แม้ไม่อยากทำให้พี่พัดอึดอัด เดนิมมักจะปลีกตัวและไม่เข้าหาอีกฝ่ายโดยไม่จำเป็น ยิ่งในบริษัทเขาทำเหมือนเป็นพนักงานคนหนึ่งที่ไม่ได้มีสัมพันธ์เกินเลยกับเจ้านาย เดนิมวางตัวดีและพยายามหักห้ามความรู้สึกของตัวเองอยู่เสมอ แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายมักจะมีข้ออ้างให้เขาต้องติดสอยห้อยท้ายออกไปพบปะพูดคุยกับคู่ค้าอยู่เสมอเช่นกัน และแล้วเดนิมก็หาสาเหตุเจอว่าพี่พัดจะเก็บเขาไว้ข้างตัวทำไม ในที่สุดวันนี้ก็ได้รู้ ตลอดเวลาที่เขาตามพี่พัดไปทำงาน แม้จะโดยสารไปด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้กลับพร้อมกัน เดนิมชินกับความเป็นอยู่และการถูกปฏิบัติแบบนี้เสียแล้ว ไม่คาดหวัง…ไม่ผิดหวัง ตลอดระยะเวลาหลายสัปดาห์อีกฝ่ายมักจะพาเขาไปเรียนรู้งาน พบปะสังสรรค์ลูกค้าในฐานะเด็กฝึกงาน แต่ว่าไม่มีครั้งไหนน่าอึดอัดเท่าครั้งนี้มาก่อน ทั้ง ๆ ที่เป็นร้านอาหารสุดหรู บรรยากาศดี แต่ทว่าผู้ร่วมโต๊ะอีกคนกลับทำให้เดนิมรู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นที่สุด…ผู้หญิงที่มอมยาพี่พัดในวันนั้นก็คือคุณนิชา ซึ่งเป็นคู่ค้าของพี่พัดมายาวนาน
เดนิมนั่งกึ่งกลางระหว่างโต๊ะจะว่าไปหากตัดเรื่องเลวร้ายที่นิชาทำลงไปก็ดูจะเหมาะสมกับพี่พัดมากกว่าเขาทุกตรงทั้งคู่ทักทายกันอย่างคุ้นเคยเป็นกันเองรอยยิ้มนั้นเขาไม่เคยได้จากพี่พัดมานานหลายสิบปีแต่อีกฝ่ายกลับฉีกยิ้มให้ใครอีกคนอย่างง่ายดายโดยไม่ฝืนเดนิมหลุบตาแต่ก็ต้องชะงักเมื่อนิชาเป็นฝ่ายชวนคุยอย่างเป็นกันเอง
“พัดนี่ใช่เด็กฝึกที่พัดเคยเล่าให้ชาฟังหรือเปล่า”
“ใช่”
“สวัสดีครับ” เดนิมยกมือไหว้แต่นิชาก็ทำทีเป็นบอกว่า “อุ๊ย ไม่ต้องไหว้หรอกจ้ะคนกันเองเห็นพัดบอกว่าพึ่งมาฝึกได้ไม่นานพี่นิชานะส่วนเราน้องนิมใช่ไหม”
“ใช่ครับ” เดนิมตอบก่อนจะยกน้ำเปล่าขึ้นมาจิบเดนิมมือเย็นเฉียบเขารู้สึกไม่ดีที่ต้องปั้นหน้ายิ้มทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้ไม่เหมือนนิชาแต่อีกฝ่ายกลับตีความผิดคิดว่าเขาประหม่าที่มีโอกาสมาภัตตาคารหรูสัญชาติฝรั่งเศสเป็นครั้งแรก
“มาครั้งแรกเหรอถ้าสั่งไม่เป็นบอกพี่ได้นะพี่ช่วยสั่งให้”
“ขอบคุณครับ” เดนิมใช้อีกครึ่งชีวิตที่ฝรั่งเศสแต่เขาไม่อยากจะหักหน้าอีกฝ่ายยังไงก็เป็นคู่ค้าคนสำคัญของบริษัทการทำงานจะต้องไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกันเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อบริษัทแม้อีกฝ่ายจะเป็นศัตรูหัวใจตัวฉกาจก็ตามพิพัฒน์อยากจะเอ่ยปากบอกนิชาแต่พอเห็นท่าทีของเดนิมเขาก็เลยไม่ปริปากพูดอะไรออกมา
บริกรเอาเมนูอาหารมาให้นิชาสั่งอาหารอย่างคุ้นเคยส่วนเดนิมเปิดไปมาอยู่หลายหน้านิชายิ้มให้กับพิพัฒน์เมื่อเห็นเด็กฝึกงานไม่ยอมสั่งอาหารสักทีที่เดนิมไม่สั่งเพราะเขากลัวเรื่องการแพ้อาหารของตัวเองจึงเลือกดูส่วนประกอบอย่างพิถีพิถันสุดท้ายจึงเลือกสลัดนิสมาหนึ่งจาน
นิชาเอ่ยแซว “ไม่ต้องเกรงใจผู้บริหารเขาหรอก…จริงไหมพัด” พิพัฒน์พยักหน้าก่อนจะหันมาเอ่ยกับคนข้างๆ “อยากทานอะไรก็สั่งไม่ต้องเกรงใจ” เดนิมกล่าวขอบคุณก่อนจะขออนุญาตลุกไปทำธุระส่วนตัวแต่ความจริงเขาลุกไปหาเมเนเจอร์บอกว่าตัวเขาเองมีอาการแพ้กุ้งระดับรุนแรงจึงอยากจะให้แยกจานชามและวัตถุดิบเมเนเจอร์จัดการให้อย่างรวดเร็วเพราะการแพ้อาหารเป็นเรื่องที่ภัตตาคารใส่ใจเป็นอันดับต้นๆเดนิมไม่อยากให้เกิดเรื่องวุ่นวายเพราะตัวเองจึงเลือกที่จะเดินมาบอกด้วยตัวเองอีกอย่างพี่พัดชอบกินกุ้งซะขนาดนั้นเขาไม่อยากให้ใครต้องมาเสียสละทานของที่ไม่ชอบเวลาที่ต้องร่วมทานอาหารกับเขานั่นคือข้อเสียของเดนิมอีกหนึ่งอย่างนั่นก็คือ…เกรงใจคนอื่นมากเกินไป
เดนิมเดินไปเข้าห้องน้ำที่ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างเพศชายและเพศหญิงเป็นห้องน้ำสำหรับ MPREG เพศชายที่พิเศษเดนิมทำธุระเสร็จกำลังจะเดินออกมาจากประตูที่มีฉากกั้นระหว่างห้องน้ำหญิงเขาได้ยินเสียงคล้ายนิชาจึงเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
“แล้วจะให้หนูทำยังไงละคะพ่อก็ควรจะเลิกเข้าบ่อนเสียทีคิดว่ามันทำได้ง่ายๆซะที่ไหน”
“พัดเขาไม่ได้โง่คราวที่แล้วก็พลาดไปแล้วทีนึง”
“ขอทางด้วยครับ” เสียงผู้ชายดังขึ้นมาข้างหลังเดนิมเดนิมตกใจตกเผลอเตะถังขยะที่อยู่ข้างหน้าเสียงดังโครมทำให้นิชาเองก็ตกใจเหมือนกันและกลัวว่าจะมีคนได้ยินข้อความที่เขาคุยกับปลายสายเมื่อสักครู่
“แค่นี้ก่อนนะคะ” นิชารีบกดวางสายพลางสอดสายตาหาคนที่อยู่อีกฟากด้านที่กั้นก่อนจะเดินสับเท้าออกไปด้วยความโมโหเลี้ยวหายไปสักพักเดนิมก็เป่าปากเดินออกมาจากหลังถังขยะอีกทั้งยังโชคดีที่หัวไวกดบันทึกเสียงเอาไว้ได้เขาส่งไปเก็บไว้ใน Clouds ของตัวเองอย่างน้อยหากโทรศัพท์มือถือหายไปก็ยังพอมีหลักฐานหลงเหลืออยู่เดนิมใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อยอย่างน้อยก็มีเสียงนี้แก้ต่างให้กับตัวเองว่าแต่พี่พัดยังจะอยากฟังอยู่หรือเปล่าก็แค่นั้น
เดนิมเดินออกไปพอเลี้ยวขวาก็เจอกับนิชาที่ดักรออยู่ก่อนแล้ว
