หน้าหลัก / LGBTQ+ / เพียงชั่วข้ามคืน / บทที่ 8 พูดไปก็เท่านั้น

แชร์

บทที่ 8 พูดไปก็เท่านั้น

ผู้แต่ง: DILEMMA 28
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-11-22 16:09:09

แม้จะไม่อยากออกมาฝึกงานแต่เมื่อรับปากไว้แล้วก็ต้องทำให้เสร็จสามเดือนก็สามเดือนแค่ไม่กี่สัปดาห์ยังกินพลังงานชีวิตไปซะขนาดนี้ระหว่างเดนิมกับพิพัฒน์ก็ยังมีบรรยากาศกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อยแม้จะอาศัยอยู่ด้วยกันแต่ไม่ได้พูดคุยกันสักประโยคอีกทั้งเดนิมก็เลือกที่จะขับรถไปเองเมื่อก่อนรู้ทั้งรู้ว่าจะต้องโดนกลั่นแกล้งแต่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจแต่หลังจากที่มีปากเสียงกันครานั้นเดนิมก็ไม่อยากจะเป็นฝ่ายถูกกลั่นแกล้งอีกไม่ว่าจะให้เขาหิ้วท้องรอจนดึกดื่นหากวันไหนเขางีบหลับอีกฝ่ายก็จะกลับไปก่อนโดยที่ไม่เอ่ยปากจะเรียกกันอีกทั้งพี่พัดมักจะมีอิริยาบถที่ผ่อนคลายเมื่อไม่ได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังโดยเฉพาะการรับประทานอาหารร่วมกัน…

ยิ่งคาดหวังมากเท่าไหร่มันก็จะยิ่งกัดกินความสุขในชีวิตเราไปมากเท่านั้นไม่มีใครไม่อยากสมหวังแต่ทว่ามันไม่เหลืออะไรให้หวังเลยต่างหากอาหารกลางวันคุณน้ามาลินีก็ห่อมาให้พี่พัดเหมือนเดิมเดนิมก็โทรหาสอบถามอยู่บ่อยๆไม่ใช่เพื่อทำคะแนนต่อให้คุณน้ามาลินีจะชมชอบเขามากแค่ไหนแต่เจ้าตัวไม่มีใจมันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดีเดนิมไม่อยากให้เรื่องระหว่างเขากับพี่พัดผิดใจกับผู้ใหญ่และเขาโชคดีที่น้ามาลินีไม่ได้รังเกียจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

ไม่ว่าปลายทางระหว่างเขากับพี่พัดจะอยู่ในสถานะไหนแต่ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับน้ามาลินีจะยังคงเดิม

กับข้าวที่แม่ของเดนิมห่อมาให้มากมายเสียจนกินคนเดียวไม่หมดจนต้องห่อมาเป็นข้าวกลางวันในออฟฟิศด้วยพี่พัดเองก็กลับมานอนค้างที่เพนท์เฮ้าส์แค่วันศุกร์ถึงวันอาทิตย์เหมือนเดิมห้องอาหารที่มีแต่พวกแม่บ้านและรปภ.กลับมีสมาชิกเพิ่มมาอีกคน

แรกๆเหล่าแม่บ้านก็ยังเกร็งๆปกติคุณๆทั้งหลายเขาจะออกไปทานอาหารกลางวันข้างนอกกันเรียกได้ว่าแบ่งชนชั้นกันอย่างเห็นได้ชัดไม่ค่อยจะมีใครลงมาทานอาหารที่นี่ยกเว้นเด็กหนุ่มตรงหน้าที่หลายวันเข้าก็เหมือนจะละลายพฤติกรรมกลายเป็นอีกหนึ่งคนที่เหล่าแม่บ้านมักจะไถ่ถามและห่วงใยเดนิมมักจะแลกเปลี่ยนอาหารกับเหล่าแม่บ้านเพราะรสมือที่พวกเขาทำมักจะเป็นรสชาติดั้งเดิมที่หากินไม่ได้ในเมืองกรุงง่ายๆเช่นอาหารภาคเหนือเดนิมชอบกินห่อนึ่งไก่ที่แม่บ้านคนหนึ่งทำมากอีกทั้งข้าวเหนียวก็ยังหนุบหนับได้ที่คล้ายกับว่าที่แห่งนี้เป็นที่พักใจของเขาในบริษัท

“ผมไม่เคยกินมาก่อนเลยครับ”

“ถ้าชอบก็กินเยอะๆเลยคุณ” ป้าศรีพื้นเพเป็นคนลำปางเมืองรถม้าเข้ามาหาทางทำกินที่นี่ตั้งแต่สมัยยังสาวป้าศรียิ้มอย่างดีใจมองเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นลูกหลานอีกคน

“ขอบคุณมากนะพ่อหนุ่มหนังสือที่พ่อหนุ่มให้ป้ามาลูกชายป้าดีใจใหญ่มันบอกว่ามือสองราคาตั้งหลายพัน” ป้าศรีจึงทำกับข้าวที่เดนิมชอบมาเพื่อแสดงน้ำใจที่อีกฝ่ายมอบให้ “ไหนจะเรื่องทุนอีกไอ้จอมลูกป้ามันอยากจะเป็นเชฟที่โรงแรมดังแต่ว่าเขารับแต่คนจบอะไรเบลอๆนี่แหละค่าเรียนเป็นแสนป้าไม่มีปัญญาหรอกพอคุณเดนิมบอกว่ามีทุนการศึกษาให้ไอ้จอมลูกป้าร้องไห้ดีใจน้ำตาแทบจะไหลเป็นสายเลือดนี่ถ้ามันไม่ติดว่าต้องเตรียมตัวไปสัมภาษณ์ทุนมันอยากจะมากราบคุณเดนิมจนถึงที่” เดนิมซดแกงหน่อไม้ตรงหน้าไปอึกใหญ่ก่อนจะโบกไม้โบกมือ “โอ๊ยไม่ต้องกราบอะไรหรอกครับป้าศรีเขาได้เพราะความสามารถของตัวเองอีกอย่างผมแค่แนะนำก็เท่านั้น”

“แต่ก็ต้องขอบคุณคุณมากจริงๆนะ” ป้าศรียิ้มทั้งน้ำตาเพื่อนๆเหล่าแม่บ้านต่างก็ตบบ่าปลอบใจ “โชคดีของยายศรี”

ไม่ใช่เพียงป้าศรีคนเดียวลูกหลานของเหล่าแม่บ้านต่างก็ได้รับการตอบแทนดีๆอย่างเดนิมเช่นกันตั้งแต่นิชาส่งลูกพี่ลูกน้องตัวเองมาฝึกงานที่นี่ด้วยแล้วบริษัทแห่งนี้ก็ไม่เหลือพื้นที่ให้เดนิมได้สงบสุขอีกเลยมีเพียงหนึ่งชั่วโมงนี้ตอนพักกลางวันเท่านั้นที่เขาจะได้นั่งทานข้าวอย่างสบายใจโดยไม่ต้องคิดอะไรให้มากมายอีกอย่างกับข้าวพวกนั้นพี่พัดก็ไม่สบายใจที่จะกินร่วมกันกับเขาอยู่แล้วทิ้งไปก็เสียดายของสู้ห่อมากินที่นี่ที่ที่คนให้การยอมรับและยอมรับในตัวตนของเขากาแฟของขบเคี้ยวชายี่ห้อดีทิ้งไว้ที่บ้านก็เสียเปล่าสู้ขนกันมาแบ่งกันกินกันใช้ที่นี่ดีกว่าห้องพักกลางวันที่นี่ดูมีชีวิตชีวาตั้งแต่เดนิมก้าวเข้ามากลิ่นกาแฟลอยฟุ้งเมื่อก่อนแค่โอเลี้ยงหน้าปากซอยถุงละยี่สิบสามสิบบาทก็ถือว่าสิ้นเปลืองแต่ทว่าเครื่องทำกาแฟที่ถูกทิ้งร้างไว้นานได้ใช้เสียทีอีกทั้งเหล่าแม่บ้านและรปภ.ต่างก็ได้ลิ้มรสกาแฟที่หลากหลายที่พวกเขาไม่กล้าจะสั่งมาดื่มเสียด้วยซ้ำ

