ช่วงเช้าพายุฝนสงบท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนว่าไม่เคยเกิดพายุฝนคะนองมาก่อนเดนิมตื่นเช้าเหมือนเช่นเคยอาหารเช้ามาส่งแล้วอีกอย่างเขาเองก็ไม่ชอบแบบที่ลอยอยู่กลางน้ำเพราะนึกถึงเวลาเศษอาหารตกลงในสระมันทำความสะอาดค่อนข้างยากเขาจึงบอกให้บริกรวางไว้ที่ขอบสระเดนิมรออาหารย่อยสักพักก็ลงไปว่ายน้ำเขาสวมกางเกงว่ายน้ำเพียงตัวเดียวอีกอย่างก็เป็นสระส่วนตัวน้ำเย็นๆบรรยากาศยามเช้าที่แจ่มใสรวมไปถึงทัศนียภาพของทิวทัศน์ตรงหน้าทำให้เขาไม่อยากกลับเลยจริงๆที่ว่ากันว่านั่งโง่ๆอยู่ริมทะเลนั้นไม่เกินจริงเดนิมหันหลังเท้าคางมองทิวทัศน์ข้างหน้าน้ำทะเลสีฟ้าครามตัดกับเส้นขอบกับพระอาทิตย์อย่างลงตัวเห็นพี่แฝดบอกว่าในทะเลมีพวกปลากระเบนว่ายมาทักทายบริเวณบังกะโลกลางน้ำแห่งนี้ด้วย
เดนิมจ้องมองผืนน้ำทะเลอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาอยู่คู่หนึ่งจดจ้องการกระทำของเขาตลอดตั้งแต่แหวกว่ายอยู่ในสระเดนิมหันหลังให้ทิวทัศน์ก่อนจะคว้าเอาห่วงยางที่นอนลอยน้ำเขาขึ้นไปนอนบนนั้นแล้วยิ้มแฉ่งให้กับพระอาทิตย์สองมือวักน้ำจนทำให้ห่วงยางนั้นลอยไปลอยมา
“เล่นเหมือนเด็กๆไปได้” ไม่รู้เมื่อไหร่ที่พิพัฒน์เอาแต่จดจ้องร่างบางที่สวมเพียงแค่กางเกงว่ายน้ำตัวเดียวสายตาของเขาไม่ได้สำรวจมองสิ่งอื่นใดนอกจากรอยยิ้มนั้นรอยยิ้มที่สดใสเหมือนดั่งดวงตะวันแต่พอตอนอยู่หน้าเขากลับตีหน้านิ่งจนแทบไม่เผยอารมณ์ใดๆออกมามีแต่ความอึดอัดและเว้นระยะห่างเสียจนพิพัฒน์เองไม่รู้เมื่อไหร่ที่เป็นฝ่ายค่อยๆเป็นฝ่ายกระชับระยะห่างนั้นไม่ให้เกิดช่องว่างที่กว้างมากเกินแต่เป็นเพราะทิฐิของเขาที่ยังหลงเหลืออยู่จึงอยากให้เดนิมได้รับบทเรียนอย่างสาสมโดยที่ไม่รู้ว่า ‘คนที่จะได้รับบทเรียนอย่างสาสมจะเป็นตัวของเขาเอง’
เดนิมพลิกร่างลงไปแหวกว่ายดำน้ำไปยังก้นสระเพราะฝนเพิ่งตกไปเมื่อวานหรือเป็นเพราะเขาไม่ได้วอร์มร่างกายก่อนลงสระก่อนกันแน่ขาสองข้างเกิดเป็นตะคริวขึ้นมากะทันหันแม้สระน้ำจะลึกแค่ระดับอก แต่เดนิมที่กำลังเสียสติเพราะเคยจมน้ำมาก่อนก็ตะเกียกตะกายจนลนลานแม้ว่าจะเรียนว่ายน้ำมาก็ตามความหวาดกลัวเขาเกาะกินจิตใจเขาพยายามตะเกียกตะกายให้ถึงขอบสระก่อนจะได้ยินเสียงตูมน้ำในสระกระเพื่อมหลังคอถูกล็อกก่อนจะถูกอุ้มขึ้นมานอนราบไปกับขอบสระเดนิมหอบหายใจแฮกๆหลับตาอยู่อย่างนั้น
“เดนิมเดนิม” พิพัฒน์ตบหน้าเบาๆเพื่อเรียกสติอีกฝ่ายที่นอนหอบหายใจอย่างแรงก่อนจะมองไปที่ขาทั้งสองข้างพิพัฒน์ยกขาทั้งสองข้างค้างเอาไว้สักพักสองมือนวดกล้ามเนื้อน่องช้าๆอย่างเบามือ
“ดีขึ้นหรือยัง” เดนิมค่อยๆลืมตาก่อนจะพยักหน้าช้าๆอย่างอ่อนแรงอยู่ๆน้ำตาก็รื้นออกมาจนหางตาแดงเรื่อ “พี่พัด” เดนิมเรียกอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา
“วันหลังถ้าจะเล่นน้ำอย่าเล่นคนเดียวบอกพี่สักคำ” เพราะน้ำเสียงที่ราบเรียบหรือเพราะผ่านเหตุการณ์ขวัญหนีดีฝ่อมาเดนิมรู้สึกน้อยใจเขาทำตัวเป็นภาระของพี่พัดอีกแล้ว “ขอบคุณมากนะครับ” ก่อนจะพยายามลุกนั่ง “อย่าเพิ่งขยับ” ก่อนข้อพับจะถูกแขนกำยำโอบอุ้มขึ้นมาในท่าเจ้าสาวเดนิมตกใจก่อนจะโอบกอดรอบคอของพิพัฒน์ไว้แน่น
“พี่พัด”
“แช่น้ำอุ่นสักหน่อยเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา” เดนิมเม้มปากไม่พูดอะไรอีกเดนิมถูกอุ้มมาวางไว้ในอ่างอาบน้ำในห้องนอนใหญ่ร่างบางนั่งชันเข่าอยู่อย่างนั้นเพื่อสงบสติอารมณ์และอีกนัยหนึ่งก็เพื่อบดบังร่างกายของตัวเอง
“จะทำอะไรครับ” เดนิมถามเสียงหลงเมื่อเห็นว่าพิพัฒน์เองก็ถอดเสื้อผ้าจนเหลือแต่ชั้นในแล้วลงมาแช่อ่างกับเขาสองแก้มแดงเรื่อก่อนข้อเท้าจะถูกยกไปวางไว้ที่หน้าท้องฝ่ามืออุ่นร้อนค่อยๆนวดน่องขาให้อย่างเบามือ
“ชุดพี่เปียกอีกอย่างมันเสียเวลาถ้าแช่ทีละคน”
“เดี๋ยวนิมกลับไปที่ห้องตัวเองก็ได้ครับ” พิพัฒน์ย่นคิ้วอย่างไม่ชอบใจ
“ทำไมนิมเอาแต่หนีเวลาพี่ทำดีด้วย” เดนิมนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่รู้จะตอบคำถามนั้นอย่างไรดี
“นิมเกรงใจพี่พัด” เดนิมตอบเสียงอุบอิบโดยที่หลบสายตามองออกไปยังนอกหน้าต่างเพราะเป็นบังกะโลส่วนตัวอ่างอาบน้ำที่ทำเพื่อคู่รักยื่นออกมาเพื่อที่จะได้เห็นทิวทัศน์ที่สวยงามมีกระจกใสกั้นเพื่อป้องกันความเป็นส่วนตัวอ่างใหญ่สามารถนั่งแช่ด้วยสามคนสบายๆอีกทั้งเทียนหอมที่จุดไว้รอบๆอ่างทำให้บรรยากาศตึงเครียดรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยมือหนานวดจนมาถึงต้นขาด้านในแถมฝ่าเท้ายังวางอยู่บนหน้าท้องอีกฝ่ายด้วย
“พี่พัด” เดนิมร้องเรียกเสียงหลงแม้ว่าเขาจะไม่มีประสบการณ์รสรักที่โชกโชนแต่ท่วงท่าแบบนี้ก็ทำเอาเขินอายอย่างบอกไม่ถูกสายตาไม่รักดีเลื่อนจากหน้าอกที่เต็มไปด้วยมวลกล้ามเนื้อหน้าท้องที่ไร้ไขมันลากต่ำไปจนถึงขนรำไรหน้าท้องน้อยก่อนจะสะดุ้ง
“มองอะไร”
“เปล่านะครับไม่ได้มองอะไร” เดนิมยกมือขึ้นมาปิดตาตัวเองทั้งใบหน้าลำคอแดงเถือกไปหมดเพราะความเขินอายเขาได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำอยู่ในลำคอของอีกฝ่ายจึงแบะนิ้วออกเพื่อดูสีหน้าของพี่พัดพิพัฒน์ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจก่อนจะก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มของตัวเองเอาไว้อย่างมิดชิดพลางคิดในใจ
‘เด็กหนอเด็ก’
ตอนเย็นห้องบอลลูมของทางโรงแรมเป็นสถานที่จัดแถลงข่าวรวมไปถึงการเปิดตัวโรงแรมแห่งใหม่ระดับห้าดาวบนเกาะส่วนตัวพร้อมกิจกรรมครบครันที่สำคัญห้องอาหารยังมีถึงสามแห่งให้ลูกค้าได้เลือกสรรไม่ว่าจะเป็นห้องส่วนตัวแบบอควาเรียมใต้น้ำสำหรับเด็กหรือสำหรับครอบครัวขนาดใหญ่ที่มีสมาชิกสิบคนขึ้นไปพิพัฒน์เองก็เป็นหนึ่งในทีมผู้บริหารที่ต้องขึ้นไปกล่าวเปิดงานมีการบรรยายทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษอีกทั้งงานออกแบบของโรงแรมได้นักออกแบบชื่อดังชาวเดนมาร์กชื่อดังที่เป็นหนึ่งในผู้ออกแบบตึกทางสถาปัตยกรรมแต่ละแห่งที่โด่งดังระดับโลกอีกทั้งทีมก่อสร้างเองก็เป็นบริษัทชั้นนำที่ทำเรื่องการก่อสร้างใต้น้ำโดยเฉพาะเดนิมยืนมองพิพัฒน์ที่ยืนสวมนาฬิกาข้อมืออยู่ที่โถงทางเดินชุดสูทที่เขาตัดให้พี่พัดโดยเฉพาะภาพในจินตนาการที่เห็นพี่พัดสวมใส่สู้ของจริงที่เห็นวันนี้ไม่ได้สักนิดเดียว
