บริษัทมีการจัดเลี้ยงฝึกงานแต่เดนิมบอกปัดเขาไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยงกับปัญหาอีกปานัสเป็นญาติของนิชาอีกทั้งก็ไม่ชอบขี้หน้าเขาเป็นทุนเดิมงานเลี้ยงครั้งนี้ไม่ไปดีที่สุดพี่พัดเองก็ไม่ได้ว่าอะไรมีแต่ปานัสที่ดีอกดีใจคุณสิริเองก็เอ่ยชมเขามากขึ้นกว่าแต่ก่อนเดนิมคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วคำชมที่มาจากความจริงใจเพียงเท่านี้ก็มีกำลังใจให้เด็กฝึกงานอย่างเขากระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้นไปอีกอีกอย่างเดนิมก็ไม่ได้จบงานด้านบริหารมาเขาทำได้ดีขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้วชีวิตหลังจากนี้จะได้เป็นอิสระเสียที
เดนิมเลิกเฝ้ารอและเลิกฝันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะทำอะไรดีๆให้พี่พัดแต่ทำไปเหมือนขว้างหินลงสู่ทะเลพี่พัดเกลียดเขาจะตาย…ไม่เห็นหน้ากันจะดีที่สุดเดนิมไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะกลับมาค้างทุกวันหยุดสุดสัปดาห์หรือไม่เขาไม่คิดโทรถามไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญและลำบากใจวันนี้วันศุกร์เขาไม่มีธุระที่ไหนเลยเข้าครัวเองทำอาหารสองสามอย่างทีละน้อยสำหรับคนคนเดียวไข่เจียวตรงหน้าฟูฟ่องส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องครัวเดนิมแกะข้าวหุงสำเร็จเวฟก่อนจะแกะใส่จานแม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้วเดนิมเลือกที่จะหันหลังแล้วทำเป็นไม่เห็นก้มลงทานอาหารตรงหน้าเสียงประตูเปิดออกแต่ก็ไม่มีเสียงถามไถ่อะไรเดนิมไม่สนใจคนข้างหลังว่าจะทำอะไรรีบกินจนข้าวติดคอจนสำลัก
“แค่กๆแค่กๆ” เขาควานหาน้ำก่อนจะเห็นแก้วน้ำถูกยื่นมาให้ตรงหน้าเดนิมรับมาดื่มอึกๆพักใหญ่ถึงได้เปล่งเสียงออกมา “ขอบคุณครับ” แล้วก็ไม่พูดอะไรอีกเขากินหมดก็รีบเก็บจานไม่อยากอยู่ที่นี่นานๆ
“พี่ยังไม่ได้ทานอะไร”
“ครับ” เดนิมหันมาถามกลัวว่าจะหูแว่วได้ยินไปเองพิพัฒน์พูดซ้ำอีกครั้ง “พี่ยังไม่ทานอะไรทำไข่เจียวให้พี่สักจานสิ”
“ขอโทษด้วยครับ…นิมไม่อยากมีปัญหา”
“ปัญหาอะไร”
“พี่พัดสั่งจากข้างนอกจะดีกว่า”
“แค่ไข่เจียวทำไม่ได้?”
“ทำได้แต่นิมไม่อยากทำ”
“เดนิม!”
“หลบหน้าพี่ทำไม”
“นิมเปล่า…แค่ไม่อยากให้พี่พัดลำบากใจ…ก็เท่านั้น” เดนิมหลุบตาจ้องมองพื้นไม่พูดอะไรอีก
“โกรธพี่เรื่องคุณนิชา?”
“เปล่าครับถ้าพี่พัดไม่มีอะไรนิมขอตัว”
“เดี๋ยว! วันเสาร์หน้าคุณแม่ชวนนิมไปที่บ้าน”
“ต้องขอโทษด้วยครับนิมไปไม่ได้จริงๆมีธุระ”
“มีธุระหรือว่าไม่อยากไปกันแน่”
“ก็แล้วแต่พี่พัดจะคิด…นิมแค่ไม่อยากสร้างปัญหาให้พี่พัดอีก” สายตาที่เดนิมมองมาทำให้พิพัฒน์รู้สึกถึงความว่างเปล่ามันทั้งตัดพ้อและไร้ชีวิตชีวาทำเอาเขารู้สึกหายใจติดขัดไปชั่วขณะไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่ใบหน้าและแววตานั้นทำเอาเขานอนไม่หลับทั้งคืน
งานวันเกิดของพิพัฒน์เป็นการจัดงานเล็ก ๆ ภายในบ้าน แม้แต่แฝดอย่างเดนีสและเดนีนเขาก็ไม่ได้เอ่ยปากชวนหากพวกมันทั้งสองคนไม่โทรมาถามไถ่และส่งข้อความมาอวยพร เดนิมโทรบอกสองแฝดแล้วว่าจะไม่ไป อีกอย่างเขาฝากของขวัญที่มาลินีแล้ว เป็นของขวัญที่เขาตั้งใจทำให้ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ชุดสูทเนื้อดีที่ตัดเย็บอย่างประณีตภายใต้นามห้องเสื้อ JeansShore
“บอกไปพี่พัดคงไม่อยากรับไว้…คุณน้าครับนี่เป็นของขวัญที่ผมอยากจะมอบให้พี่พัดอยากเห็นเขาสวมชุดนี้สักครั้งขอแค่คุณน้าอย่าบอกว่ามาจากผมก็พอ”
“ได้…น้ารับปาก”
ความห่างเหินระหว่างสองแฝดเรียกกลับคืนมาไม่ได้ตั้งแต่เกิดเรื่องกับเดนิมแต่ยังไงพวกเขาก็ตัดกันไม่ขาดเพราะเป็นทั้งเพื่อนทั้งพาร์ทเนอร์ คู่ค้าเมื่อส่งมอบของขวัญให้เสร็จก็กลับนิชาก็ติดสอยห้อยท้ายมากับปานัสภายในห้องอาหารครื้นเครงขึ้นทันตาแต่ทว่ากลับไร้เงาของใครอีกคนและก็เป็นจริงอย่างที่เดนิมว่าการไม่มีอยู่ของเขาจะสร้างปัญหาให้พิพัฒน์น้อยลงเพราะมีคนสร้างปัญหาให้แทนปานัสดื่มจนเมามายนิชาจึงขอให้ชายหนุ่มอาสาไปส่ง
“เมาขนาดนี้ให้คนขับรถไปส่งเถอะพัดเองก็ดื่มไปไม่น้อยลุงสมหมายคนสวนก็ขับรถได้บุหลันตามไปเป็นเพื่อนคุณเขาจะได้วางใจ”
“ได้ค่ะคุณผู้หญิง” นิชาขบเคี้ยวเขี้ยวฟันอยู่ในใจมารผจญอีกแล้วอุตส่าห์เอาปานัสเป็นเหยื่อล่อดันเมาจริงแถมยังเป็นภาระอีกซวยจริงๆเมื่อจัดการธุระอะไรเสร็จมาลินีถึงกับกุมขมับทั้งๆที่อยากจะกินกันสังสรรค์ตามประสาครอบครัวแท้ๆ “เฮ้อ” เธอถอนหายใจอย่างแรงพลันนึกไปถึงใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นที่คอยช่วยจัดแจงอาหารการกินมีแต่ของชอบของลูกชายเธอทั้งนั้นแต่อย่างว่าเรื่องของความรักเป็นเรื่องของคนสองคนพิพัฒน์ไม่มีใจให้เดนิมก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณแม่”
“ก็แค่คิดอะไรนิดหน่อยนานๆพัดจะกลับมาบ้านทั้งที”
“ผมขอโทษเรื่องนิชากับปานัสด้วยนะครับ”