ลุงชัยรปภ.ที่ทำหน้าที่ดูแลเรื่องรถเข้าออกยิ้มหน้าชื่นตาบานก็วันนี้ได้ลองชิมกาแฟที่คุณเดนิมทำเมนูนี้ที่ห้างขายแก้วละร้อยกว่าบาทพอได้ลองดื่มมันก็อร่อยจริงแต่ถ้าจะให้เจียดเงินไปซื้อมันก็เสียดายนั่นมันค่าไปมหาลัยของไอ้หนูแดงทั้งวันถึงกับต้องจดชื่อเมนูไว้ “บราวน์ชูการ์ไอซ์เชคเก้าเอสเพรสโซ่” แถมคุณเขายังชงแบ่งใส่กระบอกให้เอากลับไปให้เมียได้ลองชิมอีกด้วย

รถประจำของผู้บริหารมาถึงลุงชัยรีบกดสวิตช์เปิดให้อย่างกระฉับกระเฉงยิ้มหน้าระรื่นจนพิพัฒน์อดที่จะเลื่อนกระจกถามไม่ได้ “วันนี้มีเรื่องอะไรดีๆหรือเปล่าลุงชัยยิ้มหน้าบานเชียว” ลุงชัยได้ทีจึงอดไม่ได้ที่จะพูดคุยกับผู้บริหารที่นานแล้วไม่ได้ทักทายกัน

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ…เพียงแค่วันนี้ผมได้ลองชิมเจ้านี่”

“กาแฟ?”

“ใช่ครับ” ก่อนจะยื่นโน๊ตที่เขียนชื่อกาแฟเอาไว้ให้ผู้บริหารหนุ่มดูอย่างดีอกดีใจพิพัฒน์อ่านโน๊ตแล้วอดที่จะหัวเราะไปด้วยไม่ได้ “ขอให้มีวันดีๆอย่างนี้ทุกวันนะ” ก่อนจะปิดกระจกตัวรถเคลื่อนไปอย่างช้าๆ

“ขอบคุณครับ” ลุงชัยจึงทำท่าตะเบ๊ะก่อนจะกลับเข้าไปนั่งประจำที่ของตนดูดกาแฟยิ้มกริ่ม

พอเห็นลุงชัยดื่มกาแฟพิพัฒน์เองก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าห้องพักกลางวันของออฟฟิศมีเครื่องทำกาแฟอยู่ด้วยแต่เพราะเขาเป็นคนง่ายๆและการชงกาแฟค่อนข้างใช้เวลาจึงมักจะดื่มแบบสูตรสำเร็จแล้วพนักงานเองก็เช่นกันไม่มีใครชงเป็นสักคนเครื่องราคาเป็นแสนจึงถูกทิ้งร้างไว้อย่างนั้นมานานแล้วความคิดล่องลอยกลับถูกเสียงหนึ่งพูดขึ้นมา

“คุณพัดอยากดื่มไหมครับผมทำเป็น” ปานัสลูกพี่ลูกน้องของนิชาที่อีกฝ่ายฝากฝังให้เขาช่วยสอนงานเอ่ยขึ้นมามาจากเบาะหน้าข้างคนขับตั้งแต่ปานัสเข้ามาฝึกงานที่นี่เดนิมก็ไม่ได้ออกไปพบปะลูกค้ากับเขาอีกเลย “ถ้างั้นรบกวนขอเอสเพรสโซ่ให้ผมสักแก้วก็แล้วกัน” พวกเขาต่างก็ออกมาพบปะลูกค้าโดยมีปานัสตามมาด้วยเมื่อก่อนคนติดตามห้อยท้ายเขาถ้าไม่ใช่สิริก็จะเป็นเดนิมสามคนสามสไตล์แต่ปานัสเป็นคนที่เขาสอนงานแล้วรู้สึกว่าอีกฝ่ายมักจะเป็นน้ำเต็มแก้วแถมสายตาที่มองมามันก็ทำให้เขาอึดอัดแทบทุกครั้งแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้ชายเหมือนกันก็ตามในโลกนี้มีหลากหลายเพศเขาไม่ก้าวก่ายกับความนิยมชมชอบของใครแต่บางครั้งปานัสก็ทำเกินขอบเขตของเด็กฝึกงานอย่างการสั่งงานจิกหัวใช้คนอื่นโดยเฉพาะกับเดนิม

ปานัสมักจะเบะปากใส่เดนิมเสมอเพราะอีกฝ่ายก็คือเด็กฝากฝึกงานเด็กฝึกงานเหมือนกันแต่พื้นเพต่างกันจะมาเป็นเด็กฝึกงานเหมือนกันไม่ได้อีกทั้งปานัสไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสองเดนิมมาในนามเด็กฝึกงานต่อให้จะอยู่ในช่วงพัฒนาความสัมพันธ์กับพิพัฒน์ระยะเวลาเพียงหนึ่งปีจะนับเป็นอะไรได้อีกทั้งจุดเริ่มต้นของพวกเขาก็ไม่ดีเท่าไหร่อีกอย่างความสัมพันธ์นี้วันหนึ่งก็ต้องจบลงไม่มีทางเลือกอื่นได้อีกเดนิมกำลังชงเครื่องดื่มให้เหล่าแม่บ้านที่ต่อคิวกันอย่างล้นหลามก่อนเวลาพักจะหมดลงเสียงเปิดประตูทำเอาหลายคนหันไปมองรวมไปถึงเดนิมด้วย

“ตายจริง…ชงเหมือนอยู่บ้านตัวเองเลยนะเดนิม” ปานัสเดินกอดอกเข้ามาดูภายในเคาน์เตอร์ก่อนจะชี้นิ้วสั่ง

“เอสเพรสโซ่ให้ฉันสักแก้วสิ”

“ขอโทษด้วยครับต้องตามคิว”

“เธอรู้ไหมว่าฉันสั่งให้ใคร” ปานัสกอดอกจ้องมองอีกฝ่ายที่ขะมักเขม้นชงกาแฟแข่งกับเวลา

“ไม่ทราบครับจะสั่งให้ใครก็ต้องต่อคิวเหลืออีกสามแก้วเอง” เดนิมอธิบายอย่างใจเย็น “คนมีการศึกษาอย่างคุณน่าจะรอเป็นนะครับ” เดนิมเหน็บให้ก่อนจะหันไปชงกาแฟต่อปานัสทำได้เพียงถลึงตาใส่แต่ก็กระแทกก้นนั่งรออย่างสงบปากสงบคำเพราะเขาคิดแผนอะไรดีๆออกนะสิก่อนจะทำเป็นจับโทรศัพท์มือถือไม่สนใจสายตาของหลายๆคู่ที่มองมา

“ได้แล้วครับ” ไม่นานกาแฟที่ปานัสสั่งก็ทำเสร็จวางไว้อยู่บนเคาน์เตอร์กลิ่นหอมฉุยและควันที่ล่องลอยออกมาบนแก้วที่วางอยู่บนจานรองเซตคู่กันบ่งบอกว่าร้อนเพียงใดอีกทั้งหัวชงที่ตั้งไว้ที่ 93 องศาเซลเซียสส่วนชงเย็นที่ 95 องศาเซลเซียสเดนิมล้างมือพร้อมกับป้าศรีที่ไล่ให้ไปทำงาน

“ไม่ต้องล้างหรอกเดี๋ยวป้าล้างเองไปทำงานเถอะค่ะ”