สูทที่พอดีกับตัวแถมยังเป็นสีกรมท่าแผ่นหลังเหยียดตรงท่วงท่าที่กำลังสวมนาฬิกานั้นยิ่งดูหล่อเหลาใบหน้าคมเข้มกรามเป็นสันทรงผมที่ถูกจัดเซตอย่างดีทำให้ดูภูมิฐานมากกว่าทุกวันดูเป็นผู้ใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยคุณวุฒิเดนิมหันมามองตัวเองในกระจกระเบียงที่สะท้อนภาพเขาที่สวมเบลเซอร์ไม่มีเนกไทคาดเข็มขัดหนังสีดำกางเกงสีเดียวกันดูกึ่งทางการใบหน้ารูปไข่ผมหน้าม้าที่ปรกหน้าผากดูยังไงก็เหมือนเด็กมหาวิทยาลัยคนหนึ่งแถมรูปร่างยังผอมบางดูไม่องอาจสง่างามเหมือนใครอีกคนเดนิมคิดว่าตัวเขาเองไม่เหมาะสมที่จะยืนเคียงข้างพี่พัดในฐานะคนรักหรือภรรยาคนที่จะอยู่ข้างกายพี่พัดไม่ว่าจะเพศไหนก็ต้องสง่างามประกอบไปด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิที่สำคัญสามารถแนะนำใครต่อใครได้อย่างภาคภูมิว่าอีกฝ่ายเป็นใครมีความสำคัญขนาดไหนรอยยิ้มที่ประดับลงบนใบหน้าเจื่อนลงไปในทันตาตอนนี้เขาก็ไม่ต่างอะไรกับเป็นเมียลับทะเบียนสมรสเป็นแค่กระดาษหนึ่งแผ่นที่วางไว้อยู่ใต้ลิ้นชักไม่มีค่าอะไรเลยด้วยซ้ำ
“ไปกันเถอะ”
“ครับ” เดนิมเดินตามหลังพิพัฒน์ไปอย่างว่าง่ายจ้องมองแผ่นหลังนั้นอย่างไม่วางตาพี่พัดหล่อเหลาแม้มองจากทางด้านหลังเดนิมคิดในใจเขาเว้นระยะห่างอย่างพอดีที่สำคัญนิ้วนางข้างซ้ายไม่ได้สวมแหวนแต่งงานเอาไว้เดนิมไม่อยากตอบคำถามไม่อยากให้พี่พัดของเขาเป็นขี้ปากถูกนินทาการหย่าร้างระหว่างเราเหลือเวลาอีกไม่นานพี่พัดของเขาจะต้องเจอคนที่เหมาะสมและคนคนนั้นจะต้องถูกใจเป็นคนที่พี่พัดรักจริงๆส่วนคนที่ฉกฉวยโอกาสอย่างเขาก็ต้องยอมรับผลของการกระทำที่ตามมา
“ทำไมเดินตามหลังอย่างนั้น”
“นิมอยากเดินดูวิวด้วยน่ะครับ” พิพัฒน์ยกมือป้องสายตาจากแสงแดดสีเงินของโลหะล้อกับแสงอาทิตย์ที่กระทบลงมาวัตถุทรงกลมนั้นจนเกิดแสงวูบวาบยามนิ้วนางข้างซ้ายนั้นเคลื่อนไหว
แม้อยากจะเอ่ยเตือนแต่ก็ไม่กล้าปริปากพูดอะไรออกมาถึงแม้จะไม่ใช่แหวนแต่งงานที่สวยที่สุดแต่ว่าเดนิมออกแบบมันด้วยความตั้งใจจริงมันถูกถอดทิ้งไว้ในกล่องกำมะหยี่สีแดงอยู่ใต้ลิ้นชักมานานหลายเดือนแม้จะเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เดนิมปรารถนาจะเห็นมันประดับอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของพี่พัดแต่ในเวลานี้เขากลับเป็นฝ่ายไม่กล้าสวมมันเอาไว้เสียเอง…
อีกทั้งไม่กล้าที่จะตอบคำถามที่มาของมัน
และกลัวว่าการมีอยู่ของมันจะเป็นความเคยชินที่ทำให้ตัวเองต้องเจ็บปวดไปมากกว่านี้
เดนิมก้มลงมองหลังมือของตัวเองก่อนจะเดินไปยืนเคียงข้างอีกฝ่ายที่ยืนรออยู่สักพักแล้วอีกอย่างภายในงานยังมีครอบครัวของเขาเดนิมไม่อยากให้พ่อแม่ต้องบาดหมางใจกับพี่พัดอีกจึงเดินเคียงข้างไปอย่างว่าง่ายเล่นละครต่อหน้าพ่อแม่ให้ดีสักหน่อยอย่างน้อยก็เป็นการรักษาน้ำใจทั้งสองฝ่าย…เดนิมคิดแบบนั้น
แต่พิพัฒน์เองสังเกตตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่นิ้วนางข้างซ้ายของเดนิมไม่มีแหวนแต่งงานประดับอยู่เดนิมแม้สีหน้าจะราบเรียบพยายามไม่แสดงสีหน้ามากเท่าไหร่แต่ทว่าแววตากลับฟ้องความคิดความอ่านของเจ้าตัวออกมาจนหมดการรักษาระยะห่างการปฏิบัติต่อกันมันห่างเหินเหมือนคนแปลกหน้าบางครั้งพิพัฒน์เหมือนจะได้เห็นอีกมุมหนึ่งของเดนิมแต่บางครั้งกลับมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่าความไร้ชีวิตชีวาในการแต่งงานตอนแรกท่าทีที่เดนิมมีต่อเขาต่างๆนานาถูกจินตนาการออกมาในรูปแบบเลวร้ายต่างๆไม่ว่าจะตามติดเป็นเจ้าข้าวเจ้าของประกาศให้ใครต่อใครได้รู้ว่าแต่งงานเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเขาแต่หลังจากได้แต่งงานอยู่ร่วมกันมาหลายเดือนทุกสิ่งที่พิพัฒน์ได้ลั่นวาจาไว้และตั้งกฎเกณฑ์เอาไว้มากมายเป็นเขาเสียเองที่แหกกฎเหล่านั้นเสียทุกข้อจู่ๆคำถามที่วิ่งวนอยู่ในหัวโพล่งออกไปอย่างไม่รู้ตัว
“ทำไมถึงไม่เดินข้างพี่” เดนิมยิ้มให้อย่างจริงใจก่อนจะตอบ
“นิมเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ก็วันนี้ว่า…นิมไม่เหมาะที่จะยืนเคียงข้างพี่พัดแม้แต่น้อย” แม้จะยิ้มให้จากใจจริงแต่ดวงตากลับไม่ได้ยิ้มตามเขายอมรับความพ่ายแพ้อย่างราบคาบตั้งแต่หลังแต่งงานยอมรับว่าระหว่างเราไม่มีทางเปลี่ยนความสัมพันธ์ไปในทางอื่นได้อีกนอกจากพี่น้องที่หวังดีต่อกันเดนิมยกมือโบกไปมาเหมือนเด็กก่อนจะเอ่ย “ก็วันนี้พี่พัดหล่อมาก” ทำท่าทะเล้นต่อหน้าพิพัฒน์เหมือนเด็กไม่รู้จักโตกลบเกลื่อนความรู้สึกในใจไว้จนมิดพิพัฒน์ที่กำลังจะเอ่ยอะไรออกมาต้องกลืนก้อนคำพูดนั้นลงไปในคอเมื่อสองแฝดเอ่ยทักทายก่อนจะเดินตามกันเป็นกลุ่มใหญ่เข้าไปในห้องบอลลูมโรงแรมต่างฝ่ายต่างไม่ได้ปริปากพูดอะไรกันออกมาอีก
เดนิมแทบไม่เคยออกงานสังคมกับครอบครัวการมีอยู่ของเขาจึงมีแค่ครอบครัวคนสนิทเท่านั้นที่รู้อีกอย่างเดนิมเองก็ไม่ชอบตามติดครอบครัวไปออกงานตั้งแต่ไหนแต่ไรส่วนใหญ่เป็นงานกาล่ากลางคืนเดนิมเป็นเด็กอนามัยเข้านอนไม่เกินสามทุ่มเพราะอยากจะสูงให้ได้ครึ่งหนึ่งของพี่พัดก็ยังดีพอจบม.ปลายเขาก็บินไปเรียนต่อต่างประเทศแถมโครงหน้าของเขาได้คุณย่ามามากจึงไม่ค่อยเหมือนสองแฝดมากเท่าไหร่เก้าในสิบที่ทักก็ไม่มีใครคิดว่าเขาจะเป็นน้องเล็กของสองแฝดด้วยเพราะสรีระที่พิเศษร่างกายจึงมีความพิเศษมีฮอร์โมนเพศหญิงมากกว่าผู้ชายทำให้รูปร่างของเขาผอมบางไม่มีมวลกล้ามเนื้อเหมือนเพศชายทั่วไปไม่มีหนวดใบหน้าออกสวยหวานแม้เดนิมจะไม่ได้พิเศษเป็นเคสหายากแต่ทว่าเขาก็ไม่ได้ยินดีกับความพิเศษนี้มากนักเพราะมันเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้พิพัฒน์ต้องจำใจแต่งงานกับเขาอย่างไม่มีทางเลือก