“ว่าแล้วเชียวแกมันหน้าคุ้นๆ” นิชาที่โต๊ะอาหารกับนิชาที่ยืนต่อหน้าเขาเหมือนเป็นคนละคนเหมือนนางร้ายในละครไม่มีผิดเดนิมปั้นหน้ายิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“แกใช่คนที่ไปกับไอ้เด็กฝรั่งนั่นที่โรงแรมใช่ไหม” นิ้วเรียวยาวเล็บสีแดงสดชี้หน้าเดนิมอย่างคาดโทษหากไม่ใช่ไอ้เด็กสองตัวนี่ป่านนี้เธอสบายไปแล้วไม่ต้องวิ่งหาเงินหัวซุกหัวซุนอยู่อย่างนี้กว่าจะนัดพิพัฒน์ออกมาได้ช่างยากเย็นพอมาเจอกันก็ดันหนีบเอาไอ้เด็กบ้าพวกนี้มาด้วยอีกจะไม่ให้เธออกแตกตายได้ยังไงทนปั้นยิ้มต่อหน้าได้นานขนาดนั้นถือว่าเก่งมากแล้ว
“แกคงได้ยินที่ฉันคุยโทรศัพท์สินะ” สองมือเริ่มคุ้ยหาโทรศัพท์มือถือของเดนิม “เอามานะฉันบอกให้ส่งโทรศัพท์แกมา” เดนิมปัดป้องมือทั้งสองข้างที่กำลังจะพยายามจะหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาไปอย่างหน้าด้านๆเล็บสีแดงสดจิกข่วนไปทั้งหลังมือของเดนิมจนเลือดซิบ “คุณเป็นบ้าไปแล้วหรือไงโทรศัพท์ของผมเกี่ยวอะไรกับคุณ”
“เพราะแกแกทำแผนฉันพัง” นิชาเลือดขึ้นหน้าลงมือทุบตีอีกฝ่ายระรัวด้วยไฟแค้นที่สุมอกอีกทั้งเธอไม่รู้เลยว่าเด็กตรงหน้าเป็นลูกชายคนสุดท้องของศศิภักดีอีกทั้งแทบไม่มีข่าวหรือขึ้นหน้าสื่อออนไลน์ที่ไหนมาก่อนอีกด้วย
นิชาเร่ิมคุมอารมณ์ไม่อยู่ใกล้จะเบรกแตกเข้าไปทุกทีเธอนึกว่าไอ้เด็กฝึกงานนี้จะเหมือนลูกไก่ในกำมือที่ไหนได้กลายเป็นแมวขโมยปลาย่างไปชัดๆ “คืนนั้นแกเอาพัดไปที่ไหนต่อตอบฉันมา” เสื้อผ้าเดรสชุดสวยของนิชาเริ่มหลุดลุ่ยสองตาแดงก่ำ “คืนนั้นเขานอนกับแกใช่ไหมใช่ไหม!” นิชาถามเสียงดังตอนแรกเธอก็แค่ถามไปอย่างนั้นเพราะอารมณ์โกรธแต่พอเห็นท่าทีผงะของอีกฝ่ายไหนจะสองตาที่เบิกกว้างแรงที่ปัดป้องเหมือนจะหายไปชั่วขณะนิชาสบโอกาสจึงฟาดฝ่ามือลงบนแก้มขาวนั้นเต็มแรงเดนิมหน้าหันไปตามแรงตบความรู้สึกชารวมไปถึงใบหูที่อื้ออึงทำให้เดนิมนิ่งค้างไปชั่วขณะอีกทั้งตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับเขามาก่อนไม่เคยมีเลยสักครั้ง…เดนิมกอบกุมแก้มซ้ายของตัวเองก่อนจะสวนกำปั้นไปยังคนตรงหน้าอย่างไม่ออมแรงนิชาหงายหลังพร้อมกับกรีดร้องโวยวายเสียงดังประจวบกับที่พิพัฒน์ออกมาตามทั้งคู่พอดีเขาไม่รู้ต้นสายปลายเหตุแต่เห็นเดนิมชกนิชาเต็มแรงจนอีกฝ่ายล้มก้นจ้ำเบ้าอีกทั้งจมูกยังมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด
“นี่มันอะไรกันนิม” ปากก็ถามแต่สองมือรีบประคองนิชาให้ยืนขึ้นอีกครั้งนิชาเอาความเป็นผู้หญิงมาเรียกร้องความสงสารและเห็นใจแขกที่ออกมาเข้าห้องน้ำรวมไปถึงเมเนเจอร์ต่างก็เข้ามาสอบถามสถานการณ์เผื่อจะได้ช่วยเหลือและแจ้งความ
“เกิดอะไรขึ้นคุณนิชา” พิพัฒน์ถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นสภาพไม่สู้ดีของอีกฝ่าย “แจ้งความก็ดีเหมือนกันจะได้รู้ว่าใครกันแน่ที่ควรจะไปนอนคุก!” เดนิมเอ่ยเสียงสั่นพิพัฒน์ถามนิชาอีกครั้งเพราะจากที่เขาเห็นเดนิมซัดกำปั้นใส่อีกฝ่ายอย่างแรงไม่รู้ว่าทะเลาะอะไรกันโดยไม่ได้ปรายตามองเดนิมที่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นเดนิมกัดริมฝีปากพร้อมกำหมัดแน่นก่อนจะเดินแหวกฝูงชนออกไปโดยไม่มองข้างหลังอีกแต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินคำพูดอีกฝ่ายไล่หลังมา “กลับไปรอที่บ้านเรามีเรื่องต้องคุยกัน” เดนิมไม่ตอบแต่เดินออกไปทั้งอย่างนั้นแม้เหตุการณ์จะชุลมุนวุ่นวายแต่สองหูของนิชาฟังไม่ผิดแน่เธอเบิกตากว้างเมื่อเห็นพิพัฒน์ทอดสายตามองตามหลังของอีกฝ่ายไปอย่างคาดโทษอีกทั้งหากเธอไม่โง่แสดงว่าสองคนนี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดามิหนำซ้ำยังอยู่ด้วยกันอีกด้วยแม้จะอยากซักถามมากแค่ไหนแต่สถานการณ์กลับไม่เป็นใจเธอจึงจำใจกลืนก้อนคำถามนั้นแล้วเรียกร้องความสงสารจากอีกฝ่ายให้มากที่สุด
พิพัฒน์กว่าจะส่งนิชากลับกว่าจะเดินทางมาถึงบ้านเวลาก็ล่วงเลยเช้าวันใหม่ของอีกวันดีที่ว่าพรุ่งนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์อารมณ์ที่คุกรุ่นก่อนหน้ากลับกำลังปะทุขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นเดนิมนอนมาร์สหน้าสบายใจเฉิบอยู่ที่โซฟา
“นิมทำอะไรลงไปรู้ตัวหรือเปล่า” พิพัฒน์ตะคอกถามเสียงดังเดนิมกอดหมอนอิงในอกไว้แน่นก่อนจะลืมตาน้ำสีใสไหลออกมาจากหางตาอย่างเงียบเชียบละลายหายไปพร้อมกับมาร์สที่อยู่บนใบหน้า
“รู้ครับ”
“รู้แล้วทำไมยังทำ!”
“แล้วทำไมถึงไม่สมควรทำล่ะครับ”
“แล้วสิ่งที่เราทำมันถูกต้องแล้วเหรอ”
“แล้วสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นทำถูกต้องที่ตรงไหน”
“อย่ามายอกย้อนพี่”
“แล้วพี่พัดจะมาถามอะไรนิมในเมื่อพี่พัดมองว่านิมเป็นคนผิด” พิพัฒน์เดินมาหยุดตรงหน้าเดนิมที่กำลังหลับตาพริ้มนอนมาร์สหน้าอยู่อย่างนั้นหากพิพัฒน์ดึงมาร์สหน้าแผ่นสีขาวนั้นออกจะเห็นว่าแก้มด้านซ้ายบวมตุ่ยอีกทั้งมุมปากแตกจนห้อเลือดแต่เดนิมเลือกที่จะปกปิดความเจ็บปวดนั้นด้วยมาร์สหน้าแผ่นสีขาวหนึ่งแผ่นเจ็บที่กายไม่เท่าเจ็บที่ใจเลือดที่อกไหลรินไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหล
“รู้ตัวว่าผิดก็ดี…” พิพัฒน์เท้าสะเอวก่อนจะเดินไปมาเขาหยุดฝีเท้าไว้ที่หน้าห้องตัวเอง “ไปขอโทษคุณนิชาซะเขาต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลเพราะนิมจะเรื่องอะไรก็แล้วแต่ไม่สมควรใช้กำลังไม่สมกับเป็นปัญญาชน” อีกฝ่ายเว้นวรรคก่อนจะเอ่ยถ้อยคำที่บาดลึกลงไปในจิตใจของเดนิมอีกร้อยแผล “นิมไม่สมกับเป็นศศิภักดีเลยสักนิด”
“ไม่สมกับเป็นศศิภักดีเลยสักนิด!!!”
