เดนิมไม่ออกจากห้องของตัวเองแม้ว่าป้าแม่บ้านที่แม่ของเขาส่งมาทำความสะอาดให้ทุกวันอาทิตย์ก็ตามภายในห้องมีตู้เย็นขนาดเล็กขนมขบเคี้ยวรวมไปถึงกาน้ำร้อนขนาดพกพาอีกทั้งเพราะการเขียนนิยายออกมาสักเรื่องหนึ่งมันใช้เวลาและในตอนที่อารมณ์พาไปหรือจินตนาการพรั่งพรูเดนิมไม่อยากจะลุกออกไปทำอะไรนิ้วเรียวยาวเคาะแป้นพิมพ์อยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียงของแป้นพิมพ์ทำให้เขาลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าสมาธิจดจ่ออยู่กับหน้าจอและตัวหนังสือตรงหน้าและเขาใช้มันเพื่อระบายของเสียภายในจิตใจ
เขาระบายมันออกมาเป็นตัวหนังสือตัวละครบางตัวก็คือตัวเองที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาขัดเกลาตัวละครผ่านเหตุการณ์สมมุติต่างๆมากมายมานับไม่ถ้วนหาทางออกให้ตัวละครเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายแต่น่าเสียดายตัวเองกลับหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอเขาติดอยู่ในวังวนความเจ็บปวดของความรักมายาวนานนับสิบปีรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีใจแต่ก็ยังจะเฝ้ารออดทนกับสายตาที่หยามเหยียดอดทนต่อถ้อยคำที่บาดลึกถึงกระดูกคล้ายกับคนไม่รู้สึกรู้สา
สุดท้ายกลับฝังตัวเองทั้งเป็นด้วยการทอดกายให้อีกฝ่ายได้เชยชม ในฐานะนักเขียนหากตัวละครตัวนี้จะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่แปลก ในชีวิตจริงมีคนมากมายที่ทำเรื่องบ้าบอคอแตกเพียงเพราะคำว่ารัก หลายคนเทิดทูนบูชาความรักที่จับต้องไม่ได้ แม้ไม่เห็นเป็นรูปร่าง แต่ทว่าหลายคนก็เฝ้ารอและหวังว่าจะมีโอกาสสักวันที่ได้สัมผัสมัน…เดนิมเองก็เช่นกัน
นักอ่านหลายคนเคยถามไถ่ว่าทำไมตอนจบนิยายของ FALLIN ถึงไม่เคยจบแบบแฮปปี้เลยสักเรื่องพูดตามตรงคนไม่เคยมีคนรักอย่างเดนิมแต่งนิยายรักที่หวานล้ำแบบนั้นออกมาไม่ได้ไม่ใช่ว่าเขาไม่เพียรพยายามแต่เพราะความรักของเขาเป็นความรักที่ไม่สมประกอบไม่สมประดีเป็นความรักที่บ้าบิ่นเป็นความรักที่เห็นแก่ตัวเขาไม่สามารถแต่งนิยายรักหวานแหววสุขนิยมออกมาแบบนั้นได้
ความรักที่ดีเป็นแบบไหนคนรักที่ดีเป็นยังไงเขานึกภาพไม่ออกเขานึกออกแต่ความอ้างว้างคู่แต่งงานที่ต้องอยู่คนเดียวในบ้านหลังใหญ่ไม่สามารถแสดงตัวหรือเปิดเผยไม่สามารถเอ่ยแนะนำใครว่าเป็นภรรยาที่แต่งงานที่ถูกต้องตามกฎหมายคู่แต่งงานที่ไม่แม้แต่จะสวมแหวนแต่งงานภาพถ่ายงานมงคลสมรสถูกซ่อนอยู่หลังม่านทำกับข้าวขึ้นโต๊ะเฝ้ารอไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งได้แต่เฝ้ารอจนเฉยชาไม่เคยได้รับการปกป้องหรือเชื่อใจมิหนำซ้ำยังถูกเหยียบย่ำความรู้สึกซ้ำแล้วซ้ำเล่าตอนนี้เดนิมเหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจไม่รู้จะหาทางออกกับความสัมพันธ์นี้อย่างไรระยะเวลาหนึ่งปีไม่สั้นไม่ยาวแต่เพียงพอที่จะแผดเผาสภาพจิตใจของเขาให้มอดไหม้เผาผลาญพลังทั้งกายและใจจนเหลือเพียงเถ้าธุลี
ร้องไห้ก็ว่าเสแสร้งปกป้องความรู้สึกของตัวเองก็หาว่าร้ายกาจความสัมพันธ์ย่ำแย่ขนาดนี้ทำได้เพียงอดทนและหลบหน้าเขาไม่อยากสร้างปัญหาให้อีกฝ่ายอยากจะจากกันด้วยดีแต่เหมือนว่าพี่พัดไม่ได้คิดเหมือนกันกับเขาคล้ายกับว่ายังทรมานกันไม่พอยังไม่สาแก่ใจกับความผิดของเขาเดนิมจึงเลือกที่จะยื่นแขนให้อีกฝ่ายกรีดมีดลงไปให้เลือดแค้นไหลรินอยากให้พี่พัดรู้สึกสาแก่ใจเขาจึงได้แต่กล้ำกลืนความเจ็บปวดพวกนั้นลงไปในคอไม่กล้าเปล่งเสียงอ้อนวอนขอความเห็นใจสุดท้ายก็ยังหวังว่าความเป็นพี่น้องจะยังคงอยู่ยังเหลือความหวังดีให้แก่กันเท่านี้ก็ถือว่าปรานีให้กับความผิดที่เขาได้กระทำลงไป
เดนิมไม่กล้าวาดฝันอะไรอีกแล้ว…
แต่การหลบหน้าไม่สามารถทำได้ตลอดไปยิ่งคนสองคนอยู่ด้วยกันไม่มีทางที่จะหลบหลีกกันได้ง่ายอย่างใจนึกเขาไม่รู้ว่าพี่พัดย้ายมาอยู่ที่เพ้นเฮ้าส์ตั้งแต่เมื่อไหร่อีกแง่การที่เขาอยู่ในสายตาย่อมจับผิดได้ง่ายกว่าเดนิมได้รับโทรศัพท์จากพี่แฝดเรื่องการเปิดตัวโครงการใหม่ในนามบริษัทลูกของศศิภักดีที่พี่พัดเป็นหนึ่งในคณะกรรมการส่วนเขาต้องติดสอยห้อยท้ายไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ในนามทายาทของศศิภักดีมันเป็นโรงแรมห้าดาวที่ก่อสร้างอยู่เกาะแห่งหนึ่งทางภาคใต้และสุดท้ายเดนิมก็ออกจากห้องของตัวเองหลังจากผ่านไปสี่วัน
อีกทั้งต้นฉบับของ ‘รักไม่สมประกอบ’ ก็เสร็จสมบูรณ์เขาจัดส่งให้ทางสำนักพิมพ์ไปแล้วถือโอกาสไปทะเลครั้งนี้เพื่อพักผ่อนก็ดีเหมือนกันเดนิมเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าลากใบเล็กตั๋วเครื่องบินถูกจองเรียบร้อยสองมือที่เอื้อมไปปิดประตูชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นคนที่ไม่อยากเจอหน้ามากที่สุดนั่งอ่านหนังสือสักเล่มอยู่ในมือ
“ออกมาแล้วเหรอ”
“ครับ” เดนิมเม้มปากก่อนจะเดินไปยังประตูวันนี้เขาสวมเสื้อผ้ายืดและกางเกงสามส่วนเดนิมเป็นคนไม่แต่งตัวแม้ว่าจะจบแฟชั่นดีไซน์มาก็ตามเขาชอบแต่งตัวให้คนอื่นแต่กับตัวเองกลับสวมเสื้อผ้าง่ายๆใบหน้าขาวซีดที่เหมือนไม่นอนไม่หลายวันทำเอาพิพัฒน์ที่จ้องมองมารู้สึกเอะใจบ้างเล็กน้อยเดนิมขลุกอยู่ในห้องนอนทั้งวันถ้าไม่นอนแล้วอีกฝ่ายทำอะไรถึงดูเหนื่อยล้าขนาดนี้แต่เป็นเพราะอีโก้ของเขาจึงไม่คิดจะถามไถ่เรื่องข้าวปลาอาหารเดนิมดูไม่เหมือนคนกำลังเรียกร้องความสนใจเหมือนกำลังหลบหน้าเขามากกว่าถึงได้แต่หลุบตามองพื้นอยู่อย่างนี้
