ทางด้านเดนิมโชคดีที่กาแฟวางพักไว้สักครู่บนเคาน์เตอร์แผลจึงไม่ได้ร้ายแรงเป็นแผลไหม้ระดับสองมีตุ่มพองใสแต่ก็ปวดแสบมากเพราะเส้นประสาทบริเวณผิวหนังยังเหลืออยู่ไม่ได้ถูกทำลายไปมากนักการหายของแผลใช้เวลาประมาณสองถึงสามสัปดาห์คุณหมอจึงให้ครีมทายาภายนอกรวมไปถึงการปิดแผลด้วยผ้าก๊อซอีกทั้งยังกำชับไม่ให้โดนน้ำรวมไปถึงที่ต้นขาด้านขวาด้วย
เดนิมทำแผลเสร็จพี่แฝดก็โทรมาตอนอยู่ในรถพอดีเขากดรับสายก่อนจะทำน้ำเสียงปกติ “ว่าไงครับ”
“วันนี้ว่างหรือเปล่าเราพี่สองคนจะไปรับไปทานข้าว”
“วันนี้คงไม่ได้ครับ”
“เดี๋ยวพี่โทรไปหาไอ้พัดให้”
“อย่าดีกว่าครับเดี๋ยวพี่พัดจะว่าเอาตอนนี้ผมเป็นแค่พนักงานฝึกงานนะครับพี่แฝดอย่าลืม” เดนิมพยายามทำน้ำเสียงให้สดใส “อีกอย่างมีนักศึกษาฝึกงานคนอื่นมาฝึกด้วย”
“แล้วเราจะว่างเมื่อไหร่” เดนีนแทรกขึ้นมา
“เดี๋ยวถ้าว่างจะโทรไปนัดพี่ๆอีกทีนะครับไม่ต้องกลัวว่าพวกพี่แฝดจะไม่ได้จ่ายรับรองวันนั้นต้องจ่ายให้น้องทั้งวันนะครับ” แฝดต่างหัวเราะ “หาเวลามาให้ได้เถอะน้องคนเดียวจะเท่าไหร่เชียวแพงแค่ไหนก็เลี้ยงได้” ทั้งสามคนหัวเราะก่อนจะกดวางสายเดนิมถอนหายใจก่อนจะสตาร์ทรถกลับบ้านโดยไม่ได้ดูสายที่ไม่ได้รับก่อนหน้าระหว่างทางด่วนจู่ๆรถยนต์คันโปรดก็เกิดดับกลางทางเสียดื้อๆเดนิมพยายามหลายครั้งก็สตาร์ทไม่ติดจนต้องรีบลงไปเข็นกลัวว่าจะเกะกะรถคันอื่นวันนี้คงจะเป็นวันโชคร้ายของเขาละมั้งระหว่างที่พยายามเข็นรถของตัวเองจู่ๆฝนก็เทลงมาไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนเสื้อผ้าเปียกแนบลำตัวไปหมดเมื่อเข็นรถมาถึงข้างทางก็รีบต่อสายหาคนที่คิดว่าอยู่ใกล้ที่สุดก็คือพี่พัดเขากดโทรศัพท์มือถือของตัวเองก็พบสายที่ไม่ได้รับสามสายเดนิมชะงักจ้องมองชื่อที่บันทึกเอาไว้แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าพี่พัดจะเป็นฝ่ายโทรมาหาเขาก่อนเดนิมกดโทรศัพท์โทรออกด้วยมือที่สั่นเทาเสียงรอปลายสายไม่ได้ทำให้ความรู้สึกว้าวุ่นภายในใจสงบลงสักนิดพี่พัดโทรมาทำไมมีอะไรหรือต้องการจะต่อว่าความคิดมากมายวิ่งวนในหัวเมื่อปลายทางไม่รับเขาก็ไม่มีแรงจะต่อสายอีกก่อนจะค้นหาเบอร์อู่ที่อยู่ใกล้ที่สุดพลันสายของสิบทิวาโทรเข้ามาเดนิมกดรับสายทันที
“สวัสดีครับคุณเดนิมผมรบกวนคุณหรือเปล่า”
“ก็นิดหน่อยครับ…”
มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”
“พอดีผมรถเสียอยู่บนทางด่วนxxxน่ะครับ”
“คุณโทรหาอู่หรือยังเดี๋ยวผมไปหารอนะครับอย่าไปไหน” เดนิมกำลังจะบอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวอู่ก็ส่งรถมาให้แต่ยังไม่ทันได้ตอบอีกฝ่ายก็ชิงวางไปก่อนมันคงจะดีถ้าใครบางคนไม่มองว่าเรื่องของเราเป็นเรื่องเล็กน้อยเดนิมรู้ว่าสิบทิวารู้สึกยังไงกับตนแต่ว่าตอนนี้เขาอ่อนล้าทั้งกายใจมีเพื่อนนั่งคุยคลายเหงาก็คงจะดีอย่างน้อยเรื่องแย่ๆวันนี้ก็ไม่ได้ผ่านมันไปคนเดียวเดนิมนั่งรอในรถไม่นานก็มีรถยนต์มาจอดที่ข้างหน้ารถตัวเองเปิดไฟกะพริบขอทางก่อนจะกางร่มเดินมาหาเดนิมลดกระจก “ขอบคุณที่มานะครับรบกวนคุณแย่เลย”
“ไม่เลยครับเดี๋ยวอู่ก็คงมาแล้วเข้ามารอที่รถผมก่อนไหมครับคุณเดนิมคงหนาวแย่”
“ขอบคุณมากครับ” ดีที่รถของสิบทิวาเป็นรถยุโรปที่มีฮีตเตอร์เดนิมตัวสั่นเพราะถูกความเย็นเข้าเล่นงานเขากอดตัวเองอยู่อย่างนั้นเพื่อรออู่มาลากรถไปพลันเห็นอีกฝ่ายยื่นเสื้อเชิ้ตสีฟ้าตัวหนึ่งมาให้ “ตัวใหญ่หน่อยถ้าไม่รังเกียจเปลี่ยนเสื้อก่อนไหมครับผมกลัวว่าคุณจะเป็นหวัดเอา” เดนิมมองเสื้อเชิ้ตสีฟ้าในมือของอีกฝ่ายเมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่ายสิบทิวาเลยกระแอมก่อนจะเอ่ย “ถ้าคุณเดนิมอายผมจะหันหลังให้”
“เปล่าหรอกครับแค่เกรงใจ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับเปลี่ยนเถอะเดี๋ยวจะไม่สบายเอาเปล่าๆจริงสิ…แล้วมือคุณไปโดนอะไรมาครับเนี่ย” สิบทิวาไม่พูดเปล่าแถมยังจับมือข้างขวาที่พันผ้าก๊อซสีขาวไว้อย่างเบามือ “เจ็บไหมครับ” สิบทิวาถามพลางพลิกมือไปมาเขาสำรวจนั่นนี่อยู่นานเมื่อเงยหน้าขึ้นมาสายตาก็ประสานกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั้นที่จ้องมองมาอยู่ก่อนหน้านานแล้ว
“คุณสิบทิวา”
“เอ่อ…ขอโทษครับผมแค่เป็นห่วงคุณแฮ่ๆ” ฝ่ามือใหญ่ที่กอบกุมก่อนหน้าค่อยๆยกออกช้าๆก่อนจะเอนหลังหลับตา “ถ้าคุณเปลี่ยนเสร็จแล้วเรียกผมได้เลยนะ” สิบทิวาถือโอกาสพักสายตาสักครู่เมื่อกี้การกระทำของเขาช่างน่าขายหน้าจริงๆแหละอีกอย่างไม่อยากให้คุณเขารู้สึกอึดอัดด้วย
“เสร็จแล้วครับ…ถ้าไม่เป็นการรบกวนช่วยไปส่งผมที่บ้านได้ไหมครับ” เดนิมถาม
“ได้สิครับ”
“อีกอย่างผมจะได้เอาหนังสือที่คุณอยากได้มาให้ด้วย”
