เมื่อกลับมาถึงเพนท์เฮาส์พิพัฒน์เหมือนหนูติดจั่นที่เดินวนเวียนไปมาอยู่ในห้องแต่ตรงกันข้ามกับเดนิมพอได้ลองปล่อยวางบางสิ่งลงแล้วกลับรู้สึกสงบขึ้นเขาไม่ต้องรู้สึกกระวนกระวายอย่างเมื่อก่อนอีกระยะเวลาครึ่งปีนับจากนี้อยากจะทำดีกับพี่พัดให้มากที่สุดอย่างน้อยก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจอีกเรื่องของความรู้สึกเดนิมยอมแพ้ขอแค่พี่พัดไม่เกลียดเขาไปมากกว่านี้เป็นพอพิพัฒน์ที่ขีดเส้นใต้ความสัมพันธ์ในตอนแรกอย่างชัดเจนเป็นฝ่ายเสียอาการเดนิมจงใจเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับเขาอย่างเช่นเคยสายงานต่างกันการใช้ชีวิตย่อมต่างกันจนเวลาผ่านมาสองสัปดาห์เดนิมจึงเป็นฝ่ายออกมาเจอเขาที่ห้องนั่งเล่นพิพัฒน์กำลังนั่งอ่านผลงานล่าสุดเรื่องรักไม่สมประกอบก่อนจะเงยหน้าละสายตาจากไอแพดในมือเมื่อได้ยินเสียงเอ่ยเรียก“พี่พัดครับ”พิพัฒน์เงยหน้าหันไปมองเดนิมที่สวมชุดนอนยืมอยู่ข้างๆโซฟาก่อนจะเอ่ยเตือน “พูดกับผู้ใหญ่อย่ายืนค้ำหัวมีอะไรก็นั่งคุยกัน” พร้อมกับขยับที่ให้เป็นสัญญาณบอกว่าให้เดนิมนั่งตรงนี้เดนิมเดินเข้าไปนั่งอย่างว่าง่าย“คือนิมจะไปฝรั่งเศสสัปดาห์หน้า” ไม่พูดเปล่ายังหลุมตามองมือตัวเองที่ประสานกันอยู่ตรงตัก“ไปนานเท่าไหร่…” พิพัฒน์เว
เพราะเปียกปอนไปทั้งตัวกว่าจะเดินกลับมาถึงเพนท์เฮาส์ความเย็นของสายฝนก็แทรกซึมไปทั้งร่างกายแต่ทว่าความเย็นกลับเสียดแทงหัวใจของเดนิมมากกว่าส่วนอื่นสภาพจิตใจที่อ่อนล้าบวกกับร่างกายที่หมดแรงทำเอาเจ้าตัวจับไข้ทั้งคืนเดนิมนอนซมอยู่บนเตียงด้วยอาการหนาวสั่นไปทั้งตัวพิพัฒน์ที่เห็นสภาพร่างกายและสีหน้าของเดนิมคิดเอาอยู่แล้วว่าเดนิมจะต้องจับไข้แน่ๆจึงลุกมาเคี่ยวโจ๊กจัดแจงยาเสร็จสรรพพิพัฒน์เดินไปเคาะประตูอยู่นานกลับไม่มีเสียงตอบรับความกังวลภายในใจยิ่งทบทวีอีกทั้งสิ่งที่ได้ยินจากปากรีเซฟชั่นสาวทำเอาร่างกายเขาเย็นเฉียบไปหมดเดนิมไปส่งข้าวให้เขาที่บริษัทจริงๆพิพัฒน์ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นก่อนจะมองเห็นแป้นรหัสหน้าประตูประตูทุกห้องมีแป้นล็อกอัตโนมัติที่สามารถใช้นิ้วมือสแกนหรือกดรหัสผ่านจำนวนหกหลักพิพัฒน์ยืนใช้ความคิดอยู่สักครู่จึงตัดสินใจกดรหัสผ่านนั้นเสียงติ๊ดในรอบเดียวทำเอาพิพัฒน์ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจรหัสผ่านเป็นวันเดือนปีเกิดของเขานั่นเอง…ความมืดมิดภายในห้องทำเอาพิพัฒน์ยืนปรับสายตาอยู่สักครู่ก่อนจะเอื้อมไปเปิดไฟที่หัวเตียงวางโจ๊กอุ่นๆไว้บนตู้ข้างหัวเตียงพอเห็นสีหน้าย่ำแย่ของคนป่วยเขาใช้หลังมือสัมผัสกับ
