ทางด้านปานัสเมื่อโดนดุไปซึ่งๆหน้าก็ดูจะนอบน้อมขึ้นแต่ก็ยังพยายามจะหักหน้าและปาดหน้าทำงานแทนเดนิมเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมือเจ็บ
“นิมช่วยดูตรงนี้หน่อยนะ” สิริเอ่ยพร้อมยื่นแฟ้มให้เดนิมยังไม่ทันยื่นมือออกไปรับปานัสกลับยื่นมือมารับแทน
“ให้นัสทำนะครับพี่สิริ” สิริเองก็มองหน้าเดนิมเมื่อเห็นเจ้าตัวพยักหน้าน้อยๆก็ยื่นแฟ้มใส่มือปานัสแทนพร้อมกำชับ
“ฝากด้วยนะจ๊ะงานนี้ต้องเสร็จวันนี้ถ้าไม่เสร็จจะจ่ายค่าโอทีให้”
ปานัสอ้าปากค้างกลืนน้ำลายลงคอพร้อมรีบเปิดเอกสารในแฟ้มอ่านรายละเอียดคร่าวๆพร้อมอุทานในใจ “ตายห่าไม่น่าเลยกูวันนี้จะเสร็จไหมเนี่ย” พร้อมรีบกุลีกุจอกลับไปนั่งทำที่โต๊ะตัวเองโซนหน้าห้องผู้บริหารแทบไม่มีเสียงพูดคุยตลอดช่วงบ่ายพี่สิริหันมายิ้มเป็นนัยให้เดนิมเดนิมค้อมหัวให้ก่อนจะก้มหน้าอ่านเอกสารในมือจนเลิกงาน
ปานัสขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเมื่อเวลาเลิกงานพนักงานทุกคนทยอยกลับรวมไปถึงเดนิมที่เดินมาอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงานของตัวเองเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ขอบคุณปานัสมากนะที่ช่วยทำงานนี้แทนเราเราขอตัวก่อนนะ” ปานัสแสร้งยิ้มก่อนจะกัดฟันตอบ “กลับก่อนได้เลยจ้ะ” แต่ในใจก่นด่าอีกฝ่ายสิบกว่ารอบเดนิมที่กำลังลงลิฟต์ไปยังลานจอดรถก็รู้สึกถึงเสียงสั่นครืดคราดของโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงเขาดูหน้าจอกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอก่อนจะกดรับสาย
“ครับ” ปลายสายเอ่ยเรียกชื่อเขาพร้อมกับถ้อยคำที่ทำให้เดนิมหัวใจพองฟูรีบกลับเพนท์เฮ้าส์ด้วยความรู้สึกลิงโลดพร้อมกับรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้า
เดนิมรีบกลับมาจัดอาหาร เลือกสั่งอาหารแต่ละร้านอย่างพิถีพิถันไม่ว่าจะเป็นเชิงเทียน ไวน์รสเลิศ มันเป็นมื้ออาหารมื้อแรกที่พี่พัดเอ่ยปากอยากจะทานกับเขา เดนิมตั้งหน้าตั้งตารอ แถมสองฝ่ามือยังชื้นไปด้วยเหงื่อเริ่มประหม่าเมื่อเวลาที่อีกฝ่ายระบุไว้ใกล้มาถึง เขาแยกอาหารทั้งสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งเป็นอาหารจานโปรดพี่พัด อีกฝั่งหนึ่งเป็นอาหารสำหรับเขาไม่มีจำพวกกุ้งเจือปน อีกทั้งคนแพ้อาหารแบบเขาต้องเป็นฝ่ายจัดการตัวเอง เขาจัดนั่นนี่เพลิน ๆ ก็ได้ยินเสียงเปิดประตู พิพัฒน์มีรูปร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้างยามเดินเข้ามาในห้องอาหารแทบจะบังอีกคนมิดชิด เดนิมไม่ได้ฉุกคิดว่าพี่พัดของเขาจะพาใครอีกคนมาด้วย สองตาโฟกัสแต่ใบหน้าคมคร้ามก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ล้างมือแล้วมาทานข้าวกันครับ” ใบหน้าเปื้อนยิ้มแต่งแต้มไปด้วยชีวิตชีวากลับต้องซีดเผือดเมื่อได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของใครอีกคนตามหลังมา
“อาหารเยอะแยะน่าทานทั้งนั้นเลย” นิชายิ้มหวานพร้อมยื่นกระเช้าผลไม้ให้เดนิมก่อนจะเอ่ย “พี่ขอโทษเรื่องคราวที่แล้วด้วยนะจ๊ะ” เดนิมตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกก่อนจะแค่นยิ้มให้กับตัวเอง ‘จริงสิเป็นไปไม่ได้ที่พี่พัดอยากจะทานข้าวกับเขาสำคัญตัวผิดไปอีกแล้ว’ แม้ว่าฝ่ามือจะสั่นเทาแต่เขาก็รับกระเช้าผลไม้นั่นมาก่อนจะเอ่ยขอบคุณเดนิมไม่รู้จะตอบกลับยังไงได้แต่เชิญอีกฝ่ายนั่งพร้อมเข็นเก้าอี้ให้ภาพมโนก่อนหน้าแตกเพล้งในหัวจากกินข้าวใต้เสียงเทียนเปลี่ยนเป็นกินข้าวด้วยน้ำตาแทน
“ถือซะว่าอาหารมื้อนี้แทนคำขอโทษจากผมละกันนะครับ” เดนิมเอ่ยเสียงเรียบรินไวน์ให้ทั้งสองก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับพิพัฒน์เดนิมเก็บความรู้สึกแย่ทั้งหลายไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยเขาตั้งหน้าตั้งตารอตั้งแต่ได้รับสายโทรศัพท์จากอีกฝ่าย
“พี่จะกลับไปทานข้าวที่บ้าน” อีกอย่างที่นี่เป็นเรือนหอของพวกเขา…ทั้งๆที่มีคนร่วมโต๊ะตั้งหลายคนแทนที่จะมีแต่ความครื้นเครงเสียงหัวเราะแต่กลับตรงกันข้ามนิชาเป็นฝ่ายชวนคุยสองคนพูดคุยกันอย่างสนิทสนมและสนุกสนานเดนิมคล้ายเป็นส่วนเกินอยากจะลุกไปตั้งแต่ตอนนี้แต่ก็กลัวจะเสียมารยาทเห็นนิชาตักอาหารให้พิพัฒน์อย่างเอาใจเดนิมพลันก้มมองอาหารในจานของตัวเองเขากินสลัดไปได้เพียงสองสามคำก็แทบกลืนไม่ลงเหมือนมีก้อนติดตรงลำคอ
ก้อนเนื้อแห่งความเสียใจละมั้ง
“ห้องของพัดเหรอคะ…” นิชาเอ่ยถามพิพัฒน์พยักหน้าแต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ “แล้วน้องนิมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” นิชาเอียงคอถามด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ดูกดดันอยากได้คำตอบ