“ขอบคุณมากครับ” หลังจากจัดการเรื่องรถเสร็จแล้วทั้งสองก็เดินทางกลับระหว่างทางคนทั้งสองก็ไม่มีอะไรพูดคุยกันมากนักเดนิมแม้จะเปลี่ยนเสื้อแล้วแต่ระหว่างทางก็จามไม่หยุดคงไม่พ้นเป็นไข้หวัดอีกแน่ๆเสิร์ฟน้ำให้แขกเสร็จก็ขอตัวไปทำธุระอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเร่งรีบเวลาที่ผนังบ่งบอกว่าหกโมงเย็นเข้าไปแล้วสิบทิวาอดที่จะกวาดสายตาไปรอบๆห้องไม่ได้เรียบหรูและดูอ้างว้างใหญ่โตเกินกว่าที่คนคนเดียวจะอาศัยอยู่ที่นี่สะดวกสบายและปลอดภัยมากก็จริงแต่ถ้าให้เขามาอยู่คนเดียวคงเหงาแย่เขาเป็นน้องคนสุดท้องมีพี่ชายและพี่สาวอย่างละหนึ่งคนบรรยากาศภายในบ้านเลยครื้นเครงและมักจะมีเสียงทะเลาะเบาะแว้งตามประสาพี่น้องเป็นประจำเจ้าของห้องให้เขานั่งรอเขาก็นั่งรออย่างเดียวไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกลำบากใจที่คบค้าสมาคมกับเขา
เขารู้จักชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่ายมาตั้งนานแล้วมีแต่เจ้าตัวที่ไม่รู้เพราะที่บ้านทำธุรกิจสิ่งพิมพ์เดนิมเป็นนักเขียนที่ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ของพี่สาวเขาเคยแอบดูพี่สาวคุยงานกับอีกฝ่ายพอสอบถามก็ได้ความว่ากำลังเรียนต่อต่างประเทศสิบทิวาชมชอบเดนิมมาตั้งนานตั้งแต่ได้ยินแค่เสียงยิ่งมาได้พูดคุยเขายิ่งประทับใจในตัวอีกฝ่ายมากกว่าเดิมเสียอีกอายุของสิบทิวาห่างกับเดนิมเพียงสองปีอยากจะแทนตัวเองว่าพี่ใจจะขาดแต่ก็ไม่กล้า…เพราะอีกฝ่ายวางตัวดีมาตลอดปล่อยความคิดล่องลอยไปก่อนจะได้ยินเสียงเดนิมที่สวมชุดลำลองสบายๆออกมา
“ขอโทษที่ให้รอนะครับนี่ครับ…” สิบทิวารับหนังสือมาด้วยความตื่นเต้นความปลื้มปีติฉายชัดบนใบหน้าเจ้าของผลงานอย่างเดนิมอดที่จะภูมิใจไม่ได้สิบทิวาลูบหนังสือที่ซีลพลาสติกใสอย่างดี “โห…เรื่องนี้สามสี่ปีได้คุณคิดราคามาได้เลยเท่าไหร่ผมก็ไม่เกี่ยง” เดนิมหัวเราะ
“ฟรีครับ”
“ฮะ!! ในตลาดขายกันแพงมากเลยนะครับคุณให้ผมฟรีเนี่ยนะ”
“ผมเคยบอกคุณแล้วไงคุณสิบทิวาราคาเป็นเรื่องรองมันสมควรอยู่ในมือของคนที่รู้คุณค่าและทะนุถนอมมันมากกว่าพ่อค้าคนกลางแล้วผมก็ไม่เสียดายถ้ามันจะอยู่ในมือคุณ”
“คุณจะว่าอะไรไหมครับถ้าผมจะขอให้คุณเซ็นให้” เดนิมชะงักก่อนจะสบตากับฝ่ายตรงข้ามที่จ้องมองมาอยู่ก่อนแล้ว
“คุณรู้?” สิบทิวาพยักหน้าก่อนจะเอ่ยตะกุกตะกัก “แต่ผมไม่ได้เข้าหาคุณเพราะผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้นเลยนะอีกอย่างคุณคงจำผมไม่ได้ผมเป็นน้องชายของพี่หมื่นราตรีซึ่งก็คือบรรณาธิการของคุณ”
“ถึงว่า”
“ถึงว่าอะไรครับ”
“ถึงว่าทำไมถึงคุยกับผมรู้เรื่อง” เดนิมอดขำกับท่าทางของอีกฝ่ายไม่ได้ “คุณเดนิมไม่ได้โกรธผมใช่ไหมครับที่ไม่ได้บอกตั้งแต่แรก”
“ไม่หรอกครับ”
“โล่งอกไปทีผมคิดว่าคุณจะโกรธผมเสียอีก”
“ผมดีใจด้วยซ้ำที่มีเพื่อนอย่างคุณเพิ่มมาอีกหนึ่งคนไม่มีใครคุยกับผมเรื่องนิยายมานานแล้วบางครั้งการเป็นนักเขียนมันก็โดดเดี่ยวยิ่งตอนปั่นต้นฉบับเหมือนผมต้องวิ่งคนเดียวมีคนมาพูดคุยดีพทอล์กถึงตัวละครที่ผมแต่งผมรู้สึกยินดีมากกว่าอย่างน้อยก็มีคนชื่นชอบและร่วมเดินทางไปกับผม”
“ผมชอบการวางคาแรคเตอร์ตัวละครของคุณนะ” สองมือแกะพลาสติกที่ห่อหุ้มหนังสือนิยายเล่มโปรดออกก่อนจะเปิดไปยังหน้ารองปก “คุณเซ็นให้ผมได้ไหมครับ”
“ได้สิครับ” เดนิมรับคำก่อนจะหยิบปากกาที่อยู่ตรงโต๊ะหน้าทีวีขึ้นมาเซ็นอย่างรวดเร็ว
“แฟนๆนิยายของคุณจะต้องอิจฉาผมแน่ๆ” สิบทิวาแทบจะอดใจโพสต์อวดในโซเชียลมีเดียไม่ไหวก็คุณ FALLIN ไม่เคยออกบูธแฟนไซน์มาก่อนเลยสักครั้งแล้วเขายังเป็นคนเดียวด้วยที่เจ้าของผลงานมานั่งเซ็นให้ต่อหน้าปากอมยิ้มไม่ได้แทบจะฉีกไปถึงหูอยู่แล้ว
“ผมขออย่างเดียวอย่าบอกใครนะครับกลัวว่าแฟนๆคนอื่นจะหาว่าผมลำเอียง” เดนิมตอบยิ้มๆ “ผมยังไม่พร้อมเรื่องแฟนไซน์”
“ได้ครับ!” สิบทิวารับคำอย่างแข็งขัน “ผมสาบานว่ามันจะเป็นความลับระหว่างเรา” เสียงปิดประตูทำเอาคนทั้งสองสะดุ้งวันนี้เป็นวันจันทร์ซึ่งปกติพิพัฒน์ไม่กลับมาค้างที่นี่อยู่แล้วแต่พอเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาเดนิมก็ทำหน้าไม่ถูกสิบทิวาเองก็จ้องผู้มาใหม่เช่นกัน
“สะสวัสดีครับ” สิบทิวาลุกขึ้นทำความเคารพอีกฝ่ายเขารู้จักพิพัฒน์ซึ่งเป็นนักธุรกิจชื่อดังเห็นตามสื่อบ่อยๆแต่ก็ไม่ได้สนใจมากนักเท่ากับวันนี้วันที่อีกฝ่ายอยู่ที่นี่เขาหันไปมองเดนิมที่มองอีกฝ่ายไม่วางตาเช่นกันพิพัฒน์เองก็ตอบกลับ “สวัสดีครับ” พูดเสร็จก็เดินผ่านเข้าห้องตัวเองไปพอสิบทิวาเห็นบุคคลที่สามที่เดินเข้าห้องตัวเองไปเขาก็เย็นวาบไปตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่าบอกนะว่าทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน
“เอ่อ…”
“มันไม่ใช่อย่างที่คุณสิบทิวาคิดหรอกครับ” เดนิมตอบเสียงเรียบก่อนจะยืนขึ้น “ผมขอบคุณคุณมากสำหรับวันนี้เดินทางกลับบ้านดีๆนะครับ”
“ครับๆ” สิทิวาเองก็ทำตัวไม่ถูกเขาไม่ได้เตรียมใจที่จะเจอกับสถานการณ์แบบนี้คิดว่าอยู่ชวนคุยเป็นเพื่อนสักพักทานมื้อค่ำด้วยกันสักมื้อก่อนจะขอตัวกลับที่ไหนได้…สิบทิวายังอึ้งไม่หายก่อนจะได้ยินส่วนเสื้อผมซักเสร็จแล้วจะส่งคืนให้นะครับเดี๋ยวผมจะติดต่อไปอีกที”
