หน้าหลัก / LGBTQ+ / เพียงชั่วข้ามคืน / บทที่ 13 ไม่ใช่เรื่องสำคัญ

แชร์

บทที่ 13 ไม่ใช่เรื่องสำคัญ

ผู้แต่ง: DILEMMA 28
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-11-22 16:09:09

เดนิมเดินทอดน่องไปตามชายหาด ท้องเริ่มปวดบิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงนั่งตรงเปลที่ชายหาดผูกไว้ นั่งสักพักเลยล้มตัวนอน มือก็ได้แต่กดท้องตัวเองเอาไว้ เดนิมเป็นโรคกระเพาะทานอาหารไม่ตรงเวลาก็จะปวดจนทรมาน อีกอย่างยาลดกรดก็อยู่ในกระเป๋า ตอนนี้เขาเหนื่อยทั้งกายและใจเลยอยากจะนั่งพักสักครู่ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี พี่พัดตักอาหารให้เขา แต่เป็นสิ่งที่ฆ่าเขาให้ตายได้ อีกทั้งตอนสมัยที่เดนิมยังเด็ก หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เดนิมประทับใจในตัวพี่พัดของเขาก็คือพี่พัดจะเป็นฝ่ายคอยระวังเรื่องอาหารการกินของเขาทุกครั้งที่ต้องออกไปทานอาหารข้างนอกกันรวมถึงแฝด แฝดมักจะเผอเรอไม่ถามไถ่หรือมักจะสั่งกุ้งมากิน แต่เป็นพี่พัดเองที่คอยเอาใจใส่ และหาร้านที่ไม่มีส่วนผสมของกุ้งเพื่อเดนิม

วันเวลาผ่านพ้นไปคนเราหากเป็นเรื่องสำคัญมักจะไม่ลืม…เดนิมยิ้มเยาะให้ตัวเองก่อนจะนอนอยู่อย่างนั้นแขนซ้ายปิดทับดวงตาปิดบังความน้อยเนื้อต่ำใจและการเดินหนีหรือหลีกเลี่ยงเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นเดนิมจึงนิยามความรักของตัวเองว่าเป็นรักที่ไม่ประกอบวิ่งมายาวนานเพื่อคนคนเดียวมานับสิบปีเขาแพ้กุ้งแต่พี่พัดชอบกุ้งเดนิมคิดว่าสิ่งนี้ไม่เป็นปัญหาสำหรับชีวิตคู่พี่พัดก็กินกุ้งไปส่วนเขาก็สั่งอย่างอื่นพวกเราสามารถนั่งทานร่วมกันได้อย่างไม่มีปัญหาอีกอย่างคนที่แพ้อาหารก็ต้องจัดการตัวเองเพราะฉะนั้นที่ผ่านมาพี่พัดเลยไม่รู้เลยว่าเขาแพ้กุ้งหรือลืมไปแล้วว่าเขาแพ้กุ้งระดับไหน

ไม่มีใครไม่เคยวาดฝันเรื่องชีวิตคู่ของตัวเองเขาได้พี่พัดมาในทางที่ไม่ถูกต้องได้แต่ตัว…อีกทั้งยังมีเรื่องวางยาเข้ามาเกี่ยวข้องในแต่ละวันเขาอยากจะมีคนที่พูดคุยคอยถามไถ่คอยให้กำลังใจในสิ่งที่เขาทำการเป็นนักเขียนมันเป็นเส้นทางที่โดดเดี่ยวอย่างแท้จริงเดนิมไม่เคยออกแฟนไซน์เขาไม่ชอบพูดคุยกับคนแปลกหน้าเหมือนจะหยิ่งเข้าหายากแต่เขาเพียงไม่รู้จะเริ่มพูดคุยกับคนอื่นอย่างไรมีคนเคยเปรียบเปรยไว้ว่างานเขียนเมื่อเขียนจบคือนักเขียนได้ตายจากไปเหลือเพียงแต่แต่เสียงวิจารณ์และการวิเคราะห์เรื่องราวต่อจากนักอ่าน

บางครั้งนักเขียนอย่างเขาก็ต้องการกำลังใจคนข้างกายเขาซ่อนความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายมายาวนานร่วมสิบปีไว้ภายใต้ตัวอักษรเรื่องแล้วเรื่องเล่าผ่านเหตุการณ์มากมายทั้งสุขและทุกข์อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือแต่ทว่ากลับไม่กล้าคว้าไว้ความรู้สึกของพี่พัดที่มีต่อเขาเหมือนหนามแหลมหากเขายังเลือกที่จะกอบกุมมันไว้ก็เหมือนทำร้ายตัวเองเขาจึงเลือกที่จะปล่อยวางไม่ก้าวก่ายไม่ไถ่ถามและหลบอยู่ในมุมของตัวเองกลัวว่าอีกฝ่ายจะรำคาญบางทีการอยู่ไปวันๆก็เพื่อฆ่าเวลาเหลือเวลาเพียงไม่ถึงหกเดือนระหว่างเขากับพี่พัดก็จะไม่มีอะไรติดค้างกันอีก

เดนิมถอนหายใจออกมาอย่างแรง “เฮ้อ”

“มีอะไรหนักใจขนาดนั้นเหรอครับ” เดนิมชะงักก่อนจะรีบลุกขึ้นมา

“คุณสิบทิวามาได้ยังไงครับ” สิบทิวายืนยิ้มแฉ่งพร้อมสวมแว่นตากันแดดบนศีรษะยังสวมหมวกสานอุปกรณ์ครบครันเหมือนมาถ่ายแบบมากกว่าจะมาพักผ่อน

“ก็มางานเปิดตัว The Grand Dae น่ะสิครับ” สิบทิวาตอบคำถามด้วยรอยยิ้มสบายๆเดนิมลืมไปว่าครอบครัวของสิบทิวาเองก็ทำสื่อออนไลน์ด้วยเรียกได้ว่าครบวงจรวงการสื่อสิ่งพิมพ์และเดนิมเองก็เป็นหนึ่งในนักเขียนที่ตีพิมพ์กับ WANWELA มายาวนานร่วมสิบปี

“ถ้าอย่างนั้นคุณหมื่นราตรีก็มาด้วยสินะครับ”

“รายนั้นไม่มีพลาด” จู่ๆสองคนก็หัวเราะพร้อมกันออกมาแหวนที่ประดับอยู่นิ้วนางข้างซ้ายของเดนิมอ้อล้อกับแสงอาทิตย์จนเกิดแสงระยิบระยับสิบทิวามองแหวนวงนั้นก่อนจะหันไปมองทางอื่น “พี่หมื่นมาทวงต้นฉบับเรื่องต่อไปของคุณน่ะครับ” เดนิมสังเกตสายตาที่มองมาเขาจึงทำท่าจะลุกขึ้นพร้อมกับถอดแหวนแต่งงานใส่ลงในกระเป๋าเสื้อเดนิมไม่อยากตอบคำถามนี้อีกทั้งเขากับพี่พัดกำลังจะหย่ากันอย่างน้อยก็ถอยเพื่อให้พี่พัดไม่ต้องคอยตอบคำถามอันน่ากระอักกระอ่วนนี้

