่พัดถูกวางยาอะไรกันแน่…
ร่างกายอ่อนเพลียและเหนื่อยล้าจนถึงขีดสุดเดนิมไม่รู้ว่าตัวเองจมสู่ห้วงนิทราไปตั้งแต่เมื่อไหร่สะดุ้งตื่นมาอีกทีก็ตอนที่เห็นพี่ชายฝาแฝดทั้งสองยืนเท้าสะเอวมองที่ปลายเตียง
ไม่ต้องพูดอะไรก็รู้ว่าระหว่างพวกเขาสองคนผ่านค่ำคืนอันแสนเร่าร้อนมาด้วยกันสภาพเตียงที่ยุ่งเหยิงรวมไปถึงกลิ่นคาวคละคลุ้งต่างๆเดนิมสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาจากอกของพิพัฒน์ด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่าแถมยังมีร่องรอยสีกุหลาบแต่งแต้มไปทั่วร่างกายอย่างเห็นได้ชัดเดนิมรีบยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเขาเลื่อนสายตาไปมองคนข้างๆที่ยังนอนหลับใหลไม่ได้สติ
“ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วออกมา เรามีเรื่องต้องคุยกัน” เดนีสเอ่ยเสียงเรียบ เดนิมรู้ว่าพี่ชายฝาแฝดทั้งสองต้องอดกลั้นแค่ไหนที่ไม่อาละวาดและด่าทอออกมา นั่นก็เพื่อนนี่ก็น้องชายตัวเอง
เดนิมรีบสวมชุดนอนอย่างลวกๆก่อนจะรีบกลับไปอาบน้ำที่ห้องของตัวเองสภาพร่างกายที่ผ่านการร่วมรักมาอย่างหนักทำเอาเขาแทบจะทรงตัวอาบน้ำใต้ฝักบัวแทบไม่อยู่ปวดเมื่อยไปตามร่างกายไหนจะคราบเลือดที่แห้งตามต้นขาด้านในนั้นเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าระหว่างเขากับพี่พัดมีสัมพันธ์ทางร่างกายกันจริงแท้แน่นอน
แต่เดนิมก็ไม่รู้ว่าเพราะอารมณ์ชั่ววูบหรืออย่างไรทำให้เขากล้าตัดสินใจบ้าบิ่นอย่างนั้นขนาดพี่ชายฝาแฝดของเขายังเหมือนจะรับไม่ได้เลยแล้วพี่พัดล่ะ? เดนิมสำรวจตัวเองอยู่หน้ากระจกอยู่นานสองนานร่องรอยสีกุหลาบแต่งแต้มไปทั่วลำคอรวมถึงไหปลาร้าริมฝีปากของเขาบวมช้ำแถมเสียงยังแหบแห้ง
เดนิมสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเรียกขวัญกำลังใจให้ตัวเองเพื่อออกไปเผชิญกับพี่ชายทั้งสองที่กำลังนั่งรอด้วยความรู้สึกหลากหลาย
“นั่งสิ”
เดนิมก้มหน้าค่อยๆหย่อนก้นลงที่โซฟาแต่พอจะทิ้งตัวนั่งลงกลับต้องซูดปากด้วยความเจ็บที่เสียดแทงขึ้นมาเหมือนว่าช่องทางหลังจะฉีกขาดและบวมช้ำจากการถูกเสียดสีเป็นเวลานานก่อนจะค่อยๆจัดหมอนอิงเอียงตัวซบด้านข้างเพื่อไม่ให้ทับแผลที่ช่องทางด้านหลัง
สีหน้าและท่าทางทั้งหมดไม่พ้นพี่แฝดทั้งสองที่จ้องมองน้องเล็กมาตั้งแต่ต้นเดนีสที่เหมือนจะมีเหตุผลมากที่สุดตอนนี้คล้ายว่ากำลังอดกลั้นไม่ให้โทสะที่มีอยู่ในอกได้ปะทุออกมาเดนิมก้มหน้ากอดหมอนอิงอยู่ในอกไม่กล้าสบตากับพี่ๆทั้งสอง
“จะบอกพี่ได้มั้ยว่าทำไมเรากับไอ้พัดถึงได้มาอยู่ด้วยกันได้” เดนิมกระชับอ้อมแขนกอดหมอนอิงในมือแน่นขึ้นกว่าเดิมก่อนจะเอ่ย
“คือ…นิมเจอพี่พัดที่คลับแล้วพี่พัดถูกวางยานิมกับชองส์เลยเข้าไปช่วย”
“แล้วไหนไอ้ชองส์นั่นล่ะทำไมเหลือเราคนเดียว”
“ชองส์เพิ่งกลับไปตอนตี 3 พอดีมีธุระด่วนครับ”
“แล้วทำไมเราถึงไม่พาไอ้พัดไปส่งที่บ้าน”
“คือนิมเห็นว่ามันดึกแล้วแล้วบ้านพี่พัดก็ไกลด้วยนิมเลย…”
“ที่นิมอยากออกมาอยู่คอนโดคนเดียวเพราะเหตุผลนี้ด้วยหรือเปล่า”