“คุณพัดให้ผมเตรียมอาหารมื้อนี้ไว้ไถ่โทษคุณนิชาน่ะครับ…ผมไม่ได้อยู่ที่นี่” ก่อนจะเงยหน้าสบตากับคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามที่จ้องมองกันมาอยู่แล้วนิชาพยักหน้า
“แหม…พัดค่ะเมื่อก่อนชาเชียร์ให้คุณซื้อแต่คุณบ่ายเบี่ยงตลอดทำไมตอนนี้ถึงซื้อได้ละค่ะถ้าที่นี่ดูแลดีชาก็อยากจะได้สักห้องเอาไว้ลงทุนน่ะค่ะ”
“มันสะดวกสบายแม้จะไกลกว่าที่ทำงานนิดหน่อยและผมว่าราคาน่าจะขึ้นไปอีกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า”
เสียงสนทนาของคนสองคนเริ่มไม่เข้าหูของเดนิมเขาอยากจะตะโกนใส่หน้าอีกฝ่ายว่าพี่พัดคือสามีเป็นสามีทางพฤตินัยและนิตินัยแต่ทว่าความจริงกลับทำได้เพียงก้มหน้าพูดปดออกไปหากเขาพูดออกไปเกรงว่าบรรยากาศระหว่างเขากับพี่พัดคงแย่กว่าเดิมพี่พัดไม่ยินดีที่จะแต่งงานกับเขาด้วยซ้ำแถมยังคิดว่าเขาใช้วิธีการที่ต่ำช้ารั้งตัวอีกฝ่ายไว้
พลันเสียงครืดคราดในกระเป๋ากางเกงทำเอาเดนิมที่ตกอยู่ในภวังค์สะดุ้งก่อนจะขอตัว
“ผมขอตัวก่อนนะครับยังไงผมก็ต้องขอโทษคุณนิชาอีกครั้ง” เดนิมโค้งตัวให้อีกฝ่ายอย่างนอบน้อม
“ช่างเถอะถือว่าต่างฝ่ายต่างผิดละกันจริงไหมคะพัด” พิพัฒน์พยักหน้าแต่ก็ไม่พูดอะไรอีกเอาแต่จับจ้องใบหน้าซีดเผือดนั้นไม่วางตา
เดนิมเดินออกมานอกห้องเพื่อรับสายหันหลังให้พวกเขาสองคนไม่สนใจว่าพวกเขาทั้งสองจะทำอะไรกันต่อหลังจากนี้
สิบทิวาโทรมาเพราะว่ารถเสียใกล้ที่พักของเดนิมพอดีแต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรเขาก็อยากจะขอบคุณสิบทิวาที่โทรมาได้จังหวะพอดีเดนิมค่อยๆเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง ‘คนเขาไม่รักทำดีให้ตายก็ไม่คิดจะรัก’ นั้นคงจะจริงเขาดูเป็นคนเลวร้ายและหลอกลวงในสายตาพี่พัดไม่รู้ว่าเมื่อไหร่บทลงโทษนั้นจะสิ้นสุดเสียทีพี่พัดทรมานเขาโดยไม่ต้องใช้กำลังและสั่งสอนเขาด้วยวิธีการที่เจ็บแสบที่สุดเหมือนในครั้งนี้ไม่มีโอกาสให้เขาได้ตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“อ้อเปล่าครับ” เพราะว่าเดนิมไม่ชินเส้นทางจึงให้สิบทิวาเป็นฝ่ายขับรถของตนเสียเองส่วนตัวเองเท้าแขนเหม่อมองนอกรถขบคิดเรื่องราวต่างๆมากมายในหัว
“ขอโทษด้วยนะครับที่เรียกคุณมากลางดึก”
“ไม่เป็นไรครับอีกอย่างผมเอาเสื้อมาคืนคุณด้วย” เดนิมตอบโดยที่สายตายังทอดมองออกไปนอกรถ
“คุณทานอะไรมาหรือยังถ้ายัง…” สอบทิวาถามอ้อมๆ เดนิมก็ขานรับ “แล้วแต่คุณสิบทิวาเลยครับ”
สองคนแวะทานร้านอาหารริมทางสิบทิวาเป็นคนที่เข้ากับผู้อื่นได้ง่ายช่างพูดช่างคุยบรรยากาศหม่นหมองของเดนิมเมื่อครู่ถูกสิบทิวาชักจูงให้หลุดจากกับดักของความทุกข์เดนิมค่อยๆก้าวออกไปทีละก้าวความขุ่นข้องหมองใจค่อยๆถูกชะล้างออกไป “ร้านนี้เป็นร้านบะหมี่ชื่อดังเส้นทางร้านทำเองเหนียวนุ่ม” สิบทิวาอธิบาย “ร้านนี้ไม่มีกุ้งใช่ไหมครับ”
“ไม่มีแน่นอนอีกอย่างผมเขียนกำกับลงในใบสั่งแล้วว่าไม่ใส่กุ้งแห้ง” สิบทิวารีบตอบเดนิมยิ้มให้ก่อนจะเอ่ยขอบคุณอีกครั้งตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มเข้าไปแล้วแต่เขายังไม่อยากกลับไม่รู้ว่าสิบทิวาไปสรรหาเรื่องราวมากมายมาจากไหนและไม่รู้ว่าเพราะบรรยากาศหรือว่าคนตรงหน้ากันแน่ที่ทำให้เดนิมกินอาหารได้มากกว่าเดิมเขาทานไปตั้งสองชามอิ่มจนแทบลุกไม่ขึ้น
“ถ้าคุณยังไม่รีบไปเดินเล่นกับผมไหมครับ” เดนิมพยักหน้าก่อนจะเดินเคียงคู่กันไปข้างๆเป็นสวนสาธารณะที่จัดทำขึ้นมาใหม่ตรงกลางเป็นคูน้ำทอดยาวหลายกิโลเมตรเป็นแลนด์มาร์กจุดสำคัญที่ผู้คนสนใจมาพักผ่อนหย่อนใจอีกทีหนึ่งและเดนิมเองก็เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก “บรรยากาศเหมือนอยู่ต่างประเทศเลยนะครับ”
“เหมือนเกาหลีใช่ไหมล่ะครับ” สิบทิวาถามยิ้มๆสองคนหัวเราะออกมาพร้อมกันก่อนจะหยุดอยู่บนสะพานโค้งสองข้างทางประดับประดาไปด้วยไฟสีเหลือง ดูสบายตาเดนิมรู้สึกผ่อนคลายจนระบายรอยยิ้มออกมาทางใบหน้าไม่หยุด
“คุณเหมาะกับรอยยิ้มกว้างๆแบบนี้” สิบทิวาพูดพลางจ้องหน้าอีกฝ่ายไม่วางตาก่อนจะนึกขึ้นได้เอ่ยขอโทษ “เอ่อ…ผมขอโทษด้วยครับ” สิบทิวามือไม้เก้กังไปหมดท่าทีของอีกฝ่ายอยู่ในสายตาของเดนิมทั้งหมด
“ขอบคุณนะครับ…สำหรับวันนี้”
“ผมมากกว่าที่ต้องขอบคุณคุณ” สิบทิวาคล้ายมีบางอย่างจะพูดแต่ก็ไม่พูดมันออกมาได้แต่ยืนเป็นเพื่อนอีกฝ่ายสองคนต่างก็มองไปยังผืนน้ำข้างล่างวันนี้ดวงจันทร์เต็มดวงสาดส่องลงมาจนเห็นเงาของพวกเขาทั้งสองทอดไปยังบนผืนน้ำแม้ว่าสีหน้าจะราบเรียบแต่ทว่าดวงตาของเดนิมมันฟ้องทุกอย่างออกมาจนหมดสายตาของเดนิมที่เหม่อมองออกไปข้างหน้ามันวูบไหวและคล้ายกับกำลังเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตาความมีชีวิตชีวาก่อนหน้าเหมือนถูกกัดกินแทนที่ด้วยความโศกเศร้ามีชีวิตอยู่เพื่อรอวันพิพากษาอะไรทำนองนั้นเปล่าเปลี่ยวสิ้นหวังเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก
“หากคุณไม่สบายใจอยากจะระบาย…ผมยินดีรับฟัง” เดนิมหันมามองอีกฝ่ายก่อนจะยิ้มให้ “ขอบคุณนะครับมันก็แค่เรื่องไม่เป็นเรื่องเดี๋ยวมันก็ผ่านไป” ระหว่างนั้นไม่มีคำพูดสนทนาอะไรกันอีกเดนิมเองก็อยากจะอยู่เงียบๆตรงนี้สักพักให้เวลาตัวเองได้นึกตรึกตรองอะไรบางอย่าง
เดนิมกลับมาเพนท์เฮ้าส์ก็เกือบเที่ยงคืนเขาย่ำเท้าด้วยฝีเท้าเบาหวิวไม่รู้ว่าหลังจากที่เขาออกจากห้องไปแล้วทั้งสองคนจะยังไงกันต่อเขาไม่อยากคิดให้ปวดหัวอีกทั้งหลังจากวันแต่งงานพี่พัดเองก็ยื่นคำขาดว่าต่างฝ่ายต่างอยู่ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายเรื่องของกันและกันเขาแตะคีย์การ์ดด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ประเดประดังเข้ามาปิดประตูด้วยเรี่ยวแรงอันน้อยนิดก่อนจะสะดุ้งเมื่อเห็นแผ่นหลังของใครบางคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา
“ไปไหนมา” พิพัฒน์ถามเสียงเข้มโดยที่ไม่หันมามอง
“ไปทำธุระมาครับ…นิมขอตัวก่อนนะครับ” สองเท้าที่จะเดินกลับเข้าห้องตัวเองพลันหยุดอยู่กับที่
“รู้ตัวหรือเปล่าว่าวันนี้เสียมารยาทแค่ไหน”
“ถ้าพี่พัดบอกนิมสักคำนิมจะได้เตรียมตัวอีกอย่างนิมมีธุระจริงๆครับเลยต้องเสียมารยาท”
“ถ้าพี่บอกเราจริงๆเราจะยอมเหรอ”
“นิมไม่ใช่เด็กถ้าพี่พัดบอกนิมสักคำว่าอยากให้นิมขอโทษคุณนิชา…นิมทำให้ได้แต่ครั้งนี้เหมือนพี่พัดหลอก—” เดนิมนิ่งเงียบก่อนจะเรียบเรียงประโยคในหัวใหม่ “นิมก็ลืมฉุกคิดไปพี่พัดน่ะเหรอจะอยากทานข้าวกับนิม” เดนิมพูดเสียงเรียบก่อนจะย่ำเท้าเข้าไปในห้องนอนของตัวเองเขานั่งที่ปลายเตียงก่อนจะนอนแผ่หลาหมดเรี่ยวแรงจะโต้แย้งคนตรงหน้าเหมือนทะเลทรายที่ร้อนระอุที่ดูดซึมความชุ่มชื้นของพลังกายและพลังใจที่เขามีให้แห้งเหือดและค่อยๆเฉาตายลงไปอย่างช้าๆหนึ่งปีจะว่าจะสั้นก็ไม่สั้นจะยาวก็ไม่เชิงแต่ละวันเหมือนทะเลทุกข์ที่เดนิมต้องลุยฝ่าไปให้ได้เพราะเขาเลือกทางเดินนี้เองแม้ว่าระหว่างทางเขาต้องจ่ายด้วยการเฉือนเลือดเนื้อหัวใจของเขาจนกว่าการเดินทางนี้จะสิ้นสุด
สายตาที่ปกคลุมไปด้วยหยาดน้ำตาเหม่อมองไปยังรูปถ่ายในวันแต่งงานที่ติดอยู่ที่บนหัวเตียง
หลังจากวันนั้นเหมือนความสัมพันธ์ของทั้งสองจะย่ำแย่ลงไปอีกเดนิมเองก็แทบจะไม่เจอหรือปริปากพูดอะไรกับพิพัฒน์นอกเหนือจากการทำงานอีกทั้งเขายินดีสละที่ให้ปานัสได้ตามติดเจ้านายตามที่ใจปรารถนา เดนิมดูสุขุมและดูโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นภายในระยะสามเดือนที่ผ่านมาเขากลายเป็นคนเก็บงำอารมณ์ได้เก่งไม่แสดงออกทางสีหน้าและได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการฝึกงานที่นี่มีบ้างที่เขากลับไปบ้านของตัวเองแวะไปหาพี่แฝดไปชาร์จเอาพลังงานดีๆเข้ามาก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาฝึกงานจนจบที่บ้านก็ไม่มีใครเอ่ยถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพี่พัดเดนิมเองก็แวะไปหาคุณน้ามาลินีอย่างที่บอกแม้ว่าสักวันความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพี่พัดจบลงไปแต่ความสัมพันธ์ระหว่างคุณน้ามาลินีกลับเขาจะยังคงเดิมวันนี้เดนิมก็แวะมาหาและมาอยู่เป็นเพื่อนมาลินีทั้งวัน
“หนูนิม พี่เขาดูแลเราดีไหมลูก” มาลินีเอ่ยถาม
“ดีครับ”
“จริงหรือเปล่าถ้าพี่เขาทำอะไรบอกน้าได้นะ” เดนิมยิ้มให้ก่อนจะเข้าไปโอบกอด “ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอกครับคุณน้าสบายใจได้” มาลินีโอบกอดหนุ่มน้อยตรงหน้าพลางตบหลังให้กำลังใจ “สักวันพี่เค้าต้องเห็นความดีของหนูนะ”
เดนิมอยากจะตอบ ‘บางทีคงไม่มีวันนั้น’ ได้แต่กลืนก้อนสะอื้นลงคอยิ้มและพยักหน้าให้กับมาลินี
“จริงสิครับอีกไม่กี่สัปดาห์จะถึงวันเกิดพี่พัดแล้ว”
“จริงด้วยน้าลืมเสียสนิทเลยแล้วเราคิดว่ายังไง”
“หากพี่พัดรู้ว่านิมเป็นแม่งานคงไม่อยากมาเอาอย่างนี้ไหมครับ” สองคนปรึกษาเรื่องงานวันเกิดของพิพัฒน์จนมืดค่ำเดนิมจึงขอตัวกลับเดนิมไม่ได้อยากทำตัวเป็นพ่อพระไล่ปิดทองหลังพระอะไรแบบนี้แต่เพียงเพราะอยากจบกันด้วยความรู้สึกดีขอแค่พี่พัดไม่เกลียดชังเขาเพิ่มก็พอ…