“ผมเพิ่งส่งเรื่องล่าสุดไปเองนะครับ”

“รายนั้นน่ะอยากจะให้คุณออกเดือนละเรื่องด้วยซ้ำไป” เดนิมรู้ว่าสิบทิวาพูดเล่น

“ว่าแต่ผมอ่านเรื่องล่าสุดแล้วนะครับ” เดนิมพยักหน้า “พอดีพี่หมื่นให้ผมลองเป็นบรรณาธิการเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกคุณเดนิมจะว่าอะไรไหมครับ”

“ยินดีสิครับทำไมจะไม่ได้” แล้วทั้งสองคนก็เดินเล่นชายหาดยามเย็นด้วยกันสิบทิวาเป็นคนที่ทำให้คนรอบข้างรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ใกล้เป็นผู้ฟังที่ดีนานแล้วที่เดนิมไม่มีคนพูดคุยเรื่องนิยายแบบนี้เดนิมไม่มีเบต้ารีดเด้อพอปิดต้นฉบับเสร็จก็รอฟังผลจากบรรณาธิการว่าต้องเพิ่มแก้ไขอะไรตรงไหนก่อนจะตีพิมพ์และจัดจำหนาวต่อไปหนังสือหนึ่งเล่มก่อนจะวางขายต้องผ่านหลายกระบวนการไม่ใช่ว่าเขียนมาแล้วหลายสิบเรื่องจะไม่มีข้อผิดพลาดอะไรเลยทุกครั้งที่เริ่มลงมือเขียนเรื่องใหม่ก็ต้องเริ่มต้นใหม่เช่นกัน

“ตอนจบกินใจมากเลยนะครับ” สิบทิวาเอ่ย

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ”

“แต่ผมชอบนะมันเป็นเอกลักษณ์งานเขียนของคุณ” สายตาที่ทอดมองมาทำเอาเดนิมไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายได้แต่เดินมองตรงไปข้างหน้า

“นักอ่านเรียกร้องให้ทางสำนักพิมพ์ของเราแถมทิชชูนะตอนเปิดพรี” เดนิมหัวเราะท้องแข็ง

“ฮ่าๆ” เขาไม่ได้หัวเราะอย่างเบิกบานมานานแค่ไหนแล้วนะ

“จริงนะครับ…นี่คุณดู” สิบทิวาหยิบโทรศัพท์มือถือโชว์หน้าเพจที่มีการเปิดให้นักอ่านโหวตเนื่องจากผลงานเรื่องใหม่ของ FALLIN “แค่คำโปรยก็กินขาดแล้ว” เดนิมชะโงกหน้าไปดูก่อนจะมองออกไปเส้นขอบฟ้าข้างหน้าแสงสีส้มตัดกับขอบทะเลได้อย่างลงตัวเขาประสานมือก่อนจะเหยียดขึ้นฟ้าสูดเอากลิ่นอายของทะเลเข้าไปจนเต็มปอด

“กว่าจะจบเรื่องนี้ได้ก็ใช้เวลาพอควร…ผมคิดว่าจะพักสักหน่อยทิ้งช่วงไปเพื่อค้นหาเป้าหมายบางอย่างของชีวิตงานเขียนถึงแม้ใครหลายคนจะมองว่านามปากกาผมประสบผลสำเร็จแล้วแต่ทว่าอันที่จริง…สำหรับผมแล้วงานเขียนมันเป็นงานที่โดดเดี่ยวการเดินทางเพียงลำพังมันค่อนข้างกินแรงใจและแรงกายพอสมควรและบางครั้งเราก็เผลอเฆี่ยนตีตัวเองเพื่อประคองให้ถึงตอนจบผมรักการเป็นนักเขียนแต่บางครั้งผมค่อนข้างสับสนกับตัวเองหลายครั้งที่ผมถามกับตัวเองว่าตอนนี้เราประสบผลสำเร็จตามที่ตั้งเป้าไว้หรือยัง” เดนิมหันมามองสิบทิวาที่ยืนข้างๆอย่างเงียบๆก่อนจะยิ้มให้บางๆ

“มันเกินเป้าที่ผมตั้งเอาไว้มานานมากแล้วแต่ทว่าผมไม่รู้จะฉลองความสำเร็จนั้นกับใครหรือบางทีคนรอบตัวผมอาจมองว่ามันเป็นงานอดิเรกที่ไร้สาระด้วยซ้ำ”

“แล้วยังไงล่ะครับ…ต่อให้คุณไม่ประสบผลสำเร็จไส้แห้งคุณก็จะล้มเลิกสิ่งที่คุณรักเหรอครับแววตาของคุณยามที่เอ่ยถึงงานเขียนตัวเองมันมีทั้งความภาคภูมิใจอีกทั้งผลงานของคุณแต่ละเรื่องใส่จิตวิญญาณของคุณลงไปด้วยทั้งนั้น

เดนิม…ไม่ว่าที่ผ่านมาคุณจะเจอเรื่องราวอะไรแต่ผมคนหนึ่งยังรออ่านเรื่องใหม่จากคุณอย่าเสียความเป็นตัวเองเพื่อให้ใครมายอมรับแต่จงยอมรับตัวเองผมคนหนึ่งที่ยอมรับและเชื่อมั่นในคุณ”

เดนิมมองสิบทิวาที่จ้องมองมาพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังสิบทิวาจับมือของเดนิมมาวางไว้บนฝ่ามือของตัวเองเขาสังเกตเห็นว่าไม่มีเครื่องประดับใดๆประดับอยู่อีกเขาตบหลังมือข้างซ้ายที่กำลังสั่นระริกอย่างแผ่วเบา “อะไรที่มันหนักก็วางมันลงได้นะครับผมรู้ว่าแต่ละเรื่องต้องอาศัยแรงบันดาลใจมากมายในการเรียงร้อยถ้อยคำออกมาแต่ทว่าอย่าให้มันกินแรงใจของคุณไปจนหมดคุณเก่งมากแล้วนะเดนิม” เดนิมกลั้นน้ำตาเอาไว้แทบไม่ไหวเขาสูดลมหายใจเข้าปอดหลายครั้งเพื่อระงับน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา ก่อนพยักหน้าแรงๆให้คนตรงหน้าเป็นสัญญาณว่าเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังพูด

“ร้องไห้ไม่ได้แปลว่าอ่อนแอไม่ว่าอายุไหนเพศไหนก็ร้องไห้ได้ทั้งนั้น” สิบทิวาเอ่ยพร้อมกับค่อยๆเกลี่ยน้ำตาที่หางตาของเดนิมออกอย่างแผ่วเบาเดนิมสูงเพียงคางของสิบทิวาเมื่อมองจากสายตาคนนอกเป็นพวกเขาสองคนเหมือนกำลังจูบกันอยู่ที่ริมชายหาดท่ามกลางแสงสายัณห์ของดวงอาทิตย์ที่เริ่มลับขอบฟ้า