เดนิมเดินตามพ่อและแม่ไปแนะนำตัวกับคู่ค้าพาร์ทเนอร์ต่างๆเขายกมือไหว้ผู้คนมากหน้าหลายตาแต่สายตาไม่เคยหลุดโฟกัสที่แผ่นหลังของใครบางคนที่กำลังยืนคุยอย่างอารมณ์ดีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้านั้นเสมอเดนิมอยากจะรักษารอยยิ้มของพี่พัดแบบนี้เอาไว้ตั้งแต่พี่พัดต้องแต่งงานกับเขาไม่มีครั้งไหนที่จะยิ้มอย่างเบิกบานใจได้อย่างวันนี้อีกทั้งยังดูเป็นตัวเองเมื่อทักทายจนครบเดนิมก็ปรี่ออกมาอยู่คนเดียวสักพักเขายืนเครื่องดื่มต่างๆที่ตั้งไว้อย่างเรียงรายแม้จะมีบริกรเดินแจกอยู่อย่างไม่ขาดสายก็ตามแต่เพราะธุรกิจไวน์เป็นหนึ่งในกิจการของศศิภักดีเห็นว่าจัดจำหน่ายแบรนด์น้องใหม่ออกมาเรียกยอดขายเดนิมเองก็ถือโอกาสเดินสำรวจรวมไปถึงถามไถ่บริกรถึงรสชาติและที่มาที่สำคัญบริกรที่ได้รับหน้าที่ดูแลเครื่องดื่มพวกนี้ถูกเทรนมาอย่างดีรวมไปถึงได้ลิ้มรสไวน์ทุกชนิดเพื่อตอบคำถามของลูกค้าเป็นการไทน์อินการขายอีกรูปแบบหนึ่งเดนิมที่กำลังยืนเลือกดูไวน์ก็ได้ยินเสียงเรียกสดใสมาจากทางด้านหลัง
“น้องนิม”
“พี่หมื่น” เดนิมหันไปทักทายบรรณาธิการคนสวยของเขาที่ทำงานร่วมกันมายาวนานเป็นสิบปีจนตอนนี้กลายเป็นพี่สาวคนสนิทไปเสียแล้วหมื่นราตรีเข้ามาทักทายสวมกอดน้องรักอย่างยินดีปรีดา
“ไม่เจอกันนานเลยกลับไทยมาก็ไม่บอกกันเลยนะเรากลัวพี่ทวงต้นฉบับหรือไง…” สองคนต่างก็หัวเราะให้กัน
“ใช่ที่ไหนกันครับพอดีผมกลับมาได้ไม่นานก็ยุ่งๆอีกอย่างผมกลับมาไม่นานก็จะกลับแล้วครับ”
“แล้วคราวนี้ไปนานเท่าไหร่ FALLIN คนเก่งของพี่นักอ่านแทบจะถล่มหน้าเพจเรียกร้องให้คุณนักเขียนชื่อดังออกแฟนไซน์สักที” หมื่นราตรีที่เป็นทั้งบรรณาธิการและผู้บริหารถามไถ่หยั่งเชิง
“ก็อาจจะตลอดชีวิต”
“ต๊ายตาย! ฝรั่งเศสนี่มีของดีจริงๆ” หมื่นราตรีเอ่ยแซว เดนิมทำเพียงแค่ยิ้มไม่ต่อความยาวสาวความยืดอีก
“เรื่องงานค่อยคุยกันวันหลังเจ้าสิบก็มานะถามหาเราใหญ่เลย” หมื่นราตรีจับจูงมือเดนิมไปรวมกลุ่มกับทางปกิจโสภณเจ้าของสื่อธุรกิจสิ่งพิมพ์ขนาดใหญ่เจ้าหนึ่งของประเทศ
“เดนิม” สิบทิวาเอ่ยทักพร้อมกับเดินมาอยู่ข้างๆอย่างเป็นกันเองพร้อมเอ่ยแนะนำกับทางครอบครัวของตัวเอง
“พ่อครับแม่ครับนี่เดนิมลูกชายคนเล็กของท่านเจ้าสัวเดรโกรและคุณลลดาครับ” เดนิมยกมือไหว้อย่างนอบน้อมอีกครั้งก่อนหน้านี้เขาได้เข้ามาทักทายพร้อมกับพ่อแม่ก่อนหน้านั้นแล้วเมื่อครู่
“เจ้าสิบพูดถึงตลอดตัวจริงน่ารักน่าเอ็นดูกว่าที่พูดเยอะเลย” คุณอิงจันทร์เอ่ยทักทายเด็กหนุ่มตรงหน้าเสียงใสแต่เจ้าลูกชายตัวเองยืนเกร็งแผ่นหลังตรงแน่วแถมยังหน้าแดงหูแดงไปหมด “ครับ” เดนิมได้แต่ตอบรับอย่างแกนๆไม่รู้ว่าสิบทิวาพูดถึงตัวเองไว้อย่างไรบ้าง
“เห็นว่าเพิ่งเรียบจบกลับมาจากฝรั่งเศส” คุณอาทิตย์พ่อของสิบทิวาเอ่ยถามอย่างเป็นกันเองเพราะเจ้าลูกชายตัวดีเอ่ยถึงเด็กหนุ่มตรงหน้าจนเขาอยากจะเจอตัวจริงๆสักครั้ง
“ครับ” เดนิมพูดคุยแย้มยิ้มตลอดเวลาที่พูดคุยกับทางบ้านปกิจโสภณหากไม่ติดเรื่องสถานที่อาทิตย์เองอยากจะเอ่ยทาบทามให้สิ้นเรื่องเขายอมรับว่าถูกใจ! ตัวสิบทิวาเองหน้าบ้านเป็นจานดาวเทียมเมื่อเห็นว่าพ่อกับแม่ประทับใจเดนิมเป็นอย่างมากสิบทิวาไม่สนว่าระหว่างหน้านี้เกิดเรื่องราวอะไรกับอีกฝ่ายเขาจะไม่ถามในเรื่องที่ทำให้เดนิมลำบากใจเดนิมที่อยู่ต่อหน้าเขาตรงนี้เป็นเดนิมที่คู่ควรแก่การถูกรักและเชิดชูอีกฝ่ายทำหลายอย่างโดยเฉพาะเรื่องงานเขียนตอนนั้นบ้านปกิจโสภณเองประสบปัญหาขาดสภาพคล่องนิยายของเดนิมเรื่องแรกที่ได้แต่พิมพ์กับสำนักพิมพ์ WANWELA มีการตีพิมพ์และจัดจำหน่ายไปทั่วประเทศถึงแสนเล่มเรียกได้ว่าเป็นงานเขียนที่ชุบชีวิตและปากท้องของใครหลายคนรวมไปถึงครอบครัวของปกิจโสภณจนกลับมาผงาดและเฉิดฉายในวงการสื่ออีกครั้งไม่เพียงเท่านั้นยังมั่นคงเป็นสื่อระดับแนวหน้ายักษ์ใหญ่ของเมืองไทยจนถึงปัจจุบัน
อาทิตย์จับมือเด็กหนุ่มตรงหน้ามาวางไว้ในมือตัวเองพร้อมกอบกุมด้วยความรู้สึกหลากหลายทั้งตื้นตันจนไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกไปดีสองสามีภรรยามองหน้ากันก่อนจะแย้มยิ้มให้แก่กันเวลานั้นทุกคนลำบากจริงๆอิงจันทร์เองพอได้เจอเดนิมเองก็รู้สึกเอ็นดูและรักใคร่เด็กหนุ่มตรงหน้าขึ้นมาทันทีและยินดีหากลูกชายจะตกลงปลงใจกับคนนี้
“ขอบคุณเดนิมมากนะลูกผลงานของหนูเรื่องแรกช่วยต่อลมหายใจให้กับปกิจโสภณจนมีวันนี้” เดนิมแทบไม่อยากจะเชื่อหันหน้าไปหาหมื่นราตรีหญิงสาวพยักหน้าให้พร้อมกับเอ่ยสำทับ
“รักแรมรอนเรื่องแรกของนิมทำให้สำนักพิมพ์เล็กๆที่ประสบปัญหาเรื่องการเงินแทบจะไปต่อไม่ได้ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งนิมเป็นทั้งนักเขียนในดวงใจของพี่เป็นทั้งผู้มีพระคุณของบ้านเราเลยนะ”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” เดนิมไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนและเขารู้สึกภูมิใจในตัวเองขึ้นมาไม่รู้กี่ร้อยเท่าหัวใจที่แห้งเหี่ยวคล้ายจะหมดไฟกับงานเขียนคล้ายได้น้ำทิพย์ชโลมใจเป็นน้ำฝนห่าใหญ่ที่ทำให้ใจที่รวดร้าวคล้ายกับทะเลทรายกลับมาชุ่มชื้นอีกครั้งครั้งนี้ต่อให้เจอมรสุมในชีวิตมากมายเท่าไหร่แต่พอรู้ว่างานเขียนของเขาที่คิดว่าไม่ดีพอไม่สนุกมากพอได้ช่วยต่อลมหายใจให้คนมากมายเหล่านี้เดนิมคิดว่าเขาประสบความสำเร็จในฐานะนักเขียนแล้ว
“เพราะฉะนั้นอย่าเลิกเขียนหรือเลิกทำในสิ่งที่รักเลยนะครับแม้ว่าตอนนี้ปกิจโสภณจะผ่านพ้นวิกฤตไปแล้วแต่พวกเรายังจะคอยซัพพอร์ตคุณนักเขียนคนเก่งไปจนสุดทางจนกว่าคุณจะไม่มีแรงเขียน” สิบทิวาพูดพร้อมกับจับจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่วางตาบ้านปกิจโสภณต่างก็พยักหน้าให้เดนิม
“แม่กับพ่อผมเป็นแฟนนิยายตัวยงของคุณเลยนะ”
“ใช่จ้ะถ้าไม่ติดว่าเป็นงานเปิดตัวธุรกิจโรงแรมแม่จะขอลายเซ็นหนูแล้วเอาไปอวดเพื่อนๆในกลุ่มสักหน่อย” อิงจันทร์หัวเราะน้อยๆส่วนเดนิมนั้นกลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่อิงจันทร์สวมกอดเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างเอ็นดู