“ปะ…เปล่านะครับนิมกับพี่พัดเจอกันเพราะความบังเอิญจริงๆ” เดนิมเริ่มอยู่ไม่สุขแม้แต่พี่ชายของเขายังตั้งแง่กับเขาขนาดนี้หากพี่พัดตื่นมารู้ว่าคนที่ตัวเองมีสัมพันธ์ด้วยเมื่อคืนคือน้องชายเพื่อนอย่างเขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“นิมโทรหาพี่แฝดแล้วแต่ไม่มีใครรับ” เดนิมตอบอุบอิบก้มหน้ากอดหมอนอิงอยู่อย่างนั้น
“เลยเอาไอ้พัดมานอนที่นี่?” เดนีนจี้ถามต่อแม้ว่าน้ำเสียงจะราบเรียบแต่สีหน้าบ่งบอกว่ากำลังโมโหสุดๆแต่ทำได้เพียงสะกดอารมณ์ที่พลุ่งพล่านเหล่านั้นเอาไว้
“อยากให้พี่บอกพ่อกับแม่ว่ายังไงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะนิมนิมก็รู้จักร่างกายตัวเองดี” เดนีนเอ่ยพร้อมกับจ้องมองน้องชายที่ร่างกายกำลังสั่นเทา
เดนิมขอบตาร้อนผ่าวน้ำตาค่อยๆเอ่อออกมาจากกระบอกตาเขาสูดหายใจเพื่อระงับน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมาอยู่รอมร่อ
“อย่าบอกพ่อกับแม่นะครับ” เขาไม่อยากให้พ่อกับแม่รู้เรื่องนี้ไม่อยากให้พี่พัดรู้สึกว่าเขากำลังใช้ข้ออ้างนี้เพื่อบีบบังคับ
“ไม่บอกได้เหรอเรื่องบานปลายมาถึงขนาดนี้นะนิม” เดนีสตะคอกเสียงดังทำเอาเดนิมสะดุ้งซบหน้ากับหมอนอิงร้องไห้สะอึกสะอื้น
ปกติพี่แฝดจะห้อมล้อมเอาใจเขาคล้ายว่าเขาเป็นสิ่งของล้ำค่าหนึ่งเดียวของบ้านเดนิมมีร่างกายที่พิเศษเป็นผู้ชายที่มีมดลูกสามารถตั้งครรภ์ได้เฉกเช่นเดียวกับเพศหญิงตอนแรกพวกเขาเป็นห่วงแทบตายเรื่องที่จะให้น้องเล็กไปเรียนไกลหูไกลตาต้องมีข้อแม้ว่าไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหนต้องรับโทรศัพท์ต้องตอบไลน์แต่เพราะเช้านี้มีสายที่ไม่ได้รับจากน้องเล็กตอนตี 3 พอโทรกลับก็ไม่มีคนรับเดนิมหายไปไม่ตอบกลับแฝดพี่ทั้งสองจึงได้มาตามหาที่คอนโดเพราะว่าเป็นพี่น้องรหัสที่ประตูหน้าห้องจึงไม่ใช่ความลับพอได้มาเห็นประตูห้องนอนแขกที่เปิดอ้าไว้เสื้อผ้ารองเท้ากระจัดกระจายไปตามพื้นห้องพี่ชายอย่างเขาหัวใจแทบจะหยุดเต้น
ตอนแรกนึกว่าไอ้หนุ่มฝรั่งเศสคนนั้นเสียด้วยซ้ำแต่พอได้มาเห็นกับตาว่าคนที่นอนกอดเดนิมอยู่นั้นคือเพื่อนของตัวเองอย่างพิพัฒน์เดนีสและเดนีนถึงกับไปไม่ถูกไม่รู้จะทำยังไงเพราะต่างรู้ๆกันอยู่ว่าไอ้พัดหลีกเลี่ยงที่จะเจอกับเดนิมจะตายพวกเขารู้ดีว่าพิพัฒน์ไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษอะไรกับน้องชายของเขาพอมาเจอภาพนี้คล้ายมีค้อนปอนด์ทุบแสกหน้าพวกเขาอย่างจัง
เดนิมทำอะไรลงไป?
หรือเป็นเพราะความเต็มใจของคนทั้งสอง?
เดนีสพี่ชายฝาแฝดคนโตที่มีวุฒิภาวะมากที่สุดยังโมโหจนแทบสติหลุดขนาดนี้แล้วพ่อกับแม่จะขนาดไหนสภาพของเดนิมตอนนี้ดูแทบไม่ได้
ไอ้พัดแม่ง!!! ต่อให้จะโดนวางยาอะไรก็ช่างตอนนี้ก็หลีกเลี่ยงเรื่องสัมพันธ์ทางกายไม่ได้ต่อให้ไม่อยากยอมรับแค่ไหนก็ดิ้นไม่หลุดแม้จะขนหลักฐานบริสุทธิ์มากมายมากองต่อหน้าแต่ว่าพ่อแม่ของเขาย่อมไม่ยอมเลิกแล้วต่อกันเป็นแน่ยังไงเดนิมก็เป็นฝ่ายเสียหายปลายทางก็เห็นจะมีทางออกอยู่ทางเดียว
ต่อให้ไม่มีความรู้สึกแต่ยังไงก็ต้องรับผิดชอบ!
เดนิมไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปตอนแรกคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นเพียงความลับระหว่างเขากับพี่พัดเช้ามาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้คาดคิดว่าเรื่องราวจะบานปลายขนาดนี้ความคิดเพียงชั่ววูบคิดว่าไม่เป็นอะไรแต่สุดท้ายเรื่องราวทุกอย่างกลับตาลปัตรอีกอย่างเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่แผนการของเขาเดนิมกล้าสาบาน! แต่ว่าใครจะเชื่อล่ะ?อีกอย่างเดนิมมีคลิปที่อยู่ในโทรศัพท์ของชองส์เป็นหลักฐานว่าผู้หญิงคนนั้นวางยาพี่พัดตอนนี้คลิปในมือที่เดนิมมีคือกล้องหน้ารถของตัวเองที่ขับตามรถญี่ปุ่นที่เลี้ยวเข้าเลิฟโฮเต็ลอีกทั้งไม่ได้เห็นว่าอีกฝ่ายพยุงพิพัฒน์เข้าไปในห้องพูดอะไรไปตอนนี้ก็คงไม่มีอะไรดีขึ้นยังไงการตัดสินใจตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายยังไงเขากับพี่พัดก็มีสัมพันธ์เกินเลยกันไปแล้วพ่อแม่ของเขาคงไม่ยอมจะให้แล้วต่อกันก็คงเป็นไปไม่ได้เดนิมเข้าใจแล้วว่าทำไมชองส์ถึงสั่งห้ามเขาหนักหนาว่าไม่ให้เข้าไปในห้องนั้นเพราะอย่างนี้นี่เองเดนิมกล่าวโทษตัวเองว่าโง่เขลาอยู่ในใจกัดริมฝีปากตัวเองจนห้อเลือด“งั้นกลับบ้านไปก่อนละกัน” เดนีสเอ่ยปาก“ก่อนกลับบ้านแวะไปโรงพยาบาลก่อนเถอะ” เดนีนพูดจบก็หิ้วปีกน้องชายที่อ่อนแรงแทบไม่มีแร
เดนิมอึ้งช็อกเมื่อได้ยินว่าตัวเองจะต้องแต่งงานและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับพี่พัดภายในระยะเวลาหนึ่งปีการแต่งงานถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมายมีเพียงสองครอบครัวและนายทะเบียนจากสำนักงานเขตเท่านั้นเจ้าบ่าวทั้งคู่ก็อยู่ในชุดแต่งงานที่เดนิมเป็นคนจัดเตรียมเองทุกอย่างรวมไปถึงแหวนแต่งงานทั้งสองวงดูเหมือนเป็นการวางแผนไว้ล่วงหน้าเป็นอย่างดีจะไม่ให้พิพัฒน์คิดได้ยังไงว่าเขาถูกเดนิมวางยาและมัดมือชกภาพงานแต่งงานที่คนทั้งสองนั่งพับเพียบอยู่ต่อหน้าพานเงินทองของหมั้นข้างหลังเป็นญาติผู้ใหญ่ทั้งสองและพี่แฝดในภาพเจ้าบ่าวทั้งสองคนต่างมีสีหน้าไม่สู้ดีต่างก็ราบเรียบปราศจากรอยยิ้มกันทั้งคู่เดนิมจ้องภาพงานแต่งที่เรียบง่ายของตัวเองกับพี่พัดอยู่อย่างนั้นเขานำไปอัดขยายมาใส่กรอบไว้ที่หัวเตียงก่อนจะรูดม่านสีดำปิดบังภาพถ่ายนั้นเอาไว้พร้อมถอนหายใจออกมาอย่างหมดแรงหลังจากงานแต่งพวกเขาทั้งสองจะต้องย้ายมาอยู่ด้วยกันซึ่งสัปดาห์หน้าวันที่ 1 กรกฎาจะเป็นวันแรกที่พวกเขาต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันหากระยะเวลานี้ไม่สามารถสร้างอนาคตไปด้วยกันได้ถือว่าต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระต่อกันเดนิมอ่านเอกสารสัญญาในมือยิ่งเห็นลายเซ็นที
ทุกวันเสาร์ทางบ้านเดนิมจะส่งแม่บ้านมาคอยปัดถูทำความสะอาดป้าอนงค์และป้าสายใจทำงานมานานอีกอย่างลลดาเป็นห่วงลูกชายอย่างน้อยส่งคนรู้ใจมาสอดส่องสัปดาห์ละครั้งก็ยังดี“คุณหนูคะเสื้อผ้ามีแค่นี้เองเหรอคะแล้วของคุณผู้ชายละคะ”“มีแค่นี้แหละครับของพี่พัดนิมซักหมดแล้วครับ”“ไม่ได้นะคะคุณหนูใส่ไว้ในตะกร้าเอาไว้ได้เลยเดี๋ยวป้ามาซักให้เองค่ะ”“ไม่เป็นไรครับนิมอยากทำให้พี่พัดเอง” เดนิมยิ้มตอบก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปยังห้องนั่งเล่นคนแก่อย่างอนงค์กับสายใจทำไมจะดูไม่ออกทั่วทั้งห้องไม่มีกลิ่นอายของคนอื่นอยู่เลยมีเพียงคุณหนูของเธอคนแล้วจานชามก็มีเพียงอย่างละหนึ่งตู้เสื้อผ้าโล่งขนาดนั้นแต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมา“ตู้เย็นแทบไม่เหลือของสดเลยป้าไปซื้อให้ไหมคะ”“ไม่เป็นไรครับซื้อกินเอาสะดวกกว่า”“ขาดเหลืออะไรบอกป้ามาได้เลยนะคะป้าจะได้ตระเตรียมให้”“ไม่น่าจะขาดอะไรแล้วครับขอบคุณมากครับ” เดนิมพูดตอบซีรีย์เรื่องโปรดที่กำลังโลดแล่นอยู่บนจอไม่เข้าหัวของเขาสักนิดที่เขาต้องแกล้งจดจ่ออยู่กับภาพยนตร์ตรงหน้าก็เพื่อหลีกเลี่ยงการตอบคำถามของแม่บ้านเขารู้ดีว่าทุกคนเป็นห่วงแต่เขาเองก็ยังแอบหวังอยู่ลึกๆว่าพี่พัดจะย