เดนิมออกไปทานอาหารเย็นที่คลับแห่งหนึ่งริมชายหาดเขาส่งข้อความไปบอกพ่อแม่กับพี่แฝดแล้วว่าจะออกไปทานข้าวกับสิบทิวามีการพูดคุยรายละเอียดเรื่องเนื้อหาที่ต้องเพิ่มคร่าวๆเดนิมรู้สึกผ่อนคลายอย่างมากอีกทั้งสิบทิวาเองก็รู้เรื่องที่เขาแพ้กุ้งคอยระวังเรื่องอาหารอย่างเคร่งครัด

“มาทะเลทั้งทีไม่ได้ทานกุ้งเสียดายแย่เลยนะครับคุณสั่งมาเถอะแค่แยกจานกันแค่นี้ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”

“แค่กุ้ง…ผมจะกินเมื่อไหร่ก็ได้แต่การที่จะได้มานั่งทานข้าวกับคุณอย่างนี้ไม่ง่ายเลยนะครับ” ก็ไม่ง่ายจริงๆนั่นแหละเดนิมคิดในใจแม้เขาจะเคยบอกกล่าวเรื่องความรู้สึกให้สิบทิวาได้รับรู้ไปบ้างแล้วแต่เหมือนว่าอีกฝ่ายยังไม่คิดถอดใจ

“ผมดีใจที่ได้เป็นเพื่อนกับคุณ” เดนิมยกน้ำเปล่าทางด้านข้างขวามือของตนยื่นไปตรงหน้าสิบทิวาหยิบแก้วไวน์ในมือมาชน

“เสียดายไม่มีน้ำใบบัวบกให้สั่ง” สิบทิวาตอบกลับอย่างทะเล้นทั้งสองหัวเราะออกมาพร้อมเพรียงกันบรรยากาศดูครึกครื้นขึ้นทันตาแตกต่างกับตอนอยู่ที่ริมทะเลลิบลับน้ำตาช่วยชะล้างความรู้สึกอึดอัดภายในใจของเดนิมได้เป็นอย่างดีเหมือนอย่างที่สิบทิวาพูดก่อนหน้าร้องไห้ไม่ได้แปลว่าอ่อนแอไม่ว่าเพศไหนอายุเท่าไหร่ก็สามารถร้องไห้ออกมาได้ทั้งนั้น

ตั้งแต่เดนิมมายังที่เกาะของโรงแรมเขายังไม่ได้เห็นห้องพักของตัวเองเลยมาถึงก็เดินไปยังห้องพักของพ่อแม่เจอสิบทิวาส่วนกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองเก็บไว้ที่ห้องพักเรียบร้อยตั้งแต่เดินทางมาถึง “ห้องพักคุณอยู่ที่ไหนครับ” สิบทิวาเอ่ยถาม

“เป็นบังกะโลน่ะครับอยู่ตรงริมสุด”

“ไกลจังของผมอยู่โรงแรมริมหาดเห็นในทีเซอร์โฆษณาบังกะโลแต่ละห้องน่าพักมากทีเดียวแต่ก็สวยสมราคา”

“ถ้าคุณอยากมาพักเมื่อไหร่ผมยินดีลดให้สิบเปอร์เซ็นต์เลย” เดนิมใจป้ำพูดหยอกสิบทิวาคำนวณในใจขนาดลดราคายังรากเลือด

“เสียดาย…ขาดแต่คนรู้ใจ”

“มาคนเดียวก็ไม่เสียหายอะไรนี่ครับ”

“ช่างเถอะผมเดินไปส่งคุณดีกว่า” สิบทิวามองไปยังห้องพักบังกะโลที่ว่าที่มีทางเดินไม้ยาวไกลสุดสายตาเหลือหลังเท่ากำปั้น

“อย่าดีกว่าครับผมรบกวนเวลาของคุณมามากแล้ว”

“แต่”

“ผมไปได้จริงๆครับอีกอย่างก็อยากจะเดินเงียบๆคนเดียวสักหน่อย” สิบทิวาพยักหน้า “หากมีอะไรโทรหาผมได้ตลอดเลยนะ”

“ไม่มีอะไรหรอกครับนี่ก็เป็นโรงแรมหนึ่งในเครือของครอบครัว”

“แต่ยังไงก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี” เดนิมดันหลังสิบทิวาให้เดินกลับไปยังทางเดินไปโรงแรม

“อย่าห่วงเลยครับผมดูแลตัวเองได้บาย” เดนิมโบกมือหย็อยๆเป็นสัญญาณบอกลาก่อนจะเดินหันหลังจากไปแม้ระยะทางจะทอดยาวแต่ทว่าความเงียบงันทะเลที่เวิ้งว้างคลื่นที่สาดซัดสู่ฝั่งช่วยขับไล่ความเปล่าเปลี่ยวที่มีออกไปได้บ้างเดนิมเดินทอดน่องไปตามทางเดินไม้ระแนงอย่างเชื่องช้าอยากจะยื้อเวลาต่ออีกสักหน่อยเดนิมสายตาเหม่อมองไปยังฟากฟ้าตรงหน้าก่อนจะสัมผัสที่กระเป๋าหน้าอกซ้ายของตัวเองพอสัมผัสถึงโลหะทรงกลมเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรงเดนิมรู้ว่าสิบทิวามองเห็นแหวนที่ประดับอยู่ตรงนิ้วนางข้างซ้ายของตนเองและเหตุผลที่เดนิมเลือกถอดมันออกเพราะไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาบอกกล่าวเมื่ออีกฝ่ายถามถึงระหว่างการแต่งงานของเขากับพี่พัดเป็นการแต่งงานเพียงเพราะชั่วข้ามคืนที่ตัวเองได้ตัดสินใจผิดพลาดถึงแม้เดนิมจะรู้ว่าสิบทิวาไม่ใช่คนชั่งถามซอกแซกเรื่องส่วนตัวแต่อย่างน้อยเดนิมยังอยากจะให้พี่พัดของเขาไม่มีชนักติดหลังหลังจากหย่าขาดกันไปพี่พัดจะได้ไม่ต้องถูกใครครหาและหลังจากนั้นระหว่างเราคงกลายเป็นเส้นขนานที่ไม่อาจมาบรรจบกันได้อีก

ทางเดินที่เหมือนจะทอดยาวแต่พอปล่อยความคิดให้ล่องลอยไม่นานเดนิมก็มายืนอยู่หน้าประตูห้องพักบังกะโลหลังสุดท้ายเป็นหลังที่ใหญ่และหรูหรามากที่สุดพี่แฝดรักเขาและใส่ใจเขาเสมอสถานที่ดีบรรยากาศเป็นใจเหมาะกับคู่รักคู่แต่งงานเข้าใหม่ปลามันเป็นที่สุดหากพวกเขาเป็นคู่รักกันจริงๆสถานที่แห่งนี้คงจะเป็นอีกหนึ่งความทรงจำดีๆที่พวกเขาต่างก็ได้ใช้เวลาด้วยกันแต่พี่พัดเกลียดเขายังกะอะไรดีแม้สถานที่จะโรแมนติกและสวยสักเพียงใดก็รู้สึกอึดอัดและหายใจไม่ทั่วท้องอยู่ดีเมื่อใช้ชีวิตร่วมกัน

บทที่เกี่ยวข้อง

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 14 ไม่รู้จะต้องทำตัวอย่างไร