“ทานอะไรก่อนแล้วค่อยไปสนามบิน”
“นิมไปเองดีกว่าครับ…ขอตัว”
“ไหนๆก็นั่งข้างกันไฟท์เดียวกันแล้วจะแยกกันไปทำไมหรือว่าอยากให้พ่อแม่เห็นว่าพี่รังแกเรา”
“เปล่านะครับนิมไม่ได้คิดแบบนั้นเลยสักนิดแค่…”
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้นคนขับรถมารออยู่ข้างล่างแล้ว” เดนิมได้แต่เดินตามอีกฝ่ายไปด้วยความไม่เข้าใจทั้งๆที่เขาอยากจะเว้นระยะห่างแท้ๆแต่เหมือนว่าพี่พัดจะไม่ได้คิดแบบนั้น
ร้านโจ๊กข้างทางตอนเช้าคนยังไม่พลุกพล่าน แถมยังรอไม่นาน เดนิมรู้สึกสดชื่นจึงเผลอหายใจเข้าเต็มปอด ร่างกายปวดเมื่อยไปหมดเพราะปั่นต้นฉบับ
“ทำอะไรมาถึงดูเหนื่อยแบบนี้” เดนิมที่เสมองออกไปดูวิวข้างทางชะงักก่อนจะหันมามองอีกฝ่ายเต็มตา
“ทำงานน่ะครับ”
“แล้วเราทำงานอะไรอยู่ล่ะ”
“นิมเป็นฟรีแลนทำไปเรื่อยเปื่อยรวมไปถึงออกแบบเสื้อผ้า”
“เสื้อผ้าแนวไหนล่ะ”
พลันสายตาของเดนิมก็เหลือบไปเห็นชุดเด็กน้อยน่ารักที่ด้านหน้าของเสื้อมีตุ๊กตาหมีเย็บติดไว้รวมไปถึงกางเกงและหมวกที่เข้าคู่กันเขาถอนสายตากลับมาก่อนจะตอบแบบขอไปที
“เป็นแนวแฟชั่นสตรีทและพวกสูทถ้าพี่พัดอยากได้สูทตัวใหม่บอกนิมได้นะครับนิมจะได้ทำให้” พร้อมกับรอยยิ้มที่แต่งแต้มใบใบหน้าแสงแดดอ่อนๆยามเช้ากระทบกับเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนของเจ้าตัวยิ่งขับผิวขาวซีดให้สว่างมากขึ้นเดิมทีเดนิมก็เป็นคนหน้าตาดีอยู่แล้วไม่ว่าจะสวมใส่ชุดอะไรก็ดูดีแม้ว่าตอนนี้จะสวมเสื้อผ้าธรรมดาไม่ใช่แบรนด์เนมก็ตาม
“ขอบคุณมาก…แต่ว่ายังไม่ใช่ช่วงนี้หรอกพี่เพิ่งได้ชุดสูทมาใหม่จากคุณแม่”
“อ้อครับ” เดนิมพยักหน้าบทสนทนาระหว่างพวกเขาเงียบหายไปเมื่อโจ๊กที่สั่งไว้มาเสิร์ฟเดนิมทานไปได้เพียงครึ่งก็รู้สึกปวดท้องจนต้องนิ่วหน้าแต่เขาก็นั่งอดทนรอจนพี่พัดทานเสร็จจึงเดินไปขึ้นรถก่อนเดนิมหยิบยาในกระเป๋าเป้ออกมาก่อนจะส่งเข้าปากอย่างรวดเร็วตามด้วยน้ำเปล่าเดินตามไปขึ้นรถเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ระหว่างการเดินทางทั้งสองคนก็ไม่มีบทสนทนามากนักอีกอย่างก่อนจะออกจากห้องมาพี่พัดเอ่ยเตือนเข้าเรื่องแหวนคู่แต่งงานยังไงก็ยังเหลือเวลาอีกเพียงครึ่งปีทำให้พ่อแม่สบายใจหน่อยไม่เสียหายแหวนที่ถูกเก็บอยู่ในลิ้นชักถูกกลับมาสวมใส่อีกครั้งมันเป็นแหวนแต่งงานที่เขาออกแบบด้วยตัวเองอีกทั้งกว่าจะได้มาต้องรอคอยถึงสามปีต่อให้ไม่ใช่แหวนวงนี้ก็ไม่ใช่วงที่ถูกใจพี่พัดอยู่ดีเดนิมให้ความสำคัญกับชุดแต่งงานและแหวนแต่งงานมากที่สุดเพราะเป็นสิ่งที่เขาจะสวมใส่ในวันสำคัญกับคนที่รักงานแต่งงานมีเพียงครั้งเดียวเดนิมเลยอยากจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคู่ของเขาแต่ทว่า…เขาคงไม่มีโอกาสได้สวมใส่พวกมันอีก
บนเครื่องบินระยะเวลาไม่นานเดนิมที่นั่งติดหน้าต่างความคิดของเขาล่องลอยออกไปไกลจนไม่รู้ตัวเลยว่าเขาจับและหมุนแหวนแต่งงานที่ประดับอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายนั้นไว้ตลอดเวลา
พิพัฒน์เองไม่รู้เลยว่าสายตาของเขาจดจ้องที่สองมือนั้นนานแค่ไหนจนกระทั่งแอร์โฮสเตสเริ่มแจกอาหารเขาถึงได้เลื่อนสายตาออกไปหลายครั้งที่การกระทำเล็กๆน้อยๆของเดนิมอยู่ในสายตาของเขาตลอดเขาไม่รู้ว่าการที่เดนิมเว้นระยะห่างให้เขาเพื่ออะไรกันแน่หากเพราะเรียกร้องความสนใจ…อาจจะสำเร็จเขาเองก็ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เป็นฝ่ายเฝ้ามองและค่อยๆรักษาระยะห่างนั้นไม่ให้ดูห่างเหินตั้งแต่วันที่เขาเอานิชามาที่เพนท์เฮ้าส์ปากเดนิมบอกว่าไม่โกรธแต่พิพัฒน์รับรู้ได้ความรู้สึกของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดีมันออกมาทางสีหน้าและแววตาปากบอกว่าไม่เป็นไรแต่กลับถอยห่างออกไปจนเฉยชา ในตอนแรกพิพัฒน์รู้สึกสะใจอยากทำให้เดนิมเจ็บปวดมากกว่านี้เขาอยากจะเห็นด้านร้ายๆของเดนิมอยากจะรู้ว่าอีกฝ่ายจะทำเรื่องอะไรอีกแต่พอมาอยู่ด้วยกันแล้วเขาชักไม่แน่ใจว่าคนข้างๆแล้วเนื้อแท้เป็นคนยังไงกันแน่การที่เดนิมเงียบไม่ปริปากพูดอะไรหากไม่จำเป็นทำให้เขารู้สึกอึดอัดแม้แต่เรื่องที่ทำงานถูกกลั่นแกล้งสารพัดแต่ก็ไม่เคยปริปากจะเล่าแม้เขาจะได้ชื่อว่าเป็นสามีและผู้บริหารแต่ต้องมอบความยุติธรรมให้กับฝ่ายถูกต้องอยู่แล้ว
อีกนัยหนึ่ง…เดนิมไม่เชื่อใจในความยุติธรรมของเขาจึงได้แต่เป็นฝ่ายล่าถอยออกไป
พอมาถึงสนามบินเห็นพี่แฝดโบกมือที่ทางออกให้เดนิมดีใจรีบวิ่งเข้าไปกอดพี่ชายทั้งสองคนเหมือนเด็กๆพูดเสียงออดอ้อนสารพัดแต่พอพิพัฒน์เดินมาถึงเดนิมก็ยืนตรงแน่วไม่ได้ออเซาะแฝดเหมือนก่อนหน้าอีกทั้งสี่เดินไปขึ้นรถตู้ที่รออยู่ข้างนอกสองแฝดถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของน้องชายไปตลอดทางเดนิมยิ้มและหัวเราะกับสองแฝดอย่างอารมณ์ดีพวกเขาต่างผลัดกันกอดน้องเล็กในบ้านอย่างรักใคร่
“ผอมลงไปหรือเปล่าเรา”
“ผมทานเยอะแล้วนะครับ” เดนิมยิ้มแฉ่งให้เดนีส
“มาเที่ยวครั้งนี้ก็กินให้เยอะๆนานๆจะอยู่พร้อมหน้ากันสักที”
“ไอ้พัดมาครั้งนี้อยู่นานหน่อยสิ” หนึ่งในสองแฝดเอ่ยขึ้น