“ช่างเถอะว่าแต่อาหารถูกปากไหมลูก” มาลินีอดที่จะถามไถ่แทนใครอีกคนไม่ได้เดนิมลงแรงไปตั้งเยอะทั้งเลือกร้านวัตถุดิบอีกทั้งรู้ว่าพิพัฒน์ไม่ชอบเค้กเลยทำทาร์ตผลไม้แทนเค้กที่ทำจากครีม “ขอบคุณคุณแม่มากนะครับ”
“เรื่องเล็กถูกปากพัดแม่ก็ดีใจ”
“ว่าแต่ทาร์ตผลไม่คุณแม่สั่งที่ไหนมาเหรอครับ”
“ทำไมถูกใจเหรอ” มาลีถามเย้าแหย่
“หวานกำลังดีทานแล้วไม่เลี่ยน” มาลินียิ้มก่อนจะเอ่ย “แม่เตรียมของขวัญให้พัดด้วยอยู่ในห้องนอนน่ะไปดูสิ”
“ไม่ต้องเตรียมอะไรให้ผมก็ดีใจมากแล้วครับแค่แม่เลี้ยงดูผมมาคนเดียวขนาดนี้ก็เหนื่อยแย่แล้ว”
“แม่เต็มใจเข้าไปดูเถอะไป” มาลินีดันหลังลูกชายก่อนจะเห็นชุดสูทตัวใหม่อยู่ในถุงซิปอย่างดีพาดอยู่บนเตียง
เดนิมอยู่ในห้องคอนโดของตัวเองวันนี้เขารู้ว่าพี่พัดจะนอนค้างที่บ้านกิ่งอมรเลยมาพักใจอยู่ที่คอนโดของตัวเองสูดดมกลิ่นอายของใครอีกคนแนบหน้ากับหมอนนิ่มหมอนที่ใครบางคนเคยหนุนนอนห้องนี้ถูกเก็บกวาดไปตั้งหลายเดือนแต่ความทรงจำคืนนั้นยังชัดเจนอยู่ในหัวเสียงจูบเฉอะแฉะของน้ำลายเสียงเนื้อกระทบเนื้อภาพที่สองคนกอดรัดอยู่บนเตียงทำเอาสองตาแผ่วร้อนเพราะน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
สุขเพียงชั่วคืนแต่ทุกข์ชั่วนิรันดร์
เพราะความไม่คิดของตัวเองทั้งๆที่ชองส์สั่งห้ามแล้วแท้ๆเดนิมนอนกอดหมอน ปล่อยให้น้ำตาไหลอยู่อย่างนั้นจนหมอนใบนั้นชุ่มไปด้วยหยาดน้ำกระจายเป็นวงกว้าง ที่เขาทนอยู่ไม่รู้เพราะคาดหวังอะไรอยู่กันแน่แล้วมันคุ้มค่าแก่การคาดหวังนั้นหรือเปล่าพลันนึกไปถึงห้องตัดเย็บข้างๆที่มีหุ่นนายแบบสวมชุดแต่งงานที่เข้าคู่กันมันเป็นชุดที่เขาค่อยๆตัดค่อยๆทำขึ้นมาเพราะตอนที่เขาแต่งงานกับพี่พัดมันฉุกละหุกเกินไปแม้แต่งานแต่งยังซื้อและจัดแบบลวกๆรวมไปถึงแหวนแต่งงานอีกฝ่ายไม่คิดจะสวมมันเลยด้วยซ้ำเขาออกแบบแหวนแต่งงานไว้แล้วนานแล้วเพียงแต่รอคิวช่างทำแหวนแต่งงานชื่อดังชาวฝรั่งเศสเขาสั่งจองเอาไว้ล่วงหน้าโดยที่ไม่รู้อนาคตว่าตัวเองจะได้แต่งงานหรือไม่ด้วยซ้ำมันก็แค่เป็นความฝันของเด็กหนุ่มช่างฝันคนหนึ่งอีกทั้งไซซ์ของแหวนสามารถปรับได้ตามรอบนิ้วของผู้สวมใส่
และแล้วเรื่อง ‘รักไม่สมประกอบ’ ที่เขาได้เขียนค้างไว้ไม่สามารถหาตอนจบที่เหมาะสมได้ก็ถึงเวลาปิดต้นฉบับเสียที
เดนิมไม่ได้กลับไปที่เพนท์เฮ้าส์อีกร่วมสัปดาห์เพราะต้องการปิดต้นฉบับให้เสร็จเขาบอกแฝดแล้วและไม่ได้แตะโทรศัพท์มือถืออีกเลยชองส์ทักทายมาบ้างเป็นครั้งคราวอีกอย่างเขายังไม่ได้บอกเรื่องการแต่งงานให้ชองส์รู้คิดว่าอีกไม่ถึงหนึ่งปีก็คงจะหย่ากันกลับกลายเป็นว่าชองส์เซอร์ไพรส์เขาด้วยการเก็บกระเป๋ามาพักร้อนแถมยังรออยู่ใต้คอนโดอีกเดนิมทำตัวเหมือนเดิมแม้ว่าจะแต่งงานมีสามีแล้วแต่งานสมรสของเขามีระยะเวลาจะป่าวประกาศไปก็คงจะไม่เหมาะพี่พัดเองก็คงไม่อยากให้ใครรู้เรื่องอัปยศที่เขาก่อขึ้น
ชองส์ก็พาเขาเตร็ดเตร่เที่ยวเหมือนเดิมพวกเขากินนอนด้วยกันสมัยอยู่ที่ฝรั่งเศสแต่ก็ไม่มีอะไรเกินเลยตีสามสองร่างประคองกอดก่ายกันออกมาจากในลิฟต์
“I Love you, baby” ชองส์เอ่ยเสียงยานคางตอนที่เดนิมหิ้วปีกอีกฝ่ายออกมาจากลิฟต์อย่างทุลักทุเลเดนิมสูงเพียงคางของอีกฝ่ายกว่าจะพยุงออกจากลิฟต์มาได้ทำเอาเหงื่อไหลโทรมไปทั้งตัวชองส์ล็อกคอเดนิมพร้อมกับหอมที่ข้างขมับเดนิมดังฟอดๆ
“ถ้านายทำอีกฉันจะปล่อยให้นายนอนหน้าห้อง” เดนิมขู่เสียงเข้มชองส์ยิ้มทะเล้นก่อนจะหัวเราะในลำคอเมื่อรู้สึกว่าคนใต้ร่างนิ่งเงียบไม่ขยับขาเดินชองส์ก็ปรายตามองไปยังใครอีกคนที่ยืนกอดอกอยู่ตรงหน้าห้อง
“แฝดให้พี่มาตามเห็นว่าติดต่อไม่ได้” ชองส์แม้จะรู้สึกมึนๆแต่เขาก็ตั้งสติก่อนจะบังเดนิมไว้ให้อีกฝ่ายหลบหลังตัวเอง
“มีธุระอะไร” เขาถามเป็นภาษาอังกฤษเสียงดัง
“ไม่เกี่ยวกับคนนอกอย่างนาย”
“คนนอกฉันเนี่ยนะคนนอก” ชองส์ชี้นิ้วเข้าที่อกตัวเองพลางถามด้วยน้ำเสียงยียวนพลันถามเสียงสองใส่คนข้างหลัง
“เบบี๋…บอกไอ้ไก่อ่อนนี่สิว่าฉันเป็นคนนอกหรือคนในสำหรับยู”
“ชองส์” เดนิมเอ่ยปรามพร้อมกับดึงเสื้อข้างหลังยิกๆ
“ทำไม…คืนนั้นมันไม่ได้ทำอะไรยูใช่ไหม” ชองส์หันมากระซิบถามเดนิมตัวชาก่อนจะรีบส่ายหน้า
“ไม่มีไม่มีอะไรทั้งนั้น” ชองส์หรี่ตาลงอย่างจับผิดสองคนที่กำลังกระซิบกระซาบริมฝีปากแทบจะแตะชนกันทำเอาพิพัฒน์รู้สึกไม่ชอบใจ
“นิมกลับบ้าน” พิพัฒน์เอ่ยเสียงเข้มใบหน้าเรียบนิ่งนั้นพยายามข่มอารมณ์โกรธที่ปะทุขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
“ชองส์”
“ไอไม่ให้ยูไปกับมัน”
ชองส์โอบกอดเดนิมไว้ในอ้อมอกอย่างหวงแหนแถมพิพัฒน์เองเหมือนจะจำได้ว่าคนตรงหน้าคือฝรั่งที่เคยเห็นในวิดีโอของผับที่เจ้าตัวเป็นฝ่ายหยิบเงินปึกหนึ่งให้พนักงาน
“ชองส์อย่ามีเรื่องกันเลยนะ” เดนิมขอร้อง
“ทำไมไอต้องกลัวไอ้ไก่อ่อนที่ถูกมอมยาด้วย” ชองส์พูดเสียงดังพิพัฒน์เบิกตากว้าง “ลำพังตัวเองยังไม่มีปัญญาดูแลฉันนี่แหละผู้มีพระคุณของนายที่ช่วยนายพ้นจากแม่สาวดาวยั่วแถมฉันยังมีคลิปที่ผู้หญิงคนนั้นใส่ยาในแก้วของนายอีกด้วย” ชองส์ยิ้มพลางเหวี่ยงโทรศัพท์มือถือในมือเล่นเป็นจังหวะ