    เดนิมแตะบัตรค่อยๆเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายทำอะไรอยู่เดนิมเปลี่ยนเป็นรองเท้าสลิปเปอร์ก่อนจะเห็นว่ากระเป๋าของตัวเองยังวางอยู่ที่หน้าประตูเหลือเพียงกระเป๋าใบเดียวพี่พัดคงกลับเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วเดนิมกำที่จับกระเป๋าล้อเลื่อนของตัวเองแน่นก่อนจะตัดสินใจที่จะไปนอนกับพี่แฝดเขาไม่อยากให้การมาทำงานครั้งนี้ของพี่พัดมีปัญหาหรือรู้สึกอึดอัดเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินออกมาจากประตูเสียงเอ่ยราบเรียบก็ทักขึ้นมา“เข้ามาแล้วจะออกไปไหนอีก” น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์แต่เดนิมรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจอยู่เนืองๆเขาไม่ได้ตอบแต่ค่อยๆเดินผ่านโถงทางเดินเข้าไปก่อนจะเจอกับโซนห้องนั่งเล่นตรงกลางโซฟาหันหน้าเข้าหาทะเลภาพวิวเบื้องหน้ามีสระน้ำขนาดกลางส่วนตัวให้แขกได้พักผ่อนมีตาข่ายให้ได้นอนอาบแดดนับได้ว่าเป็นห้องพักที่เยี่ยมยอดที่สุดของ The Grand DAE เลยก็ว่าได้พิพัฒน์นั่งจิบบรั่นดีสีอำพันในมือสายตาทอดมองไปยังวิวตรงหน้าน้อยครั้งนักที่เดนิมจะเห็นว่าอีกฝ่ายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่จะเป็นชาร้อนหากต้องอ่านรายงานค่อนคืน“คือ…นิมจะไปนอนกับพี่แฝด”“ใช่แ

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 15 อยากจะเก็บรอยยิ้มนี้เอาไว้

    ช่วงเช้าพายุฝนสงบท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนว่าไม่เคยเกิดพายุฝนคะนองมาก่อนเดนิมตื่นเช้าเหมือนเช่นเคยอาหารเช้ามาส่งแล้วอีกอย่างเขาเองก็ไม่ชอบแบบที่ลอยอยู่กลางน้ำเพราะนึกถึงเวลาเศษอาหารตกลงในสระมันทำความสะอาดค่อนข้างยากเขาจึงบอกให้บริกรวางไว้ที่ขอบสระเดนิมรออาหารย่อยสักพักก็ลงไปว่ายน้ำเขาสวมกางเกงว่ายน้ำเพียงตัวเดียวอีกอย่างก็เป็นสระส่วนตัวน้ำเย็นๆบรรยากาศยามเช้าที่แจ่มใสรวมไปถึงทัศนียภาพของทิวทัศน์ตรงหน้าทำให้เขาไม่อยากกลับเลยจริงๆที่ว่ากันว่านั่งโง่ๆอยู่ริมทะเลนั้นไม่เกินจริงเดนิมหันหลังเท้าคางมองทิวทัศน์ข้างหน้าน้ำทะเลสีฟ้าครามตัดกับเส้นขอบกับพระอาทิตย์อย่างลงตัวเห็นพี่แฝดบอกว่าในทะเลมีพวกปลากระเบนว่ายมาทักทายบริเวณบังกะโลกลางน้ำแห่งนี้ด้วย เดนิมจ้องมองผืนน้ำทะเลอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาอยู่คู่หนึ่งจดจ้องการกระทำของเขาตลอดตั้งแต่แหวกว่ายอยู่ในสระเดนิมหันหลังให้ทิวทัศน์ก่อนจะคว้าเอาห่วงยางที่นอนลอยน้ำเขาขึ้นไปนอนบนนั้นแล้วยิ้มแฉ่งให้กับพระอาทิตย์สองมือวักน้ำจนทำให้ห่วงยางนั้นลอยไปลอยมา“เล่นเหมือนเด็กๆไปได้” ไม่รู้เมื่อไหร่ที่พิพัฒน์เอาแต่จดจ้องร่างบางที่สวมเพียงแค่กางเกงว่ายน้ำตัว

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 16 อยากจะรู้จักให้มากขึ้น

    ทางด้านพิพัฒน์เองเขาจดจ้องใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มมีชีวิตชีวาของเดนิมโดยไม่ละสายตาไปสักเสี้ยววินาที มันไม่ใช่รอยยิ้มแกน ๆ ที่คอยส่งมาให้เขา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มไปถึงดวงตา เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ พิพัฒน์สังเกตเห็นว่าเดนิมทำเหมือนว่าเขาเป็นยักษ์เป็นมารเวลาที่เข้าใกล้ และมักจะก้าวเท้าถอยหลังเสมอ คล้ายว่าเป็นการขีดเส้นระหว่างกัน ไม่มีใครควรล้ำเส้นกันไปมากกว่านี้ แถมยังเป็นฝ่ายหลบสายตา เหมือนว่าการมีอยู่ของตัวเองทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกแย่เดนิมในอุดมคติของเขากับเดนิมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนเป็นคนละคนตอนแรกที่เกิดเรื่องเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยากจะเข้าไปซัดหน้าหวานๆที่เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักเปรี้ยงพิพัฒน์คิดว่าเดนิมร้ายกาจไม่งั้นเขาไม่ต้องมาตกกระไดพลอยโจนอยู่อย่างนี้และการแต่งงานครั้งนี้จะทำให้เจ้าตัวสมหวังอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้แต่พอมาได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันยิ่งได้ใกล้ชิดยิ่งได้รู้จักเหมือนว่าช่วงที่ห่างหายขาดการติดต่อกันไปเดนิมในวันวานยังคงเหมือนเดิมไม่ได้ร้ายกาจหรือมีเล่ห์เหลี่ยมแต่อย่างใดกลับเงียบขรึมเก็บงำความรู้สึกได้เก่งขึ้นและมักจะหลบเลี่ยงปัญหามากกว่าเผชิญหน้าอีกทั้งรอยยิ้มที่ประดับ