คำนี้คอยหลอกหลอนเดนิมตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาเดนิมเป็นลูกคนสุดท้องหรือจะเรียกว่าลูกหลงเขาเกิดมาพร้อมกับความพิเศษของร่างกายเป็นทายาทคนเดียวของศศิภักดีที่ได้รับพรอันประเสริฐนี้แต่ทว่าเดนิมไม่เคยยินดีเพราะเกิดมาในตระกูลที่ร่ำรวยผู้คนต่างก็คิดว่าเขามักจะได้อะไรมาโดยง่ายดายมีคอนเนกชันชีวิตประสบผลสำเร็จได้โดยง่ายอีกทั้งเขามักจะถูกเปรียบเทียบกับสองแฝดอยู่เสมอไม่ว่าจะทั้งรูปร่างหน้าตามันสมองและความองอาจสง่างามที่สองแฝดมีเดนิมเหมือนผู้หญิงที่ไว้ผมสั้นเสียมากกว่าเพราะว่าสามารถตั้งครรภ์ได้ไม่ว่าผิวพรรณรูปร่างค่อนมาทางผู้หญิงเสียส่วนใหญ่อีกอย่างเพราะร่างกายพิเศษพ่อแม่และพี่ชายต่างก็พะเน้าพะนอจนไม่สามารถใช้ชีวิตปกติโลดโผนอย่างผู้ชายคนหนึ่งได้เขาไม่เคยไปเข้าค่ายตั้งแคมป์กับทางโรงเรียนไม่เคยเข้ากลุ่มเพื่อนผู้ชายทำรายงานหากจะไปทำงานกลุ่มสองแฝดมักจะผลัดกันไปเฝ้าด้วยเหตุผลนี้เขาจึงขออนุญาตไปเล่าเรียนที่ฝรั่งเศสอยากเติบโตด้วยสองขาของตัวเองเพราะเขารู้ดีว่าไม่อาจอยู่ใต้ปีกของสองแฝดได้ตลอดไปจะเรียกได้ว่ามันเป็นปมภายในใจของเดนิมที่กาลเวลาก็ไม่สามารถคลายมันออกไปได้
เขาเรียนรู้ที่จะหาเงินเองตั้งแต่เด็กโดยการเขียนนิยายใช้นามปากกาหนึ่งทำร้านเสื้อผ้าตอนนี้ก็กำลังจะมีโปรเจกต์ใหม่ที่ออกแบบคอลแลปกับเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพน้องใหม่ยี่ห้อหนึ่งทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมาจากน้ำพักน้ำแรงเขาทั้งหมดเขาไม่เคยใช้เส้นสายของศศิภักดีด้วยเหตุนี้จึงไม่ปรากฏชื่อลูกชายคนเล็กของเจ้าสัวผู้คุมบังเหียนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และอื่นๆอีกมากมายแทบไม่มีใครรู้จักเขาอีกทั้งเดนิมคิดว่าตัวเองยังไม่ดีพอและไม่เคยดีพอที่จะใช้นามสกุลศศิภักดีเขาอยากจะประสบผลสำเร็จด้วยตัวเองเมื่อตอนนั้นมาถึงเขาจะได้พูดอย่างเต็มปากว่าเขาก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของศศิภักดีคนหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้เดนิมเคี่ยวเข็ญตัวเองอย่างหนักแม้งานด้านการเขียนเขาจะประสบผลสำเร็จในระดับหนึ่งแต่เขาอยากจะไปให้ไกลมากกว่านั้นอยากจะมีนิยายของตัวเองที่แปลเป็นภาษาอื่นๆสักสี่ถึงห้าภาษารวมไปถึงได้เห็นตัวละครโลดแล่นอยู่ในจอนั่นถึงจะถือว่าเขาประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่พอได้ยินประโยคที่เชือดเฉือนหัวใจคนฟัง “ไม่สมกับเป็นศศิภักดีเลยสักนิด” หัวใจที่เต้นเพื่อไขว่คว้าหาความสำเร็จก่อนหน้าแทบจะหยุดเต้นลงไปทันใด
เดนิมดึงมาร์สหน้าออกจากใบหน้าที่บวมตุ่ยก่อนจะใช้กระดาษทิชชูซับหน้าจนแห้งนอนลงบนเตียงไปทั้งอย่างนั้นน้ำตาของเขาเหือดแห้งไปนานแล้วเหลือเพียงแต่แผลใจที่เลือดกำลังรินไหลคล้ายไม่มีวันแห้งเหือด
เช้าวันเสาร์เดนิมก็ยังไม่ออกมาจากห้องนอนของตัวเองส่วนพิพัฒน์เองก็ไม่ได้สนใจเองเช่นกันเขาคิดว่าเดนิมคงจะโกรธและอาจงอนที่ถูกเขาตำหนิติเตียนในสายตาพิพัฒน์เดนิมไม่ได้โตมากขนาดนั้นอาจเพราะการเลี้ยงดูที่ถูกเอาอกเอาใจมาตั้งแต่เด็กพิพัฒน์เลยอยากจะดัดนิสัยหากเดนิมอยากจะอยู่กับเขาก็ต้องทำตามกติกาที่เขาวางไว้จะได้อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ
แต่อีกด้านหนึ่งในห้องนอนเดนิมไข้ขึ้นทั้งคืนเขาลุกมากินยาน้ำและเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวเพื่อไม่ให้ไข้ขึ้นสูงเกินไปเพราะจากบ้านเกิดเมืองนอนไปร่ำเรียนที่ต่างประเทศตามลำพังหลายปีเดนิมเลยเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือตัวเองทำอะไรด้วยตัวเองมาตั้งแต่นั้นแต่ทว่าแม้ภายนอกจะดูเติบโตขึ้นไม่น้อยแต่ตัวเองก็หวังว่าจะมีใครสักคนที่สามารถฝากผีฝากไข้ได้คนเราแม้ภายนอกจะดูเข้มแข็งมากแค่ไหนก็มีมุมที่อ่อนแออยากจะซบไหล่เอ่ยเล่าความทุกข์ยากเรื่องที่ประสบพบเจอให้ใครสักคนได้ฟังเหมือนกัน…ไม่ต้องแบ่งเบาความทุกข์ยากลำบากนั้นก็ได้แค่นั่งข้างๆโอบกอดเขาเพียงเท่านั้นก็พอแล้ว
แม่บ้านมาทำความสะอาดพร้อมหอบอาหารมากมายมาหลายกล่องทันทีที่กดออดก็เห็นพิพัฒน์มาเปิดประตูให้แม้ลึกๆจะรู้สึกยินดีที่คุณหนูของตนไม่ต้องทนเหงาเพียงลำพังแต่พอเห็นใบหน้าคมคร้ามที่บึ้งตึงแม้ไม่แสดงอารมณ์ออกมาแต่ก็ทำให้แม่บ้านอย่างพวกเธอรู้สึกหวาดกลัวไม่กล้าแม้จะสบตาด้วยซ้ำได้แต่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างขะมักเขม้นทำเสร็จไม่กี่ชั่วโมงก็กลับมีเพียงสองห้องนอนที่เหล่าแม่บ้านไม่ได้เข้าไปยุ่มย่ามนั้นก็คือห้องนอนใหญ่ทั้งสองห้องที่เจ้าของห้องไม่แม้แต่จะก้าวออกมา
สายใจหัวหน้าแม่บ้านถอนหายใจเมื่อเห็นสภาพความเป็นอยู่ของคนทั้งสองแล้วไม่รู้ว่าคุณท่านคิดยังไงกันแน่ถึงได้ส่งคุณหนูของเธอมาทรมานที่นี่อย่าว่าแต่หนึ่งปีเลยต่อให้สิบปีก็ไม่รู้ว่ารอยร้าวนี้จะประสานกันได้อย่างสนิทหรือเปล่าและใช่ว่าคุณหนูของเธอจะสมหวัง
เมื่อไข้เริ่มลดท้องก็เริ่มหิวเดนิมลืมตาขึ้นมาก็เห็นนาฬิกาบอกเวลาบ่ายสามเขาลุกขึ้นไปอาบน้ำจัดการธุระส่วนตัวก่อนจะออกไปหาอะไรรองท้องเวลานี้ที่บ้านจะต้องส่งคนมาทำความสะอาดแล้วแม่ของเขาก็จะต้องห่อกับข้าวมาให้หลายสิบอย่างเดนิมยิ้มกริ่มก่อนจะเดินไปยังโซนห้องอาหารที่ถูกกั้นด้วยกระจกใสบนโต๊ะมีทั้งอาหารคาวหวานแล้วก็ผลไม้หลายอย่างเดนิมมองหาสิ่งที่อยากทานสองมือจะชะงักเมื่อได้ยิน
“นึกว่าจะไม่ออกจากห้องมาซะแล้ว” พิพัฒน์เปิดประตูเข้ามาก่อนจะยืนห่างจากแผ่นหลังบอบบางนั้นไม่กี่ก้าวเดนิมไม่หันกลับไปเพียงแต่เอ่ยถามคำถามที่รู้คำตอบอยู่แล้ว