บริษัทมีการจัดเลี้ยงฝึกงานแต่เดนิมบอกปัดเขาไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยงกับปัญหาอีกปานัสเป็นญาติของนิชาอีกทั้งก็ไม่ชอบขี้หน้าเขาเป็นทุนเดิมงานเลี้ยงครั้งนี้ไม่ไปดีที่สุดพี่พัดเองก็ไม่ได้ว่าอะไรมีแต่ปานัสที่ดีอกดีใจคุณสิริเองก็เอ่ยชมเขามากขึ้นกว่าแต่ก่อนเดนิมคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วคำชมที่มาจากความจริงใจเพียงเท่านี้ก็มีกำลังใจให้เด็กฝึกงานอย่างเขากระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้นไปอีกอีกอย่างเดนิมก็ไม่ได้จบงานด้านบริหารมาเขาทำได้ดีขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้วชีวิตหลังจากนี้จะได้เป็นอิสระเสียทีเดนิมเลิกเฝ้ารอและเลิกฝันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะทำอะไรดีๆให้พี่พัดแต่ทำไปเหมือนขว้างหินลงสู่ทะเลพี่พัดเกลียดเขาจะตาย…ไม่เห็นหน้ากันจะดีที่สุดเดนิมไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะกลับมาค้างทุกวันหยุดสุดสัปดาห์หรือไม่เขาไม่คิดโทรถามไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญและลำบากใจวันนี้วันศุกร์เขาไม่มีธุระที่ไหนเลยเข้าครัวเองทำอาหารสองสามอย่างทีละน้อยสำหรับคนคนเดียวไข่เจียวตรงหน้าฟูฟ่องส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องครัวเดนิมแกะข้าวหุงสำเร็จเวฟก่อนจะแกะใส่จานแม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้วเดนิมเลือกที่จะหันหลังแล้วทำเป็นไม่เห็นก้มลงทานอาหารตรงหน้
เดนิมไม่ออกจากห้องของตัวเองแม้ว่าป้าแม่บ้านที่แม่ของเขาส่งมาทำความสะอาดให้ทุกวันอาทิตย์ก็ตามภายในห้องมีตู้เย็นขนาดเล็กขนมขบเคี้ยวรวมไปถึงกาน้ำร้อนขนาดพกพาอีกทั้งเพราะการเขียนนิยายออกมาสักเรื่องหนึ่งมันใช้เวลาและในตอนที่อารมณ์พาไปหรือจินตนาการพรั่งพรูเดนิมไม่อยากจะลุกออกไปทำอะไรนิ้วเรียวยาวเคาะแป้นพิมพ์อยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียงของแป้นพิมพ์ทำให้เขาลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าสมาธิจดจ่ออยู่กับหน้าจอและตัวหนังสือตรงหน้าและเขาใช้มันเพื่อระบายของเสียภายในจิตใจเขาระบายมันออกมาเป็นตัวหนังสือตัวละครบางตัวก็คือตัวเองที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาขัดเกลาตัวละครผ่านเหตุการณ์สมมุติต่างๆมากมายมานับไม่ถ้วนหาทางออกให้ตัวละครเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายแต่น่าเสียดายตัวเองกลับหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอเขาติดอยู่ในวังวนความเจ็บปวดของความรักมายาวนานนับสิบปีรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีใจแต่ก็ยังจะเฝ้ารออดทนกับสายตาที่หยามเหยียดอดทนต่อถ้อยคำที่บาดลึกถึงกระดูกคล้ายกับคนไม่รู้สึกรู้สา สุดท้ายกลับฝังตัวเองทั้งเป็นด้วยการทอดกายให้อีกฝ่ายได้เชยชม ในฐานะนักเขียนหากตัวละครตัวนี้จะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่แ
เดนิมเดินทอดน่องไปตามชายหาด ท้องเริ่มปวดบิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงนั่งตรงเปลที่ชายหาดผูกไว้ นั่งสักพักเลยล้มตัวนอน มือก็ได้แต่กดท้องตัวเองเอาไว้ เดนิมเป็นโรคกระเพาะทานอาหารไม่ตรงเวลาก็จะปวดจนทรมาน อีกอย่างยาลดกรดก็อยู่ในกระเป๋า ตอนนี้เขาเหนื่อยทั้งกายและใจเลยอยากจะนั่งพักสักครู่ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี พี่พัดตักอาหารให้เขา แต่เป็นสิ่งที่ฆ่าเขาให้ตายได้ อีกทั้งตอนสมัยที่เดนิมยังเด็ก หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เดนิมประทับใจในตัวพี่พัดของเขาก็คือพี่พัดจะเป็นฝ่ายคอยระวังเรื่องอาหารการกินของเขาทุกครั้งที่ต้องออกไปทานอาหารข้างนอกกันรวมถึงแฝด แฝดมักจะเผอเรอไม่ถามไถ่หรือมักจะสั่งกุ้งมากิน แต่เป็นพี่พัดเองที่คอยเอาใจใส่ และหาร้านที่ไม่มีส่วนผสมของกุ้งเพื่อเดนิมวันเวลาผ่านพ้นไปคนเราหากเป็นเรื่องสำคัญมักจะไม่ลืม…เดนิมยิ้มเยาะให้ตัวเองก่อนจะนอนอยู่อย่างนั้นแขนซ้ายปิดทับดวงตาปิดบังความน้อยเนื้อต่ำใจและการเดินหนีหรือหลีกเลี่ยงเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นเดนิมจึงนิยามความรักของตัวเองว่าเป็นรักที่ไม่ประกอบวิ่งมายาวนานเพื่อคนคนเดียวมานับสิบปีเขาแพ้กุ้งแต่พี่พ
เดนิมแตะบัตรค่อยๆเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายทำอะไรอยู่เดนิมเปลี่ยนเป็นรองเท้าสลิปเปอร์ก่อนจะเห็นว่ากระเป๋าของตัวเองยังวางอยู่ที่หน้าประตูเหลือเพียงกระเป๋าใบเดียวพี่พัดคงกลับเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วเดนิมกำที่จับกระเป๋าล้อเลื่อนของตัวเองแน่นก่อนจะตัดสินใจที่จะไปนอนกับพี่แฝดเขาไม่อยากให้การมาทำงานครั้งนี้ของพี่พัดมีปัญหาหรือรู้สึกอึดอัดเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินออกมาจากประตูเสียงเอ่ยราบเรียบก็ทักขึ้นมา“เข้ามาแล้วจะออกไปไหนอีก” น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์แต่เดนิมรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจอยู่เนืองๆเขาไม่ได้ตอบแต่ค่อยๆเดินผ่านโถงทางเดินเข้าไปก่อนจะเจอกับโซนห้องนั่งเล่นตรงกลางโซฟาหันหน้าเข้าหาทะเลภาพวิวเบื้องหน้ามีสระน้ำขนาดกลางส่วนตัวให้แขกได้พักผ่อนมีตาข่ายให้ได้นอนอาบแดดนับได้ว่าเป็นห้องพักที่เยี่ยมยอดที่สุดของ The Grand DAE เลยก็ว่าได้พิพัฒน์นั่งจิบบรั่นดีสีอำพันในมือสายตาทอดมองไปยังวิวตรงหน้าน้อยครั้งนักที่เดนิมจะเห็นว่าอีกฝ่ายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่จะเป็นชาร้อนหากต้องอ่านรายงานค่อนคืน“คือ…นิมจะไปนอนกับพี่แฝด”“ใช่แ