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 17 ตัวตนของคนคนหนึ่ง

    เดนิมตื่นมาก็บ่ายสามกว่า ๆ แล้ว เขาคิดว่าตอนนี้พี่พัดคงเก็บของกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว จึงกินนอนเล่นกับพวกแฝด เป็นการรวมตัวกันของครอบครัวที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เล่นน้ำด้วยกันเหมือนเด็กอีกครั้ง พอได้วางความรู้สึกเหล่านั้นลง เดนิมค้นพบว่าความสุขของเขาได้เพิ่มขึ้นทีละนิด แม้จะมีความรู้สึกผิดอยู่เต็มอก แต่ได้แพลนตอนจบเอาไว้แล้วเหมือนกับนิยายที่มีตอนจบไม่ว่าจะสมหวังผิดหวังท้ายสุดก็ต้องเดินทางมาถึงจุดจบไม่ว่าบทสุดท้ายจุดจบจะเป็นเช่นไรเขาเพียงต้องยอมรับมันให้ได้‘ไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง’กว่าจะรู้ว่าความรักในรูปแบบของตัวเองเป็นความรักที่ไม่สมประกอบก็ทำเอาคนอื่นวุ่นวายกันไปทั่วรักที่ดีไม่จำเป็นต้องครอบครองเป็นเจ้าของเดนิมจึงรู้จักที่จะปล่อยวางมันลงคล้ายกับหัวใจได้คลายหนามแหลมที่เกี่ยวพันรัดอยู่บาดแผลและเลือดที่ไหลรินก่อนหน้าค่อยๆสมานเข้าด้วยกันอย่างช้าๆแม้จะทิ้งร่องรอยแผลเป็นเอาไว้แต่ก็เป็นเครื่องเตือนความจำว่าเขาไม่ควรจะรักใครจนทำร้ายตัวเองแบบนั้นอีกและเขาจะต้องเป็นคนที่จัดการความรู้สึกของตนเองไม่ทำให้คนที่รักต้องรู้สึกอึดอัดกับความรู้สึกที่เขามีเดนิมเล่นน้ำจนเหนื่อยหอบอยู่กินดื่มกับแฝดจน

  • เพียงชั่วข้ามคืน   อารัมภบท

    ทะเบียนสมรสจอมปลอมที่ปราศจากความรัก เดนิมทำได้เพียงกกกอดมันเอาไว้อย่างหวงแหน เพราะอย่างน้อยมันก็คือเชือกสุดท้ายที่จะเหนี่ยวรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ข้างกาย แม้จะถูกตราหน้าว่าเห็นแก่ตัวก็ตามในตอนจบของนิยายการที่คนสองคนตกลงปลงใจแต่งงานเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยกันนั่นคือตอนจบที่สมบูรณ์พูนสุขแต่สำหรับชีวิตการแต่งงานของเดนิมไม่ได้สวยงามเหมือนดั่งในตอนจบของนิยายการแต่งงานระหว่างพวกเขาทั้งสองคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดหากย้อนเวลากลับไปได้เดนิมจะไม่ตัดสินใจแต่งงานกับอีกฝ่ายอย่างเด็ดขาดอย่างน้อยระหว่างเราอาจจะยังคงรักษาความรู้สึกดีๆในฐานะน้องนุ่งดีกว่าเป็นอดีตคู่สมรสที่ไม่ได้มีความรักให้แก่กันและไม่มีวันจะสานสัมพันธ์ไปเป็นคนรักของกันและกันได้พี่พัดเกลียดเขายังกะอะไรดีการหย่าขาดถือเป็นการจบเรื่องราวทั้งหมดทนายที่เดนิมจ้างมาขยับแว่นตาก่อนจะกวาดสายตาอ่านเอกสารในมืออีกครั้งคิ้วนิ่วขมวดก่อนจะอ่านเอกสารอื่นๆอีกสองสามรอบอ่านเพื่อทำความเข้าใจถึงจุดประสงค์ของผู้ร่างเอกสารฉบับนี้ขึ้นมาก่อนจะเอ่ยถามผู้ว่าจ้างเพื่อความแน่ใจและไม่ได้ร่างเอกสารเหล่านี้ขึ้นมาด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบ“คุณเดนิมแน่ใจนะครับว่าไ

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 1 รักแรก

    ย้อนไปเมื่อหลายสิบปีที่แล้วครอบครัวของเดนิมและพิพัฒน์รู้จักกันและสนิทกันในแวดวงธุรกิจตามประสาสังคมนักธุรกิจด้วยกัน พิพัฒน์อายุมากกว่าเดนิมเจ็ดปี สองครอบครัวจึงไปมาหาสู่กันอยู่บ่อย ๆ ชีวิตวัยเด็กของเดนิมเติบโตมาพร้อมกับพิพัฒน์เลยก็ว่าได้ พิพัฒน์มองเดนิมเป็นน้อง แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพศชายท้องได้ (New male) พี่ชายทั้งสองของเดนิม เดนีสและเดนีนต่างก็เอาอกเอาใจ ดูแลประคบประหงมประหนึ่งไข่ในหิน ด้วยความที่อายุห่างกันมาก เดนิมเกิดมาพร้อมกับความพิเศษของร่างกาย ด้วยความเป็นน้องเล็กของบ้าน พี่ชาย พ่อแม่ต่างก็ห้อมล้อมเอาใจ เลยติดนิสัยเอาแต่ใจมาแต่ไหนแต่ไร อยากได้อะไรก็ต้องได้“อยากให้พี่พัดป้อน” เดนิมพูดพลางออดอ้อนคนข้างๆเหมือนที่เคยทำตั้งแต่ยังเด็ก“กินเองดีกว่าโตเป็นหนุ่มแล้วนะเรา” พิพัฒน์เริ่มอธิบายให้เด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างใจเย็นเพราะเดนิมมักจะเป็นแบบนี้เสมอตั้งแต่เด็กจนโตก็มักจะอ้อนให้เขาป้อนข้าวให้บ้างผลไม้ให้บ้างเวลาเจ้าตัวติดตามพี่ๆฝาแฝดทั้งสองมาเล่นเกมที่บ้านเขาพิพัฒน์มักจะอึดอัดเสมอเพียงแต่เขาไม่เคยพูดออกไปได้แต่เว้นระยะห่างอยู่ฝ่ายเดียว“ก็นิมอยากให้พี่พัดป้อนนี่ครับ” พิพัฒน์ถอนหายใจก่อ

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 2 จุดเริ่มต้น

    ตอนแรกเดนิมคิดว่าเขากับพี่พัดไม่มีวันจะลงเอยกันได้อีก แต่เหตุการณ์กลับพลิกผันเมื่อเย็นวันหนึ่งเขาและชองส์ออกไปเที่ยวคลับแห่งหนึ่งกลางใจเมืองเดนิมไม่ได้กลับบ้านเกิดเมืองนอนมาเสียนานเลยถือโอกาสเปิดหูเปิดตาอีกทั้งยังมีชองส์ที่เขาพอจะไว้ใจไปเที่ยวไหนมาไหนด้วยกันได้ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงนัดกันไปที่คลับแห่งหนึ่งว่ากันว่าบรรยากาศดีและติดหนึ่งในสามของสถานบันเทิงที่ครบครันมากที่สุดในย่านนั้นเดนิมจองโต๊ะไว้บนชั้นสองซึ่งเป็นชั้นวีไอพีชั้นลอยที่สามารถมองเห็นเวทีข้างล่างได้อย่างชัดเจนบรรยากาศดีกับแกล้มอร่อยสมกับรีวิวจริงๆอีกทั้งบริกรก็ได้รับการเทรนมาอย่างดียิ่งพวกเขาเป็นแขกวีไอพียิ่งนอบน้อมเดนิมจิบไวน์ในมืออย่างสบายอารมณ์เขาคุ้นเคยกับไวน์มากกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆเพราะเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจที่บ้านส่วนชองส์กำลังดื่มด่ำกับคอนยัคสีอำพันในมือหากเขาไม่ได้มากับเดนิมรับรองว่าไม่ขาดคนข้างกายติดไม้ติดมือกับห้องไปด้วยแน่ๆสถานที่อโคจรแบบนี้ดูไม่ค่อยเหมาะกับเดนิมสักเท่าไหร่“อย่าดื่มเยอะเบบี๋เดี๋ยวเมา”“รู้แล้วแหละน่า” เดนิมบ่นอุบอิบแม้จะเลิกรากันไปกลายมาเป็นเพื่อนคนสนิทแต่ชองส์ก็ยังคอยบ่นจู้จี้จุกจิกเ