“อยากได้ไหมล่ะข้อร้องฉันสิ” ชองส์พูดเหมือนผู้ชนะแต่พิพัฒน์กลับยิ้มเยาะ “แล้วอยากรู้ไหมว่าใครที่ช่วยฉันระบายความอัดอั้นในค่ำคืนนั้นจนฟ้าสางน่ะ” ชองส์หน้าเสียเดนิมเองก็ก้มหน้า
“ไม่จริงใช่ไหม” ชองส์เขย่าตัวเดนิมที่น้ำตารื้นออกมาจนสองตาแดงไปหมด
“เรื่องวันนั้นจะเป็นยังไงก็ช่างตอนนี้เขาเป็นภรรยาฉันเป็นภรรยาที่จดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องถามกฎหมาย…” ชองส์ยืนตัวแข็งค้างอยู่ตรงนั้นก่อนจะเดนิมจะถูกกระชากออกไปจากอ้อมอก
“แล้วฉันมารับตัวภรรยากลับบ้าน…นายมีปัญหาอะไรไหม” พิพัฒน์พูดภาษาอังกฤษไฟแลบใส่หน้ารุ่นน้องอย่างไม่ไว้หน้าก่อนจะกระชากเดนิมให้กลับไปกับเขาเดนิมเจ็บข้อมือจนน้ำตาคลอเบ้าแต่ก็ไม่กล้าปริปากพูดอะไรออกมาอีกระหว่างในรถไม่มีบทสนทนาอะไรเดนิมหันตะแคงข้างเหม่อมองออกไปยังนอกรถตีสามท้องถนนปราศจากรถไม่นานก็มาถึงเพนท์เฮ้าส์เดนิมเดินตามอีกฝ่ายไปด้วยความงงงวยเสียงปิดประตูดังปังทำเอาเดนิมสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์
พิพัฒน์ที่อยู่ข้างหลังทำเอาเดนิมไม่กล้าส่งเสียงอะไรออกมาก่อนจะตัดสินใจเดินกลับห้องนอนของตัวเอง
“จะไปไหน”
“กะกลับห้องครับ”
“สร้างปัญหาเสร็จแล้วก็วิ่งหนีรอให้คนอื่นมาเช็ดให้นี่นะเหรอลูกคนเล็กของศศิภักดี” เดนิมกำหมัดแน่นก่อนจะหันหน้ามาเผชิญกับอีกฝ่าย
“นิมก็เป็นแบบนี้แหละครับถ้าพี่พัดไม่มีอะไรแล้วนิมขอตัว”
“ถ้าพี่ไม่ไปรับก็คงจะมั่วสุมอยู่ที่นั่นสิท่า”
“ถ้าพี่พัดเรียกว่ามั่วสุมนิมก็ไม่มีอะไรจะพูด” เดนิมจะเดินหนีแต่ข้อมือกลับถูกพันธานการเอาไว้มือใหญ่เหมือนคีมเหล็กจับยึดไว้แน่นจนเดนิมเจ็บจนนิ่วหน้า
“หนึ่งปีรอไม่ได้เลยหรือไงจนต้องไปวิ่งโร่ไปหากินข้างนอกระหว่างนี้หากท้องไส้ขึ้นมา…”
เพี้ยะ!! ใบหน้าคมคร้ามหันไปตามแรงตบเดนิมตัวสั่นด้วยความโกรธ
“การแต่งงานระหว่างเราเกิดจากอะไรพี่พัดรู้ดีอีกอย่างนิ่มไม่ได้สำส่อนพี่พัดไม่ต้องกลัวว่านิมจะเอาเด็กมาผูกมัดมีแต่จะสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นมาเปล่าๆอีกแค่ไม่กี่เดือนพี่พัดไม่จำเป็นต้องทนนิมจะไปบอกคุณพ่อเอง” พิพัฒน์กระชากเดนิมเข้ามาอย่างแรงจนร่างบางปะทะเข้ากับอกกว้าง
“แค่นิมบอกว่าจบก็คือจบอย่างนั้นเหรอ”
“นิมปฏิเสธพี่พัดตั้งแต่แรกด้วยซ้ำแต่พี่พัดเองยืนกรานที่จะแต่งเอง”
“แน่ใจเหรอนิมลองเป็นพี่สินิมพูดได้เพราะนิมไม่ได้เป็นพี่ไง!!” พิพัฒน์พูดเสียงดัง
“คืนนั้นถ้าเป็นคุณนิชาก็คงจะดีกว่านิมใช่ไหมครับ”
“เดนิม!” พิพัฒน์จับไหล่มนทั้งสองข้างอย่างแรงทำเอาเดนิมนิ่วหน้าใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา
“ถ้าคืนนั้นนิมรู้ว่าจะเป็นแบบนี้นิมไม่น่าจะยื่นมือเข้าไปช่วยเลยจริงๆ” เดนิมเสียใจเสียใจที่ไม่เชื่อคำพูดชองส์ตั้งแต่แรก
“เสียใจกับการกระทำของตัวเองแล้วหรือไง”
“ใช่นิมเสียใจเสียใจที่ทอดกายให้คนไร้หัวใจอย่างพี่พัด” เสียงด่าทอขาดห้วงไปเพราะริมฝีปากถูกทาบทับลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
“อื้อ” พิพัฒน์ไม่รู้โกรธเพราะถูกตบหรือว่าโกรธที่อีกฝ่ายปรามาสมืออีกข้างจับท้ายทอยล็อกใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นไม่ให้หันหนีมืออีกข้างก็โอบรอบเอวกักกันไม่เหลือที่ให้อีกฝ่ายได้หลบหนี
“อื้อ” เดนิมหายใจแทบไม่ออกเมื่อถูกเรียวลิ้นนั้นกวาดต้อนไปทั่วโพรงปากเขาพยายามดีดดิ้นแต่ก็ไม่เป็นผลอีกอย่างพี่พัดตัวสูงใหญ่กว่าเดนิมเกือบเท่าตัวเดนิมก็เหมือนลูกไก่ในกำมือเพียงแขนเดียวก็โอบรัดร่างเล็กนั้นจนแทบจมหายไปในอก
เดนิมออกแรงตะเกียกตะกายดิ้นรนแต่ทว่าไม่เป็นผลจนต้องกัดริมฝีปากอีกฝ่ายอย่างแรงเพื่อเรียกสติ
เดนิมกัดจนริมฝีปากอีกฝ่ายเลือดซิบก่อนจะหอบหายใจโกยอากาศเข้าปอดอย่างแรงมือหนาเหมือนคีมเหล็กก็บีบคางเล็กเอาไว้อย่างแรงเช่นกัน
“ถ้ากัดอีกอย่าหาว่าพี่ใจร้าย” พูดเสร็จริมฝีปากก็ทาบทับลงมาอีกครั้งเดนิมกำเสื้อของอีกฝ่ายแน่นเขาขยุ้มเสื้อจนเกิดรอยยับยู่ยี่รสจูบรุนแรงก่อนหน้าแปรเปลี่ยนเปลี่ยนจังหวะเนิบนาบจูบไล่เลียริมฝีปากก่อนจะส่งลิ้นเรียวยาวกวาดต้อนไปทั่วโพรงปากเดนิมหลับตาปล่อยให้หยาดน้ำตาสีใสไหลออกมาไม่ขาดสายเมื่อริมฝีปากบางเป็นอิสระเดนิมก็เอ่ยถาม
“พี่พัดทำไปเพราะโมโหหรือว่าออกมาจากใจ”
“พี่…” สองมือพลันปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระเดนิมยิ้มหยันให้กับตัวเองก่อนจะยกมือเช็ดคราบน้ำตาหันหลังวิ่งออกไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุดเขาล็อกห้องและทิ้งตัวอย่างอ่อนแรงลงข้างหลังประตูกอดเข่าร้องไห้อยู่อย่างนั้นทั้งคืน
พิพัฒน์เองก็ยืนอึ้งอยู่กับที่ผ่านไปหลายนาทีเขาถึงคิดได้ว่าทำอะไรลงไปกำแพงตรงหน้ากลายเป็นที่ระบายความอัดอั้นตันใจเขาต่อยกำแพงอย่างแรงหนึ่งทีก่อนจะเดินย่ำเท้าเข้าไปในห้องนอนของตัวเองไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่สายตาของเขาเอาแต่มองหาใครบางคนในตอนแรกเป็นเพียงการจับตามองเพราะความระแวงไม่ไว้ใจพิพัฒน์ไม่รู้ตัวเลยว่าอาการของตัวเองตอนนี้หมายความว่ายังไงใจหนึ่งเขาก็รังเกียจแต่อีกใจหนึ่งก็ไม่ชอบใจที่เดนิมหลบหน้าหลบตาทำเหมือนเขาเป็นธาตุอากาศแถมยังออกไปเตร็ดเตร่เที่ยวคลับบาร์กับเพื่อนชายที่ดูสนิทสนมกันแบบนั้นอีก