แม้จะตกลงอยู่ร่วมกันในทุกวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ แต่เดนิมคิดว่าไม่เจอกันดีที่สุด อย่างน้อยก็ไม่ต้องเจอกันให้เสียความรู้สึก และถือเป็นการฆ่าเวลาไปในตัว และเดนิมกลัว กลัวว่าจะไม่สามารถกลบเกลื่อนสายตา ความรักที่มันเอ่อล้นอยู่ในอก เขาไม่อยากได้สายตาสมเพชจากพี่พัดอีกเดนิมวิ่งมาหลายสิบปีเพื่อคนคนเดียวเขาได้แต่หวังว่าสักวันระยะทางที่ทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุดนั้นจะมีสักวันหนึ่งที่มีโอกาสมองเห็นเส้นชัยแต่ทว่าพี่พัดของเขาไม่เคยให้โอกาสนั้นสองขาที่ออกวิ่งมายาวนานเริ่มเหนื่อยล้าและอ่อนแรงลงไปทุกทีเดนิมกลับมาอาศัยภายในคอนโดของตัวเองอีกครั้งเขาเร่งปิดต้นฉบับเพื่อให้ทันเดดไลน์ที่ตัวเองกำหนดขึ้นโฟกัสกับตัวอักษรเบื้องหน้าตัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายออกไปกลั่นกรองเรียงร้อยรสรักออกมาเป็นหนังสือนิยายรักเรื่องเศร้าเรื่องหนึ่งว่ากันว่า ‘เรามักจะซ่อนคนคนนึงไว้ในบทเพลง’ นักเขียนอย่างเดนิมก็เช่นกันเขาซ่อนความรักที่มีต่ออีกฝ่ายมาอย่างยาวนานหลายสิบปีผ่านนิยายหลายสิบเล่มจนได้ขึ้นชื่อว่านักเขียนเรื่องเศร้าหากคุณมีความสุขในชีวิตมากเกินไปก็ไปหาหนังสือของ FALLIN มาอ่านหากคุณอยากจะล้างลูกตาชื่อนี้ไม่ทำให้คุณผิดหวังโดย
แม้ไม่อยากทำให้พี่พัดอึดอัด เดนิมมักจะปลีกตัวและไม่เข้าหาอีกฝ่ายโดยไม่จำเป็น ยิ่งในบริษัทเขาทำเหมือนเป็นพนักงานคนหนึ่งที่ไม่ได้มีสัมพันธ์เกินเลยกับเจ้านาย เดนิมวางตัวดีและพยายามหักห้ามความรู้สึกของตัวเองอยู่เสมอ แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายมักจะมีข้ออ้างให้เขาต้องติดสอยห้อยท้ายออกไปพบปะพูดคุยกับคู่ค้าอยู่เสมอเช่นกัน และแล้วเดนิมก็หาสาเหตุเจอว่าพี่พัดจะเก็บเขาไว้ข้างตัวทำไม ในที่สุดวันนี้ก็ได้รู้ ตลอดเวลาที่เขาตามพี่พัดไปทำงาน แม้จะโดยสารไปด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้กลับพร้อมกัน เดนิมชินกับความเป็นอยู่และการถูกปฏิบัติแบบนี้เสียแล้ว ไม่คาดหวัง…ไม่ผิดหวัง ตลอดระยะเวลาหลายสัปดาห์อีกฝ่ายมักจะพาเขาไปเรียนรู้งาน พบปะสังสรรค์ลูกค้าในฐานะเด็กฝึกงาน แต่ว่าไม่มีครั้งไหนน่าอึดอัดเท่าครั้งนี้มาก่อน ทั้ง ๆ ที่เป็นร้านอาหารสุดหรู บรรยากาศดี แต่ทว่าผู้ร่วมโต๊ะอีกคนกลับทำให้เดนิมรู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นที่สุด…ผู้หญิงที่มอมยาพี่พัดในวันนั้นก็คือคุณนิชา ซึ่งเป็นคู่ค้าของพี่พัดมายาวนานเดนิมนั่งกึ่งกลางระหว่างโต๊ะจะว่าไปหากตัดเรื่องเลวร้ายที่นิชาทำลงไปก็ดูจะเหมาะสมกับพี่พัดมากกว่าเขาทุกตรงทั้งคู่ทักทายกันอย่างคุ้นเคยเป็นก
แม้จะไม่อยากออกมาฝึกงานแต่เมื่อรับปากไว้แล้วก็ต้องทำให้เสร็จสามเดือนก็สามเดือนแค่ไม่กี่สัปดาห์ยังกินพลังงานชีวิตไปซะขนาดนี้ระหว่างเดนิมกับพิพัฒน์ก็ยังมีบรรยากาศกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อยแม้จะอาศัยอยู่ด้วยกันแต่ไม่ได้พูดคุยกันสักประโยคอีกทั้งเดนิมก็เลือกที่จะขับรถไปเองเมื่อก่อนรู้ทั้งรู้ว่าจะต้องโดนกลั่นแกล้งแต่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจแต่หลังจากที่มีปากเสียงกันครานั้นเดนิมก็ไม่อยากจะเป็นฝ่ายถูกกลั่นแกล้งอีกไม่ว่าจะให้เขาหิ้วท้องรอจนดึกดื่นหากวันไหนเขางีบหลับอีกฝ่ายก็จะกลับไปก่อนโดยที่ไม่เอ่ยปากจะเรียกกันอีกทั้งพี่