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 3 แล้วจะเอายังไงต่อ

    เดนิมไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปตอนแรกคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นเพียงความลับระหว่างเขากับพี่พัดเช้ามาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้คาดคิดว่าเรื่องราวจะบานปลายขนาดนี้ความคิดเพียงชั่ววูบคิดว่าไม่เป็นอะไรแต่สุดท้ายเรื่องราวทุกอย่างกลับตาลปัตรอีกอย่างเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่แผนการของเขาเดนิมกล้าสาบาน! แต่ว่าใครจะเชื่อล่ะ?อีกอย่างเดนิมมีคลิปที่อยู่ในโทรศัพท์ของชองส์เป็นหลักฐานว่าผู้หญิงคนนั้นวางยาพี่พัดตอนนี้คลิปในมือที่เดนิมมีคือกล้องหน้ารถของตัวเองที่ขับตามรถญี่ปุ่นที่เลี้ยวเข้าเลิฟโฮเต็ลอีกทั้งไม่ได้เห็นว่าอีกฝ่ายพยุงพิพัฒน์เข้าไปในห้องพูดอะไรไปตอนนี้ก็คงไม่มีอะไรดีขึ้นยังไงการตัดสินใจตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายยังไงเขากับพี่พัดก็มีสัมพันธ์เกินเลยกันไปแล้วพ่อแม่ของเขาคงไม่ยอมจะให้แล้วต่อกันก็คงเป็นไปไม่ได้เดนิมเข้าใจแล้วว่าทำไมชองส์ถึงสั่งห้ามเขาหนักหนาว่าไม่ให้เข้าไปในห้องนั้นเพราะอย่างนี้นี่เองเดนิมกล่าวโทษตัวเองว่าโง่เขลาอยู่ในใจกัดริมฝีปากตัวเองจนห้อเลือด“งั้นกลับบ้านไปก่อนละกัน” เดนีสเอ่ยปาก“ก่อนกลับบ้านแวะไปโรงพยาบาลก่อนเถอะ” เดนีนพูดจบก็หิ้วปีกน้องชายที่อ่อนแรงแทบไม่มีแร

บทล่าสุด

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 17 ตัวตนของคนคนหนึ่ง

    เดนิมตื่นมาก็บ่ายสามกว่า ๆ แล้ว เขาคิดว่าตอนนี้พี่พัดคงเก็บของกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว จึงกินนอนเล่นกับพวกแฝด เป็นการรวมตัวกันของครอบครัวที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เล่นน้ำด้วยกันเหมือนเด็กอีกครั้ง พอได้วางความรู้สึกเหล่านั้นลง เดนิมค้นพบว่าความสุขของเขาได้เพิ่มขึ้นทีละนิด แม้จะมีความรู้สึกผิดอยู่เต็มอก แต่ได้แพลนตอนจบเอาไว้แล้วเหมือนกับนิยายที่มีตอนจบไม่ว่าจะสมหวังผิดหวังท้ายสุดก็ต้องเดินทางมาถึงจุดจบไม่ว่าบทสุดท้ายจุดจบจะเป็นเช่นไรเขาเพียงต้องยอมรับมันให้ได้‘ไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง’กว่าจะรู้ว่าความรักในรูปแบบของตัวเองเป็นความรักที่ไม่สมประกอบก็ทำเอาคนอื่นวุ่นวายกันไปทั่วรักที่ดีไม่จำเป็นต้องครอบครองเป็นเจ้าของเดนิมจึงรู้จักที่จะปล่อยวางมันลงคล้ายกับหัวใจได้คลายหนามแหลมที่เกี่ยวพันรัดอยู่บาดแผลและเลือดที่ไหลรินก่อนหน้าค่อยๆสมานเข้าด้วยกันอย่างช้าๆแม้จะทิ้งร่องรอยแผลเป็นเอาไว้แต่ก็เป็นเครื่องเตือนความจำว่าเขาไม่ควรจะรักใครจนทำร้ายตัวเองแบบนั้นอีกและเขาจะต้องเป็นคนที่จัดการความรู้สึกของตนเองไม่ทำให้คนที่รักต้องรู้สึกอึดอัดกับความรู้สึกที่เขามีเดนิมเล่นน้ำจนเหนื่อยหอบอยู่กินดื่มกับแฝดจน

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 16 อยากจะรู้จักให้มากขึ้น

    ทางด้านพิพัฒน์เองเขาจดจ้องใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มมีชีวิตชีวาของเดนิมโดยไม่ละสายตาไปสักเสี้ยววินาที มันไม่ใช่รอยยิ้มแกน ๆ ที่คอยส่งมาให้เขา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มไปถึงดวงตา เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ พิพัฒน์สังเกตเห็นว่าเดนิมทำเหมือนว่าเขาเป็นยักษ์เป็นมารเวลาที่เข้าใกล้ และมักจะก้าวเท้าถอยหลังเสมอ คล้ายว่าเป็นการขีดเส้นระหว่างกัน ไม่มีใครควรล้ำเส้นกันไปมากกว่านี้ แถมยังเป็นฝ่ายหลบสายตา เหมือนว่าการมีอยู่ของตัวเองทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกแย่เดนิมในอุดมคติของเขากับเดนิมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนเป็นคนละคนตอนแรกที่เกิดเรื่องเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยากจะเข้าไปซัดหน้าหวานๆที่เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักเปรี้ยงพิพัฒน์คิดว่าเดนิมร้ายกาจไม่งั้นเขาไม่ต้องมาตกกระไดพลอยโจนอยู่อย่างนี้และการแต่งงานครั้งนี้จะทำให้เจ้าตัวสมหวังอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้แต่พอมาได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันยิ่งได้ใกล้ชิดยิ่งได้รู้จักเหมือนว่าช่วงที่ห่างหายขาดการติดต่อกันไปเดนิมในวันวานยังคงเหมือนเดิมไม่ได้ร้ายกาจหรือมีเล่ห์เหลี่ยมแต่อย่างใดกลับเงียบขรึมเก็บงำความรู้สึกได้เก่งขึ้นและมักจะหลบเลี่ยงปัญหามากกว่าเผชิญหน้าอีกทั้งรอยยิ้มที่ประดับ

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 15 อยากจะเก็บรอยยิ้มนี้เอาไว้