“รบกวนด้วยนะครับ” เดนิมค้อมหัวให้ก่อนจะหันหลังกลับไปแต่ก็ไม่รู้ว่าจู่ๆปานัสเดินถือเครื่องดื่มเข้ามาในเคาน์เตอร์ตอนไหนเอสเปรซโซ่ร้อนๆจะกระฉอกใส่เสื้อเชิ๊ตสีขาวของทั้งเดนิมและตัวปานัสเองแต่ทว่าปานัสกะองศามาอย่างดีกาแฟร้อนๆจึงหกใส่เดนิมเป็นส่วนใหญ่มิวายเอ็ดตะโรโวยวายเสียยกใหญ่ “ทำบ้าอะไรของแกโอ๊ยร้อนร้อนจะตายอยู่แล้วถ้าฉันเสียโฉมขึ้นมาแกต้องรับผิดชอบ” เดนิมสะบัดมือที่ถูกราดไหนจะหน้าขาด้านขวาของตัวเองที่เหมือนจะถูกราดด้วยเช่นกันเพราะกางเกงสแล็คสีดำที่สวมใส่เลยมองไม่เห็นว่าจุดไหนที่เปรอะเปื้อนป้าศรีและเหล่าแม่บ้านที่ได้ยินเสียงโวยวายต่างกุลีกุจอเข้ามาดูเดนิมป้าศรีมีสติที่สุดรีบดูตามเนื้อตัวเดนิมก่อนจะเห็นหลังมือที่แดงจึงเปิดล้างด้วยน้ำก๊อกอุณหภูมิปกติเพื่อลดความร้อนก่อนจะเอ่ย “ไปโรงพยาบาลเถอะคุณ” เดนิมเจ็บจนน้ำตาคลอหางตาแดงระเรื่อแต่ปานัสก็ยังโวยวายไม่เลิก “พวกแกตาบอดหรือไงฉันก็โดนลวกเหมือนกันทำยังกะว่ามันเจ็บเป็นคนเดียวงั้นแหละแล้วดูเสื้อฉันเปื้อนอย่างนี้ต้องทิ้งเท่านั้นแกจะมีปัญญาชดใช้ฉันหรือเปล่าก็ไม่รู้”

“คุณแหกปากเสียงดังขนาดนี้คงไม่เจ็บมากหรอก” หนึ่งในแม่บ้านเอ่ย “แกกล้าดียังไงมาพูดแบบนี้กับฉันฉันเป็นใครแกเป็นใครฮะ” เดนิมเจ็บจนต้องซี้ดปากก่อนจะกัดฟันตอบ “คุณทิ้งบิลราคาเสื้อผ้าให้ผมได้เลยผมจะชดใช้ให้”

“ปากดีนี่ไม่ใช่ว่าเห็นราคาจะมาต่อรองทีหลังไม่ได้นะ” ปานัสลอยหน้าลอยตาตอบก่อนจะรีบวิ่งแจ้นไปฟ้องพิพัฒน์เอกสารมากมายตรงหน้าทำให้เขาต้องรีบอ่านรีบเซ็นบางโครงการหากล่าช้าแค่วันเดียวก็สร้างความเสียหายให้บริษัทได้เขาจึงต้องสมาธิและร่างสัญญาอย่างรัดกุมเพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าอ่านไปได้ไม่กี่หน้าเสียงอินเตอร์โฟนก็ดังขึ้นยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยอะไรประตูก็ถูกเปิดเข้ามาสิริตามหลังมาแต่ก็ไม่ทันปานัสร้องไห้ฟูมฟายมาถึงโต๊ะทำงานของเขาเมื่อเห็นเจ้านายโบกมือให้สิริเลขาส่วนตัวก็ถอยออกมาอย่างรู้งาน

เธอส่ายหน้าให้กับเด็กฝึกงานคนล่าสุดหากไม่ใช่ลูกคนมีสีการประเมินการฝึกงานครั้งนี้คงจะต้องถูกร้องเรียนไปยังอาจารย์ที่ปรึกษารวมไปถึงมหาวิทยาลัยแต่เพราะอีกฝ่ายเป็นลูกผู้รากมากดีนี่แหละจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากคงจะประเมินให้ผ่านไปซะจะได้จบๆกันไปแตกต่างจากอีกคนที่เจ้านายเป็นฝ่ายฝากให้ดูแลแท้ๆแต่ไม่เคยสร้างปัญหาอะไรให้ลำบากใจไม่รู้อะไรเกี่ยวกับงานเป็นเรื่องปกติอีกฝ่ายก็พยายามทำความเข้าใจผิดบ้างเป็นเรื่องธรรมดาแต่กับปานัสนี่น้ำล้นแก้วไม่พอไม่ยอมรับความผิดพลาดของตัวเองอีกอีกทั้งแค่เจ้านายใจดีด้วยหน่อยก็วางอำนาจบาตรใหญ่ทะเล่อทะล่าเข้าห้องมาโดยไม่ขออนุญาต

“คุณพิพัฒน์ครับต้องจัดการให้ผมนะครับ”

“มีอะไรค่อยๆเล่า” พิพัฒน์เงยหน้ามองเด็กฝึกงานตรงหน้าที่เสื้อเชิ้ตสีขาวเปรอะเปื้อนไปด้วยสีน้ำตาลของกาแฟอีกทั้งกลิ่นของมันก็ฟุ้งอบอวลไปทั้งห้อง

“ก็เดนิมสิครับพอรู้ว่าผมจะยกกาแฟมาให้คุณกลับแย่งไปหน้าตาเฉยจนมันหกราดเสื้อผมแสบร้อนไปหมด” พิพัฒน์เงยหน้ามองอีกฝ่ายนิ่งไม่ปริปากพูดอะไรออกมาสักคำปานัสเริ่มลนลาน “จริงๆนะครับ”

“คุณคิดว่าผมมีเวลาว่างมากที่จะจัดการเรื่องขี้ผงนี้ให้คุณงั้นเหรอ”

“ก็…”

“คุณมาทำอะไรที่นี่คุณน่าจะรู้ตัวดีนะคุณปานัสคุณจะฝึกงานผ่านหรือเปล่าอยู่ที่ปลายปากกาผมเพียงผมยกหูกริ๊งเดียวคุณอาจต้องเปลี่ยนที่ฝึกงานใหม่อย่าก่อปัญหาให้มากไหนๆผมก็พูดแล้วผมจะพูดให้หมดแล้วกัน” ปานัสเริ่มหน้าเสียนึกว่าจะได้ความเห็นใจที่ไหนได้กลับโดนต่อว่าจังๆจนเริ่มทำตัวไม่ถูก

“คุณมาในฐานะเด็กฝึกงานต่อให้สิริจะเป็นพนักงานเป็นเพียงลูกจ้างของผมฐานะทางบ้านอาจไม่ดีเหมือนบ้านคุณแต่เขาอาวุโสกว่ามีประสบการณ์การทำงานมากกว่าหากคุณยังทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้วแบบนี้ใครจะอยากสอนงานคุณรวยแต่โง่จะบริหารคนบริหารงานได้ยังไง” ปานัสตาโตโดนด่าซึ่งๆหน้าแทบอยากจะกัดลิ้นให้ตายตั้งแต่ตอนนี้ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครกล้าต่อว่าเขาแบบนี้มาก่อนอีกทั้งจะโวยวายก็ไม่ได้เป็นคนขอมาฝึกงานที่นี่เองแท้ๆดูจากใบหน้าที่ปราศจากอารมณ์ของอีกฝ่ายหากเขาแหกปากโวยวายคงต้องเปลี่ยนที่ฝึกงานใหม่เป็นแน่หากอาจารย์ที่ปรึกษาไม่ดักคอเขาเรื่องฝึกงานที่บ้านมีเหรอจะให้คนอื่นมาโขกสับเขาอย่างนี้

แทนที่จะสำนึกกลับคาดโทษเดนิมอย่างถึงที่สุดฝากไว้ก่อนเถอะฝึกงานจบเมื่อไหร่จะต้องเอาคืนให้สาสม

“เข้าใจที่ผมพูดไหม”

“ขะเข้าใจแล้วครับแล้วก็ไปเรียกเดนิมมา”

“ครับ” ปานัสทำทีคอตกเดินออกไปแต่ปากก็แอบก่นด่าขมุบขมิบเมื่อไปถึงห้องอาหารก็ไม่พบเดนิมแล้ว

“เดนิมไปไหน”