“พี่พัดมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“แล้วพี่ต้องมีอะไรก่อนถึงจะเจอนิมได้อย่างงั้นเหรอ?” แม้น้ำเสียงจะราบเรียบแต่คนฟังก็จับอารมณ์ผู้พูดได้เป็นอย่างดี
“เปล่าครับ…”
“แล้วเรื่องเมื่อวานนิมจะเล่าให้พี่ฟังได้หรือยัง”
“แล้วพี่พัดอยากจะฟังอะไรล่ะครับ”
“นิม…อย่ามายอกย้อน”
“นิมเปล่า…มันก็เป็นเหมือนที่พี่พัดเห็นนิมก็นิสัยไม่ดีแบบนั้นแหละ” เดนิมตอบเสียงเรียบก่อนจะหยิบของที่อยากกินขึ้นมากำลังจะเอาไปอุ่นในไมโครเวฟแต่ก็ถูกอีกฝ่ายเอื้อมมาจากด้านหลังจับกล่องกับข้าวนั้นไว้ก่อนจะวางลงบนโต๊ะหินอ่อนตรงหน้าเดนิมสูงเพียงอกของพิพัฒน์หากมองมาจากด้านหลังจะเห็นว่าแผ่นหลังกำยำนั้นบดบังร่างบอบบางนั้นจนมิด
“หันหน้ามาคุยกับพี่”
“นิมไม่มีอะไรจะคุยกับพี่พัด”
“นิม” สองมือใหญ่บีบบังคับให้ร่างบางนั้นหันหน้ามาสบตากับตนแม้เดนิมจะไม่ยินยอมแต่ก็ไม่สามารถต้านทานแรงของอีกฝ่ายได้แม้จะหันหน้ามาเผชิญกันเดนิมก็ยังคงก้มหน้า
“นิม! อย่าทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโตพี่จะถามว่าเกิดอะไรขึ้น”
“แล้วถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นฝ่ายผิดพี่พัดจะทำยังไงครับ” เดนิมย้อนถาม
“…”
“จริงสิ…เด็กเลี้ยงแกะอย่างนิมพูดอะไรไปพี่พัดก็ไม่เชื่ออยู่ดี” น้ำตาที่แห้งเหือดไปก่อนหน้าเหมือนว่าจะไหลเอ่อมาอีกครั้ง
“ก็พูดมาสิแล้วพี่จะตัดสินอย่างยุติธรรม” เดนิมแค่นหัวเราะก่อนจะพยายามออกจากบรรยากาศกดดันของคนตรงหน้าที่แผ่ออกมาคล้ายกำลังสอบปากคำผู้กระทำผิด
“ทั้งๆที่ใจพี่พัดก็ตัดสินว่านิมผิดไปแล้วไม่ใช่เหรอครับเอาเป็นว่านิมจะไปขอโทษคุณนิชาจะไม่ทำให้ภาพลักษณ์บริษัทต้องเสียหายอีกอย่าง…นิมก็ไม่เหมาะที่จะทำงาน—” ประโยคขาดหายเมื่อถูกอีกฝ่ายเชยคางขึ้นมาแก้มซ้ายยังเหลือร่องรอยจ้ำรอยนิ้วทั้งห้าแม้จะมีสีแดงจางๆแต่ก็มองออกอยู่ดีว่าถูกอะไรมายังไม่รวมมุมปากที่แตกจนห้อเลือดเดนิมไม่สบตาของอีกฝ่ายจึงมองไม่เห็นนัยน์ตาสีนิลที่จ้องมองมาด้วยความรู้สึกแบบไหนเดนิมปัดมือที่จับคางของตัวเองออกอย่างช้าๆก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทาง “ทำไมไม่พูดความจริง”
“พูดไปแล้วไม่มีคนเชื่อสู้ไม่พูดไม่ดีกว่าแล้วพี่พัดไม่คิดว่านิมตบหน้าตัวเองเพื่อเรียกร้องความสงสารบ้างเหรอครับ”
“นิม”
“คุณนิชาเขาก็วางตัวดีจนน่าสงสารจริงๆนั่นแหละไม่เหมือนนิมปกป้องตัวเองก็ว่าร้ายกาจเอาเป็นว่านิมยอมรับผิดทั้งหมดพี่พัดนัดมาได้เลยครับว่าอยากให้นิมไปขอโทษคุณนิชาเมื่อไหร่ที่ไหนจะได้จบเรื่องนี้สักที”
“นิมคิดว่าทำอย่างนี้แล้วทุกอย่างจะจบงั้นเหรอ”
“แล้วพี่พัดอยากจะให้นิมทำอะไรอีกล่ะครับหรือว่าต้องลงไปกราบด้วย” แม้จะปากดีเช่อดเฉือนคำพูดไม่ไว้หน้าใครแต่ภายในใจกลับรวดร้าวอย่างแสนสาหัสก่อนจะหันมาสบตากับคนตรงหน้าอย่างท้าทายแม้ไม่มีคำพูดออกมาสักประโยคแต่พิพัฒน์มองเห็นถึงความน้อยใจและความเสียใจในนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนนั้นเดนิมก้มหน้าก่อนจะสูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่แล้วเอ่ย
“เอาจริงถ้าไม่มีนิมพี่พัดก็เหมาะกับคุณนิชาจริงๆ”
“เหมาะไม่เหมาะไม่ใช่หน้าที่ของใครจะมาตัดสิน”
“เวลาหนึ่งปีมันยาวนานพอที่จะให้พี่พัดคบหาใครสักคนดีกว่ามาติดอยู่ในสถานะบ้าๆแบบนี้เอาแบบนี้ไหมครับ—”
“พี่คิดว่านิมกำลังหลงประเด็น” เดนิมกำหมัดแน่นจนขึ้นข้อขาวก่อนจะก้มลงมองพื้นเพื่อซ่อนหยาดน้ำตาของตัวเอง
“งั้นก็เอาตามที่พี่พัดตัดสินก็แล้วกันนิมไม่มีอะไรจะพูดแล้วจริงๆ” สองเท้าเดินออกมาจากบริเวณห้องครัวด้วยความรู้สึกแย่แย่จนไม่สามารถจะกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดได้เดนิมรู้ดีว่าการเงียบไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดแต่เพียงเพราะอีกฝ่ายเป็นพี่พัดนี่แหละจะมีอะไรทำร้ายความรู้สึกของเราไปมากกว่าคนที่เรารักไม่เชื่อในการกระทำและคำพูดของเราเขากับพี่พัดรู้จักมักจี่กันมาร่วมสิบกว่าปีแต่คำพูดและน้ำหนักกลับสู้นิชาไม่ได้แม้เพียงครึ่งคำก็ไม่เหลือแรงให้อธิบายอะไรอีกแล้วไหนตัวเขาเองก็มีชนักติดหลังเรื่องวางยา
อีกทั้งรู้ตัวดีว่าอธิบายจนคอแตกก็อาจไม่ได้รับความเห็นใจเพียงสักนิด
ทางด้านพิพัฒน์เองเมื่อเห็นใบหน้าหวานนั้นมีร่องรอยของการทำร้ายร่างกายเขาก็ไม่ได้นิ่งนอนใจสอบถามเดนิมไปก็คงไม่ได้ความอีกทั้งนิชาเองก็พูดอีกอย่างแม้เขาจะยังเคืองเรื่องที่โดนวางยาแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าข้างคนผิดระหว่างสองคนนั้นต้องมีใครสักคนที่พูดเท็จและเขาก็หวังว่าจะไม่ใช่เดนิม
“ติดต่อขอกล้องวงจรปิดทั้งหมดที่อยู่ในที่เกิดเหตุรวมถึงคนที่อยู่บริเวณนั้นฉันอยากรู้ว่าเมื่อวานเกิดเรื่องอะไรขึ้น” ธนารับคำก่อนจะกดวางสายแล้วตามคำสั่งของเจ้านายทันที
แม้จะไม่อยากออกมาฝึกงานแต่เมื่อรับปากไว้แล้วก็ต้องทำให้เสร็จสามเดือนก็สามเดือนแค่ไม่กี่สัปดาห์ยังกินพลังงานชีวิตไปซะขนาดนี้ระหว่างเดนิมกับพิพัฒน์ก็ยังมีบรรยากาศกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อยแม้จะอาศัยอยู่ด้วยกันแต่ไม่ได้พูดคุยกันสักประโยคอีกทั้งเดนิมก็เลือกที่จะขับรถไปเองเมื่อก่อนรู้ทั้งรู้ว่าจะต้องโดนกลั่นแกล้งแต่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจแต่หลังจากที่มีปากเสียงกันครานั้นเดนิมก็ไม่อยากจะเป็นฝ่ายถูกกลั่นแกล้งอีกไม่ว่าจะให้เขาหิ้วท้องรอจนดึกดื่นหากวันไหนเขางีบหลับอีกฝ่ายก็จะกลับไปก่อนโดยที่ไม่เอ่ยปากจะเรียกกันอีกทั้งพี่พัดมักจะมีอิริยาบถที่ผ่อนคลายเมื่อไม่ได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังโดยเฉพาะการรับประทานอาหารร่วมกัน…ยิ่งคาดหวังมากเท่าไหร่มันก็จะยิ่งกัดกินความสุขในชีวิตเราไปมากเท่านั้นไม่มีใครไม่อยากสมหวังแต่ทว่ามันไม่เหลืออะไรให้หวังเลยต่างหากอาหารกลางวันคุณน้ามาลินีก็ห่อมาให้พี่พัดเหมือนเดิมเดนิมก็โทรหาสอบถามอยู่บ่อยๆไม่ใช่เพื่อทำคะแนนต่อให้คุณน้ามาลินีจะชมชอบเขามากแค่ไหนแต่เจ้าตัวไม่มีใจมันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดีเดนิมไม่อยากให้เรื่องระหว่างเขากับพี่พัดผิดใจกับผู้ใหญ่และเขาโชคดีที่น้ามาลินีไม่ได้รังเกียจกั
