ทางด้านพิพัฒน์เองเขาจดจ้องใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มมีชีวิตชีวาของเดนิมโดยไม่ละสายตาไปสักเสี้ยววินาที มันไม่ใช่รอยยิ้มแกน ๆ ที่คอยส่งมาให้เขา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มไปถึงดวงตา เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ พิพัฒน์สังเกตเห็นว่าเดนิมทำเหมือนว่าเขาเป็นยักษ์เป็นมารเวลาที่เข้าใกล้ และมักจะก้าวเท้าถอยหลังเสมอ คล้ายว่าเป็นการขีดเส้นระหว่างกัน ไม่มีใครควรล้ำเส้นกันไปมากกว่านี้ แถมยังเป็นฝ่ายหลบสายตา เหมือนว่าการมีอยู่ของตัวเองทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกแย่
เดนิมในอุดมคติของเขากับเดนิมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนเป็นคนละคนตอนแรกที่เกิดเรื่องเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยากจะเข้าไปซัดหน้าหวานๆที่เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักเปรี้ยงพิพัฒน์คิดว่าเดนิมร้ายกาจไม่งั้นเขาไม่ต้องมาตกกระไดพลอยโจนอยู่อย่างนี้และการแต่งงานครั้งนี้จะทำให้เจ้าตัวสมหวังอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้แต่พอมาได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันยิ่งได้ใกล้ชิดยิ่งได้รู้จักเหมือนว่าช่วงที่ห่างหายขาดการติดต่อกันไปเดนิมในวันวานยังคงเหมือนเดิมไม่ได้ร้ายกาจหรือมีเล่ห์เหลี่ยมแต่อย่างใดกลับเงียบขรึมเก็บงำความรู้สึกได้เก่งขึ้นและมักจะหลบเลี่ยงปัญหามากกว่าเผชิญหน้าอีกทั้งรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าเสมอยามเมื่อเห็นเขากลับกลายเป็นยิ้มเฝื่อนยิ้มเจื่อนๆอย่างขอไปที
พิพัฒน์รู้ดีว่าสัมพันธ์ทางกายที่เกิดขึ้นนั้นสะบั้นความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องที่มีให้กันก่อนหน้าจะทำให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทำตัวเหมือนปกติก่อนหน้าก็คงไม่ได้ถึงแม้เดนิมจะทำได้แต่เขาทำไม่ได้แน่นอนในคราแรกเขาอยากจะสั่งสอนให้บทเรียนหนักๆแก่เดนิมจึงปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่คนเดียวไม่ติดต่อไม่โทรหาไม่ใส่ใจเขาอยากจะสั่งสอนให้เดนิมได้เรียนรู้ว่าหากอยากจะบังคับฝืนใจคนอื่นก็จะต้องโดนอย่างนี้แหละแรกๆเดนิมเหมือนว่าจะล้ำเส้นที่เขาขีดไว้แต่เพียงไม่กี่ครั้งที่เขานิ่งเฉยอีกฝ่ายก็ล่าถอยไปโดยไม่ล้ำเส้นที่เขาขีดไว้ตั้งแต่แรกอีกและมักจะหลบหน้าหนีหายไปไม่รู้เมื่อไหร่ที่ตะกอนในใจทุกกวนให้ขุ่นขึ้นมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งไม่ว่าจะเป็นเรื่องนิชาปานัสพิพัฒน์อยากจะเห็นภาพที่เดนิมโวยวายก้าวร้าวมากกว่าที่จะเห็นเจ้าตัวนิ่งเงียบสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ออกมานั้นทำเอาพิพัฒน์ทำตัวไม่ถูก
งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปดนตรีแสงสีทั้งหลายไม่ได้ดึงดูดความสนใจของเขามากกว่าคนตรงหน้าที่กำลังโอบกอดเป็นกันเองกับผู้ใหญ่ทางบ้านปกิจโสภณสายตาที่สิบทิวามองเดนิมไม่รู้ทำไมเขาเองถึงไม่ชอบใจเอามากๆพิพัฒน์จิบไวน์ในมือไม่รู้แก้วที่เท่าไหร่เพื่อขับไล่ความรู้สึกผิดพ้องหมองใจออกไปแต่เสียงเรียกของคนข้างหลังทำเอาพิพัฒน์ปั้นหน้าไม่ถูก
“พัด” เขาไม่มองหน้าก็จำเสียงได้…นิชา
“ยินดีด้วยนะคะ” นิชาในชุดเดรสสีดำที่ขับเน้นทรวดทรงของตัวเองนั้นดูสวยไม่มีที่ติไม่ว่าเสื้อผ้าทรงผมเครื่องประดับล้วนขับให้ใบหน้ารูปไข่นั้นดูโดดเด่นขึ้นไปอีก
“ขอบคุณครับ” เมื่ออีกฝ่ายยื่นแก้วมาพิพัฒน์ก็ชนไปตามมารยาทปานัสเองก็มาในงานนี้ด้วยพอเห็นเขาก็ปรี่เข้ามาชนแก้วพูดคุยนั่นนี่แต่เหมือนประสาทหูของเขาจะปิดรับเสียงของปานัสกลับพยายามโฟกัสบทสนทนาของผู้คนอีกฝั่งที่จับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนิทสนมเป็นกันเองทั้งนิชาและปานัสต่างก็เข้างานมาทีหลังไม่ทันได้เห็นภาพที่ท่านเจ้าสัวแนะนำเดนิมว่าเป็นลูกชายคนสุดท้องกับแขกเหรื่อในงานเมื่อเห็นสายตาของพิพัฒน์ที่จ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตาสองคนก็สบตากันปานัสยังไม่ได้พูดอะไรออกมาเดนีสหนึ่งในฝาแฝดพี่ชายของเดนิมก็เดินมาตบบ่าของพิพัฒน์อย่างสนิทสนมก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นสองคนข้างๆเขาย่นหัวคิ้วก่อนตีหน้านิ่งจิบไวน์ในมือเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกไม่พอใจเอาไว้
“อ้าวคุณเดนีสสวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ” นิชาทักทายเสียงใสก่อนจะกระทุ้งสีข้างลูกพี่ลูกน้องข้างๆ “สวัสดีครับผมปานัสครับ” ปานัสรีบเอ่ยทักทายใบหน้าแสดงความยินดีปรีดาออกมาไม่เก็บสีหน้าไว้แม้แต่น้อยเดนีสเป็นลูกเสี้ยวรูปร่างสูงโปร่งใบหน้าคมคายออกไปทางตะวันตกมากกว่าเอเชียเพราะรูปร่างที่สูงใหญ่จึงทำให้ปานัสแหงนคอมองอีกฝ่ายก่อนจะชวนพูดคุยทักทายอย่างเป็นกันเองใครบ้างไม่รู้จักทายาทนักธุรกิจระดับประเทศนามสกุลศศิภักดีใครบ้างไม่อยากใช้…เหมือนว่าบทสนทนาจะชะงักเมื่อสองหนุ่มตรงหน้าต่างก็ให้ความสนใจกับกลุ่มคนอีกฟากหนึ่งมากกว่า
“คุณเดนีสรู้จักเดนิมด้วยเหรอคะ” นิชาเอ่ยถามแถมไม่ฉุกคิดเลยด้วยว่าชื่อทั้งสองจะคล้ายกัน
เดนีสมุ่นคิ้วก่อนจะพยักหน้าก่อนจะเอ่ยตอบ “รู้จักสิครับ”
“จริงด้วยอีกฝ่ายเคยเป็นเด็กฝึกงานที่บริษัทของคุณพิพัฒน์ตั้งหลายเดือน” เดนีสไม่เอ่ยอะไรแต่สีหน้าและแววตาเริ่มไม่เป็นมิตรอีกทั้งเขายังจำผู้หญิงตรงหน้าได้…คือผู้หญิงที่อยู่ในคลับวันนั้นกับไอ้พัดเพื่อนของเขา
“เสน่ห์แรงจริงๆดูท่าคงจะฝากฝังฝากตัวไว้กับท่านอาทิตย์” ปานัสจีบปากจีบคอพูดสิ่งที่อยู่ในหัวไปอย่างลืมตัวพลางปรายตามองอย่างเหยียดหยามเบะปากก่อนจะหันมาสบตากับเดนีสที่จ้องมองตนอยู่แล้วอย่างไม่วางตาแต่สายตานั้นทำเอาปานัสรู้สึกร้อนๆหนาวยังไงชอบกลไม่รู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรผิดไปเดนีสกอดอกหลุบตามองของเหลวสีแดงที่ถูกแกว่งในมือช้าๆ