“ไม่ต้องร้องนะจ๊ะและขอโทษด้วยที่ต้องให้หนูมาได้ยินเรื่องราวอะไรแบบนี้ในวันดีๆของหนูแท้ๆแต่พวกเราอยากจะบอกหนูจริงๆว่าหนูคือความภาคภูมิใจของสำนักพิมพ์เรา” ภาพที่เดนิมกอดและพูดคุยกับผู้ใหญ่ทางฝั่งปกิจโสภณนั้นอยู่ในสายตาของพิพัฒน์รวมไปถึงเจ้าสัวเดรโกรและคุณหญิงลลดาทั้งสองต่างก็มองหน้ากันก่อนจะถอนหายใจหากเดนิมเลือกสิบทิวาพวกเขายินดีที่จะตอบตกลงโดยไม่ลังเลและเชื่อว่าทางบ้านปกิจโสภณจะดูแลลูกรักของพวกเขาเป็นอย่างดีพิพัฒน์เองที่ยืนคุยกับนักธุรกิจคนอื่นๆก็จ้องมองไม่วางตาเองเช่นกัน
เดนิมไม่ชอบงานเลี้ยงสังสรรค์เขาออกมานั่งกินลมชมวิวอยู่ที่ริมทะเลกับสิบทิวาไม่ได้ลงไปเดินยังชายหาดเพราะรองเท้าและเครื่องแต่งกายไม่เอื้ออำนวยได้แต่นั่งอยู่ริมระเบียงที่ยื่นออกไปมีอาหารและเครื่องดื่มมากมายวางอยู่ข้างๆ
“ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าบ้านคุณจะเกิดวิกฤตขนาดนั้น”
“มันผ่านมานานแล้วตั้งแต่ผมม.ปลายมั้งมันไม่ใช่เรื่องที่น่าพูดคุยสักเท่าไหร่แต่พอย้อนกลับไปแล้วหากไม่มีวิกฤตก็คงไม่มีโอกาส” สิบทิวาจิบเบียร์ในมือก่อนจะเอ่ย
“ตอนที่คุณเลือกส่งผลงานให้ทางเราพ่อผมเองที่เป็นบรรณาธิการเองก็ลังเลเรื่องรักใคร่เพศเดียวกันยังไม่เป็นที่ยอมรับตามยุคสมัยนั้นแต่พ่อผมชอบเรื่องที่คุณแต่งและคิดว่าขนาดตัวเองอายุมากแล้วอ่านยังสนุกคนอื่นก็คงจะสนุกด้วยตอนนั้นตีพิมพ์แค่ห้าพันเล่มก็ถือว่าดีมากแล้วแต่ผิดคาดแสนเล่ม! คุณรู้ไหมตอนนั้นบ้านเราค้างจ่ายเงินเดือนพนักงานมาสามเดือนทุกคนต่างลุ้นกับผลตอบรับกับเรื่องนี้มากเพราะเป็นเรื่องที่ชี้เป็นชี้ตายให้กับสำนักพิมพ์เล็กๆอย่างเราได้เลยออเดอร์ที่สั่งเข้ามาทุกคนต่างช่วยกันแพ็กไม่มีปริปากบ่นไหนจะงานสัปดาห์หนังสือที่ทางเราไปฝากขายอิงกับบูธอื่นๆผลตอบรับถล่มทลายแสนเล่มในครั้งนั้นพลิกสถานการณ์การเงินของบริษัทเลยนะคุณรู้ไหมแล้วอีกสามเดือนคุณก็ส่งต้นฉบับมาอีกเรื่องปีนั้นสามเรื่องของคุณต่อลมหายใจของเราจนถึงวันนี้…”
“เพราะฉะนั้นอย่าเลิกเขียนผลงานของคุณมีค่าจริงๆนะไม่ใช่ว่าทางเราอยากจะใช้ชื่อเสียงของคุณทำมาหากินแต่งานเขียนของคุณมันเป็นเหมือนยาใจกำลังใจของคนอ่านผมรู้ดีถ้าคุณตีพิมพ์เองคุณจะได้เปอร์เซ็นต์มากกว่านี้และมีคนมากมายที่เฝ้ารอที่จะอ่านผลงานของคุณคนเรามีกำลังใจที่จะใช้ชีวิตในรูปแบบที่ต่างกันออกไปบ้างดูหนังบ้างฟังเพลงแต่นิยายก็เป็นยาใจอีกรูปแบบหนึ่งผมไม่คิดว่ามันไร้สาระสำหรับการได้ทำในสิ่งที่ชอบผมชอบที่จะอ่านนิยายของคุณเหมือนได้เติบโตไปกับตัวละครที่คุณสร้างการที่คุณออกผลงานมาเรื่อยๆเหมือนว่านักเขียนกับนักอ่านได้เดินทางร่วมกัน…ผมคิดแบบนั้น”
“เราต่างก็พึ่งพากันและกันและผมขอบคุณคุณเสมอที่ไม่คิดวางมือในการเขียนนิยายไปเสียก่อนการจะเจอคุณนักเขียนคนโปรดนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยนะ”
“งั้นการที่คุณเข้าหาผมที่ห้องสมุดนั้น…คิดรู้จักผมมาก่อนแล้วสิ” เดนิมแกล้งถามสิบทิวาก้มหน้าแก้มแดงปลั่งไม่รู้ว่าเพราะพิษแอลกอฮอล์หรือความเขินอายที่เล่นงานเขา
“เอ่อ…” สิบทิวาเกาท้ายทอยแก้เก้อเดนิมหัวเราะกับท่าทางเงอะงะนั้น “แต่เรื่องนิยายเป็นเรื่องจริง” เขาพูดปดสิบทิวามีนิยายของเดนิมทุกเล่มเล่มละสองถึงสามเล่มด้วยซ้ำแถมยังใช้มันเป็นข้ออ้างในการเข้าหาอีกฝ่ายอย่างหน้าสื่อตาใสอีกด้วยเพราะการพูดคุยเรื่องนิยายมีรายละเอียดมากมายเดนิมที่อยู่ไกลอีกซีกโลกหนึ่งจึงต้องเปิดกล้องพูดคุยกับหมื่นราตรีจนกว่ากระบวนการจะเสร็จสิ้นพวกเขาติดต่อกันตลอดสิบทิวาเองก็เรียนรู้งานอยู่ข้างๆแม้จะไม่เปิดเผยตัวเองก็ตามแต่เขาก็เฝ้ารอคอยที่พี่สาวจะได้เปิดกล้องคุยกับคุณนักเขียนคนเก่งอยู่เสมอยิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายอายุน้อยกว่าเขายิ่งชื่นชมจากชื่นชมเปลี่ยนเป็นความชื่นชอบพอมาเจอตัวจริงก็ตกหลุมรักอย่างง่ายดาย
“แต่ผมเข้าใจว่าเรื่องของความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้…ขอแค่คุณไม่รังเกียจผมก็พอ” สิบทิวาจิบเบียร์ในมืออีกหลายอึกเหมือนว่าแอลกอฮอล์จะช่วยเพิ่มความกล้าให้เขาเดนิมเท้าแขนไปข้างหลังแหงนมองท้องฟ้าฟ้าหลังฝนทั้งสดใสและสวยงามเสมอดวงดาวพร่างพราวระยิบระยับคล้ายผ้าห่มผืนใหญ่โอบล้อมเมฆนภาเดนิมถอนหายใจก่อนจะเอ่ยออกมา
“ผมเคยวิ่งเพื่อคนคนหนึ่งมาสิบกว่าปีผมเข้าใจความรู้สึกคุณนะ…แต่ผมไม่อยากให้คุณรอการรอคอยจะคุ้มค่าก็ต่อเมื่อได้รับรักตอบมันก็คุ้มค่าที่จะเฝ้ารอและทุ่มเท” เดนิมหันหน้ามาสบตากับสิบทิวาที่หันมามองก่อนอยู่แล้ว
“แต่เรื่องของความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้เหมือนยิ่งวิ่งใกล้เท่าไหร่ยิ่งถอยห่างออกไปทั้งนั้นคุณเป็นคนดีนะ…ความรู้สึกที่คุณมีให้ผมผมรับรู้และก็ขอบคุณมากผมเคยคิดลบกับตัวเองด้อยค่าตัวเองคิดว่าตัวเองยังไม่ดีพอแต่พอได้มาพบกับคุณความรู้สึกเหล่านั้นก็ค่อยๆหายไปยิ่งมารู้ว่างานเขียนของผมได้ช่วยชีวิตใครหลายๆคนเอาไว้ถือว่าผมประสบความสำเร็จแล้วล่ะ…แต่ผมคงรับความรู้สึกของคุณไว้ไม่ได้ขอโทษด้วย”
“ผมเข้าใจ” สิบทิวาตอบก่อนจะเหม่อมองออกไปยังทิวทัศน์ตรงหน้า “แต่เรายังเป็นเพื่อนกันได้ใช่ไหม”
“แน่นอน”
“บางครั้งผมก็รู้สึกอิจฉาคนในใจคุณ” สิบทิวาตัดพ้อออกมาเดนิมหัวเราะในลำคอก่อนจะกอดเข่าเอาคางเกยไว้
“ไม่มีอะไรให้น่าอิจฉา” เดนิมตอบเสียงเรียบ
“ดวงดาวก็เหมาะที่จะประดับและส่องแสงระยิบระยับเป็นเพื่อนดวงจันทร์หากเอื้อมเอามาวางไว้บนฝ่ามือมีแต่จะหม่นแสงสักวันแสงในตัวก็จะหมดไปความรักก็เช่นกันผมได้เรียนรู้ว่าบางครั้งรักที่ดีไม่จำเป็นต้องได้ครอบครองได้แค่เพียงนั่งมองตรงนี้ก็สุขใจ”
“เหมือนว่าคุณจะตัดใจ” ไหนๆก็นั่งเปิดอกคุยกันออกมาขนาดนี้แล้วสิบทิวาจึงคำถามของเขาไม่น่าจะเป็นการเสียมารยาทเดนิมไม่ตอบได้แต่นั่งกอดเข่ามองไปตรงหน้าอยู่อย่างนั้น