พัดมักจะมีอิริยาบถที่ผ่อนคลายเมื่อไม่ได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังโดยเฉพาะการรับประทานอาหารร่วมกัน…ยิ่งคาดหวังมากเท่าไหร่มันก็จะยิ่งกัดกินความสุขในชีวิตเราไปมากเท่านั้นไม่มีใครไม่อยากสมหวังแต่ทว่ามันไม่เหลืออะไรให้หวังเลยต่างหากอาหารกลางวันคุณน้ามาลินีก็ห่อมาให้พี่พัดเหมือนเดิมเดนิมก็โทรหาสอบถามอยู่บ่อยๆไม่ใช่เพื่อทำคะแนนต่อให้คุณน้ามาลินีจะชมชอบเขามากแค่ไหนแต่เจ้าตัวไม่มีใจมันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดีเดนิมไม่อยากให้เรื่องระหว่างเขากับพี่พัดผิดใจกับผู้ใหญ่และเขาโชคดีที่น้ามาลินีไม่ได้รังเกียจกั
ทางด้านเดนิมโชคดีที่กาแฟวางพักไว้สักครู่บนเคาน์เตอร์แผลจึงไม่ได้ร้ายแรงเป็นแผลไหม้ระดับสองมีตุ่มพองใสแต่ก็ปวดแสบมากเพราะเส้นประสาทบริเวณผิวหนังยังเหลืออยู่ไม่ได้ถูกทำลายไปมากนักการหายของแผลใช้เวลาประมาณสองถึงสามสัปดาห์คุณหมอจึงให้ครีมทายาภายนอกรวมไปถึงการปิดแผลด้วยผ้าก๊อซอีกทั้งยังกำชับไม่ให้โดนน้ำรวมไปถึงที่ต้นขาด้านขวาด้วยเดนิมทำแผลเสร็จพี่แฝดก็โทรมาตอนอยู่ในรถพอดีเขากดรับสายก่อนจะทำน้ำเสียงปกติ “ว่าไงครับ”“วันนี้ว่างหรือเปล่าเราพี่สองคนจะไปรับไปทานข้าว”“วันนี้คงไม่ได้ครับ”“เดี๋ยวพี่โทรไปหาไอ้พัดให้”“อย่าดีกว่าครับเดี๋ยวพี่พัดจะว่าเอาตอนนี้ผมเป็นแค่พนักงานฝึกงานนะครับพี่แฝดอย่าลืม” เดนิมพยายามทำน้ำเสียงให้สดใส “อีกอย่างมีนักศึกษาฝึกงานคนอื่นมาฝึกด้วย”“แล้วเราจะว่างเมื่อไหร่” เดนีนแทรกขึ้นมา“เดี๋ยวถ้าว่างจะโทรไปนัดพี่ๆอีกทีนะครับไม่ต้องกลัวว่าพวกพี่แฝดจะไม่ได้จ่ายรับรองวันนั้นต้องจ่ายให้น้องทั้งวันนะครับ” แฝดต่างหัวเราะ “หาเวลามาให้ได้เถอะน้องคนเดียวจะเท่าไหร่เชียวแพงแค่ไหนก็เลี้ยงได้” ทั้งสามคนหัวเราะก่อนจะกดวางสายเดนิมถอนหายใจก่อนจะสตาร์ทรถกลับบ้านโดยไม่ได้ดูสายที่ไม่ได้รับก
ทางด้านปานัสเมื่อโดนดุไปซึ่งๆหน้าก็ดูจะนอบน้อมขึ้นแต่ก็ยังพยายามจะหักหน้าและปาดหน้าทำงานแทนเดนิมเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมือเจ็บ“นิมช่วยดูตรงนี้หน่อยนะ” สิริเอ่ยพร้อมยื่นแฟ้มให้เดนิมยังไม่ทันยื่นมือออกไปรับปานัสกลับยื่นมือมารับแทน“ให้นัสทำนะครับพี่สิริ” สิริเองก็มองหน้าเดนิมเมื่อเห็นเจ้าตัวพยักหน้าน้อยๆก็ยื่นแฟ้มใส่มือปานัสแทนพร้อมกำชับ“ฝากด้วยนะจ๊ะงานนี้ต้องเสร็จวันนี้ถ้าไม่เสร็จจะจ่ายค่าโอทีให้”ปานัสอ้าปากค้างกลืนน้ำลายลงคอพร้อมรีบเปิดเอกสารในแฟ้มอ่านรายละเอียดคร่าวๆพร้อมอุทานในใจ “ตายห่าไม่น่าเลยกูวันนี้จะเสร็จไหมเนี่ย” พร้อมรีบกุลีกุจอกลับไปนั่งทำที่โต๊ะตัวเองโซนหน้าห้องผู้บริหารแทบไม่มีเสียงพูดคุยตลอดช่วงบ่ายพี่สิริหันมายิ้มเป็นนัยให้เดนิมเดนิมค้อมหัวให้ก่อนจะก้มหน้าอ่านเอกสารในมือจนเลิกงานปานัสขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเมื่อเวลาเลิกงานพนักงานทุกคนทยอยกลับรวมไปถึงเดนิมที่เดินมาอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงานของตัวเองเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ขอบคุณปานัสมากนะที่ช่วยทำงานนี้แทนเราเราขอตัวก่อนนะ” ปานัสแสร้งยิ้มก่อนจะกัดฟันตอบ “กลับก่อนได้เลยจ้ะ” แต่ในใจก่นด่าอีกฝ่ายสิบกว่ารอบเดนิมที่กำลังลงลิฟต์ไปย