“เหมือนพวกคุณจะรู้จักผู้ชายคนที่ชื่อเดนิมเป็นอย่างดีเลยนะครับ” ปานัสรีบตอบ
“เคยฝึกงานร่วมกันสามเดือนน่ะครับ”
“อ้อ” เดนีสขานตอบรับอย่างขอไปทีแต่ภายในหัวสมองกลับหาวิธีไล่ต้อนสองคนตรงหน้าเดนีสไม่ใช่คนใจดีและประนีประนอมไปเสียทุกอย่างเหมือนอย่างพิพัฒน์เพื่อนเขารายนั้นน่ะพ่อพระแต่บางครั้งก็โง่บรม
“ก่อนหน้านี้ก็เหมือนจะเข้าหาคุณพิพัฒน์” ปานัสจิบเครื่องดื่มในมืออึกหนึ่งก่อนจะพูดต่อโดยสายตาไม่ได้ละไปจากเดนิมเดนีสปรายตามองเพื่อนรักของตนก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ
“คุณคงไม่รู้ว่าพิพัฒน์แต่งงานแล้ว”
“หา” ทั้งสองคนไม่ว่านิชาหรือปานัสต่างอุทานออกมาพร้อมกันอย่างลืมตัว
“จะจริงหรือคะ” นิชาถามเสียงสั่นพิพัฒน์พยักหน้า
“แล้ว…”
เดนีสเลยเป็นคนชิงตอบเอง “ก็คนที่พวกคุณกำลังพูดถึงนั่นไง…เดนิมศศิภักดีทายาทคนสุดท้องของเจ้าสัวเดรโกและคุณหญิงลลดาอีกทั้ง…ยังเป็นน้องชายสุดที่รักของผมด้วย” สองคนอ้าปากค้างแต่เดนีสไม่อยากจะไว้หน้าพวกเขาอีก
“อ้อ…จะว่าผมไม่มืออาชีพก็ได้นะผมแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ออกอีกอย่างผมไม่สามารถร่วมงานกับคนที่เกลียดน้องชายผมและพูดถึงในทางที่เสียหายได้ส่วนเรื่องฉีกสัญญาทางทนายผมจะติดต่อคุณไปอีกทีคุณนิชา” เดนีสพูดจบก็เดินออกไปโดยไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น
“ผมขอตัว” พิพัฒน์เองก็เดินออกไปจากวงสนทนาเมื่อครู่เหมือนกันทิ้งให้นิชาต้องหน้าซีดปากสั่นอยู่ตรงนั้นรวมไปถึงปานัสที่โดนหางเลขไปด้วย
“เพราะแก…ปากไม่มีหูรูดพังหมด” นิชาเมื่อได้สติจึงหันมาเอ็ดตะโรใส่คนข้างๆ
“แล้วใครจะไปรู้ล่ะ” หากเดนีสไม่พูดออกมาก็เกรงว่าพวกเขาทั้งสองคงไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริงที่ว่านิชายิ่งแล้วใหญ่พอนึกไปถึงพฤติกรรมแย่ๆที่ตัวเองเคยทำไว้กับอีกฝ่ายสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่นึกถึงร้านอาหารฝรั่งเศสที่หล่อนเคยดูถูกอีกฝ่ายว่าไม่เคยมาแถมยังอ่านไม่ออกที่ไหนได้เดนิมเป็นถึงทายาทของศศิภักดีอีกทั้งเคยได้ยินมาว่าไปเล่าเรียนที่ฝรั่งเศสอยู่หลายปีธุรกิจที่ขาดสภาพคล่องยิ่งย่ำแย่เข้าไปใหญ่เมื่อพาร์ทเนอร์รายใหญ่ฉีกสัญญากะทันหันแบบนี้
อยู่ไม่ได้แล้ว…นิชาคิดพลันรีบเร้นหายไปท่ามกลางฝูงชนโดยไม่ลืมลากปานัสกลับไปด้วย
อีกอย่างนิชายังพอมีหัวคิดต่อให้หล่อนจะถูกแจ้งความเรื่องวางยาแต่ยังมีระยะเวลาตามกฎหมายหากสมองของหล่อนยังคิดไม่ได้คิดแต่จะเล่นงานเดนิมเพื่อความสะใจของตัวเองนั่นก็โง่เต็มที
ศศิภักดีรวยล้นฟ้าขนาดนั้นต่อให้เดนิมเป็นอะไรไป…แล้วยังไงล่ะสะใจเพียงชั่วครู่สุดท้ายคนที่จนตรอกและน่าสมเพชมากที่สุดยังคงเป็นตัวเองมีแต่พังกับพังเจ้าคิดเจ้าแค้นไปก็ไม่มีประโยชน์
บทนางร้ายตัวอิจฉาในละครตอนจบเป็นยังไงก็เห็นๆกันอยู่อีกอย่างเธอยังสาวยังสวยยังพอมีทางเลือกอื่นให้เดินไม่ได้หน้ามืดตามัวแก้แค้นเพื่อผู้ชายคนหนึ่งอย่างน้อยก็มีไอ้เสี่ยโชคยังเหลือทางรอดให้ไปได้
เดนีสเดินออกมาสูดอากาศตรงระเบียงข้างหลังสูดเอานิโคตินเข้าปอดอยู่อย่างนั้นก่อนจะเท้าแขนลงกับระเบียงฝีเท้าที่เดินตามมาไม่หันไปมองก็รู้ว่าเป็นใคร
“บ้านกูผิดเอง” พิพัฒน์เดินไปยืนข้างๆในท่วงท่าสบายๆแต่ภายในใจกลับไม่ได้สบายเหมือนอย่างภาษากายที่กำลังแสดงออกมา
“ผิดอะไร”
“ที่บังคับให้มึงแต่งงานกับเดนิม”
“…”
“เรื่องสัญญาหนึ่งปีช่างแม่งมันเถอะ” เดนีสบอกอย่างหัวเสียเห็นได้ชัดว่าเดนิมตอนอยู่กับไอ้พัดชีวิตแม่งระทมขนาดไหนถึงขนาดโดนเด็กฝึกงานข่มคู่ค้าที่คบค้าสมาคมกันมาอย่างยาวนานอย่างนิชายังไม่รู้เรื่องที่ไอ้พัดแต่งงานแม้ว่าจะระยะเวลาไม่นานก็ตามเถอะพอนึกไปถึงตอนที่เขาโทรหาน้องชายถามไถ่เรื่องไอ้พัดเดนิมไม่เคยพูดอะไรออกมายิ่งทำให้พี่ชายอย่างเขาโกรธตัวเอง
พิพัฒน์หัวเราะในลำคอก่อนจะเปลี่ยนอิริยาบถเท้าแขนไปยังระเบียงหันหน้ามามองเดนีสด้วยใบหน้าราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์แต่สำหรับพวกเขาที่โตมาด้วยกันนั้นซ่อนความไม่พอใจเอาไว้หลายส่วนพวกเขาไม่ใช่เพียงเพื่อนกันเท่านั้นยังเป็นพาร์ทเนอร์ธุรกิจเป็นเจ้าของธุรกิจร่วมกันหลายสิบแห่งแต่ว่าเรื่องนี้ก็ทำให้พวกเขาบาดหมางใจกันไม่น้อย
“ทำไมเป็นปกิจโสภณดีกว่างั้นสิ”
“ไอ้พัด!” เดนีสปรายตามองอีกฝ่ายก่อนจะขยี้ก้นบุหรี่ไว้ที่ใต้ฝ่าเท้า
“พูดแทงใจดำล่ะสิ”
“ก็อาจจะดีกว่ามึง” ความเงียบเข้าปกคลุมก่อนเดนีสจะถอนหายใจออกมา
“กูเข้าใจความลำบากของมึงแต่…ช่างมันเถอะอีกอย่างมันอยู่ที่เดนิมทั้งนั้น” เดนีสอยากจะพูดอะไรออกไปมากมายติดตรงที่ว่าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์คนที่จะก้าวออกมาจากความสัมพันธ์นี้ได้ไม่ใช่เขา…แต่เป็นตัวเดนิมเอง
“เดนิมก็พูดถึงสัญญานี้หลายครั้งเหมือนกัน”
“ยังไง”
“พวกมึงสองคนสมกับที่เป็นพี่น้องกัน…แต่แล้วยังไงยังไงก็แต่งไปแล้ว”
“แต่งแล้วก็หย่าได้อีกอย่างมึงก็ให้ในสิ่งที่เดนิมต้องการไม่ได้”
“ไม่ใช่ว่าให้ไม่ได้…เดนิมไม่เคยออกปากขอ”
“อย่าบอกนะว่ามึง…”
“ก็แล้วแต่มึงจะคิด”
“เอาดีๆไอ้พัด” เดนีสร้อนรน
“ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันเหมือนกูไม่รู้จักเดนิมเลย” เดนีสแค่นเสียง
“มึงจะรู้ได้ไงจะครึ่งปีแล้วนับเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจะกี่วันกันแม้เดนิมไม่พูดแต่บางเรื่องมันก็ปิดกันไม่ได้อยู่ดีมึงเองช่วงแรกๆก็แทบไม่ได้กลับไปที่เพนท์เฮ้าส์ถ้ามึงอยากจะรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเดนิมจริงๆละก็…FALLIN เป็นนามปากกาของเดนิม”
“เดนิมเป็นนักเขียน?”