ทางด้านเดนิมโชคดีที่กาแฟวางพักไว้สักครู่บนเคาน์เตอร์แผลจึงไม่ได้ร้ายแรงเป็นแผลไหม้ระดับสองมีตุ่มพองใสแต่ก็ปวดแสบมากเพราะเส้นประสาทบริเวณผิวหนังยังเหลืออยู่ไม่ได้ถูกทำลายไปมากนักการหายของแผลใช้เวลาประมาณสองถึงสามสัปดาห์คุณหมอจึงให้ครีมทายาภายนอกรวมไปถึงการปิดแผลด้วยผ้าก๊อซอีกทั้งยังกำชับไม่ให้โดนน้ำรวมไปถึงที่ต้นขาด้านขวาด้วยเดนิมทำแผลเสร็จพี่แฝดก็โทรมาตอนอยู่ในรถพอดีเขากดรับสายก่อนจะทำน้ำเสียงปกติ “ว่าไงครับ”“วันนี้ว่างหรือเปล่าเราพี่สองคนจะไปรับไปทานข้าว”“วันนี้คงไม่ได้ครับ”“เดี๋ยวพี่โทรไปหาไอ้พัดให้”“อย่าดีกว่าครับเดี๋ยวพี่พัดจะว่าเอาตอนนี้ผมเป็นแค่พนักงานฝึกงานนะครับพี่แฝดอย่าลืม” เดนิมพยายามทำน้ำเสียงให้สดใส “อีกอย่างมีนักศึกษาฝึกงานคนอื่นมาฝึกด้วย”“แล้วเราจะว่างเมื่อไหร่” เดนีนแทรกขึ้นมา“เดี๋ยวถ้าว่างจะโทรไปนัดพี่ๆอีกทีนะครับไม่ต้องกลัวว่าพวกพี่แฝดจะไม่ได้จ่ายรับรองวันนั้นต้องจ่ายให้น้องทั้งวันนะครับ” แฝดต่างหัวเราะ “หาเวลามาให้ได้เถอะน้องคนเดียวจะเท่าไหร่เชียวแพงแค่ไหนก็เลี้ยงได้” ทั้งสามคนหัวเราะก่อนจะกดวางสายเดนิมถอนหายใจก่อนจะสตาร์ทรถกลับบ้านโดยไม่ได้ดูสายที่ไม่ได้รับก
ทางด้านปานัสเมื่อโดนดุไปซึ่งๆหน้าก็ดูจะนอบน้อมขึ้นแต่ก็ยังพยายามจะหักหน้าและปาดหน้าทำงานแทนเดนิมเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมือเจ็บ“นิมช่วยดูตรงนี้หน่อยนะ” สิริเอ่ยพร้อมยื่นแฟ้มให้เดนิมยังไม่ทันยื่นมือออกไปรับปานัสกลับยื่นมือมารับแทน“ให้นัสทำนะครับพี่สิริ” สิริเองก็มองหน้าเดนิมเมื่อเห็นเจ้าตัวพยักหน้าน้อยๆก็ยื่นแฟ้มใส่มือปานัสแทนพร้อมกำชับ“ฝากด้วยนะจ๊ะงานนี้ต้องเสร็จวันนี้ถ้าไม่เสร็จจะจ่ายค่าโอทีให้”ปานัสอ้าปากค้างกลืนน้ำลายลงคอพร้อมรีบเปิดเอกสารในแฟ้มอ่านรายละเอียดคร่าวๆพร้อมอุทานในใจ “ตายห่าไม่น่าเลยกูวันนี้จะเสร็จไหมเนี่ย” พร้อมรีบกุลีกุจอกลับไปนั่งทำที่โต๊ะตัวเองโซนหน้าห้องผู้บริหารแทบไม่มีเสียงพูดคุยตลอดช่วงบ่ายพี่สิริหันมายิ้มเป็นนัยให้เดนิมเดนิมค้อมหัวให้ก่อนจะก้มหน้าอ่านเอกสารในมือจนเลิกงานปานัสขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเมื่อเวลาเลิกงานพนักงานทุกคนทยอยกลับรวมไปถึงเดนิมที่เดินมาอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงานของตัวเองเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ขอบคุณปานัสมากนะที่ช่วยทำงานนี้แทนเราเราขอตัวก่อนนะ” ปานัสแสร้งยิ้มก่อนจะกัดฟันตอบ “กลับก่อนได้เลยจ้ะ” แต่ในใจก่นด่าอีกฝ่ายสิบกว่ารอบเดนิมที่กำลังลงลิฟต์ไปย
บริษัทมีการจัดเลี้ยงฝึกงานแต่เดนิมบอกปัดเขาไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยงกับปัญหาอีกปานัสเป็นญาติของนิชาอีกทั้งก็ไม่ชอบขี้หน้าเขาเป็นทุนเดิมงานเลี้ยงครั้งนี้ไม่ไปดีที่สุดพี่พัดเองก็ไม่ได้ว่าอะไรมีแต่ปานัสที่ดีอกดีใจคุณสิริเองก็เอ่ยชมเขามากขึ้นกว่าแต่ก่อนเดนิมคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วคำชมที่มาจากความจริงใจเพียงเท่านี้ก็มีกำลังใจให้เด็กฝึกงานอย่างเขากระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้นไปอีกอีกอย่างเดนิมก็ไม่ได้จบงานด้านบริหารมาเขาทำได้ดีขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้วชีวิตหลังจากนี้จะได้เป็นอิสระเสียทีเดนิมเลิกเฝ้ารอและเลิกฝันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะทำอะไรดีๆให้พี่พัดแต่ทำไปเหมือนขว้างหินลงสู่ทะเลพี่พัดเกลียดเขาจะตาย…ไม่เห็นหน้ากันจะดีที่สุดเดนิมไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะกลับมาค้างทุกวันหยุดสุดสัปดาห์หรือไม่เขาไม่คิดโทรถามไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญและลำบากใจวันนี้วันศุกร์เขาไม่มีธุระที่ไหนเลยเข้าครัวเองทำอาหารสองสามอย่างทีละน้อยสำหรับคนคนเดียวไข่เจียวตรงหน้าฟูฟ่องส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องครัวเดนิมแกะข้าวหุงสำเร็จเวฟก่อนจะแกะใส่จานแม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้วเดนิมเลือกที่จะหันหลังแล้วทำเป็นไม่เห็นก้มลงทานอาหารตรงหน้
เดนิมไม่ออกจากห้องของตัวเองแม้ว่าป้าแม่บ้านที่แม่ของเขาส่งมาทำความสะอาดให้ทุกวันอาทิตย์ก็ตามภายในห้องมีตู้เย็นขนาดเล็กขนมขบเคี้ยวรวมไปถึงกาน้ำร้อนขนาดพกพาอีกทั้งเพราะการเขียนนิยายออกมาสักเรื่องหนึ่งมันใช้เวลาและในตอนที่อารมณ์พาไปหรือจินตนาการพรั่งพรูเดนิมไม่อยากจะลุกออกไปทำอะไรนิ้วเรียวยาวเคาะแป้นพิมพ์อยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียงของแป้นพิมพ์ทำให้เขาลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าสมาธิจดจ่ออยู่กับหน้าจอและตัวหนังสือตรงหน้าและเขาใช้มันเพื่อระบายของเสียภายในจิตใจเขาระบายมันออกมาเป็นตัวหนังสือตัวละครบางตัวก็คือตัวเองที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาขัดเกลาตัวละครผ่านเหตุการณ์สมมุติต่างๆมากมายมานับไม่ถ้วนหาทางออกให้ตัวละครเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายแต่น่าเสียดายตัวเองกลับหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอเขาติดอยู่ในวังวนความเจ็บปวดของความรักมายาวนานนับสิบปีรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีใจแต่ก็ยังจะเฝ้ารออดทนกับสายตาที่หยามเหยียดอดทนต่อถ้อยคำที่บาดลึกถึงกระดูกคล้ายกับคนไม่รู้สึกรู้สา สุดท้ายกลับฝังตัวเองทั้งเป็นด้วยการทอดกายให้อีกฝ่ายได้เชยชม ในฐานะนักเขียนหากตัวละครตัวนี้จะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่แ
