แม้จะตกลงอยู่ร่วมกันในทุกวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ แต่เดนิมคิดว่าไม่เจอกันดีที่สุด อย่างน้อยก็ไม่ต้องเจอกันให้เสียความรู้สึก และถือเป็นการฆ่าเวลาไปในตัว และเดนิมกลัว กลัวว่าจะไม่สามารถกลบเกลื่อนสายตา ความรักที่มันเอ่อล้นอยู่ในอก เขาไม่อยากได้สายตาสมเพชจากพี่พัดอีก
เดนิมวิ่งมาหลายสิบปีเพื่อคนคนเดียวเขาได้แต่หวังว่าสักวันระยะทางที่ทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุดนั้นจะมีสักวันหนึ่งที่มีโอกาสมองเห็นเส้นชัยแต่ทว่าพี่พัดของเขาไม่เคยให้โอกาสนั้นสองขาที่ออกวิ่งมายาวนานเริ่มเหนื่อยล้าและอ่อนแรงลงไปทุกที
เดนิมกลับมาอาศัยภายในคอนโดของตัวเองอีกครั้งเขาเร่งปิดต้นฉบับเพื่อให้ทันเดดไลน์ที่ตัวเองกำหนดขึ้นโฟกัสกับตัวอักษรเบื้องหน้าตัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายออกไปกลั่นกรองเรียงร้อยรสรักออกมาเป็นหนังสือนิยายรักเรื่องเศร้าเรื่องหนึ่งว่ากันว่า ‘เรามักจะซ่อนคนคนนึงไว้ในบทเพลง’ นักเขียนอย่างเดนิมก็เช่นกันเขาซ่อนความรักที่มีต่ออีกฝ่ายมาอย่างยาวนานหลายสิบปีผ่านนิยายหลายสิบเล่มจนได้ขึ้นชื่อว่านักเขียนเรื่องเศร้าหากคุณมีความสุขในชีวิตมากเกินไปก็ไปหาหนังสือของ FALLIN มาอ่านหากคุณอยากจะล้างลูกตาชื่อนี้ไม่ทำให้คุณผิดหวัง
โดยเฉพาะเรื่อง ‘รักไม่สมประกอบ’ ที่เขากำลังเร่งมือเขียนอยู่ในตอนนี้
อีกนัยหนึ่งเขาจงใจหลบหน้าใครบางคนมาร่วมสองสัปดาห์แล้วเดนิมไม่คิดจะโทรหาหรือส่งข้อความไปหาอะไรทั้งนั้นต่างคนต่างอยู่เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วบังเอิญว่าสิบทิวาติดต่อมาพอดีเรื่องหนังสือเขาจึงถือโอกาสพักสายตาอาบน้ำแต่งตัวออกไปเจออีกฝ่ายที่ร้านคาเฟ่แห่งหนึ่ง
“สวัสดีครับ” สิบทิวาเอ่ยทักทายพลางโบกมือให้กับเดนิม
“รอนานหรือเปล่าครับ”
“ไม่เลยครับ”
“สั่งเครื่องดื่มก่อนไหมครับ”
“ก็ดีครับ”
“งั้นมื้อนี้ผมขอเป็นฝ่ายเลี้ยงคุณเดนิมนะครับถือซะว่าเป็นค่าเดินทางอีกอย่างหนังสือเล่มนี้ราคาในตลาดก็แพงมากคุณขายแค่ราคาปกไม่เสียดายเหรอครับ” สิบทิวาอดที่จะเอ่ยถามออกไปไม่ได้
“ไม่หรอกครับอีกอย่างมันก็คุ้มค่าถึงไม่ใช่ที่ราคาแต่อย่างน้อยมันก็อยู่ในมือของคนที่เห็นคุณค่าดีกว่าอยู่ในมือของพ่อค้าคนกลางและผมหวังว่าเรื่องนี้จะเติมเต็มความสุขทางใจให้คุณไม่มากก็น้อย”
“คุณเดนิมขอบคุณมากครับ” สิบทิวาลูบหนังสือที่อยู่ในซีลด้วยความรู้สึกตื้นตันใจและคะแนนที่เขาแอบหยอดให้เดนิมในใจนั้นเพิ่มเท่าทบทวีสิบทิวาเพิ่งเจอเดนิมเพียงแค่สองครั้งตอนแรกเขาเพียงคิดว่าอีกฝ่ายหน้าตาดีรอยยิ้มมีเสน่ห์แต่คาดไม่ถึงว่าพอได้มานั่งพูดคุยกันอีกครั้งคุณเขาดีทั้งภายนอกและภายในอีกทั้งยังเป็นผู้ฟังที่ดีพวกเขาทั้งสองพูดคุยกันอย่างถูกคอจนเวลาผ่านไปจนมืดค่ำ
“คุณเดนิมจะว่าอะไรไหมครับถ้าผมจะนัดคุณออกมานั่งคาเฟ่ด้วยกันบ่อยๆหรือไปกินข้าวด้วยกันอะไรเทือกนั้น” สิบทิวาพูดเสียงเรียบแต่ใบหน้ากลับแดงก่ำไปจนถึงลำคอเดนิมอดยิ้มให้ไม่ได้
“ได้สิครับ”
“งั้นผมขออนุญาตถามได้ไหมครับว่าคุณ…มีคนรักหรือยัง?” สิบทิวาเอ่ยถามด้วยความกระตือรือร้นเขามองสังเกตชายหนุ่มตรงหน้าอีกทั้งทั้งสองมือต่างไม่มีเครื่องประดับที่บ่งบอกว่ามีคนรักอยู่ก่อนแล้วแม้แต่แหวนสักวงก็ไม่มีมีเพียงนาฬิกาหนังเนื้อดีราคาแพงเพียงอย่างเดียวที่ประดับอยู่บนข้อมือซ้าย
“ผมไม่มีคนรักหรอกครับแต่ก็ไม่อยากจะมีใครในตอนนี้แต่ผมยินดีออกมาเที่ยวเล่นกับคุณในฐานะเพื่อนนะครับ” เดนิมยิ้มตอบแม้ว่าเขาจะแต่งงานแล้วก็ตามแต่ก็ไม่สามารถป่าวประกาศออกไปได้เพราะอีกไม่กี่เดือนก็จะถึงวันหย่า…ไม่พูดออกไปดีที่สุด
“คุณปิดประตูใส่ผมอย่างนี้ก็แห้วสิครับแต่ก็ต้องขอบคุณนะครับที่พูดตรงๆงั้นตกลงเป็นเพื่อนกันนะครับ”
เดนิมและพิพัฒน์ต่างก็ไม่ได้สวมแหวนแต่งงานประดับลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของตัวเองทุกสิ่งทุกอย่างถูกปลดเปลื้องหลังจากงานแต่งงาน
“อย่าหวังว่าพี่จะสวมมันติดตัวตลอด” พิพัฒน์ถอดแหวนสีทองคำขาวนั้นวางลงบนโต๊ะเครื่องแป้งภายในห้องส่งตัวบ่าวสาวซึ่งเป็นห้องนอนของเดนิม “นิมก็รู้อยู่แก่ใจอย่าให้พี่ต้องรู้สึกอึดอัดไปมากกว่านี้อีกอย่างระหว่างเราก็มีเวลาสิ้นสุด”
“ครับ” เดนิมตอบรับอย่างว่าง่ายก่อนจะเก็บแหวนทั้งสองวงลงในกล่องกำมะหยี่สีแดงไว้ดังเดิมเขากอดกล่องแหวนไว้แนบอกก่อนจะเก็บพวกมันลงในลิ้นชักบนหัวนอนคืนนั้นต่างฝ่ายต่างแยกกันนอนเดนิมนอนบนเตียงส่วนพิพัฒน์ก็นอนที่โซฟา