“เดนิมไม่ใช่ทายาทเศรษฐีที่เอาแต่แบมือขอเงินที่บ้าน” เดนีสไม่รู้ตัวเลยว่าเวลาที่เอ่ยถึงน้องชายตัวเองสีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจมากแค่ไหน
“ไม่ใช่แค่นักเขียนรวมไปถึงสูทที่มึงสวมไวน์ที่มึงดื่มเดนิมล้วนมีส่วนเกี่ยวข้อง” พิพัฒน์ทำหน้างง
“ที่มึงเห็นเดนิมลอยชายไปมาความจริงหาเงินเองได้ตั้งแต่อายุสิบห้าแฟชั่นที่ใครมองว่าเป็นสาขาที่ฟุ้งเฟ้อไม่ทำเงินแต่พวกเราทุกคนก็ต้องสวมเสื้อผ้าสูทที่มึงกำลังสวมก็เป็นห้องเสื้อของเดนิม…ตัวตนของเดนิมทั้งหมดถูกซ่อนไว้ในนิยายหลายเล่มมึงเคยได้ยินไหมว่า ‘เรามักจะซ่อนคนคนหนึ่งไว้ในบทเพลงแต่เดนิมกลับซ่อนตัวตนไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งหน้าปกดูไม่สะดุดตาไม่น่าชวนให้หยิบมาอ่านแต่ตรงกันข้ามเมื่อได้อ่านแล้วกลับวางไม่ลงละสายตาจากอักษรเหล่านั้นไม่ได้แต่ละหน้าเป็นการกะเทาะบอกเล่าเรื่องราวของตัวละครเปิดเปลือยสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจออกมาผ่านตัวละครตัวแล้วตัวเล่า…” เดนีสเงียบไปสักพักก่อนจะถอนหายใจ
“ที่พูดไม่ได้ให้มึงใจอ่อนให้เดนิมแต่ในโลกนี้ก็มีคนอยู่หลากหลายประเภทเดนิมในบางมุมก็เหมือนกับต้องการหลบซ่อนจากโลกภายนอกแต่กลับเปิดเผยตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติผ่านตัวอักษรดูเหมือนจะเป็นคนที่เข้าใจยากแต่ความจริงไม่มีอะไรเลยกูก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงตัวกูเองบางทียังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันแต่ว่านะไอ้พัดบางอย่าง…รู้ว่ามีอยู่ก็สายไป”
พิพัฒน์เลิกคิ้วก่อนจะเอ่ยถาม “ยังไง” ไอ้ประโยคนี้มันคุ้นๆและมักจะได้ยินแม่เขาพูดบ่อยๆไม่เว้นแม้กระทั่งไอ้เดนีสที่ไม่เห็นดีเห็นงามที่จะให้เขากับเดนิมคบกันตั้งแต่แรกยังพูดออกมา…
“ไอ้พัดไอ้โง่…สายตาที่มึงมองน้องกูแม่ง! เห็นละขัดหูขัดตาอยากจะซัดเบ้าตาสักเปรี้ยง” เดนีสพูดอย่างมีอารมณ์
“อะไรมึงเกลียดกูขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เออ”
แม้เดนีสปากบอกว่าเกลียดแต่ทว่าความสัมพันธ์ฉันเพื่อนที่ผ่านความลำบากความทุกข์ยากในการก่อตั้งธุรกิจร่วมกันมายาวนานนับหลายสิบปีก็ทำให้เกลียดอีกฝ่ายไม่ลงแม้ว่าไอ้พัดจะทำให้เดนิมเสียใจไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแต่เรื่องของความรู้สึกพวกเขาทำได้แค่มองอยู่ห่างๆไม่สามารถเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับธุรกิจได้แม้ว่าเดนิมจะเป็นน้องชายของพวกเขาก็ตาม
ความรักก็เป็นอย่างนี้มีทุกข์มีสุขบ้างเศร้าเคล้าน้ำตาแต่หลายคนก็เฝ้ามองหาและอยากมีความรักสักครั้ง…แม้ไม่สมหวังก็ขอให้ได้เคยรัก
เดนิมก็เป็นหนึ่งในนั้นรู้ทั้งรู้ว่าไม่มีวันได้มาแต่ก็ยังคงเฝ้ารอพี่ชายอย่างพวกเขาทำได้เพียงยืนมองอยู่อย่างนั้นหากเจ้าตัวไม่ก้าวออกมาจากวังวนแห่งรักพวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้
พิพัฒน์หลังจากพูดคุยกับเดนีสเขาก็หลบออกจากงานเลี้ยงที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนย่ำเท้าเดินออกมาตามทางโดยไม่รู้ว่าจะได้เห็นคนสองคนกำลังนั่งคุยกันอยู่บนพื้นระเบียงที่ยื่นออกไปต่างก็นั่งห้อยขาเหม่อมองไปยังผืนน้ำตรงหน้าคล้ายกับว่ากำลังหันหลังให้กับความวุ่นวายปกติพิพัฒน์ไม่ใช่คนประเภทที่แอบฟังเรื่องของคนอื่นเขาแทบไม่แยแสเรื่องซุบซิบหยุมหยิมอะไรพวกนั้นแต่แผ่นหลังบอบบางที่กำลังกอดเข่าคางที่เกยกับเข่าเหมือนกำลังโอบกอดตัวเองอยู่อย่างนั้นทำให้เขาอดที่จะลายสายตาออกไปไม่ได้ฝีเท้าแผ่วเบาอาศัยความมืดของราตรีแอบซ่อนอยู่มุมหนึ่งพอที่จะได้ยินบทสนทนาทั้งหมด
“บางครั้งผมก็รู้สึกอิจฉาคนในใจคุณ”
“ไม่มีอะไรให้น่าอิจฉา”
“ดวงดาวก็เหมาะที่จะประดับและส่องแสงระยิบระยับเป็นเพื่อนดวงจันทร์หากเอื้อมเอามาวางไว้บนฝ่ามือมีแต่จะหม่นแสงสักวันแสงในตัวก็จะหมดไปความรักก็เช่นกันผมได้เรียนรู้ว่าบางครั้งรักที่ดีไม่จำเป็นต้องได้ครอบครองได้แค่เพียงนั่งมองตรงนี้ก็สุขใจ”
“เหมือนว่าคุณจะตัดใจ” คำถามนั้นของสิบทิวาไม่รู้ทำไมพิพัฒน์ถึงรู้สึกใจเต้นระส่ำ…จู่ๆเขาก็อยากจะเดินหนีออกไปจากตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอดแต่อีกใจหนึ่งก็อยากจะฟังคำตอบจากคนที่เขาวิ่งหนีมาตลอดเกือบสิบปี
“ผมเพิ่งเข้าใจและตัดสินใจที่จะวางมันลงก็เท่านั้นเอง”
แม้จะเป็นคำตอบอุปมาอุปไมยปล่อยให้ผู้ฟังตีความเอาเองแต่พิพัฒน์รู้ว่าคำตอบนั้นคืออะไร….ประโยคนั้นก้องอยู่ในหูของเขาวนเวียนไม่รู้กี่สิบครั้งจนกระทั่งเขาเดินมาถึงห้องพักตัวเองเมื่อไหร่ไม่รู้ความคิดสับสนและรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก
พิพัฒน์เคยพูดกับตัวเองว่าเขาจะไม่มีวันรักเดนิม…แต่กลับไม่ชอบใจในคำตอบนั้นไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงกันแน่สองมือปัดป่ายไปยังหน้าจอไอแพดจู่ๆเข้าแอปพลิเคชันอีบุ๊กกดหานามปากกา FALLIN เขากดซื้อนิยายเหล่านั้นมาทั้งหมดในคราวเดียวและเริ่มอ่านเรื่องรักแรมรอนเป็นเรื่องแรกเป็นเพราะคำพูดของเดนีสหรือเป็นเพราะเขาอยากจะรู้จักตัวตนของเดนิมมากขึ้นกันแน่บทนำของเรื่องก็ทำให้คนที่ไม่เชื่อในรักอย่างพิพัฒน์ถึงกับปั้นหน้าไม่ถูก