“ผมเพิ่งเข้าใจและตัดสินใจที่จะวางมันลงก็เท่านั้นเอง” คำตอบของเดนิมล่องลอยไปตามสายลมโดยไม่รู้ว่ามีบุคคลที่สามยืนฟังอยู่ตรงมุมมืดอยู่นานเท่าไหร่ได้ฟังตั้งแต่ประโยคไหนและไม่รู้ว่าคำพูดของตัวเองจะสร้างคลื่นกระทบกับกำแพงในใจของใครบางคนให้พังครืน
ทางด้านพิพัฒน์เองเขาจดจ้องใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มมีชีวิตชีวาของเดนิมโดยไม่ละสายตาไปสักเสี้ยววินาที มันไม่ใช่รอยยิ้มแกน ๆ ที่คอยส่งมาให้เขา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มไปถึงดวงตา เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ พิพัฒน์สังเกตเห็นว่าเดนิมทำเหมือนว่าเขาเป็นยักษ์เป็นมารเวลาที่เข้าใกล้ และมักจะก้าวเท้าถอยหลังเสมอ คล้ายว่าเป็นการขีดเส้นระหว่างกัน ไม่มีใครควรล้ำเส้นกันไปมากกว่านี้ แถมยังเป็นฝ่ายหลบสายตา เหมือนว่าการมีอยู่ของตัวเองทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกแย่เดนิมในอุดมคติของเขากับเดนิมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนเป็นคนละคนตอนแรกที่เกิดเรื่องเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยากจะเข้าไปซัดหน้าหวานๆที่เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักเปรี้ยงพิพัฒน์คิดว่าเดนิมร้ายกาจไม่งั้นเขาไม่ต้องมาตกกระไดพลอยโจนอยู่อย่างนี้และการแต่งงานครั้งนี้จะทำให้เจ้าตัวสมหวังอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้แต่พอมาได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันยิ่งได้ใกล้ชิดยิ่งได้รู้จักเหมือนว่าช่วงที่ห่างหายขาดการติดต่อกันไปเดนิมในวันวานยังคงเหมือนเดิมไม่ได้ร้ายกาจหรือมีเล่ห์เหลี่ยมแต่อย่างใดกลับเงียบขรึมเก็บงำความรู้สึกได้เก่งขึ้นและมักจะหลบเลี่ยงปัญหามากกว่าเผชิญหน้าอีกทั้งรอยยิ้มที่ประดับ
เดนิมตื่นมาก็บ่ายสามกว่า ๆ แล้ว เขาคิดว่าตอนนี้พี่พัดคงเก็บของกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว จึงกินนอนเล่นกับพวกแฝด เป็นการรวมตัวกันของครอบครัวที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เล่นน้ำด้วยกันเหมือนเด็กอีกครั้ง พอได้วางความรู้สึกเหล่านั้นลง เดนิมค้นพบว่าความสุขของเขาได้เพิ่มขึ้นทีละนิด แม้จะมีความรู้สึกผิดอยู่เต็มอก แต่ได้แพลนตอนจบเอาไว้แล้วเหมือนกับนิยายที่มีตอนจบไม่ว่าจะสมหวังผิดหวังท้ายสุดก็ต้องเดินทางมาถึงจุดจบไม่ว่าบทสุดท้ายจุดจบจะเป็นเช่นไรเขาเพียงต้องยอมรับมันให้ได้‘ไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง’กว่าจะรู้ว่าความรักในรูปแบบของตัวเองเป็นความรักที่ไม่สมประกอบก็ทำเอาคนอื่นวุ่นวายกันไปทั่วรักที่ดีไม่จำเป็นต้องครอบครองเป็นเจ้าของเดนิมจึงรู้จักที่จะปล่อยวางมันลงคล้ายกับหัวใจได้คลายหนามแหลมที่เกี่ยวพันรัดอยู่บาดแผลและเลือดที่ไหลรินก่อนหน้าค่อยๆสมานเข้าด้วยกันอย่างช้าๆแม้จะทิ้งร่องรอยแผลเป็นเอาไว้แต่ก็เป็นเครื่องเตือนความจำว่าเขาไม่ควรจะรักใครจนทำร้ายตัวเองแบบนั้นอีกและเขาจะต้องเป็นคนที่จัดการความรู้สึกของตนเองไม่ทำให้คนที่รักต้องรู้สึกอึดอัดกับความรู้สึกที่เขามีเดนิมเล่นน้ำจนเหนื่อยหอบอยู่กินดื่มกับแฝดจน
ทะเบียนสมรสจอมปลอมที่ปราศจากความรัก เดนิมทำได้เพียงกกกอดมันเอาไว้อย่างหวงแหน เพราะอย่างน้อยมันก็คือเชือกสุดท้ายที่จะเหนี่ยวรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ข้างกาย แม้จะถูกตราหน้าว่าเห็นแก่ตัวก็ตามในตอนจบของนิยายการที่คนสองคนตกลงปลงใจแต่งงานเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยกันนั่นคือตอนจบที่สมบูรณ์พูนสุขแต่สำหรับชีวิตการแต่งงานของเดนิมไม่ได้สวยงามเหมือนดั่งในตอนจบของนิยายการแต่งงานระหว่างพวกเขาทั้งสองคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดหากย้อนเวลากลับไปได้เดนิมจะไม่ตัดสินใจแต่งงานกับอีกฝ่ายอย่างเด็ดขาดอย่างน้อยระหว่างเราอาจจะยังคงรักษาความรู้สึกดีๆในฐานะน้องนุ่งดีกว่าเป็นอดีตคู่สมรสที่ไม่ได้มีความรักให้แก่กันและไม่มีวันจะสานสัมพันธ์ไปเป็นคนรักของกันและกันได้พี่พัดเกลียดเขายังกะอะไรดีการหย่าขาดถือเป็นการจบเรื่องราวทั้งหมดทนายที่เดนิมจ้างมาขยับแว่นตาก่อนจะกวาดสายตาอ่านเอกสารในมืออีกครั้งคิ้วนิ่วขมวดก่อนจะอ่านเอกสารอื่นๆอีกสองสามรอบอ่านเพื่อทำความเข้าใจถึงจุดประสงค์ของผู้ร่างเอกสารฉบับนี้ขึ้นมาก่อนจะเอ่ยถามผู้ว่าจ้างเพื่อความแน่ใจและไม่ได้ร่างเอกสารเหล่านี้ขึ้นมาด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบ“คุณเดนิมแน่ใจนะครับว่าไ
ย้อนไปเมื่อหลายสิบปีที่แล้วครอบครัวของเดนิมและพิพัฒน์รู้จักกันและสนิทกันในแวดวงธุรกิจตามประสาสังคมนักธุรกิจด้วยกัน พิพัฒน์อายุมากกว่าเดนิมเจ็ดปี สองครอบครัวจึงไปมาหาสู่กันอยู่บ่อย ๆ ชีวิตวัยเด็กของเดนิมเติบโตมาพร้อมกับพิพัฒน์เลยก็ว่าได้ พิพัฒน์มองเดนิมเป็นน้อง แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพศชายท้องได้ (New male) พี่ชายทั้งสองของเดนิม เดนีสและเดนีนต่างก็เอาอกเอาใจ ดูแลประคบประหงมประหนึ่งไข่ในหิน ด้วยความที่อายุห่างกันมาก เดนิมเกิดมาพร้อมกับความพิเศษของร่างกาย ด้วยความเป็นน้องเล็กของบ้าน พี่ชาย พ่อแม่ต่างก็ห้อมล้อมเอาใจ เลยติดนิสัยเอาแต่ใจมาแต่ไหนแต่ไร อยากได้อะไรก็ต้องได้“อยากให้พี่พัดป้อน” เดนิมพูดพลางออดอ้อนคนข้างๆเหมือนที่เคยทำตั้งแต่ยังเด็ก“กินเองดีกว่าโตเป็นหนุ่มแล้วนะเรา” พิพัฒน์เริ่มอธิบายให้เด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างใจเย็นเพราะเดนิมมักจะเป็นแบบนี้เสมอตั้งแต่เด็กจนโตก็มักจะอ้อนให้เขาป้อนข้าวให้บ้างผลไม้ให้บ้างเวลาเจ้าตัวติดตามพี่ๆฝาแฝดทั้งสองมาเล่นเกมที่บ้านเขาพิพัฒน์มักจะอึดอัดเสมอเพียงแต่เขาไม่เคยพูดออกไปได้แต่เว้นระยะห่างอยู่ฝ่ายเดียว“ก็นิมอยากให้พี่พัดป้อนนี่ครับ” พิพัฒน์ถอนหายใจก่อ