“ได้ๆครับผมไม่รีบ” สองขาเดินออกมาจากห้องใหญ่อย่างมึนงงเดนิมแตะคีย์การ์ดที่ลิฟต์ให้ก่อนจะเอ่ยลา “เดินทางปลอดภัยนะครับ” สิบทิวาได้แต่รับคำไปอย่างนั้นหัวสมองยังมึนงงไม่หายเดนิมกับพิพัฒน์อายุห่างกันก็มากทั้งสองคนเป็นอะไรกันเกี่ยวข้องอะไรกันทำไมอะไรยังไงความคิดเรื่องสองคนนั้นวิ่งวนอยู่ในหัวอย่างนั้นจนขับรถกลับมาถึงบ้านเมื่อไหร่ไม่รู้
ส่วนทางด้านเดนิมแผลที่หลังมือปวดแสบปวดร้อนอยู่ตลอดเวลาแถมยังชุ่มน้ำอยู่พักใหญ่แผลถุงน้ำแตกเขาจึงลอกเนื้อที่ลอกออกตั้งแต่อาบน้ำโชคดีที่เป็นตรงหลังมือหากเป็นฝ่ามือหยิบจับอะไรคงลำบากอีกทั้งพี่พัดมาพักที่นี่คงจะเอาเรื่องเขาเป็นแน่เดนิมถอนหายใจปั้นสีหน้าไม่ถูกเขาลอบถอนหายใจเมื่อไม่เห็นอีกฝ่ายออกมาจากห้องสองเท้าเดินเข้าไปในห้องครัวหยิบโจ๊กกระป๋องออกมากดน้ำร้อนใส่เขานั่งหันหลังให้ประตูนั่งรอโจ๊กสุกได้ที่เหลือระยะเวลาอีกสองเดือนกว่าๆที่เขาต้องไปฝึกงานแม้ใจอยากจะออกกลางคันแค่ไหนก็ไม่สามารถทำได้ตามใจนึกไม่รู้ว่าปานัสเกลียดอะไรเขากันแน่ถึงตั้งตัวเป็นปรปักษ์ตั้งแต่เจอหน้าเดนิมเพิ่งกลับมาไทยได้ไม่นานไม่มีสาเหตุอื่นนอกจาก…ปานัสเองก็มีใจให้พี่พัดเหมือนกันอีกทั้งอีกฝ่ายยังเป็นญาติกับนิชาด้วย
เดนิมค่อยๆคนโจ๊กในกระป๋องอย่างช้าๆด้วยมือข้างซ้ายกำลังจะตักเข้าปากแต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูข้างหลังเดนิมวางช้อนก่อนจะนั่งนิ่งเงียบรอว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรจนเดนิมอดที่จะเอ่ยถามก่อนไม่ได้ “พี่พัดมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“แล้วนิมมีอะไรหรือเปล่า”
“พี่พัดหมายความว่ายังไงครับ” เดนิมนั่งหันหลังให้อย่างนั้นบีบมือทั้งสองข้างเข้าหากันระหว่างเราไม่เคยมีสักครั้งที่จะพูดคุยกันดีๆ
“แล้ววันนี้เกิดอะไรขึ้น”
“ปานัสคงบอกพี่พัดแล้วละมั้งครับนิมไม่มีอะไรจะอธิบาย”
“นิม!” พิพัฒน์เดินมาอยู่ข้างหลังก่อนจะสังเกตเห็นมือขวาที่มีรอยแดงเป็นปื้น “เจ็บขนาดนี้ทำไมไม่บอก” เดนิมมองหลังมือตัวเองก่อนจะแค่นยิ้ม ‘ทำไมไม่บอกงั้นเหรอ’ แม้แต่โทรศัพท์ยังไม่รับสายเลยยามเกิดปัญหาเขาคิดถึงพี่พัดเป็นอันดับแรกแต่ลืมไปว่าตัวเองไม่ได้สำคัญขนาดนั้น
“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรขนาดนั้นหรอกครับนิมจะไปฝึกงานให้ครบสามเดือนแน่นอน”
“แล้วการที่เราดื้อด้านเอาแต่เงียบอย่างนี้กำลังเรียกร้องความสนใจอยู่หรือไง” เดนิมถอนหายใจเมื่อได้ยินคำพูดนี้เขาเหนื่อยล้ามาทั้งวันมาเจอคำพูดที่บั่นทอนกำลังใจกันอีกจะไม่ให้เขาเอาแต่เงียบได้ยังไง
“ขอโทษด้วยครับที่ทำให้พี่พัดต้องคิดแบบนั้นแต่ว่านิมไม่ได้กำลังเรียกร้องความสนใจเพียงแต่นิมไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวหรือแสดงออกทางสีหน้ายังไงเมื่ออยู่ต่อหน้าพี่พัดร้องไห้ก็ว่าเสแสร้งเงียบขรึมก็ว่าเรียกร้องความสนใจบางทีที่นิมไม่พูดก็เพราะรู้ว่าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์” ก่อนจะหันมาสบตากับอีกฝ่ายด้วยสีหน้านิ่งเรียบไม่มีอารมณ์ใดๆ
“และบางทีมันก็เหนื่อยเกินกว่าจะพูด” พูดเสร็จเดนิมก็เดินออกไปพิพัฒน์หันมองตามแผ่นหลังบอบบางนั้นที่กำลังเดินหายเข้าไปในห้องนอนของตัวเองมองในมุมของเขาตอนนี้เป็นเจ้านายที่ต้องการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างลูกน้องกับลูกน้องโดยไม่มีความรู้สึกส่วนตัวต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้ามาปะปนและเดนิมมักจะเป็นแบบนี้เสมอคล้ายกับอีกฝ่ายไม่เชื่อใจเขาว่าเขาจะตัดสินอย่างยุติธรรมทุกสิ่งทุกอย่างก็รับไว้เองเสียหมดคราวนี้ก็เช่นกันพิพัฒน์เท้าสะเอวก่อนจะมองเห็นโจ๊กกระป๋องที่ถูกทิ้งไว้ตรงบนโต๊ะแถมช้อนที่วางอยู่ข้างๆดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้ทานแม้แต่น้อย
เกิดความรู้สึกบางอย่างผุดขึ้นมาในใจแต่พิพัฒน์ก็คือพิพัฒน์ในเมื่อเจ้าตัวตัดสินใจที่จะไม่กินเองก็ช่วยไม่ได้ไม่ใช่ความผิดของเขาสักหน่อยเดนิมก็เอาแต่ใจมาแต่ไหนแต่ไรสมัยก่อนเขาคงใจอ่อนยกโจ๊กไปให้แถมยังป้อนถึงปากแต่ตอนนี้เขาต้องการสั่งสอนเดนิมการเงียบแล้วเดินหนีไม่ได้ช่วยอะไรแถมยังจะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่อีกทั้งๆที่ควรจะไกล่เกลี่ยให้แล้วเสร็จภายในวันสองวันเพราะยังต้องฝึกงานร่วมกันอีกนานเขาต้องมองภาพรวมเป็นสำคัญ
สองคนที่ทะเลาะกันในที่ทำงานพานจะทำให้บรรยากาศในออฟฟิศย่ำแย่ต่างก็เป็นเด็กฝึกงานทั้งคู่พิพัฒน์มองโจ๊กสำเร็จรูปถ้วยนั้นอีกครั้งก่อนจะเดินหันหลังกลับเข้าห้องตัวเอง
ไม่แน่ว่าหากเดนิมใจเย็นแล้วอาจจะออกมาหาอะไรทานอีกครั้งหากเขายังอยู่ตรงที่เดิมรังแต่จะทำให้อีกคนหิ้วท้องหิวนานขึ้นไปอีก
