เดนิมแตะบัตรค่อยๆเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายทำอะไรอยู่เดนิมเปลี่ยนเป็นรองเท้าสลิปเปอร์ก่อนจะเห็นว่ากระเป๋าของตัวเองยังวางอยู่ที่หน้าประตูเหลือเพียงกระเป๋าใบเดียวพี่พัดคงกลับเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วเดนิมกำที่จับกระเป๋าล้อเลื่อนของตัวเองแน่นก่อนจะตัดสินใจที่จะไปนอนกับพี่แฝดเขาไม่อยากให้การมาทำงานครั้งนี้ของพี่พัดมีปัญหาหรือรู้สึกอึดอัดเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินออกมาจากประตูเสียงเอ่ยราบเรียบก็ทักขึ้นมา
“เข้ามาแล้วจะออกไปไหนอีก” น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์แต่เดนิมรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจอยู่เนืองๆ
เขาไม่ได้ตอบแต่ค่อยๆเดินผ่านโถงทางเดินเข้าไปก่อนจะเจอกับโซนห้องนั่งเล่นตรงกลางโซฟาหันหน้าเข้าหาทะเลภาพวิวเบื้องหน้ามีสระน้ำขนาดกลางส่วนตัวให้แขกได้พักผ่อนมีตาข่ายให้ได้นอนอาบแดดนับได้ว่าเป็นห้องพักที่เยี่ยมยอดที่สุดของ The Grand DAE เลยก็ว่าได้พิพัฒน์นั่งจิบบรั่นดีสีอำพันในมือสายตาทอดมองไปยังวิวตรงหน้าน้อยครั้งนักที่เดนิมจะเห็นว่าอีกฝ่ายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่จะเป็นชาร้อนหากต้องอ่านรายงานค่อนคืน
“คือ…นิมจะไปนอนกับพี่แฝด”
“ใช่แฝดจริงเหรอ” เดนิมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับพี่พัดโดยไม่ได้ตั้งใจก่อนจะเม้มปากก้มหน้าลงเหมือนเดิม
“ครับ” สายตาที่พี่พัดจ้องมองเขาเหมือนในตอนที่มาบ้านศศิภักดีเพื่อชี้แจงเรื่องราวที่เกิดขึ้นสายตากรุ่นโกรธเหมือนอยากจะปรี่เข้ามาชกที่หน้าเขาสักเปรี้ยงแต่ทำได้เพียงแค่เพียงสบถกับตัวเอง
“ถ้าพี่พัดไม่มีอะไรแล้วนิมไปก่อนนะครับ”
“ฉีกหน้าพี่ตอนกลางวันแล้วก็จะหนีหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกงั้นเหรอหรือว่านิมทำได้แค่นี้” เดนิมกำหูลากกระเป๋าของตัวเองแน่น “คุณพ่อคุณแม่ตำหนิพี่พัดเหรอครับ” พิพัฒน์แค่นหัวเราะออกมา
“เปล่าหรอก! ผู้ใหญ่น่ะแม้ไม่พูดออกมาแต่สายตาก็บ่งบอกความไม่พอใจได้เป็นอย่างดี”
“เดี๋ยวนิมจะไปบอกคุณพ่อคุณแม่ให้ครับ…นิมต้องขอโทษแทนท่านด้วย” เดนิมก้มหัวขอโทษให้อีกฝ่ายอย่างรวดเร็วยอมเป็นฝ่ายถอยยอมที่จะเงียบไม่อยากทะเลาะเพียงเพราะหวังว่าพี่พัดจะเกลียดชังเขาน้อยลง…ก็แค่นั้น
“แพ้กุ้งทำไมถึงไม่บอกพี่สักคำ” เดนิมเม้มปากก้มหน้าคล้ายรอคำพิพากษาไม่รู้จะบอกอย่างไรเขาแค่อยากนั่งทานข้าวกับพี่พัดอยากเอาใจให้มากที่สุดก็แค่นั้น
“นิมคิดว่าไม่สำคัญอะไร”
“ขนาดชีวิตตัวเองยังไม่สำคัญ…แล้วอะไรที่สำคัญ!!” เดนิมสะดุ้งเมื่อพิพัฒน์ตวาดเสียงดังพร้อมกับยืนขึ้น
“นิมนิมจัดการตัวเองได้นิมแค่ไม่อยากให้พี่พัดรู้สึกอึดอัดที่ทานข้าวกับนิม”
“พี่ไม่กินกุ้งมื้อเดียวไม่ตายหรอกนะ!”
“นิมขอโทษครับ” เดนิมเอ่ยขอโทษขึ้นมาอีกครั้งแม้จะรู้ว่าคำขอโทษของเขาเหมือนป้อมปราการที่ช่วยให้ตัวเองพ้นผิดไปอย่างลวกๆแต่ในสายตาของผู้ใหญ่อย่างพิพัฒน์คำขอโทษของเดนิมเหมือนขอไปทีไม่ได้มีความสำนึกอยู่ในนั้นไม่ได้คิดไตร่ตรองก่อนลงมือทำทำผิดเพียงเอ่ยขอโทษแล้วหวังว่าใครต่อใครจะให้อภัย
“คำขอโทษของเราจริงใจกี่ส่วนกัน…” เดนิมแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวได้แต่สูดลมหายใจไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาเขาไม่อยากเห็นสายตาของพี่พัดที่มองมา
เดนิมไม่เคยมีคนรักเขาไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไรถึงอีกฝ่ายจะรู้สึกพอใจเขารู้ว่าพี่พัดชอบกินกุ้งระหว่างเราแทบไม่เคยได้ทานอาหารร่วมกันเขาแค่อยากจะเลือกอาหารที่อีกฝ่ายชอบอยากให้อีกฝ่ายรู้สึกดีที่ได้กินแต่ของที่ชอบส่วนเขาที่แพ้กุ้งก็ระวังตัวเองอยู่แล้วและไม่อยากให้การแพ้อาหารของตัวเองต้องทำให้ใครต่อใครรู้สึกลำบากใจเวลาทานอาหารร่วมกัน
“อีกอย่างนิมกับพี่พัดแทบไม่ได้กินข้าวร่วมกันเลยนะครับการที่นิมแพ้กุ้งก็ไม่ใช่ปัญหาเพียงแต่วันนี้…วันหลังนิมจะระวังตัว”
“แล้วมีอะไรที่เราแพ้อีก” เดนิมส่ายหน้า “ผู้ใหญ่ถามต้องตอบไม่ใช่เอาแต่ส่ายหน้า”
“ไม่มีแล้วครับ” พิพัฒน์ไม่รู้เหมือนว่าทำไมตัวเองถึงได้รู้สึกหน้าชาเมื่อรู้ว่าเขาตักกุ้งให้คนที่แพ้กุ้งด้วยความหวังดีพลันสมองนึกย้อนไปยังวันที่เดนิมเตรียมอาหารไว้ที่เพนท์เฮ้าส์บนโต๊ะอาหารมีแต่ของโปรดของเขาส่วนอีกฟากจะเป็นอาหารฝรั่งเศสที่เน้นสลัดและพวกเนื้อพาสต้าต่างๆเป็นส่วนใหญ่เขาไม่ได้ทันฉุกคิดตอนนั้นเขาจัดฉากเพื่อความสะใจของตัวเองแต่พอได้มานั่งทบทวนเขาก็ทำเกินไปจริงๆเขาเคยวาดฝันไว้ว่าอยากจะเห็นสีหน้าลำบากใจของเดนิมอยากจะสอนบทเรียนหลายๆอย่างให้เจ้าตัวได้รู้สำนึกแต่สีหน้าและแววตาในตอนนั้นยังติดตาใบหน้าซีดเผือดแทบจะไร้สีเลือดมือที่สั่นน้อยๆเวลาจัดจานและสายตาที่มองมาที่เขามีแต่ความตัดพ้อน้อยใจและเลือกที่จะเดินหนีไปอย่างเงียบเชียบเขาอยากจะเห็นเดนิมในเวอร์ชันที่ร้ายกาจที่โวยวายมากกว่าที่จะเลือกเงียบแบบนี้มันทำให้เขารู้สึกผิดขึ้นมาจนความเกลียดชังภายในใจแปรเปลี่ยนเป็นความสงสารเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