มันเป็นความรู้สึกที่เขาก็ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้แต่เขามั่นใจว่าไม่ใช่ความรักแน่ๆมันเป็นเพียงนิสัยอยากเอาชนะของเขาเท่านั้นและเกมนี้เขาจะต้องไม่พ่ายแพ้หนึ่งปีนี้เขาเคยสัญญากับตัวเองว่าจะทรมานอีกฝ่ายให้มากที่สุดเพื่อให้เดนิมได้เรียนรู้ความผิดพลาดของตัวเองอีกทั้งเดนิมเองจะได้รู้ว่าการฝืนใจคนอื่นเพื่อให้ได้มาครอบครองเป็นวิธีการที่ต่ำช้าที่เขาเกลียดมากที่สุดแต่พอเวลาผ่านไปน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาคู่นั้นกลับเขย่าความตั้งใจของเขาให้สั่นคลอนดวงตาที่มองมาด้วยความรู้สึกตัดพ้อนั้นไม่รู้ว่ามีอิทธิพลต่อความรู้สึกตั้งแต่เมื่อไหร่
ไม่จริง! พิพัฒน์บอกกับตัวเองอย่าให้น้ำตาจอมปลอมพวกนั้นมาตบตาตัวเองได้อีกแม้ว่าเวลาจะผ่านไปค่อนคืนแต่ทว่าเขาเอาแต่นอนมือก่ายหน้าผากเหม่อมองพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวข้างนอกที่ลอยอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางราตรีอันมืดมิดความรู้สึกบางอย่างถาโถมและผุดขึ้นมาในใจจนอดที่จะคิดซ้ำไปซ้ำมาไม่ได้
เดนิมไม่ออกจากห้องของตัวเองแม้ว่าป้าแม่บ้านที่แม่ของเขาส่งมาทำความสะอาดให้ทุกวันอาทิตย์ก็ตามภายในห้องมีตู้เย็นขนาดเล็กขนมขบเคี้ยวรวมไปถึงกาน้ำร้อนขนาดพกพาอีกทั้งเพราะการเขียนนิยายออกมาสักเรื่องหนึ่งมันใช้เวลาและในตอนที่อารมณ์พาไปหรือจินตนาการพรั่งพรูเดนิมไม่อยากจะลุกออกไปทำอะไรนิ้วเรียวยาวเคาะแป้นพิมพ์อยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียงของแป้นพิมพ์ทำให้เขาลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าสมาธิจดจ่ออยู่กับหน้าจอและตัวหนังสือตรงหน้าและเขาใช้มันเพื่อระบายของเสียภายในจิตใจเขาระบายมันออกมาเป็นตัวหนังสือตัวละครบางตัวก็คือตัวเองที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาขัดเกลาตัวละครผ่านเหตุการณ์สมมุติต่างๆมากมายมานับไม่ถ้วนหาทางออกให้ตัวละครเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายแต่น่าเสียดายตัวเองกลับหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอเขาติดอยู่ในวังวนความเจ็บปวดของความรักมายาวนานนับสิบปีรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีใจแต่ก็ยังจะเฝ้ารออดทนกับสายตาที่หยามเหยียดอดทนต่อถ้อยคำที่บาดลึกถึงกระดูกคล้ายกับคนไม่รู้สึกรู้สา สุดท้ายกลับฝังตัวเองทั้งเป็นด้วยการทอดกายให้อีกฝ่ายได้เชยชม ในฐานะนักเขียนหากตัวละครตัวนี้จะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่แ
เดนิมเดินทอดน่องไปตามชายหาด ท้องเริ่มปวดบิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงนั่งตรงเปลที่ชายหาดผูกไว้ นั่งสักพักเลยล้มตัวนอน มือก็ได้แต่กดท้องตัวเองเอาไว้ เดนิมเป็นโรคกระเพาะทานอาหารไม่ตรงเวลาก็จะปวดจนทรมาน อีกอย่างยาลดกรดก็อยู่ในกระเป๋า ตอนนี้เขาเหนื่อยทั้งกายและใจเลยอยากจะนั่งพักสักครู่ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี พี่พัดตักอาหารให้เขา แต่เป็นสิ่งที่ฆ่าเขาให้ตายได้ อีกทั้งตอนสมัยที่เดนิมยังเด็ก หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เดนิมประทับใจในตัวพี่พัดของเขาก็คือพี่พัดจะเป็นฝ่ายคอยระวังเรื่องอาหารการกินของเขาทุกครั้งที่ต้องออกไปทานอาหารข้างนอกกันรวมถึงแฝด แฝดมักจะเผอเรอไม่ถามไถ่หรือมักจะสั่งกุ้งมากิน แต่เป็นพี่พัดเองที่คอยเอาใจใส่ และหาร้านที่ไม่มีส่วนผสมของกุ้งเพื่อเดนิมวันเวลาผ่านพ้นไปคนเราหากเป็นเรื่องสำคัญมักจะไม่ลืม…เดนิมยิ้มเยาะให้ตัวเองก่อนจะนอนอยู่อย่างนั้นแขนซ้ายปิดทับดวงตาปิดบังความน้อยเนื้อต่ำใจและการเดินหนีหรือหลีกเลี่ยงเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นเดนิมจึงนิยามความรักของตัวเองว่าเป็นรักที่ไม่ประกอบวิ่งมายาวนานเพื่อคนคนเดียวมานับสิบปีเขาแพ้กุ้งแต่พี่พ
เดนิมแตะบัตรค่อยๆเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายทำอะไรอยู่เดนิมเปลี่ยนเป็นรองเท้าสลิปเปอร์ก่อนจะเห็นว่ากระเป๋าของตัวเองยังวางอยู่ที่หน้าประตูเหลือเพียงกระเป๋าใบเดียวพี่พัดคงกลับเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วเดนิมกำที่จับกระเป๋าล้อเลื่อนของตัวเองแน่นก่อนจะตัดสินใจที่จะไปนอนกับพี่แฝดเขาไม่อยากให้การมาทำงานครั้งนี้ของพี่พัดมีปัญหาหรือรู้สึกอึดอัดเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินออกมาจากประตูเสียงเอ่ยราบเรียบก็ทักขึ้นมา“เข้ามาแล้วจะออกไปไหนอีก” น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์แต่เดนิมรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจอยู่เนืองๆเขาไม่ได้ตอบแต่ค่อยๆเดินผ่านโถงทางเดินเข้าไปก่อนจะเจอกับโซนห้องนั่งเล่นตรงกลางโซฟาหันหน้าเข้าหาทะเลภาพวิวเบื้องหน้ามีสระน้ำขนาดกลางส่วนตัวให้แขกได้พักผ่อนมีตาข่ายให้ได้นอนอาบแดดนับได้ว่าเป็นห้องพักที่เยี่ยมยอดที่สุดของ The Grand DAE เลยก็ว่าได้พิพัฒน์นั่งจิบบรั่นดีสีอำพันในมือสายตาทอดมองไปยังวิวตรงหน้าน้อยครั้งนักที่เดนิมจะเห็นว่าอีกฝ่ายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่จะเป็นชาร้อนหากต้องอ่านรายงานค่อนคืน“คือ…นิมจะไปนอนกับพี่แฝด”“ใช่แ