เดนิมเดินทอดน่องไปตามชายหาด ท้องเริ่มปวดบิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงนั่งตรงเปลที่ชายหาดผูกไว้ นั่งสักพักเลยล้มตัวนอน มือก็ได้แต่กดท้องตัวเองเอาไว้ เดนิมเป็นโรคกระเพาะทานอาหารไม่ตรงเวลาก็จะปวดจนทรมาน อีกอย่างยาลดกรดก็อยู่ในกระเป๋า ตอนนี้เขาเหนื่อยทั้งกายและใจเลยอยากจะนั่งพักสักครู่ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี พี่พัดตักอาหารให้เขา แต่เป็นสิ่งที่ฆ่าเขาให้ตายได้ อีกทั้งตอนสมัยที่เดนิมยังเด็ก หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เดนิมประทับใจในตัวพี่พัดของเขาก็คือพี่พัดจะเป็นฝ่ายคอยระวังเรื่องอาหารการกินของเขาทุกครั้งที่ต้องออกไปทานอาหารข้างนอกกันรวมถึงแฝด แฝดมักจะเผอเรอไม่ถามไถ่หรือมักจะสั่งกุ้งมากิน แต่เป็นพี่พัดเองที่คอยเอาใจใส่ และหาร้านที่ไม่มีส่วนผสมของกุ้งเพื่อเดนิมวันเวลาผ่านพ้นไปคนเราหากเป็นเรื่องสำคัญมักจะไม่ลืม…เดนิมยิ้มเยาะให้ตัวเองก่อนจะนอนอยู่อย่างนั้นแขนซ้ายปิดทับดวงตาปิดบังความน้อยเนื้อต่ำใจและการเดินหนีหรือหลีกเลี่ยงเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นเดนิมจึงนิยามความรักของตัวเองว่าเป็นรักที่ไม่ประกอบวิ่งมายาวนานเพื่อคนคนเดียวมานับสิบปีเขาแพ้กุ้งแต่พี่พ
เดนิมแตะบัตรค่อยๆเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายทำอะไรอยู่เดนิมเปลี่ยนเป็นรองเท้าสลิปเปอร์ก่อนจะเห็นว่ากระเป๋าของตัวเองยังวางอยู่ที่หน้าประตูเหลือเพียงกระเป๋าใบเดียวพี่พัดคงกลับเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วเดนิมกำที่จับกระเป๋าล้อเลื่อนของตัวเองแน่นก่อนจะตัดสินใจที่จะไปนอนกับพี่แฝดเขาไม่อยากให้การมาทำงานครั้งนี้ของพี่พัดมีปัญหาหรือรู้สึกอึดอัดเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินออกมาจากประตูเสียงเอ่ยราบเรียบก็ทักขึ้นมา“เข้ามาแล้วจะออกไปไหนอีก” น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์แต่เดนิมรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจอยู่เนืองๆเขาไม่ได้ตอบแต่ค่อยๆเดินผ่านโถงทางเดินเข้าไปก่อนจะเจอกับโซนห้องนั่งเล่นตรงกลางโซฟาหันหน้าเข้าหาทะเลภาพวิวเบื้องหน้ามีสระน้ำขนาดกลางส่วนตัวให้แขกได้พักผ่อนมีตาข่ายให้ได้นอนอาบแดดนับได้ว่าเป็นห้องพักที่เยี่ยมยอดที่สุดของ The Grand DAE เลยก็ว่าได้พิพัฒน์นั่งจิบบรั่นดีสีอำพันในมือสายตาทอดมองไปยังวิวตรงหน้าน้อยครั้งนักที่เดนิมจะเห็นว่าอีกฝ่ายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่จะเป็นชาร้อนหากต้องอ่านรายงานค่อนคืน“คือ…นิมจะไปนอนกับพี่แฝด”“ใช่แ
ช่วงเช้าพายุฝนสงบท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนว่าไม่เคยเกิดพายุฝนคะนองมาก่อนเดนิมตื่นเช้าเหมือนเช่นเคยอาหารเช้ามาส่งแล้วอีกอย่างเขาเองก็ไม่ชอบแบบที่ลอยอยู่กลางน้ำเพราะนึกถึงเวลาเศษอาหารตกลงในสระมันทำความสะอาดค่อนข้างยากเขาจึงบอกให้บริกรวางไว้ที่ขอบสระเดนิมรออาหารย่อยสักพักก็ลงไปว่ายน้ำเขาสวมกางเกงว่ายน้ำเพียงตัวเดียวอีกอย่างก็เป็นสระส่วนตัวน้ำเย็นๆบรรยากาศยามเช้าที่แจ่มใสรวมไปถึงทัศนียภาพของทิวทัศน์ตรงหน้าทำให้เขาไม่อยากกลับเลยจริงๆที่ว่ากันว่านั่งโง่ๆอยู่ริมทะเลนั้นไม่เกินจริงเดนิมหันหลังเท้าคางมองทิวทัศน์ข้างหน้าน้ำทะเลสีฟ้าครามตัดกับเส้นขอบกับพระอาทิตย์อย่างลงตัวเห็นพี่แฝดบอกว่าในทะเลมีพวกปลากระเบนว่ายมาทักทายบริเวณบังกะโลกลางน้ำแห่งนี้ด้วย เดนิมจ้องมองผืนน้ำทะเลอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาอยู่คู่หนึ่งจดจ้องการกระทำของเขาตลอดตั้งแต่แหวกว่ายอยู่ในสระเดนิมหันหลังให้ทิวทัศน์ก่อนจะคว้าเอาห่วงยางที่นอนลอยน้ำเขาขึ้นไปนอนบนนั้นแล้วยิ้มแฉ่งให้กับพระอาทิตย์สองมือวักน้ำจนทำให้ห่วงยางนั้นลอยไปลอยมา“เล่นเหมือนเด็กๆไปได้” ไม่รู้เมื่อไหร่ที่พิพัฒน์เอาแต่จดจ้องร่างบางที่สวมเพียงแค่กางเกงว่ายน้ำตัว
เดนิมตื่นมาก็บ่ายสามกว่า ๆ แล้ว เขาคิดว่าตอนนี้พี่พัดคงเก็บของกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว จึงกินนอนเล่นกับพวกแฝด เป็นการรวมตัวกันของครอบครัวที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เล่นน้ำด้วยกันเหมือนเด็กอีกครั้ง พอได้วางความรู้สึกเหล่านั้นลง เดนิมค้นพบว่าความสุขของเขาได้เพิ่มขึ้นทีละนิด แม้จะมีความรู้สึกผิดอยู่เต็มอก แต่ได้แพลนตอนจบเอาไว้แล้วเหมือนกับนิยายที่มีตอนจบไม่ว่าจะสมหวังผิดหวังท้ายสุดก็ต้องเดินทางมาถึงจุดจบไม่ว่าบทสุดท้ายจุดจบจะเป็นเช่นไรเขาเพียงต้องยอมรับมันให้ได้‘ไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง’กว่าจะรู้ว่าความรักในรูปแบบของตัวเองเป็นความรักที่ไม่สมประกอบก็ทำเอาคนอื่นวุ่นวายกันไปทั่วรักที่ดีไม่จำเป็นต้องครอบครองเป็นเจ้าของเดนิมจึงรู้จักที่จะปล่อยวางมันลงคล้ายกับหัวใจได้คลายหนามแหลมที่เกี่ยวพันรัดอยู่บาดแผลและเลือดที่ไหลรินก่อนหน้าค่อยๆสมานเข้าด้วยกันอย่างช้าๆแม้จะทิ้งร่องรอยแผลเป็นเอาไว้แต่ก็เป็นเครื่องเตือนความจำว่าเขาไม่ควรจะรักใครจนทำร้ายตัวเองแบบนั้นอีกและเขาจะต้องเป็นคนที่จัดการความรู้สึกของตนเองไม่ทำให้คนที่รักต้องรู้สึกอึดอัดกับความรู้สึกที่เขามีเดนิมเล่นน้ำจนเหนื่อยหอบอยู่กินดื่มกับแฝดจน