“เด็กหนุ่มถักทอผ้าพันคอและหมวกไหมพรมออกมา หวังเพียงว่าความรัก และความคิดถึงจะส่งผ่านไปยังใครอีกคนที่ห่างไกลอีกซีกโลก แม้ไม่ได้อยู่เคียงข้าง หวังว่าผ้าพันคอผืนนี้จะให้ความอบอุ่น ปัดป้องไอหนาว และอยู่เป็นเพื่อนคลายเหงา แม้ไม่เห็นหน้า แต่ความคะนึงหาไม่เคยเสื่อมคลาย และเฝ้ารอที่จะได้พบหน้าอีกสักครั้ง”
พิพัฒน์ย้อนไปถึงตอนที่เขาหลบหน้าอีกฝ่ายหนีไปเรียนต่ออีกซีกโลกหนึ่งโดยไม่คิดบอกกล่าวสักคำเขาไม่ชอบที่เดนิมตามติดเขาแจอีกอย่างเดนิมเติบโตและแตกหนุ่มขึ้นมาทุกวันยิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายพิเศษเขาก็กลัวที่จะเข้าใกล้และไม่ได้ทำตัวเป็นพี่ชายแสนดีเหมือนอย่างแต่ก่อน
และเขาจำเรื่องผ้าพันคอและหมวกไหมพรมนั้นได้มันไม่ได้ถูกส่งมาเพราะเขาเองปฏิเสธมันถูกเก็บไว้ในกล่องในตู้เสื้อผ้าเป็นอย่างดีประโยคนั้นทิ่มแทงความรู้สึกของเขาให้แทบหายใจไม่ออก
ตัวหนังสือฆ่าคนได้นั้นท่าจะจริง!
หรือว่าตัวเองจะอินกับนิยายรักมากเกินไปเพียงอยากจะเปิดอ่านแค่สองสามหน้าก่อนนอนเวลาบนหัวเตียงก็บอกเวลาเข้าเช้าวันใหม่และเป็นวันที่พวกเขาต้องเช็กเอ้าท์กลับกรุงเทพฯพิพัฒน์คลึงระหว่างคิ้วก่อนจะลุกไปอาบน้ำแต่งตัวเมื่อออกมายังห้องนั่งเล่นก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของใครอีกคนพิพัฒน์เดินไปยังหน้าห้อง
ไม่มีรองเท้าอีกคู่
เป็นครั้งแรกที่เขาโทรหาเดนิมด้วยความรู้สึกที่ร้อนรนอย่างบอกไม่ถูกปลายทางไม่มีที่ท่าว่าจะรับเขากำลังจะเปิดประตูไปเสียงยานคางปลายสายก็ตอบรับ
“ฮัลโหล”
“ไอ้นีน” เดนีนพลันลืมตามองชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอก่อนจะย่นคิ้วด้วยความไม่สบอารมณ์ที่ถูกรบกวนการนอน
“ไอ้พัดมีอะไรโทรมาตั้งแต่ไก่โห่”
“แล้วเดนิมไปไหน”
“นอน”
“ทำไมไปนอนกับมึง”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับมึง” พูดจบเดนีนก็ตัดสายแล้วนอนต่อตอนนี้สามพี่น้องนอนอยู่บนเตียงเดียวกันเมื่อคืนพวกเขาทั้งสามต่างก็นั่งดื่มด้วยกันผลัดกันเล่าเรื่องราวของแต่ละคนนานแล้วที่พี่น้องไม่ได้มีโอกาสสบายๆพูดคุยกันแบบนี้กว่าจะเข้านอนก็ปาเข้าไปตีห้าบังกะโลส่วนตัวไม่ได้ไกลกันมากแต่ไม่รู้ทำไมคราวนี้พิพัฒน์รู้สึกไม่ชอบใจเอามากๆที่เดนิมเอาแต่หลบหน้าเขาแต่กลับทำตัวตามสบายกับคนอื่นไม่ว่าจะเป็นสิบทิวาหรือว่าบ้านปกิจโสภณเหมือนว่าเดนิมตรงหน้าเขาเป็นใครอีกคนทั้งที่คิดว่ารู้จักเดนิมดีพอแต่พอมานั่งทบทวนเรื่องราวต่างๆก่อนหน้าแล้วกลับพบว่าเขาเองไม่รู้จักเดนิมในเวอร์ชันตอนโตตอนนี้เลยสักนิดสายตาที่มองเขาอย่างเขินอายริมฝีปากกระจับนั้นที่มักจะยกยิ้มให้เขาในวันวานกลับเลือนหายไปเหลือเพียงใบหน้าราบเรียบปราศจากอารมณ์และมักจะหลบเลี่ยงที่จะสบตากับเขาตรงๆรอบยิ้มนั้นที่มีให้เขาคล้ายได้ตายจากไปเหลือเพียงความรู้สึกผิดไม่ปริปากร้องขอไม่เว้าวอนขอความเห็นใจและยินดีที่จะถูกทรมานหากว่าเขาพึงพอใจ
นิยายสองเรื่องที่เขาอ่านจบเหมือนว่าได้อ่านเรื่องราวของตัวเองแม้จะจบปลายเปิดแต่ก็ไม่ใช่ตอนจบที่น่ายินดีนักเหมือนกับว่าเคารพในการตัดสินใจของตัวละคร…นั่นก็คือตัวของพิพัฒน์เองหลายเรื่องราวเขาได้ลืมเลือนไปแต่ทว่ากลับสลักอยู่ในใจของใครอีกคนอย่างลึกซึ้ง
จากนักเขียนถึงนักอ่าน
‘ทุกชีวิตมีแต่ร่วงโรยที่ผมได้เขียนเรื่องราวเหล่านี้ออกมาผ่านตัวอักษรเพียงหวังว่าวันใดที่ผมแก่เฒ่าลืมเลือนบางสิ่งไปหมดสิ้นด้วยความชราหวังเพียงว่าตัวอักษรเหล่านี้จะเป็นเครื่องเตือนความทรงจำว่าครั้งหนึ่งผมก็เคยมีความสุขจนร้อยเรียงเป็นตัวอักษรเหล่านี้ออกมาและหวังว่าความสุขที่ผมมีจะแบ่งปันไปถึงนักอ่านทุกท่านที่กำลังถือนิยายเรื่องนี้อยู่ในมือ
FALLIN
2010/12/04
เดนิมตื่นมาก็บ่ายสามกว่า ๆ แล้ว เขาคิดว่าตอนนี้พี่พัดคงเก็บของกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว จึงกินนอนเล่นกับพวกแฝด เป็นการรวมตัวกันของครอบครัวที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เล่นน้ำด้วยกันเหมือนเด็กอีกครั้ง พอได้วางความรู้สึกเหล่านั้นลง เดนิมค้นพบว่าความสุขของเขาได้เพิ่มขึ้นทีละนิด แม้จะมีความรู้สึกผิดอยู่เต็มอก แต่ได้แพลนตอนจบเอาไว้แล้วเหมือนกับนิยายที่มีตอนจบไม่ว่าจะสมหวังผิดหวังท้ายสุดก็ต้องเดินทางมาถึงจุดจบไม่ว่าบทสุดท้ายจุดจบจะเป็นเช่นไรเขาเพียงต้องยอมรับมันให้ได้‘ไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง’กว่าจะรู้ว่าความรักในรูปแบบของตัวเองเป็นความรักที่ไม่สมประกอบก็ทำเอาคนอื่นวุ่นวายกันไปทั่วรักที่ดีไม่จำเป็นต้องครอบครองเป็นเจ้าของเดนิมจึงรู้จักที่จะปล่อยวางมันลงคล้ายกับหัวใจได้คลายหนามแหลมที่เกี่ยวพันรัดอยู่บาดแผลและเลือดที่ไหลรินก่อนหน้าค่อยๆสมานเข้าด้วยกันอย่างช้าๆแม้จะทิ้งร่องรอยแผลเป็นเอาไว้แต่ก็เป็นเครื่องเตือนความจำว่าเขาไม่ควรจะรักใครจนทำร้ายตัวเองแบบนั้นอีกและเขาจะต้องเป็นคนที่จัดการความรู้สึกของตนเองไม่ทำให้คนที่รักต้องรู้สึกอึดอัดกับความรู้สึกที่เขามีเดนิมเล่นน้ำจนเหนื่อยหอบอยู่กินดื่มกับแฝดจน