ช่วงเช้าพายุฝนสงบท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนว่าไม่เคยเกิดพายุฝนคะนองมาก่อนเดนิมตื่นเช้าเหมือนเช่นเคยอาหารเช้ามาส่งแล้วอีกอย่างเขาเองก็ไม่ชอบแบบที่ลอยอยู่กลางน้ำเพราะนึกถึงเวลาเศษอาหารตกลงในสระมันทำความสะอาดค่อนข้างยากเขาจึงบอกให้บริกรวางไว้ที่ขอบสระเดนิมรออาหารย่อยสักพักก็ลงไปว่ายน้ำเขาสวมกางเกงว่ายน้ำเพียงตัวเดียวอีกอย่างก็เป็นสระส่วนตัวน้ำเย็นๆบรรยากาศยามเช้าที่แจ่มใสรวมไปถึงทัศนียภาพของทิวทัศน์ตรงหน้าทำให้เขาไม่อยากกลับเลยจริงๆที่ว่ากันว่านั่งโง่ๆอยู่ริมทะเลนั้นไม่เกินจริงเดนิมหันหลังเท้าคางมองทิวทัศน์ข้างหน้าน้ำทะเลสีฟ้าครามตัดกับเส้นขอบกับพระอาทิตย์อย่างลงตัวเห็นพี่แฝดบอกว่าในทะเลมีพวกปลากระเบนว่ายมาทักทายบริเวณบังกะโลกลางน้ำแห่งนี้ด้วย เดนิมจ้องมองผืนน้ำทะเลอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาอยู่คู่หนึ่งจดจ้องการกระทำของเขาตลอดตั้งแต่แหวกว่ายอยู่ในสระเดนิมหันหลังให้ทิวทัศน์ก่อนจะคว้าเอาห่วงยางที่นอนลอยน้ำเขาขึ้นไปนอนบนนั้นแล้วยิ้มแฉ่งให้กับพระอาทิตย์สองมือวักน้ำจนทำให้ห่วงยางนั้นลอยไปลอยมา“เล่นเหมือนเด็กๆไปได้” ไม่รู้เมื่อไหร่ที่พิพัฒน์เอาแต่จดจ้องร่างบางที่สวมเพียงแค่กางเกงว่ายน้ำตัว
ทางด้านพิพัฒน์เองเขาจดจ้องใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มมีชีวิตชีวาของเดนิมโดยไม่ละสายตาไปสักเสี้ยววินาที มันไม่ใช่รอยยิ้มแกน ๆ ที่คอยส่งมาให้เขา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มไปถึงดวงตา เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ พิพัฒน์สังเกตเห็นว่าเดนิมทำเหมือนว่าเขาเป็นยักษ์เป็นมารเวลาที่เข้าใกล้ และมักจะก้าวเท้าถอยหลังเสมอ คล้ายว่าเป็นการขีดเส้นระหว่างกัน ไม่มีใครควรล้ำเส้นกันไปมากกว่านี้ แถมยังเป็นฝ่ายหลบสายตา เหมือนว่าการมีอยู่ของตัวเองทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกแย่เดนิมในอุดมคติของเขากับเดนิมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนเป็นคนละคนตอนแรกที่เกิดเรื่องเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยากจะเข้าไปซัดหน้าหวานๆที่เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักเปรี้ยงพิพัฒน์คิดว่าเดนิมร้ายกาจไม่งั้นเขาไม่ต้องมาตกกระไดพลอยโจนอยู่อย่างนี้และการแต่งงานครั้งนี้จะทำให้เจ้าตัวสมหวังอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้แต่พอมาได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันยิ่งได้ใกล้ชิดยิ่งได้รู้จักเหมือนว่าช่วงที่ห่างหายขาดการติดต่อกันไปเดนิมในวันวานยังคงเหมือนเดิมไม่ได้ร้ายกาจหรือมีเล่ห์เหลี่ยมแต่อย่างใดกลับเงียบขรึมเก็บงำความรู้สึกได้เก่งขึ้นและมักจะหลบเลี่ยงปัญหามากกว่าเผชิญหน้าอีกทั้งรอยยิ้มที่ประดับ
เดนิมตื่นมาก็บ่ายสามกว่า ๆ แล้ว เขาคิดว่าตอนนี้พี่พัดคงเก็บของกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว จึงกินนอนเล่นกับพวกแฝด เป็นการรวมตัวกันของครอบครัวที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เล่นน้ำด้วยกันเหมือนเด็กอีกครั้ง พอได้วางความรู้สึกเหล่านั้นลง เดนิมค้นพบว่าความสุขของเขาได้เพิ่มขึ้นทีละนิด แม้จะมีความรู้สึกผิดอยู่เต็มอก แต่ได้แพลนตอนจบเอาไว้แล้วเหมือนกับนิยายที่มีตอนจบไม่ว่าจะสมหวังผิดหวังท้ายสุดก็ต้องเดินทางมาถึงจุดจบไม่ว่าบทสุดท้ายจุดจบจะเป็นเช่นไรเขาเพียงต้องยอมรับมันให้ได้‘ไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง’กว่าจะรู้ว่าความรักในรูปแบบของตัวเองเป็นความรักที่ไม่สมประกอบก็ทำเอาคนอื่นวุ่นวายกันไปทั่วรักที่ดีไม่จำเป็นต้องครอบครองเป็นเจ้าของเดนิมจึงรู้จักที่จะปล่อยวางมันลงคล้ายกับหัวใจได้คลายหนามแหลมที่เกี่ยวพันรัดอยู่บาดแผลและเลือดที่ไหลรินก่อนหน้าค่อยๆสมานเข้าด้วยกันอย่างช้าๆแม้จะทิ้งร่องรอยแผลเป็นเอาไว้แต่ก็เป็นเครื่องเตือนความจำว่าเขาไม่ควรจะรักใครจนทำร้ายตัวเองแบบนั้นอีกและเขาจะต้องเป็นคนที่จัดการความรู้สึกของตนเองไม่ทำให้คนที่รักต้องรู้สึกอึดอัดกับความรู้สึกที่เขามีเดนิมเล่นน้ำจนเหนื่อยหอบอยู่กินดื่มกับแฝดจน