นานแล้วที่พิพัฒน์ไม่ได้กลับไปบ้านกิ่งอมร ประจวบกับวันหยุดสุดสัปดาห์นี้เขาเลยถือโอกาสชวนเดนิมไปเยี่ยมแม่ของตัวเอง มาลินีเป็นหญิงม่ายที่เลี้ยงเขามาตั้งแต่อายุยี่สิบกว่า ๆ ตอนนั้นเขายังเป็นนักศึกษาป.โทเพียงลำพัง กัดฟันต่อสู้กับการแก่งแย่งธุรกิจเล็ก ๆ ของครอบครัว ความจริงพิพัฒน์อยากจะดรอปเรียนแล้วมาช่วยธุรกิจที่บ้าน แต่คำตอบของมาลินีในตอนนั้นทำให้เขาอดทนและตั้งใจเรียนต่อจนจบเพื่อมารับช่วงต่อ“พัดไม่มีความรู้มากพอจะบริหารงานและบริหารคนได้ยังไง”บัดนี้บริษัทเติบโตและขยายกิจการจนมีพนักงานที่เป็นฟันเฟืองในระบบหลักพันคนอีกทั้งบ้านศศิภักดีคือบิ๊กบอสใหญ่ที่เป็นแรงหนุนและคอยออกหน้าจนทำให้พิพัฒน์เด็กน้อยคนนั้นที่ไม่ประสีประสากลายเป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงเป็นคนรุ่นใหม่ที่ถือครองธุรกิจหลากหลายประเภทด้วยเหตุนี้ทั้งสองบ้านจึงไม่สามารถตัดขาดกันได้จะตัดบัวยังต้องเหลือใยบุญคุณพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในหลายธุรกิจจะมีเพียงเรื่องคดโกงและยักยอกแหละมั้งที่จะทำให้สองครอบครัวตัดขาดจากกันได้อย่างสิ้นเชิงอาณาจักรของเครือศศิภักดีขยับขยายใหญ่โตขึ้นทุกปีแต่ละรุ่นจะมีผู้บริหารที่มีสายเลือดเดียวกันเท่านั้น
แม้พี่พัดจะเอ่ยปากให้ไปนอนด้วยกัน แต่เดนิมรู้ดีว่าอีกฝ่ายเอ่ยไปตามมารยาท พวกเขาทั้งสองต่างก็แต่งงานจดทะเบียนสมรสกันแล้ว หากจะแยกห้องนอนก็กระไรอยู่ แม้ว่าคนงานแม่บ้านที่นี่ไม่ใช่คนช่างพูดและนินทาเจ้านาย แต่ก็ไม่เหมาะสมอยู่ดีที่จะนอนแยกห้องกัน แต่เดนิมกลับเลือกที่จะนอนห้องนอนแขก เขาไม่คิดจะย่ำกรายเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวของพี่พัดอย่างเด็ดขาด พี่พัดเป็นคนหวงความเป็นส่วนตัวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แม้แต่พวกแฝดเองยังไม่เคยได้นอนค้างที่ห้องนั้น แล้วเขาเป็นใคร…ขอแค่พี่พัดไม่เกลียดกันไปมากกว่านี้เรื่องแค่นี้ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรที่เขาจะทำให้ไม่ได้เดนิมเข้าไปอาบน้ำเตรียมตัวนอนหลังจากออกมาจากห้องน้ำเขาถือผ้าขนหนูผืนเล็กซับผมตัวเองก่อนจะเดินไปที่เตียงกับต้องสะดุ้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายนั่งก้มหน้าเท้าแขนประสานมือเหมือนว่ากำลังนั่งรอการมาของเขาอย่างใจจดใจจ่อ“พี่พัด” พิพัฒน์เงยหน้าขึ้นมองก่อนจะยืดตัวนั่งหลังตรงทำเอาเดนิมรู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก“ทำไมมาอยู่ที่นี่”“คือนิม…นิมต้องทำงานน่ะครับเลยกลัวจะรบกวนพี่พัด” สองตาล่อกแล่กก้มหน้าพูดงึมงำดูยังไงก็เหมือนเด็กที่กำลังหลอกผู้ใหญ่เดนิมโกหกเป็นเสียที่ไหนพิพัฒ