ทะเบียนสมรสจอมปลอมที่ปราศจากความรัก เดนิมทำได้เพียงกกกอดมันเอาไว้อย่างหวงแหน เพราะอย่างน้อยมันก็คือเชือกสุดท้ายที่จะเหนี่ยวรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ข้างกาย แม้จะถูกตราหน้าว่าเห็นแก่ตัวก็ตามในตอนจบของนิยายการที่คนสองคนตกลงปลงใจแต่งงานเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยกันนั่นคือตอนจบที่สมบูรณ์พูนสุขแต่สำหรับชีวิตการแต่งงานของเดนิมไม่ได้สวยงามเหมือนดั่งในตอนจบของนิยายการแต่งงานระหว่างพวกเขาทั้งสองคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดหากย้อนเวลากลับไปได้เดนิมจะไม่ตัดสินใจแต่งงานกับอีกฝ่ายอย่างเด็ดขาดอย่างน้อยระหว่างเราอาจจะยังคงรักษาความรู้สึกดีๆในฐานะน้องนุ่งดีกว่าเป็นอดีตคู่สมรสที่ไม่ได้มีความรักให้แก่กันและไม่มีวันจะสานสัมพันธ์ไปเป็นคนรักของกันและกันได้พี่พัดเกลียดเขายังกะอะไรดีการหย่าขาดถือเป็นการจบเรื่องราวทั้งหมดทนายที่เดนิมจ้างมาขยับแว่นตาก่อนจะกวาดสายตาอ่านเอกสารในมืออีกครั้งคิ้วนิ่วขมวดก่อนจะอ่านเอกสารอื่นๆอีกสองสามรอบอ่านเพื่อทำความเข้าใจถึงจุดประสงค์ของผู้ร่างเอกสารฉบับนี้ขึ้นมาก่อนจะเอ่ยถามผู้ว่าจ้างเพื่อความแน่ใจและไม่ได้ร่างเอกสารเหล่านี้ขึ้นมาด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบ“คุณเดนิมแน่ใจนะครับว่าไ
ย้อนไปเมื่อหลายสิบปีที่แล้วครอบครัวของเดนิมและพิพัฒน์รู้จักกันและสนิทกันในแวดวงธุรกิจตามประสาสังคมนักธุรกิจด้วยกัน พิพัฒน์อายุมากกว่าเดนิมเจ็ดปี สองครอบครัวจึงไปมาหาสู่กันอยู่บ่อย ๆ ชีวิตวัยเด็กของเดนิมเติบโตมาพร้อมกับพิพัฒน์เลยก็ว่าได้ พิพัฒน์มองเดนิมเป็นน้อง แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพศชายท้องได้ (New male) พี่ชายทั้งสองของเดนิม เดนีสและเดนีนต่างก็เอาอกเอาใจ ดูแลประคบประหงมประหนึ่งไข่ในหิน ด้วยความที่อายุห่างกันมาก เดนิมเกิดมาพร้อมกับความพิเศษของร่างกาย ด้วยความเป็นน้องเล็กของบ้าน พี่ชาย พ่อแม่ต่างก็ห้อมล้อมเอาใจ เลยติดนิสัยเอาแต่ใจมาแต่ไหนแต่ไร อยากได้อะไรก็ต้องได้“อยากให้พี่พัดป้อน” เดนิมพูดพลางออดอ้อนคนข้างๆเหมือนที่เคยทำตั้งแต่ยังเด็ก“กินเองดีกว่าโตเป็นหนุ่มแล้วนะเรา” พิพัฒน์เริ่มอธิบายให้เด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างใจเย็นเพราะเดนิมมักจะเป็นแบบนี้เสมอตั้งแต่เด็กจนโตก็มักจะอ้อนให้เขาป้อนข้าวให้บ้างผลไม้ให้บ้างเวลาเจ้าตัวติดตามพี่ๆฝาแฝดทั้งสองมาเล่นเกมที่บ้านเขาพิพัฒน์มักจะอึดอัดเสมอเพียงแต่เขาไม่เคยพูดออกไปได้แต่เว้นระยะห่างอยู่ฝ่ายเดียว“ก็นิมอยากให้พี่พัดป้อนนี่ครับ” พิพัฒน์ถอนหายใจก่อ
ตอนแรกเดนิมคิดว่าเขากับพี่พัดไม่มีวันจะลงเอยกันได้อีก แต่เหตุการณ์กลับพลิกผันเมื่อเย็นวันหนึ่งเขาและชองส์ออกไปเที่ยวคลับแห่งหนึ่งกลางใจเมืองเดนิมไม่ได้กลับบ้านเกิดเมืองนอนมาเสียนานเลยถือโอกาสเปิดหูเปิดตาอีกทั้งยังมีชองส์ที่เขาพอจะไว้ใจไปเที่ยวไหนมาไหนด้วยกันได้ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงนัดกันไปที่คลับแห่งหนึ่งว่ากันว่าบรรยากาศดีและติดหนึ่งในสามของสถานบันเทิงที่ครบครันมากที่สุดในย่านนั้นเดนิมจองโต๊ะไว้บนชั้นสองซึ่งเป็นชั้นวีไอพีชั้นลอยที่สามารถมองเห็นเวทีข้างล่างได้อย่างชัดเจนบรรยากาศดีกับแกล้มอร่อยสมกับรีวิวจริงๆอีกทั้งบริกรก็ได้รับการเทรนมาอย่างดียิ่งพวกเขาเป็นแขกวีไอพียิ่งนอบน้อมเดนิมจิบไวน์ในมืออย่างสบายอารมณ์เขาคุ้นเคยกับไวน์มากกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆเพราะเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจที่บ้านส่วนชองส์กำลังดื่มด่ำกับคอนยัคสีอำพันในมือหากเขาไม่ได้มากับเดนิมรับรองว่าไม่ขาดคนข้างกายติดไม้ติดมือกับห้องไปด้วยแน่ๆสถานที่อโคจรแบบนี้ดูไม่ค่อยเหมาะกับเดนิมสักเท่าไหร่“อย่าดื่มเยอะเบบี๋เดี๋ยวเมา”“รู้แล้วแหละน่า” เดนิมบ่นอุบอิบแม้จะเลิกรากันไปกลายมาเป็นเพื่อนคนสนิทแต่ชองส์ก็ยังคอยบ่นจู้จี้จุกจิกเ
เดนิมไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปตอนแรกคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นเพียงความลับระหว่างเขากับพี่พัดเช้ามาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้คาดคิดว่าเรื่องราวจะบานปลายขนาดนี้ความคิดเพียงชั่ววูบคิดว่าไม่เป็นอะไรแต่สุดท้ายเรื่องราวทุกอย่างกลับตาลปัตรอีกอย่างเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่แผนการของเขาเดนิมกล้าสาบาน! แต่ว่าใครจะเชื่อล่ะ?อีกอย่างเดนิมมีคลิปที่อยู่ในโทรศัพท์ของชองส์เป็นหลักฐานว่าผู้หญิงคนนั้นวางยาพี่พัดตอนนี้คลิปในมือที่เดนิมมีคือกล้องหน้ารถของตัวเองที่ขับตามรถญี่ปุ่นที่เลี้ยวเข้าเลิฟโฮเต็ลอีกทั้งไม่ได้เห็นว่าอีกฝ่ายพยุงพิพัฒน์เข้าไปในห้องพูดอะไรไปตอนนี้ก็คงไม่มีอะไรดีขึ้นยังไงการตัดสินใจตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายยังไงเขากับพี่พัดก็มีสัมพันธ์เกินเลยกันไปแล้วพ่อแม่ของเขาคงไม่ยอมจะให้แล้วต่อกันก็คงเป็นไปไม่ได้เดนิมเข้าใจแล้วว่าทำไมชองส์ถึงสั่งห้ามเขาหนักหนาว่าไม่ให้เข้าไปในห้องนั้นเพราะอย่างนี้นี่เองเดนิมกล่าวโทษตัวเองว่าโง่เขลาอยู่ในใจกัดริมฝีปากตัวเองจนห้อเลือด“งั้นกลับบ้านไปก่อนละกัน” เดนีสเอ่ยปาก“ก่อนกลับบ้านแวะไปโรงพยาบาลก่อนเถอะ” เดนีนพูดจบก็หิ้วปีกน้องชายที่อ่อนแรงแทบไม่มีแร