แม้กระทั่งตอนฝึกงานเดนิมไม่เคยเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเองไม่เคยบอกกล่าวอะไรแล้วเลือกที่จะหนีหายไปทุกครั้งจนเขารู้สึกอึดอัดไปหมด…ไม่รู้ว่าเพราะดวงตาคู่นั้นหรืออย่างไรที่ทำเอาเขาร้อนรนจนเป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมาเสียเอง
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว…งั้นนิมขอตัวก่อนนะครับ”
“จะไปไหน” สองเท้าที่กำลังจะเดินกลับหลังชะงัก
“นิมจะไปนอนกับพี่แฝด” เดนิมตอบตะกุกตะกัก
“นิมคงจะสะใจมากสินะที่ทำให้พี่เป็นตัวร้ายในสายตาของคุณลุงคุณป้าเป็นสามีที่แย่ไม่ได้เรื่องแม้แต่ภรรยาตัวเองแพ้กุ้งก็ยังไม่รู้”
น้ำตาที่กลั้นเอาไว้เหมือนทำนบเขื่อนที่กำลังจะพังทลาย “นิมไม่เคยมีความคิดแบบนั้นเลยนะครับ” เดนิมกลั้นเสียงสะอื้นก่อนจะเอ่ยต่อ “นิมแค่ไม่อยากให้พี่พัดรู้สึกอึดอัดที่ต้องทนอยู่กับนิม นิมรู้ว่าระหว่างเราแต่งงานกันเพราะอะไร นิมเองก็ไม่เคยเกลียดร่างกายตัวเองแบบนี้มาก่อน นิมแค่อยากให้ระหว่างเราเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม…ไม่เกลียดกันไปมากกว่านี้ก็เท่านั้น” เดนิมเม้มปากกลืนก้อนสะอื้นลงคอ เขากลั้นน้ำตาเสียหน้าแดงก่ำ เดนิมที่ก้มหน้าเหลือบเห็นรองเท้าสลิปเปอร์สีขาวที่เคลื่อนที่มาอยู่ตรงหน้าอย่างเชื่องช้า เขาทำได้เพียงซ่อนน้ำตาที่กำลังไหลด้วยวิธีนี้เท่านั้น
“พี่น้องงั้นเหรอ? ระหว่างเราจะมีคำว่าพี่น้องเหลืออยู่อีกเหรอไง” เดนิมไม่กล้าเงยหน้าสู้หน้าน้ำเสียงและพี่พัดตอนนี้ทำเอาเขาหวาดกลัวและหายใจแทบไม่ออกอีกทั้งกลิ่นฉุนของแอลกอฮอล์ที่ลอยออกมาตามลมหายใจนั่นแสดงว่าเจ้าตัวดื่มไปมากแล้วอีกทั้งเดนิมไม่อยากจะโต้เถียงกับคนเมาไม่ได้สติคนเมาพูดอะไรไปบางทีอาจจำไม่ได้แต่คนที่ไม่ได้เมาอย่างเขารับรู้ทุกถ้อยคำประโยคที่บาดลึกไปถึงจิตใจ
“นิมรู้ว่านิมผิดนิมสำนึกผิดอยู่ในทุกๆวันมันคงจะดีถ้านิมไม่กลับมาเมืองไทย” เดนิมเงยหน้าสบตากับพิพัฒน์ที่กำลังจ้องมองมาอยู่แล้วม่านน้ำตาปกคลุมทำให้สายตาของเขาพร่ามัว มองไม่เห็นแววตาสีนิลที่จดจ้องมองมา
“ที่ผ่านมานิมพยายามแสดงให้พี่พัดเห็นว่านิมรู้สึกผิดกับการกระทำของตัวเองจริงๆนิมรู้ว่าพี่พัดฝืนใจแค่ไหนที่ต้องแต่งงานกับนิมอีกอย่างเรื่องที่พี่พัดกังวลคงไม่มีวันเกิดขึ้นแน่ๆนี่ก็ผ่านมาจะครึ่งปีแล้วพี่พัดไม่จำเป็นต้องทนถึงหนึ่งปี” สองตาแดงก่ำร่ำไห้น้ำตาไหลออกมาเป็นสายเดนิมเบือนหน้าไปอีกทางก่อนจะเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆเขาไม่อยากให้พี่พัดรู้สึกว่าเขาเสแสร้งแกล้งร้องไห้ก่อนจะหันมาถาม “ถ้าพี่พัดไม่มีอะไรแล้ว…”
“ที่ว่าไม่ต้องทนเพราะสิบทิวารออยู่หรือเปล่า” เดนิมหน้าชากับคำถามนั้นอีกอย่างเขาไม่อยากให้พี่พัดรู้สึกแย่กับความรู้สึกที่เขามีให้จึงจำใจต้องพูดปดออกไป
“ก็แล้วแต่พี่พัดจะคิด” สองเท้าขยับเข้าใกล้เรื่อยๆเดนิมเองก็ถอยหลังเรื่อยๆเองเช่นกันจนแผ่นหลังชนกับกำแพงจนไม่มีที่ให้หนีอีกฝ่ายถึงเลิกไล่ต้อนกัน
“แล้วเรื่องอะไรที่พี่จะยอมเสียเปรียบอยู่ฝ่ายเดียวล่ะนิมสร้างเรื่องมากมายขนาดนี้คิดว่าปัดให้พ้นตัวแล้วเริ่มต้นใหม่กับคนอื่นอย่างมีความสุขงั้นเหรอ…ฮืม” สองแแขนเท้ากับกำแพงกักกันไม่ให้ร่างบางได้ถอยหนีอีกลมหายใจร้อนเป่ารดชิดอยู่กับใบหูจนรู้สึกจั๊กจี้อีกอย่างเดนิมไม่ชอบกลิ่นฉุนละมุดเน่าของแอลกอฮอล์สักเท่าไหร่เลยหันหน้าหนี
“แล้วพี่พัดจะให้นิมทำอะไรก็บอกมาได้เลยนะครับ…นิมยินดี” เดนิมตอบรับอย่างกระตือรือร้น คิดเพียงแค่ว่าขอให้อีกฝ่ายพอใจ จะให้ทำอะไรเขาก็ยินดีทั้งนั้น เมื่อเวลานั้นมาถึงพี่พัดจะได้เกลียดเขาน้อยลงสักนิดก็ยังดี
“แน่ใจเหรอว่าทำอะไรก็ได้”
“แล้วพี่พัดจะให้นิมทำอะไรล่ะครับ” เดนิมไม่กล้าหันไปมองพี่พัดตอนนี้เหมือนใครอีกคนที่เขาไม่รู้จักเขาทำได้เพียงแต่ยืนตัวสั่นเหมือนลูกนกจู่ๆฝนก็กระหน่ำเทลงมาหอบสายฝนมาสาดกระทบกับประตูดังซ่าๆฟ้าร้องฟ้องแลบจนน่ากลัวจนไม่ได้ยินว่าคนตรงหน้าต้องการให้เขาทำอะไรกันแน่จู่ๆฟ้าก็ร้องดังครืนเหมือนท้องฟ้าจะถล่มลงมาเดนิมสะดุ้งโหยงซุกหน้าลงกับแผ่นอกอุ่นนั้นอย่างลืมตัวสายฝนสาดซัดไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเดนิมกำชายเสื้อของคนตัวโตไว้แน่นอย่างลืมตัวก่อนจะผละออกอย่างรวดเร็วแต่ว่าระยะห่างทั้งสองมีไม่มากพอพอเดนิมผละออกอย่างแรงแผ่นหลังก็กระแทกกับกำแพงอย่างแรงดังปึก
“ซี้ด” เดนิมสูดปากเพื่อบรรเทาความเจ็บที่แผ่นหลังอีกทั้งไม่รู้เมื่อไหร่ต้นแขนที่อุดมไปด้วยกล้ามเนื้อโอบกอดเขาไว้อย่างหลวมๆเดนิมรีบขอโทษอีกครั้งแต่ครั้งนี้หัวเขาโขกกับคางของอีกฝ่ายอย่างแรง
“โอ๊ย” เดนิมลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆส่วนพิพัฒน์เองก็จ้องมองหน้าผากขาวนั้นที่แดงเถือก
“ซุ่มซ่าม”