เดนิมที่สวมชุดคลุมท้องอยู่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเมื่อฟังคุณแม่ลูกสองเล่าถึงเรื่องการคลอดธรรมชาติ“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”“ใช่…ขนาดนั้นแหละแต่ว่านะมนุษย์แม่อย่างเราทนได้เชื่อสิ” วินตราตอบคุณแม่มือใหม่ตรงหน้าที่เหมือนจะกังวลไปเสียทุกอย่างถามนั่นนี่ส่วนเขาที่เคยผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นมาก่อนก็คอยตอบคำถามน้องสามีอย่างใจเย็น“มะมะ” เดนอนเริ่มพูดคุยสองคำได้แล้วเรียกมามาปาปาทั้งวันไม่ก็หม่ำๆเด็กน้อยเริ่มเดินได้แล้วพอเดินได้ก็เริ่มซนเดินไปทั่วทั้งบ้านตอนนี้วินตราต่างก็ย้ายมาที่บ้านใหญ่ชั่วคราวเพราะลลดาอยากเลี้ยงหลานตอนนี้วินตราก็ท้องลูกคนที่สองได้ 4 สัปดาห์จะเรียกว่าหัวปีท้ายปีก็ไม่ผิดนักวินตรามองสามีตัวเองตาเขียวอยากจะถลกหนังหัวคนทำเพราะตอนนี้เขาก็ย่าง 43 แล้วมาท้องตอนแก่สังขารไม่ไหวแม้ว่าใจจะสู้ก็ตามอีกอย่างก็กังวลโรคทางพันธุกรรมและความผิดปกติทางโครโมโซมที่อาจเกิดขึ้นได้เดนิมอุ้มเด็กน้อยมานั่งตักแล้วสอน “เดนิมเดนิมไหนพูดสิครับ”“เดเด”“เดนิมครับ”“เดเดนิม”“เก่งมาก” เดนิมหอมแก้มยุ้ยๆนั้นฟอดใหญ่อย่างมันเขี้ยว“มีสองคนไล่ๆกันแบบนี้ก็ดีนะครับเหนื่อยทีเดียว” วินตราถอนหายใจพร้อมกับเอ
การแต่งงานถูกจัดที่เกาะส่วนตัวของท่านเจ้าสัวเป็นงานใหญ่ที่มีการเลี้ยงฉลองถึง 3 วัน 3 คืนบรรดาแขกเหรื่อที่ตบเท้ารวมงานพันกว่าคนและแน่นอนว่าเจ้าบ่าวถูกมอมเหล้าคอพับทุกคืนเดนิมยืนมองภาพถ่ายฉากหลังริมทะเลฟ้าสวยทะเลสีครามสองบ่าวสาวกำลังสวมแหวนแต่งงานให้แก่กันส่วนภาพอื่นๆก็เป็นภาพที่พวกเขาทั้งสองต่างก็ฉีกยิ้มจนไปถึงดวงตาแตกต่างจากภาพในอดีตอย่างเห็นได้ชัดการแต่งงานครั้งนี้มีแต่ความชื่นมื่น“อื้อ”เดนิมถูกสวมกอดจากทางด้านหลังจมูกก็ซุกไซร้ไปทั่วลำคอระหง“พี่พัด”“ยืนมองรูปนี้อีกแล้วนะเรา” ไม่รู้สิรูปถ่ายพวกนี้ที่เดนิมได้อัดใส่กรอบไว้ติดไว้ในห้องนอนของพวกเขารวมไปถึงห้องนั่งเล่นแต่รูปที่สวมแหวนให้กันมักจะดึงดูดความสนใจของเขามากเป็นพิเศษเป็นภาพที่ทะเลท้องฟ้าเหมือนเป็นใจทุกอย่างลงตัวแถมชุดแต่งงานยังเป็นชุดที่เขาออกแบบเอาไว้เพชรและไข่มุกเปล่งประกายระยิบระยับเมื่อกระทบกับแสงแดดเดนิมยังจำภาพวันงานได้ดีแม้จะผ่านมาร่วมสามเดือนแล้วก็ตามตอนนี้พวกเขาทั้งสองย้ายมาอยู่เพนท์เฮ้าส์หลังเดิมเพียงแต่มีการต่อเติมจัดผังใหม่ห้องนอนใหญ่ถูกขยายให้ใหญ่ขึ้นรวมไปถึงห้องนอนแขกก็ออกแบบใหม่เพื่อรองรับสมาชิกใหม่ในวันหน้า
เดนิมไม่ได้คาดหวังกับความสัมพันธ์ครั้งนี้ความจริงเขาแทบไม่ต่างอะไรไปจากเดิมเพิ่มเติมคือมีคนคอยรับคอยส่งก็เท่านั้น“ไงไอ้พัดการงานไม่มีทำเหรอไง” เดนีสถามพลางเปิดฝ่ายเปิดประตูให้เดนิมขณะที่รถจอดหน้าบริษัทบริษัทนี้เป็นบริษัทของเดนิมที่แตกย่อยไลน์การผลิตเครื่องดื่มออกมาภายใต้การดูแลของเดนีสวันนี้เขาแวะเข้ามาประชุมในฐานะที่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่และเป็นหนึ่งในคณะบริหารด้วยส่วนเลขาข้างหลังนั้นสีหน้าราบเรียบบุคลิกดีแตกต่างจากเจ้านายอย่างสิ้นเชิง“ขอบคุณครับ” เดนิมเอ่ยขอบคุณพี่ชายก่อนจะลงรถมายืนข้างๆ “อ้าวสวัสดีครับคุณวิน”“สวัสดีครับ” วินตราเอ่ยทักทายน้องชายเจ้านายอย่างนอบน้อม“ตอนเย็นพี่มารับนะ”“ครับ”“ตอนเย็นก็กลับกับพี่ไงบ้านเดียวกันกลับด้วยกันประหยัดดีออก”“แล้วคุณวินตรากลับยังไงล่ะครับ” เดนีสสะอึกรถคันโปรดของเขานั่งได้แค่สองคนวันนี้ขับมาเองไม่ได้ให้คนขับมาส่งด้วยเดนีสตีหน้าขรึม “อ้อลืมไปวันนี้มีประชุมตอนบ่ายต่อ” ก่อนจะเดินหนีเข้าไปในตึกพร้อมกับคุณเลขา“ตอนเย็นพี่มารับนะ”“อาจจะเลทหน่อยนะครับช้าสักครึ่งชั่วโมง”“ไม่เป็นไรมีอะไรก็โทรมา”“ครับ” พิพัฒน์รอจนเดนิมเดินหายเข้าไปในตึกเขาถึงเคลื