“ไปโรงพยาบาลแล้วละค่ะดูจะเจ็บหน้าดู” ปานัสเบะปากพูดสำออยโดยไม่มีเสียงป้าศรีและพนักงานสองสามคนช่วยกันเช็ดถูคราบกาแฟที่เลอะอยู่พื้นห้อง

“งั้นแกก็ไปบอกผู้บริหารเองละกันว่าเดนิมไปไหนคุณพิพัฒน์เรียกไปพบไม่แน่อาจจะถูกเฉดหัวออกจากที่นี่เร็วๆนี้ก็ได้” ป้าศรีเหลือบตามองอีกฝ่ายก่อนจะหันมาตอบกับเหล่าแม่บ้าน “ฉันไปเองฝากที่เหลือด้วย”

สิริกดอินเตอร์โฟนเรียนผู้บริหารก่อนป้าศรีจะผลักประตูเข้ามา

“สวัสดีค่ะคุณท่าน” ป้าศรียกมือไหว้เด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความเคารพแม้อายุจะอ่อนกว่าแต่ก็มีศักดิ์เป็นผู้บริหารที่นี่

“สวัสดีครับ” พิพัฒน์ยกมือไหว้ตอบก่อนเจ้านายจะได้สอบถามอะไรป้าศรีก็เอ่ยออกมาก่อน “คุณเดนิมไม่อยู่ค่ะดิฉันเลยมาเรียนคุณท่าน”

“เดนิมไปไหนครับ”

“ไปโรงพยาบาลแล้วค่ะ”

“เจ็บหนักขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“ค่ะ หลังมือแดงไปหมด ไหนจะตรงหน้าขาอีก” พิพัฒน์คิ้วขมวดก่อนจะสอบถาม “เรื่องเป็นมายังไงกันแน่ครับ”

“คืออย่างนี้ค่ะ” ป้าศรีเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้อีกฝ่ายฟังอย่างเป็นกลางผิดถูกให้เจ้านายเป็นคนตัดสินก่อนจะเอ่ยปาก “คุณเดนิมเขาดีมากจริงๆไอ้จอมลูกป้าได้ทุนก็เพราะคุณเขาแนะนำนั่นแหละหากคุณจะไล่คุณเขาออกป้าก็อดสงสารคุณเขาไม่ได้…” เมื่ออีกฝ่ายเงียบไปนานป้าศรีจึงขอตัวออกมาเธอพูดในสิ่งที่สมควรพูดไปหมดแล้วจะผิดจะถูกฐานะแม่บ้านอย่างเธอก็คงทำอะไรไม่ได้ได้แต่เสียดายพนักงานดีๆที่นานปีจะมีสักคนที่ใจดีและเห็นความสำคัญของพวกแม่บ้านอย่างพวกเธอบ้าง

ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาในฐานะคู่สมรสครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พิพัฒน์ต่อสายหาเดนิมก่อนแต่ทว่าอีกฝ่ายไม่รับงานในมือหยุดชะงักรวมไปถึงหลักฐานจากมุมกล้องวงจรปิดที่เห็นว่านิชาตบเดนิมก่อนเสียดายไม่ได้ยินเสียงว่าสองคนนั้นโต้เถียงอะไรกันแต่เห็นได้ชัดว่านิชาเริ่มประชิดตัวอีกฝ่ายก่อนพิพัฒน์ขบคิดไปถึงตอนที่เขาถูกวางยาบางทีเรื่องนี้เขาอาจมองข้ามบางจุดไปจริงๆอีกทั้งหากเดนิมไม่ได้เป็นฝ่ายผิดจริงเขาต้องคืนความยุติธรรมให้อีกฝ่ายด้วยพิพัฒน์นึกถึงสองวันก่อนที่เขาเห็นอีกฝ่ายนอนมาร์สหน้าอยู่ตรงโซฟาหากไม่มีอะไรปกปิดใบหน้าเขาคงมองเห็นฝ่ามือตรงแก้มซ้ายนั้นอย่างชัดเจนเดนิมเองก็ไม่เคยปริปากพูดเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองพอเขาซักถามเอาแต่บ่ายเบี่ยงเป็นเพราะอะไรกันแน่จะว่าเรียกร้องความสนใจก็ไม่ใช่

พิพัฒน์เอนหลังไปยังพนักพิงพลางถอนหายใจออกมาสองมือคลึงขมับอยู่อย่างนั้นไหนจะเรื่องงานที่ถาโถมเข้ามาอย่างหนักไหนจะเรื่องนิชาปานัสและเดนิมพอคิดมากไปก็ปวดหัวก่อนจะกดสายต่ออินเตอร์โฟน

“คุณสิริชงกาแฟมาให้ผมสักแก้ว”

บทที่เกี่ยวข้อง

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 9 เหนื่อยล้าเกินกว่าจะเอ่ยปาก

    ทางด้านเดนิมโชคดีที่กาแฟวางพักไว้สักครู่บนเคาน์เตอร์แผลจึงไม่ได้ร้ายแรงเป็นแผลไหม้ระดับสองมีตุ่มพองใสแต่ก็ปวดแสบมากเพราะเส้นประสาทบริเวณผิวหนังยังเหลืออยู่ไม่ได้ถูกทำลายไปมากนักการหายของแผลใช้เวลาประมาณสองถึงสามสัปดาห์คุณหมอจึงให้ครีมทายาภายนอกรวมไปถึงการปิดแผลด้วยผ้าก๊อซอีกทั้งยังกำชับไม่ให้โดนน้ำรวมไปถึงที่ต้นขาด้านขวาด้วยเดนิมทำแผลเสร็จพี่แฝดก็โทรมาตอนอยู่ในรถพอดีเขากดรับสายก่อนจะทำน้ำเสียงปกติ “ว่าไงครับ”“วันนี้ว่างหรือเปล่าเราพี่สองคนจะไปรับไปทานข้าว”“วันนี้คงไม่ได้ครับ”“เดี๋ยวพี่โทรไปหาไอ้พัดให้”“อย่าดีกว่าครับเดี๋ยวพี่พัดจะว่าเอาตอนนี้ผมเป็นแค่พนักงานฝึกงานนะครับพี่แฝดอย่าลืม” เดนิมพยายามทำน้ำเสียงให้สดใส “อีกอย่างมีนักศึกษาฝึกงานคนอื่นมาฝึกด้วย”“แล้วเราจะว่างเมื่อไหร่” เดนีนแทรกขึ้นมา“เดี๋ยวถ้าว่างจะโทรไปนัดพี่ๆอีกทีนะครับไม่ต้องกลัวว่าพวกพี่แฝดจะไม่ได้จ่ายรับรองวันนั้นต้องจ่ายให้น้องทั้งวันนะครับ” แฝดต่างหัวเราะ “หาเวลามาให้ได้เถอะน้องคนเดียวจะเท่าไหร่เชียวแพงแค่ไหนก็เลี้ยงได้” ทั้งสามคนหัวเราะก่อนจะกดวางสายเดนิมถอนหายใจก่อนจะสตาร์ทรถกลับบ้านโดยไม่ได้ดูสายที่ไม่ได้รับก