ตอนแรกเดนิมคิดว่าเขากับพี่พัดไม่มีวันจะลงเอยกันได้อีก แต่เหตุการณ์กลับพลิกผันเมื่อเย็นวันหนึ่งเขาและชองส์ออกไปเที่ยวคลับแห่งหนึ่งกลางใจเมืองเดนิมไม่ได้กลับบ้านเกิดเมืองนอนมาเสียนานเลยถือโอกาสเปิดหูเปิดตาอีกทั้งยังมีชองส์ที่เขาพอจะไว้ใจไปเที่ยวไหนมาไหนด้วยกันได้ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงนัดกันไปที่คลับแห่งหนึ่งว่ากันว่าบรรยากาศดีและติดหนึ่งในสามของสถานบันเทิงที่ครบครันมากที่สุดในย่านนั้นเดนิมจองโต๊ะไว้บนชั้นสองซึ่งเป็นชั้นวีไอพีชั้นลอยที่สามารถมองเห็นเวทีข้างล่างได้อย่างชัดเจนบรรยากาศดีกับแกล้มอร่อยสมกับรีวิวจริงๆอีกทั้งบริกรก็ได้รับการเทรนมาอย่างดียิ่งพวกเขาเป็นแขกวีไอพียิ่งนอบน้อมเดนิมจิบไวน์ในมืออย่างสบายอารมณ์เขาคุ้นเคยกับไวน์มากกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆเพราะเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจที่บ้านส่วนชองส์กำลังดื่มด่ำกับคอนยัคสีอำพันในมือหากเขาไม่ได้มากับเดนิมรับรองว่าไม่ขาดคนข้างกายติดไม้ติดมือกับห้องไปด้วยแน่ๆสถานที่อโคจรแบบนี้ดูไม่ค่อยเหมาะกับเดนิมสักเท่าไหร่“อย่าดื่มเยอะเบบี๋เดี๋ยวเมา”“รู้แล้วแหละน่า” เดนิมบ่นอุบอิบแม้จะเลิกรากันไปกลายมาเป็นเพื่อนคนสนิทแต่ชองส์ก็ยังคอยบ่นจู้จี้จุกจิกเ
เดนิมไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปตอนแรกคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นเพียงความลับระหว่างเขากับพี่พัดเช้ามาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้คาดคิดว่าเรื่องราวจะบานปลายขนาดนี้ความคิดเพียงชั่ววูบคิดว่าไม่เป็นอะไรแต่สุดท้ายเรื่องราวทุกอย่างกลับตาลปัตรอีกอย่างเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่แผนการของเขาเดนิมกล้าสาบาน! แต่ว่าใครจะเชื่อล่ะ?อีกอย่างเดนิมมีคลิปที่อยู่ในโทรศัพท์ของชองส์เป็นหลักฐานว่าผู้หญิงคนนั้นวางยาพี่พัดตอนนี้คลิปในมือที่เดนิมมีคือกล้องหน้ารถของตัวเองที่ขับตามรถญี่ปุ่นที่เลี้ยวเข้าเลิฟโฮเต็ลอีกทั้งไม่ได้เห็นว่าอีกฝ่ายพยุงพิพัฒน์เข้าไปในห้องพูดอะไรไปตอนนี้ก็คงไม่มีอะไรดีขึ้นยังไงการตัดสินใจตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายยังไงเขากับพี่พัดก็มีสัมพันธ์เกินเลยกันไปแล้วพ่อแม่ของเขาคงไม่ยอมจะให้แล้วต่อกันก็คงเป็นไปไม่ได้เดนิมเข้าใจแล้วว่าทำไมชองส์ถึงสั่งห้ามเขาหนักหนาว่าไม่ให้เข้าไปในห้องนั้นเพราะอย่างนี้นี่เองเดนิมกล่าวโทษตัวเองว่าโง่เขลาอยู่ในใจกัดริมฝีปากตัวเองจนห้อเลือด“งั้นกลับบ้านไปก่อนละกัน” เดนีสเอ่ยปาก“ก่อนกลับบ้านแวะไปโรงพยาบาลก่อนเถอะ” เดนีนพูดจบก็หิ้วปีกน้องชายที่อ่อนแรงแทบไม่มีแร
เดนิมอึ้งช็อกเมื่อได้ยินว่าตัวเองจะต้องแต่งงานและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับพี่พัดภายในระยะเวลาหนึ่งปีการแต่งงานถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมายมีเพียงสองครอบครัวและนายทะเบียนจากสำนักงานเขตเท่านั้นเจ้าบ่าวทั้งคู่ก็อยู่ในชุดแต่งงานที่เดนิมเป็นคนจัดเตรียมเองทุกอย่างรวมไปถึงแหวนแต่งงานทั้งสองวงดูเหมือนเป็นการวางแผนไว้ล่วงหน้าเป็นอย่างดีจะไม่ให้พิพัฒน์คิดได้ยังไงว่าเขาถูกเดนิมวางยาและมัดมือชกภาพงานแต่งงานที่คนทั้งสองนั่งพับเพียบอยู่ต่อหน้าพานเงินทองของหมั้นข้างหลังเป็นญาติผู้ใหญ่ทั้งสองและพี่แฝดในภาพเจ้าบ่าวทั้งสองคนต่างมีสีหน้าไม่สู้ดีต่างก็ราบเรียบปราศจากรอยยิ้มกันทั้งคู่เดนิมจ้องภาพงานแต่งที่เรียบง่ายของตัวเองกับพี่พัดอยู่อย่างนั้นเขานำไปอัดขยายมาใส่กรอบไว้ที่หัวเตียงก่อนจะรูดม่านสีดำปิดบังภาพถ่ายนั้นเอาไว้พร้อมถอนหายใจออกมาอย่างหมดแรงหลังจากงานแต่งพวกเขาทั้งสองจะต้องย้ายมาอยู่ด้วยกันซึ่งสัปดาห์หน้าวันที่ 1 กรกฎาจะเป็นวันแรกที่พวกเขาต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันหากระยะเวลานี้ไม่สามารถสร้างอนาคตไปด้วยกันได้ถือว่าต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระต่อกันเดนิมอ่านเอกสารสัญญาในมือยิ่งเห็นลายเซ็นที
ทุกวันเสาร์ทางบ้านเดนิมจะส่งแม่บ้านมาคอยปัดถูทำความสะอาดป้าอนงค์และป้าสายใจทำงานมานานอีกอย่างลลดาเป็นห่วงลูกชายอย่างน้อยส่งคนรู้ใจมาสอดส่องสัปดาห์ละครั้งก็ยังดี“คุณหนูคะเสื้อผ้ามีแค่นี้เองเหรอคะแล้วของคุณผู้ชายละคะ”“มีแค่นี้แหละครับของพี่พัดนิมซักหมดแล้วครับ”“ไม่ได้นะคะคุณหนูใส่ไว้ในตะกร้าเอาไว้ได้เลยเดี๋ยวป้ามาซักให้เองค่ะ”“ไม่เป็นไรครับนิมอยากทำให้พี่พัดเอง” เดนิมยิ้มตอบก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปยังห้องนั่งเล่นคนแก่อย่างอนงค์กับสายใจทำไมจะดูไม่ออกทั่วทั้งห้องไม่มีกลิ่นอายของคนอื่นอยู่เลยมีเพียงคุณหนูของเธอคนแล้วจานชามก็มีเพียงอย่างละหนึ่งตู้เสื้อผ้าโล่งขนาดนั้นแต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมา“ตู้เย็นแทบไม่เหลือของสดเลยป้าไปซื้อให้ไหมคะ”“ไม่เป็นไรครับซื้อกินเอาสะดวกกว่า”“ขาดเหลืออะไรบอกป้ามาได้เลยนะคะป้าจะได้ตระเตรียมให้”“ไม่น่าจะขาดอะไรแล้วครับขอบคุณมากครับ” เดนิมพูดตอบซีรีย์เรื่องโปรดที่กำลังโลดแล่นอยู่บนจอไม่เข้าหัวของเขาสักนิดที่เขาต้องแกล้งจดจ่ออยู่กับภาพยนตร์ตรงหน้าก็เพื่อหลีกเลี่ยงการตอบคำถามของแม่บ้านเขารู้ดีว่าทุกคนเป็นห่วงแต่เขาเองก็ยังแอบหวังอยู่ลึกๆว่าพี่พัดจะย