“ทำไมนิมถึงให้โอกาสพี่” พิพัฒน์ตัดสินใจถามออกไปไม่รู้สิหากเป็นเขาคงไม่ได้ง่ายดายแบบนี้แต่ความคิดของเดนิมการที่เขาให้อภัยคนตรงหน้าไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นมันมีระยะเวลาอีกทั้งพี่พัดคงไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่เรียกว่า ‘ง้อขอคืนดี’ ไม่ได้แวะเวียนมาหาหรือขยันสรรหาของมีค่ามาให้แต่การกระทำกลับตรงข้าม“ลิลลี่สีขาวตลอดสามปีที่พี่พัดส่งให้นิมทุกโอกาสก็แฝงความนัยไม่ใช่เหรอครับ”“อ่า” นั่นก็จริงเพราะพิพัฒน์ไม่ใช่คนช่างพูดแต่การกระทำของเขามักจะแฝงความนัยเอาไว้ในสิ่งของต่างๆเสมอไม่ว่าจะดอกลิลลี่สีขาวที่ส่งให้อีกฝ่ายในทุกโอกาสพิเศษต่างๆเดนิมมีพร้อมทุกสิ่งเขาไม่อยากให้ของมีค่าเพื่อกดดันให้อีกฝ่ายรับไว้ดอกไม้อย่างมากสองสัปดาห์ก็เหี่ยวเฉาร่วงโรยไปจะทิ้งก็สมควรเพราะถึงแก่เวลาเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแต่ความจริงแล้วดอกลิลลี่สีขาวพวกนั้นไม่เคยถูกทิ้งสักช่อแม้จะแห้งเหี่ยวไร้กลิ่นไม่เหลือความสวยงามแต่ความหมายยังคงอยู่ยังคงวางอยู่ในกล่องใสเรียงซ้อนกันหลายกล่องภายในโกดังเก็บของแต่เขาไม่บอกพี่พัดหรอก“พี่พัดคงรู้ความหมายของลิลลี่สีขาวดี”ดอกลิลลี่สีขาวแสดงความรักที่บริสุทธิ์และความไร้เดียงสาความเห็นอกเห็นใ
ว่ากันว่าหนังสือเล่มเดิมตอนจบไม่ว่าจะอ่านกี่ครั้งก็ยังคงเหมือนเดิม…นั่นก็จริงส่วนหนึ่งแต่ว่าทุกครั้งที่อ่านกาลเวลาไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่คนเราโตขึ้นสังคมสิ่งแวดล้อมแม้ตอนจบในตอนสุดท้ายจะยังคงเหมือนเดิมแต่ทว่าความรู้สึกทุกครั้งที่ได้อ่านไม่มีทางเหมือนเดิมคนเราเองก็เช่นกันทุกคนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาไม่มีใครคงเดิมจะเป็นไรไปหากเราอยากจะหยิบเล่มโปรดขึ้นมาอ่านอีกครั้งแม้ว่าระหว่างทางที่อ่านจะเปียกปอนและเหน็บหนาวไปบ้างแม้ตอนจบจะไม่สมหวังแต่อย่างน้อยเราก็ได้อ่านมันเพื่อเติบโตคนเราไม่ได้เติบโตเพียงร่างกายแต่ความรู้สึกของเราก็เติบโตด้วยเช่นกันเรียนรู้ที่ยอมรับความผิดพลาดแก้ไขและทำให้มันดีขึ้นดังเช่นพวกเขาทั้งสองเริ่มแรกสถานการณ์ไม่เป็นใจพอเวลาผ่านไปทำให้ตกผลึกได้ถึงบางสิ่งบางความรู้สึกที่ไม่แจ่มชัดในตอนแรกนิยามคำว่ารักคนเราไม่เหมือนกันบ้างขอแค่ได้รักบ้างขอให้ได้อยู่ด้วยกันแล้วถ้าหากนิยามรักของพวกเราสองคนไม่ตรงกับคนอื่นล่ะ? พิพัฒน์นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดขับรถไปยังบ้านศศิภักดีตลอดทาง หากผู้ใหญ่ทางบ้านศศิภักดีจะกีดกัน นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก การแต่งงานของพวกเขาทั้งสองในตอนแรกมีแต่ความไม่เข้าใจ ความ
การอ่านนิยายกลายเป็นหนึ่งในงานอดิเรกของนักธุรกิจชื่อดังอย่างพิพัฒน์ เขาพึ่งค้นพบการเยียวยาหัวใจตัวเอง ก็เหมือนวลี ‘นั่งโง่ ๆ ที่ริมทะเล’ อะไรทำนองนั้น อีกอย่างมันทำให้เขาเข้าใจตัวตนของเดนิมมากขึ้น เมื่อก่อนเขาคิดว่านิยายมันไม่สมจริง ประโลมโลก รู้สึกว่าเสียเวลาชีวิตด้วยซ้ำ แต่พอได้ลองอ่าน ลองวิเคราะห์ตัวละคร หลาย ๆ เรื่องราวจะเห็นได้ว่านิยายไม่เพียงสร้างความบันเทิงหรือเสริมสร้างจินตนาการ แต่บางเรื่องกลับซ่อนเรื่องราวเบื้องหลัง ความฝันบางอย่างที่นักเขียนไม่สามารถลงมือทำมันในชีวิตจริงได้ แต่สามารถทำให้มันสำเร็จได้ในนิยายเรื่องหนึ่งดังเช่นเรื่อง ‘ความรักและกาลเวลา’ ที่เขากำลังอ่านอยู่ตอนนี้จะบอกว่าอินก็คงจะไม่ผิดนักเป็นการบอกเล่าความรักของคนสองคนที่ผ่านอุปสรรคกาลเวลาความเข้าใจผิดและกลับมาพบกันอีกครั้งโดยปลายปากกาของ FALLIN นักเขียนผู้ไม่สมหวังในความรักรวมไปถึงความฝันต่างๆได้ถูกบอกเล่าผ่านตัวอักษรหน้าแล้วหน้าเล่าค่อยๆถ่ายทอดออกมาอย่างถูกจังหวะบางประโยคก็กระแทกใจคนอ่านทำให้นักอ่านรู้สึกคล้อยตามและเห็นใจตัวละครได้ไม่ยากพิพัฒน์ได้เรียนรู้และเข้าใจคนคนหนึ่งเพราะการอ่านนิยาย FALLIN เป็นนามปาก