“ฮ่าๆ” เดนิมไม่ได้หัวเราะกับเรื่องง่ายๆแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะความจริงการแอบรักใครสักคนจะไม่ทรมานมากเหมือนอย่างตอนนี้ถ้ารู้จักควบคุมหัวใจตัวเองบางทีรู้ทั้งรู้อยู่เต็มอกว่าไม่มีวันได้มาก็ไม่ควรจะจมปลักอยู่ที่เดิมตั้งแต่แรกบางทีถ้าเขาเป็นเหมือนกับสิบทิวาอย่างน้อยก็ยังได้พูดคุยและหัวเราะกับพี่พัดในฐานะน้องนุ่งมากกว่าคนแปลกหน้าอย่างทุกวันนี้
เพราะอุดอู้อยู่แต่ในห้องมานานอีกทั้งบรรยากาศช่วงนี้ก็กำลังดีสิบทิวาและเดนิมต่างก็เดินทอดน่องไปตามสวนสาธารณะอย่างไม่รีบร้อนอีกทั้งใบหน้าทั้งคู่ก็ประดับด้วยรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่เสมอ
“คุณสิบทิวาขอบคุณมากนะครับที่วันนี้มาอยู่เป็นเพื่อน”
“ด้วยความยินดีครับ”
เดนิมขับรถกลับมาคอนโดด้วยอารมณ์เบิกบานแต่ก็ต้องหน้านิ่วคิ้วขมวดเมื่อรีเซฟชั่นแจ้งว่ามีคนมานั่งรอที่ห้องรับแขกของส่วนกลางเดนิมได้แต่สงสัยแต่ก็ต้องตกใจเพื่อคนคนนั้นคือคนที่เขาไม่อยากจะเจอมากที่สุดตอนนี้
“พี่พัดมาได้ยังไงครับ”
“พี่โทรหาแล้วเราไม่รับสาย”
“ขอโทษด้วยครับพี่พัดมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“เรื่องฝึกงานที่พี่เคยบอกไว้”
“แต่…”
“ไม่มีแต่”
เดนิมกำลังจะอ้าปากแย้งแต่ก็ต้องหุบปากฉับ
“ทำตัวแบบนี้กำลังเรียกร้องความสนใจอยู่หรือไงไม่ได้ผลหรอกนะ” พิพัฒน์เอ่ยเสียงเรียบ
“ได้ผลหรือไม่ได้ผลพี่พัดก็มานั่งอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เหรอครับ”
“เดนิม!”
“พี่พัดไม่เต็มใจสอนงานให้นิมก็ไม่ต้องฝืนไม่ต้องเอาคุณพ่อมาอ้างอะไรทั้งนั้นนิมจะไปคุยกับคุณพ่อเองไม่รบกวนพี่พัดถ้าไม่มีอะไรแล้วนิมขอตัวก่อนนะครับ”
“เดี๋ยว…” เดนิมชะงัก
“ทำตัวแบบนี้ไม่คิดว่าเหมือนเด็กไปหน่อยเหรอไงก่อนหน้านั้นที่ตัดสินใจทำทำไมไม่คิดถึงผลที่จะตามมาบ้างเอาแต่หลบหน้าหนีปัญหาใช้ได้ที่ไหน”
“ก็เพราะว่านิมไม่ได้ทำไม่มีอะไรให้ต้องหนี!”
“ถ้าไม่ได้ทำแล้วคืนนั้นพี่จะมาอยู่ห้องนิมได้ยังไง” พิพัฒน์พูดเสียงแข็งพร้อมเดินมาหยุดต่อหน้าเดนิมพร้อมกับบีบไหล่ทั้งสองข้างก่อนจะเอ่ยถ้อยคำที่ทำร้ายจิตใจคนฟัง “พูดออกมาซิว่าคืนนั้นนิมไม่ได้จงใจทอดกายให้พี่”
“พี่พัด!” เดนิมกำหมัดแน่น “นิมพูดไปยังไงพี่พัดก็ไม่เชื่อนิมถอยออกมาแล้วนิมไม่ได้หลบหน้าแค่อยากเว้นระยะให้พี่พัดจะได้ไม่รู้สึกอึดอัดเกินไปแล้วนิมก็เสียใจมากเหมือนกันที่เกิดเรื่องระหว่างเราอย่างน้อยก็ยังสามารถพูดคุยทักทายกับพี่พัดได้เหมือนแต่ก่อนไม่เหมือนอย่างตอนนี้”
แรงบีบที่หัวไหล่เพิ่มแรงมากขึ้นทำเอาเดนิมนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ
“คิดว่าพี่จะเชื่อเหรอเรารู้สึกกับพี่มานานขนาดนั้นถ้าเราไม่คิดอะไรเกินเลยกับพี่ตั้งแต่แรกจะเกิดเรื่องแบบนี้ไหม” เดนิมพยายามดิ้นหนี
“จากนี้นิมจะไม่คิดอะไรกับพี่พัดอีกพอใจหรือยังครับ” พิพัฒน์ยิ้มหยัน “พูดปากเปล่าไม่ได้หรอกนะ” ก่อนจะปล่อยมือทั้งสองข้างทำเอาร่างบางเซถอยหลังไปสองสามก้าว
“ไปเก็บของซะอย่าให้พี่ต้องพูดซ้ำเป็นครั้งที่สอง”
เดนิมขับรถกลับมาเพนท์เฮ้าส์ด้วยความรู้สึกไม่ยินยอมแต่ก็หาคำพูดมาโต้แย้งไม่ได้พรุ่งนี้เป็นเช้าวันจันทร์ที่เขาต้องตามอีกฝ่ายเข้าบริษัทแค่คิดก็รู้สึกไม่สบอารมณ์
เมื่อเช้าวันใหม่มาถึงเดนิมจงใจตื่นสาย แต่พอเดินออกมาจากห้องกลับพบกับพิพัฒน์ที่ยังนั่งดื่มกาแฟดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรอยู่บนเคาน์เตอร์ในห้องครัว ทั้ง ๆ ที่เวลาเกือบจะแปดโมงอยู่รอมร่อ เดนิมไม่คิดจะทักทายอีกฝ่าย เดินไปหยิบน้ำดื่ม กะว่าจะเข้าห้องตัวเองไปไม่ออกมาอีก แต่ก็ต้องชะงัก พิพัฒน์ปรายตามองอีกฝ่ายที่สวมชุดนอนอยู่
“นิมควรจะตั้งหลักได้แล้วนะอายุก็ไม่ใช่น้อยๆถึงฐานะทางบ้านนิมจะดีก็เถอะ” พิพัฒน์ไม่ใช่คนใจเย็นที่จะมานั่งอธิบายอะไรยืดยาวยิ่งองค์กรใหญ่ก็มักจะมีพวกที่จ้องจะเอาแต่ผลประโยชน์ใครไม่โลภบ้างล่ะต่อให้เดนิมจะมีแฝดพี่คอยบริหารอยู่ก็ตามอีกทั้งตัวเดนิมเองก็มีหุ้นอยู่ในมือไม่น้อยอนาคตไม่แน่ไม่นอนยังไงเดนิมก็เป็นทายาทสายตรงของศศิภักดีรู้เรื่องผลประโยชน์พวกนี้เอาไว้ไม่เสียหายแต่เจ้าตัวกลับถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายเสียอย่างนั้น
“แต่ว่านิมจบแฟชั่นนะครับ”