ช่วงเช้าพายุฝนสงบท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนว่าไม่เคยเกิดพายุฝนคะนองมาก่อนเดนิมตื่นเช้าเหมือนเช่นเคยอาหารเช้ามาส่งแล้วอีกอย่างเขาเองก็ไม่ชอบแบบที่ลอยอยู่กลางน้ำเพราะนึกถึงเวลาเศษอาหารตกลงในสระมันทำความสะอาดค่อนข้างยากเขาจึงบอกให้บริกรวางไว้ที่ขอบสระเดนิมรออาหารย่อยสักพักก็ลงไปว่ายน้ำเขาสวมกางเกงว่ายน้ำเพียงตัวเดียวอีกอย่างก็เป็นสระส่วนตัวน้ำเย็นๆบรรยากาศยามเช้าที่แจ่มใสรวมไปถึงทัศนียภาพของทิวทัศน์ตรงหน้าทำให้เขาไม่อยากกลับเลยจริงๆที่ว่ากันว่านั่งโง่ๆอยู่ริมทะเลนั้นไม่เกินจริงเดนิมหันหลังเท้าคางมองทิวทัศน์ข้างหน้าน้ำทะเลสีฟ้าครามตัดกับเส้นขอบกับพระอาทิตย์อย่างลงตัวเห็นพี่แฝดบอกว่าในทะเลมีพวกปลากระเบนว่ายมาทักทายบริเวณบังกะโลกลางน้ำแห่งนี้ด้วย เดนิมจ้องมองผืนน้ำทะเลอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาอยู่คู่หนึ่งจดจ้องการกระทำของเขาตลอดตั้งแต่แหวกว่ายอยู่ในสระเดนิมหันหลังให้ทิวทัศน์ก่อนจะคว้าเอาห่วงยางที่นอนลอยน้ำเขาขึ้นไปนอนบนนั้นแล้วยิ้มแฉ่งให้กับพระอาทิตย์สองมือวักน้ำจนทำให้ห่วงยางนั้นลอยไปลอยมา“เล่นเหมือนเด็กๆไปได้” ไม่รู้เมื่อไหร่ที่พิพัฒน์เอาแต่จดจ้องร่างบางที่สวมเพียงแค่กางเกงว่ายน้ำตัว
ทางด้านพิพัฒน์เองเขาจดจ้องใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มมีชีวิตชีวาของเดนิมโดยไม่ละสายตาไปสักเสี้ยววินาที มันไม่ใช่รอยยิ้มแกน ๆ ที่คอยส่งมาให้เขา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มไปถึงดวงตา เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ พิพัฒน์สังเกตเห็นว่าเดนิมทำเหมือนว่าเขาเป็นยักษ์เป็นมารเวลาที่เข้าใกล้ และมักจะก้าวเท้าถอยหลังเสมอ คล้ายว่าเป็นการขีดเส้นระหว่างกัน ไม่มีใครควรล้ำเส้นกันไปมากกว่านี้ แถมยังเป็นฝ่ายหลบสายตา เหมือนว่าการมีอยู่ของตัวเองทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกแย่เดนิมในอุดมคติของเขากับเดนิมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนเป็นคนละคนตอนแรกที่เกิดเรื่องเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยากจะเข้าไปซัดหน้าหวานๆที่เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักเปรี้ยงพิพัฒน์คิดว่าเดนิมร้ายกาจไม่งั้นเขาไม่ต้องมาตกกระไดพลอยโจนอยู่อย่างนี้และการแต่งงานครั้งนี้จะทำให้เจ้าตัวสมหวังอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้แต่พอมาได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันยิ่งได้ใกล้ชิดยิ่งได้รู้จักเหมือนว่าช่วงที่ห่างหายขาดการติดต่อกันไปเดนิมในวันวานยังคงเหมือนเดิมไม่ได้ร้ายกาจหรือมีเล่ห์เหลี่ยมแต่อย่างใดกลับเงียบขรึมเก็บงำความรู้สึกได้เก่งขึ้นและมักจะหลบเลี่ยงปัญหามากกว่าเผชิญหน้าอีกทั้งรอยยิ้มที่ประดับ
เดนิมตื่นมาก็บ่ายสามกว่า ๆ แล้ว เขาคิดว่าตอนนี้พี่พัดคงเก็บของกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว จึงกินนอนเล่นกับพวกแฝด เป็นการรวมตัวกันของครอบครัวที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เล่นน้ำด้วยกันเหมือนเด็กอีกครั้ง พอได้วางความรู้สึกเหล่านั้นลง เดนิมค้นพบว่าความสุขของเขาได้เพิ่มขึ้นทีละนิด แม้จะมีความรู้สึกผิดอยู่เต็มอก แต่ได้แพลนตอนจบเอาไว้แล้วเหมือนกับนิยายที่มีตอนจบไม่ว่าจะสมหวังผิดหวังท้ายสุดก็ต้องเดินทางมาถึงจุดจบไม่ว่าบทสุดท้ายจุดจบจะเป็นเช่นไรเขาเพียงต้องยอมรับมันให้ได้‘ไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง’กว่าจะรู้ว่าความรักในรูปแบบของตัวเองเป็นความรักที่ไม่สมประกอบก็ทำเอาคนอื่นวุ่นวายกันไปทั่วรักที่ดีไม่จำเป็นต้องครอบครองเป็นเจ้าของเดนิมจึงรู้จักที่จะปล่อยวางมันลงคล้ายกับหัวใจได้คลายหนามแหลมที่เกี่ยวพันรัดอยู่บาดแผลและเลือดที่ไหลรินก่อนหน้าค่อยๆสมานเข้าด้วยกันอย่างช้าๆแม้จะทิ้งร่องรอยแผลเป็นเอาไว้แต่ก็เป็นเครื่องเตือนความจำว่าเขาไม่ควรจะรักใครจนทำร้ายตัวเองแบบนั้นอีกและเขาจะต้องเป็นคนที่จัดการความรู้สึกของตนเองไม่ทำให้คนที่รักต้องรู้สึกอึดอัดกับความรู้สึกที่เขามีเดนิมเล่นน้ำจนเหนื่อยหอบอยู่กินดื่มกับแฝดจน