ทะเบียนสมรสจอมปลอมที่ปราศจากความรัก เดนิมทำได้เพียงกกกอดมันเอาไว้อย่างหวงแหน เพราะอย่างน้อยมันก็คือเชือกสุดท้ายที่จะเหนี่ยวรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ข้างกาย แม้จะถูกตราหน้าว่าเห็นแก่ตัวก็ตามในตอนจบของนิยายการที่คนสองคนตกลงปลงใจแต่งงานเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยกันนั่นคือตอนจบที่สมบูรณ์พูนสุขแต่สำหรับชีวิตการแต่งงานของเดนิมไม่ได้สวยงามเหมือนดั่งในตอนจบของนิยายการแต่งงานระหว่างพวกเขาทั้งสองคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดหากย้อนเวลากลับไปได้เดนิมจะไม่ตัดสินใจแต่งงานกับอีกฝ่ายอย่างเด็ดขาดอย่างน้อยระหว่างเราอาจจะยังคงรักษาความรู้สึกดีๆในฐานะน้องนุ่งดีกว่าเป็นอดีตคู่สมรสที่ไม่ได้มีความรักให้แก่กันและไม่มีวันจะสานสัมพันธ์ไปเป็นคนรักของกันและกันได้พี่พัดเกลียดเขายังกะอะไรดีการหย่าขาดถือเป็นการจบเรื่องราวทั้งหมดทนายที่เดนิมจ้างมาขยับแว่นตาก่อนจะกวาดสายตาอ่านเอกสารในมืออีกครั้งคิ้วนิ่วขมวดก่อนจะอ่านเอกสารอื่นๆอีกสองสามรอบอ่านเพื่อทำความเข้าใจถึงจุดประสงค์ของผู้ร่างเอกสารฉบับนี้ขึ้นมาก่อนจะเอ่ยถามผู้ว่าจ้างเพื่อความแน่ใจและไม่ได้ร่างเอกสารเหล่านี้ขึ้นมาด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบ“คุณเดนิมแน่ใจนะครับว่าไ
เดนิมตื่นมาก็บ่ายสามกว่า ๆ แล้ว เขาคิดว่าตอนนี้พี่พัดคงเก็บของกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว จึงกินนอนเล่นกับพวกแฝด เป็นการรวมตัวกันของครอบครัวที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เล่นน้ำด้วยกันเหมือนเด็กอีกครั้ง พอได้วางความรู้สึกเหล่านั้นลง เดนิมค้นพบว่าความสุขของเขาได้เพิ่มขึ้นทีละนิด แม้จะมีความรู้สึกผิดอยู่เต็มอก แต่ได้แพลนตอนจบเอาไว้แล้วเหมือนกับนิยายที่มีตอนจบไม่ว่าจะสมหวังผิดหวังท้ายสุดก็ต้องเดินทางมาถึงจุดจบไม่ว่าบทสุดท้ายจุดจบจะเป็นเช่นไรเขาเพียงต้องยอมรับมันให้ได้‘ไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง’กว่าจะรู้ว่าความรักในรูปแบบของตัวเองเป็นความรักที่ไม่สมประกอบก็ทำเอาคนอื่นวุ่นวายกันไปทั่วรักที่ดีไม่จำเป็นต้องครอบครองเป็นเจ้าของเดนิมจึงรู้จักที่จะปล่อยวางมันลงคล้ายกับหัวใจได้คลายหนามแหลมที่เกี่ยวพันรัดอยู่บาดแผลและเลือดที่ไหลรินก่อนหน้าค่อยๆสมานเข้าด้วยกันอย่างช้าๆแม้จะทิ้งร่องรอยแผลเป็นเอาไว้แต่ก็เป็นเครื่องเตือนความจำว่าเขาไม่ควรจะรักใครจนทำร้ายตัวเองแบบนั้นอีกและเขาจะต้องเป็นคนที่จัดการความรู้สึกของตนเองไม่ทำให้คนที่รักต้องรู้สึกอึดอัดกับความรู้สึกที่เขามีเดนิมเล่นน้ำจนเหนื่อยหอบอยู่กินดื่มกับแฝดจน
ทางด้านพิพัฒน์เองเขาจดจ้องใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มมีชีวิตชีวาของเดนิมโดยไม่ละสายตาไปสักเสี้ยววินาที มันไม่ใช่รอยยิ้มแกน ๆ ที่คอยส่งมาให้เขา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มไปถึงดวงตา เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ พิพัฒน์สังเกตเห็นว่าเดนิมทำเหมือนว่าเขาเป็นยักษ์เป็นมารเวลาที่เข้าใกล้ และมักจะก้าวเท้าถอยหลังเสมอ คล้ายว่าเป็นการขีดเส้นระหว่างกัน ไม่มีใครควรล้ำเส้นกันไปมากกว่านี้ แถมยังเป็นฝ่ายหลบสายตา เหมือนว่าการมีอยู่ของตัวเองทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกแย่เดนิมในอุดมคติของเขากับเดนิมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนเป็นคนละคนตอนแรกที่เกิดเรื่องเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยากจะเข้าไปซัดหน้าหวานๆที่เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักเปรี้ยงพิพัฒน์คิดว่าเดนิมร้ายกาจไม่งั้นเขาไม่ต้องมาตกกระไดพลอยโจนอยู่อย่างนี้และการแต่งงานครั้งนี้จะทำให้เจ้าตัวสมหวังอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้แต่พอมาได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันยิ่งได้ใกล้ชิดยิ่งได้รู้จักเหมือนว่าช่วงที่ห่างหายขาดการติดต่อกันไปเดนิมในวันวานยังคงเหมือนเดิมไม่ได้ร้ายกาจหรือมีเล่ห์เหลี่ยมแต่อย่างใดกลับเงียบขรึมเก็บงำความรู้สึกได้เก่งขึ้นและมักจะหลบเลี่ยงปัญหามากกว่าเผชิญหน้าอีกทั้งรอยยิ้มที่ประดับ