“อืม” พิพัฒน์ที่นั่งเงียบมาตลอดทางขานรับแต่เดนิมกลับยิ้มเจื่อนๆก่อนจะพูดคุยเจื้อยแจ้วกับสองแฝดไปจนถึงท่าเรือก่อนจะขึ้นเรือข้ามฟากไปยังเกาะส่วนตัวของครอบครัว
โรงแรมที่สร้างบรรยากาศเหมือนเมาดีฟบังกะโลส่วนตัวขนาดใหญ่ที่รองรับครอบครัวรวมไปถึงการบริการอาหารน้ำทะเลสีใสท้องฟ้าปลอดโปร่งช่วยเยียวยาความเมื่อยล้าทางกายและจิตใจเป็นอย่างดีแม้ว่าการเดินทางจะทรหดมากไปหน่อยแต่วิวและบรรยากาศที่ได้รับมันคุ้มค่าคืนพรุ่งนี้จะมีการเปิดตัวโรงแรมห้าดาวแห่งนี้พ่อแม่เขาเองก็มาตั้งแต่เมื่อวานพนักงานเอากระเป๋าไปเก็บที่พักล่วงหน้าแล้วพวกเขาทั้งสี่เลยเข้าไปทักทายนายหญิงและประมุขของศศิภักดี
“สวัสดีครับ” พิพัฒน์ยกมือไหว้อย่างนอบน้อมก่อนจะนั่งลงที่โซฟาเขาเอาไวน์และของฝากติดไม้ติดมือมามอบให้ด้วยถึงแม้การแต่งงานจะมีระยะเวลาแต่ทว่าผู้ใหญ่ทั้งสองก็เป็นผู้มีพระคุณของพิพัฒน์เขามีวันนี้เพราะท่านทั้งสองช่วยกันประคองธุรกิจของบิดาที่จากไปอย่างกะทันหันเพราะเหตุนี้สองครอบครัวจึงไม่อาจตัดขาดสัมพันธ์กันได้ลงแม้ว่าปลายทางเขาและเดนิมจะหย่าร้างกันไปก็ตามอีกทั้งยังมีหลายธุรกิจที่ทำร่วมกันมาหลายปีรวมไปถึงโรงแรมแห่งนี้ที่พิพัฒน์เองก็ถือหุ้นอยู่ส่วนหนึ่ง
“นิมทำไมผอมอย่างนี้ละลูก” ลลดาเอ่ยถามพลางโอบกอดลูกชายที่ออดอ้อนทำตัวเหมือนเด็กแม้ปากอยากจะเอ่ยถามว่าพิพัฒน์ดูแลดีไหมแต่ก็เก็บคำถามนั้นไว้ในใจลลดาเลี้ยงดูเดนิมมาอย่างทะนุถนอมแค่มองตาก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีความสุขแต่กลับไม่เคยเอ่ยปากถึงความลำบากใจนั้น…แม้เพียงครึ่งคำก็ไม่เคย
“นิมทานเยอะกว่าเมื่อก่อนแล้วนะครับ” เดนิมตอบเสียงใส “ดูหน้าดูตาสิใต้ตานี่คล้ำเชียวเดนิม…แม่รักลูกนะถ้ามีปัญหาอะไรพ่อกับแม่ยินดีช่วยเหลือลูกเสมอรวมไปถึงพี่แฝดด้วย” ลลดาอดที่จะเหลือบมองไปยังพิพัฒน์ไม่ได้แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เดนิมน้ำตาคลอแต่ก็ฉีกยิ้มกลับก่อนจะช่วยคลี่คลายสถานการณ์เพราะทางศศิภักดีบังคับอีกฝ่ายแต่งงานไม่ใช่หรือไง…แม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเดนิมได้เพียงแต่น้อมรับ
“ช่วงนี้นิมทำงานหนักไปหน่อยน่ะครับไม่มีอะไรอย่างที่คุณแม่เป็นห่วงเลยสักนิด” เดนิมพูด “พี่พัดดูแลนิมเป็นอย่างดีคุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วง” ลลดาที่กำลังจะอ้าปากพูดอะไรออกมาเดนิมก็รีบเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากให้พิพัฒน์รู้สึกแย่กับครอบครัวของเขาไปมากกว่านี้
“ผมหิวแล้วครับเดินทางมาเหนื่อยๆนานแล้วที่ไม่ได้ทานข้าวพร้อมหน้า” ลลดาถอนหายใจสบตากับสามีก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ “งั้นพัดกับแฝดไปก่อนเลยแม่ขอคุยอะไรกับเดนิมสักหน่อย” ทั้งสามลุกออกไปเดนิมเองที่โอบกอดเอวของลลดาอยู่อย่างนั้นก็ถอนหายใจออกมา
“แม่ครับเรื่องนี้ให้นิมตัดสินใจเองได้ไหมครับ”
“อีกตั้งครึ่งปีไหวไหมลูก” เดนิมพยักหน้าน้อยๆในอ้อมอกเดรโกที่นิ่งเงียบมานานเอ่ยขึ้น
“บางทีการแต่งงานก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด”
“แต่ยังไงก็ขอบคุณพ่อนะครับอย่างน้อยนิมก็มีความสุขดีที่ได้อยู่กับพี่พัด”
“แล้วพัดคิดแบบนี้เหมือนลูกไหม”
“แค่ไม่เกลียดกันจนไม่อยากมองหน้านิมก็ดีใจมากแล้วครับ”
สามคนมานั่งรอที่ห้องอาหารของทางโรงแรมมีห้องอาหารสามแบบให้ลูกค้าได้เลือกสรรแต่พวกเขาเลือกโซนห้องที่ยื่นออกไปในทะเลลมเอื่อยๆพัดพากลิ่นอายของทะเลให้ความรู้สึกสดชื่นอีกทั้งยังไม่ร้อนเกินไปตอนนี้ก็เป็นเวลาบ่ายสองแล้ว
“เป็นไงมั่งไอ้พัดช่วงนี้” เดนีนเอ่ยถาม
“ก็ดี”
“อะไรที่ว่าดี” เดนีสเสริมขึ้นมาพิพัฒน์เลิกคิ้วจ้องมองเพื่อนรักทั้งสองก่อนจะตอบ
“ทุกอย่าง”
“แต่หน้ามึงหมาไม่แดกมาก”
“ลองมึงได้แต่งงาน—” พิพัฒน์หยุดคำพูดไว้เพียงแค่นั้นสองแฝดรับส่งกันอย่างเข้าขาแม้ว่าบุคคลที่เอ่ยถึงจะเป็นน้องชายของตัวเองก็ตาม
“พ่อกูไม่ว่าอะไรหรอกอย่าฝืนเลยไอ้พัดมึงเองก็ไม่ได้คิดอะไรกับเดนิมต่างคนต่างเลิกแล้วต่อกันไปไม่ดีกว่าเหรอ”
“ทำยังกะว่าง่ายนัก”
“แล้วมีอะไรยาก”
“หรือว่าเดนิมพูดอะไร” พิพัฒน์หยั่งเชิงถาม
“ถ้าบอกก็ดีนะสิ” เดนีสถอนหายใจอย่างแรงอีกฝ่ายก็เพื่อนรักอีกฝ่ายก็น้องในไส้เรื่องมันก็ผ่านมาแล้วอยู่กันไปต่อนอกจากจะไม่ดีขึ้นมีแต่แย่ลงไม่มีใครได้อะไรมีแต่ทรมานกันไปเปล่าๆ
“ในฐานะพี่ชายก็แค่อยากให้น้องชายสมหวังแต่ว่าเรื่องของความรักมันบังคับกันไม่ได้กูอยากให้เดนิมตาสว่างสักที”
“ในสายตาพวกมึงกู เลวร้ายขนาดนั้นเลย?” สองแฝดมองหน้ากันตาโต
“ทำยังกะว่ามึงชอบเดนิม”
“…” พิพัฒน์ไม่ตอบ
“ไม่ต้องรักษาน้ำใจกันหรอกของแบบนี้มันบังคับกันไม่ได้แล้วไลฟ์สไตล์มึงกับเดนิมต่างกันขนาดนี้” พิพัฒน์เลิกคิ้วก่อนจะถาม
“ยังไง” สองแฝดได้ทีก่อนจะกอดอกซักไซ้ไล่เลียง
“กูว่ายังไงมึงก็ไม่เหมาะกับเดนิม”
“แล้วใครเหมาะ”
“สิบทิวา” สองแฝดตอบพร้อมกันอย่างพร้อมเพรียง
“พวกมึงอย่าลืมว่าตอนนี้กูกับเดนิมจดทะเบียนสมรสกันอยู่” พิพัฒน์จู่ๆก็หัวเสียตอบเสียงห้วนขึ้นไปทุกที
“อ้อ! อีกไม่กี่เดือนจะหย่าแล้วไม่ใช่เหรอ”
“พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง” พิพัฒน์ก็ต้อนคำตอบจากปากแฝดบ้าง
“ก็ไม่ยังไงเดนิมควรจะได้เจอคนที่รักจริงสักทีอีกอย่างจะได้รู้สักทีว่าที่ทำอยู่มันสูญเปล่า”