เดนิมตื่นมาก็บ่ายสามกว่า ๆ แล้ว เขาคิดว่าตอนนี้พี่พัดคงเก็บของกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว จึงกินนอนเล่นกับพวกแฝด เป็นการรวมตัวกันของครอบครัวที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เล่นน้ำด้วยกันเหมือนเด็กอีกครั้ง พอได้วางความรู้สึกเหล่านั้นลง เดนิมค้นพบว่าความสุขของเขาได้เพิ่มขึ้นทีละนิด แม้จะมีความรู้สึกผิดอยู่เต็มอก แต่ได้แพลนตอนจบเอาไว้แล้วเหมือนกับนิยายที่มีตอนจบไม่ว่าจะสมหวังผิดหวังท้ายสุดก็ต้องเดินทางมาถึงจุดจบไม่ว่าบทสุดท้ายจุดจบจะเป็นเช่นไรเขาเพียงต้องยอมรับมันให้ได้‘ไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง’กว่าจะรู้ว่าความรักในรูปแบบของตัวเองเป็นความรักที่ไม่สมประกอบก็ทำเอาคนอื่นวุ่นวายกันไปทั่วรักที่ดีไม่จำเป็นต้องครอบครองเป็นเจ้าของเดนิมจึงรู้จักที่จะปล่อยวางมันลงคล้ายกับหัวใจได้คลายหนามแหลมที่เกี่ยวพันรัดอยู่บาดแผลและเลือดที่ไหลรินก่อนหน้าค่อยๆสมานเข้าด้วยกันอย่างช้าๆแม้จะทิ้งร่องรอยแผลเป็นเอาไว้แต่ก็เป็นเครื่องเตือนความจำว่าเขาไม่ควรจะรักใครจนทำร้ายตัวเองแบบนั้นอีกและเขาจะต้องเป็นคนที่จัดการความรู้สึกของตนเองไม่ทำให้คนที่รักต้องรู้สึกอึดอัดกับความรู้สึกที่เขามีเดนิมเล่นน้ำจนเหนื่อยหอบอยู่กินดื่มกับแฝดจน
ทางด้านพิพัฒน์เองเขาจดจ้องใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มมีชีวิตชีวาของเดนิมโดยไม่ละสายตาไปสักเสี้ยววินาที มันไม่ใช่รอยยิ้มแกน ๆ ที่คอยส่งมาให้เขา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มไปถึงดวงตา เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ พิพัฒน์สังเกตเห็นว่าเดนิมทำเหมือนว่าเขาเป็นยักษ์เป็นมารเวลาที่เข้าใกล้ และมักจะก้าวเท้าถอยหลังเสมอ คล้ายว่าเป็นการขีดเส้นระหว่างกัน ไม่มีใครควรล้ำเส้นกันไปมากกว่านี้ แถมยังเป็นฝ่ายหลบสายตา เหมือนว่าการมีอยู่ของตัวเองทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกแย่เดนิมในอุดมคติของเขากับเดนิมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนเป็นคนละคนตอนแรกที่เกิดเรื่องเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยากจะเข้าไปซัดหน้าหวานๆที่เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักเปรี้ยงพิพัฒน์คิดว่าเดนิมร้ายกาจไม่งั้นเขาไม่ต้องมาตกกระไดพลอยโจนอยู่อย่างนี้และการแต่งงานครั้งนี้จะทำให้เจ้าตัวสมหวังอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้แต่พอมาได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันยิ่งได้ใกล้ชิดยิ่งได้รู้จักเหมือนว่าช่วงที่ห่างหายขาดการติดต่อกันไปเดนิมในวันวานยังคงเหมือนเดิมไม่ได้ร้ายกาจหรือมีเล่ห์เหลี่ยมแต่อย่างใดกลับเงียบขรึมเก็บงำความรู้สึกได้เก่งขึ้นและมักจะหลบเลี่ยงปัญหามากกว่าเผชิญหน้าอีกทั้งรอยยิ้มที่ประดับ
ช่วงเช้าพายุฝนสงบท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนว่าไม่เคยเกิดพายุฝนคะนองมาก่อนเดนิมตื่นเช้าเหมือนเช่นเคยอาหารเช้ามาส่งแล้วอีกอย่างเขาเองก็ไม่ชอบแบบที่ลอยอยู่กลางน้ำเพราะนึกถึงเวลาเศษอาหารตกลงในสระมันทำความสะอาดค่อนข้างยากเขาจึงบอกให้บริกรวางไว้ที่ขอบสระเดนิมรออาหารย่อยสักพักก็ลงไปว่ายน้ำเขาสวมกางเกงว่ายน้ำเพียงตัวเดียวอีกอย่างก็เป็นสระส่วนตัวน้ำเย็นๆบรรยากาศยามเช้าที่แจ่มใสรวมไปถึงทัศนียภาพของทิวทัศน์ตรงหน้าทำให้เขาไม่อยากกลับเลยจริงๆที่ว่ากันว่านั่งโง่ๆอยู่ริมทะเลนั้นไม่เกินจริงเดนิมหันหลังเท้าคางมองทิวทัศน์ข้างหน้าน้ำทะเลสีฟ้าครามตัดกับเส้นขอบกับพระอาทิตย์อย่างลงตัวเห็นพี่แฝดบอกว่าในทะเลมีพวกปลากระเบนว่ายมาทักทายบริเวณบังกะโลกลางน้ำแห่งนี้ด้วย เดนิมจ้องมองผืนน้ำทะเลอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาอยู่คู่หนึ่งจดจ้องการกระทำของเขาตลอดตั้งแต่แหวกว่ายอยู่ในสระเดนิมหันหลังให้ทิวทัศน์ก่อนจะคว้าเอาห่วงยางที่นอนลอยน้ำเขาขึ้นไปนอนบนนั้นแล้วยิ้มแฉ่งให้กับพระอาทิตย์สองมือวักน้ำจนทำให้ห่วงยางนั้นลอยไปลอยมา“เล่นเหมือนเด็กๆไปได้” ไม่รู้เมื่อไหร่ที่พิพัฒน์เอาแต่จดจ้องร่างบางที่สวมเพียงแค่กางเกงว่ายน้ำตัว
เดนิมแตะบัตรค่อยๆเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายทำอะไรอยู่เดนิมเปลี่ยนเป็นรองเท้าสลิปเปอร์ก่อนจะเห็นว่ากระเป๋าของตัวเองยังวางอยู่ที่หน้าประตูเหลือเพียงกระเป๋าใบเดียวพี่พัดคงกลับเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วเดนิมกำที่จับกระเป๋าล้อเลื่อนของตัวเองแน่นก่อนจะตัดสินใจที่จะไปนอนกับพี่แฝดเขาไม่อยากให้การมาทำงานครั้งนี้ของพี่พัดมีปัญหาหรือรู้สึกอึดอัดเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินออกมาจากประตูเสียงเอ่ยราบเรียบก็ทักขึ้นมา“เข้ามาแล้วจะออกไปไหนอีก” น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์แต่เดนิมรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจอยู่เนืองๆเขาไม่ได้ตอบแต่ค่อยๆเดินผ่านโถงทางเดินเข้าไปก่อนจะเจอกับโซนห้องนั่งเล่นตรงกลางโซฟาหันหน้าเข้าหาทะเลภาพวิวเบื้องหน้ามีสระน้ำขนาดกลางส่วนตัวให้แขกได้พักผ่อนมีตาข่ายให้ได้นอนอาบแดดนับได้ว่าเป็นห้องพักที่เยี่ยมยอดที่สุดของ The Grand DAE เลยก็ว่าได้พิพัฒน์นั่งจิบบรั่นดีสีอำพันในมือสายตาทอดมองไปยังวิวตรงหน้าน้อยครั้งนักที่เดนิมจะเห็นว่าอีกฝ่ายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่จะเป็นชาร้อนหากต้องอ่านรายงานค่อนคืน“คือ…นิมจะไปนอนกับพี่แฝด”“ใช่แ
เดนิมเดินทอดน่องไปตามชายหาด ท้องเริ่มปวดบิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงนั่งตรงเปลที่ชายหาดผูกไว้ นั่งสักพักเลยล้มตัวนอน มือก็ได้แต่กดท้องตัวเองเอาไว้ เดนิมเป็นโรคกระเพาะทานอาหารไม่ตรงเวลาก็จะปวดจนทรมาน อีกอย่างยาลดกรดก็อยู่ในกระเป๋า ตอนนี้เขาเหนื่อยทั้งกายและใจเลยอยากจะนั่งพักสักครู่ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี พี่พัดตักอาหารให้เขา แต่เป็นสิ่งที่ฆ่าเขาให้ตายได้ อีกทั้งตอนสมัยที่เดนิมยังเด็ก หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เดนิมประทับใจในตัวพี่พัดของเขาก็คือพี่พัดจะเป็นฝ่ายคอยระวังเรื่องอาหารการกินของเขาทุกครั้งที่ต้องออกไปทานอาหารข้างนอกกันรวมถึงแฝด แฝดมักจะเผอเรอไม่ถามไถ่หรือมักจะสั่งกุ้งมากิน แต่เป็นพี่พัดเองที่คอยเอาใจใส่ และหาร้านที่ไม่มีส่วนผสมของกุ้งเพื่อเดนิมวันเวลาผ่านพ้นไปคนเราหากเป็นเรื่องสำคัญมักจะไม่ลืม…เดนิมยิ้มเยาะให้ตัวเองก่อนจะนอนอยู่อย่างนั้นแขนซ้ายปิดทับดวงตาปิดบังความน้อยเนื้อต่ำใจและการเดินหนีหรือหลีกเลี่ยงเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นเดนิมจึงนิยามความรักของตัวเองว่าเป็นรักที่ไม่ประกอบวิ่งมายาวนานเพื่อคนคนเดียวมานับสิบปีเขาแพ้กุ้งแต่พี่พ