แม้จะนอนต่างที่แต่เดนิมไม่คาดคิดว่าเขาจะนอนหลับลึกถึงขนาดนี้ หลับลึกชนิดที่ว่าตื่นสายจนเกือบจะแปดโมงเช้าอยู่รอมร่อ เดนิมนอนบิดขี้เกียจก่อนจะค่อย ๆ นั่งมองรอบ ๆ ห้องที่มืดสนิทเพราะม่านหน้าต่างไม่ได้เปิดเอาไว้ หันมามองด้านข้างของตัวเองที่ปราศจากเงาของใครอีกคน ส่วนหนึ่งก็รู้สึกโล่งใจ แต่อีกส่วนหนึ่งก็รู้สึกโหวงเหวงในใจเช่นกัน ไม่แน่ว่าพี่พัดอาจจะลุกออกจากเตียงไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วก็ได้เดนิมถอนหายใจก่อนจะลุกไปจัดการตัวเองไม่ลืมที่จะเปิดม่านหน้าต่างออกให้แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาในห้องตรงกระจกบานใหญ่นี้อยู่ตรงกับสวนดอกไม้ที่เมื่อคืนที่พวกเขาเดินเล่นด้วยกันอีกทั้งสีแดงสดของดอกแอบรักก็โดดเด่นสามารถมองจากชั้นสองของบ้านได้อย่างชัดเจนอย่างน้อยก็มีดอกไม้ที่เขาปลูกเอาไว้คอยส่งความปรารถนาดีอยู่ที่นี่เดนิมเกาะกระจกมองไปยังเบื้องล่างก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากทางด้านหลัง“ตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำคุณแม่รอทานข้าว”“ขะขอโทษด้วยครับนิมตื่นสายไม่คิดว่าคุณน้าจะรอ” เดนิมจึงรีบเดินไปทำธุระของตัวเองเสร็จสรรพภายในสิบนาทีเขาวิ่งตาตั้งลงมายังโต๊ะทานอาหารที่มีอาหารเรียงรายและสมาชิกนั่งรออยู่ก่อนแล้ว“ขอโทษ
เดนิมนอนซมด้วยพิษไข้อีกทั้งยังเป็นช่วงอ่อนไหวของเจ้าตัวในตอนแรกเดนิมไม่คิดว่าจะได้ค้างที่บ้านกิ่งอมรด้วยซ้ำแม้ว่าตัวเองจะเตรียมสิ่งนั้นซ่อนในกระเป๋าสะพายก็ตามเดนิมเป็นผู้ชายที่สามารถท้องได้เพราะฉะนั้นเขาจึงมีรอบเดือนเหมือนผู้หญิงทั่วไปเพียงแต่ว่ามาแค่วันเดียวแม้จะวันเดียวแต่ก็สร้างความทรมานให้กับเดนิมเป็นอย่างมากอาการปวดมวนท้องน้อยเริ่มกำเริบขึ้นมาอีกทั้งความเปียกแฉะที่ชั้นในทำให้เดนิมไม่สบายตัวและรู้สึกตัวตื่นมาตอนกลางดึกค่อยๆใช้แขนยันกับเตียงขึ้นมาแต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อถูกกดให้นอนลงไปตามเดิมอีกครั้ง“ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” พิพัฒน์ที่เพิ่งจะเข้านอนไปได้ไม่นานรู้สึกตัวเมื่ออีกฝ่ายขยับตัวเขาเอื้อมมือไปอังหน้าผากที่เปียกชื้นนั้นดีที่ไข้ลดแล้วแสงไฟสลัวตรงหัวเตียงทำให้มองเห็นใบหน้าซีดเผือดของเดนิมได้ไม่ชัดอาการปวดท้องน้อยเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆจนร่างเล็กเริ่มนอนคุดคู้งอตัวเหมือนกุ้งแถมไรผมและหน้าผากยังเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ“นิม” พิพัฒน์เอ่ยเรียกเมื่อเห็นท่าทางย่ำแย่ของอีกฝ่าย“ไปหาหมอมั้ย” เดนิมส่ายหน้าได้แต่นอนกุมท้องน้อยอยู่อย่างนั้น“นะในกระเป๋า” พิพัฒน์เริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูกไม่แน่อาจหมายถ