การเขียนคือหนึ่งในชีวิตประจำวันของเดนิมไปเสียแล้วแม้ว่าเขาจะกล้าพูดกล้าวิจารณ์มากขึ้นแต่การระบายของเสียภายในจิตใจของเขายังเป็นการเขียนอยู่ดีปล่อยสมองและปล่อยใจให้พลิ้วไหวไปตามนิ้วมือที่เคาะลงบนแป้นพิมพ์สภาพจิตใจตอนนี้ของเขาดีขึ้นมากพอไม่ยึดติดก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไปอีกทั้งนิยายเรื่องใหม่ที่เขียนก็เป็นการถ่ายทอดความรู้สึกเจ็บปวดเหล่านั้นลงไปทีละเล็กทีละน้อยจนตอนนี้ของเสียภายในจิตใจของเขาไม่ได้มากมายเหมือนอย่างแต่ก่อนตอนจบที่เดนิมวางเอาไว้เป็นปลายเปิดมนุษย์เราก็เหมือนเฉกเช่นตัวละครในนิยายบ้างทำเรื่องที่ผิดมหันต์บ้างโง่เขลานักอ่านอ่านในมุมมองพระเจ้ามองเห็นภาพรวมทั้งหมดหากเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงเราต่างก็บ้าใบ้และโง่เขลาและอาจกระทำในสิ่งที่ไม่สมควรเหมือนดั่งตัวละครที่เราก่นด่าเพราะฉะนั้นเดนิมจึงปล่อยให้ตัวละครดำเนินเรื่องไปเขาอัพนิยายทุกคืนหากวันไหนมีธุระก็จะแจ้งเตือนล่วงหน้าอัพกลางคืนและใช้เวลาที่นั่งอยู่ในรถตอนเช้าระหว่างเดินทางไปบริษัทฆ่าเวลารถติดที่แสนน่าเบื่อด้วยการอ่านคอมเมนต์และตอบกลับปกติการลงนิยายให้อ่านแต่ละตอนจะเป็นหน้าที่ของทางสำนักพิมพ์แต่ว่าเรื่องนี้เดนิมตัดสินใจที่
พิพัฒน์เดินออกจากห้องพักผู้ป่วยด้วยสีหน้าไม่สู้ดี แม้แต่สองแฝดที่ทำท่าจะเข้ามาก่อกวนต่างก็มองหน้ากันด้วยความสงสัย แม้ว่าจะหมั่นไส้ไอ้เพื่อนรักมากแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้เกลียดถึงขนาดจะฆ่าแกงกัน อีกอย่างเรื่องของความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้ อย่างที่เคยบอก ไอ้พัดเพื่อนเขาวางตัวดีมาตลอด รักษาระยะห่างกับเดนิมจนไม่รู้จะรักษาระยะห่างยังไง แต่สุดท้ายคืนหนึ่งชีวิตก็พลิกผัน ได้แต่งงานกับคนที่คอยวิ่งหนีมาตลอดหลายสิบปีแต่วันนั้นที่ริมทะเลเดนีสแน่ใจว่าความรู้สึกของเพื่อนรักได้เปลี่ยนไปเพียงแต่เจ้าตัวแค่ไม่แน่ใจอีกอย่างตอนที่เดนิมยังเด็กไอ้พัดประคบประหงมเดนิมยิ่งกว่าพี่น้องที่คลานตามกันมาอย่างพวกเขาเสียอีกตัวติดกันจนพี่ชายอย่างเขาไว้ใจหากเดนิมอยู่กับพิพัฒน์แต่เพราะวัยเจริญพันธุ์มาถึงรวมถึงเรื่องเพศสภาพจึงทำให้ทั้งสองไม่สามารถสนิทสนมกันได้ตามเดิมจะบอกว่าไอ้พัดเองก็มีใจให้…ก็พูดได้ไม่เต็มปากไม่งั้นจะได้ตำแหน่งว่าที่ลูกเขยในอนาคตของเดนิมเหรอผู้ใหญ่มองออกตั้งนานแล้วว่าอะไรเป็นอะไรมีเพียงเจ้าตัวที่ไม่รู้อะไรเลยหากตอนนั้นไอ้พัดมาสารภาพว่าคิดกับเดนิมเป็นอื่นด้วยวัยเพียงแค่นั้นไอ้พัดคงโดนซ้อมปางตายเป็นแน่แต่พอ
ผู้บริหารอย่างพิพัฒน์ออกงานพบปะผู้ร่วมลงทุนบ้างประปรายส่วนงานประมูลแบบนี้เรียกว่านับครั้งได้เขามาในฐานะหนึ่งในผู้บริหารของ SSP GROUP และผู้บริหารของ KA GROUP ด้วยเช่นกันบรรดาข้าวของที่พิธีกรบรรยายรายละเอียดเพื่อดึงความสนใจของเหล่าบรรดานักสะสมทั้งหลายในค่ำคืนนี้แต่ทว่าพิธีกรสาวสวยหรือสิ่งของที่ว่าล้ำค่าหายากไม่ได้เข้าสู่โสตประสาทของเขาเลยแม้แต่น้อยนิ้วมือข้างขวาคลึงแหวนแต่งงานข้างซ้ายอยู่อย่างนั้นคล้ายกับไม่รู้ตัวแต่สายตากลับจ้องมองเสี้ยวหน้าของใครบางคนที่กำลังลุกยืนพูดจายิ้มแย้มเดินออกไปเคียงคู่กับสิบทิวารวมไปถึงชายหนุ่มผมทองอีกหนึ่งคนพิพัฒน์ย่นคิ้วพลางจ้องมองใบหน้าของคนแปลกหน้าที่อยู่กับเดนิมคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอหรือรู้จักแต่ก็จำไม่ได้จะว่าไปมีแต่เดนิมที่รู้จักเขาแต่เขาเองกลับไม่รู้เรื่องอะไรของเดนิมเลยเพราะเขาไม่เคยใส่ใจและไม่คิดว่าจะต้องใส่ใจแม้ว่าพิพัฒน์อยากจะเข้าเดินไปทักทายเดนิมมากแค่ไหนแต่เหมือนผู้คนและบรรยากาศรอบข้างจะไม่เป็นใจ“ได้คุยกับน้องบ้างหรือยังลูก” พิพัฒน์ส่ายหน้า“ยังเลยครับ” มาลินีเองก็ถอนหายใจออกมาเช่นกันก่อนจะตบหลังมือลูกชายเบาๆ“ช่วยไม่ได้นี่นาพัดใจร้ายกับ