ทางด้านเดนิมกลับมานอนแผ่หลาบนเตียงเขารู้สึกหมดอาลัยตายอยากไม่อยากอาหารเสียดื้อๆใจมันเหนื่อยกายก็เหนื่อยตามไม่รู้ว่าการตัดสินใจมาอยู่ด้วยกันครั้งนี้ผิดหรือถูกรู้ทั้งรู้ว่าจะต้องเสียใจรู้ทั้งรู้ว่าจะต้องเจ็บปวดแต่เขาก็ยังดีใจจนเนื้อเต้นที่รู้ว่าจะได้อยู่ใกล้ชิดคนที่แอบรักมานานแสนนาน
เดนิมถอนหายใจจ้องมองแผลรอยลวกบนหลังมือของตัวเองก่อนจะหาบัวหิมะมาทาและเข้านอนไปด้วยสภาพร่างกายที่อิดโรย
ทางด้านปานัสเมื่อโดนดุไปซึ่งๆหน้าก็ดูจะนอบน้อมขึ้นแต่ก็ยังพยายามจะหักหน้าและปาดหน้าทำงานแทนเดนิมเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมือเจ็บ“นิมช่วยดูตรงนี้หน่อยนะ” สิริเอ่ยพร้อมยื่นแฟ้มให้เดนิมยังไม่ทันยื่นมือออกไปรับปานัสกลับยื่นมือมารับแทน“ให้นัสทำนะครับพี่สิริ” สิริเองก็มองหน้าเดนิมเมื่อเห็นเจ้าตัวพยักหน้าน้อยๆก็ยื่นแฟ้มใส่มือปานัสแทนพร้อมกำชับ“ฝากด้วยนะจ๊ะงานนี้ต้องเสร็จวันนี้ถ้าไม่เสร็จจะจ่ายค่าโอทีให้”ปานัสอ้าปากค้างกลืนน้ำลายลงคอพร้อมรีบเปิดเอกสารในแฟ้มอ่านรายละเอียดคร่าวๆพร้อมอุทานในใจ “ตายห่าไม่น่าเลยกูวันนี้จะเสร็จไหมเนี่ย” พร้อมรีบกุลีกุจอกลับไปนั่งทำที่โต๊ะตัวเองโซนหน้าห้องผู้บริหารแทบไม่มีเสียงพูดคุยตลอดช่วงบ่ายพี่สิริหันมายิ้มเป็นนัยให้เดนิมเดนิมค้อมหัวให้ก่อนจะก้มหน้าอ่านเอกสารในมือจนเลิกงานปานัสขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเมื่อเวลาเลิกงานพนักงานทุกคนทยอยกลับรวมไปถึงเดนิมที่เดินมาอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงานของตัวเองเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ขอบคุณปานัสมากนะที่ช่วยทำงานนี้แทนเราเราขอตัวก่อนนะ” ปานัสแสร้งยิ้มก่อนจะกัดฟันตอบ “กลับก่อนได้เลยจ้ะ” แต่ในใจก่นด่าอีกฝ่ายสิบกว่ารอบเดนิมที่กำลังลงลิฟต์ไปย
บริษัทมีการจัดเลี้ยงฝึกงานแต่เดนิมบอกปัดเขาไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยงกับปัญหาอีกปานัสเป็นญาติของนิชาอีกทั้งก็ไม่ชอบขี้หน้าเขาเป็นทุนเดิมงานเลี้ยงครั้งนี้ไม่ไปดีที่สุดพี่พัดเองก็ไม่ได้ว่าอะไรมีแต่ปานัสที่ดีอกดีใจคุณสิริเองก็เอ่ยชมเขามากขึ้นกว่าแต่ก่อนเดนิมคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วคำชมที่มาจากความจริงใจเพียงเท่านี้ก็มีกำลังใจให้เด็กฝึกงานอย่างเขากระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้นไปอีกอีกอย่างเดนิมก็ไม่ได้จบงานด้านบริหารมาเขาทำได้ดีขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้วชีวิตหลังจากนี้จะได้เป็นอิสระเสียทีเดนิมเลิกเฝ้ารอและเลิกฝันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะทำอะไรดีๆให้พี่พัดแต่ทำไปเหมือนขว้างหินลงสู่ทะเลพี่พัดเกลียดเขาจะตาย…ไม่เห็นหน้ากันจะดีที่สุดเดนิมไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะกลับมาค้างทุกวันหยุดสุดสัปดาห์หรือไม่เขาไม่คิดโทรถามไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญและลำบากใจวันนี้วันศุกร์เขาไม่มีธุระที่ไหนเลยเข้าครัวเองทำอาหารสองสามอย่างทีละน้อยสำหรับคนคนเดียวไข่เจียวตรงหน้าฟูฟ่องส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องครัวเดนิมแกะข้าวหุงสำเร็จเวฟก่อนจะแกะใส่จานแม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้วเดนิมเลือกที่จะหันหลังแล้วทำเป็นไม่เห็นก้มลงทานอาหารตรงหน้
เดนิมไม่ออกจากห้องของตัวเองแม้ว่าป้าแม่บ้านที่แม่ของเขาส่งมาทำความสะอาดให้ทุกวันอาทิตย์ก็ตามภายในห้องมีตู้เย็นขนาดเล็กขนมขบเคี้ยวรวมไปถึงกาน้ำร้อนขนาดพกพาอีกทั้งเพราะการเขียนนิยายออกมาสักเรื่องหนึ่งมันใช้เวลาและในตอนที่อารมณ์พาไปหรือจินตนาการพรั่งพรูเดนิมไม่อยากจะลุกออกไปทำอะไรนิ้วเรียวยาวเคาะแป้นพิมพ์อยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียงของแป้นพิมพ์ทำให้เขาลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าสมาธิจดจ่ออยู่กับหน้าจอและตัวหนังสือตรงหน้าและเขาใช้มันเพื่อระบายของเสียภายในจิตใจเขาระบายมันออกมาเป็นตัวหนังสือตัวละครบางตัวก็คือตัวเองที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาขัดเกลาตัวละครผ่านเหตุการณ์สมมุติต่างๆมากมายมานับไม่ถ้วนหาทางออกให้ตัวละครเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายแต่น่าเสียดายตัวเองกลับหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอเขาติดอยู่ในวังวนความเจ็บปวดของความรักมายาวนานนับสิบปีรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีใจแต่ก็ยังจะเฝ้ารออดทนกับสายตาที่หยามเหยียดอดทนต่อถ้อยคำที่บาดลึกถึงกระดูกคล้ายกับคนไม่รู้สึกรู้สา สุดท้ายกลับฝังตัวเองทั้งเป็นด้วยการทอดกายให้อีกฝ่ายได้เชยชม ในฐานะนักเขียนหากตัวละครตัวนี้จะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่แ