เดนิมไม่ออกจากห้องของตัวเองแม้ว่าป้าแม่บ้านที่แม่ของเขาส่งมาทำความสะอาดให้ทุกวันอาทิตย์ก็ตามภายในห้องมีตู้เย็นขนาดเล็กขนมขบเคี้ยวรวมไปถึงกาน้ำร้อนขนาดพกพาอีกทั้งเพราะการเขียนนิยายออกมาสักเรื่องหนึ่งมันใช้เวลาและในตอนที่อารมณ์พาไปหรือจินตนาการพรั่งพรูเดนิมไม่อยากจะลุกออกไปทำอะไรนิ้วเรียวยาวเคาะแป้นพิมพ์อยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียงของแป้นพิมพ์ทำให้เขาลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าสมาธิจดจ่ออยู่กับหน้าจอและตัวหนังสือตรงหน้าและเขาใช้มันเพื่อระบายของเสียภายในจิตใจเขาระบายมันออกมาเป็นตัวหนังสือตัวละครบางตัวก็คือตัวเองที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาขัดเกลาตัวละครผ่านเหตุการณ์สมมุติต่างๆมากมายมานับไม่ถ้วนหาทางออกให้ตัวละครเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายแต่น่าเสียดายตัวเองกลับหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอเขาติดอยู่ในวังวนความเจ็บปวดของความรักมายาวนานนับสิบปีรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีใจแต่ก็ยังจะเฝ้ารออดทนกับสายตาที่หยามเหยียดอดทนต่อถ้อยคำที่บาดลึกถึงกระดูกคล้ายกับคนไม่รู้สึกรู้สา สุดท้ายกลับฝังตัวเองทั้งเป็นด้วยการทอดกายให้อีกฝ่ายได้เชยชม ในฐานะนักเขียนหากตัวละครตัวนี้จะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่แ
บริษัทมีการจัดเลี้ยงฝึกงานแต่เดนิมบอกปัดเขาไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยงกับปัญหาอีกปานัสเป็นญาติของนิชาอีกทั้งก็ไม่ชอบขี้หน้าเขาเป็นทุนเดิมงานเลี้ยงครั้งนี้ไม่ไปดีที่สุดพี่พัดเองก็ไม่ได้ว่าอะไรมีแต่ปานัสที่ดีอกดีใจคุณสิริเองก็เอ่ยชมเขามากขึ้นกว่าแต่ก่อนเดนิมคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วคำชมที่มาจากความจริงใจเพียงเท่านี้ก็มีกำลังใจให้เด็กฝึกงานอย่างเขากระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้นไปอีกอีกอย่างเดนิมก็ไม่ได้จบงานด้านบริหารมาเขาทำได้ดีขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้วชีวิตหลังจากนี้จะได้เป็นอิสระเสียทีเดนิมเลิกเฝ้ารอและเลิกฝันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะทำอะไรดีๆให้พี่พัดแต่ทำไปเหมือนขว้างหินลงสู่ทะเลพี่พัดเกลียดเขาจะตาย…ไม่เห็นหน้ากันจะดีที่สุดเดนิมไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะกลับมาค้างทุกวันหยุดสุดสัปดาห์หรือไม่เขาไม่คิดโทรถามไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญและลำบากใจวันนี้วันศุกร์เขาไม่มีธุระที่ไหนเลยเข้าครัวเองทำอาหารสองสามอย่างทีละน้อยสำหรับคนคนเดียวไข่เจียวตรงหน้าฟูฟ่องส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องครัวเดนิมแกะข้าวหุงสำเร็จเวฟก่อนจะแกะใส่จานแม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้วเดนิมเลือกที่จะหันหลังแล้วทำเป็นไม่เห็นก้มลงทานอาหารตรงหน้
ทางด้านปานัสเมื่อโดนดุไปซึ่งๆหน้าก็ดูจะนอบน้อมขึ้นแต่ก็ยังพยายามจะหักหน้าและปาดหน้าทำงานแทนเดนิมเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมือเจ็บ“นิมช่วยดูตรงนี้หน่อยนะ” สิริเอ่ยพร้อมยื่นแฟ้มให้เดนิมยังไม่ทันยื่นมือออกไปรับปานัสกลับยื่นมือมารับแทน“ให้นัสทำนะครับพี่สิริ” สิริเองก็มองหน้าเดนิมเมื่อเห็นเจ้าตัวพยักหน้าน้อยๆก็ยื่นแฟ้มใส่มือปานัสแทนพร้อมกำชับ“ฝากด้วยนะจ๊ะงานนี้ต้องเสร็จวันนี้ถ้าไม่เสร็จจะจ่ายค่าโอทีให้”ปานัสอ้าปากค้างกลืนน้ำลายลงคอพร้อมรีบเปิดเอกสารในแฟ้มอ่านรายละเอียดคร่าวๆพร้อมอุทานในใจ “ตายห่าไม่น่าเลยกูวันนี้จะเสร็จไหมเนี่ย” พร้อมรีบกุลีกุจอกลับไปนั่งทำที่โต๊ะตัวเองโซนหน้าห้องผู้บริหารแทบไม่มีเสียงพูดคุยตลอดช่วงบ่ายพี่สิริหันมายิ้มเป็นนัยให้เดนิมเดนิมค้อมหัวให้ก่อนจะก้มหน้าอ่านเอกสารในมือจนเลิกงานปานัสขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเมื่อเวลาเลิกงานพนักงานทุกคนทยอยกลับรวมไปถึงเดนิมที่เดินมาอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงานของตัวเองเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ขอบคุณปานัสมากนะที่ช่วยทำงานนี้แทนเราเราขอตัวก่อนนะ” ปานัสแสร้งยิ้มก่อนจะกัดฟันตอบ “กลับก่อนได้เลยจ้ะ” แต่ในใจก่นด่าอีกฝ่ายสิบกว่ารอบเดนิมที่กำลังลงลิฟต์ไปย
ทางด้านเดนิมโชคดีที่กาแฟวางพักไว้สักครู่บนเคาน์เตอร์แผลจึงไม่ได้ร้ายแรงเป็นแผลไหม้ระดับสองมีตุ่มพองใสแต่ก็ปวดแสบมากเพราะเส้นประสาทบริเวณผิวหนังยังเหลืออยู่ไม่ได้ถูกทำลายไปมากนักการหายของแผลใช้เวลาประมาณสองถึงสามสัปดาห์คุณหมอจึงให้ครีมทายาภายนอกรวมไปถึงการปิดแผลด้วยผ้าก๊อซอีกทั้งยังกำชับไม่ให้โดนน้ำรวมไปถึงที่ต้นขาด้านขวาด้วยเดนิมทำแผลเสร็จพี่แฝดก็โทรมาตอนอยู่ในรถพอดีเขากดรับสายก่อนจะทำน้ำเสียงปกติ “ว่าไงครับ”“วันนี้ว่างหรือเปล่าเราพี่สองคนจะไปรับไปทานข้าว”“วันนี้คงไม่ได้ครับ”“เดี๋ยวพี่โทรไปหาไอ้พัดให้”“อย่าดีกว่าครับเดี๋ยวพี่พัดจะว่าเอาตอนนี้ผมเป็นแค่พนักงานฝึกงานนะครับพี่แฝดอย่าลืม” เดนิมพยายามทำน้ำเสียงให้สดใส “อีกอย่างมีนักศึกษาฝึกงานคนอื่นมาฝึกด้วย”“แล้วเราจะว่างเมื่อไหร่” เดนีนแทรกขึ้นมา“เดี๋ยวถ้าว่างจะโทรไปนัดพี่ๆอีกทีนะครับไม่ต้องกลัวว่าพวกพี่แฝดจะไม่ได้จ่ายรับรองวันนั้นต้องจ่ายให้น้องทั้งวันนะครับ” แฝดต่างหัวเราะ “หาเวลามาให้ได้เถอะน้องคนเดียวจะเท่าไหร่เชียวแพงแค่ไหนก็เลี้ยงได้” ทั้งสามคนหัวเราะก่อนจะกดวางสายเดนิมถอนหายใจก่อนจะสตาร์ทรถกลับบ้านโดยไม่ได้ดูสายที่ไม่ได้รับก