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 10 คนเดียวไม่เหงาเท่าสามคน

    ทางด้านปานัสเมื่อโดนดุไปซึ่งๆหน้าก็ดูจะนอบน้อมขึ้นแต่ก็ยังพยายามจะหักหน้าและปาดหน้าทำงานแทนเดนิมเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมือเจ็บ“นิมช่วยดูตรงนี้หน่อยนะ” สิริเอ่ยพร้อมยื่นแฟ้มให้เดนิมยังไม่ทันยื่นมือออกไปรับปานัสกลับยื่นมือมารับแทน“ให้นัสทำนะครับพี่สิริ” สิริเองก็มองหน้าเดนิมเมื่อเห็นเจ้าตัวพยักหน้าน้อยๆก็ยื่นแฟ้มใส่มือปานัสแทนพร้อมกำชับ“ฝากด้วยนะจ๊ะงานนี้ต้องเสร็จวันนี้ถ้าไม่เสร็จจะจ่ายค่าโอทีให้”ปานัสอ้าปากค้างกลืนน้ำลายลงคอพร้อมรีบเปิดเอกสารในแฟ้มอ่านรายละเอียดคร่าวๆพร้อมอุทานในใจ “ตายห่าไม่น่าเลยกูวันนี้จะเสร็จไหมเนี่ย” พร้อมรีบกุลีกุจอกลับไปนั่งทำที่โต๊ะตัวเองโซนหน้าห้องผู้บริหารแทบไม่มีเสียงพูดคุยตลอดช่วงบ่ายพี่สิริหันมายิ้มเป็นนัยให้เดนิมเดนิมค้อมหัวให้ก่อนจะก้มหน้าอ่านเอกสารในมือจนเลิกงานปานัสขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเมื่อเวลาเลิกงานพนักงานทุกคนทยอยกลับรวมไปถึงเดนิมที่เดินมาอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงานของตัวเองเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ขอบคุณปานัสมากนะที่ช่วยทำงานนี้แทนเราเราขอตัวก่อนนะ” ปานัสแสร้งยิ้มก่อนจะกัดฟันตอบ “กลับก่อนได้เลยจ้ะ” แต่ในใจก่นด่าอีกฝ่ายสิบกว่ารอบเดนิมที่กำลังลงลิฟต์ไปย

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 11 งานวันเกิด

    บริษัทมีการจัดเลี้ยงฝึกงานแต่เดนิมบอกปัดเขาไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยงกับปัญหาอีกปานัสเป็นญาติของนิชาอีกทั้งก็ไม่ชอบขี้หน้าเขาเป็นทุนเดิมงานเลี้ยงครั้งนี้ไม่ไปดีที่สุดพี่พัดเองก็ไม่ได้ว่าอะไรมีแต่ปานัสที่ดีอกดีใจคุณสิริเองก็เอ่ยชมเขามากขึ้นกว่าแต่ก่อนเดนิมคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วคำชมที่มาจากความจริงใจเพียงเท่านี้ก็มีกำลังใจให้เด็กฝึกงานอย่างเขากระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้นไปอีกอีกอย่างเดนิมก็ไม่ได้จบงานด้านบริหารมาเขาทำได้ดีขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้วชีวิตหลังจากนี้จะได้เป็นอิสระเสียทีเดนิมเลิกเฝ้ารอและเลิกฝันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะทำอะไรดีๆให้พี่พัดแต่ทำไปเหมือนขว้างหินลงสู่ทะเลพี่พัดเกลียดเขาจะตาย…ไม่เห็นหน้ากันจะดีที่สุดเดนิมไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะกลับมาค้างทุกวันหยุดสุดสัปดาห์หรือไม่เขาไม่คิดโทรถามไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญและลำบากใจวันนี้วันศุกร์เขาไม่มีธุระที่ไหนเลยเข้าครัวเองทำอาหารสองสามอย่างทีละน้อยสำหรับคนคนเดียวไข่เจียวตรงหน้าฟูฟ่องส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องครัวเดนิมแกะข้าวหุงสำเร็จเวฟก่อนจะแกะใส่จานแม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้วเดนิมเลือกที่จะหันหลังแล้วทำเป็นไม่เห็นก้มลงทานอาหารตรงหน้

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 12 ไม่ได้ง่ายอย่างใจนึก

    เดนิมไม่ออกจากห้องของตัวเองแม้ว่าป้าแม่บ้านที่แม่ของเขาส่งมาทำความสะอาดให้ทุกวันอาทิตย์ก็ตามภายในห้องมีตู้เย็นขนาดเล็กขนมขบเคี้ยวรวมไปถึงกาน้ำร้อนขนาดพกพาอีกทั้งเพราะการเขียนนิยายออกมาสักเรื่องหนึ่งมันใช้เวลาและในตอนที่อารมณ์พาไปหรือจินตนาการพรั่งพรูเดนิมไม่อยากจะลุกออกไปทำอะไรนิ้วเรียวยาวเคาะแป้นพิมพ์อยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียงของแป้นพิมพ์ทำให้เขาลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าสมาธิจดจ่ออยู่กับหน้าจอและตัวหนังสือตรงหน้าและเขาใช้มันเพื่อระบายของเสียภายในจิตใจเขาระบายมันออกมาเป็นตัวหนังสือตัวละครบางตัวก็คือตัวเองที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาขัดเกลาตัวละครผ่านเหตุการณ์สมมุติต่างๆมากมายมานับไม่ถ้วนหาทางออกให้ตัวละครเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายแต่น่าเสียดายตัวเองกลับหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอเขาติดอยู่ในวังวนความเจ็บปวดของความรักมายาวนานนับสิบปีรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีใจแต่ก็ยังจะเฝ้ารออดทนกับสายตาที่หยามเหยียดอดทนต่อถ้อยคำที่บาดลึกถึงกระดูกคล้ายกับคนไม่รู้สึกรู้สา สุดท้ายกลับฝังตัวเองทั้งเป็นด้วยการทอดกายให้อีกฝ่ายได้เชยชม ในฐานะนักเขียนหากตัวละครตัวนี้จะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่แ

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 13 ไม่ใช่เรื่องสำคัญ

    เดนิมเดินทอดน่องไปตามชายหาด ท้องเริ่มปวดบิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงนั่งตรงเปลที่ชายหาดผูกไว้ นั่งสักพักเลยล้มตัวนอน มือก็ได้แต่กดท้องตัวเองเอาไว้ เดนิมเป็นโรคกระเพาะทานอาหารไม่ตรงเวลาก็จะปวดจนทรมาน อีกอย่างยาลดกรดก็อยู่ในกระเป๋า ตอนนี้เขาเหนื่อยทั้งกายและใจเลยอยากจะนั่งพักสักครู่ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี พี่พัดตักอาหารให้เขา แต่เป็นสิ่งที่ฆ่าเขาให้ตายได้ อีกทั้งตอนสมัยที่เดนิมยังเด็ก หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เดนิมประทับใจในตัวพี่พัดของเขาก็คือพี่พัดจะเป็นฝ่ายคอยระวังเรื่องอาหารการกินของเขาทุกครั้งที่ต้องออกไปทานอาหารข้างนอกกันรวมถึงแฝด แฝดมักจะเผอเรอไม่ถามไถ่หรือมักจะสั่งกุ้งมากิน แต่เป็นพี่พัดเองที่คอยเอาใจใส่ และหาร้านที่ไม่มีส่วนผสมของกุ้งเพื่อเดนิมวันเวลาผ่านพ้นไปคนเราหากเป็นเรื่องสำคัญมักจะไม่ลืม…เดนิมยิ้มเยาะให้ตัวเองก่อนจะนอนอยู่อย่างนั้นแขนซ้ายปิดทับดวงตาปิดบังความน้อยเนื้อต่ำใจและการเดินหนีหรือหลีกเลี่ยงเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นเดนิมจึงนิยามความรักของตัวเองว่าเป็นรักที่ไม่ประกอบวิ่งมายาวนานเพื่อคนคนเดียวมานับสิบปีเขาแพ้กุ้งแต่พี่พ

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 14 ไม่รู้จะต้องทำตัวอย่างไร