เดนิมที่ทำท่าจะอ้าปากแย้งพลันฟ้าร้องพร้อมพายุฝนที่โหมกระหน่ำกลบเสียงของตัวเองจนมิดเขาอาศัยอ่านปากของพี่พัดมือที่จับที่ลากกระเป๋ากลับถูกมือใหญ่กอบกุมไว้อีกขั้นกระเป๋าเดินทางของเดนิมถูกพิพัฒน์ลากไปยังห้องนอนใหญ่สองขาเรียวเดินตามไปอย่างว่าง่ายไม่รู้ว่าระหว่างนี้ไฟจะดับหรือเปล่าเดนิมรีบเข้าไปอาบน้ำอย่างรวดเร็วเพราะกลัวไฟดับแม้จะมีเครื่องปั่นไฟขนาดใหญ่แต่เขาก็ไม่ชินอยู่ดีเพราะห้องนี้มันกว้างใหญ่อีกทั้งเดนิมเองก็ไม่ชินกับการนอนแปลกที่
ไม่รู้ว่าที่เขาตอบรับคำชวนพี่พัดจะมองว่าใจง่ายหรือเปล่าเดนิมรีบซุกตัวลงในผ้าห่มเขาขยับจนชิดขอบเตียงรีบข่มตาให้หลับโดยเร็วแม้ว่าหัวใจจะเต้นแรงแค่ไหนก็ตาม
พิพัฒน์เองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังโกรธเดนิมเรื่องอะไรกันแน่ไม่ว่าจะเรื่องของสิบทิวาหรือว่าที่อีกฝ่ายถอดแหวนแต่งงานออกเขาเคยเป็นฝ่ายออกปากเองว่าจะไม่สวมแหวนแต่งงานนี้เด็ดขาดอีกทั้งยังไม่คิดจะเอ่ยปากแนะนำอีกฝ่ายว่าเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายภายในหัวสมองปั่นป่วนความคิดความอ่านผสมตีกันรวนเรยุ่งเหยิงไปหมดไม่รู้ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับเขามีสาเหตุมาจากอะไรกันแน่…และพิพัฒน์เองก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ที่เดนิมเอาแต่เป็นฝ่ายหลบหน้าเวลาอยู่ต่อหน้าเขาเหมือนหนูตัวเล็กๆที่อยู่ต่อหน้าราชสีห์แต่กับสิบทิวากลับพูดคุยยิ้มแย้มแจ่มใสรอยยิ้มที่ยิ้มไปถึงดวงตาแบบนั้นจู่ๆก็รู้สึกหวงแหนขึ้นมาและเกลียดขี้หน้าสิบทิวาขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
ฟ้าแลบฟ้าร้องกลางทะเลพร้อมพายุฝนน่ากลัวไม่น้อยเดนิมกลัวว่ากระจกของประตูจะกั้นแรงพายุไม่ไหวเขานอนจ้องไปที่ปลายเตียงอยู่อย่างนั้นเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูออกมาก็รีบข่มตาแกล้งหลับอย่างเร็วเตียงยวบก่อนจะรู้สึกถึงใครอีกคนกำลังล้มตัวลงนอนเดนิมได้แต่ซุกหน้าอยู่ใต้ผ้าห่มไม่รู้ว่าเพราะการเดินทางที่แสนทรหดหรือว่าได้นอนเตียงเดียวกับคนในดวงใจทำให้เขานอนหลับอย่างรวดเร็วแถมยังฝันดีทำเอามุมปากน้อยๆนั้นยกยิ้มอยู่ทั้งคืน
ในฝันเด็กชายตัวน้อยขาวจ้ำม่ำเดินหลงทางร้องหาแม่เดนิมนั่งยองๆตรงหน้าเด็กคนนั้นก่อนจะตบมือแปะๆอยากจะอุ้มเด็กน้อยคนนั้นมาโอ๋
“ทำไมมาคนเดียวละครับพ่อแม่ไปไหนเอ่ย” เด็กน้อยไม่ตอบได้แต่ร้องไห้จ้าซุกตัวอยู่กับอกของเขาร้องไห้จนหน้าอกเสื้อเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตาเดนิมอุ้มเด็กน้อยโยกไปมาก่อนจะสงบลงดวงหน้าขาวใสพวงแก้มแต้มสีชมพูขนตายาวงอนยังคงเหลือหยาดน้ำตาอยู่เดนิมอยากจะก้มลงไปหอมแก้มเด็กน้อยซะเหลือเกินแต่จู่ๆเด็กน้อยในอ้อมแขนก็ค่อยๆสลายหายไปเดนิมตกใจร้องเรียกหาร้องไห้สะอื้นจนตัวโยนพร้อมกับสายฟ้าที่ฟาดดังเปรี้ยงลงมาจนกึกก้องกัมปนาทไปทั่วทั้งเกาะเดนิมตกใจจนตัวโยนหยาดน้ำตาหลั่งไหลพรั่งพรูออกมาเป็นสายก่อนจะถูกสวมกอดเอาไว้อย่างหลวมๆตอนนี้เดนิมหวาดกลัวไม่มีสตินึกคิดอะไรทั้งนั้นเขาซุกหน้าอกร้องไห้กับแผงอกอุ่นนั้นจนสะอื้น
“ฝันร้ายเหรอ” เดนิมพยักหน้าโอบกอดอีกฝ่ายจนแทบจะนั่งเกยตักเขาไม่สนว่าตอนนี้พี่พัดจะมองตัวเองอย่างไรไหนจะฝันร้ายการได้อยู่ในอ้อมกอดแบบนี้ช่วยได้มากจริงๆพิพัฒน์เห็นว่าเดนิมคงไม่หยุดร้องไห้ง่ายๆเขาเลยหาหมอนมาซ้อนข้างหลังตัวเองจับตัวเดนิมให้อยู่ในท่าพาดขามาฝั่งหนึ่งก่อนจะโอบกอดโยกตัวไปมาเหมือนปลอบโยนเด็กน้อยคนหนึ่งไม่มีใครพูดอะไรมีเพียงร่างกายที่แอบอิงไออุ่นเข้าหากันเดนิมซบใบหน้าด้านหนึ่งเข้ากับหัวไหล่กำยำนั้นอย่างเหม่อลอยในสายตาเขาเห็นเพียงคางของอีกฝ่ายเท่านั้นเดนิมไม่กล้านึกสีหน้าของพี่พัดที่กำลังโอบกอดเขาอยู่อย่างนี้ไม่ว่าจะความรู้สึกอะไรก็ช่าง…มันดีทั้งนั้น
พอนึกไปถึงสิบกว่าปีที่แล้วสมัยตอนที่เขายังตามพวกพี่แฝดไปเที่ยวเตร่เพราะมีร่างกายที่พิเศษครอบครัวจึงเลี้ยงเหมือนไข่ในหินและไม่ได้ทำกิจกรรมกับทางโรงเรียนมากนักไปไหนกับใครต้องมีพวกพี่แฝดตามไปอีกทั้งสองแฝดมีร่างกายที่สูงและโตมากกว่าเด็กวัยเดียวกันเพื่อนๆในห้องเลยไม่ค่อยอยากจะเข้าหาเดนิมสักเท่าไหร่เพราะรู้กิตติศัพท์เรื่องสองแฝดดีเดนิมเลยตามติดพี่แฝดอยู่หลายปีเพื่อนๆที่สนิทกันของพี่แฝดหนึ่งในนั้นที่ไปมาหาสู่เที่ยวเล่นกันตลอดคือพิพัฒน์อีกทั้งพิพัฒน์เองก็เอ็นดูเดนิมเพราะเห็นว่าเป็นน้องนุ่งน่ารักน่าเอ็นดูอีกทั้งร่างกายบอบบางและมักจะนั่งนิ่งๆกอดตุ๊กตาหมีนิสัยแตกต่างจากสองแฝดที่มักจะโวยวายเสียงดังอีกทั้งพิพัฒน์ก็เป็นฝ่ายเข้าไปทำความรู้จักพูดคุยจนสนิทสนมกันจนเดนิมไว้ใจพิพัฒน์มากๆพี่พัดของเขาเหมือนฮีโร่ที่คอยปกป้องคอยหาข้าวหาน้ำให้กินแถมยังใจดีคอยป้อนนั่นนี่ให้กินอยู่เสมอไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่หัวใจดวงน้อยๆไม่ได้มองอีกฝ่ายเป็นพี่ชายแต่กลับมองเป็นผู้ชายคนหนึ่ง
เดนิมไม่รู้เลยว่ายิ่งโตความรู้สึกตัวเองยิ่งฉายชัดออกมาทางแววตามันชัดเจนเสียจนทำให้พิพัฒน์รู้สึกอึดอัดและพยายามถอยห่างแถมยังคอยหลบหน้าและตัดสินใจไปใช้ชีวิตอยู่อีกซีกโลกหนึ่งสักพักแต่โชคชะตาก็เล่นตลกเพียงชั่วข้ามคืน…เดนิมที่เขาขีดเส้นวางไว้ว่าเป็นได้แค่น้องชายกลับมีสัมพันธ์เกินเลยจนต้องแต่งงานกันภายใต้สัญญาหนึ่งปี