เดนิมตื่นเช้ามาก็ไม่เห็นอีกฝ่ายเหมือนอย่างเช่นเคยแม้ว่าจะนอนร่วมเตียงด้วยกันมาสองคืนแล้วก็ตามสัมผัสอกอุ่นที่แนบชิดแผ่นหลังอ้อมแขนที่กกกอดเอวเขาไว้อย่างหลวมๆรวมไปถึงฝ่ามือร้อนที่คอยลากไล้วนเวียนเพื่อลดความเจ็บปวดทางท้องน้อยนั้นทำเอาเดนิมนอนหลับสนิททั้งคืนไม่ได้สะดุ้งตื่นกลางคันเพราะความเจ็บปวดอีกอาจเป็นเพราะฤทธิ์ของชาหรือว่าฝ่ามือร้อนของพี่พัดก็ตามแต่ล้วนแต่ดีต่อเขาทั้งนั้นเมื่อก่อนเดนิมชินกับการดูแลตัวเองเพียงลำพังแม้จะเจ็บปวดจากช่วงอ่อนไหวแค่ไหนก็ไม่ปริปากเอ่ยให้ใครได้รู้อย่างที่พี่พัดพูดกับเขาเมื่อคืนคนเราเมื่อโตขึ้นต่างก็มีโลกของตัวเองความคิดความอ่านก็ไม่สามารถพูดออกไปได้อย่างใจนึกเว้นระยะห่างเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวตัวเดนิมเองก็เช่นกันหากเขามีพี่สาวในวัยไล่เลี่ยกันก็คงจะพูดคุยปรึกษาเรื่องนี้ได้อย่างไม่เขินอายมากนักแม้ว่าแม่ของเขาจะรับได้ทุกอย่างในสิ่งที่ลูกเป็นแต่เดนิมก็ยังมีเส้นกั้นบางอย่างที่ไม่สามารถพูดเรื่องนี้ได้อย่างสนิทใจแม้ว่าแม่ของเขาจะคอยถามไถ่อยู่เสมอก็ตามอาจเป็นเพราะต่างคนต่างวัยด้วยล่ะมั้งและไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดออกมายังไงโดยไม่รู้สึกประหม่าและเขินอายอวัยวะภายในมัน
พิพัฒน์อุ้มร่างที่เต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์แถมยังอ่อนปวกเปียกวางยังเตียงของตัวเองในเพนท์เฮ้าส์ห้องนอนส่วนตัวที่ลั่นวาจาว่าอีกฝ่ายไม่มีสิทธิ์เข้ามายุ่มย่ามไม่มีสิทธิ์ถามไถ่อะไรใดๆในเรื่องส่วนตัวของเขากลับกลายเป็นว่าเขาทำลายกฎเกณฑ์ที่ตัวเองตั้งไว้ทั้งหมดโดยไม่รู้ตัวพิพัฒน์ยืนมองร่างบางที่นอนหลับใหลไม่ได้สติไม่รู้ว่าสองแฝดเอาอะไรให้เดนิมดื่มกันแน่ถึงได้มีสภาพแบบนี้พิพัฒน์เข้าไปล้างมือพบว่าที่กระดูกสันมือมีเลือดซึมออกมาเขาลงไปฟัดกับเดนีสเพียงเพราะเรื่องนี้จริงๆเหรอพิพัฒน์เองก็ไม่อยากจะเชื่อปกติเขาเป็นคนสุขุมไม่ใช่คนใช้กำลังเพราะกีฬาที่ร่ำเรียนมีกฎเหล็กห้ามใช้วิชาทำร้ายผู้อื่นแต่เมื่อกี้…พิพัฒน์วักน้ำล้างหน้าก่อนจะถืออ่างใส่น้ำเข้ามารวมไปถึงผ้าขนหนูสีขาวผืนหนึ่งเขาจัดแจงถอดชุดของเดนิมโดยให้ผ้าห่มคลุมมีเพียงสองมือที่จัดการภายใต้ผ้าห่มอย่างเงอะงะเขาบรรจงเช็ดหน้าให้อย่างเบามือพิพัฒน์ไม่รู้ตัวเลยว่าสีหน้าและแววตาของเขาที่มองเดนิมตอนนี้เป็นแบบไหนทะนุถนอมอีกฝ่ายมากเพียงใดก่อนจะลุกไปหยิบชุดนอนจากในตู้ออกมามันเป็นชุดนอนคู่ที่เขาสั่งซื้อออนไลน์ในตอนแรกที่เดนีสบอกเขาว่าเดนิมมีแบรนด์ร้านเสื้อผ้าเป็น
เดนิมที่สวมชุดคลุมท้องอยู่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเมื่อฟังคุณแม่ลูกสองเล่าถึงเรื่องการคลอดธรรมชาติ“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”“ใช่…ขนาดนั้นแหละแต่ว่านะมนุษย์แม่อย่างเราทนได้เชื่อสิ” วินตราตอบคุณแม่มือใหม่ตรงหน้าที่เหมือนจะกังวลไปเสียทุกอย่างถามนั่นนี่ส่วนเขาที่เคยผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นมาก่อนก็คอยตอบคำถามน้องสามีอย่างใจเย็น“มะมะ” เดนอนเริ่มพูดคุยสองคำได้แล้วเรียกมามาปาปาทั้งวันไม่ก็หม่ำๆเด็กน้อยเริ่มเดินได้แล้วพอเดินได้ก็เริ่มซนเดินไปทั่วทั้งบ้านตอนนี้วินตราต่างก็ย้ายมาที่บ้านใหญ่ชั่วคราวเพราะลลดาอยากเลี้ยงหลานตอนนี้วินตราก็ท้องลูกคนที่สองได้ 