“นี่กูเพื่อนพวกมึงหรือเปล่า”
“ก็มึงไม่ได้รักเดนิม…จะทนให้ครบสัญญาทำไมวะ”
“กูลูกผู้ชายพอคำไหนคำนั้น”
“อ้อเหรอ!” เดนีสตอบเสียงสูงน้ำเปล่าในแก้วพร่องจนเกือบหมดพิพัฒน์รู้สึกคอแห้งอย่างไม่มีสาเหตุและเขาก็ไม่อยากจะตอบคำถามอะไรพวกนี้อีกจู่ๆเดนีนก็เปลี่ยนเป็นโหมดจริงจัง
“หมอเคยบอกกูว่าพวกผู้ชายที่สามารถตั้งครรภ์ได้ไข่จะไม่สมบูรณ์เท่าผู้หญิงผู้หญิงบางคนอาจตั้งท้องได้ในอายุ 4-50 ปีถ้าไข่ยังสมบูรณ์แต่กลับกันอย่างเดนิมหากอายุเกิน 30 ปีขึ้นไปแล้วโอกาสที่จะมีลูกก็จะค่อยๆลดต่ำลงเพราะไข่ที่เริ่มฝ่อ
“แล้วมึงรู้ได้ยังไงว่าเดนิมอยากมีลูก” พิพัฒน์ถือโอกาสเก็บข้อมูล
“โน่น” สายตาสามคู่จดจ้องไปยังชายหาดเดนิมกำลังจูงมือลูกชายคุณวานิชซึ่งพ่อของเด็กน้อยเป็นลูกชายของคุณโสภณเป็นเพื่อนสนิทของท่านเจ้าสัวเดรโกรอีกคนแต่พวกเขาสองคนรุ่นลูกไม่ค่อยไปมาหาสู่กันมากเท่ารุ่นพ่อส่วนใหญ่จะสนิทกับทางพี่แฝดมากกว่าเดนิมไม่ค่อยตามติดครอบครัวไปออกงานมากเท่าไหร่อีกทั้งเขามักจะคลุกตัวทำงานอดิเรกอยู่บ้านเดนิมเริ่มเขียนนิยายตั้งแต่ม.ต้นเขาจึงมักไม่ค่อยเข้าสังคมและชอบเก็บตัว
ผู้ใหญ่ก็เดินตามกันมาส่วนเดนิมจูงมือเด็กน้อยวัยสามขวบที่กำลังพูดคุยเจื้อยแจ้วช่างถามไถ่แถมยังปากหวานเรียกว่าคุณน้าคนสวยอีก
เดนิมไม่รู้ตัวเลยว่าสายตาที่มองเด็กน้อยตรงหน้าเป็นแบบไหนเขาเพียงแต่ชอบเด็กเด็กน้อยร้องให้อุ้มเดนิมก็รีบอุ้มขึ้นมาพร้อมกับหมุนตัวหยอกล้อไปด้วยทั้งสองคนหัวเราะเอิ้กอ้ากไม่สนใจสิ่งรอบข้างก่อนจะเดินเข้ามาในห้องอาหาร
“นั่นคือความปรารถนาไม่กี่อย่างของเดนิมถ้ามึงไม่คิดอะไรก็ปล่อยให้เดนิมได้เจอคนที่ดีคนที่พร้อมจะสร้างครอบครัวไปด้วยกัน”
ก่อนอาหารจะมาเสิร์ฟลลดาเองได้บอกกล่าวทางห้องครัวไปแล้วว่าลูกค้าแพ้อาหารอะไรบ้างอีกทั้งเป็นโรงแรมห้าดาวจะเคร่งเรื่องการแพ้อาหารมากที่สุดอาหารทุกอย่างถูกจัดเรียงขึ้นบนโต๊ะแต่ว่าเดนิมกับนั่งตรงปลายโต๊ะอาหารตรงหน้าเขาแม้แต่ภาชนะจะไม่ปะปนกับภาชนะอื่นๆเป็นอันขาดป้องกันเรื่องการตกค้างและเศษอาหารที่ปนเปื้อนมากับภาชนะที่ใช้
พิพัฒน์ที่นั่งข้างเดนิมเห็นว่าอีกฝ่ายทานแต่ปลาและแกงจืดมาทะเลทั้งทีก็ควรจะได้กินของทะเลบ้างจู่ๆกุ้งแม่น้ำตัวใหญ่ขนาดหนึ่งฝ่ามือก็ถูกวางลงบนจานอาหารตรงหน้าเดนิมสมาชิกทุกคนของศศิภักดีตกใจทุกคนเงียบกันหมดรวมไปถึงเดนิมที่จดจ้องกุ้งในจานจนหน้าขาวซีด
“นิมอิ่มแล้วครับขอบคุณมากครับ” ก่อนจะขอตัวลุกออกไปก่อนโดยที่ไม่ปริปากพูดอะไรอีกบรรยากาศอาหารมื้อค่ำเป็นโต๊ะใหญ่ที่ไม่ใช่เพียงสองครอบครัวมีครอบครัวของคุณโสภณรวมอยู่ได้ต่างก็พูดคุยกันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่ทว่าภายในใจของทุกคนบ้านศศิภักดีต่างรู้สึกแย่ไปตามๆกันและต่างก็เสียใจในการตัดสินใจของตัวเอง
เดนิมเดินทอดน่องไปตามชายหาด ท้องเริ่มปวดบิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงนั่งตรงเปลที่ชายหาดผูกไว้ นั่งสักพักเลยล้มตัวนอน มือก็ได้แต่กดท้องตัวเองเอาไว้ เดนิมเป็นโรคกระเพาะทานอาหารไม่ตรงเวลาก็จะปวดจนทรมาน อีกอย่างยาลดกรดก็อยู่ในกระเป๋า ตอนนี้เขาเหนื่อยทั้งกายและใจเลยอยากจะนั่งพักสักครู่ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี พี่พัดตักอาหารให้เขา แต่เป็นสิ่งที่ฆ่าเขาให้ตายได้ อีกทั้งตอนสมัยที่เดนิมยังเด็ก หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เดนิมประทับใจในตัวพี่พัดของเขาก็คือพี่พัดจะเป็นฝ่ายคอยระวังเรื่องอาหารการกินของเขาทุกครั้งที่ต้องออกไปทานอาหารข้างนอกกันรวมถึงแฝด แฝดมักจะเผอเรอไม่ถามไถ่หรือมักจะสั่งกุ้งมากิน แต่เป็นพี่พัดเองที่คอยเอาใจใส่ และหาร้านที่ไม่มีส่วนผสมของกุ้งเพื่อเดนิมวันเวลาผ่านพ้นไปคนเราหากเป็นเรื่องสำคัญมักจะไม่ลืม…เดนิมยิ้มเยาะให้ตัวเองก่อนจะนอนอยู่อย่างนั้นแขนซ้ายปิดทับดวงตาปิดบังความน้อยเนื้อต่ำใจและการเดินหนีหรือหลีกเลี่ยงเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นเดนิมจึงนิยามความรักของตัวเองว่าเป็นรักที่ไม่ประกอบวิ่งมายาวนานเพื่อคนคนเดียวมานับสิบปีเขาแพ้กุ้งแต่พี่พ
เดนิมแตะบัตรค่อยๆเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายทำอะไรอยู่เดนิมเปลี่ยนเป็นรองเท้าสลิปเปอร์ก่อนจะเห็นว่ากระเป๋าของตัวเองยังวางอยู่ที่หน้าประตูเหลือเพียงกระเป๋าใบเดียวพี่พัดคงกลับเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วเดนิมกำที่จับกระเป๋าล้อเลื่อนของตัวเองแน่นก่อนจะตัดสินใจที่จะไปนอนกับพี่แฝดเขาไม่อยากให้การมาทำงานครั้งนี้ของพี่พัดมีปัญหาหรือรู้สึกอึดอัดเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินออกมาจากประตูเสียงเอ่ยราบเรียบก็ทักขึ้นมา“เข้ามาแล้วจะออกไปไหนอีก” น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์แต่เดนิมรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจอยู่เนืองๆเขาไม่ได้ตอบแต่ค่อยๆเดินผ่านโถงทางเดินเข้าไปก่อนจะเจอกับโซนห้องนั่งเล่นตรงกลางโซฟาหันหน้าเข้าหาทะเลภาพวิวเบื้องหน้ามีสระน้ำขนาดกลางส่วนตัวให้แขกได้พักผ่อนมีตาข่ายให้ได้นอนอาบแดดนับได้ว่าเป็นห้องพักที่เยี่ยมยอดที่สุดของ The Grand DAE เลยก็ว่าได้พิพัฒน์นั่งจิบบรั่นดีสีอำพันในมือสายตาทอดมองไปยังวิวตรงหน้าน้อยครั้งนักที่เดนิมจะเห็นว่าอีกฝ่ายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่จะเป็นชาร้อนหากต้องอ่านรายงานค่อนคืน“คือ…นิมจะไปนอนกับพี่แฝด”“ใช่แ