เดนิมเดินทอดน่องไปตามชายหาด ท้องเริ่มปวดบิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงนั่งตรงเปลที่ชายหาดผูกไว้ นั่งสักพักเลยล้มตัวนอน มือก็ได้แต่กดท้องตัวเองเอาไว้ เดนิมเป็นโรคกระเพาะทานอาหารไม่ตรงเวลาก็จะปวดจนทรมาน อีกอย่างยาลดกรดก็อยู่ในกระเป๋า ตอนนี้เขาเหนื่อยทั้งกายและใจเลยอยากจะนั่งพักสักครู่ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี พี่พัดตักอาหารให้เขา แต่เป็นสิ่งที่ฆ่าเขาให้ตายได้ อีกทั้งตอนสมัยที่เดนิมยังเด็ก หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เดนิมประทับใจในตัวพี่พัดของเขาก็คือพี่พัดจะเป็นฝ่ายคอยระวังเรื่องอาหารการกินของเขาทุกครั้งที่ต้องออกไปทานอาหารข้างนอกกันรวมถึงแฝด แฝดมักจะเผอเรอไม่ถามไถ่หรือมักจะสั่งกุ้งมากิน แต่เป็นพี่พัดเองที่คอยเอาใจใส่ และหาร้านที่ไม่มีส่วนผสมของกุ้งเพื่อเดนิมวันเวลาผ่านพ้นไปคนเราหากเป็นเรื่องสำคัญมักจะไม่ลืม…เดนิมยิ้มเยาะให้ตัวเองก่อนจะนอนอยู่อย่างนั้นแขนซ้ายปิดทับดวงตาปิดบังความน้อยเนื้อต่ำใจและการเดินหนีหรือหลีกเลี่ยงเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นเดนิมจึงนิยามความรักของตัวเองว่าเป็นรักที่ไม่ประกอบวิ่งมายาวนานเพื่อคนคนเดียวมานับสิบปีเขาแพ้กุ้งแต่พี่พ
เดนิมแตะบัตรค่อยๆเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายทำอะไรอยู่เดนิมเปลี่ยนเป็นรองเท้าสลิปเปอร์ก่อนจะเห็นว่ากระเป๋าของตัวเองยังวางอยู่ที่หน้าประตูเหลือเพียงกระเป๋าใบเดียวพี่พัดคงกลับเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วเดนิมกำที่จับกระเป๋าล้อเลื่อนของตัวเองแน่นก่อนจะตัดสินใจที่จะไปนอนกับพี่แฝดเขาไม่อยากให้การมาทำงานครั้งนี้ของพี่พัดมีปัญหาหรือรู้สึกอึดอัดเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินออกมาจากประตูเสียงเอ่ยราบเรียบก็ทักขึ้นมา“เข้ามาแล้วจะออกไปไหนอีก” น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์แต่เดนิมรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจอยู่เนืองๆเขาไม่ได้ตอบแต่ค่อยๆเดินผ่านโถงทางเดินเข้าไปก่อนจะเจอกับโซนห้องนั่งเล่นตรงกลางโซฟาหันหน้าเข้าหาทะเลภาพวิวเบื้องหน้ามีสระน้ำขนาดกลางส่วนตัวให้แขกได้พักผ่อนมีตาข่ายให้ได้นอนอาบแดดนับได้ว่าเป็นห้องพักที่เยี่ยมยอดที่สุดของ The Grand DAE เลยก็ว่าได้พิพัฒน์นั่งจิบบรั่นดีสีอำพันในมือสายตาทอดมองไปยังวิวตรงหน้าน้อยครั้งนักที่เดนิมจะเห็นว่าอีกฝ่ายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่จะเป็นชาร้อนหากต้องอ่านรายงานค่อนคืน“คือ…นิมจะไปนอนกับพี่แฝด”“ใช่แ
ช่วงเช้าพายุฝนสงบท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนว่าไม่เคยเกิดพายุฝนคะนองมาก่อนเดนิมตื่นเช้าเหมือนเช่นเคยอาหารเช้ามาส่งแล้วอีกอย่างเขาเองก็ไม่ชอบแบบที่ลอยอยู่กลางน้ำเพราะนึกถึงเวลาเศษอาหารตกลงในสระมันทำความสะอาดค่อนข้างยากเขาจึงบอกให้บริกรวางไว้ที่ขอบสระเดนิมรออาหารย่อยสักพักก็ลงไปว่ายน้ำเขาสวมกางเกงว่ายน้ำเพียงตัวเดียวอีกอย่างก็เป็นสระส่วนตัวน้ำเย็นๆบรรยากาศยามเช้าที่แจ่มใสรวมไปถึงทัศนียภาพของทิวทัศน์ตรงหน้าทำให้เขาไม่อยากกลับเลยจริงๆที่ว่ากันว่านั่งโง่ๆอยู่ริมทะเลนั้นไม่เกินจริงเดนิมหันหลังเท้าคางมองทิวทัศน์ข้างหน้าน้ำทะเลสีฟ้าครามตัดกับเส้นขอบกับพระอาทิตย์อย่างลงตัวเห็นพี่แฝดบอกว่าในทะเลมีพวกปลากระเบนว่ายมาทักทายบริเวณบังกะโลกลางน้ำแห่งนี้ด้วย เดนิมจ้องมองผืนน้ำทะเลอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาอยู่คู่หนึ่งจดจ้องการกระทำของเขาตลอดตั้งแต่แหวกว่ายอยู่ในสระเดนิมหันหลังให้ทิวทัศน์ก่อนจะคว้าเอาห่วงยางที่นอนลอยน้ำเขาขึ้นไปนอนบนนั้นแล้วยิ้มแฉ่งให้กับพระอาทิตย์สองมือวักน้ำจนทำให้ห่วงยางนั้นลอยไปลอยมา“เล่นเหมือนเด็กๆไปได้” ไม่รู้เมื่อไหร่ที่พิพัฒน์เอาแต่จดจ้องร่างบางที่สวมเพียงแค่กางเกงว่ายน้ำตัว
ทางด้านพิพัฒน์เองเขาจดจ้องใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มมีชีวิตชีวาของเดนิมโดยไม่ละสายตาไปสักเสี้ยววินาที มันไม่ใช่รอยยิ้มแกน ๆ ที่คอยส่งมาให้เขา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มไปถึงดวงตา เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ พิพัฒน์สังเกตเห็นว่าเดนิมทำเหมือนว่าเขาเป็นยักษ์เป็นมารเวลาที่เข้าใกล้ และมักจะก้าวเท้าถอยหลังเสมอ คล้ายว่าเป็นการขีดเส้นระหว่างกัน ไม่มีใครควรล้ำเส้นกันไปมากกว่านี้ แถมยังเป็นฝ่ายหลบสายตา เหมือนว่าการมีอยู่ของตัวเองทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกแย่เดนิมในอุดมคติของเขากับเดนิมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนเป็นคนละคนตอนแรกที่เกิดเรื่องเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยากจะเข้าไปซัดหน้าหวานๆที่เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักเปรี้ยงพิพัฒน์คิดว่าเดนิมร้ายกาจไม่งั้นเขาไม่ต้องมาตกกระไดพลอยโจนอยู่อย่างนี้และการแต่งงานครั้งนี้จะทำให้เจ้าตัวสมหวังอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้แต่พอมาได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันยิ่งได้ใกล้ชิดยิ่งได้รู้จักเหมือนว่าช่วงที่ห่างหายขาดการติดต่อกันไปเดนิมในวันวานยังคงเหมือนเดิมไม่ได้ร้ายกาจหรือมีเล่ห์เหลี่ยมแต่อย่างใดกลับเงียบขรึมเก็บงำความรู้สึกได้เก่งขึ้นและมักจะหลบเลี่ยงปัญหามากกว่าเผชิญหน้าอีกทั้งรอยยิ้มที่ประดับ