เดนิมอึ้งช็อกเมื่อได้ยินว่าตัวเองจะต้องแต่งงานและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับพี่พัดภายในระยะเวลาหนึ่งปีการแต่งงานถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมายมีเพียงสองครอบครัวและนายทะเบียนจากสำนักงานเขตเท่านั้นเจ้าบ่าวทั้งคู่ก็อยู่ในชุดแต่งงานที่เดนิมเป็นคนจัดเตรียมเองทุกอย่างรวมไปถึงแหวนแต่งงานทั้งสองวงดูเหมือนเป็นการวางแผนไว้ล่วงหน้าเป็นอย่างดีจะไม่ให้พิพัฒน์คิดได้ยังไงว่าเขาถูกเดนิมวางยาและมัดมือชกภาพงานแต่งงานที่คนทั้งสองนั่งพับเพียบอยู่ต่อหน้าพานเงินทองของหมั้นข้างหลังเป็นญาติผู้ใหญ่ทั้งสองและพี่แฝดในภาพเจ้าบ่าวทั้งสองคนต่างมีสีหน้าไม่สู้ดีต่างก็ราบเรียบปราศจากรอยยิ้มกันทั้งคู่เดนิมจ้องภาพงานแต่งที่เรียบง่ายของตัวเองกับพี่พัดอยู่อย่างนั้นเขานำไปอัดขยายมาใส่กรอบไว้ที่หัวเตียงก่อนจะรูดม่านสีดำปิดบังภาพถ่ายนั้นเอาไว้พร้อมถอนหายใจออกมาอย่างหมดแรงหลังจากงานแต่งพวกเขาทั้งสองจะต้องย้ายมาอยู่ด้วยกันซึ่งสัปดาห์หน้าวันที่ 1 กรกฎาจะเป็นวันแรกที่พวกเขาต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันหากระยะเวลานี้ไม่สามารถสร้างอนาคตไปด้วยกันได้ถือว่าต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระต่อกันเดนิมอ่านเอกสารสัญญาในมือยิ่งเห็นลายเซ็นที
ทุกวันเสาร์ทางบ้านเดนิมจะส่งแม่บ้านมาคอยปัดถูทำความสะอาดป้าอนงค์และป้าสายใจทำงานมานานอีกอย่างลลดาเป็นห่วงลูกชายอย่างน้อยส่งคนรู้ใจมาสอดส่องสัปดาห์ละครั้งก็ยังดี“คุณหนูคะเสื้อผ้ามีแค่นี้เองเหรอคะแล้วของคุณผู้ชายละคะ”“มีแค่นี้แหละครับของพี่พัดนิมซักหมดแล้วครับ”“ไม่ได้นะคะคุณหนูใส่ไว้ในตะกร้าเอาไว้ได้เลยเดี๋ยวป้ามาซักให้เองค่ะ”“ไม่เป็นไรครับนิมอยากทำให้พี่พัดเอง” เดนิมยิ้มตอบก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปยังห้องนั่งเล่นคนแก่อย่างอนงค์กับสายใจทำไมจะดูไม่ออกทั่วทั้งห้องไม่มีกลิ่นอายของคนอื่นอยู่เลยมีเพียงคุณหนูของเธอคนแล้วจานชามก็มีเพียงอย่างละหนึ่งตู้เสื้อผ้าโล่งขนาดนั้นแต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมา“ตู้เย็นแทบไม่เหลือของสดเลยป้าไปซื้อให้ไหมคะ”“ไม่เป็นไรครับซื้อกินเอาสะดวกกว่า”“ขาดเหลืออะไรบอกป้ามาได้เลยนะคะป้าจะได้ตระเตรียมให้”“ไม่น่าจะขาดอะไรแล้วครับขอบคุณมากครับ” เดนิมพูดตอบซีรีย์เรื่องโปรดที่กำลังโลดแล่นอยู่บนจอไม่เข้าหัวของเขาสักนิดที่เขาต้องแกล้งจดจ่ออยู่กับภาพยนตร์ตรงหน้าก็เพื่อหลีกเลี่ยงการตอบคำถามของแม่บ้านเขารู้ดีว่าทุกคนเป็นห่วงแต่เขาเองก็ยังแอบหวังอยู่ลึกๆว่าพี่พัดจะย
แม้จะตกลงอยู่ร่วมกันในทุกวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ แต่เดนิมคิดว่าไม่เจอกันดีที่สุด อย่างน้อยก็ไม่ต้องเจอกันให้เสียความรู้สึก และถือเป็นการฆ่าเวลาไปในตัว และเดนิมกลัว กลัวว่าจะไม่สามารถกลบเกลื่อนสายตา ความรักที่มันเอ่อล้นอยู่ในอก เขาไม่อยากได้สายตาสมเพชจากพี่พัดอีกเดนิมวิ่งมาหลายสิบปีเพื่อคนคนเดียวเขาได้แต่หวังว่าสักวันระยะทางที่ทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุดนั้นจะมีสักวันหนึ่งที่มีโอกาสมองเห็นเส้นชัยแต่ทว่าพี่พัดของเขาไม่เคยให้โอกาสนั้นสองขาที่ออกวิ่งมายาวนานเริ่มเหนื่อยล้าและอ่อนแรงลงไปทุกทีเดนิมกลับมาอาศัยภายในคอนโดของตัวเองอีกครั้งเขาเร่งปิดต้นฉบับเพื่อให้ทันเดดไลน์ที่ตัวเองกำหนดขึ้นโฟกัสกับตัวอักษรเบื้องหน้าตัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายออกไปกลั่นกรองเรียงร้อยรสรักออกมาเป็นหนังสือนิยายรักเรื่องเศร้าเรื่องหนึ่งว่ากันว่า ‘เรามักจะซ่อนคนคนนึงไว้ในบทเพลง’ นักเขียนอย่างเดนิมก็เช่นกันเขาซ่อนความรักที่มีต่ออีกฝ่ายมาอย่างยาวนานหลายสิบปีผ่านนิยายหลายสิบเล่มจนได้ขึ้นชื่อว่านักเขียนเรื่องเศร้าหากคุณมีความสุขในชีวิตมากเกินไปก็ไปหาหนังสือของ FALLIN มาอ่านหากคุณอยากจะล้างลูกตาชื่อนี้ไม่ทำให้คุณผิดหวังโดย
เดนิมตื่นมาก็บ่ายสามกว่า ๆ แล้ว เขาคิดว่าตอนนี้พี่พัดคงเก็บของกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว จึงกินนอนเล่นกับพวกแฝด เป็นการรวมตัวกันของครอบครัวที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เล่นน้ำด้วยกันเหมือนเด็กอีกครั้ง พอได้วางความรู้สึกเหล่านั้นลง เดนิมค้นพบว่าความสุขของเขาได้เพิ่มขึ้นทีละนิด แม้จะมีความรู้สึกผิดอยู่เต็มอก แต่ได้แพลนตอนจบเอาไว้แล้วเหมือนกับนิยายที่มีตอนจบไม่ว่าจะสมหวังผิดหวังท้ายสุดก็ต้องเดินทางมาถึงจุดจบไม่ว่าบทสุดท้ายจุดจบจะเป็นเช่นไรเขาเพียงต้องยอมรับมันให้ได้‘ไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง’กว่าจะรู้ว่าความรักในรูปแบบของตัวเองเป็นความรักที่ไม่สมประกอบก็ทำเอาคนอื่นวุ่นวายกันไปทั่วรักที่ดีไม่จำเป็นต้องครอบครองเป็นเจ้าของเดนิมจึงรู้จักที่จะปล่อยวางมันลงคล้ายกับหัวใจได้คลายหนามแหลมที่เกี่ยวพันรัดอยู่บาดแผลและเลือดที่ไหลรินก่อนหน้าค่อยๆสมานเข้าด้วยกันอย่างช้าๆแม้จะทิ้งร่องรอยแผลเป็นเอาไว้แต่ก็เป็นเครื่องเตือนความจำว่าเขาไม่ควรจะรักใครจนทำร้ายตัวเองแบบนั้นอีกและเขาจะต้องเป็นคนที่จัดการความรู้สึกของตนเองไม่ทำให้คนที่รักต้องรู้สึกอึดอัดกับความรู้สึกที่เขามีเดนิมเล่นน้ำจนเหนื่อยหอบอยู่กินดื่มกับแฝดจน