ช่วงเช้าพายุฝนสงบท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนว่าไม่เคยเกิดพายุฝนคะนองมาก่อนเดนิมตื่นเช้าเหมือนเช่นเคยอาหารเช้ามาส่งแล้วอีกอย่างเขาเองก็ไม่ชอบแบบที่ลอยอยู่กลางน้ำเพราะนึกถึงเวลาเศษอาหารตกลงในสระมันทำความสะอาดค่อนข้างยากเขาจึงบอกให้บริกรวางไว้ที่ขอบสระเดนิมรออาหารย่อยสักพักก็ลงไปว่ายน้ำเขาสวมกางเกงว่ายน้ำเพียงตัวเดียวอีกอย่างก็เป็นสระส่วนตัวน้ำเย็นๆบรรยากาศยามเช้าที่แจ่มใสรวมไปถึงทัศนียภาพของทิวทัศน์ตรงหน้าทำให้เขาไม่อยากกลับเลยจริงๆที่ว่ากันว่านั่งโง่ๆอยู่ริมทะเลนั้นไม่เกินจริงเดนิมหันหลังเท้าคางมองทิวทัศน์ข้างหน้าน้ำทะเลสีฟ้าครามตัดกับเส้นขอบกับพระอาทิตย์อย่างลงตัวเห็นพี่แฝดบอกว่าในทะเลมีพวกปลากระเบนว่ายมาทักทายบริเวณบังกะโลกลางน้ำแห่งนี้ด้วย เดนิมจ้องมองผืนน้ำทะเลอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาอยู่คู่หนึ่งจดจ้องการกระทำของเขาตลอดตั้งแต่แหวกว่ายอยู่ในสระเดนิมหันหลังให้ทิวทัศน์ก่อนจะคว้าเอาห่วงยางที่นอนลอยน้ำเขาขึ้นไปนอนบนนั้นแล้วยิ้มแฉ่งให้กับพระอาทิตย์สองมือวักน้ำจนทำให้ห่วงยางนั้นลอยไปลอยมา“เล่นเหมือนเด็กๆไปได้” ไม่รู้เมื่อไหร่ที่พิพัฒน์เอาแต่จดจ้องร่างบางที่สวมเพียงแค่กางเกงว่ายน้ำตัว
ทางด้านพิพัฒน์เองเขาจดจ้องใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มมีชีวิตชีวาของเดนิมโดยไม่ละสายตาไปสักเสี้ยววินาที มันไม่ใช่รอยยิ้มแกน ๆ ที่คอยส่งมาให้เขา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มไปถึงดวงตา เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ พิพัฒน์สังเกตเห็นว่าเดนิมทำเหมือนว่าเขาเป็นยักษ์เป็นมารเวลาที่เข้าใกล้ และมักจะก้าวเท้าถอยหลังเสมอ คล้ายว่าเป็นการขีดเส้นระหว่างกัน ไม่มีใครควรล้ำเส้นกันไปมากกว่านี้ แถมยังเป็นฝ่ายหลบสายตา เหมือนว่าการมีอยู่ของตัวเองทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกแย่เดนิมในอุดมคติของเขากับเดนิมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนเป็นคนละคนตอนแรกที่เกิดเรื่องเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยากจะเข้าไปซัดหน้าหวานๆที่เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักเปรี้ยงพิพัฒน์คิดว่าเดนิมร้ายกาจไม่งั้นเขาไม่ต้องมาตกกระไดพลอยโจนอยู่อย่างนี้และการแต่งงานครั้งนี้จะทำให้เจ้าตัวสมหวังอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้แต่พอมาได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันยิ่งได้ใกล้ชิดยิ่งได้รู้จักเหมือนว่าช่วงที่ห่างหายขาดการติดต่อกันไปเดนิมในวันวานยังคงเหมือนเดิมไม่ได้ร้ายกาจหรือมีเล่ห์เหลี่ยมแต่อย่างใดกลับเงียบขรึมเก็บงำความรู้สึกได้เก่งขึ้นและมักจะหลบเลี่ยงปัญหามากกว่าเผชิญหน้าอีกทั้งรอยยิ้มที่ประดับ
เดนิมตื่นมาก็บ่ายสามกว่า ๆ แล้ว เขาคิดว่าตอนนี้พี่พัดคงเก็บของกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว จึงกินนอนเล่นกับพวกแฝด เป็นการรวมตัวกันของครอบครัวที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เล่นน้ำด้วยกันเหมือนเด็กอีกครั้ง พอได้วางความรู้สึกเหล่านั้นลง เดนิมค้นพบว่าความสุขของเขาได้เพิ่มขึ้นทีละนิด แม้จะมีความรู้สึกผิดอยู่เต็มอก แต่ได้แพลนตอนจบเอาไว้แล้วเหมือนกับนิยายที่มีตอนจบไม่ว่าจะสมหวังผิดหวังท้ายสุดก็ต้องเดินทางมาถึงจุดจบไม่ว่าบทสุดท้ายจุดจบจะเป็นเช่นไรเขาเพียงต้องยอมรับมันให้ได้‘ไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง’กว่าจะรู้ว่าความรักในรูปแบบของตัวเองเป็นความรักที่ไม่สมประกอบก็ทำเอาคนอื่นวุ่นวายกันไปทั่วรักที่ดีไม่จำเป็นต้องครอบครองเป็นเจ้าของเดนิมจึงรู้จักที่จะปล่อยวางมันลงคล้ายกับหัวใจได้คลายหนามแหลมที่เกี่ยวพันรัดอยู่บาดแผลและเลือดที่ไหลรินก่อนหน้าค่อยๆสมานเข้าด้วยกันอย่างช้าๆแม้จะทิ้งร่องรอยแผลเป็นเอาไว้แต่ก็เป็นเครื่องเตือนความจำว่าเขาไม่ควรจะรักใครจนทำร้ายตัวเองแบบนั้นอีกและเขาจะต้องเป็นคนที่จัดการความรู้สึกของตนเองไม่ทำให้คนที่รักต้องรู้สึกอึดอัดกับความรู้สึกที่เขามีเดนิมเล่นน้ำจนเหนื่อยหอบอยู่กินดื่มกับแฝดจน
ทะเบียนสมรสจอมปลอมที่ปราศจากความรัก เดนิมทำได้เพียงกกกอดมันเอาไว้อย่างหวงแหน เพราะอย่างน้อยมันก็คือเชือกสุดท้ายที่จะเหนี่ยวรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ข้างกาย แม้จะถูกตราหน้าว่าเห็นแก่ตัวก็ตามในตอนจบของนิยายการที่คนสองคนตกลงปลงใจแต่งงานเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยกันนั่นคือตอนจบที่สมบูรณ์พูนสุขแต่สำหรับชีวิตการแต่งงานของเดนิมไม่ได้สวยงามเหมือนดั่งในตอนจบของนิยายการแต่งงานระหว่างพวกเขาทั้งสองคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดหากย้อนเวลากลับไปได้เดนิมจะไม่ตัดสินใจแต่งงานกับอีกฝ่ายอย่างเด็ดขาดอย่างน้อยระหว่างเราอาจจะยังคงรักษาความรู้สึกดีๆในฐานะน้องนุ่งดีกว่าเป็นอดีตคู่สมรสที่ไม่ได้มีความรักให้แก่กันและไม่มีวันจะสานสัมพันธ์ไปเป็นคนรักของกันและกันได้พี่พัดเกลียดเขายังกะอะไรดีการหย่าขาดถือเป็นการจบเรื่องราวทั้งหมดทนายที่เดนิมจ้างมาขยับแว่นตาก่อนจะกวาดสายตาอ่านเอกสารในมืออีกครั้งคิ้วนิ่วขมวดก่อนจะอ่านเอกสารอื่นๆอีกสองสามรอบอ่านเพื่อทำความเข้าใจถึงจุดประสงค์ของผู้ร่างเอกสารฉบับนี้ขึ้นมาก่อนจะเอ่ยถามผู้ว่าจ้างเพื่อความแน่ใจและไม่ได้ร่างเอกสารเหล่านี้ขึ้นมาด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบ“คุณเดนิมแน่ใจนะครับว่าไ