“แล้วยังไง? ไม่มีใครแก่เกินเรียนไปแต่งตัวได้แล้วพี่ให้เวลาสิบห้านาที” เดนิมได้แต่กัดฟันบ่นอุบอิบก่อนจะเดินไปแต่งตัวอย่างเร่งรีบเขารีบจนลืมไปเลยว่าตัวเองยังไม่ได้ทานอาหารเช้าเลยด้วยซ้ำเดนิมติดตามสอยห้อยท้ายพิพัฒน์เข้าบริษัทไปด้วยความประหม่าแม้ว่าพวกเขาทั้งสองจะแต่งงานกันแล้วแต่พิพัฒน์แยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานออกแม้จะไม่อยากจะอยู่ใกล้เดนิมแต่ว่าเรื่องสอนงานเขาคิดว่าเดนิมควรจะเรียนรู้เอาไว้บ้างก็ยังดียังไงทั้งสองบ้านก็ตัดกันไม่ขาดอยู่ดีต่อให้อนาคตอีกหนึ่งปีข้างหน้าเขากับเดนิมจะหย่าขาดจากกันก็ตามแต่เรื่องธุรกิจไม่ใช่เรื่องเล่นขายของไม่สามารถทำตามใจตัวเองได้
“นี่เดนิมเป็นลูกพี่ลูกน้องผมรบกวนคุณสิริช่วยสอนงานให้ด้วยนะครับเอาเรื่องพื้นฐานง่ายๆที่ควรจะรู้ก่อน” พิพัฒน์เลือกสิริให้มาสอนงานเดนิมแทนธนาธนาเป็นมือขวาของเขากุมความลับของบริษัทเอาไว้มากมายอีกทั้งยังรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเดนิมอีกด้วย
“ได้ค่ะ” สิริหันไปมองชายหนุ่มรุ่นน้องที่มาใหม่เดนิมยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“ฝากตัวด้วยนะครับ”
“ยินดีค่ะ”
สิริพารุ่นน้องที่เจ้านายฝากฝังให้ดูแลพาไปเดินแนะนำฝ่ายต่างๆรวมไปถึงหัวหน้าก่อนจะแวะถ่ายรูปติดบัตรพนักงานเพื่อเข้าออกออฟฟิศเดนิมไม่ถนัดทางด้านคอมพิวเตอร์แม้ในใจลึกๆจะรู้สึกต่อต้านอยู่บ้างแต่ก็ไม่อยากทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาเพราะยังไงบริษัทนี้ก็ทำเงินให้ครอบครัวเขาอยู่ไม่น้อยเพราะเป็นหนึ่งในพาร์ทเนอร์ที่ร่วมก่อตั้งกันมานาน
เดนิมเล่าเรื่องราวของตัวเองอย่างคร่าวๆเมื่อเลขาสาวเอ่ยถามเขาหลีกเลี่ยงที่จะไม่พูดเรื่องของครอบครัวตัวเองรวมไปถึงนามสกุลที่ใช้อยู่เพียงบอกเป็นญาติห่างๆกับผู้บริหารอย่างพิพัฒน์ที่มาเรียนรู้ฝึกงานเพียงระยะเวลาไม่กี่เดือนเท่านั้นโต๊ะทำงานของเขาถูกจัดให้อยู่ข้างหน้าห้องผู้บริหารติดกับเลขาสาว
เดนิมไม่แปลกใจสักนิดที่สาวสวยอย่างสิริสามารถทำงานร่วมกับคนที่เข้มงวดอย่างพี่พัดของเขาได้เพราะอีกฝ่ายไม่ใช่คนช่างถามไม่จีบปากจีบคอพูดเรื่องของชาวบ้านอธิบายภาระขอบเขตของการทำงานของเขาแล้วก็จดจ่อกับหน้าที่ของตัวเองต่อซึ่งตรงกับความต้องการของเดนิมพอดี
บรรยากาศออฟฟิศที่เงียบสงบต่างคนต่างก้มหน้าทำงานของตัวเองเมื่อเวลาพักเที่ยงมาถึงเมื่อเห็นทีท่าว่าเจ้านายหน้ายักษ์ของตัวเองยังไม่ยอมออกมาจากห้องเดนิมจึงอดที่จะกระซิบถามคุณสิริไม่ได้
“คือ…คุณพิพัฒน์ไม่ออกไปทานอาหารกลางวันเหรอครับ” เดนิมไม่กล้าเรียกอีกฝ่ายเหมือนอย่างเคยเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกติฉินนินทา
“อ๋อเดี๋ยวทางบ้านทำมาส่งจ้ะทำมาส่งหลายอาทิตย์แล้ว” เดนิมเพียงพยักหน้าแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งไลน์ไปทักทายคุณน้ามาลินีเหมือนเช่นเคยพร้อมกับบอกว่าตอนนี้ไม่ว่างไปหาเพราะมาฝึกงานกับพี่พัดที่บริษัทก่อนจะรีบเก็บโทรศัพท์เมื่อเลขารุ่นพี่เอ่ยชักชวน “ไปทานข้าวด้วยกันไหมคะ”
“ครับ”
ร้านอาหารตามข้างทางเต็มไปด้วยพนักงานออฟฟิศที่ออกมาฝากท้องในเวลาพักเที่ยงแต่ละร้านแน่นขนัดสายตาต่างก็สอดส่องหาร้านที่ไม่มีเมนูพวกอาหารทะเลเพราะเขารู้ว่าตัวเองแพ้อาหารอย่างรุนแรงจึงมักจะระวังเรื่องอาหารการกินอยู่เสมอโชคดีที่ร้านข้าวขาหมูคนไม่เยอะทั้งสองเลยฝากท้องที่นี่เดนิมไม่ใช่คนช่างพูดเท่าไหร่ต่างฝ่ายต่างลงมือทานอาหารที่อยู่ตรงหน้าตนอย่างเงียบๆ
ช่วงบ่ายเดนิมอ่านเอกสารต่างๆจนปวดตาเขาอยากจะพักสายตาสักหน่อยแต่ก็เกรงใจเลขารุ่นพี่ที่ทำงานนั่งติดกันอีกทั้งช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาทำงานหักโหมมาอย่างหนักร่างกายเหมือนต้องการจะชาร์จพลังอย่างดื้อๆอ่านเอกสารไปเพียงไม่กี่หน้าก็เริ่มจะสัปหงกอีกครั้งไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าฟุบหลับกับโต๊ะไปตั้งแต่เมื่อไหร่
พิพัฒน์ที่ออกจากห้องเพื่อจะไปคุยงานกลับต้องชะงักเมื่อเห็นเดนิมฟุบหลับอยู่กับโต๊ะแม้เขาจะเตรียมใจมาแล้วว่าเดนิมไม่มีทางที่จะอยู่ในโอวาทของเขาเป็นแน่แต่กลับคาดไม่ถึงว่าจะกล้านอนหลับโดยไม่อายสายตาของเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆแบบนี้ยิ่งเขาเป็นฝ่ายพามาแนะนำด้วยตัวเองเลยไม่มีใครกล้าปลุกเลขาอย่างสิริลุกขึ้นโค้งคำนับเป็นการขอโทษขอโพยแต่ว่าพิพัฒน์กลับยกมือห้าม
ได้…ในเมื่อเจ้าตัวอยากนอนนักก็นอนซะให้พอ!