ทางด้านพิพัฒน์เองเขาจดจ้องใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มมีชีวิตชีวาของเดนิมโดยไม่ละสายตาไปสักเสี้ยววินาที มันไม่ใช่รอยยิ้มแกน ๆ ที่คอยส่งมาให้เขา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มไปถึงดวงตา เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ พิพัฒน์สังเกตเห็นว่าเดนิมทำเหมือนว่าเขาเป็นยักษ์เป็นมารเวลาที่เข้าใกล้ และมักจะก้าวเท้าถอยหลังเสมอ คล้ายว่าเป็นการขีดเส้นระหว่างกัน ไม่มีใครควรล้ำเส้นกันไปมากกว่านี้ แถมยังเป็นฝ่ายหลบสายตา เหมือนว่าการมีอยู่ของตัวเองทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกแย่เดนิมในอุดมคติของเขากับเดนิมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนเป็นคนละคนตอนแรกที่เกิดเรื่องเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยากจะเข้าไปซัดหน้าหวานๆที่เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักเปรี้ยงพิพัฒน์คิดว่าเดนิมร้ายกาจไม่งั้นเขาไม่ต้องมาตกกระไดพลอยโจนอยู่อย่างนี้และการแต่งงานครั้งนี้จะทำให้เจ้าตัวสมหวังอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้แต่พอมาได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันยิ่งได้ใกล้ชิดยิ่งได้รู้จักเหมือนว่าช่วงที่ห่างหายขาดการติดต่อกันไปเดนิมในวันวานยังคงเหมือนเดิมไม่ได้ร้ายกาจหรือมีเล่ห์เหลี่ยมแต่อย่างใดกลับเงียบขรึมเก็บงำความรู้สึกได้เก่งขึ้นและมักจะหลบเลี่ยงปัญหามากกว่าเผชิญหน้าอีกทั้งรอยยิ้มที่ประดับ
ช่วงเช้าพายุฝนสงบท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนว่าไม่เคยเกิดพายุฝนคะนองมาก่อนเดนิมตื่นเช้าเหมือนเช่นเคยอาหารเช้ามาส่งแล้วอีกอย่างเขาเองก็ไม่ชอบแบบที่ลอยอยู่กลางน้ำเพราะนึกถึงเวลาเศษอาหารตกลงในสระมันทำความสะอาดค่อนข้างยากเขาจึงบอกให้บริกรวางไว้ที่ขอบสระเดนิมรออาหารย่อยสักพักก็ลงไปว่ายน้ำเขาสวมกางเกงว่ายน้ำเพียงตัวเดียวอีกอย่างก็เป็นสระส่วนตัวน้ำเย็นๆบรรยากาศยามเช้าที่แจ่มใสรวมไปถึงทัศนียภาพของทิวทัศน์ตรงหน้าทำให้เขาไม่อยากกลับเลยจริงๆที่ว่ากันว่านั่งโง่ๆอยู่ริมทะเลนั้นไม่เกินจริงเดนิมหันหลังเท้าคางมองทิวทัศน์ข้างหน้าน้ำทะเลสีฟ้าครามตัดกับเส้นขอบกับพระอาทิตย์อย่างลงตัวเห็นพี่แฝดบอกว่าในทะเลมีพวกปลากระเบนว่ายมาทักทายบริเวณบังกะโลกลางน้ำแห่งนี้ด้วย เดนิมจ้องมองผืนน้ำทะเลอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาอยู่คู่หนึ่งจดจ้องการกระทำของเขาตลอดตั้งแต่แหวกว่ายอยู่ในสระเดนิมหันหลังให้ทิวทัศน์ก่อนจะคว้าเอาห่วงยางที่นอนลอยน้ำเขาขึ้นไปนอนบนนั้นแล้วยิ้มแฉ่งให้กับพระอาทิตย์สองมือวักน้ำจนทำให้ห่วงยางนั้นลอยไปลอยมา“เล่นเหมือนเด็กๆไปได้” ไม่รู้เมื่อไหร่ที่พิพัฒน์เอาแต่จดจ้องร่างบางที่สวมเพียงแค่กางเกงว่ายน้ำตัว
เดนิมแตะบัตรค่อยๆเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายทำอะไรอยู่เดนิมเปลี่ยนเป็นรองเท้าสลิปเปอร์ก่อนจะเห็นว่ากระเป๋าของตัวเองยังวางอยู่ที่หน้าประตูเหลือเพียงกระเป๋าใบเดียวพี่พัดคงกลับเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วเดนิมกำที่จับกระเป๋าล้อเลื่อนของตัวเองแน่นก่อนจะตัดสินใจที่จะไปนอนกับพี่แฝดเขาไม่อยากให้การมาทำงานครั้งนี้ของพี่พัดมีปัญหาหรือรู้สึกอึดอัดเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินออกมาจากประตูเสียงเอ่ยราบเรียบก็ทักขึ้นมา“เข้ามาแล้วจะออกไปไหนอีก” น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์แต่เดนิมรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจอยู่เนืองๆเขาไม่ได้ตอบแต่ค่อยๆเดินผ่านโถงทางเดินเข้าไปก่อนจะเจอกับโซนห้องนั่งเล่นตรงกลางโซฟาหันหน้าเข้าหาทะเลภาพวิวเบื้องหน้ามีสระน้ำขนาดกลางส่วนตัวให้แขกได้พักผ่อนมีตาข่ายให้ได้นอนอาบแดดนับได้ว่าเป็นห้องพักที่เยี่ยมยอดที่สุดของ The Grand DAE เลยก็ว่าได้พิพัฒน์นั่งจิบบรั่นดีสีอำพันในมือสายตาทอดมองไปยังวิวตรงหน้าน้อยครั้งนักที่เดนิมจะเห็นว่าอีกฝ่ายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่จะเป็นชาร้อนหากต้องอ่านรายงานค่อนคืน“คือ…นิมจะไปนอนกับพี่แฝด”“ใช่แ
เดนิมเดินทอดน่องไปตามชายหาด ท้องเริ่มปวดบิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงนั่งตรงเปลที่ชายหาดผูกไว้ นั่งสักพักเลยล้มตัวนอน มือก็ได้แต่กดท้องตัวเองเอาไว้ เดนิมเป็นโรคกระเพาะทานอาหารไม่ตรงเวลาก็จะปวดจนทรมาน อีกอย่างยาลดกรดก็อยู่ในกระเป๋า ตอนนี้เขาเหนื่อยทั้งกายและใจเลยอยากจะนั่งพักสักครู่ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี พี่พัดตักอาหารให้เขา แต่เป็นสิ่งที่ฆ่าเขาให้ตายได้ อีกทั้งตอนสมัยที่เดนิมยังเด็ก หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เดนิมประทับใจในตัวพี่พัดของเขาก็คือพี่พัดจะเป็นฝ่ายคอยระวังเรื่องอาหารการกินของเขาทุกครั้งที่ต้องออกไปทานอาหารข้างนอกกันรวมถึงแฝด แฝดมักจะเผอเรอไม่ถามไถ่หรือมักจะสั่งกุ้งมากิน แต่เป็นพี่พัดเองที่คอยเอาใจใส่ และหาร้านที่ไม่มีส่วนผสมของกุ้งเพื่อเดนิมวันเวลาผ่านพ้นไปคนเราหากเป็นเรื่องสำคัญมักจะไม่ลืม…เดนิมยิ้มเยาะให้ตัวเองก่อนจะนอนอยู่อย่างนั้นแขนซ้ายปิดทับดวงตาปิดบังความน้อยเนื้อต่ำใจและการเดินหนีหรือหลีกเลี่ยงเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นเดนิมจึงนิยามความรักของตัวเองว่าเป็นรักที่ไม่ประกอบวิ่งมายาวนานเพื่อคนคนเดียวมานับสิบปีเขาแพ้กุ้งแต่พี่พ