    เดนิมแตะบัตรค่อยๆเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายทำอะไรอยู่เดนิมเปลี่ยนเป็นรองเท้าสลิปเปอร์ก่อนจะเห็นว่ากระเป๋าของตัวเองยังวางอยู่ที่หน้าประตูเหลือเพียงกระเป๋าใบเดียวพี่พัดคงกลับเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วเดนิมกำที่จับกระเป๋าล้อเลื่อนของตัวเองแน่นก่อนจะตัดสินใจที่จะไปนอนกับพี่แฝดเขาไม่อยากให้การมาทำงานครั้งนี้ของพี่พัดมีปัญหาหรือรู้สึกอึดอัดเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินออกมาจากประตูเสียงเอ่ยราบเรียบก็ทักขึ้นมา“เข้ามาแล้วจะออกไปไหนอีก” น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์แต่เดนิมรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจอยู่เนืองๆเขาไม่ได้ตอบแต่ค่อยๆเดินผ่านโถงทางเดินเข้าไปก่อนจะเจอกับโซนห้องนั่งเล่นตรงกลางโซฟาหันหน้าเข้าหาทะเลภาพวิวเบื้องหน้ามีสระน้ำขนาดกลางส่วนตัวให้แขกได้พักผ่อนมีตาข่ายให้ได้นอนอาบแดดนับได้ว่าเป็นห้องพักที่เยี่ยมยอดที่สุดของ The Grand DAE เลยก็ว่าได้พิพัฒน์นั่งจิบบรั่นดีสีอำพันในมือสายตาทอดมองไปยังวิวตรงหน้าน้อยครั้งนักที่เดนิมจะเห็นว่าอีกฝ่ายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่จะเป็นชาร้อนหากต้องอ่านรายงานค่อนคืน“คือ…นิมจะไปนอนกับพี่แฝด”“ใช่แ

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 15 อยากจะเก็บรอยยิ้มนี้เอาไว้

    ช่วงเช้าพายุฝนสงบท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนว่าไม่เคยเกิดพายุฝนคะนองมาก่อนเดนิมตื่นเช้าเหมือนเช่นเคยอาหารเช้ามาส่งแล้วอีกอย่างเขาเองก็ไม่ชอบแบบที่ลอยอยู่กลางน้ำเพราะนึกถึงเวลาเศษอาหารตกลงในสระมันทำความสะอาดค่อนข้างยากเขาจึงบอกให้บริกรวางไว้ที่ขอบสระเดนิมรออาหารย่อยสักพักก็ลงไปว่ายน้ำเขาสวมกางเกงว่ายน้ำเพียงตัวเดียวอีกอย่างก็เป็นสระส่วนตัวน้ำเย็นๆบรรยากาศยามเช้าที่แจ่มใสรวมไปถึงทัศนียภาพของทิวทัศน์ตรงหน้าทำให้เขาไม่อยากกลับเลยจริงๆที่ว่ากันว่านั่งโง่ๆอยู่ริมทะเลนั้นไม่เกินจริงเดนิมหันหลังเท้าคางมองทิวทัศน์ข้างหน้าน้ำทะเลสีฟ้าครามตัดกับเส้นขอบกับพระอาทิตย์อย่างลงตัวเห็นพี่แฝดบอกว่าในทะเลมีพวกปลากระเบนว่ายมาทักทายบริเวณบังกะโลกลางน้ำแห่งนี้ด้วย เดนิมจ้องมองผืนน้ำทะเลอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาอยู่คู่หนึ่งจดจ้องการกระทำของเขาตลอดตั้งแต่แหวกว่ายอยู่ในสระเดนิมหันหลังให้ทิวทัศน์ก่อนจะคว้าเอาห่วงยางที่นอนลอยน้ำเขาขึ้นไปนอนบนนั้นแล้วยิ้มแฉ่งให้กับพระอาทิตย์สองมือวักน้ำจนทำให้ห่วงยางนั้นลอยไปลอยมา“เล่นเหมือนเด็กๆไปได้” ไม่รู้เมื่อไหร่ที่พิพัฒน์เอาแต่จดจ้องร่างบางที่สวมเพียงแค่กางเกงว่ายน้ำตัว

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 16 อยากจะรู้จักให้มากขึ้น

    ทางด้านพิพัฒน์เองเขาจดจ้องใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มมีชีวิตชีวาของเดนิมโดยไม่ละสายตาไปสักเสี้ยววินาที มันไม่ใช่รอยยิ้มแกน ๆ ที่คอยส่งมาให้เขา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มไปถึงดวงตา เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ พิพัฒน์สังเกตเห็นว่าเดนิมทำเหมือนว่าเขาเป็นยักษ์เป็นมารเวลาที่เข้าใกล้ และมักจะก้าวเท้าถอยหลังเสมอ คล้ายว่าเป็นการขีดเส้นระหว่างกัน ไม่มีใครควรล้ำเส้นกันไปมากกว่านี้ แถมยังเป็นฝ่ายหลบสายตา เหมือนว่าการมีอยู่ของตัวเองทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกแย่เดนิมในอุดมคติของเขากับเดนิมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนเป็นคนละคนตอนแรกที่เกิดเรื่องเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยากจะเข้าไปซัดหน้าหวานๆที่เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักเปรี้ยงพิพัฒน์คิดว่าเดนิมร้ายกาจไม่งั้นเขาไม่ต้องมาตกกระไดพลอยโจนอยู่อย่างนี้และการแต่งงานครั้งนี้จะทำให้เจ้าตัวสมหวังอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้แต่พอมาได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันยิ่งได้ใกล้ชิดยิ่งได้รู้จักเหมือนว่าช่วงที่ห่างหายขาดการติดต่อกันไปเดนิมในวันวานยังคงเหมือนเดิมไม่ได้ร้ายกาจหรือมีเล่ห์เหลี่ยมแต่อย่างใดกลับเงียบขรึมเก็บงำความรู้สึกได้เก่งขึ้นและมักจะหลบเลี่ยงปัญหามากกว่าเผชิญหน้าอีกทั้งรอยยิ้มที่ประดับ

บทล่าสุด

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 17 ตัวตนของคนคนหนึ่ง

    เดนิมตื่นมาก็บ่ายสามกว่า ๆ แล้ว เขาคิดว่าตอนนี้พี่พัดคงเก็บของกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว จึงกินนอนเล่นกับพวกแฝด เป็นการรวมตัวกันของครอบครัวที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เล่นน้ำด้วยกันเหมือนเด็กอีกครั้ง พอได้วางความรู้สึกเหล่านั้นลง เดนิมค้นพบว่าความสุขของเขาได้เพิ่มขึ้นทีละนิด แม้จะมีความรู้สึกผิดอยู่เต็มอก แต่ได้แพลนตอนจบเอาไว้แล้วเหมือนกับนิยายที่มีตอนจบไม่ว่าจะสมหวังผิดหวังท้ายสุดก็ต้องเดินทางมาถึงจุดจบไม่ว่าบทสุดท้ายจุดจบจะเป็นเช่นไรเขาเพียงต้องยอมรับมันให้ได้‘ไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง’กว่าจะรู้ว่าความรักในรูปแบบของตัวเองเป็นความรักที่ไม่สมประกอบก็ทำเอาคนอื่นวุ่นวายกันไปทั่วรักที่ดีไม่จำเป็นต้องครอบครองเป็นเจ้าของเดนิมจึงรู้จักที่จะปล่อยวางมันลงคล้ายกับหัวใจได้คลายหนามแหลมที่เกี่ยวพันรัดอยู่บาดแผลและเลือดที่ไหลรินก่อนหน้าค่อยๆสมานเข้าด้วยกันอย่างช้าๆแม้จะทิ้งร่องรอยแผลเป็นเอาไว้แต่ก็เป็นเครื่องเตือนความจำว่าเขาไม่ควรจะรักใครจนทำร้ายตัวเองแบบนั้นอีกและเขาจะต้องเป็นคนที่จัดการความรู้สึกของตนเองไม่ทำให้คนที่รักต้องรู้สึกอึดอัดกับความรู้สึกที่เขามีเดนิมเล่นน้ำจนเหนื่อยหอบอยู่กินดื่มกับแฝดจน