4 สัปดาห์จะเรียกว่าหัวปีท้ายปีก็ไม่ผิดนักวินตรามองสามีตัวเองตาเขียวอยากจะถลกหนังหัวคนทำเพราะตอนนี้เขาก็ย่าง 43 แล้วมาท้องตอนแก่สังขารไม่ไหวแม้ว่าใจจะสู้ก็ตามอีกอย่างก็กังวลโรคทางพันธุกรรมและความผิดปกติทางโครโมโซมที่อาจเกิดขึ้นได้เดนิมอุ้มเด็กน้อยมานั่งตักแล้วสอน “เดนิมเดนิมไหนพูดสิครับ”“เดเด”“เดนิมครับ”“เดเดนิม”“เก่งมาก” เดนิมหอมแก้มยุ้ยๆนั้นฟอดใหญ่อย่างมันเขี้ยว“มีสองคนไล่ๆกันแบบนี้ก็ดีนะครับเหนื่อยทีเดียว” วินตราถอนหายใจพร้อมกับเอ
การแต่งงานถูกจัดที่เกาะส่วนตัวของท่านเจ้าสัวเป็นงานใหญ่ที่มีการเลี้ยงฉลองถึง 3 วัน 3 คืนบรรดาแขกเหรื่อที่ตบเท้ารวมงานพันกว่าคนและแน่นอนว่าเจ้าบ่าวถูกมอมเหล้าคอพับทุกคืนเดนิมยืนมองภาพถ่ายฉากหลังริมทะเลฟ้าสวยทะเลสีครามสองบ่าวสาวกำลังสวมแหวนแต่งงานให้แก่กันส่วนภาพอื่นๆก็เป็นภาพที่พวกเขาทั้งสองต่างก็ฉีกยิ้มจนไปถึงดวงตาแตกต่างจากภาพในอดีตอย่างเห็นได้ชัดการแต่งงานครั้งนี้มีแต่ความชื่นมื่น“อื้อ”เดนิมถูกสวมกอดจากทางด้านหลังจมูกก็ซุกไซร้ไปทั่วลำคอระหง“พี่พัด”“ยืนมองรูปนี้อีกแล้วนะเรา” ไม่รู้สิรูปถ่ายพวกนี้ที่เดนิมได้อัดใส่กรอบไว้ติดไว้ในห้องนอนของพวกเขารวมไปถึงห้องนั่งเล่นแต่รูปที่สวมแหวนให้กันมักจะดึงดูดความสนใจของเขามากเป็นพิเศษเป็นภาพที่ทะเลท้องฟ้าเหมือนเป็นใจทุกอย่างลงตัวแถมชุดแต่งงานยังเป็นชุดที่เขาออกแบบเอาไว้เพชรและไข่มุกเปล่งประกายระยิบระยับเมื่อกระทบกับแสงแดดเดนิมยังจำภาพวันงานได้ดีแม้จะผ่านมาร่วมสามเดือนแล้วก็ตามตอนนี้พวกเขาทั้งสองย้ายมาอยู่เพนท์เฮ้าส์หลังเดิมเพียงแต่มีการต่อเติมจัดผังใหม่ห้องนอนใหญ่ถูกขยายให้ใหญ่ขึ้นรวมไปถึงห้องนอนแขกก็ออกแบบใหม่เพื่อรองรับสมาชิกใหม่ในวันหน้า
เดนิมไม่ได้คาดหวังกับความสัมพันธ์ครั้งนี้ความจริงเขาแทบไม่ต่างอะไรไปจากเดิมเพิ่มเติมคือมีคนคอยรับคอยส่งก็เท่านั้น“ไงไอ้พัดการงานไม่มีทำเหรอไง” เดนีสถามพลางเปิดฝ่ายเปิดประตูให้เดนิมขณะที่รถจอดหน้าบริษัทบริษัทนี้เป็นบริษัทของเดนิมที่แตกย่อยไลน์การผลิตเครื่องดื่มออกมาภายใต้การดูแลของเดนีสวันนี้เขาแวะเข้ามาประชุมในฐานะที่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่และเป็นหนึ่งในคณะบริหารด้วยส่วนเลขาข้างหลังนั้นสีหน้าราบเรียบบุคลิกดีแตกต่างจากเจ้านายอย่างสิ้นเชิง“ขอบคุณครับ” เดนิมเอ่ยขอบคุณพี่ชายก่อนจะลงรถมายืนข้างๆ “อ้าวสวัสดีครับคุณวิน”“สวัสดีครับ” วินตราเอ่ยทักทายน้องชายเจ้านายอย่างนอบน้อม“ตอนเย็นพี่มารับนะ”“ครับ”“ตอนเย็นก็กลับกับพี่ไงบ้านเดียวกันกลับด้วยกันประหยัดดีออก”“แล้วคุณวินตรากลับยังไงล่ะครับ” เดนีสสะอึกรถคันโปรดของเขานั่งได้แค่สองคนวันนี้ขับมาเองไม่ได้ให้คนขับมาส่งด้วยเดนีสตีหน้าขรึม “อ้อลืมไปวันนี้มีประชุมตอนบ่ายต่อ” ก่อนจะเดินหนีเข้าไปในตึกพร้อมกับคุณเลขา“ตอนเย็นพี่มารับนะ”“อาจจะเลทหน่อยนะครับช้าสักครึ่งชั่วโมง”“ไม่เป็นไรมีอะไรก็โทรมา”“ครับ” พิพัฒน์รอจนเดนิมเดินหายเข้าไปในตึกเขาถึงเคลื
“ทำไมนิมถึงให้โอกาสพี่” พิพัฒน์ตัดสินใจถามออกไปไม่รู้สิหากเป็นเขาคงไม่ได้ง่ายดายแบบนี้แต่ความคิดของเดนิมการที่เขาให้อภัยคนตรงหน้าไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นมันมีระยะเวลาอีกทั้งพี่พัดคงไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่เรียกว่า ‘ง้อขอคืนดี’ ไม่ได้แวะเวียนมาหาหรือขยันสรรหาของมีค่ามาให้แต่การกระทำกลับตรงข้าม“ลิลลี่สีขาวตลอดสามปีที่พี่พัดส่งให้นิมทุกโอกาสก็แฝงความนัยไม่ใช่เหรอครับ”“อ่า” นั่นก็จริงเพราะพิพัฒน์ไม่ใช่คนช่างพูดแต่การกระทำของเขามักจะแฝงความนัยเอาไว้ในสิ่งของต่างๆเสมอไม่ว่าจะดอกลิลลี่สีขาวที่ส่งให้อีกฝ่ายในทุกโอกาสพิเศษต่างๆเดนิมมีพร้อมทุกสิ่งเขาไม่อยากให้ของมีค่าเพื่อกดดันให้อีกฝ่ายรับไว้ดอกไม้อย่างมากสองสัปดาห์ก็เหี่ยวเฉาร่วงโรยไปจะทิ้งก็สมควรเพราะถึงแก่เวลาเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแต่ความจริงแล้วดอกลิลลี่สีขาวพวกนั้นไม่เคยถูกทิ้งสักช่อแม้จะแห้งเหี่ยวไร้กลิ่นไม่เหลือความสวยงามแต่ความหมายยังคงอยู่ยังคงวางอยู่ในกล่องใสเรียงซ้อนกันหลายกล่องภายในโกดังเก็บของแต่เขาไม่บอกพี่พัดหรอก“พี่พัดคงรู้ความหมายของลิลลี่สีขาวดี”ดอกลิลลี่สีขาวแสดงความรักที่บริสุทธิ์และความไร้เดียงสาความเห็นอกเห็นใ
ว่ากันว่าหนังสือเล่มเดิมตอนจบไม่ว่าจะอ่านกี่ครั้งก็ยังคงเหมือนเดิม…นั่นก็จริงส่วนหนึ่งแต่ว่าทุกครั้งที่อ่านกาลเวลาไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่คนเราโตขึ้นสังคมสิ่งแวดล้อมแม้ตอนจบในตอนสุดท้ายจะยังคงเหมือนเดิมแต่ทว่าความรู้สึกทุกครั้งที่ได้อ่านไม่มีทางเหมือนเดิมคนเราเองก็เช่นกันทุกคนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาไม่มีใครคงเดิมจะเป็นไรไปหากเราอยากจะหยิบเล่มโปรดขึ้นมาอ่านอีกครั้งแม้ว่าระหว่างทางที่อ่านจะเปียกปอนและเหน็บหนาวไปบ้างแม้ตอนจบจะไม่สมหวังแต่อย่างน้อยเราก็ได้อ่านมันเพื่อเติบโตคนเราไม่ได้เติบโตเพียงร่างกายแต่ความรู้สึกของเราก็เติบโตด้วยเช่นกันเรียนรู้ที่ยอมรับความผิดพลาดแก้ไขและทำให้มันดีขึ้นดังเช่นพวกเขาทั้งสองเริ่มแรกสถานการณ์ไม่เป็นใจพอเวลาผ่านไปทำให้ตกผลึกได้ถึงบางสิ่งบางความรู้สึกที่ไม่แจ่มชัดในตอนแรกนิยามคำว่ารักคนเราไม่เหมือนกันบ้างขอแค่ได้รักบ้างขอให้ได้อยู่ด้วยกันแล้วถ้าหากนิยามรักของพวกเราสองคนไม่ตรงกับคนอื่นล่ะ? พิพัฒน์นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดขับรถไปยังบ้านศศิภักดีตลอดทาง