เดนิมสะดุ้งตื่นก็เห็นว่าฟ้าข้างนอกเริ่มเปลี่ยนสีอีกทั้งเลขารุ่นพี่ก็เก็บโต๊ะทำงานอย่างเป็นเรียบร้อยเดนิมเหลือบมองนาฬิกาตรงผนังก่อนจะกระเด้งตัวลุกขึ้นมาด้วยความตกใจนี่เขานอนจนเลยเวลาจนเกือบจะสองทุ่มไปแล้วเหรอเนี่ยเดนิมลนลานก่อนจะรีบไปเคาะเรียกหน้าห้องทำงานของพิพัฒน์ปรากฏว่าล็อก เขาโทรหาแต่อีกฝ่ายไม่รับสายจึงลงลิฟต์มาด้วยความรู้สึกเศร้าสลด
มาฝึกงานวันแรกก็ทำขายหน้าอีกจนได้
ยังดีที่ฝ่ายอื่นๆยังเหลือพนักงานอยู่บ้างประปรายไม่งั้นเดนิมคงรู้สึกแย่กว่านี้เพราะตอนเช้าอีกฝ่ายบังคับให้ติดรถมาด้วยกันเดนิมจึงไม่ได้ขับรถมาตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้วเป็นช่วงเวลาที่รถติดต้องเรียกรถกลับบ้านก่อนกว่าจะถึงที่พักคงกินเวลาร่วมสองชั่วโมงเดนิมไม่อยากคิดลบแต่ก็อดไม่ได้นี่คงเป็นวิธีการดัดนิสัยของอีกฝ่ายเป็นแน่แต่ช่างเถอะคิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์เดนิมยืนรอรถเมล์อยู่สักพักก็ขึ้นรถไปพร้อมกับพนักงานคนอื่นๆเดนิมไม่ใช่คนติดหรูแต่เพราะเห็นนามสกุลก็มักว่าเป็นพวกคนรวยที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อเดนิมโหนรถเมล์ต่อรถไฟฟ้าได้อย่างคล่องแคล่วก่อนจะแวะนั่งกินเกี๊ยวน้ำเจ้าประจำก่อนจะเดินเข้าเพนท์เฮ้าส์ไปโดยไม่รู้ว่ามีสายตาของใครอีกคนคอยจ้องมองอยู่ตลอด
พิพัฒน์คิดไม่ถึงว่าเดนิมจะโหนรถเมล์กลับบ้านเขาตั้งใจไม่รับโทรศัพท์ของอีกฝ่ายและจะรอดูว่าเดนิมจะทำยังไงพิพัฒน์ยอมรับว่าตอนแรกเขาคิดในแง่ลบคิดว่าอีกฝ่ายต้องโทรเรียกแฝดหรือไม่ก็คนขับรถกลับบ้านมารับกลับแน่ๆคาดไม่ถึงว่าเดนิมจะกลับเองอีกทั้งนั่งทานอาหารข้างทางคนเดียวเหมือนกับว่าคุ้นเคยกับการไปไหนมาไหนคนเดียวเสียอย่างนั้นทั้งๆที่เพิ่งกลับไทยมาได้ไม่นานตัวเขาเองบางทีไปไหนมาไหนยังหลงแล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาอคติกับเดนิมได้ยังไงรวมไปถึงเรื่องในคืนนั้นด้วย
เดนิมมักจะมีมุมที่ทำให้เขาต้องอึ้งได้เสมอ…ก่อนจะหมุนพวงมาลัยไปยังทางเข้าเพนท์เฮ้าส์ที่ที่เขาเคยลั่นวาจาว่าจะมาพักเพียงศุกร์เสาร์อาทิตย์เพียงเท่านั้นเพราะเขาอยากจะรู้ว่าเดนิมคนไหนที่เป็นเดนิมตัวจริงกันแน่
แม้ไม่อยากทำให้พี่พัดอึดอัด เดนิมมักจะปลีกตัวและไม่เข้าหาอีกฝ่ายโดยไม่จำเป็น ยิ่งในบริษัทเขาทำเหมือนเป็นพนักงานคนหนึ่งที่ไม่ได้มีสัมพันธ์เกินเลยกับเจ้านาย เดนิมวางตัวดีและพยายามหักห้ามความรู้สึกของตัวเองอยู่เสมอ แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายมักจะมีข้ออ้างให้เขาต้องติดสอยห้อยท้ายออกไปพบปะพูดคุยกับคู่ค้าอยู่เสมอเช่นกัน และแล้วเดนิมก็หาสาเหตุเจอว่าพี่พัดจะเก็บเขาไว้ข้างตัวทำไม ในที่สุดวันนี้ก็ได้รู้ ตลอดเวลาที่เขาตามพี่พัดไปทำงาน แม้จะโดยสารไปด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้กลับพร้อมกัน เดนิมชินกับความเป็นอยู่และการถูกปฏิบัติแบบนี้เสียแล้ว ไม่คาดหวัง…ไม่ผิดหวัง ตลอดระยะเวลาหลายสัปดาห์อีกฝ่ายมักจะพาเขาไปเรียนรู้งาน พบปะสังสรรค์ลูกค้าในฐานะเด็กฝึกงาน แต่ว่าไม่มีครั้งไหนน่าอึดอัดเท่าครั้งนี้มาก่อน ทั้ง ๆ ที่เป็นร้านอาหารสุดหรู บรรยากาศดี แต่ทว่าผู้ร่วมโต๊ะอีกคนกลับทำให้เดนิมรู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นที่สุด…ผู้หญิงที่มอมยาพี่พัดในวันนั้นก็คือคุณนิชา ซึ่งเป็นคู่ค้าของพี่พัดมายาวนานเดนิมนั่งกึ่งกลางระหว่างโต๊ะจะว่าไปหากตัดเรื่องเลวร้ายที่นิชาทำลงไปก็ดูจะเหมาะสมกับพี่พัดมากกว่าเขาทุกตรงทั้งคู่ทักทายกันอย่างคุ้นเคยเป็นก
แม้จะไม่อยากออกมาฝึกงานแต่เมื่อรับปากไว้แล้วก็ต้องทำให้เสร็จสามเดือนก็สามเดือนแค่ไม่กี่สัปดาห์ยังกินพลังงานชีวิตไปซะขนาดนี้ระหว่างเดนิมกับพิพัฒน์ก็ยังมีบรรยากาศกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อยแม้จะอาศัยอยู่ด้วยกันแต่ไม่ได้พูดคุยกันสักประโยคอีกทั้งเดนิมก็เลือกที่จะขับรถไปเองเมื่อก่อนรู้ทั้งรู้ว่าจะต้องโดนกลั่นแกล้งแต่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจแต่หลังจากที่มีปากเสียงกันครานั้นเดนิมก็ไม่อยากจะเป็นฝ่ายถูกกลั่นแกล้งอีกไม่ว่าจะให้เขาหิ้วท้องรอจนดึกดื่นหากวันไหนเขางีบหลับอีกฝ่ายก็จะกลับไปก่อนโดยที่ไม่เอ่ยปากจะเรียกกันอีกทั้งพี่พัดมักจะมีอิริยาบถที่ผ่อนคลายเมื่อไม่ได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังโดยเฉพาะการรับประทานอาหารร่วมกัน…ยิ่งคาดหวังมากเท่าไหร่มันก็จะยิ่งกัดกินความสุขในชีวิตเราไปมากเท่านั้นไม่มีใครไม่อยากสมหวังแต่ทว่ามันไม่เหลืออะไรให้หวังเลยต่างหากอาหารกลางวันคุณน้ามาลินีก็ห่อมาให้พี่พัดเหมือนเดิมเดนิมก็โทรหาสอบถามอยู่บ่อยๆไม่ใช่เพื่อทำคะแนนต่อให้คุณน้ามาลินีจะชมชอบเขามากแค่ไหนแต่เจ้าตัวไม่มีใจมันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดีเดนิมไม่อยากให้เรื่องระหว่างเขากับพี่พัดผิดใจกับผู้ใหญ่และเขาโชคดีที่น้ามาลินีไม่ได้รังเกียจกั
ทางด้านเดนิมโชคดีที่กาแฟวางพักไว้สักครู่บนเคาน์เตอร์แผลจึงไม่ได้ร้ายแรงเป็นแผลไหม้ระดับสองมีตุ่มพองใสแต่ก็ปวดแสบมากเพราะเส้นประสาทบริเวณผิวหนังยังเหลืออยู่ไม่ได้ถูกทำลายไปมากนักการหายของแผลใช้เวลาประมาณสองถึงสามสัปดาห์คุณหมอจึงให้ครีมทายาภายนอกรวมไปถึงการปิดแผลด้วยผ้าก๊อซอีกทั้งยังกำชับไม่ให้โดนน้ำรวมไปถึงที่ต้นขาด้านขวาด้วยเดนิมทำแผลเสร็จพี่แฝดก็โทรมาตอนอยู่ในรถพอดีเขากดรับสายก่อนจะทำน้ำเสียงปกติ “ว่าไงครับ”“วันนี้ว่างหรือเปล่าเราพี่สองคนจะไปรับไปทานข้าว”“วันนี้คงไม่ได้ครับ”“เดี๋ยวพี่โทรไปหาไอ้พัดให้”“อย่าดีกว่าครับเดี๋ยวพี่พัดจะว่าเอาตอนนี้ผมเป็นแค่พนักงานฝึกงานนะครับพี่แฝดอย่าลืม” เดนิมพยายามทำน้ำเสียงให้สดใส “อีกอย่างมีนักศึกษาฝึกงานคนอื่นมาฝึกด้วย”“แล้วเราจะว่างเมื่อไหร่” เดนีนแทรกขึ้นมา“เดี๋ยวถ้าว่างจะโทรไปนัดพี่ๆอีกทีนะครับไม่ต้องกลัวว่าพวกพี่แฝดจะไม่ได้จ่ายรับรองวันนั้นต้องจ่ายให้น้องทั้งวันนะครับ” แฝดต่างหัวเราะ “หาเวลามาให้ได้เถอะน้องคนเดียวจะเท่าไหร่เชียวแพงแค่ไหนก็เลี้ยงได้” ทั้งสามคนหัวเราะก่อนจะกดวางสายเดนิมถอนหายใจก่อนจะสตาร์ทรถกลับบ้านโดยไม่ได้ดูสายที่ไม่ได้รับก
ทางด้านปานัสเมื่อโดนดุไปซึ่งๆหน้าก็ดูจะนอบน้อมขึ้นแต่ก็ยังพยายามจะหักหน้าและปาดหน้าทำงานแทนเดนิมเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมือเจ็บ“นิมช่วยดูตรงนี้หน่อยนะ” สิริเอ่ยพร้อมยื่นแฟ้มให้เดนิมยังไม่ทันยื่นมือออกไปรับปานัสกลับยื่นมือมารับแทน“ให้นัสทำนะครับพี่สิริ” สิริเองก็มองหน้าเดนิมเมื่อเห็นเจ้าตัวพยักหน้าน้อยๆก็ยื่นแฟ้มใส่มือปานัสแทนพร้อมกำชับ“ฝากด้วยนะจ๊ะงานนี้ต้องเสร็จวันนี้ถ้าไม่เสร็จจะจ่ายค่าโอทีให้”ปานัสอ้าปากค้างกลืนน้ำลายลงคอพร้อมรีบเปิดเอกสารในแฟ้มอ่านรายละเอียดคร่าวๆพร้อมอุทานในใจ “ตายห่าไม่น่าเลยกูวันนี้จะเสร็จไหมเนี่ย” พร้อมรีบกุลีกุจอกลับไปนั่งทำที่โต๊ะตัวเองโซนหน้าห้องผู้บริหารแทบไม่มีเสียงพูดคุยตลอดช่วงบ่ายพี่สิริหันมายิ้มเป็นนัยให้เดนิมเดนิมค้อมหัวให้ก่อนจะก้มหน้าอ่านเอกสารในมือจนเลิกงานปานัสขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเมื่อเวลาเลิกงานพนักงานทุกคนทยอยกลับรวมไปถึงเดนิมที่เดินมาอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงานของตัวเองเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ขอบคุณปานัสมากนะที่ช่วยทำงานนี้แทนเราเราขอตัวก่อนนะ” ปานัสแสร้งยิ้มก่อนจะกัดฟันตอบ “กลับก่อนได้เลยจ้ะ” แต่ในใจก่นด่าอีกฝ่ายสิบกว่ารอบเดนิมที่กำลังลงลิฟต์ไปย
บริษัทมีการจัดเลี้ยงฝึกงานแต่เดนิมบอกปัดเขาไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยงกับปัญหาอีกปานัสเป็นญาติของนิชาอีกทั้งก็ไม่ชอบขี้หน้าเขาเป็นทุนเดิมงานเลี้ยงครั้งนี้ไม่ไปดีที่สุดพี่พัดเองก็ไม่ได้ว่าอะไรมีแต่ปานัสที่ดีอกดีใจคุณสิริเองก็เอ่ยชมเขามากขึ้นกว่าแต่ก่อนเดนิมคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วคำชมที่มาจากความจริงใจเพียงเท่านี้ก็มีกำลังใจให้เด็กฝึกงานอย่างเขากระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้นไปอีกอีกอย่างเดนิมก็ไม่ได้จบงานด้านบริหารมาเขาทำได้ดีขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้วชีวิตหลังจากนี้จะได้เป็นอิสระเสียทีเดนิมเลิกเฝ้ารอและเลิกฝันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะทำอะไรดีๆให้พี่พัดแต่ทำไปเหมือนขว้างหินลงสู่ทะเลพี่พัดเกลียดเขาจะตาย…ไม่เห็นหน้ากันจะดีที่สุดเดนิมไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะกลับมาค้างทุกวันหยุดสุดสัปดาห์หรือไม่เขาไม่คิดโทรถามไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญและลำบากใจวันนี้วันศุกร์เขาไม่มีธุระที่ไหนเลยเข้าครัวเองทำอาหารสองสามอย่างทีละน้อยสำหรับคนคนเดียวไข่เจียวตรงหน้าฟูฟ่องส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องครัวเดนิมแกะข้าวหุงสำเร็จเวฟก่อนจะแกะใส่จานแม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้วเดนิมเลือกที่จะหันหลังแล้วทำเป็นไม่เห็นก้มลงทานอาหารตรงหน้
เดนิมไม่ออกจากห้องของตัวเองแม้ว่าป้าแม่บ้านที่แม่ของเขาส่งมาทำความสะอาดให้ทุกวันอาทิตย์ก็ตามภายในห้องมีตู้เย็นขนาดเล็กขนมขบเคี้ยวรวมไปถึงกาน้ำร้อนขนาดพกพาอีกทั้งเพราะการเขียนนิยายออกมาสักเรื่องหนึ่งมันใช้เวลาและในตอนที่อารมณ์พาไปหรือจินตนาการพรั่งพรูเดนิมไม่อยากจะลุกออกไปทำอะไรนิ้วเรียวยาวเคาะแป้นพิมพ์อยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียงของแป้นพิมพ์ทำให้เขาลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าสมาธิจดจ่ออยู่กับหน้าจอและตัวหนังสือตรงหน้าและเขาใช้มันเพื่อระบายของเสียภายในจิตใจเขาระบายมันออกมาเป็นตัวหนังสือตัวละครบางตัวก็คือตัวเองที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาขัดเกลาตัวละครผ่านเหตุการณ์สมมุติต่างๆมากมายมานับไม่ถ้วนหาทางออกให้ตัวละครเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายแต่น่าเสียดายตัวเองกลับหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอเขาติดอยู่ในวังวนความเจ็บปวดของความรักมายาวนานนับสิบปีรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีใจแต่ก็ยังจะเฝ้ารออดทนกับสายตาที่หยามเหยียดอดทนต่อถ้อยคำที่บาดลึกถึงกระดูกคล้ายกับคนไม่รู้สึกรู้สา สุดท้ายกลับฝังตัวเองทั้งเป็นด้วยการทอดกายให้อีกฝ่ายได้เชยชม ในฐานะนักเขียนหากตัวละครตัวนี้จะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่แ