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 16 อยากจะรู้จักให้มากขึ้น

    ทางด้านพิพัฒน์เองเขาจดจ้องใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มมีชีวิตชีวาของเดนิมโดยไม่ละสายตาไปสักเสี้ยววินาที มันไม่ใช่รอยยิ้มแกน ๆ ที่คอยส่งมาให้เขา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มไปถึงดวงตา เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ พิพัฒน์สังเกตเห็นว่าเดนิมทำเหมือนว่าเขาเป็นยักษ์เป็นมารเวลาที่เข้าใกล้ และมักจะก้าวเท้าถอยหลังเสมอ คล้ายว่าเป็นการขีดเส้นระหว่างกัน ไม่มีใครควรล้ำเส้นกันไปมากกว่านี้ แถมยังเป็นฝ่ายหลบสายตา เหมือนว่าการมีอยู่ของตัวเองทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกแย่เดนิมในอุดมคติของเขากับเดนิมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนเป็นคนละคนตอนแรกที่เกิดเรื่องเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยากจะเข้าไปซัดหน้าหวานๆที่เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักเปรี้ยงพิพัฒน์คิดว่าเดนิมร้ายกาจไม่งั้นเขาไม่ต้องมาตกกระไดพลอยโจนอยู่อย่างนี้และการแต่งงานครั้งนี้จะทำให้เจ้าตัวสมหวังอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้แต่พอมาได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันยิ่งได้ใกล้ชิดยิ่งได้รู้จักเหมือนว่าช่วงที่ห่างหายขาดการติดต่อกันไปเดนิมในวันวานยังคงเหมือนเดิมไม่ได้ร้ายกาจหรือมีเล่ห์เหลี่ยมแต่อย่างใดกลับเงียบขรึมเก็บงำความรู้สึกได้เก่งขึ้นและมักจะหลบเลี่ยงปัญหามากกว่าเผชิญหน้าอีกทั้งรอยยิ้มที่ประดับ

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 15 อยากจะเก็บรอยยิ้มนี้เอาไว้

    ช่วงเช้าพายุฝนสงบท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนว่าไม่เคยเกิดพายุฝนคะนองมาก่อนเดนิมตื่นเช้าเหมือนเช่นเคยอาหารเช้ามาส่งแล้วอีกอย่างเขาเองก็ไม่ชอบแบบที่ลอยอยู่กลางน้ำเพราะนึกถึงเวลาเศษอาหารตกลงในสระมันทำความสะอาดค่อนข้างยากเขาจึงบอกให้บริกรวางไว้ที่ขอบสระเดนิมรออาหารย่อยสักพักก็ลงไปว่ายน้ำเขาสวมกางเกงว่ายน้ำเพียงตัวเดียวอีกอย่างก็เป็นสระส่วนตัวน้ำเย็นๆบรรยากาศยามเช้าที่แจ่มใสรวมไปถึงทัศนียภาพของทิวทัศน์ตรงหน้าทำให้เขาไม่อยากกลับเลยจริงๆที่ว่ากันว่านั่งโง่ๆอยู่ริมทะเลนั้นไม่เกินจริงเดนิมหันหลังเท้าคางมองทิวทัศน์ข้างหน้าน้ำทะเลสีฟ้าครามตัดกับเส้นขอบกับพระอาทิตย์อย่างลงตัวเห็นพี่แฝดบอกว่าในทะเลมีพวกปลากระเบนว่ายมาทักทายบริเวณบังกะโลกลางน้ำแห่งนี้ด้วย เดนิมจ้องมองผืนน้ำทะเลอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาอยู่คู่หนึ่งจดจ้องการกระทำของเขาตลอดตั้งแต่แหวกว่ายอยู่ในสระเดนิมหันหลังให้ทิวทัศน์ก่อนจะคว้าเอาห่วงยางที่นอนลอยน้ำเขาขึ้นไปนอนบนนั้นแล้วยิ้มแฉ่งให้กับพระอาทิตย์สองมือวักน้ำจนทำให้ห่วงยางนั้นลอยไปลอยมา“เล่นเหมือนเด็กๆไปได้” ไม่รู้เมื่อไหร่ที่พิพัฒน์เอาแต่จดจ้องร่างบางที่สวมเพียงแค่กางเกงว่ายน้ำตัว

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 14 ไม่รู้จะต้องทำตัวอย่างไร

    เดนิมแตะบัตรค่อยๆเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายทำอะไรอยู่เดนิมเปลี่ยนเป็นรองเท้าสลิปเปอร์ก่อนจะเห็นว่ากระเป๋าของตัวเองยังวางอยู่ที่หน้าประตูเหลือเพียงกระเป๋าใบเดียวพี่พัดคงกลับเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วเดนิมกำที่จับกระเป๋าล้อเลื่อนของตัวเองแน่นก่อนจะตัดสินใจที่จะไปนอนกับพี่แฝดเขาไม่อยากให้การมาทำงานครั้งนี้ของพี่พัดมีปัญหาหรือรู้สึกอึดอัดเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินออกมาจากประตูเสียงเอ่ยราบเรียบก็ทักขึ้นมา“เข้ามาแล้วจะออกไปไหนอีก” น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์แต่เดนิมรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจอยู่เนืองๆเขาไม่ได้ตอบแต่ค่อยๆเดินผ่านโถงทางเดินเข้าไปก่อนจะเจอกับโซนห้องนั่งเล่นตรงกลางโซฟาหันหน้าเข้าหาทะเลภาพวิวเบื้องหน้ามีสระน้ำขนาดกลางส่วนตัวให้แขกได้พักผ่อนมีตาข่ายให้ได้นอนอาบแดดนับได้ว่าเป็นห้องพักที่เยี่ยมยอดที่สุดของ The Grand DAE เลยก็ว่าได้พิพัฒน์นั่งจิบบรั่นดีสีอำพันในมือสายตาทอดมองไปยังวิวตรงหน้าน้อยครั้งนักที่เดนิมจะเห็นว่าอีกฝ่ายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่จะเป็นชาร้อนหากต้องอ่านรายงานค่อนคืน“คือ…นิมจะไปนอนกับพี่แฝด”“ใช่แ

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 13 ไม่ใช่เรื่องสำคัญ

    เดนิมเดินทอดน่องไปตามชายหาด ท้องเริ่มปวดบิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงนั่งตรงเปลที่ชายหาดผูกไว้ นั่งสักพักเลยล้มตัวนอน มือก็ได้แต่กดท้องตัวเองเอาไว้ เดนิมเป็นโรคกระเพาะทานอาหารไม่ตรงเวลาก็จะปวดจนทรมาน อีกอย่างยาลดกรดก็อยู่ในกระเป๋า ตอนนี้เขาเหนื่อยทั้งกายและใจเลยอยากจะนั่งพักสักครู่ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี พี่พัดตักอาหารให้เขา แต่เป็นสิ่งที่ฆ่าเขาให้ตายได้ อีกทั้งตอนสมัยที่เดนิมยังเด็ก หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เดนิมประทับใจในตัวพี่พัดของเขาก็คือพี่พัดจะเป็นฝ่ายคอยระวังเรื่องอาหารการกินของเขาทุกครั้งที่ต้องออกไปทานอาหารข้างนอกกันรวมถึงแฝด แฝดมักจะเผอเรอไม่ถามไถ่หรือมักจะสั่งกุ้งมากิน แต่เป็นพี่พัดเองที่คอยเอาใจใส่ และหาร้านที่ไม่มีส่วนผสมของกุ้งเพื่อเดนิมวันเวลาผ่านพ้นไปคนเราหากเป็นเรื่องสำคัญมักจะไม่ลืม…เดนิมยิ้มเยาะให้ตัวเองก่อนจะนอนอยู่อย่างนั้นแขนซ้ายปิดทับดวงตาปิดบังความน้อยเนื้อต่ำใจและการเดินหนีหรือหลีกเลี่ยงเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นเดนิมจึงนิยามความรักของตัวเองว่าเป็นรักที่ไม่ประกอบวิ่งมายาวนานเพื่อคนคนเดียวมานับสิบปีเขาแพ้กุ้งแต่พี่พ