ทางด้านพิพัฒน์เองเขาจดจ้องใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มมีชีวิตชีวาของเดนิมโดยไม่ละสายตาไปสักเสี้ยววินาที มันไม่ใช่รอยยิ้มแกน ๆ ที่คอยส่งมาให้เขา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มไปถึงดวงตา เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ พิพัฒน์สังเกตเห็นว่าเดนิมทำเหมือนว่าเขาเป็นยักษ์เป็นมารเวลาที่เข้าใกล้ และมักจะก้าวเท้าถอยหลังเสมอ คล้ายว่าเป็นการขีดเส้นระหว่างกัน ไม่มีใครควรล้ำเส้นกันไปมากกว่านี้ แถมยังเป็นฝ่ายหลบสายตา เหมือนว่าการมีอยู่ของตัวเองทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกแย่เดนิมในอุดมคติของเขากับเดนิมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนเป็นคนละคนตอนแรกที่เกิดเรื่องเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยากจะเข้าไปซัดหน้าหวานๆที่เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักเปรี้ยงพิพัฒน์คิดว่าเดนิมร้ายกาจไม่งั้นเขาไม่ต้องมาตกกระไดพลอยโจนอยู่อย่างนี้และการแต่งงานครั้งนี้จะทำให้เจ้าตัวสมหวังอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้แต่พอมาได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันยิ่งได้ใกล้ชิดยิ่งได้รู้จักเหมือนว่าช่วงที่ห่างหายขาดการติดต่อกันไปเดนิมในวันวานยังคงเหมือนเดิมไม่ได้ร้ายกาจหรือมีเล่ห์เหลี่ยมแต่อย่างใดกลับเงียบขรึมเก็บงำความรู้สึกได้เก่งขึ้นและมักจะหลบเลี่ยงปัญหามากกว่าเผชิญหน้าอีกทั้งรอยยิ้มที่ประดับ
ช่วงเช้าพายุฝนสงบท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนว่าไม่เคยเกิดพายุฝนคะนองมาก่อนเดนิมตื่นเช้าเหมือนเช่นเคยอาหารเช้ามาส่งแล้วอีกอย่างเขาเองก็ไม่ชอบแบบที่ลอยอยู่กลางน้ำเพราะนึกถึงเวลาเศษอาหารตกลงในสระมันทำความสะอาดค่อนข้างยากเขาจึงบอกให้บริกรวางไว้ที่ขอบสระเดนิมรออาหารย่อยสักพักก็ลงไปว่ายน้ำเขาสวมกางเกงว่ายน้ำเพียงตัวเดียวอีกอย่างก็เป็นสระส่วนตัวน้ำเย็นๆบรรยากาศยามเช้าที่แจ่มใสรวมไปถึงทัศนียภาพของทิวทัศน์ตรงหน้าทำให้เขาไม่อยากกลับเลยจริงๆที่ว่ากันว่านั่งโง่ๆอยู่ริมทะเลนั้นไม่เกินจริงเดนิมหันหลังเท้าคางมองทิวทัศน์ข้างหน้าน้ำทะเลสีฟ้าครามตัดกับเส้นขอบกับพระอาทิตย์อย่างลงตัวเห็นพี่แฝดบอกว่าในทะเลมีพวกปลากระเบนว่ายมาทักทายบริเวณบังกะโลกลางน้ำแห่งนี้ด้วย เดนิมจ้องมองผืนน้ำทะเลอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาอยู่คู่หนึ่งจดจ้องการกระทำของเขาตลอดตั้งแต่แหวกว่ายอยู่ในสระเดนิมหันหลังให้ทิวทัศน์ก่อนจะคว้าเอาห่วงยางที่นอนลอยน้ำเขาขึ้นไปนอนบนนั้นแล้วยิ้มแฉ่งให้กับพระอาทิตย์สองมือวักน้ำจนทำให้ห่วงยางนั้นลอยไปลอยมา“เล่นเหมือนเด็กๆไปได้” ไม่รู้เมื่อไหร่ที่พิพัฒน์เอาแต่จดจ้องร่างบางที่สวมเพียงแค่กางเกงว่ายน้ำตัว
เดนิมแตะบัตรค่อยๆเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายทำอะไรอยู่เดนิมเปลี่ยนเป็นรองเท้าสลิปเปอร์ก่อนจะเห็นว่ากระเป๋าของตัวเองยังวางอยู่ที่หน้าประตูเหลือเพียงกระเป๋าใบเดียวพี่พัดคงกลับเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วเดนิมกำที่จับกระเป๋าล้อเลื่อนของตัวเองแน่นก่อนจะตัดสินใจที่จะไปนอนกับพี่แฝดเขาไม่อยากให้การมาทำงานครั้งนี้ของพี่พัดมีปัญหาหรือรู้สึกอึดอัดเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินออกมาจากประตูเสียงเอ่ยราบเรียบก็ทักขึ้นมา“เข้ามาแล้วจะออกไปไหนอีก” น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์แต่เดนิมรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจอยู่เนืองๆเขาไม่ได้ตอบแต่ค่อยๆเดินผ่านโถงทางเดินเข้าไปก่อนจะเจอกับโซนห้องนั่งเล่นตรงกลางโซฟาหันหน้าเข้าหาทะเลภาพวิวเบื้องหน้ามีสระน้ำขนาดกลางส่วนตัวให้แขกได้พักผ่อนมีตาข่ายให้ได้นอนอาบแดดนับได้ว่าเป็นห้องพักที่เยี่ยมยอดที่สุดของ The Grand DAE เลยก็ว่าได้พิพัฒน์นั่งจิบบรั่นดีสีอำพันในมือสายตาทอดมองไปยังวิวตรงหน้าน้อยครั้งนักที่เดนิมจะเห็นว่าอีกฝ่ายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่จะเป็นชาร้อนหากต้องอ่านรายงานค่อนคืน“คือ…นิมจะไปนอนกับพี่แฝด”“ใช่แ
เดนิมเดินทอดน่องไปตามชายหาด ท้องเริ่มปวดบิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงนั่งตรงเปลที่ชายหาดผูกไว้ นั่งสักพักเลยล้มตัวนอน มือก็ได้แต่กดท้องตัวเองเอาไว้ เดนิมเป็นโรคกระเพาะทานอาหารไม่ตรงเวลาก็จะปวดจนทรมาน อีกอย่างยาลดกรดก็อยู่ในกระเป๋า ตอนนี้เขาเหนื่อยทั้งกายและใจเลยอยากจะนั่งพักสักครู่ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี พี่พัดตักอาหารให้เขา แต่เป็นสิ่งที่ฆ่าเขาให้ตายได้ อีกทั้งตอนสมัยที่เดนิมยังเด็ก หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เดนิมประทับใจในตัวพี่พัดของเขาก็คือพี่พัดจะเป็นฝ่ายคอยระวังเรื่องอาหารการกินของเขาทุกครั้งที่ต้องออกไปทานอาหารข้างนอกกันรวมถึงแฝด แฝดมักจะเผอเรอไม่ถามไถ่หรือมักจะสั่งกุ้งมากิน แต่เป็นพี่พัดเองที่คอยเอาใจใส่ และหาร้านที่ไม่มีส่วนผสมของกุ้งเพื่อเดนิมวันเวลาผ่านพ้นไปคนเราหากเป็นเรื่องสำคัญมักจะไม่ลืม…เดนิมยิ้มเยาะให้ตัวเองก่อนจะนอนอยู่อย่างนั้นแขนซ้ายปิดทับดวงตาปิดบังความน้อยเนื้อต่ำใจและการเดินหนีหรือหลีกเลี่ยงเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นเดนิมจึงนิยามความรักของตัวเองว่าเป็นรักที่ไม่ประกอบวิ่งมายาวนานเพื่อคนคนเดียวมานับสิบปีเขาแพ้กุ้งแต่พี่พ