ทะเบียนสมรสจอมปลอมที่ปราศจากความรัก เดนิมทำได้เพียงกกกอดมันเอาไว้อย่างหวงแหน เพราะอย่างน้อยมันก็คือเชือกสุดท้ายที่จะเหนี่ยวรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ข้างกาย แม้จะถูกตราหน้าว่าเห็นแก่ตัวก็ตามในตอนจบของนิยายการที่คนสองคนตกลงปลงใจแต่งงานเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยกันนั่นคือตอนจบที่สมบูรณ์พูนสุขแต่สำหรับชีวิตการแต่งงานของเดนิมไม่ได้สวยงามเหมือนดั่งในตอนจบของนิยายการแต่งงานระหว่างพวกเขาทั้งสองคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดหากย้อนเวลากลับไปได้เดนิมจะไม่ตัดสินใจแต่งงานกับอีกฝ่ายอย่างเด็ดขาดอย่างน้อยระหว่างเราอาจจะยังคงรักษาความรู้สึกดีๆในฐานะน้องนุ่งดีกว่าเป็นอดีตคู่สมรสที่ไม่ได้มีความรักให้แก่กันและไม่มีวันจะสานสัมพันธ์ไปเป็นคนรักของกันและกันได้พี่พัดเกลียดเขายังกะอะไรดีการหย่าขาดถือเป็นการจบเรื่องราวทั้งหมดทนายที่เดนิมจ้างมาขยับแว่นตาก่อนจะกวาดสายตาอ่านเอกสารในมืออีกครั้งคิ้วนิ่วขมวดก่อนจะอ่านเอกสารอื่นๆอีกสองสามรอบอ่านเพื่อทำความเข้าใจถึงจุดประสงค์ของผู้ร่างเอกสารฉบับนี้ขึ้นมาก่อนจะเอ่ยถามผู้ว่าจ้างเพื่อความแน่ใจและไม่ได้ร่างเอกสารเหล่านี้ขึ้นมาด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบ“คุณเดนิมแน่ใจนะครับว่าไ
ย้อนไปเมื่อหลายสิบปีที่แล้วครอบครัวของเดนิมและพิพัฒน์รู้จักกันและสนิทกันในแวดวงธุรกิจตามประสาสังคมนักธุรกิจด้วยกัน พิพัฒน์อายุมากกว่าเดนิมเจ็ดปี สองครอบครัวจึงไปมาหาสู่กันอยู่บ่อย ๆ ชีวิตวัยเด็กของเดนิมเติบโตมาพร้อมกับพิพัฒน์เลยก็ว่าได้ พิพัฒน์มองเดนิมเป็นน้อง แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพศชายท้องได้ (New male) พี่ชายทั้งสองของเดนิม เดนีสและเดนีนต่างก็เอาอกเอาใจ ดูแลประคบประหงมประหนึ่งไข่ในหิน ด้วยความที่อายุห่างกันมาก เดนิมเกิดมาพร้อมกับความพิเศษของร่างกาย ด้วยความเป็นน้องเล็กของบ้าน พี่ชาย พ่อแม่ต่างก็ห้อมล้อมเอาใจ เลยติดนิสัยเอาแต่ใจมาแต่ไหนแต่ไร อยากได้อะไรก็ต้องได้“อยากให้พี่พัดป้อน” เดนิมพูดพลางออดอ้อนคนข้างๆเหมือนที่เคยทำตั้งแต่ยังเด็ก“กินเองดีกว่าโตเป็นหนุ่มแล้วนะเรา” พิพัฒน์เริ่มอธิบายให้เด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างใจเย็นเพราะเดนิมมักจะเป็นแบบนี้เสมอตั้งแต่เด็กจนโตก็มักจะอ้อนให้เขาป้อนข้าวให้บ้างผลไม้ให้บ้างเวลาเจ้าตัวติดตามพี่ๆฝาแฝดทั้งสองมาเล่นเกมที่บ้านเขาพิพัฒน์มักจะอึดอัดเสมอเพียงแต่เขาไม่เคยพูดออกไปได้แต่เว้นระยะห่างอยู่ฝ่ายเดียว“ก็นิมอยากให้พี่พัดป้อนนี่ครับ” พิพัฒน์ถอนหายใจก่อ
เดนิมตื่นมาก็บ่ายสามกว่า ๆ แล้ว เขาคิดว่าตอนนี้พี่พัดคงเก็บของกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว จึงกินนอนเล่นกับพวกแฝด เป็นการรวมตัวกันของครอบครัวที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เล่นน้ำด้วยกันเหมือนเด็กอีกครั้ง พอได้วางความรู้สึกเหล่านั้นลง เดนิมค้นพบว่าความสุขของเขาได้เพิ่มขึ้นทีละนิด แม้จะมีความรู้สึกผิดอยู่เต็มอก แต่ได้แพลนตอนจบเอาไว้แล้วเหมือนกับนิยายที่มีตอนจบไม่ว่าจะสมหวังผิดหวังท้ายสุดก็ต้องเดินทางมาถึงจุดจบไม่ว่าบทสุดท้ายจุดจบจะเป็นเช่นไรเขาเพียงต้องยอมรับมันให้ได้‘ไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง’กว่าจะรู้ว่าความรักในรูปแบบของตัวเองเป็นความรักที่ไม่สมประกอบก็ทำเอาคนอื่นวุ่นวายกันไปทั่วรักที่ดีไม่จำเป็นต้องครอบครองเป็นเจ้าของเดนิมจึงรู้จักที่จะปล่อยวางมันลงคล้ายกับหัวใจได้คลายหนามแหลมที่เกี่ยวพันรัดอยู่บาดแผลและเลือดที่ไหลรินก่อนหน้าค่อยๆสมานเข้าด้วยกันอย่างช้าๆแม้จะทิ้งร่องรอยแผลเป็นเอาไว้แต่ก็เป็นเครื่องเตือนความจำว่าเขาไม่ควรจะรักใครจนทำร้ายตัวเองแบบนั้นอีกและเขาจะต้องเป็นคนที่จัดการความรู้สึกของตนเองไม่ทำให้คนที่รักต้องรู้สึกอึดอัดกับความรู้สึกที่เขามีเดนิมเล่นน้ำจนเหนื่อยหอบอยู่กินดื่มกับแฝดจน
ทางด้านพิพัฒน์เองเขาจดจ้องใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มมีชีวิตชีวาของเดนิมโดยไม่ละสายตาไปสักเสี้ยววินาที มันไม่ใช่รอยยิ้มแกน ๆ ที่คอยส่งมาให้เขา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มไปถึงดวงตา เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ พิพัฒน์สังเกตเห็นว่าเดนิมทำเหมือนว่าเขาเป็นยักษ์เป็นมารเวลาที่เข้าใกล้ และมักจะก้าวเท้าถอยหลังเสมอ คล้ายว่าเป็นการขีดเส้นระหว่างกัน ไม่มีใครควรล้ำเส้นกันไปมากกว่านี้ แถมยังเป็นฝ่ายหลบสายตา เหมือนว่าการมีอยู่ของตัวเองทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกแย่เดนิมในอุดมคติของเขากับเดนิมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนเป็นคนละคนตอนแรกที่เกิดเรื่องเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยากจะเข้าไปซัดหน้าหวานๆที่เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักเปรี้ยงพิพัฒน์คิดว่าเดนิมร้ายกาจไม่งั้นเขาไม่ต้องมาตกกระไดพลอยโจนอยู่อย่างนี้และการแต่งงานครั้งนี้จะทำให้เจ้าตัวสมหวังอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้แต่พอมาได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันยิ่งได้ใกล้ชิดยิ่งได้รู้จักเหมือนว่าช่วงที่ห่างหายขาดการติดต่อกันไปเดนิมในวันวานยังคงเหมือนเดิมไม่ได้ร้ายกาจหรือมีเล่ห์เหลี่ยมแต่อย่างใดกลับเงียบขรึมเก็บงำความรู้สึกได้เก่งขึ้นและมักจะหลบเลี่ยงปัญหามากกว่าเผชิญหน้าอีกทั้งรอยยิ้มที่ประดับ