“ขอบคุณมากนะครับ”
“ขอบคุณเรื่องอะไร”
“ที่…” เดนิมไม่พูดอะไรได้แต่นั่งนิ่งๆอยู่บนตักไม่กล้าขยับตัวได้แต่วางมือบนหน้าอกนั้นอย่างเศร้าสร้อยถ้าพี่พัดไม่เมาจะยอมนอนเป็นเพื่อนเขาหรือเปล่าพายุไม่มีทีท่าว่าจะหยุด “ที่อยู่เป็นเพื่อนนิม” ไม่มีเสียงตอบรับก่อนจะเอามือมาวางลงบนตักตัวเองเขาอยากจะแอบอิงกับพี่พัดแบบนี้ใจจะขาดแต่ก็ไม่อยากทำให้พี่พัดลำบากใจเดนิมรู้ว่าพี่พัดพยายามจะหลีกเลี่ยงที่จะใกล้ชิดกับเขาตั้งแต่ไหนแต่ไรพอนึกย้อนไปถึงเรื่องที่อีกฝ่ายหนีหายไปเรียนต่อต่างประเทศโดยที่ไม่คิดจะบอกกันก็รู้ยิ่งรู้สึกแย่
พายุเริ่มซาลงแต่ฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกเดนิมจึงเลือกที่จะลุกจากหน้าขาของพิพัฒน์เขาลุกออกไปเองดีกว่าให้พี่พัดเอ่ยปาก “จะไปไหน” เดนิมที่กระเถิบลงมาเพิ่งจะหย่อนเท้าลงบนพื้นอีกฝ่ายก็เอ่ยปากถาม
“นิมกลับไปนอนที่ห้องตัวเองดีกว่าคือนิมไม่อยากให้พี่พัดรู้สึกอึดอัด” ก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าเดินทางของตัวเองออกมาลากออกจากห้องนอนใหญ่ไปอย่างเงียบเชียบห้องนอนทั้งสองห้องคั่นด้วยห้องนั่งเล่นตรงกลางแต่สามารถมองเห็นสระน้ำได้คนละฝั่งเมื่อปิดประตูลงกลอนเขาก็หันหลังให้ประตูยืนกอบกุมเสื้อตรงหน้าอกฝั่งซ้ายตรงตำแหน่งหัวใจที่เต้นเหมือนจะกระเด็นกระดอนออกมากลิ่นกายของพี่พัดยังหอมติดจมูกแม้อยากจะยืดเวลาที่อยู่ด้วยกันให้มากกว่านี้อีกสักนิดแต่เดนิมรู้ดีเวลาระหว่างพวกเขาสองคนใกล้หมดลงไปทุกที
ช่วงเช้าพายุฝนสงบท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนว่าไม่เคยเกิดพายุฝนคะนองมาก่อนเดนิมตื่นเช้าเหมือนเช่นเคยอาหารเช้ามาส่งแล้วอีกอย่างเขาเองก็ไม่ชอบแบบที่ลอยอยู่กลางน้ำเพราะนึกถึงเวลาเศษอาหารตกลงในสระมันทำความสะอาดค่อนข้างยากเขาจึงบอกให้บริกรวางไว้ที่ขอบสระเดนิมรออาหารย่อยสักพักก็ลงไปว่ายน้ำเขาสวมกางเกงว่ายน้ำเพียงตัวเดียวอีกอย่างก็เป็นสระส่วนตัวน้ำเย็นๆบรรยากาศยามเช้าที่แจ่มใสรวมไปถึงทัศนียภาพของทิวทัศน์ตรงหน้าทำให้เขาไม่อยากกลับเลยจริงๆที่ว่ากันว่านั่งโง่ๆอยู่ริมทะเลนั้นไม่เกินจริงเดนิมหันหลังเท้าคางมองทิวทัศน์ข้างหน้าน้ำทะเลสีฟ้าครามตัดกับเส้นขอบกับพระอาทิตย์อย่างลงตัวเห็นพี่แฝดบอกว่าในทะเลมีพวกปลากระเบนว่ายมาทักทายบริเวณบังกะโลกลางน้ำแห่งนี้ด้วย เดนิมจ้องมองผืนน้ำทะเลอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาอยู่คู่หนึ่งจดจ้องการกระทำของเขาตลอดตั้งแต่แหวกว่ายอยู่ในสระเดนิมหันหลังให้ทิวทัศน์ก่อนจะคว้าเอาห่วงยางที่นอนลอยน้ำเขาขึ้นไปนอนบนนั้นแล้วยิ้มแฉ่งให้กับพระอาทิตย์สองมือวักน้ำจนทำให้ห่วงยางนั้นลอยไปลอยมา“เล่นเหมือนเด็กๆไปได้” ไม่รู้เมื่อไหร่ที่พิพัฒน์เอาแต่จดจ้องร่างบางที่สวมเพียงแค่กางเกงว่ายน้ำตัว
ทางด้านพิพัฒน์เองเขาจดจ้องใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มมีชีวิตชีวาของเดนิมโดยไม่ละสายตาไปสักเสี้ยววินาที มันไม่ใช่รอยยิ้มแกน ๆ ที่คอยส่งมาให้เขา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มไปถึงดวงตา เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ พิพัฒน์สังเกตเห็นว่าเดนิมทำเหมือนว่าเขาเป็นยักษ์เป็นมารเวลาที่เข้าใกล้ และมักจะก้าวเท้าถอยหลังเสมอ คล้ายว่าเป็นการขีดเส้นระหว่างกัน ไม่มีใครควรล้ำเส้นกันไปมากกว่านี้ แถมยังเป็นฝ่ายหลบสายตา เหมือนว่าการมีอยู่ของตัวเองทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกแย่เดนิมในอุดมคติของเขากับเดนิมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนเป็นคนละคนตอนแรกที่เกิดเรื่องเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยากจะเข้าไปซัดหน้าหวานๆที่เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักเปรี้ยงพิพัฒน์คิดว่าเดนิมร้ายกาจไม่งั้นเขาไม่ต้องมาตกกระไดพลอยโจนอยู่อย่างนี้และการแต่งงานครั้งนี้จะทำให้เจ้าตัวสมหวังอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้แต่พอมาได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันยิ่งได้ใกล้ชิดยิ่งได้รู้จักเหมือนว่าช่วงที่ห่างหายขาดการติดต่อกันไปเดนิมในวันวานยังคงเหมือนเดิมไม่ได้ร้ายกาจหรือมีเล่ห์เหลี่ยมแต่อย่างใดกลับเงียบขรึมเก็บงำความรู้สึกได้เก่งขึ้นและมักจะหลบเลี่ยงปัญหามากกว่าเผชิญหน้าอีกทั้งรอยยิ้มที่ประดับ