เดนิมตื่นมาก็บ่ายสามกว่า ๆ แล้ว เขาคิดว่าตอนนี้พี่พัดคงเก็บของกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว จึงกินนอนเล่นกับพวกแฝด เป็นการรวมตัวกันของครอบครัวที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เล่นน้ำด้วยกันเหมือนเด็กอีกครั้ง พอได้วางความรู้สึกเหล่านั้นลง เดนิมค้นพบว่าความสุขของเขาได้เพิ่มขึ้นทีละนิด แม้จะมีความรู้สึกผิดอยู่เต็มอก แต่ได้แพลนตอนจบเอาไว้แล้วเหมือนกับนิยายที่มีตอนจบไม่ว่าจะสมหวังผิดหวังท้ายสุดก็ต้องเดินทางมาถึงจุดจบไม่ว่าบทสุดท้ายจุดจบจะเป็นเช่นไรเขาเพียงต้องยอมรับมันให้ได้‘ไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง’กว่าจะรู้ว่าความรักในรูปแบบของตัวเองเป็นความรักที่ไม่สมประกอบก็ทำเอาคนอื่นวุ่นวายกันไปทั่วรักที่ดีไม่จำเป็นต้องครอบครองเป็นเจ้าของเดนิมจึงรู้จักที่จะปล่อยวางมันลงคล้ายกับหัวใจได้คลายหนามแหลมที่เกี่ยวพันรัดอยู่บาดแผลและเลือดที่ไหลรินก่อนหน้าค่อยๆสมานเข้าด้วยกันอย่างช้าๆแม้จะทิ้งร่องรอยแผลเป็นเอาไว้แต่ก็เป็นเครื่องเตือนความจำว่าเขาไม่ควรจะรักใครจนทำร้ายตัวเองแบบนั้นอีกและเขาจะต้องเป็นคนที่จัดการความรู้สึกของตนเองไม่ทำให้คนที่รักต้องรู้สึกอึดอัดกับความรู้สึกที่เขามีเดนิมเล่นน้ำจนเหนื่อยหอบอยู่กินดื่มกับแฝดจน
เดนิมตื่นมาก็บ่ายสามกว่า ๆ แล้ว เขาคิดว่าตอนนี้พี่พัดคงเก็บของกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว จึงกินนอนเล่นกับพวกแฝด เป็นการรวมตัวกันของครอบครัวที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เล่นน้ำด้วยกันเหมือนเด็กอีกครั้ง พอได้วางความรู้สึกเหล่านั้นลง เดนิมค้นพบว่าความสุขของเขาได้เพิ่มขึ้นทีละนิด แม้จะมีความรู้สึกผิดอยู่เต็มอก แต่ได้แพลนตอนจบเอาไว้แล้วเหมือนกับนิยายที่มีตอนจบไม่ว่าจะสมหวังผิดหวังท้ายสุดก็ต้องเดินทางมาถึงจุดจบไม่ว่าบทสุดท้ายจุดจบจะเป็นเช่นไรเขาเพียงต้องยอมรับมันให้ได้‘ไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง’กว่าจะรู้ว่าความรักในรูปแบบของตัวเองเป็นความรักที่ไม่สมประกอบก็ทำเอาคนอื่นวุ่นวายกันไปทั่วรักที่ดีไม่จำเป็นต้องครอบครองเป็นเจ้าของเดนิมจึงรู้จักที่จะปล่อยวางมันลงคล้ายกับหัวใจได้คลายหนามแหลมที่เกี่ยวพันรัดอยู่บาดแผลและเลือดที่ไหลรินก่อนหน้าค่อยๆสมานเข้าด้วยกันอย่างช้าๆแม้จะทิ้งร่องรอยแผลเป็นเอาไว้แต่ก็เป็นเครื่องเตือนความจำว่าเขาไม่ควรจะรักใครจนทำร้ายตัวเองแบบนั้นอีกและเขาจะต้องเป็นคนที่จัดการความรู้สึกของตนเองไม่ทำให้คนที่รักต้องรู้สึกอึดอัดกับความรู้สึกที่เขามีเดนิมเล่นน้ำจนเหนื่อยหอบอยู่กินดื่มกับแฝดจน
ทางด้านพิพัฒน์เองเขาจดจ้องใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มมีชีวิตชีวาของเดนิมโดยไม่ละสายตาไปสักเสี้ยววินาที มันไม่ใช่รอยยิ้มแกน ๆ ที่คอยส่งมาให้เขา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มไปถึงดวงตา เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ พิพัฒน์สังเกตเห็นว่าเดนิมทำเหมือนว่าเขาเป็นยักษ์เป็นมารเวลาที่เข้าใกล้ และมักจะก้าวเท้าถอยหลังเสมอ คล้ายว่าเป็นการขีดเส้นระหว่างกัน ไม่มีใครควรล้ำเส้นกันไปมากกว่านี้ แถมยังเป็นฝ่ายหลบสายตา เหมือนว่าการมีอยู่ของตัวเองทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกแย่เดนิมในอุดมคติของเขากับเดนิมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนเป็นคนละคนตอนแรกที่เกิดเรื่องเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยากจะเข้าไปซัดหน้าหวานๆที่เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักเปรี้ยงพิพัฒน์คิดว่าเดนิมร้ายกาจไม่งั้นเขาไม่ต้องมาตกกระไดพลอยโจนอยู่อย่างนี้และการแต่งงานครั้งนี้จะทำให้เจ้าตัวสมหวังอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้แต่พอมาได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันยิ่งได้ใกล้ชิดยิ่งได้รู้จักเหมือนว่าช่วงที่ห่างหายขาดการติดต่อกันไปเดนิมในวันวานยังคงเหมือนเดิมไม่ได้ร้ายกาจหรือมีเล่ห์เหลี่ยมแต่อย่างใดกลับเงียบขรึมเก็บงำความรู้สึกได้เก่งขึ้นและมักจะหลบเลี่ยงปัญหามากกว่าเผชิญหน้าอีกทั้งรอยยิ้มที่ประดับ