ช่วงเช้าพายุฝนสงบท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนว่าไม่เคยเกิดพายุฝนคะนองมาก่อนเดนิมตื่นเช้าเหมือนเช่นเคยอาหารเช้ามาส่งแล้วอีกอย่างเขาเองก็ไม่ชอบแบบที่ลอยอยู่กลางน้ำเพราะนึกถึงเวลาเศษอาหารตกลงในสระมันทำความสะอาดค่อนข้างยากเขาจึงบอกให้บริกรวางไว้ที่ขอบสระเดนิมรออาหารย่อยสักพักก็ลงไปว่ายน้ำเขาสวมกางเกงว่ายน้ำเพียงตัวเดียวอีกอย่างก็เป็นสระส่วนตัวน้ำเย็นๆบรรยากาศยามเช้าที่แจ่มใสรวมไปถึงทัศนียภาพของทิวทัศน์ตรงหน้าทำให้เขาไม่อยากกลับเลยจริงๆที่ว่ากันว่านั่งโง่ๆอยู่ริมทะเลนั้นไม่เกินจริงเดนิมหันหลังเท้าคางมองทิวทัศน์ข้างหน้าน้ำทะเลสีฟ้าครามตัดกับเส้นขอบกับพระอาทิตย์อย่างลงตัวเห็นพี่แฝดบอกว่าในทะเลมีพวกปลากระเบนว่ายมาทักทายบริเวณบังกะโลกลางน้ำแห่งนี้ด้วย เดนิมจ้องมองผืนน้ำทะเลอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาอยู่คู่หนึ่งจดจ้องการกระทำของเขาตลอดตั้งแต่แหวกว่ายอยู่ในสระเดนิมหันหลังให้ทิวทัศน์ก่อนจะคว้าเอาห่วงยางที่นอนลอยน้ำเขาขึ้นไปนอนบนนั้นแล้วยิ้มแฉ่งให้กับพระอาทิตย์สองมือวักน้ำจนทำให้ห่วงยางนั้นลอยไปลอยมา“เล่นเหมือนเด็กๆไปได้” ไม่รู้เมื่อไหร่ที่พิพัฒน์เอาแต่จดจ้องร่างบางที่สวมเพียงแค่กางเกงว่ายน้ำตัว
เดนิมแตะบัตรค่อยๆเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายทำอะไรอยู่เดนิมเปลี่ยนเป็นรองเท้าสลิปเปอร์ก่อนจะเห็นว่ากระเป๋าของตัวเองยังวางอยู่ที่หน้าประตูเหลือเพียงกระเป๋าใบเดียวพี่พัดคงกลับเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วเดนิมกำที่จับกระเป๋าล้อเลื่อนของตัวเองแน่นก่อนจะตัดสินใจที่จะไปนอนกับพี่แฝดเขาไม่อยากให้การมาทำงานครั้งนี้ของพี่พัดมีปัญหาหรือรู้สึกอึดอัดเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินออกมาจากประตูเสียงเอ่ยราบเรียบก็ทักขึ้นมา“เข้ามาแล้วจะออกไปไหนอีก” น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์แต่เดนิมรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจอยู่เนืองๆเขาไม่ได้ตอบแต่ค่อยๆเดินผ่านโถงทางเดินเข้าไปก่อนจะเจอกับโซนห้องนั่งเล่นตรงกลางโซฟาหันหน้าเข้าหาทะเลภาพวิวเบื้องหน้ามีสระน้ำขนาดกลางส่วนตัวให้แขกได้พักผ่อนมีตาข่ายให้ได้นอนอาบแดดนับได้ว่าเป็นห้องพักที่เยี่ยมยอดที่สุดของ The Grand DAE เลยก็ว่าได้พิพัฒน์นั่งจิบบรั่นดีสีอำพันในมือสายตาทอดมองไปยังวิวตรงหน้าน้อยครั้งนักที่เดนิมจะเห็นว่าอีกฝ่ายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่จะเป็นชาร้อนหากต้องอ่านรายงานค่อนคืน“คือ…นิมจะไปนอนกับพี่แฝด”“ใช่แ
เดนิมเดินทอดน่องไปตามชายหาด ท้องเริ่มปวดบิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงนั่งตรงเปลที่ชายหาดผูกไว้ นั่งสักพักเลยล้มตัวนอน มือก็ได้แต่กดท้องตัวเองเอาไว้ เดนิมเป็นโรคกระเพาะทานอาหารไม่ตรงเวลาก็จะปวดจนทรมาน อีกอย่างยาลดกรดก็อยู่ในกระเป๋า ตอนนี้เขาเหนื่อยทั้งกายและใจเลยอยากจะนั่งพักสักครู่ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี พี่พัดตักอาหารให้เขา แต่เป็นสิ่งที่ฆ่าเขาให้ตายได้ อีกทั้งตอนสมัยที่เดนิมยังเด็ก หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เดนิมประทับใจในตัวพี่พัดของเขาก็คือพี่พัดจะเป็นฝ่ายคอยระวังเรื่องอาหารการกินของเขาทุกครั้งที่ต้องออกไปทานอาหารข้างนอกกันรวมถึงแฝด แฝดมักจะเผอเรอไม่ถามไถ่หรือมักจะสั่งกุ้งมากิน แต่เป็นพี่พัดเองที่คอยเอาใจใส่ และหาร้านที่ไม่มีส่วนผสมของกุ้งเพื่อเดนิมวันเวลาผ่านพ้นไปคนเราหากเป็นเรื่องสำคัญมักจะไม่ลืม…เดนิมยิ้มเยาะให้ตัวเองก่อนจะนอนอยู่อย่างนั้นแขนซ้ายปิดทับดวงตาปิดบังความน้อยเนื้อต่ำใจและการเดินหนีหรือหลีกเลี่ยงเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นเดนิมจึงนิยามความรักของตัวเองว่าเป็นรักที่ไม่ประกอบวิ่งมายาวนานเพื่อคนคนเดียวมานับสิบปีเขาแพ้กุ้งแต่พี่พ
เดนิมไม่ออกจากห้องของตัวเองแม้ว่าป้าแม่บ้านที่แม่ของเขาส่งมาทำความสะอาดให้ทุกวันอาทิตย์ก็ตามภายในห้องมีตู้เย็นขนาดเล็กขนมขบเคี้ยวรวมไปถึงกาน้ำร้อนขนาดพกพาอีกทั้งเพราะการเขียนนิยายออกมาสักเรื่องหนึ่งมันใช้เวลาและในตอนที่อารมณ์พาไปหรือจินตนาการพรั่งพรูเดนิมไม่อยากจะลุกออกไปทำอะไรนิ้วเรียวยาวเคาะแป้นพิมพ์อยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียงของแป้นพิมพ์ทำให้เขาลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าสมาธิจดจ่ออยู่กับหน้าจอและตัวหนังสือตรงหน้าและเขาใช้มันเพื่อระบายของเสียภายในจิตใจเขาระบายมันออกมาเป็นตัวหนังสือตัวละครบางตัวก็คือตัวเองที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาขัดเกลาตัวละครผ่านเหตุการณ์สมมุติต่างๆมากมายมานับไม่ถ้วนหาทางออกให้ตัวละครเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายแต่น่าเสียดายตัวเองกลับหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอเขาติดอยู่ในวังวนความเจ็บปวดของความรักมายาวนานนับสิบปีรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีใจแต่ก็ยังจะเฝ้ารออดทนกับสายตาที่หยามเหยียดอดทนต่อถ้อยคำที่บาดลึกถึงกระดูกคล้ายกับคนไม่รู้สึกรู้สา สุดท้ายกลับฝังตัวเองทั้งเป็นด้วยการทอดกายให้อีกฝ่ายได้เชยชม ในฐานะนักเขียนหากตัวละครตัวนี้จะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่แ