เดนิมเดินทอดน่องไปตามชายหาด ท้องเริ่มปวดบิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงนั่งตรงเปลที่ชายหาดผูกไว้ นั่งสักพักเลยล้มตัวนอน มือก็ได้แต่กดท้องตัวเองเอาไว้ เดนิมเป็นโรคกระเพาะทานอาหารไม่ตรงเวลาก็จะปวดจนทรมาน อีกอย่างยาลดกรดก็อยู่ในกระเป๋า ตอนนี้เขาเหนื่อยทั้งกายและใจเลยอยากจะนั่งพักสักครู่ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี พี่พัดตักอาหารให้เขา แต่เป็นสิ่งที่ฆ่าเขาให้ตายได้ อีกทั้งตอนสมัยที่เดนิมยังเด็ก หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เดนิมประทับใจในตัวพี่พัดของเขาก็คือพี่พัดจะเป็นฝ่ายคอยระวังเรื่องอาหารการกินของเขาทุกครั้งที่ต้องออกไปทานอาหารข้างนอกกันรวมถึงแฝด แฝดมักจะเผอเรอไม่ถามไถ่หรือมักจะสั่งกุ้งมากิน แต่เป็นพี่พัดเองที่คอยเอาใจใส่ และหาร้านที่ไม่มีส่วนผสมของกุ้งเพื่อเดนิมวันเวลาผ่านพ้นไปคนเราหากเป็นเรื่องสำคัญมักจะไม่ลืม…เดนิมยิ้มเยาะให้ตัวเองก่อนจะนอนอยู่อย่างนั้นแขนซ้ายปิดทับดวงตาปิดบังความน้อยเนื้อต่ำใจและการเดินหนีหรือหลีกเลี่ยงเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นเดนิมจึงนิยามความรักของตัวเองว่าเป็นรักที่ไม่ประกอบวิ่งมายาวนานเพื่อคนคนเดียวมานับสิบปีเขาแพ้กุ้งแต่พี่พ
เดนิมแตะบัตรค่อยๆเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายทำอะไรอยู่เดนิมเปลี่ยนเป็นรองเท้าสลิปเปอร์ก่อนจะเห็นว่ากระเป๋าของตัวเองยังวางอยู่ที่หน้าประตูเหลือเพียงกระเป๋าใบเดียวพี่พัดคงกลับเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วเดนิมกำที่จับกระเป๋าล้อเลื่อนของตัวเองแน่นก่อนจะตัดสินใจที่จะไปนอนกับพี่แฝดเขาไม่อยากให้การมาทำงานครั้งนี้ของพี่พัดมีปัญหาหรือรู้สึกอึดอัดเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินออกมาจากประตูเสียงเอ่ยราบเรียบก็ทักขึ้นมา“เข้ามาแล้วจะออกไปไหนอีก” น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์แต่เดนิมรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจอยู่เนืองๆเขาไม่ได้ตอบแต่ค่อยๆเดินผ่านโถงทางเดินเข้าไปก่อนจะเจอกับโซนห้องนั่งเล่นตรงกลางโซฟาหันหน้าเข้าหาทะเลภาพวิวเบื้องหน้ามีสระน้ำขนาดกลางส่วนตัวให้แขกได้พักผ่อนมีตาข่ายให้ได้นอนอาบแดดนับได้ว่าเป็นห้องพักที่เยี่ยมยอดที่สุดของ The Grand DAE เลยก็ว่าได้พิพัฒน์นั่งจิบบรั่นดีสีอำพันในมือสายตาทอดมองไปยังวิวตรงหน้าน้อยครั้งนักที่เดนิมจะเห็นว่าอีกฝ่ายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่จะเป็นชาร้อนหากต้องอ่านรายงานค่อนคืน“คือ…นิมจะไปนอนกับพี่แฝด”“ใช่แ
เดนิมตื่นมาก็บ่ายสามกว่า ๆ แล้ว เขาคิดว่าตอนนี้พี่พัดคงเก็บของกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว จึงกินนอนเล่นกับพวกแฝด เป็นการรวมตัวกันของครอบครัวที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เล่นน้ำด้วยกันเหมือนเด็กอีกครั้ง พอได้วางความรู้สึกเหล่านั้นลง เดนิมค้นพบว่าความสุขของเขาได้เพิ่มขึ้นทีละนิด แม้จะมีความรู้สึกผิดอยู่เต็มอก แต่ได้แพลนตอนจบเอาไว้แล้วเหมือนกับนิยายที่มีตอนจบไม่ว่าจะสมหวังผิดหวังท้ายสุดก็ต้องเดินทางมาถึงจุดจบไม่ว่าบทสุดท้ายจุดจบจะเป็นเช่นไรเขาเพียงต้องยอมรับมันให้ได้‘ไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง’กว่าจะรู้ว่าความรักในรูปแบบของตัวเองเป็นความรักที่ไม่สมประกอบก็ทำเอาคนอื่นวุ่นวายกันไปทั่วรักที่ดีไม่จำเป็นต้องครอบครองเป็นเจ้าของเดนิมจึงรู้จักที่จะปล่อยวางมันลงคล้ายกับหัวใจได้คลายหนามแหลมที่เกี่ยวพันรัดอยู่บาดแผลและเลือดที่ไหลรินก่อนหน้าค่อยๆสมานเข้าด้วยกันอย่างช้าๆแม้จะทิ้งร่องรอยแผลเป็นเอาไว้แต่ก็เป็นเครื่องเตือนความจำว่าเขาไม่ควรจะรักใครจนทำร้ายตัวเองแบบนั้นอีกและเขาจะต้องเป็นคนที่จัดการความรู้สึกของตนเองไม่ทำให้คนที่รักต้องรู้สึกอึดอัดกับความรู้สึกที่เขามีเดนิมเล่นน้ำจนเหนื่อยหอบอยู่กินดื่มกับแฝดจน
ทางด้านพิพัฒน์เองเขาจดจ้องใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มมีชีวิตชีวาของเดนิมโดยไม่ละสายตาไปสักเสี้ยววินาที มันไม่ใช่รอยยิ้มแกน ๆ ที่คอยส่งมาให้เขา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มไปถึงดวงตา เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ พิพัฒน์สังเกตเห็นว่าเดนิมทำเหมือนว่าเขาเป็นยักษ์เป็นมารเวลาที่เข้าใกล้ และมักจะก้าวเท้าถอยหลังเสมอ คล้ายว่าเป็นการขีดเส้นระหว่างกัน ไม่มีใครควรล้ำเส้นกันไปมากกว่านี้ แถมยังเป็นฝ่ายหลบสายตา เหมือนว่าการมีอยู่ของตัวเองทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกแย่เดนิมในอุดมคติของเขากับเดนิมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนเป็นคนละคนตอนแรกที่เกิดเรื่องเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยากจะเข้าไปซัดหน้าหวานๆที่เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักเปรี้ยงพิพัฒน์คิดว่าเดนิมร้ายกาจไม่งั้นเขาไม่ต้องมาตกกระไดพลอยโจนอยู่อย่างนี้และการแต่งงานครั้งนี้จะทำให้เจ้าตัวสมหวังอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้แต่พอมาได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันยิ่งได้ใกล้ชิดยิ่งได้รู้จักเหมือนว่าช่วงที่ห่างหายขาดการติดต่อกันไปเดนิมในวันวานยังคงเหมือนเดิมไม่ได้ร้ายกาจหรือมีเล่ห์เหลี่ยมแต่อย่างใดกลับเงียบขรึมเก็บงำความรู้สึกได้เก่งขึ้นและมักจะหลบเลี่ยงปัญหามากกว่าเผชิญหน้าอีกทั้งรอยยิ้มที่ประดับ