ช่วงเช้าพายุฝนสงบท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนว่าไม่เคยเกิดพายุฝนคะนองมาก่อนเดนิมตื่นเช้าเหมือนเช่นเคยอาหารเช้ามาส่งแล้วอีกอย่างเขาเองก็ไม่ชอบแบบที่ลอยอยู่กลางน้ำเพราะนึกถึงเวลาเศษอาหารตกลงในสระมันทำความสะอาดค่อนข้างยากเขาจึงบอกให้บริกรวางไว้ที่ขอบสระเดนิมรออาหารย่อยสักพักก็ลงไปว่ายน้ำเขาสวมกางเกงว่ายน้ำเพียงตัวเดียวอีกอย่างก็เป็นสระส่วนตัวน้ำเย็นๆบรรยากาศยามเช้าที่แจ่มใสรวมไปถึงทัศนียภาพของทิวทัศน์ตรงหน้าทำให้เขาไม่อยากกลับเลยจริงๆที่ว่ากันว่านั่งโง่ๆอยู่ริมทะเลนั้นไม่เกินจริงเดนิมหันหลังเท้าคางมองทิวทัศน์ข้างหน้าน้ำทะเลสีฟ้าครามตัดกับเส้นขอบกับพระอาทิตย์อย่างลงตัวเห็นพี่แฝดบอกว่าในทะเลมีพวกปลากระเบนว่ายมาทักทายบริเวณบังกะโลกลางน้ำแห่งนี้ด้วย เดนิมจ้องมองผืนน้ำทะเลอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาอยู่คู่หนึ่งจดจ้องการกระทำของเขาตลอดตั้งแต่แหวกว่ายอยู่ในสระเดนิมหันหลังให้ทิวทัศน์ก่อนจะคว้าเอาห่วงยางที่นอนลอยน้ำเขาขึ้นไปนอนบนนั้นแล้วยิ้มแฉ่งให้กับพระอาทิตย์สองมือวักน้ำจนทำให้ห่วงยางนั้นลอยไปลอยมา“เล่นเหมือนเด็กๆไปได้” ไม่รู้เมื่อไหร่ที่พิพัฒน์เอาแต่จดจ้องร่างบางที่สวมเพียงแค่กางเกงว่ายน้ำตัว
เดนิมแตะบัตรค่อยๆเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายทำอะไรอยู่เดนิมเปลี่ยนเป็นรองเท้าสลิปเปอร์ก่อนจะเห็นว่ากระเป๋าของตัวเองยังวางอยู่ที่หน้าประตูเหลือเพียงกระเป๋าใบเดียวพี่พัดคงกลับเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วเดนิมกำที่จับกระเป๋าล้อเลื่อนของตัวเองแน่นก่อนจะตัดสินใจที่จะไปนอนกับพี่แฝดเขาไม่อยากให้การมาทำงานครั้งนี้ของพี่พัดมีปัญหาหรือรู้สึกอึดอัดเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินออกมาจากประตูเสียงเอ่ยราบเรียบก็ทักขึ้นมา“เข้ามาแล้วจะออกไปไหนอีก” น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์แต่เดนิมรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจอยู่เนืองๆเขาไม่ได้ตอบแต่ค่อยๆเดินผ่านโถงทางเดินเข้าไปก่อนจะเจอกับโซนห้องนั่งเล่นตรงกลางโซฟาหันหน้าเข้าหาทะเลภาพวิวเบื้องหน้ามีสระน้ำขนาดกลางส่วนตัวให้แขกได้พักผ่อนมีตาข่ายให้ได้นอนอาบแดดนับได้ว่าเป็นห้องพักที่เยี่ยมยอดที่สุดของ The Grand DAE เลยก็ว่าได้พิพัฒน์นั่งจิบบรั่นดีสีอำพันในมือสายตาทอดมองไปยังวิวตรงหน้าน้อยครั้งนักที่เดนิมจะเห็นว่าอีกฝ่ายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่จะเป็นชาร้อนหากต้องอ่านรายงานค่อนคืน“คือ…นิมจะไปนอนกับพี่แฝด”“ใช่แ
เดนิมเดินทอดน่องไปตามชายหาด ท้องเริ่มปวดบิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงนั่งตรงเปลที่ชายหาดผูกไว้ นั่งสักพักเลยล้มตัวนอน มือก็ได้แต่กดท้องตัวเองเอาไว้ เดนิมเป็นโรคกระเพาะทานอาหารไม่ตรงเวลาก็จะปวดจนทรมาน อีกอย่างยาลดกรดก็อยู่ในกระเป๋า ตอนนี้เขาเหนื่อยทั้งกายและใจเลยอยากจะนั่งพักสักครู่ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี พี่พัดตักอาหารให้เขา แต่เป็นสิ่งที่ฆ่าเขาให้ตายได้ อีกทั้งตอนสมัยที่เดนิมยังเด็ก หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เดนิมประทับใจในตัวพี่พัดของเขาก็คือพี่พัดจะเป็นฝ่ายคอยระวังเรื่องอาหารการกินของเขาทุกครั้งที่ต้องออกไปทานอาหารข้างนอกกันรวมถึงแฝด แฝดมักจะเผอเรอไม่ถามไถ่หรือมักจะสั่งกุ้งมากิน แต่เป็นพี่พัดเองที่คอยเอาใจใส่ และหาร้านที่ไม่มีส่วนผสมของกุ้งเพื่อเดนิมวันเวลาผ่านพ้นไปคนเราหากเป็นเรื่องสำคัญมักจะไม่ลืม…เดนิมยิ้มเยาะให้ตัวเองก่อนจะนอนอยู่อย่างนั้นแขนซ้ายปิดทับดวงตาปิดบังความน้อยเนื้อต่ำใจและการเดินหนีหรือหลีกเลี่ยงเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นเดนิมจึงนิยามความรักของตัวเองว่าเป็นรักที่ไม่ประกอบวิ่งมายาวนานเพื่อคนคนเดียวมานับสิบปีเขาแพ้กุ้งแต่พี่พ