ย้อนไปเมื่อหลายสิบปีที่แล้วครอบครัวของเดนิมและพิพัฒน์รู้จักกันและสนิทกันในแวดวงธุรกิจตามประสาสังคมนักธุรกิจด้วยกัน พิพัฒน์อายุมากกว่าเดนิมเจ็ดปี สองครอบครัวจึงไปมาหาสู่กันอยู่บ่อย ๆ ชีวิตวัยเด็กของเดนิมเติบโตมาพร้อมกับพิพัฒน์เลยก็ว่าได้ พิพัฒน์มองเดนิมเป็นน้อง แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพศชายท้องได้ (New male) พี่ชายทั้งสองของเดนิม เดนีสและเดนีนต่างก็เอาอกเอาใจ ดูแลประคบประหงมประหนึ่งไข่ในหิน ด้วยความที่อายุห่างกันมาก เดนิมเกิดมาพร้อมกับความพิเศษของร่างกาย ด้วยความเป็นน้องเล็กของบ้าน พี่ชาย พ่อแม่ต่างก็ห้อมล้อมเอาใจ เลยติดนิสัยเอาแต่ใจมาแต่ไหนแต่ไร อยากได้อะไรก็ต้องได้“อยากให้พี่พัดป้อน” เดนิมพูดพลางออดอ้อนคนข้างๆเหมือนที่เคยทำตั้งแต่ยังเด็ก“กินเองดีกว่าโตเป็นหนุ่มแล้วนะเรา” พิพัฒน์เริ่มอธิบายให้เด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างใจเย็นเพราะเดนิมมักจะเป็นแบบนี้เสมอตั้งแต่เด็กจนโตก็มักจะอ้อนให้เขาป้อนข้าวให้บ้างผลไม้ให้บ้างเวลาเจ้าตัวติดตามพี่ๆฝาแฝดทั้งสองมาเล่นเกมที่บ้านเขาพิพัฒน์มักจะอึดอัดเสมอเพียงแต่เขาไม่เคยพูดออกไปได้แต่เว้นระยะห่างอยู่ฝ่ายเดียว“ก็นิมอยากให้พี่พัดป้อนนี่ครับ” พิพัฒน์ถอนหายใจก่อ
ตอนแรกเดนิมคิดว่าเขากับพี่พัดไม่มีวันจะลงเอยกันได้อีก แต่เหตุการณ์กลับพลิกผันเมื่อเย็นวันหนึ่งเขาและชองส์ออกไปเที่ยวคลับแห่งหนึ่งกลางใจเมืองเดนิมไม่ได้กลับบ้านเกิดเมืองนอนมาเสียนานเลยถือโอกาสเปิดหูเปิดตาอีกทั้งยังมีชองส์ที่เขาพอจะไว้ใจไปเที่ยวไหนมาไหนด้วยกันได้ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงนัดกันไปที่คลับแห่งหนึ่งว่ากันว่าบรรยากาศดีและติดหนึ่งในสามของสถานบันเทิงที่ครบครันมากที่สุดในย่านนั้นเดนิมจองโต๊ะไว้บนชั้นสองซึ่งเป็นชั้นวีไอพีชั้นลอยที่สามารถมองเห็นเวทีข้างล่างได้อย่างชัดเจนบรรยากาศดีกับแกล้มอร่อยสมกับรีวิวจริงๆอีกทั้งบริกรก็ได้รับการเทรนมาอย่างดียิ่งพวกเขาเป็นแขกวีไอพียิ่งนอบน้อมเดนิมจิบไวน์ในมืออย่างสบายอารมณ์เขาคุ้นเคยกับไวน์มากกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆเพราะเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจที่บ้านส่วนชองส์กำลังดื่มด่ำกับคอนยัคสีอำพันในมือหากเขาไม่ได้มากับเดนิมรับรองว่าไม่ขาดคนข้างกายติดไม้ติดมือกับห้องไปด้วยแน่ๆสถานที่อโคจรแบบนี้ดูไม่ค่อยเหมาะกับเดนิมสักเท่าไหร่“อย่าดื่มเยอะเบบี๋เดี๋ยวเมา”“รู้แล้วแหละน่า” เดนิมบ่นอุบอิบแม้จะเลิกรากันไปกลายมาเป็นเพื่อนคนสนิทแต่ชองส์ก็ยังคอยบ่นจู้จี้จุกจิกเ
เดนิมตื่นมาก็บ่ายสามกว่า ๆ แล้ว เขาคิดว่าตอนนี้พี่พัดคงเก็บของกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว จึงกินนอนเล่นกับพวกแฝด เป็นการรวมตัวกันของครอบครัวที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เล่นน้ำด้วยกันเหมือนเด็กอีกครั้ง พอได้วางความรู้สึกเหล่านั้นลง เดนิมค้นพบว่าความสุขของเขาได้เพิ่มขึ้นทีละนิด แม้จะมีความรู้สึกผิดอยู่เต็มอก แต่ได้แพลนตอนจบเอาไว้แล้วเหมือนกับนิยายที่มีตอนจบไม่ว่าจะสมหวังผิดหวังท้ายสุดก็ต้องเดินทางมาถึงจุดจบไม่ว่าบทสุดท้ายจุดจบจะเป็นเช่นไรเขาเพียงต้องยอมรับมันให้ได้‘ไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง’กว่าจะรู้ว่าความรักในรูปแบบของตัวเองเป็นความรักที่ไม่สมประกอบก็ทำเอาคนอื่นวุ่นวายกันไปทั่วรักที่ดีไม่จำเป็นต้องครอบครองเป็นเจ้าของเดนิมจึงรู้จักที่จะปล่อยวางมันลงคล้ายกับหัวใจได้คลายหนามแหลมที่เกี่ยวพันรัดอยู่บาดแผลและเลือดที่ไหลรินก่อนหน้าค่อยๆสมานเข้าด้วยกันอย่างช้าๆแม้จะทิ้งร่องรอยแผลเป็นเอาไว้แต่ก็เป็นเครื่องเตือนความจำว่าเขาไม่ควรจะรักใครจนทำร้ายตัวเองแบบนั้นอีกและเขาจะต้องเป็นคนที่จัดการความรู้สึกของตนเองไม่ทำให้คนที่รักต้องรู้สึกอึดอัดกับความรู้สึกที่เขามีเดนิมเล่นน้ำจนเหนื่อยหอบอยู่กินดื่มกับแฝดจน