ช่วงเช้าพายุฝนสงบท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนว่าไม่เคยเกิดพายุฝนคะนองมาก่อนเดนิมตื่นเช้าเหมือนเช่นเคยอาหารเช้ามาส่งแล้วอีกอย่างเขาเองก็ไม่ชอบแบบที่ลอยอยู่กลางน้ำเพราะนึกถึงเวลาเศษอาหารตกลงในสระมันทำความสะอาดค่อนข้างยากเขาจึงบอกให้บริกรวางไว้ที่ขอบสระเดนิมรออาหารย่อยสักพักก็ลงไปว่ายน้ำเขาสวมกางเกงว่ายน้ำเพียงตัวเดียวอีกอย่างก็เป็นสระส่วนตัวน้ำเย็นๆบรรยากาศยามเช้าที่แจ่มใสรวมไปถึงทัศนียภาพของทิวทัศน์ตรงหน้าทำให้เขาไม่อยากกลับเลยจริงๆที่ว่ากันว่านั่งโง่ๆอยู่ริมทะเลนั้นไม่เกินจริงเดนิมหันหลังเท้าคางมองทิวทัศน์ข้างหน้าน้ำทะเลสีฟ้าครามตัดกับเส้นขอบกับพระอาทิตย์อย่างลงตัวเห็นพี่แฝดบอกว่าในทะเลมีพวกปลากระเบนว่ายมาทักทายบริเวณบังกะโลกลางน้ำแห่งนี้ด้วย เดนิมจ้องมองผืนน้ำทะเลอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาอยู่คู่หนึ่งจดจ้องการกระทำของเขาตลอดตั้งแต่แหวกว่ายอยู่ในสระเดนิมหันหลังให้ทิวทัศน์ก่อนจะคว้าเอาห่วงยางที่นอนลอยน้ำเขาขึ้นไปนอนบนนั้นแล้วยิ้มแฉ่งให้กับพระอาทิตย์สองมือวักน้ำจนทำให้ห่วงยางนั้นลอยไปลอยมา“เล่นเหมือนเด็กๆไปได้” ไม่รู้เมื่อไหร่ที่พิพัฒน์เอาแต่จดจ้องร่างบางที่สวมเพียงแค่กางเกงว่ายน้ำตัว
เดนิมแตะบัตรค่อยๆเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายทำอะไรอยู่เดนิมเปลี่ยนเป็นรองเท้าสลิปเปอร์ก่อนจะเห็นว่ากระเป๋าของตัวเองยังวางอยู่ที่หน้าประตูเหลือเพียงกระเป๋าใบเดียวพี่พัดคงกลับเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วเดนิมกำที่จับกระเป๋าล้อเลื่อนของตัวเองแน่นก่อนจะตัดสินใจที่จะไปนอนกับพี่แฝดเขาไม่อยากให้การมาทำงานครั้งนี้ของพี่พัดมีปัญหาหรือรู้สึกอึดอัดเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินออกมาจากประตูเสียงเอ่ยราบเรียบก็ทักขึ้นมา“เข้ามาแล้วจะออกไปไหนอีก” น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์แต่เดนิมรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจอยู่เนืองๆเขาไม่ได้ตอบแต่ค่อยๆเดินผ่านโถงทางเดินเข้าไปก่อนจะเจอกับโซนห้องนั่งเล่นตรงกลางโซฟาหันหน้าเข้าหาทะเลภาพวิวเบื้องหน้ามีสระน้ำขนาดกลางส่วนตัวให้แขกได้พักผ่อนมีตาข่ายให้ได้นอนอาบแดดนับได้ว่าเป็นห้องพักที่เยี่ยมยอดที่สุดของ The Grand DAE เลยก็ว่าได้พิพัฒน์นั่งจิบบรั่นดีสีอำพันในมือสายตาทอดมองไปยังวิวตรงหน้าน้อยครั้งนักที่เดนิมจะเห็นว่าอีกฝ่ายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่จะเป็นชาร้อนหากต้องอ่านรายงานค่อนคืน“คือ…นิมจะไปนอนกับพี่แฝด”“ใช่แ
เดนิมเดินทอดน่องไปตามชายหาด ท้องเริ่มปวดบิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงนั่งตรงเปลที่ชายหาดผูกไว้ นั่งสักพักเลยล้มตัวนอน มือก็ได้แต่กดท้องตัวเองเอาไว้ เดนิมเป็นโรคกระเพาะทานอาหารไม่ตรงเวลาก็จะปวดจนทรมาน อีกอย่างยาลดกรดก็อยู่ในกระเป๋า ตอนนี้เขาเหนื่อยทั้งกายและใจเลยอยากจะนั่งพักสักครู่ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี พี่พัดตักอาหารให้เขา แต่เป็นสิ่งที่ฆ่าเขาให้ตายได้ อีกทั้งตอนสมัยที่เดนิมยังเด็ก หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เดนิมประทับใจในตัวพี่พัดของเขาก็คือพี่พัดจะเป็นฝ่ายคอยระวังเรื่องอาหารการกินของเขาทุกครั้งที่ต้องออกไปทานอาหารข้างนอกกันรวมถึงแฝด แฝดมักจะเผอเรอไม่ถามไถ่หรือมักจะสั่งกุ้งมากิน แต่เป็นพี่พัดเองที่คอยเอาใจใส่ และหาร้านที่ไม่มีส่วนผสมของกุ้งเพื่อเดนิมวันเวลาผ่านพ้นไปคนเราหากเป็นเรื่องสำคัญมักจะไม่ลืม…เดนิมยิ้มเยาะให้ตัวเองก่อนจะนอนอยู่อย่างนั้นแขนซ้ายปิดทับดวงตาปิดบังความน้อยเนื้อต่ำใจและการเดินหนีหรือหลีกเลี่ยงเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นเดนิมจึงนิยามความรักของตัวเองว่าเป็นรักที่ไม่ประกอบวิ่งมายาวนานเพื่อคนคนเดียวมานับสิบปีเขาแพ้กุ้งแต่พี่พ
เดนิมไม่ออกจากห้องของตัวเองแม้ว่าป้าแม่บ้านที่แม่ของเขาส่งมาทำความสะอาดให้ทุกวันอาทิตย์ก็ตามภายในห้องมีตู้เย็นขนาดเล็กขนมขบเคี้ยวรวมไปถึงกาน้ำร้อนขนาดพกพาอีกทั้งเพราะการเขียนนิยายออกมาสักเรื่องหนึ่งมันใช้เวลาและในตอนที่อารมณ์พาไปหรือจินตนาการพรั่งพรูเดนิมไม่อยากจะลุกออกไปทำอะไรนิ้วเรียวยาวเคาะแป้นพิมพ์อยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียงของแป้นพิมพ์ทำให้เขาลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าสมาธิจดจ่ออยู่กับหน้าจอและตัวหนังสือตรงหน้าและเขาใช้มันเพื่อระบายของเสียภายในจิตใจเขาระบายมันออกมาเป็นตัวหนังสือตัวละครบางตัวก็คือตัวเองที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาขัดเกลาตัวละครผ่านเหตุการณ์สมมุติต่างๆมากมายมานับไม่ถ้วนหาทางออกให้ตัวละครเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายแต่น่าเสียดายตัวเองกลับหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอเขาติดอยู่ในวังวนความเจ็บปวดของความรักมายาวนานนับสิบปีรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีใจแต่ก็ยังจะเฝ้ารออดทนกับสายตาที่หยามเหยียดอดทนต่อถ้อยคำที่บาดลึกถึงกระดูกคล้ายกับคนไม่รู้สึกรู้สา สุดท้ายกลับฝังตัวเองทั้งเป็นด้วยการทอดกายให้อีกฝ่ายได้เชยชม ในฐานะนักเขียนหากตัวละครตัวนี้จะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่แ