เดนิมตื่นมาก็บ่ายสามกว่า ๆ แล้ว เขาคิดว่าตอนนี้พี่พัดคงเก็บของกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว จึงกินนอนเล่นกับพวกแฝด เป็นการรวมตัวกันของครอบครัวที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เล่นน้ำด้วยกันเหมือนเด็กอีกครั้ง พอได้วางความรู้สึกเหล่านั้นลง เดนิมค้นพบว่าความสุขของเขาได้เพิ่มขึ้นทีละนิด แม้จะมีความรู้สึกผิดอยู่เต็มอก แต่ได้แพลนตอนจบเอาไว้แล้วเหมือนกับนิยายที่มีตอนจบไม่ว่าจะสมหวังผิดหวังท้ายสุดก็ต้องเดินทางมาถึงจุดจบไม่ว่าบทสุดท้ายจุดจบจะเป็นเช่นไรเขาเพียงต้องยอมรับมันให้ได้‘ไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง’กว่าจะรู้ว่าความรักในรูปแบบของตัวเองเป็นความรักที่ไม่สมประกอบก็ทำเอาคนอื่นวุ่นวายกันไปทั่วรักที่ดีไม่จำเป็นต้องครอบครองเป็นเจ้าของเดนิมจึงรู้จักที่จะปล่อยวางมันลงคล้ายกับหัวใจได้คลายหนามแหลมที่เกี่ยวพันรัดอยู่บาดแผลและเลือดที่ไหลรินก่อนหน้าค่อยๆสมานเข้าด้วยกันอย่างช้าๆแม้จะทิ้งร่องรอยแผลเป็นเอาไว้แต่ก็เป็นเครื่องเตือนความจำว่าเขาไม่ควรจะรักใครจนทำร้ายตัวเองแบบนั้นอีกและเขาจะต้องเป็นคนที่จัดการความรู้สึกของตนเองไม่ทำให้คนที่รักต้องรู้สึกอึดอัดกับความรู้สึกที่เขามีเดนิมเล่นน้ำจนเหนื่อยหอบอยู่กินดื่มกับแฝดจน
ทะเบียนสมรสจอมปลอมที่ปราศจากความรัก เดนิมทำได้เพียงกกกอดมันเอาไว้อย่างหวงแหน เพราะอย่างน้อยมันก็คือเชือกสุดท้ายที่จะเหนี่ยวรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ข้างกาย แม้จะถูกตราหน้าว่าเห็นแก่ตัวก็ตามในตอนจบของนิยายการที่คนสองคนตกลงปลงใจแต่งงานเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยกันนั่นคือตอนจบที่สมบูรณ์พูนสุขแต่สำหรับชีวิตการแต่งงานของเดนิมไม่ได้สวยงามเหมือนดั่งในตอนจบของนิยายการแต่งงานระหว่างพวกเขาทั้งสองคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดหากย้อนเวลากลับไปได้เดนิมจะไม่ตัดสินใจแต่งงานกับอีกฝ่ายอย่างเด็ดขาดอย่างน้อยระหว่างเราอาจจะยังคงรักษาความรู้สึกดีๆในฐานะน้องนุ่งดีกว่าเป็นอดีตคู่สมรสที่ไม่ได้มีความรักให้แก่กันและไม่มีวันจะสานสัมพันธ์ไปเป็นคนรักของกันและกันได้พี่พัดเกลียดเขายังกะอะไรดีการหย่าขาดถือเป็นการจบเรื่องราวทั้งหมดทนายที่เดนิมจ้างมาขยับแว่นตาก่อนจะกวาดสายตาอ่านเอกสารในมืออีกครั้งคิ้วนิ่วขมวดก่อนจะอ่านเอกสารอื่นๆอีกสองสามรอบอ่านเพื่อทำความเข้าใจถึงจุดประสงค์ของผู้ร่างเอกสารฉบับนี้ขึ้นมาก่อนจะเอ่ยถามผู้ว่าจ้างเพื่อความแน่ใจและไม่ได้ร่างเอกสารเหล่านี้ขึ้นมาด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบ“คุณเดนิมแน่ใจนะครับว่าไ
ย้อนไปเมื่อหลายสิบปีที่แล้วครอบครัวของเดนิมและพิพัฒน์รู้จักกันและสนิทกันในแวดวงธุรกิจตามประสาสังคมนักธุรกิจด้วยกัน พิพัฒน์อายุมากกว่าเดนิมเจ็ดปี สองครอบครัวจึงไปมาหาสู่กันอยู่บ่อย ๆ ชีวิตวัยเด็กของเดนิมเติบโตมาพร้อมกับพิพัฒน์เลยก็ว่าได้ พิพัฒน์มองเดนิมเป็นน้อง แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพศชายท้องได้ (New male) พี่ชายทั้งสองของเดนิม เดนีสและเดนีนต่างก็เอาอกเอาใจ ดูแลประคบประหงมประหนึ่งไข่ในหิน ด้วยความที่อายุห่างกันมาก เดนิมเกิดมาพร้อมกับความพิเศษของร่างกาย ด้วยความเป็นน้องเล็กของบ้าน พี่ชาย พ่อแม่ต่างก็ห้อมล้อมเอาใจ เลยติดนิสัยเอาแต่ใจมาแต่ไหนแต่ไร อยากได้อะไรก็ต้องได้“อยากให้พี่พัดป้อน” เดนิมพูดพลางออดอ้อนคนข้างๆเหมือนที่เคยทำตั้งแต่ยังเด็ก“กินเองดีกว่าโตเป็นหนุ่มแล้วนะเรา” พิพัฒน์เริ่มอธิบายให้เด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างใจเย็นเพราะเดนิมมักจะเป็นแบบนี้เสมอตั้งแต่เด็กจนโตก็มักจะอ้อนให้เขาป้อนข้าวให้บ้างผลไม้ให้บ้างเวลาเจ้าตัวติดตามพี่ๆฝาแฝดทั้งสองมาเล่นเกมที่บ้านเขาพิพัฒน์มักจะอึดอัดเสมอเพียงแต่เขาไม่เคยพูดออกไปได้แต่เว้นระยะห่างอยู่ฝ่ายเดียว“ก็นิมอยากให้พี่พัดป้อนนี่ครับ” พิพัฒน์ถอนหายใจก่อ
ตอนแรกเดนิมคิดว่าเขากับพี่พัดไม่มีวันจะลงเอยกันได้อีก แต่เหตุการณ์กลับพลิกผันเมื่อเย็นวันหนึ่งเขาและชองส์ออกไปเที่ยวคลับแห่งหนึ่งกลางใจเมืองเดนิมไม่ได้กลับบ้านเกิดเมืองนอนมาเสียนานเลยถือโอกาสเปิดหูเปิดตาอีกทั้งยังมีชองส์ที่เขาพอจะไว้ใจไปเที่ยวไหนมาไหนด้วยกันได้ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงนัดกันไปที่คลับแห่งหนึ่งว่ากันว่าบรรยากาศดีและติดหนึ่งในสามของสถานบันเทิงที่ครบครันมากที่สุดในย่านนั้นเดนิมจองโต๊ะไว้บนชั้นสองซึ่งเป็นชั้นวีไอพีชั้นลอยที่สามารถมองเห็นเวทีข้างล่างได้อย่างชัดเจนบรรยากาศดีกับแกล้มอร่อยสมกับรีวิวจริงๆอีกทั้งบริกรก็ได้รับการเทรนมาอย่างดียิ่งพวกเขาเป็นแขกวีไอพียิ่งนอบน้อมเดนิมจิบไวน์ในมืออย่างสบายอารมณ์เขาคุ้นเคยกับไวน์มากกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆเพราะเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจที่บ้านส่วนชองส์กำลังดื่มด่ำกับคอนยัคสีอำพันในมือหากเขาไม่ได้มากับเดนิมรับรองว่าไม่ขาดคนข้างกายติดไม้ติดมือกับห้องไปด้วยแน่ๆสถานที่อโคจรแบบนี้ดูไม่ค่อยเหมาะกับเดนิมสักเท่าไหร่“อย่าดื่มเยอะเบบี๋เดี๋ยวเมา”“รู้แล้วแหละน่า” เดนิมบ่นอุบอิบแม้จะเลิกรากันไปกลายมาเป็นเพื่อนคนสนิทแต่ชองส์ก็ยังคอยบ่นจู้จี้จุกจิกเ
เดนิมไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปตอนแรกคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นเพียงความลับระหว่างเขากับพี่พัดเช้ามาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้คาดคิดว่าเรื่องราวจะบานปลายขนาดนี้ความคิดเพียงชั่ววูบคิดว่าไม่เป็นอะไรแต่สุดท้ายเรื่องราวทุกอย่างกลับตาลปัตรอีกอย่างเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่แผนการของเขาเดนิมกล้าสาบาน! แต่ว่าใครจะเชื่อล่ะ?อีกอย่างเดนิมมีคลิปที่อยู่ในโทรศัพท์ของชองส์เป็นหลักฐานว่าผู้หญิงคนนั้นวางยาพี่พัดตอนนี้คลิปในมือที่เดนิมมีคือกล้องหน้ารถของตัวเองที่ขับตามรถญี่ปุ่นที่เลี้ยวเข้าเลิฟโฮเต็ลอีกทั้งไม่ได้เห็นว่าอีกฝ่ายพยุงพิพัฒน์เข้าไปในห้องพูดอะไรไปตอนนี้ก็คงไม่มีอะไรดีขึ้นยังไงการตัดสินใจตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายยังไงเขากับพี่พัดก็มีสัมพันธ์เกินเลยกันไปแล้วพ่อแม่ของเขาคงไม่ยอมจะให้แล้วต่อกันก็คงเป็นไปไม่ได้เดนิมเข้าใจแล้วว่าทำไมชองส์ถึงสั่งห้ามเขาหนักหนาว่าไม่ให้เข้าไปในห้องนั้นเพราะอย่างนี้นี่เองเดนิมกล่าวโทษตัวเองว่าโง่เขลาอยู่ในใจกัดริมฝีปากตัวเองจนห้อเลือด“งั้นกลับบ้านไปก่อนละกัน” เดนีสเอ่ยปาก“ก่อนกลับบ้านแวะไปโรงพยาบาลก่อนเถอะ” เดนีนพูดจบก็หิ้วปีกน้องชายที่อ่อนแรงแทบไม่มีแร
เดนิมอึ้งช็อกเมื่อได้ยินว่าตัวเองจะต้องแต่งงานและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับพี่พัดภายในระยะเวลาหนึ่งปีการแต่งงานถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมายมีเพียงสองครอบครัวและนายทะเบียนจากสำนักงานเขตเท่านั้นเจ้าบ่าวทั้งคู่ก็อยู่ในชุดแต่งงานที่เดนิมเป็นคนจัดเตรียมเองทุกอย่างรวมไปถึงแหวนแต่งงานทั้งสองวงดูเหมือนเป็นการวางแผนไว้ล่วงหน้าเป็นอย่างดีจะไม่ให้พิพัฒน์คิดได้ยังไงว่าเขาถูกเดนิมวางยาและมัดมือชกภาพงานแต่งงานที่คนทั้งสองนั่งพับเพียบอยู่ต่อหน้าพานเงินทองของหมั้นข้างหลังเป็นญาติผู้ใหญ่ทั้งสองและพี่แฝดในภาพเจ้าบ่าวทั้งสองคนต่างมีสีหน้าไม่สู้ดีต่างก็ราบเรียบปราศจากรอยยิ้มกันทั้งคู่เดนิมจ้องภาพงานแต่งที่เรียบง่ายของตัวเองกับพี่พัดอยู่อย่างนั้นเขานำไปอัดขยายมาใส่กรอบไว้ที่หัวเตียงก่อนจะรูดม่านสีดำปิดบังภาพถ่ายนั้นเอาไว้พร้อมถอนหายใจออกมาอย่างหมดแรงหลังจากงานแต่งพวกเขาทั้งสองจะต้องย้ายมาอยู่ด้วยกันซึ่งสัปดาห์หน้าวันที่ 1 กรกฎาจะเป็นวันแรกที่พวกเขาต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันหากระยะเวลานี้ไม่สามารถสร้างอนาคตไปด้วยกันได้ถือว่าต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระต่อกันเดนิมอ่านเอกสารสัญญาในมือยิ่งเห็นลายเซ็นที
เดนิมตื่นมาก็บ่ายสามกว่า ๆ แล้ว เขาคิดว่าตอนนี้พี่พัดคงเก็บของกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว จึงกินนอนเล่นกับพวกแฝด เป็นการรวมตัวกันของครอบครัวที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เล่นน้ำด้วยกันเหมือนเด็กอีกครั้ง พอได้วางความรู้สึกเหล่านั้นลง เดนิมค้นพบว่าความสุขของเขาได้เพิ่มขึ้นทีละนิด แม้จะมีความรู้สึกผิดอยู่เต็มอก แต่ได้แพลนตอนจบเอาไว้แล้วเหมือนกับนิยายที่มีตอนจบไม่ว่าจะสมหวังผิดหวังท้ายสุดก็ต้องเดินทางมาถึงจุดจบไม่ว่าบทสุดท้ายจุดจบจะเป็นเช่นไรเขาเพียงต้องยอมรับมันให้ได้‘ไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง’กว่าจะรู้ว่าความรักในรูปแบบของตัวเองเป็นความรักที่ไม่สมประกอบก็ทำเอาคนอื่นวุ่นวายกันไปทั่วรักที่ดีไม่จำเป็นต้องครอบครองเป็นเจ้าของเดนิมจึงรู้จักที่จะปล่อยวางมันลงคล้ายกับหัวใจได้คลายหนามแหลมที่เกี่ยวพันรัดอยู่บาดแผลและเลือดที่ไหลรินก่อนหน้าค่อยๆสมานเข้าด้วยกันอย่างช้าๆแม้จะทิ้งร่องรอยแผลเป็นเอาไว้แต่ก็เป็นเครื่องเตือนความจำว่าเขาไม่ควรจะรักใครจนทำร้ายตัวเองแบบนั้นอีกและเขาจะต้องเป็นคนที่จัดการความรู้สึกของตนเองไม่ทำให้คนที่รักต้องรู้สึกอึดอัดกับความรู้สึกที่เขามีเดนิมเล่นน้ำจนเหนื่อยหอบอยู่กินดื่มกับแฝดจน
ทางด้านพิพัฒน์เองเขาจดจ้องใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มมีชีวิตชีวาของเดนิมโดยไม่ละสายตาไปสักเสี้ยววินาที มันไม่ใช่รอยยิ้มแกน ๆ ที่คอยส่งมาให้เขา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มไปถึงดวงตา เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ พิพัฒน์สังเกตเห็นว่าเดนิมทำเหมือนว่าเขาเป็นยักษ์เป็นมารเวลาที่เข้าใกล้ และมักจะก้าวเท้าถอยหลังเสมอ คล้ายว่าเป็นการขีดเส้นระหว่างกัน ไม่มีใครควรล้ำเส้นกันไปมากกว่านี้ แถมยังเป็นฝ่ายหลบสายตา เหมือนว่าการมีอยู่ของตัวเองทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกแย่เดนิมในอุดมคติของเขากับเดนิมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนเป็นคนละคนตอนแรกที่เกิดเรื่องเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยากจะเข้าไปซัดหน้าหวานๆที่เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักเปรี้ยงพิพัฒน์คิดว่าเดนิมร้ายกาจไม่งั้นเขาไม่ต้องมาตกกระไดพลอยโจนอยู่อย่างนี้และการแต่งงานครั้งนี้จะทำให้เจ้าตัวสมหวังอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้แต่พอมาได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันยิ่งได้ใกล้ชิดยิ่งได้รู้จักเหมือนว่าช่วงที่ห่างหายขาดการติดต่อกันไปเดนิมในวันวานยังคงเหมือนเดิมไม่ได้ร้ายกาจหรือมีเล่ห์เหลี่ยมแต่อย่างใดกลับเงียบขรึมเก็บงำความรู้สึกได้เก่งขึ้นและมักจะหลบเลี่ยงปัญหามากกว่าเผชิญหน้าอีกทั้งรอยยิ้มที่ประดับ