ช่วงเช้าพายุฝนสงบท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนว่าไม่เคยเกิดพายุฝนคะนองมาก่อนเดนิมตื่นเช้าเหมือนเช่นเคยอาหารเช้ามาส่งแล้วอีกอย่างเขาเองก็ไม่ชอบแบบที่ลอยอยู่กลางน้ำเพราะนึกถึงเวลาเศษอาหารตกลงในสระมันทำความสะอาดค่อนข้างยากเขาจึงบอกให้บริกรวางไว้ที่ขอบสระเดนิมรออาหารย่อยสักพักก็ลงไปว่ายน้ำเขาสวมกางเกงว่ายน้ำเพียงตัวเดียวอีกอย่างก็เป็นสระส่วนตัวน้ำเย็นๆบรรยากาศยามเช้าที่แจ่มใสรวมไปถึงทัศนียภาพของทิวทัศน์ตรงหน้าทำให้เขาไม่อยากกลับเลยจริงๆที่ว่ากันว่านั่งโง่ๆอยู่ริมทะเลนั้นไม่เกินจริงเดนิมหันหลังเท้าคางมองทิวทัศน์ข้างหน้าน้ำทะเลสีฟ้าครามตัดกับเส้นขอบกับพระอาทิตย์อย่างลงตัวเห็นพี่แฝดบอกว่าในทะเลมีพวกปลากระเบนว่ายมาทักทายบริเวณบังกะโลกลางน้ำแห่งนี้ด้วย เดนิมจ้องมองผืนน้ำทะเลอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาอยู่คู่หนึ่งจดจ้องการกระทำของเขาตลอดตั้งแต่แหวกว่ายอยู่ในสระเดนิมหันหลังให้ทิวทัศน์ก่อนจะคว้าเอาห่วงยางที่นอนลอยน้ำเขาขึ้นไปนอนบนนั้นแล้วยิ้มแฉ่งให้กับพระอาทิตย์สองมือวักน้ำจนทำให้ห่วงยางนั้นลอยไปลอยมา“เล่นเหมือนเด็กๆไปได้” ไม่รู้เมื่อไหร่ที่พิพัฒน์เอาแต่จดจ้องร่างบางที่สวมเพียงแค่กางเกงว่ายน้ำตัว
เดนิมแตะบัตรค่อยๆเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายทำอะไรอยู่เดนิมเปลี่ยนเป็นรองเท้าสลิปเปอร์ก่อนจะเห็นว่ากระเป๋าของตัวเองยังวางอยู่ที่หน้าประตูเหลือเพียงกระเป๋าใบเดียวพี่พัดคงกลับเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วเดนิมกำที่จับกระเป๋าล้อเลื่อนของตัวเองแน่นก่อนจะตัดสินใจที่จะไปนอนกับพี่แฝดเขาไม่อยากให้การมาทำงานครั้งนี้ของพี่พัดมีปัญหาหรือรู้สึกอึดอัดเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินออกมาจากประตูเสียงเอ่ยราบเรียบก็ทักขึ้นมา“เข้ามาแล้วจะออกไปไหนอีก” น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์แต่เดนิมรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจอยู่เนืองๆเขาไม่ได้ตอบแต่ค่อยๆเดินผ่านโถงทางเดินเข้าไปก่อนจะเจอกับโซนห้องนั่งเล่นตรงกลางโซฟาหันหน้าเข้าหาทะเลภาพวิวเบื้องหน้ามีสระน้ำขนาดกลางส่วนตัวให้แขกได้พักผ่อนมีตาข่ายให้ได้นอนอาบแดดนับได้ว่าเป็นห้องพักที่เยี่ยมยอดที่สุดของ The Grand DAE เลยก็ว่าได้พิพัฒน์นั่งจิบบรั่นดีสีอำพันในมือสายตาทอดมองไปยังวิวตรงหน้าน้อยครั้งนักที่เดนิมจะเห็นว่าอีกฝ่ายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่จะเป็นชาร้อนหากต้องอ่านรายงานค่อนคืน“คือ…นิมจะไปนอนกับพี่แฝด”“ใช่แ
เดนิมเดินทอดน่องไปตามชายหาด ท้องเริ่มปวดบิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงนั่งตรงเปลที่ชายหาดผูกไว้ นั่งสักพักเลยล้มตัวนอน มือก็ได้แต่กดท้องตัวเองเอาไว้ เดนิมเป็นโรคกระเพาะทานอาหารไม่ตรงเวลาก็จะปวดจนทรมาน อีกอย่างยาลดกรดก็อยู่ในกระเป๋า ตอนนี้เขาเหนื่อยทั้งกายและใจเลยอยากจะนั่งพักสักครู่ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี พี่พัดตักอาหารให้เขา แต่เป็นสิ่งที่ฆ่าเขาให้ตายได้ อีกทั้งตอนสมัยที่เดนิมยังเด็ก หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เดนิมประทับใจในตัวพี่พัดของเขาก็คือพี่พัดจะเป็นฝ่ายคอยระวังเรื่องอาหารการกินของเขาทุกครั้งที่ต้องออกไปทานอาหารข้างนอกกันรวมถึงแฝด แฝดมักจะเผอเรอไม่ถามไถ่หรือมักจะสั่งกุ้งมากิน แต่เป็นพี่พัดเองที่คอยเอาใจใส่ และหาร้านที่ไม่มีส่วนผสมของกุ้งเพื่อเดนิมวันเวลาผ่านพ้นไปคนเราหากเป็นเรื่องสำคัญมักจะไม่ลืม…เดนิมยิ้มเยาะให้ตัวเองก่อนจะนอนอยู่อย่างนั้นแขนซ้ายปิดทับดวงตาปิดบังความน้อยเนื้อต่ำใจและการเดินหนีหรือหลีกเลี่ยงเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นเดนิมจึงนิยามความรักของตัวเองว่าเป็นรักที่ไม่ประกอบวิ่งมายาวนานเพื่อคนคนเดียวมานับสิบปีเขาแพ้กุ้งแต่พี่พ