เดนิมไม่ออกจากห้องของตัวเองแม้ว่าป้าแม่บ้านที่แม่ของเขาส่งมาทำความสะอาดให้ทุกวันอาทิตย์ก็ตามภายในห้องมีตู้เย็นขนาดเล็กขนมขบเคี้ยวรวมไปถึงกาน้ำร้อนขนาดพกพาอีกทั้งเพราะการเขียนนิยายออกมาสักเรื่องหนึ่งมันใช้เวลาและในตอนที่อารมณ์พาไปหรือจินตนาการพรั่งพรูเดนิมไม่อยากจะลุกออกไปทำอะไรนิ้วเรียวยาวเคาะแป้นพิมพ์อยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียงของแป้นพิมพ์ทำให้เขาลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าสมาธิจดจ่ออยู่กับหน้าจอและตัวหนังสือตรงหน้าและเขาใช้มันเพื่อระบายของเสียภายในจิตใจเขาระบายมันออกมาเป็นตัวหนังสือตัวละครบางตัวก็คือตัวเองที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาขัดเกลาตัวละครผ่านเหตุการณ์สมมุติต่างๆมากมายมานับไม่ถ้วนหาทางออกให้ตัวละครเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายแต่น่าเสียดายตัวเองกลับหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอเขาติดอยู่ในวังวนความเจ็บปวดของความรักมายาวนานนับสิบปีรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีใจแต่ก็ยังจะเฝ้ารออดทนกับสายตาที่หยามเหยียดอดทนต่อถ้อยคำที่บาดลึกถึงกระดูกคล้ายกับคนไม่รู้สึกรู้สา สุดท้ายกลับฝังตัวเองทั้งเป็นด้วยการทอดกายให้อีกฝ่ายได้เชยชม ในฐานะนักเขียนหากตัวละครตัวนี้จะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่แ
บริษัทมีการจัดเลี้ยงฝึกงานแต่เดนิมบอกปัดเขาไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยงกับปัญหาอีกปานัสเป็นญาติของนิชาอีกทั้งก็ไม่ชอบขี้หน้าเขาเป็นทุนเดิมงานเลี้ยงครั้งนี้ไม่ไปดีที่สุดพี่พัดเองก็ไม่ได้ว่าอะไรมีแต่ปานัสที่ดีอกดีใจคุณสิริเองก็เอ่ยชมเขามากขึ้นกว่าแต่ก่อนเดนิมคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วคำชมที่มาจากความจริงใจเพียงเท่านี้ก็มีกำลังใจให้เด็กฝึกงานอย่างเขากระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้นไปอีกอีกอย่างเดนิมก็ไม่ได้จบงานด้านบริหารมาเขาทำได้ดีขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้วชีวิตหลังจากนี้จะได้เป็นอิสระเสียทีเดนิมเลิกเฝ้ารอและเลิกฝันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะทำอะไรดีๆให้พี่พัดแต่ทำไปเหมือนขว้างหินลงสู่ทะเลพี่พัดเกลียดเขาจะตาย…ไม่เห็นหน้ากันจะดีที่สุดเดนิมไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะกลับมาค้างทุกวันหยุดสุดสัปดาห์หรือไม่เขาไม่คิดโทรถามไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญและลำบากใจวันนี้วันศุกร์เขาไม่มีธุระที่ไหนเลยเข้าครัวเองทำอาหารสองสามอย่างทีละน้อยสำหรับคนคนเดียวไข่เจียวตรงหน้าฟูฟ่องส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องครัวเดนิมแกะข้าวหุงสำเร็จเวฟก่อนจะแกะใส่จานแม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้วเดนิมเลือกที่จะหันหลังแล้วทำเป็นไม่เห็นก้มลงทานอาหารตรงหน้
ทางด้านปานัสเมื่อโดนดุไปซึ่งๆหน้าก็ดูจะนอบน้อมขึ้นแต่ก็ยังพยายามจะหักหน้าและปาดหน้าทำงานแทนเดนิมเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมือเจ็บ“นิมช่วยดูตรงนี้หน่อยนะ” สิริเอ่ยพร้อมยื่นแฟ้มให้เดนิมยังไม่ทันยื่นมือออกไปรับปานัสกลับยื่นมือมารับแทน“ให้นัสทำนะครับพี่สิริ” สิริเองก็มองหน้าเดนิมเมื่อเห็นเจ้าตัวพยักหน้าน้อยๆก็ยื่นแฟ้มใส่มือปานัสแทนพร้อมกำชับ“ฝากด้วยนะจ๊ะงานนี้ต้องเสร็จวันนี้ถ้าไม่เสร็จจะจ่ายค่าโอทีให้”ปานัสอ้าปากค้างกลืนน้ำลายลงคอพร้อมรีบเปิดเอกสารในแฟ้มอ่านรายละเอียดคร่าวๆพร้อมอุทานในใจ “ตายห่าไม่น่าเลยกูวันนี้จะเสร็จไหมเนี่ย” พร้อมรีบกุลีกุจอกลับไปนั่งทำที่โต๊ะตัวเองโซนหน้าห้องผู้บริหารแทบไม่มีเสียงพูดคุยตลอดช่วงบ่ายพี่สิริหันมายิ้มเป็นนัยให้เดนิมเดนิมค้อมหัวให้ก่อนจะก้มหน้าอ่านเอกสารในมือจนเลิกงานปานัสขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเมื่อเวลาเลิกงานพนักงานทุกคนทยอยกลับรวมไปถึงเดนิมที่เดินมาอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงานของตัวเองเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ขอบคุณปานัสมากนะที่ช่วยทำงานนี้แทนเราเราขอตัวก่อนนะ” ปานัสแสร้งยิ้มก่อนจะกัดฟันตอบ “กลับก่อนได้เลยจ้ะ” แต่ในใจก่นด่าอีกฝ่ายสิบกว่ารอบเดนิมที่กำลังลงลิฟต์ไปย
ทางด้านเดนิมโชคดีที่กาแฟวางพักไว้สักครู่บนเคาน์เตอร์แผลจึงไม่ได้ร้ายแรงเป็นแผลไหม้ระดับสองมีตุ่มพองใสแต่ก็ปวดแสบมากเพราะเส้นประสาทบริเวณผิวหนังยังเหลืออยู่ไม่ได้ถูกทำลายไปมากนักการหายของแผลใช้เวลาประมาณสองถึงสามสัปดาห์คุณหมอจึงให้ครีมทายาภายนอกรวมไปถึงการปิดแผลด้วยผ้าก๊อซอีกทั้งยังกำชับไม่ให้โดนน้ำรวมไปถึงที่ต้นขาด้านขวาด้วยเดนิมทำแผลเสร็จพี่แฝดก็โทรมาตอนอยู่ในรถพอดีเขากดรับสายก่อนจะทำน้ำเสียงปกติ “ว่าไงครับ”“วันนี้ว่างหรือเปล่าเราพี่สองคนจะไปรับไปทานข้าว”“วันนี้คงไม่ได้ครับ”“เดี๋ยวพี่โทรไปหาไอ้พัดให้”“อย่าดีกว่าครับเดี๋ยวพี่พัดจะว่าเอาตอนนี้ผมเป็นแค่พนักงานฝึกงานนะครับพี่แฝดอย่าลืม” เดนิมพยายามทำน้ำเสียงให้สดใส “อีกอย่างมีนักศึกษาฝึกงานคนอื่นมาฝึกด้วย”“แล้วเราจะว่างเมื่อไหร่” เดนีนแทรกขึ้นมา“เดี๋ยวถ้าว่างจะโทรไปนัดพี่ๆอีกทีนะครับไม่ต้องกลัวว่าพวกพี่แฝดจะไม่ได้จ่ายรับรองวันนั้นต้องจ่ายให้น้องทั้งวันนะครับ” แฝดต่างหัวเราะ “หาเวลามาให้ได้เถอะน้องคนเดียวจะเท่าไหร่เชียวแพงแค่ไหนก็เลี้ยงได้” ทั้งสามคนหัวเราะก่อนจะกดวางสายเดนิมถอนหายใจก่อนจะสตาร์ทรถกลับบ้านโดยไม่ได้ดูสายที่ไม่ได้รับก