    ช่วงเช้าพายุฝนสงบท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนว่าไม่เคยเกิดพายุฝนคะนองมาก่อนเดนิมตื่นเช้าเหมือนเช่นเคยอาหารเช้ามาส่งแล้วอีกอย่างเขาเองก็ไม่ชอบแบบที่ลอยอยู่กลางน้ำเพราะนึกถึงเวลาเศษอาหารตกลงในสระมันทำความสะอาดค่อนข้างยากเขาจึงบอกให้บริกรวางไว้ที่ขอบสระเดนิมรออาหารย่อยสักพักก็ลงไปว่ายน้ำเขาสวมกางเกงว่ายน้ำเพียงตัวเดียวอีกอย่างก็เป็นสระส่วนตัวน้ำเย็นๆบรรยากาศยามเช้าที่แจ่มใสรวมไปถึงทัศนียภาพของทิวทัศน์ตรงหน้าทำให้เขาไม่อยากกลับเลยจริงๆที่ว่ากันว่านั่งโง่ๆอยู่ริมทะเลนั้นไม่เกินจริงเดนิมหันหลังเท้าคางมองทิวทัศน์ข้างหน้าน้ำทะเลสีฟ้าครามตัดกับเส้นขอบกับพระอาทิตย์อย่างลงตัวเห็นพี่แฝดบอกว่าในทะเลมีพวกปลากระเบนว่ายมาทักทายบริเวณบังกะโลกลางน้ำแห่งนี้ด้วย เดนิมจ้องมองผืนน้ำทะเลอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาอยู่คู่หนึ่งจดจ้องการกระทำของเขาตลอดตั้งแต่แหวกว่ายอยู่ในสระเดนิมหันหลังให้ทิวทัศน์ก่อนจะคว้าเอาห่วงยางที่นอนลอยน้ำเขาขึ้นไปนอนบนนั้นแล้วยิ้มแฉ่งให้กับพระอาทิตย์สองมือวักน้ำจนทำให้ห่วงยางนั้นลอยไปลอยมา“เล่นเหมือนเด็กๆไปได้” ไม่รู้เมื่อไหร่ที่พิพัฒน์เอาแต่จดจ้องร่างบางที่สวมเพียงแค่กางเกงว่ายน้ำตัว

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 14 ไม่รู้จะต้องทำตัวอย่างไร

    เดนิมแตะบัตรค่อยๆเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายทำอะไรอยู่เดนิมเปลี่ยนเป็นรองเท้าสลิปเปอร์ก่อนจะเห็นว่ากระเป๋าของตัวเองยังวางอยู่ที่หน้าประตูเหลือเพียงกระเป๋าใบเดียวพี่พัดคงกลับเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วเดนิมกำที่จับกระเป๋าล้อเลื่อนของตัวเองแน่นก่อนจะตัดสินใจที่จะไปนอนกับพี่แฝดเขาไม่อยากให้การมาทำงานครั้งนี้ของพี่พัดมีปัญหาหรือรู้สึกอึดอัดเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินออกมาจากประตูเสียงเอ่ยราบเรียบก็ทักขึ้นมา“เข้ามาแล้วจะออกไปไหนอีก” น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์แต่เดนิมรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจอยู่เนืองๆเขาไม่ได้ตอบแต่ค่อยๆเดินผ่านโถงทางเดินเข้าไปก่อนจะเจอกับโซนห้องนั่งเล่นตรงกลางโซฟาหันหน้าเข้าหาทะเลภาพวิวเบื้องหน้ามีสระน้ำขนาดกลางส่วนตัวให้แขกได้พักผ่อนมีตาข่ายให้ได้นอนอาบแดดนับได้ว่าเป็นห้องพักที่เยี่ยมยอดที่สุดของ The Grand DAE เลยก็ว่าได้พิพัฒน์นั่งจิบบรั่นดีสีอำพันในมือสายตาทอดมองไปยังวิวตรงหน้าน้อยครั้งนักที่เดนิมจะเห็นว่าอีกฝ่ายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่จะเป็นชาร้อนหากต้องอ่านรายงานค่อนคืน“คือ…นิมจะไปนอนกับพี่แฝด”“ใช่แ

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 13 ไม่ใช่เรื่องสำคัญ

    เดนิมเดินทอดน่องไปตามชายหาด ท้องเริ่มปวดบิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงนั่งตรงเปลที่ชายหาดผูกไว้ นั่งสักพักเลยล้มตัวนอน มือก็ได้แต่กดท้องตัวเองเอาไว้ เดนิมเป็นโรคกระเพาะทานอาหารไม่ตรงเวลาก็จะปวดจนทรมาน อีกอย่างยาลดกรดก็อยู่ในกระเป๋า ตอนนี้เขาเหนื่อยทั้งกายและใจเลยอยากจะนั่งพักสักครู่ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี พี่พัดตักอาหารให้เขา แต่เป็นสิ่งที่ฆ่าเขาให้ตายได้ อีกทั้งตอนสมัยที่เดนิมยังเด็ก หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เดนิมประทับใจในตัวพี่พัดของเขาก็คือพี่พัดจะเป็นฝ่ายคอยระวังเรื่องอาหารการกินของเขาทุกครั้งที่ต้องออกไปทานอาหารข้างนอกกันรวมถึงแฝด แฝดมักจะเผอเรอไม่ถามไถ่หรือมักจะสั่งกุ้งมากิน แต่เป็นพี่พัดเองที่คอยเอาใจใส่ และหาร้านที่ไม่มีส่วนผสมของกุ้งเพื่อเดนิมวันเวลาผ่านพ้นไปคนเราหากเป็นเรื่องสำคัญมักจะไม่ลืม…เดนิมยิ้มเยาะให้ตัวเองก่อนจะนอนอยู่อย่างนั้นแขนซ้ายปิดทับดวงตาปิดบังความน้อยเนื้อต่ำใจและการเดินหนีหรือหลีกเลี่ยงเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นเดนิมจึงนิยามความรักของตัวเองว่าเป็นรักที่ไม่ประกอบวิ่งมายาวนานเพื่อคนคนเดียวมานับสิบปีเขาแพ้กุ้งแต่พี่พ

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 12 ไม่ได้ง่ายอย่างใจนึก

    เดนิมไม่ออกจากห้องของตัวเองแม้ว่าป้าแม่บ้านที่แม่ของเขาส่งมาทำความสะอาดให้ทุกวันอาทิตย์ก็ตามภายในห้องมีตู้เย็นขนาดเล็กขนมขบเคี้ยวรวมไปถึงกาน้ำร้อนขนาดพกพาอีกทั้งเพราะการเขียนนิยายออกมาสักเรื่องหนึ่งมันใช้เวลาและในตอนที่อารมณ์พาไปหรือจินตนาการพรั่งพรูเดนิมไม่อยากจะลุกออกไปทำอะไรนิ้วเรียวยาวเคาะแป้นพิมพ์อยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียงของแป้นพิมพ์ทำให้เขาลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าสมาธิจดจ่ออยู่กับหน้าจอและตัวหนังสือตรงหน้าและเขาใช้มันเพื่อระบายของเสียภายในจิตใจเขาระบายมันออกมาเป็นตัวหนังสือตัวละครบางตัวก็คือตัวเองที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาขัดเกลาตัวละครผ่านเหตุการณ์สมมุติต่างๆมากมายมานับไม่ถ้วนหาทางออกให้ตัวละครเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายแต่น่าเสียดายตัวเองกลับหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอเขาติดอยู่ในวังวนความเจ็บปวดของความรักมายาวนานนับสิบปีรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีใจแต่ก็ยังจะเฝ้ารออดทนกับสายตาที่หยามเหยียดอดทนต่อถ้อยคำที่บาดลึกถึงกระดูกคล้ายกับคนไม่รู้สึกรู้สา สุดท้ายกลับฝังตัวเองทั้งเป็นด้วยการทอดกายให้อีกฝ่ายได้เชยชม ในฐานะนักเขียนหากตัวละครตัวนี้จะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่แ