บริษัทมีการจัดเลี้ยงฝึกงานแต่เดนิมบอกปัดเขาไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยงกับปัญหาอีกปานัสเป็นญาติของนิชาอีกทั้งก็ไม่ชอบขี้หน้าเขาเป็นทุนเดิมงานเลี้ยงครั้งนี้ไม่ไปดีที่สุดพี่พัดเองก็ไม่ได้ว่าอะไรมีแต่ปานัสที่ดีอกดีใจคุณสิริเองก็เอ่ยชมเขามากขึ้นกว่าแต่ก่อนเดนิมคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วคำชมที่มาจากความจริงใจเพียงเท่านี้ก็มีกำลังใจให้เด็กฝึกงานอย่างเขากระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้นไปอีกอีกอย่างเดนิมก็ไม่ได้จบงานด้านบริหารมาเขาทำได้ดีขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้วชีวิตหลังจากนี้จะได้เป็นอิสระเสียทีเดนิมเลิกเฝ้ารอและเลิกฝันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะทำอะไรดีๆให้พี่พัดแต่ทำไปเหมือนขว้างหินลงสู่ทะเลพี่พัดเกลียดเขาจะตาย…ไม่เห็นหน้ากันจะดีที่สุดเดนิมไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะกลับมาค้างทุกวันหยุดสุดสัปดาห์หรือไม่เขาไม่คิดโทรถามไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญและลำบากใจวันนี้วันศุกร์เขาไม่มีธุระที่ไหนเลยเข้าครัวเองทำอาหารสองสามอย่างทีละน้อยสำหรับคนคนเดียวไข่เจียวตรงหน้าฟูฟ่องส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องครัวเดนิมแกะข้าวหุงสำเร็จเวฟก่อนจะแกะใส่จานแม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้วเดนิมเลือกที่จะหันหลังแล้วทำเป็นไม่เห็นก้มลงทานอาหารตรงหน้
ทางด้านปานัสเมื่อโดนดุไปซึ่งๆหน้าก็ดูจะนอบน้อมขึ้นแต่ก็ยังพยายามจะหักหน้าและปาดหน้าทำงานแทนเดนิมเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมือเจ็บ“นิมช่วยดูตรงนี้หน่อยนะ” สิริเอ่ยพร้อมยื่นแฟ้มให้เดนิมยังไม่ทันยื่นมือออกไปรับปานัสกลับยื่นมือมารับแทน“ให้นัสทำนะครับพี่สิริ” สิริเองก็มองหน้าเดนิมเมื่อเห็นเจ้าตัวพยักหน้าน้อยๆก็ยื่นแฟ้มใส่มือปานัสแทนพร้อมกำชับ“ฝากด้วยนะจ๊ะงานนี้ต้องเสร็จวันนี้ถ้าไม่เสร็จจะจ่ายค่าโอทีให้”ปานัสอ้าปากค้างกลืนน้ำลายลงคอพร้อมรีบเปิดเอกสารในแฟ้มอ่านรายละเอียดคร่าวๆพร้อมอุทานในใจ “ตายห่าไม่น่าเลยกูวันนี้จะเสร็จไหมเนี่ย” พร้อมรีบกุลีกุจอกลับไปนั่งทำที่โต๊ะตัวเองโซนหน้าห้องผู้บริหารแทบไม่มีเสียงพูดคุยตลอดช่วงบ่ายพี่สิริหันมายิ้มเป็นนัยให้เดนิมเดนิมค้อมหัวให้ก่อนจะก้มหน้าอ่านเอกสารในมือจนเลิกงานปานัสขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเมื่อเวลาเลิกงานพนักงานทุกคนทยอยกลับรวมไปถึงเดนิมที่เดินมาอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงานของตัวเองเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ขอบคุณปานัสมากนะที่ช่วยทำงานนี้แทนเราเราขอตัวก่อนนะ” ปานัสแสร้งยิ้มก่อนจะกัดฟันตอบ “กลับก่อนได้เลยจ้ะ” แต่ในใจก่นด่าอีกฝ่ายสิบกว่ารอบเดนิมที่กำลังลงลิฟต์ไปย
ทางด้านเดนิมโชคดีที่กาแฟวางพักไว้สักครู่บนเคาน์เตอร์แผลจึงไม่ได้ร้ายแรงเป็นแผลไหม้ระดับสองมีตุ่มพองใสแต่ก็ปวดแสบมากเพราะเส้นประสาทบริเวณผิวหนังยังเหลืออยู่ไม่ได้ถูกทำลายไปมากนักการหายของแผลใช้เวลาประมาณสองถึงสามสัปดาห์คุณหมอจึงให้ครีมทายาภายนอกรวมไปถึงการปิดแผลด้วยผ้าก๊อซอีกทั้งยังกำชับไม่ให้โดนน้ำรวมไปถึงที่ต้นขาด้านขวาด้วยเดนิมทำแผลเสร็จพี่แฝดก็โทรมาตอนอยู่ในรถพอดีเขากดรับสายก่อนจะทำน้ำเสียงปกติ “ว่าไงครับ”“วันนี้ว่างหรือเปล่าเราพี่สองคนจะไปรับไปทานข้าว”“วันนี้คงไม่ได้ครับ”“เดี๋ยวพี่โทรไปหาไอ้พัดให้”“อย่าดีกว่าครับเดี๋ยวพี่พัดจะว่าเอาตอนนี้ผมเป็นแค่พนักงานฝึกงานนะครับพี่แฝดอย่าลืม” เดนิมพยายามทำน้ำเสียงให้สดใส “อีกอย่างมีนักศึกษาฝึกงานคนอื่นมาฝึกด้วย”“แล้วเราจะว่างเมื่อไหร่” เดนีนแทรกขึ้นมา“เดี๋ยวถ้าว่างจะโทรไปนัดพี่ๆอีกทีนะครับไม่ต้องกลัวว่าพวกพี่แฝดจะไม่ได้จ่ายรับรองวันนั้นต้องจ่ายให้น้องทั้งวันนะครับ” แฝดต่างหัวเราะ “หาเวลามาให้ได้เถอะน้องคนเดียวจะเท่าไหร่เชียวแพงแค่ไหนก็เลี้ยงได้” ทั้งสามคนหัวเราะก่อนจะกดวางสายเดนิมถอนหายใจก่อนจะสตาร์ทรถกลับบ้านโดยไม่ได้ดูสายที่ไม่ได้รับก