หากผู้ใหญ่ทางบ้านศศิภักดีจะกีดกัน นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก การแต่งงานของพวกเขาทั้งสองในตอนแรกมีแต่ความไม่เข้าใจ ความ
การอ่านนิยายกลายเป็นหนึ่งในงานอดิเรกของนักธุรกิจชื่อดังอย่างพิพัฒน์ เขาพึ่งค้นพบการเยียวยาหัวใจตัวเอง ก็เหมือนวลี ‘นั่งโง่ ๆ ที่ริมทะเล’ อะไรทำนองนั้น อีกอย่างมันทำให้เขาเข้าใจตัวตนของเดนิมมากขึ้น เมื่อก่อนเขาคิดว่านิยายมันไม่สมจริง ประโลมโลก รู้สึกว่าเสียเวลาชีวิตด้วยซ้ำ แต่พอได้ลองอ่าน ลองวิเคราะห์ตัวละคร หลาย ๆ เรื่องราวจะเห็นได้ว่านิยายไม่เพียงสร้างความบันเทิงหรือเสริมสร้างจินตนาการ แต่บางเรื่องกลับซ่อนเรื่องราวเบื้องหลัง ความฝันบางอย่างที่นักเขียนไม่สามารถลงมือทำมันในชีวิตจริงได้ แต่สามารถทำให้มันสำเร็จได้ในนิยายเรื่องหนึ่งดังเช่นเรื่อง ‘ความรักและกาลเวลา’ ที่เขากำลังอ่านอยู่ตอนนี้จะบอกว่าอินก็คงจะไม่ผิดนักเป็นการบอกเล่าความรักของคนสองคนที่ผ่านอุปสรรคกาลเวลาความเข้าใจผิดและกลับมาพบกันอีกครั้งโดยปลายปากกาของ FALLIN นักเขียนผู้ไม่สมหวังในความรักรวมไปถึงความฝันต่างๆได้ถูกบอกเล่าผ่านตัวอักษรหน้าแล้วหน้าเล่าค่อยๆถ่ายทอดออกมาอย่างถูกจังหวะบางประโยคก็กระแทกใจคนอ่านทำให้นักอ่านรู้สึกคล้อยตามและเห็นใจตัวละครได้ไม่ยากพิพัฒน์ได้เรียนรู้และเข้าใจคนคนหนึ่งเพราะการอ่านนิยาย FALLIN เป็นนามปาก
การเขียนคือหนึ่งในชีวิตประจำวันของเดนิมไปเสียแล้วแม้ว่าเขาจะกล้าพูดกล้าวิจารณ์มากขึ้นแต่การระบายของเสียภายในจิตใจของเขายังเป็นการเขียนอยู่ดีปล่อยสมองและปล่อยใจให้พลิ้วไหวไปตามนิ้วมือที่เคาะลงบนแป้นพิมพ์สภาพจิตใจตอนนี้ของเขาดีขึ้นมากพอไม่ยึดติดก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไปอีกทั้งนิยายเรื่องใหม่ที่เขียนก็เป็นการถ่ายทอดความรู้สึกเจ็บปวดเหล่านั้นลงไปทีละเล็กทีละน้อยจนตอนนี้ของเสียภายในจิตใจของเขาไม่ได้มากมายเหมือนอย่างแต่ก่อนตอนจบที่เดนิมวางเอาไว้เป็นปลายเปิดมนุษย์เราก็เหมือนเฉกเช่นตัวละครในนิยายบ้างทำเรื่องที่ผิดมหันต์บ้างโง่เขลานักอ่านอ่านในมุมมองพระเจ้ามองเห็นภาพรวมทั้งหมดหากเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงเราต่างก็บ้าใบ้และโง่เขลาและอาจกระทำในสิ่งที่ไม่สมควรเหมือนดั่งตัวละครที่เราก่นด่าเพราะฉะนั้นเดนิมจึงปล่อยให้ตัวละครดำเนินเรื่องไปเขาอัพนิยายทุกคืนหากวันไหนมีธุระก็จะแจ้งเตือนล่วงหน้าอัพกลางคืนและใช้เวลาที่นั่งอยู่ในรถตอนเช้าระหว่างเดินทางไปบริษัทฆ่าเวลารถติดที่แสนน่าเบื่อด้วยการอ่านคอมเมนต์และตอบกลับปกติการลงนิยายให้อ่านแต่ละตอนจะเป็นหน้าที่ของทางสำนักพิมพ์แต่ว่าเรื่องนี้เดนิมตัดสินใจที่