ช่วงเช้าพายุฝนสงบท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนว่าไม่เคยเกิดพายุฝนคะนองมาก่อนเดนิมตื่นเช้าเหมือนเช่นเคยอาหารเช้ามาส่งแล้วอีกอย่างเขาเองก็ไม่ชอบแบบที่ลอยอยู่กลางน้ำเพราะนึกถึงเวลาเศษอาหารตกลงในสระมันทำความสะอาดค่อนข้างยากเขาจึงบอกให้บริกรวางไว้ที่ขอบสระเดนิมรออาหารย่อยสักพักก็ลงไปว่ายน้ำเขาสวมกางเกงว่ายน้ำเพียงตัวเดียวอีกอย่างก็เป็นสระส่วนตัวน้ำเย็นๆบรรยากาศยามเช้าที่แจ่มใสรวมไปถึงทัศนียภาพของทิวทัศน์ตรงหน้าทำให้เขาไม่อยากกลับเลยจริงๆที่ว่ากันว่านั่งโง่ๆอยู่ริมทะเลนั้นไม่เกินจริงเดนิมหันหลังเท้าคางมองทิวทัศน์ข้างหน้าน้ำทะเลสีฟ้าครามตัดกับเส้นขอบกับพระอาทิตย์อย่างลงตัวเห็นพี่แฝดบอกว่าในทะเลมีพวกปลากระเบนว่ายมาทักทายบริเวณบังกะโลกลางน้ำแห่งนี้ด้วย เดนิมจ้องมองผืนน้ำทะเลอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาอยู่คู่หนึ่งจดจ้องการกระทำของเขาตลอดตั้งแต่แหวกว่ายอยู่ในสระเดนิมหันหลังให้ทิวทัศน์ก่อนจะคว้าเอาห่วงยางที่นอนลอยน้ำเขาขึ้นไปนอนบนนั้นแล้วยิ้มแฉ่งให้กับพระอาทิตย์สองมือวักน้ำจนทำให้ห่วงยางนั้นลอยไปลอยมา“เล่นเหมือนเด็กๆไปได้” ไม่รู้เมื่อไหร่ที่พิพัฒน์เอาแต่จดจ้องร่างบางที่สวมเพียงแค่กางเกงว่ายน้ำตัว
เดนิมแตะบัตรค่อยๆเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายทำอะไรอยู่เดนิมเปลี่ยนเป็นรองเท้าสลิปเปอร์ก่อนจะเห็นว่ากระเป๋าของตัวเองยังวางอยู่ที่หน้าประตูเหลือเพียงกระเป๋าใบเดียวพี่พัดคงกลับเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วเดนิมกำที่จับกระเป๋าล้อเลื่อนของตัวเองแน่นก่อนจะตัดสินใจที่จะไปนอนกับพี่แฝดเขาไม่อยากให้การมาทำงานครั้งนี้ของพี่พัดมีปัญหาหรือรู้สึกอึดอัดเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินออกมาจากประตูเสียงเอ่ยราบเรียบก็ทักขึ้นมา“เข้ามาแล้วจะออกไปไหนอีก” น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์แต่เดนิมรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจอยู่เนืองๆเขาไม่ได้ตอบแต่ค่อยๆเดินผ่านโถงทางเดินเข้าไปก่อนจะเจอกับโซนห้องนั่งเล่นตรงกลางโซฟาหันหน้าเข้าหาทะเลภาพวิวเบื้องหน้ามีสระน้ำขนาดกลางส่วนตัวให้แขกได้พักผ่อนมีตาข่ายให้ได้นอนอาบแดดนับได้ว่าเป็นห้องพักที่เยี่ยมยอดที่สุดของ The Grand DAE เลยก็ว่าได้พิพัฒน์นั่งจิบบรั่นดีสีอำพันในมือสายตาทอดมองไปยังวิวตรงหน้าน้อยครั้งนักที่เดนิมจะเห็นว่าอีกฝ่ายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่จะเป็นชาร้อนหากต้องอ่านรายงานค่อนคืน“คือ…นิมจะไปนอนกับพี่แฝด”“ใช่แ
เดนิมเดินทอดน่องไปตามชายหาด ท้องเริ่มปวดบิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงนั่งตรงเปลที่ชายหาดผูกไว้ นั่งสักพักเลยล้มตัวนอน มือก็ได้แต่กดท้องตัวเองเอาไว้ เดนิมเป็นโรคกระเพาะทานอาหารไม่ตรงเวลาก็จะปวดจนทรมาน อีกอย่างยาลดกรดก็อยู่ในกระเป๋า ตอนนี้เขาเหนื่อยทั้งกายและใจเลยอยากจะนั่งพักสักครู่ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี พี่พัดตักอาหารให้เขา แต่เป็นสิ่งที่ฆ่าเขาให้ตายได้ อีกทั้งตอนสมัยที่เดนิมยังเด็ก หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เดนิมประทับใจในตัวพี่พัดของเขาก็คือพี่พัดจะเป็นฝ่ายคอยระวังเรื่องอาหารการกินของเขาทุกครั้งที่ต้องออกไปทานอาหารข้างนอกกันรวมถึงแฝด แฝดมักจะเผอเรอไม่ถามไถ่หรือมักจะสั่งกุ้งมากิน แต่เป็นพี่พัดเองที่คอยเอาใจใส่ และหาร้านที่ไม่มีส่วนผสมของกุ้งเพื่อเดนิมวันเวลาผ่านพ้นไปคนเราหากเป็นเรื่องสำคัญมักจะไม่ลืม…เดนิมยิ้มเยาะให้ตัวเองก่อนจะนอนอยู่อย่างนั้นแขนซ้ายปิดทับดวงตาปิดบังความน้อยเนื้อต่ำใจและการเดินหนีหรือหลีกเลี่ยงเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นเดนิมจึงนิยามความรักของตัวเองว่าเป็นรักที่ไม่ประกอบวิ่งมายาวนานเพื่อคนคนเดียวมานับสิบปีเขาแพ้กุ้งแต่พี่พ