ทางด้านพิพัฒน์เองเขาจดจ้องใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มมีชีวิตชีวาของเดนิมโดยไม่ละสายตาไปสักเสี้ยววินาที มันไม่ใช่รอยยิ้มแกน ๆ ที่คอยส่งมาให้เขา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มไปถึงดวงตา เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ พิพัฒน์สังเกตเห็นว่าเดนิมทำเหมือนว่าเขาเป็นยักษ์เป็นมารเวลาที่เข้าใกล้ และมักจะก้าวเท้าถอยหลังเสมอ คล้ายว่าเป็นการขีดเส้นระหว่างกัน ไม่มีใครควรล้ำเส้นกันไปมากกว่านี้ แถมยังเป็นฝ่ายหลบสายตา เหมือนว่าการมีอยู่ของตัวเองทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกแย่เดนิมในอุดมคติของเขากับเดนิมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนเป็นคนละคนตอนแรกที่เกิดเรื่องเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยากจะเข้าไปซัดหน้าหวานๆที่เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักเปรี้ยงพิพัฒน์คิดว่าเดนิมร้ายกาจไม่งั้นเขาไม่ต้องมาตกกระไดพลอยโจนอยู่อย่างนี้และการแต่งงานครั้งนี้จะทำให้เจ้าตัวสมหวังอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้แต่พอมาได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันยิ่งได้ใกล้ชิดยิ่งได้รู้จักเหมือนว่าช่วงที่ห่างหายขาดการติดต่อกันไปเดนิมในวันวานยังคงเหมือนเดิมไม่ได้ร้ายกาจหรือมีเล่ห์เหลี่ยมแต่อย่างใดกลับเงียบขรึมเก็บงำความรู้สึกได้เก่งขึ้นและมักจะหลบเลี่ยงปัญหามากกว่าเผชิญหน้าอีกทั้งรอยยิ้มที่ประดับ
ช่วงเช้าพายุฝนสงบท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนว่าไม่เคยเกิดพายุฝนคะนองมาก่อนเดนิมตื่นเช้าเหมือนเช่นเคยอาหารเช้ามาส่งแล้วอีกอย่างเขาเองก็ไม่ชอบแบบที่ลอยอยู่กลางน้ำเพราะนึกถึงเวลาเศษอาหารตกลงในสระมันทำความสะอาดค่อนข้างยากเขาจึงบอกให้บริกรวางไว้ที่ขอบสระเดนิมรออาหารย่อยสักพักก็ลงไปว่ายน้ำเขาสวมกางเกงว่ายน้ำเพียงตัวเดียวอีกอย่างก็เป็นสระส่วนตัวน้ำเย็นๆบรรยากาศยามเช้าที่แจ่มใสรวมไปถึงทัศนียภาพของทิวทัศน์ตรงหน้าทำให้เขาไม่อยากกลับเลยจริงๆที่ว่ากันว่านั่งโง่ๆอยู่ริมทะเลนั้นไม่เกินจริงเดนิมหันหลังเท้าคางมองทิวทัศน์ข้างหน้าน้ำทะเลสีฟ้าครามตัดกับเส้นขอบกับพระอาทิตย์อย่างลงตัวเห็นพี่แฝดบอกว่าในทะเลมีพวกปลากระเบนว่ายมาทักทายบริเวณบังกะโลกลางน้ำแห่งนี้ด้วย เดนิมจ้องมองผืนน้ำทะเลอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาอยู่คู่หนึ่งจดจ้องการกระทำของเขาตลอดตั้งแต่แหวกว่ายอยู่ในสระเดนิมหันหลังให้ทิวทัศน์ก่อนจะคว้าเอาห่วงยางที่นอนลอยน้ำเขาขึ้นไปนอนบนนั้นแล้วยิ้มแฉ่งให้กับพระอาทิตย์สองมือวักน้ำจนทำให้ห่วงยางนั้นลอยไปลอยมา“เล่นเหมือนเด็กๆไปได้” ไม่รู้เมื่อไหร่ที่พิพัฒน์เอาแต่จดจ้องร่างบางที่สวมเพียงแค่กางเกงว่ายน้ำตัว
เดนิมแตะบัตรค่อยๆเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายทำอะไรอยู่เดนิมเปลี่ยนเป็นรองเท้าสลิปเปอร์ก่อนจะเห็นว่ากระเป๋าของตัวเองยังวางอยู่ที่หน้าประตูเหลือเพียงกระเป๋าใบเดียวพี่พัดคงกลับเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วเดนิมกำที่จับกระเป๋าล้อเลื่อนของตัวเองแน่นก่อนจะตัดสินใจที่จะไปนอนกับพี่แฝดเขาไม่อยากให้การมาทำงานครั้งนี้ของพี่พัดมีปัญหาหรือรู้สึกอึดอัดเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินออกมาจากประตูเสียงเอ่ยราบเรียบก็ทักขึ้นมา“เข้ามาแล้วจะออกไปไหนอีก” น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์แต่เดนิมรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจอยู่เนืองๆเขาไม่ได้ตอบแต่ค่อยๆเดินผ่านโถงทางเดินเข้าไปก่อนจะเจอกับโซนห้องนั่งเล่นตรงกลางโซฟาหันหน้าเข้าหาทะเลภาพวิวเบื้องหน้ามีสระน้ำขนาดกลางส่วนตัวให้แขกได้พักผ่อนมีตาข่ายให้ได้นอนอาบแดดนับได้ว่าเป็นห้องพักที่เยี่ยมยอดที่สุดของ The Grand DAE เลยก็ว่าได้พิพัฒน์นั่งจิบบรั่นดีสีอำพันในมือสายตาทอดมองไปยังวิวตรงหน้าน้อยครั้งนักที่เดนิมจะเห็นว่าอีกฝ่ายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่จะเป็นชาร้อนหากต้องอ่านรายงานค่อนคืน“คือ…นิมจะไปนอนกับพี่แฝด”“ใช่แ
เดนิมเดินทอดน่องไปตามชายหาด ท้องเริ่มปวดบิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงนั่งตรงเปลที่ชายหาดผูกไว้ นั่งสักพักเลยล้มตัวนอน มือก็ได้แต่กดท้องตัวเองเอาไว้ เดนิมเป็นโรคกระเพาะทานอาหารไม่ตรงเวลาก็จะปวดจนทรมาน อีกอย่างยาลดกรดก็อยู่ในกระเป๋า ตอนนี้เขาเหนื่อยทั้งกายและใจเลยอยากจะนั่งพักสักครู่ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี พี่พัดตักอาหารให้เขา แต่เป็นสิ่งที่ฆ่าเขาให้ตายได้ อีกทั้งตอนสมัยที่เดนิมยังเด็ก หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เดนิมประทับใจในตัวพี่พัดของเขาก็คือพี่พัดจะเป็นฝ่ายคอยระวังเรื่องอาหารการกินของเขาทุกครั้งที่ต้องออกไปทานอาหารข้างนอกกันรวมถึงแฝด แฝดมักจะเผอเรอไม่ถามไถ่หรือมักจะสั่งกุ้งมากิน แต่เป็นพี่พัดเองที่คอยเอาใจใส่ และหาร้านที่ไม่มีส่วนผสมของกุ้งเพื่อเดนิมวันเวลาผ่านพ้นไปคนเราหากเป็นเรื่องสำคัญมักจะไม่ลืม…เดนิมยิ้มเยาะให้ตัวเองก่อนจะนอนอยู่อย่างนั้นแขนซ้ายปิดทับดวงตาปิดบังความน้อยเนื้อต่ำใจและการเดินหนีหรือหลีกเลี่ยงเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นเดนิมจึงนิยามความรักของตัวเองว่าเป็นรักที่ไม่ประกอบวิ่งมายาวนานเพื่อคนคนเดียวมานับสิบปีเขาแพ้กุ้งแต่พี่พ