เดนิมไม่ออกจากห้องของตัวเองแม้ว่าป้าแม่บ้านที่แม่ของเขาส่งมาทำความสะอาดให้ทุกวันอาทิตย์ก็ตามภายในห้องมีตู้เย็นขนาดเล็กขนมขบเคี้ยวรวมไปถึงกาน้ำร้อนขนาดพกพาอีกทั้งเพราะการเขียนนิยายออกมาสักเรื่องหนึ่งมันใช้เวลาและในตอนที่อารมณ์พาไปหรือจินตนาการพรั่งพรูเดนิมไม่อยากจะลุกออกไปทำอะไรนิ้วเรียวยาวเคาะแป้นพิมพ์อยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียงของแป้นพิมพ์ทำให้เขาลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าสมาธิจดจ่ออยู่กับหน้าจอและตัวหนังสือตรงหน้าและเขาใช้มันเพื่อระบายของเสียภายในจิตใจเขาระบายมันออกมาเป็นตัวหนังสือตัวละครบางตัวก็คือตัวเองที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาขัดเกลาตัวละครผ่านเหตุการณ์สมมุติต่างๆมากมายมานับไม่ถ้วนหาทางออกให้ตัวละครเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายแต่น่าเสียดายตัวเองกลับหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอเขาติดอยู่ในวังวนความเจ็บปวดของความรักมายาวนานนับสิบปีรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีใจแต่ก็ยังจะเฝ้ารออดทนกับสายตาที่หยามเหยียดอดทนต่อถ้อยคำที่บาดลึกถึงกระดูกคล้ายกับคนไม่รู้สึกรู้สา สุดท้ายกลับฝังตัวเองทั้งเป็นด้วยการทอดกายให้อีกฝ่ายได้เชยชม ในฐานะนักเขียนหากตัวละครตัวนี้จะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่แ
บริษัทมีการจัดเลี้ยงฝึกงานแต่เดนิมบอกปัดเขาไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยงกับปัญหาอีกปานัสเป็นญาติของนิชาอีกทั้งก็ไม่ชอบขี้หน้าเขาเป็นทุนเดิมงานเลี้ยงครั้งนี้ไม่ไปดีที่สุดพี่พัดเองก็ไม่ได้ว่าอะไรมีแต่ปานัสที่ดีอกดีใจคุณสิริเองก็เอ่ยชมเขามากขึ้นกว่าแต่ก่อนเดนิมคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วคำชมที่มาจากความจริงใจเพียงเท่านี้ก็มีกำลังใจให้เด็กฝึกงานอย่างเขากระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้นไปอีกอีกอย่างเดนิมก็ไม่ได้จบงานด้านบริหารมาเขาทำได้ดีขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้วชีวิตหลังจากนี้จะได้เป็นอิสระเสียทีเดนิมเลิกเฝ้ารอและเลิกฝันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะทำอะไรดีๆให้พี่พัดแต่ทำไปเหมือนขว้างหินลงสู่ทะเลพี่พัดเกลียดเขาจะตาย…ไม่เห็นหน้ากันจะดีที่สุดเดนิมไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะกลับมาค้างทุกวันหยุดสุดสัปดาห์หรือไม่เขาไม่คิดโทรถามไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญและลำบากใจวันนี้วันศุกร์เขาไม่มีธุระที่ไหนเลยเข้าครัวเองทำอาหารสองสามอย่างทีละน้อยสำหรับคนคนเดียวไข่เจียวตรงหน้าฟูฟ่องส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องครัวเดนิมแกะข้าวหุงสำเร็จเวฟก่อนจะแกะใส่จานแม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้วเดนิมเลือกที่จะหันหลังแล้วทำเป็นไม่เห็นก้มลงทานอาหารตรงหน้
ทางด้านปานัสเมื่อโดนดุไปซึ่งๆหน้าก็ดูจะนอบน้อมขึ้นแต่ก็ยังพยายามจะหักหน้าและปาดหน้าทำงานแทนเดนิมเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมือเจ็บ“นิมช่วยดูตรงนี้หน่อยนะ” สิริเอ่ยพร้อมยื่นแฟ้มให้เดนิมยังไม่ทันยื่นมือออกไปรับปานัสกลับยื่นมือมารับแทน“ให้นัสทำนะครับพี่สิริ” สิริเองก็มองหน้าเดนิมเมื่อเห็นเจ้าตัวพยักหน้าน้อยๆก็ยื่นแฟ้มใส่มือปานัสแทนพร้อมกำชับ“ฝากด้วยนะจ๊ะงานนี้ต้องเสร็จวันนี้ถ้าไม่เสร็จจะจ่ายค่าโอทีให้”ปานัสอ้าปากค้างกลืนน้ำลายลงคอพร้อมรีบเปิดเอกสารในแฟ้มอ่านรายละเอียดคร่าวๆพร้อมอุทานในใจ “ตายห่าไม่น่าเลยกูวันนี้จะเสร็จไหมเนี่ย” พร้อมรีบกุลีกุจอกลับไปนั่งทำที่โต๊ะตัวเองโซนหน้าห้องผู้บริหารแทบไม่มีเสียงพูดคุยตลอดช่วงบ่ายพี่สิริหันมายิ้มเป็นนัยให้เดนิมเดนิมค้อมหัวให้ก่อนจะก้มหน้าอ่านเอกสารในมือจนเลิกงานปานัสขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเมื่อเวลาเลิกงานพนักงานทุกคนทยอยกลับรวมไปถึงเดนิมที่เดินมาอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงานของตัวเองเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ขอบคุณปานัสมากนะที่ช่วยทำงานนี้แทนเราเราขอตัวก่อนนะ” ปานัสแสร้งยิ้มก่อนจะกัดฟันตอบ “กลับก่อนได้เลยจ้ะ” แต่ในใจก่นด่าอีกฝ่ายสิบกว่ารอบเดนิมที่กำลังลงลิฟต์ไปย
ทางด้านเดนิมโชคดีที่กาแฟวางพักไว้สักครู่บนเคาน์เตอร์แผลจึงไม่ได้ร้ายแรงเป็นแผลไหม้ระดับสองมีตุ่มพองใสแต่ก็ปวดแสบมากเพราะเส้นประสาทบริเวณผิวหนังยังเหลืออยู่ไม่ได้ถูกทำลายไปมากนักการหายของแผลใช้เวลาประมาณสองถึงสามสัปดาห์คุณหมอจึงให้ครีมทายาภายนอกรวมไปถึงการปิดแผลด้วยผ้าก๊อซอีกทั้งยังกำชับไม่ให้โดนน้ำรวมไปถึงที่ต้นขาด้านขวาด้วยเดนิมทำแผลเสร็จพี่แฝดก็โทรมาตอนอยู่ในรถพอดีเขากดรับสายก่อนจะทำน้ำเสียงปกติ “ว่าไงครับ”“วันนี้ว่างหรือเปล่าเราพี่สองคนจะไปรับไปทานข้าว”“วันนี้คงไม่ได้ครับ”“เดี๋ยวพี่โทรไปหาไอ้พัดให้”“อย่าดีกว่าครับเดี๋ยวพี่พัดจะว่าเอาตอนนี้ผมเป็นแค่พนักงานฝึกงานนะครับพี่แฝดอย่าลืม” เดนิมพยายามทำน้ำเสียงให้สดใส “อีกอย่างมีนักศึกษาฝึกงานคนอื่นมาฝึกด้วย”“แล้วเราจะว่างเมื่อไหร่” เดนีนแทรกขึ้นมา“เดี๋ยวถ้าว่างจะโทรไปนัดพี่ๆอีกทีนะครับไม่ต้องกลัวว่าพวกพี่แฝดจะไม่ได้จ่ายรับรองวันนั้นต้องจ่ายให้น้องทั้งวันนะครับ” แฝดต่างหัวเราะ “หาเวลามาให้ได้เถอะน้องคนเดียวจะเท่าไหร่เชียวแพงแค่ไหนก็เลี้ยงได้” ทั้งสามคนหัวเราะก่อนจะกดวางสายเดนิมถอนหายใจก่อนจะสตาร์ทรถกลับบ้านโดยไม่ได้ดูสายที่ไม่ได้รับก