เดนิมไม่ออกจากห้องของตัวเองแม้ว่าป้าแม่บ้านที่แม่ของเขาส่งมาทำความสะอาดให้ทุกวันอาทิตย์ก็ตามภายในห้องมีตู้เย็นขนาดเล็กขนมขบเคี้ยวรวมไปถึงกาน้ำร้อนขนาดพกพาอีกทั้งเพราะการเขียนนิยายออกมาสักเรื่องหนึ่งมันใช้เวลาและในตอนที่อารมณ์พาไปหรือจินตนาการพรั่งพรูเดนิมไม่อยากจะลุกออกไปทำอะไรนิ้วเรียวยาวเคาะแป้นพิมพ์อยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียงของแป้นพิมพ์ทำให้เขาลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าสมาธิจดจ่ออยู่กับหน้าจอและตัวหนังสือตรงหน้าและเขาใช้มันเพื่อระบายของเสียภายในจิตใจเขาระบายมันออกมาเป็นตัวหนังสือตัวละครบางตัวก็คือตัวเองที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาขัดเกลาตัวละครผ่านเหตุการณ์สมมุติต่างๆมากมายมานับไม่ถ้วนหาทางออกให้ตัวละครเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายแต่น่าเสียดายตัวเองกลับหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอเขาติดอยู่ในวังวนความเจ็บปวดของความรักมายาวนานนับสิบปีรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีใจแต่ก็ยังจะเฝ้ารออดทนกับสายตาที่หยามเหยียดอดทนต่อถ้อยคำที่บาดลึกถึงกระดูกคล้ายกับคนไม่รู้สึกรู้สา สุดท้ายกลับฝังตัวเองทั้งเป็นด้วยการทอดกายให้อีกฝ่ายได้เชยชม ในฐานะนักเขียนหากตัวละครตัวนี้จะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่แ
บริษัทมีการจัดเลี้ยงฝึกงานแต่เดนิมบอกปัดเขาไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยงกับปัญหาอีกปานัสเป็นญาติของนิชาอีกทั้งก็ไม่ชอบขี้หน้าเขาเป็นทุนเดิมงานเลี้ยงครั้งนี้ไม่ไปดีที่สุดพี่พัดเองก็ไม่ได้ว่าอะไรมีแต่ปานัสที่ดีอกดีใจคุณสิริเองก็เอ่ยชมเขามากขึ้นกว่าแต่ก่อนเดนิมคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วคำชมที่มาจากความจริงใจเพียงเท่านี้ก็มีกำลังใจให้เด็กฝึกงานอย่างเขากระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้นไปอีกอีกอย่างเดนิมก็ไม่ได้จบงานด้านบริหารมาเขาทำได้ดีขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้วชีวิตหลังจากนี้จะได้เป็นอิสระเสียทีเดนิมเลิกเฝ้ารอและเลิกฝันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะทำอะไรดีๆให้พี่พัดแต่ทำไปเหมือนขว้างหินลงสู่ทะเลพี่พัดเกลียดเขาจะตาย…ไม่เห็นหน้ากันจะดีที่สุดเดนิมไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะกลับมาค้างทุกวันหยุดสุดสัปดาห์หรือไม่เขาไม่คิดโทรถามไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญและลำบากใจวันนี้วันศุกร์เขาไม่มีธุระที่ไหนเลยเข้าครัวเองทำอาหารสองสามอย่างทีละน้อยสำหรับคนคนเดียวไข่เจียวตรงหน้าฟูฟ่องส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องครัวเดนิมแกะข้าวหุงสำเร็จเวฟก่อนจะแกะใส่จานแม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้วเดนิมเลือกที่จะหันหลังแล้วทำเป็นไม่เห็นก้มลงทานอาหารตรงหน้
ทางด้านปานัสเมื่อโดนดุไปซึ่งๆหน้าก็ดูจะนอบน้อมขึ้นแต่ก็ยังพยายามจะหักหน้าและปาดหน้าทำงานแทนเดนิมเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมือเจ็บ“นิมช่วยดูตรงนี้หน่อยนะ” สิริเอ่ยพร้อมยื่นแฟ้มให้เดนิมยังไม่ทันยื่นมือออกไปรับปานัสกลับยื่นมือมารับแทน“ให้นัสทำนะครับพี่สิริ” สิริเองก็มองหน้าเดนิมเมื่อเห็นเจ้าตัวพยักหน้าน้อยๆก็ยื่นแฟ้มใส่มือปานัสแทนพร้อมกำชับ“ฝากด้วยนะจ๊ะงานนี้ต้องเสร็จวันนี้ถ้าไม่เสร็จจะจ่ายค่าโอทีให้”ปานัสอ้าปากค้างกลืนน้ำลายลงคอพร้อมรีบเปิดเอกสารในแฟ้มอ่านรายละเอียดคร่าวๆพร้อมอุทานในใจ “ตายห่าไม่น่าเลยกูวันนี้จะเสร็จไหมเนี่ย” พร้อมรีบกุลีกุจอกลับไปนั่งทำที่โต๊ะตัวเองโซนหน้าห้องผู้บริหารแทบไม่มีเสียงพูดคุยตลอดช่วงบ่ายพี่สิริหันมายิ้มเป็นนัยให้เดนิมเดนิมค้อมหัวให้ก่อนจะก้มหน้าอ่านเอกสารในมือจนเลิกงานปานัสขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเมื่อเวลาเลิกงานพนักงานทุกคนทยอยกลับรวมไปถึงเดนิมที่เดินมาอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงานของตัวเองเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ขอบคุณปานัสมากนะที่ช่วยทำงานนี้แทนเราเราขอตัวก่อนนะ” ปานัสแสร้งยิ้มก่อนจะกัดฟันตอบ “กลับก่อนได้เลยจ้ะ” แต่ในใจก่นด่าอีกฝ่ายสิบกว่ารอบเดนิมที่กำลังลงลิฟต์ไปย
ทางด้านเดนิมโชคดีที่กาแฟวางพักไว้สักครู่บนเคาน์เตอร์แผลจึงไม่ได้ร้ายแรงเป็นแผลไหม้ระดับสองมีตุ่มพองใสแต่ก็ปวดแสบมากเพราะเส้นประสาทบริเวณผิวหนังยังเหลืออยู่ไม่ได้ถูกทำลายไปมากนักการหายของแผลใช้เวลาประมาณสองถึงสามสัปดาห์คุณหมอจึงให้ครีมทายาภายนอกรวมไปถึงการปิดแผลด้วยผ้าก๊อซอีกทั้งยังกำชับไม่ให้โดนน้ำรวมไปถึงที่ต้นขาด้านขวาด้วยเดนิมทำแผลเสร็จพี่แฝดก็โทรมาตอนอยู่ในรถพอดีเขากดรับสายก่อนจะทำน้ำเสียงปกติ “ว่าไงครับ”“วันนี้ว่างหรือเปล่าเราพี่สองคนจะไปรับไปทานข้าว”“วันนี้คงไม่ได้ครับ”“เดี๋ยวพี่โทรไปหาไอ้พัดให้”“อย่าดีกว่าครับเดี๋ยวพี่พัดจะว่าเอาตอนนี้ผมเป็นแค่พนักงานฝึกงานนะครับพี่แฝดอย่าลืม” เดนิมพยายามทำน้ำเสียงให้สดใส “อีกอย่างมีนักศึกษาฝึกงานคนอื่นมาฝึกด้วย”“แล้วเราจะว่างเมื่อไหร่” เดนีนแทรกขึ้นมา“เดี๋ยวถ้าว่างจะโทรไปนัดพี่ๆอีกทีนะครับไม่ต้องกลัวว่าพวกพี่แฝดจะไม่ได้จ่ายรับรองวันนั้นต้องจ่ายให้น้องทั้งวันนะครับ” แฝดต่างหัวเราะ “หาเวลามาให้ได้เถอะน้องคนเดียวจะเท่าไหร่เชียวแพงแค่ไหนก็เลี้ยงได้” ทั้งสามคนหัวเราะก่อนจะกดวางสายเดนิมถอนหายใจก่อนจะสตาร์ทรถกลับบ้านโดยไม่ได้ดูสายที่ไม่ได้รับก