พิพัฒน์เดินออกจากห้องพักผู้ป่วยด้วยสีหน้าไม่สู้ดี แม้แต่สองแฝดที่ทำท่าจะเข้ามาก่อกวนต่างก็มองหน้ากันด้วยความสงสัย แม้ว่าจะหมั่นไส้ไอ้เพื่อนรักมากแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้เกลียดถึงขนาดจะฆ่าแกงกัน อีกอย่างเรื่องของความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้ อย่างที่เคยบอก ไอ้พัดเพื่อนเขาวางตัวดีมาตลอด รักษาระยะห่างกับเดนิมจนไม่รู้จะรักษาระยะห่างยังไง แต่สุดท้ายคืนหนึ่งชีวิตก็พลิกผัน ได้แต่งงานกับคนที่คอยวิ่งหนีมาตลอดหลายสิบปีแต่วันนั้นที่ริมทะเลเดนีสแน่ใจว่าความรู้สึกของเพื่อนรักได้เปลี่ยนไปเพียงแต่เจ้าตัวแค่ไม่แน่ใจอีกอย่างตอนที่เดนิมยังเด็กไอ้พัดประคบประหงมเดนิมยิ่งกว่าพี่น้องที่คลานตามกันมาอย่างพวกเขาเสียอีกตัวติดกันจนพี่ชายอย่างเขาไว้ใจหากเดนิมอยู่กับพิพัฒน์แต่เพราะวัยเจริญพันธุ์มาถึงรวมถึงเรื่องเพศสภาพจึงทำให้ทั้งสองไม่สามารถสนิทสนมกันได้ตามเดิมจะบอกว่าไอ้พัดเองก็มีใจให้…ก็พูดได้ไม่เต็มปากไม่งั้นจะได้ตำแหน่งว่าที่ลูกเขยในอนาคตของเดนิมเหรอผู้ใหญ่มองออกตั้งนานแล้วว่าอะไรเป็นอะไรมีเพียงเจ้าตัวที่ไม่รู้อะไรเลยหากตอนนั้นไอ้พัดมาสารภาพว่าคิดกับเดนิมเป็นอื่นด้วยวัยเพียงแค่นั้นไอ้พัดคงโดนซ้อมปางตายเป็นแน่แต่พอ
ผู้บริหารอย่างพิพัฒน์ออกงานพบปะผู้ร่วมลงทุนบ้างประปรายส่วนงานประมูลแบบนี้เรียกว่านับครั้งได้เขามาในฐานะหนึ่งในผู้บริหารของ SSP GROUP และผู้บริหารของ KA GROUP ด้วยเช่นกันบรรดาข้าวของที่พิธีกรบรรยายรายละเอียดเพื่อดึงความสนใจของเหล่าบรรดานักสะสมทั้งหลายในค่ำคืนนี้แต่ทว่าพิธีกรสาวสวยหรือสิ่งของที่ว่าล้ำค่าหายากไม่ได้เข้าสู่โสตประสาทของเขาเลยแม้แต่น้อยนิ้วมือข้างขวาคลึงแหวนแต่งงานข้างซ้ายอยู่อย่างนั้นคล้ายกับไม่รู้ตัวแต่สายตากลับจ้องมองเสี้ยวหน้าของใครบางคนที่กำลังลุกยืนพูดจายิ้มแย้มเดินออกไปเคียงคู่กับสิบทิวารวมไปถึงชายหนุ่มผมทองอีกหนึ่งคนพิพัฒน์ย่นคิ้วพลางจ้องมองใบหน้าของคนแปลกหน้าที่อยู่กับเดนิมคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอหรือรู้จักแต่ก็จำไม่ได้จะว่าไปมีแต่เดนิมที่รู้จักเขาแต่เขาเองกลับไม่รู้เรื่องอะไรของเดนิมเลยเพราะเขาไม่เคยใส่ใจและไม่คิดว่าจะต้องใส่ใจแม้ว่าพิพัฒน์อยากจะเข้าเดินไปทักทายเดนิมมากแค่ไหนแต่เหมือนผู้คนและบรรยากาศรอบข้างจะไม่เป็นใจ“ได้คุยกับน้องบ้างหรือยังลูก” พิพัฒน์ส่ายหน้า“ยังเลยครับ” มาลินีเองก็ถอนหายใจออกมาเช่นกันก่อนจะตบหลังมือลูกชายเบาๆ“ช่วยไม่ได้นี่นาพัดใจร้ายกับ