เดนิมไม่ออกจากห้องของตัวเองแม้ว่าป้าแม่บ้านที่แม่ของเขาส่งมาทำความสะอาดให้ทุกวันอาทิตย์ก็ตามภายในห้องมีตู้เย็นขนาดเล็กขนมขบเคี้ยวรวมไปถึงกาน้ำร้อนขนาดพกพาอีกทั้งเพราะการเขียนนิยายออกมาสักเรื่องหนึ่งมันใช้เวลาและในตอนที่อารมณ์พาไปหรือจินตนาการพรั่งพรูเดนิมไม่อยากจะลุกออกไปทำอะไรนิ้วเรียวยาวเคาะแป้นพิมพ์อยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียงของแป้นพิมพ์ทำให้เขาลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าสมาธิจดจ่ออยู่กับหน้าจอและตัวหนังสือตรงหน้าและเขาใช้มันเพื่อระบายของเสียภายในจิตใจเขาระบายมันออกมาเป็นตัวหนังสือตัวละครบางตัวก็คือตัวเองที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาขัดเกลาตัวละครผ่านเหตุการณ์สมมุติต่างๆมากมายมานับไม่ถ้วนหาทางออกให้ตัวละครเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายแต่น่าเสียดายตัวเองกลับหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอเขาติดอยู่ในวังวนความเจ็บปวดของความรักมายาวนานนับสิบปีรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีใจแต่ก็ยังจะเฝ้ารออดทนกับสายตาที่หยามเหยียดอดทนต่อถ้อยคำที่บาดลึกถึงกระดูกคล้ายกับคนไม่รู้สึกรู้สา สุดท้ายกลับฝังตัวเองทั้งเป็นด้วยการทอดกายให้อีกฝ่ายได้เชยชม ในฐานะนักเขียนหากตัวละครตัวนี้จะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่แ
บริษัทมีการจัดเลี้ยงฝึกงานแต่เดนิมบอกปัดเขาไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยงกับปัญหาอีกปานัสเป็นญาติของนิชาอีกทั้งก็ไม่ชอบขี้หน้าเขาเป็นทุนเดิมงานเลี้ยงครั้งนี้ไม่ไปดีที่สุดพี่พัดเองก็ไม่ได้ว่าอะไรมีแต่ปานัสที่ดีอกดีใจคุณสิริเองก็เอ่ยชมเขามากขึ้นกว่าแต่ก่อนเดนิมคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วคำชมที่มาจากความจริงใจเพียงเท่านี้ก็มีกำลังใจให้เด็กฝึกงานอย่างเขากระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้นไปอีกอีกอย่างเดนิมก็ไม่ได้จบงานด้านบริหารมาเขาทำได้ดีขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้วชีวิตหลังจากนี้จะได้เป็นอิสระเสียทีเดนิมเลิกเฝ้ารอและเลิกฝันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะทำอะไรดีๆให้พี่พัดแต่ทำไปเหมือนขว้างหินลงสู่ทะเลพี่พัดเกลียดเขาจะตาย…ไม่เห็นหน้ากันจะดีที่สุดเดนิมไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะกลับมาค้างทุกวันหยุดสุดสัปดาห์หรือไม่เขาไม่คิดโทรถามไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญและลำบากใจวันนี้วันศุกร์เขาไม่มีธุระที่ไหนเลยเข้าครัวเองทำอาหารสองสามอย่างทีละน้อยสำหรับคนคนเดียวไข่เจียวตรงหน้าฟูฟ่องส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องครัวเดนิมแกะข้าวหุงสำเร็จเวฟก่อนจะแกะใส่จานแม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้วเดนิมเลือกที่จะหันหลังแล้วทำเป็นไม่เห็นก้มลงทานอาหารตรงหน้
ทางด้านปานัสเมื่อโดนดุไปซึ่งๆหน้าก็ดูจะนอบน้อมขึ้นแต่ก็ยังพยายามจะหักหน้าและปาดหน้าทำงานแทนเดนิมเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมือเจ็บ“นิมช่วยดูตรงนี้หน่อยนะ” สิริเอ่ยพร้อมยื่นแฟ้มให้เดนิมยังไม่ทันยื่นมือออกไปรับปานัสกลับยื่นมือมารับแทน“ให้นัสทำนะครับพี่สิริ” สิริเองก็มองหน้าเดนิมเมื่อเห็นเจ้าตัวพยักหน้าน้อยๆก็ยื่นแฟ้มใส่มือปานัสแทนพร้อมกำชับ“ฝากด้วยนะจ๊ะงานนี้ต้องเสร็จวันนี้ถ้าไม่เสร็จจะจ่ายค่าโอทีให้”ปานัสอ้าปากค้างกลืนน้ำลายลงคอพร้อมรีบเปิดเอกสารในแฟ้มอ่านรายละเอียดคร่าวๆพร้อมอุทานในใจ “ตายห่าไม่น่าเลยกูวันนี้จะเสร็จไหมเนี่ย” พร้อมรีบกุลีกุจอกลับไปนั่งทำที่โต๊ะตัวเองโซนหน้าห้องผู้บริหารแทบไม่มีเสียงพูดคุยตลอดช่วงบ่ายพี่สิริหันมายิ้มเป็นนัยให้เดนิมเดนิมค้อมหัวให้ก่อนจะก้มหน้าอ่านเอกสารในมือจนเลิกงานปานัสขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเมื่อเวลาเลิกงานพนักงานทุกคนทยอยกลับรวมไปถึงเดนิมที่เดินมาอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงานของตัวเองเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ขอบคุณปานัสมากนะที่ช่วยทำงานนี้แทนเราเราขอตัวก่อนนะ” ปานัสแสร้งยิ้มก่อนจะกัดฟันตอบ “กลับก่อนได้เลยจ้ะ” แต่ในใจก่นด่าอีกฝ่ายสิบกว่ารอบเดนิมที่กำลังลงลิฟต์ไปย
ทางด้านเดนิมโชคดีที่กาแฟวางพักไว้สักครู่บนเคาน์เตอร์แผลจึงไม่ได้ร้ายแรงเป็นแผลไหม้ระดับสองมีตุ่มพองใสแต่ก็ปวดแสบมากเพราะเส้นประสาทบริเวณผิวหนังยังเหลืออยู่ไม่ได้ถูกทำลายไปมากนักการหายของแผลใช้เวลาประมาณสองถึงสามสัปดาห์คุณหมอจึงให้ครีมทายาภายนอกรวมไปถึงการปิดแผลด้วยผ้าก๊อซอีกทั้งยังกำชับไม่ให้โดนน้ำรวมไปถึงที่ต้นขาด้านขวาด้วยเดนิมทำแผลเสร็จพี่แฝดก็โทรมาตอนอยู่ในรถพอดีเขากดรับสายก่อนจะทำน้ำเสียงปกติ “ว่าไงครับ”“วันนี้ว่างหรือเปล่าเราพี่สองคนจะไปรับไปทานข้าว”“วันนี้คงไม่ได้ครับ”“เดี๋ยวพี่โทรไปหาไอ้พัดให้”“อย่าดีกว่าครับเดี๋ยวพี่พัดจะว่าเอาตอนนี้ผมเป็นแค่พนักงานฝึกงานนะครับพี่แฝดอย่าลืม” เดนิมพยายามทำน้ำเสียงให้สดใส “อีกอย่างมีนักศึกษาฝึกงานคนอื่นมาฝึกด้วย”“แล้วเราจะว่างเมื่อไหร่” เดนีนแทรกขึ้นมา“เดี๋ยวถ้าว่างจะโทรไปนัดพี่ๆอีกทีนะครับไม่ต้องกลัวว่าพวกพี่แฝดจะไม่ได้จ่ายรับรองวันนั้นต้องจ่ายให้น้องทั้งวันนะครับ” แฝดต่างหัวเราะ “หาเวลามาให้ได้เถอะน้องคนเดียวจะเท่าไหร่เชียวแพงแค่ไหนก็เลี้ยงได้” ทั้งสามคนหัวเราะก่อนจะกดวางสายเดนิมถอนหายใจก่อนจะสตาร์ทรถกลับบ้านโดยไม่ได้ดูสายที่ไม่ได้รับก