เดนิมไม่ออกจากห้องของตัวเองแม้ว่าป้าแม่บ้านที่แม่ของเขาส่งมาทำความสะอาดให้ทุกวันอาทิตย์ก็ตามภายในห้องมีตู้เย็นขนาดเล็กขนมขบเคี้ยวรวมไปถึงกาน้ำร้อนขนาดพกพาอีกทั้งเพราะการเขียนนิยายออกมาสักเรื่องหนึ่งมันใช้เวลาและในตอนที่อารมณ์พาไปหรือจินตนาการพรั่งพรูเดนิมไม่อยากจะลุกออกไปทำอะไรนิ้วเรียวยาวเคาะแป้นพิมพ์อยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียงของแป้นพิมพ์ทำให้เขาลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าสมาธิจดจ่ออยู่กับหน้าจอและตัวหนังสือตรงหน้าและเขาใช้มันเพื่อระบายของเสียภายในจิตใจเขาระบายมันออกมาเป็นตัวหนังสือตัวละครบางตัวก็คือตัวเองที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาขัดเกลาตัวละครผ่านเหตุการณ์สมมุติต่างๆมากมายมานับไม่ถ้วนหาทางออกให้ตัวละครเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายแต่น่าเสียดายตัวเองกลับหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอเขาติดอยู่ในวังวนความเจ็บปวดของความรักมายาวนานนับสิบปีรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีใจแต่ก็ยังจะเฝ้ารออดทนกับสายตาที่หยามเหยียดอดทนต่อถ้อยคำที่บาดลึกถึงกระดูกคล้ายกับคนไม่รู้สึกรู้สา สุดท้ายกลับฝังตัวเองทั้งเป็นด้วยการทอดกายให้อีกฝ่ายได้เชยชม ในฐานะนักเขียนหากตัวละครตัวนี้จะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่แ
บริษัทมีการจัดเลี้ยงฝึกงานแต่เดนิมบอกปัดเขาไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยงกับปัญหาอีกปานัสเป็นญาติของนิชาอีกทั้งก็ไม่ชอบขี้หน้าเขาเป็นทุนเดิมงานเลี้ยงครั้งนี้ไม่ไปดีที่สุดพี่พัดเองก็ไม่ได้ว่าอะไรมีแต่ปานัสที่ดีอกดีใจคุณสิริเองก็เอ่ยชมเขามากขึ้นกว่าแต่ก่อนเดนิมคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วคำชมที่มาจากความจริงใจเพียงเท่านี้ก็มีกำลังใจให้เด็กฝึกงานอย่างเขากระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้นไปอีกอีกอย่างเดนิมก็ไม่ได้จบงานด้านบริหารมาเขาทำได้ดีขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้วชีวิตหลังจากนี้จะได้เป็นอิสระเสียทีเดนิมเลิกเฝ้ารอและเลิกฝันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะทำอะไรดีๆให้พี่พัดแต่ทำไปเหมือนขว้างหินลงสู่ทะเลพี่พัดเกลียดเขาจะตาย…ไม่เห็นหน้ากันจะดีที่สุดเดนิมไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะกลับมาค้างทุกวันหยุดสุดสัปดาห์หรือไม่เขาไม่คิดโทรถามไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญและลำบากใจวันนี้วันศุกร์เขาไม่มีธุระที่ไหนเลยเข้าครัวเองทำอาหารสองสามอย่างทีละน้อยสำหรับคนคนเดียวไข่เจียวตรงหน้าฟูฟ่องส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องครัวเดนิมแกะข้าวหุงสำเร็จเวฟก่อนจะแกะใส่จานแม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้วเดนิมเลือกที่จะหันหลังแล้วทำเป็นไม่เห็นก้มลงทานอาหารตรงหน้
ทางด้านปานัสเมื่อโดนดุไปซึ่งๆหน้าก็ดูจะนอบน้อมขึ้นแต่ก็ยังพยายามจะหักหน้าและปาดหน้าทำงานแทนเดนิมเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมือเจ็บ“นิมช่วยดูตรงนี้หน่อยนะ” สิริเอ่ยพร้อมยื่นแฟ้มให้เดนิมยังไม่ทันยื่นมือออกไปรับปานัสกลับยื่นมือมารับแทน“ให้นัสทำนะครับพี่สิริ” สิริเองก็มองหน้าเดนิมเมื่อเห็นเจ้าตัวพยักหน้าน้อยๆก็ยื่นแฟ้มใส่มือปานัสแทนพร้อมกำชับ“ฝากด้วยนะจ๊ะงานนี้ต้องเสร็จวันนี้ถ้าไม่เสร็จจะจ่ายค่าโอทีให้”ปานัสอ้าปากค้างกลืนน้ำลายลงคอพร้อมรีบเปิดเอกสารในแฟ้มอ่านรายละเอียดคร่าวๆพร้อมอุทานในใจ “ตายห่าไม่น่าเลยกูวันนี้จะเสร็จไหมเนี่ย” พร้อมรีบกุลีกุจอกลับไปนั่งทำที่โต๊ะตัวเองโซนหน้าห้องผู้บริหารแทบไม่มีเสียงพูดคุยตลอดช่วงบ่ายพี่สิริหันมายิ้มเป็นนัยให้เดนิมเดนิมค้อมหัวให้ก่อนจะก้มหน้าอ่านเอกสารในมือจนเลิกงานปานัสขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเมื่อเวลาเลิกงานพนักงานทุกคนทยอยกลับรวมไปถึงเดนิมที่เดินมาอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงานของตัวเองเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ขอบคุณปานัสมากนะที่ช่วยทำงานนี้แทนเราเราขอตัวก่อนนะ” ปานัสแสร้งยิ้มก่อนจะกัดฟันตอบ “กลับก่อนได้เลยจ้ะ” แต่ในใจก่นด่าอีกฝ่ายสิบกว่ารอบเดนิมที่กำลังลงลิฟต์ไปย
ทางด้านเดนิมโชคดีที่กาแฟวางพักไว้สักครู่บนเคาน์เตอร์แผลจึงไม่ได้ร้ายแรงเป็นแผลไหม้ระดับสองมีตุ่มพองใสแต่ก็ปวดแสบมากเพราะเส้นประสาทบริเวณผิวหนังยังเหลืออยู่ไม่ได้ถูกทำลายไปมากนักการหายของแผลใช้เวลาประมาณสองถึงสามสัปดาห์คุณหมอจึงให้ครีมทายาภายนอกรวมไปถึงการปิดแผลด้วยผ้าก๊อซอีกทั้งยังกำชับไม่ให้โดนน้ำรวมไปถึงที่ต้นขาด้านขวาด้วยเดนิมทำแผลเสร็จพี่แฝดก็โทรมาตอนอยู่ในรถพอดีเขากดรับสายก่อนจะทำน้ำเสียงปกติ “ว่าไงครับ”“วันนี้ว่างหรือเปล่าเราพี่สองคนจะไปรับไปทานข้าว”“วันนี้คงไม่ได้ครับ”“เดี๋ยวพี่โทรไปหาไอ้พัดให้”“อย่าดีกว่าครับเดี๋ยวพี่พัดจะว่าเอาตอนนี้ผมเป็นแค่พนักงานฝึกงานนะครับพี่แฝดอย่าลืม” เดนิมพยายามทำน้ำเสียงให้สดใส “อีกอย่างมีนักศึกษาฝึกงานคนอื่นมาฝึกด้วย”“แล้วเราจะว่างเมื่อไหร่” เดนีนแทรกขึ้นมา“เดี๋ยวถ้าว่างจะโทรไปนัดพี่ๆอีกทีนะครับไม่ต้องกลัวว่าพวกพี่แฝดจะไม่ได้จ่ายรับรองวันนั้นต้องจ่ายให้น้องทั้งวันนะครับ” แฝดต่างหัวเราะ “หาเวลามาให้ได้เถอะน้องคนเดียวจะเท่าไหร่เชียวแพงแค่ไหนก็เลี้ยงได้” ทั้งสามคนหัวเราะก่อนจะกดวางสายเดนิมถอนหายใจก่อนจะสตาร์ทรถกลับบ้านโดยไม่ได้ดูสายที่ไม่ได้รับก