เดนิมไม่ออกจากห้องของตัวเองแม้ว่าป้าแม่บ้านที่แม่ของเขาส่งมาทำความสะอาดให้ทุกวันอาทิตย์ก็ตามภายในห้องมีตู้เย็นขนาดเล็กขนมขบเคี้ยวรวมไปถึงกาน้ำร้อนขนาดพกพาอีกทั้งเพราะการเขียนนิยายออกมาสักเรื่องหนึ่งมันใช้เวลาและในตอนที่อารมณ์พาไปหรือจินตนาการพรั่งพรูเดนิมไม่อยากจะลุกออกไปทำอะไรนิ้วเรียวยาวเคาะแป้นพิมพ์อยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียงของแป้นพิมพ์ทำให้เขาลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าสมาธิจดจ่ออยู่กับหน้าจอและตัวหนังสือตรงหน้าและเขาใช้มันเพื่อระบายของเสียภายในจิตใจเขาระบายมันออกมาเป็นตัวหนังสือตัวละครบางตัวก็คือตัวเองที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาขัดเกลาตัวละครผ่านเหตุการณ์สมมุติต่างๆมากมายมานับไม่ถ้วนหาทางออกให้ตัวละครเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายแต่น่าเสียดายตัวเองกลับหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอเขาติดอยู่ในวังวนความเจ็บปวดของความรักมายาวนานนับสิบปีรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีใจแต่ก็ยังจะเฝ้ารออดทนกับสายตาที่หยามเหยียดอดทนต่อถ้อยคำที่บาดลึกถึงกระดูกคล้ายกับคนไม่รู้สึกรู้สา สุดท้ายกลับฝังตัวเองทั้งเป็นด้วยการทอดกายให้อีกฝ่ายได้เชยชม ในฐานะนักเขียนหากตัวละครตัวนี้จะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่แ
บริษัทมีการจัดเลี้ยงฝึกงานแต่เดนิมบอกปัดเขาไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยงกับปัญหาอีกปานัสเป็นญาติของนิชาอีกทั้งก็ไม่ชอบขี้หน้าเขาเป็นทุนเดิมงานเลี้ยงครั้งนี้ไม่ไปดีที่สุดพี่พัดเองก็ไม่ได้ว่าอะไรมีแต่ปานัสที่ดีอกดีใจคุณสิริเองก็เอ่ยชมเขามากขึ้นกว่าแต่ก่อนเดนิมคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วคำชมที่มาจากความจริงใจเพียงเท่านี้ก็มีกำลังใจให้เด็กฝึกงานอย่างเขากระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้นไปอีกอีกอย่างเดนิมก็ไม่ได้จบงานด้านบริหารมาเขาทำได้ดีขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้วชีวิตหลังจากนี้จะได้เป็นอิสระเสียทีเดนิมเลิกเฝ้ารอและเลิกฝันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะทำอะไรดีๆให้พี่พัดแต่ทำไปเหมือนขว้างหินลงสู่ทะเลพี่พัดเกลียดเขาจะตาย…ไม่เห็นหน้ากันจะดีที่สุดเดนิมไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะกลับมาค้างทุกวันหยุดสุดสัปดาห์หรือไม่เขาไม่คิดโทรถามไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญและลำบากใจวันนี้วันศุกร์เขาไม่มีธุระที่ไหนเลยเข้าครัวเองทำอาหารสองสามอย่างทีละน้อยสำหรับคนคนเดียวไข่เจียวตรงหน้าฟูฟ่องส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องครัวเดนิมแกะข้าวหุงสำเร็จเวฟก่อนจะแกะใส่จานแม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้วเดนิมเลือกที่จะหันหลังแล้วทำเป็นไม่เห็นก้มลงทานอาหารตรงหน้
ทางด้านปานัสเมื่อโดนดุไปซึ่งๆหน้าก็ดูจะนอบน้อมขึ้นแต่ก็ยังพยายามจะหักหน้าและปาดหน้าทำงานแทนเดนิมเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมือเจ็บ“นิมช่วยดูตรงนี้หน่อยนะ” สิริเอ่ยพร้อมยื่นแฟ้มให้เดนิมยังไม่ทันยื่นมือออกไปรับปานัสกลับยื่นมือมารับแทน“ให้นัสทำนะครับพี่สิริ” สิริเองก็มองหน้าเดนิมเมื่อเห็นเจ้าตัวพยักหน้าน้อยๆก็ยื่นแฟ้มใส่มือปานัสแทนพร้อมกำชับ“ฝากด้วยนะจ๊ะงานนี้ต้องเสร็จวันนี้ถ้าไม่เสร็จจะจ่ายค่าโอทีให้”ปานัสอ้าปากค้างกลืนน้ำลายลงคอพร้อมรีบเปิดเอกสารในแฟ้มอ่านรายละเอียดคร่าวๆพร้อมอุทานในใจ “ตายห่าไม่น่าเลยกูวันนี้จะเสร็จไหมเนี่ย” พร้อมรีบกุลีกุจอกลับไปนั่งทำที่โต๊ะตัวเองโซนหน้าห้องผู้บริหารแทบไม่มีเสียงพูดคุยตลอดช่วงบ่ายพี่สิริหันมายิ้มเป็นนัยให้เดนิมเดนิมค้อมหัวให้ก่อนจะก้มหน้าอ่านเอกสารในมือจนเลิกงานปานัสขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเมื่อเวลาเลิกงานพนักงานทุกคนทยอยกลับรวมไปถึงเดนิมที่เดินมาอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงานของตัวเองเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ขอบคุณปานัสมากนะที่ช่วยทำงานนี้แทนเราเราขอตัวก่อนนะ” ปานัสแสร้งยิ้มก่อนจะกัดฟันตอบ “กลับก่อนได้เลยจ้ะ” แต่ในใจก่นด่าอีกฝ่ายสิบกว่ารอบเดนิมที่กำลังลงลิฟต์ไปย
ทางด้านเดนิมโชคดีที่กาแฟวางพักไว้สักครู่บนเคาน์เตอร์แผลจึงไม่ได้ร้ายแรงเป็นแผลไหม้ระดับสองมีตุ่มพองใสแต่ก็ปวดแสบมากเพราะเส้นประสาทบริเวณผิวหนังยังเหลืออยู่ไม่ได้ถูกทำลายไปมากนักการหายของแผลใช้เวลาประมาณสองถึงสามสัปดาห์คุณหมอจึงให้ครีมทายาภายนอกรวมไปถึงการปิดแผลด้วยผ้าก๊อซอีกทั้งยังกำชับไม่ให้โดนน้ำรวมไปถึงที่ต้นขาด้านขวาด้วยเดนิมทำแผลเสร็จพี่แฝดก็โทรมาตอนอยู่ในรถพอดีเขากดรับสายก่อนจะทำน้ำเสียงปกติ “ว่าไงครับ”“วันนี้ว่างหรือเปล่าเราพี่สองคนจะไปรับไปทานข้าว”“วันนี้คงไม่ได้ครับ”“เดี๋ยวพี่โทรไปหาไอ้พัดให้”“อย่าดีกว่าครับเดี๋ยวพี่พัดจะว่าเอาตอนนี้ผมเป็นแค่พนักงานฝึกงานนะครับพี่แฝดอย่าลืม” เดนิมพยายามทำน้ำเสียงให้สดใส “อีกอย่างมีนักศึกษาฝึกงานคนอื่นมาฝึกด้วย”“แล้วเราจะว่างเมื่อไหร่” เดนีนแทรกขึ้นมา“เดี๋ยวถ้าว่างจะโทรไปนัดพี่ๆอีกทีนะครับไม่ต้องกลัวว่าพวกพี่แฝดจะไม่ได้จ่ายรับรองวันนั้นต้องจ่ายให้น้องทั้งวันนะครับ” แฝดต่างหัวเราะ “หาเวลามาให้ได้เถอะน้องคนเดียวจะเท่าไหร่เชียวแพงแค่ไหนก็เลี้ยงได้” ทั้งสามคนหัวเราะก่อนจะกดวางสายเดนิมถอนหายใจก่อนจะสตาร์ทรถกลับบ้านโดยไม่ได้ดูสายที่ไม่ได้รับก