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 12 ไม่ได้ง่ายอย่างใจนึก

    เดนิมไม่ออกจากห้องของตัวเองแม้ว่าป้าแม่บ้านที่แม่ของเขาส่งมาทำความสะอาดให้ทุกวันอาทิตย์ก็ตามภายในห้องมีตู้เย็นขนาดเล็กขนมขบเคี้ยวรวมไปถึงกาน้ำร้อนขนาดพกพาอีกทั้งเพราะการเขียนนิยายออกมาสักเรื่องหนึ่งมันใช้เวลาและในตอนที่อารมณ์พาไปหรือจินตนาการพรั่งพรูเดนิมไม่อยากจะลุกออกไปทำอะไรนิ้วเรียวยาวเคาะแป้นพิมพ์อยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียงของแป้นพิมพ์ทำให้เขาลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าสมาธิจดจ่ออยู่กับหน้าจอและตัวหนังสือตรงหน้าและเขาใช้มันเพื่อระบายของเสียภายในจิตใจเขาระบายมันออกมาเป็นตัวหนังสือตัวละครบางตัวก็คือตัวเองที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาขัดเกลาตัวละครผ่านเหตุการณ์สมมุติต่างๆมากมายมานับไม่ถ้วนหาทางออกให้ตัวละครเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายแต่น่าเสียดายตัวเองกลับหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอเขาติดอยู่ในวังวนความเจ็บปวดของความรักมายาวนานนับสิบปีรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีใจแต่ก็ยังจะเฝ้ารออดทนกับสายตาที่หยามเหยียดอดทนต่อถ้อยคำที่บาดลึกถึงกระดูกคล้ายกับคนไม่รู้สึกรู้สา สุดท้ายกลับฝังตัวเองทั้งเป็นด้วยการทอดกายให้อีกฝ่ายได้เชยชม ในฐานะนักเขียนหากตัวละครตัวนี้จะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่แ

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 11 งานวันเกิด

    บริษัทมีการจัดเลี้ยงฝึกงานแต่เดนิมบอกปัดเขาไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยงกับปัญหาอีกปานัสเป็นญาติของนิชาอีกทั้งก็ไม่ชอบขี้หน้าเขาเป็นทุนเดิมงานเลี้ยงครั้งนี้ไม่ไปดีที่สุดพี่พัดเองก็ไม่ได้ว่าอะไรมีแต่ปานัสที่ดีอกดีใจคุณสิริเองก็เอ่ยชมเขามากขึ้นกว่าแต่ก่อนเดนิมคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วคำชมที่มาจากความจริงใจเพียงเท่านี้ก็มีกำลังใจให้เด็กฝึกงานอย่างเขากระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้นไปอีกอีกอย่างเดนิมก็ไม่ได้จบงานด้านบริหารมาเขาทำได้ดีขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้วชีวิตหลังจากนี้จะได้เป็นอิสระเสียทีเดนิมเลิกเฝ้ารอและเลิกฝันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะทำอะไรดีๆให้พี่พัดแต่ทำไปเหมือนขว้างหินลงสู่ทะเลพี่พัดเกลียดเขาจะตาย…ไม่เห็นหน้ากันจะดีที่สุดเดนิมไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะกลับมาค้างทุกวันหยุดสุดสัปดาห์หรือไม่เขาไม่คิดโทรถามไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญและลำบากใจวันนี้วันศุกร์เขาไม่มีธุระที่ไหนเลยเข้าครัวเองทำอาหารสองสามอย่างทีละน้อยสำหรับคนคนเดียวไข่เจียวตรงหน้าฟูฟ่องส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องครัวเดนิมแกะข้าวหุงสำเร็จเวฟก่อนจะแกะใส่จานแม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้วเดนิมเลือกที่จะหันหลังแล้วทำเป็นไม่เห็นก้มลงทานอาหารตรงหน้

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 10 คนเดียวไม่เหงาเท่าสามคน

    ทางด้านปานัสเมื่อโดนดุไปซึ่งๆหน้าก็ดูจะนอบน้อมขึ้นแต่ก็ยังพยายามจะหักหน้าและปาดหน้าทำงานแทนเดนิมเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมือเจ็บ“นิมช่วยดูตรงนี้หน่อยนะ” สิริเอ่ยพร้อมยื่นแฟ้มให้เดนิมยังไม่ทันยื่นมือออกไปรับปานัสกลับยื่นมือมารับแทน“ให้นัสทำนะครับพี่สิริ” สิริเองก็มองหน้าเดนิมเมื่อเห็นเจ้าตัวพยักหน้าน้อยๆก็ยื่นแฟ้มใส่มือปานัสแทนพร้อมกำชับ“ฝากด้วยนะจ๊ะงานนี้ต้องเสร็จวันนี้ถ้าไม่เสร็จจะจ่ายค่าโอทีให้”ปานัสอ้าปากค้างกลืนน้ำลายลงคอพร้อมรีบเปิดเอกสารในแฟ้มอ่านรายละเอียดคร่าวๆพร้อมอุทานในใจ “ตายห่าไม่น่าเลยกูวันนี้จะเสร็จไหมเนี่ย” พร้อมรีบกุลีกุจอกลับไปนั่งทำที่โต๊ะตัวเองโซนหน้าห้องผู้บริหารแทบไม่มีเสียงพูดคุยตลอดช่วงบ่ายพี่สิริหันมายิ้มเป็นนัยให้เดนิมเดนิมค้อมหัวให้ก่อนจะก้มหน้าอ่านเอกสารในมือจนเลิกงานปานัสขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเมื่อเวลาเลิกงานพนักงานทุกคนทยอยกลับรวมไปถึงเดนิมที่เดินมาอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงานของตัวเองเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ขอบคุณปานัสมากนะที่ช่วยทำงานนี้แทนเราเราขอตัวก่อนนะ” ปานัสแสร้งยิ้มก่อนจะกัดฟันตอบ “กลับก่อนได้เลยจ้ะ” แต่ในใจก่นด่าอีกฝ่ายสิบกว่ารอบเดนิมที่กำลังลงลิฟต์ไปย

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 9 เหนื่อยล้าเกินกว่าจะเอ่ยปาก

    ทางด้านเดนิมโชคดีที่กาแฟวางพักไว้สักครู่บนเคาน์เตอร์แผลจึงไม่ได้ร้ายแรงเป็นแผลไหม้ระดับสองมีตุ่มพองใสแต่ก็ปวดแสบมากเพราะเส้นประสาทบริเวณผิวหนังยังเหลืออยู่ไม่ได้ถูกทำลายไปมากนักการหายของแผลใช้เวลาประมาณสองถึงสามสัปดาห์คุณหมอจึงให้ครีมทายาภายนอกรวมไปถึงการปิดแผลด้วยผ้าก๊อซอีกทั้งยังกำชับไม่ให้โดนน้ำรวมไปถึงที่ต้นขาด้านขวาด้วยเดนิมทำแผลเสร็จพี่แฝดก็โทรมาตอนอยู่ในรถพอดีเขากดรับสายก่อนจะทำน้ำเสียงปกติ “ว่าไงครับ”“วันนี้ว่างหรือเปล่าเราพี่สองคนจะไปรับไปทานข้าว”“วันนี้คงไม่ได้ครับ”“เดี๋ยวพี่โทรไปหาไอ้พัดให้”“อย่าดีกว่าครับเดี๋ยวพี่พัดจะว่าเอาตอนนี้ผมเป็นแค่พนักงานฝึกงานนะครับพี่แฝดอย่าลืม” เดนิมพยายามทำน้ำเสียงให้สดใส “อีกอย่างมีนักศึกษาฝึกงานคนอื่นมาฝึกด้วย”“แล้วเราจะว่างเมื่อไหร่” เดนีนแทรกขึ้นมา“เดี๋ยวถ้าว่างจะโทรไปนัดพี่ๆอีกทีนะครับไม่ต้องกลัวว่าพวกพี่แฝดจะไม่ได้จ่ายรับรองวันนั้นต้องจ่ายให้น้องทั้งวันนะครับ” แฝดต่างหัวเราะ “หาเวลามาให้ได้เถอะน้องคนเดียวจะเท่าไหร่เชียวแพงแค่ไหนก็เลี้ยงได้” ทั้งสามคนหัวเราะก่อนจะกดวางสายเดนิมถอนหายใจก่อนจะสตาร์ทรถกลับบ้านโดยไม่ได้ดูสายที่ไม่ได้รับก

DMCA.com Protection Status