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 11 งานวันเกิด

    บริษัทมีการจัดเลี้ยงฝึกงานแต่เดนิมบอกปัดเขาไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยงกับปัญหาอีกปานัสเป็นญาติของนิชาอีกทั้งก็ไม่ชอบขี้หน้าเขาเป็นทุนเดิมงานเลี้ยงครั้งนี้ไม่ไปดีที่สุดพี่พัดเองก็ไม่ได้ว่าอะไรมีแต่ปานัสที่ดีอกดีใจคุณสิริเองก็เอ่ยชมเขามากขึ้นกว่าแต่ก่อนเดนิมคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วคำชมที่มาจากความจริงใจเพียงเท่านี้ก็มีกำลังใจให้เด็กฝึกงานอย่างเขากระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้นไปอีกอีกอย่างเดนิมก็ไม่ได้จบงานด้านบริหารมาเขาทำได้ดีขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้วชีวิตหลังจากนี้จะได้เป็นอิสระเสียทีเดนิมเลิกเฝ้ารอและเลิกฝันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะทำอะไรดีๆให้พี่พัดแต่ทำไปเหมือนขว้างหินลงสู่ทะเลพี่พัดเกลียดเขาจะตาย…ไม่เห็นหน้ากันจะดีที่สุดเดนิมไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะกลับมาค้างทุกวันหยุดสุดสัปดาห์หรือไม่เขาไม่คิดโทรถามไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญและลำบากใจวันนี้วันศุกร์เขาไม่มีธุระที่ไหนเลยเข้าครัวเองทำอาหารสองสามอย่างทีละน้อยสำหรับคนคนเดียวไข่เจียวตรงหน้าฟูฟ่องส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องครัวเดนิมแกะข้าวหุงสำเร็จเวฟก่อนจะแกะใส่จานแม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้วเดนิมเลือกที่จะหันหลังแล้วทำเป็นไม่เห็นก้มลงทานอาหารตรงหน้

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 10 คนเดียวไม่เหงาเท่าสามคน

    ทางด้านปานัสเมื่อโดนดุไปซึ่งๆหน้าก็ดูจะนอบน้อมขึ้นแต่ก็ยังพยายามจะหักหน้าและปาดหน้าทำงานแทนเดนิมเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมือเจ็บ“นิมช่วยดูตรงนี้หน่อยนะ” สิริเอ่ยพร้อมยื่นแฟ้มให้เดนิมยังไม่ทันยื่นมือออกไปรับปานัสกลับยื่นมือมารับแทน“ให้นัสทำนะครับพี่สิริ” สิริเองก็มองหน้าเดนิมเมื่อเห็นเจ้าตัวพยักหน้าน้อยๆก็ยื่นแฟ้มใส่มือปานัสแทนพร้อมกำชับ“ฝากด้วยนะจ๊ะงานนี้ต้องเสร็จวันนี้ถ้าไม่เสร็จจะจ่ายค่าโอทีให้”ปานัสอ้าปากค้างกลืนน้ำลายลงคอพร้อมรีบเปิดเอกสารในแฟ้มอ่านรายละเอียดคร่าวๆพร้อมอุทานในใจ “ตายห่าไม่น่าเลยกูวันนี้จะเสร็จไหมเนี่ย” พร้อมรีบกุลีกุจอกลับไปนั่งทำที่โต๊ะตัวเองโซนหน้าห้องผู้บริหารแทบไม่มีเสียงพูดคุยตลอดช่วงบ่ายพี่สิริหันมายิ้มเป็นนัยให้เดนิมเดนิมค้อมหัวให้ก่อนจะก้มหน้าอ่านเอกสารในมือจนเลิกงานปานัสขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเมื่อเวลาเลิกงานพนักงานทุกคนทยอยกลับรวมไปถึงเดนิมที่เดินมาอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงานของตัวเองเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ขอบคุณปานัสมากนะที่ช่วยทำงานนี้แทนเราเราขอตัวก่อนนะ” ปานัสแสร้งยิ้มก่อนจะกัดฟันตอบ “กลับก่อนได้เลยจ้ะ” แต่ในใจก่นด่าอีกฝ่ายสิบกว่ารอบเดนิมที่กำลังลงลิฟต์ไปย

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 9 เหนื่อยล้าเกินกว่าจะเอ่ยปาก

    ทางด้านเดนิมโชคดีที่กาแฟวางพักไว้สักครู่บนเคาน์เตอร์แผลจึงไม่ได้ร้ายแรงเป็นแผลไหม้ระดับสองมีตุ่มพองใสแต่ก็ปวดแสบมากเพราะเส้นประสาทบริเวณผิวหนังยังเหลืออยู่ไม่ได้ถูกทำลายไปมากนักการหายของแผลใช้เวลาประมาณสองถึงสามสัปดาห์คุณหมอจึงให้ครีมทายาภายนอกรวมไปถึงการปิดแผลด้วยผ้าก๊อซอีกทั้งยังกำชับไม่ให้โดนน้ำรวมไปถึงที่ต้นขาด้านขวาด้วยเดนิมทำแผลเสร็จพี่แฝดก็โทรมาตอนอยู่ในรถพอดีเขากดรับสายก่อนจะทำน้ำเสียงปกติ “ว่าไงครับ”“วันนี้ว่างหรือเปล่าเราพี่สองคนจะไปรับไปทานข้าว”“วันนี้คงไม่ได้ครับ”“เดี๋ยวพี่โทรไปหาไอ้พัดให้”“อย่าดีกว่าครับเดี๋ยวพี่พัดจะว่าเอาตอนนี้ผมเป็นแค่พนักงานฝึกงานนะครับพี่แฝดอย่าลืม” เดนิมพยายามทำน้ำเสียงให้สดใส “อีกอย่างมีนักศึกษาฝึกงานคนอื่นมาฝึกด้วย”“แล้วเราจะว่างเมื่อไหร่” เดนีนแทรกขึ้นมา“เดี๋ยวถ้าว่างจะโทรไปนัดพี่ๆอีกทีนะครับไม่ต้องกลัวว่าพวกพี่แฝดจะไม่ได้จ่ายรับรองวันนั้นต้องจ่ายให้น้องทั้งวันนะครับ” แฝดต่างหัวเราะ “หาเวลามาให้ได้เถอะน้องคนเดียวจะเท่าไหร่เชียวแพงแค่ไหนก็เลี้ยงได้” ทั้งสามคนหัวเราะก่อนจะกดวางสายเดนิมถอนหายใจก่อนจะสตาร์ทรถกลับบ้านโดยไม่ได้ดูสายที่ไม่ได้รับก

DMCA.com Protection Status