บริษัทมีการจัดเลี้ยงฝึกงานแต่เดนิมบอกปัดเขาไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยงกับปัญหาอีกปานัสเป็นญาติของนิชาอีกทั้งก็ไม่ชอบขี้หน้าเขาเป็นทุนเดิมงานเลี้ยงครั้งนี้ไม่ไปดีที่สุดพี่พัดเองก็ไม่ได้ว่าอะไรมีแต่ปานัสที่ดีอกดีใจคุณสิริเองก็เอ่ยชมเขามากขึ้นกว่าแต่ก่อนเดนิมคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วคำชมที่มาจากความจริงใจเพียงเท่านี้ก็มีกำลังใจให้เด็กฝึกงานอย่างเขากระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้นไปอีกอีกอย่างเดนิมก็ไม่ได้จบงานด้านบริหารมาเขาทำได้ดีขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้วชีวิตหลังจากนี้จะได้เป็นอิสระเสียทีเดนิมเลิกเฝ้ารอและเลิกฝันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะทำอะไรดีๆให้พี่พัดแต่ทำไปเหมือนขว้างหินลงสู่ทะเลพี่พัดเกลียดเขาจะตาย…ไม่เห็นหน้ากันจะดีที่สุดเดนิมไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะกลับมาค้างทุกวันหยุดสุดสัปดาห์หรือไม่เขาไม่คิดโทรถามไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญและลำบากใจวันนี้วันศุกร์เขาไม่มีธุระที่ไหนเลยเข้าครัวเองทำอาหารสองสามอย่างทีละน้อยสำหรับคนคนเดียวไข่เจียวตรงหน้าฟูฟ่องส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องครัวเดนิมแกะข้าวหุงสำเร็จเวฟก่อนจะแกะใส่จานแม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้วเดนิมเลือกที่จะหันหลังแล้วทำเป็นไม่เห็นก้มลงทานอาหารตรงหน้
ทางด้านปานัสเมื่อโดนดุไปซึ่งๆหน้าก็ดูจะนอบน้อมขึ้นแต่ก็ยังพยายามจะหักหน้าและปาดหน้าทำงานแทนเดนิมเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมือเจ็บ“นิมช่วยดูตรงนี้หน่อยนะ” สิริเอ่ยพร้อมยื่นแฟ้มให้เดนิมยังไม่ทันยื่นมือออกไปรับปานัสกลับยื่นมือมารับแทน“ให้นัสทำนะครับพี่สิริ” สิริเองก็มองหน้าเดนิมเมื่อเห็นเจ้าตัวพยักหน้าน้อยๆก็ยื่นแฟ้มใส่มือปานัสแทนพร้อมกำชับ“ฝากด้วยนะจ๊ะงานนี้ต้องเสร็จวันนี้ถ้าไม่เสร็จจะจ่ายค่าโอทีให้”ปานัสอ้าปากค้างกลืนน้ำลายลงคอพร้อมรีบเปิดเอกสารในแฟ้มอ่านรายละเอียดคร่าวๆพร้อมอุทานในใจ “ตายห่าไม่น่าเลยกูวันนี้จะเสร็จไหมเนี่ย” พร้อมรีบกุลีกุจอกลับไปนั่งทำที่โต๊ะตัวเองโซนหน้าห้องผู้บริหารแทบไม่มีเสียงพูดคุยตลอดช่วงบ่ายพี่สิริหันมายิ้มเป็นนัยให้เดนิมเดนิมค้อมหัวให้ก่อนจะก้มหน้าอ่านเอกสารในมือจนเลิกงานปานัสขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเมื่อเวลาเลิกงานพนักงานทุกคนทยอยกลับรวมไปถึงเดนิมที่เดินมาอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงานของตัวเองเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ขอบคุณปานัสมากนะที่ช่วยทำงานนี้แทนเราเราขอตัวก่อนนะ” ปานัสแสร้งยิ้มก่อนจะกัดฟันตอบ “กลับก่อนได้เลยจ้ะ” แต่ในใจก่นด่าอีกฝ่ายสิบกว่ารอบเดนิมที่กำลังลงลิฟต์ไปย
ทางด้านเดนิมโชคดีที่กาแฟวางพักไว้สักครู่บนเคาน์เตอร์แผลจึงไม่ได้ร้ายแรงเป็นแผลไหม้ระดับสองมีตุ่มพองใสแต่ก็ปวดแสบมากเพราะเส้นประสาทบริเวณผิวหนังยังเหลืออยู่ไม่ได้ถูกทำลายไปมากนักการหายของแผลใช้เวลาประมาณสองถึงสามสัปดาห์คุณหมอจึงให้ครีมทายาภายนอกรวมไปถึงการปิดแผลด้วยผ้าก๊อซอีกทั้งยังกำชับไม่ให้โดนน้ำรวมไปถึงที่ต้นขาด้านขวาด้วยเดนิมทำแผลเสร็จพี่แฝดก็โทรมาตอนอยู่ในรถพอดีเขากดรับสายก่อนจะทำน้ำเสียงปกติ “ว่าไงครับ”“วันนี้ว่างหรือเปล่าเราพี่สองคนจะไปรับไปทานข้าว”“วันนี้คงไม่ได้ครับ”“เดี๋ยวพี่โทรไปหาไอ้พัดให้”“อย่าดีกว่าครับเดี๋ยวพี่พัดจะว่าเอาตอนนี้ผมเป็นแค่พนักงานฝึกงานนะครับพี่แฝดอย่าลืม” เดนิมพยายามทำน้ำเสียงให้สดใส “อีกอย่างมีนักศึกษาฝึกงานคนอื่นมาฝึกด้วย”“แล้วเราจะว่างเมื่อไหร่” เดนีนแทรกขึ้นมา“เดี๋ยวถ้าว่างจะโทรไปนัดพี่ๆอีกทีนะครับไม่ต้องกลัวว่าพวกพี่แฝดจะไม่ได้จ่ายรับรองวันนั้นต้องจ่ายให้น้องทั้งวันนะครับ” แฝดต่างหัวเราะ “หาเวลามาให้ได้เถอะน้องคนเดียวจะเท่าไหร่เชียวแพงแค่ไหนก็เลี้ยงได้” ทั้งสามคนหัวเราะก่อนจะกดวางสายเดนิมถอนหายใจก่อนจะสตาร์ทรถกลับบ้านโดยไม่ได้ดูสายที่ไม่ได้รับก