ทุกวันเสาร์ทางบ้านเดนิมจะส่งแม่บ้านมาคอยปัดถูทำความสะอาดป้าอนงค์และป้าสายใจทำงานมานานอีกอย่างลลดาเป็นห่วงลูกชายอย่างน้อยส่งคนรู้ใจมาสอดส่องสัปดาห์ละครั้งก็ยังดี
“คุณหนูคะเสื้อผ้ามีแค่นี้เองเหรอคะแล้วของคุณผู้ชายละคะ”
“มีแค่นี้แหละครับของพี่พัดนิมซักหมดแล้วครับ”
“ไม่ได้นะคะคุณหนูใส่ไว้ในตะกร้าเอาไว้ได้เลยเดี๋ยวป้ามาซักให้เองค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับนิมอยากทำให้พี่พัดเอง” เดนิมยิ้มตอบก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปยังห้องนั่งเล่น
คนแก่อย่างอนงค์กับสายใจทำไมจะดูไม่ออกทั่วทั้งห้องไม่มีกลิ่นอายของคนอื่นอยู่เลยมีเพียงคุณหนูของเธอคนแล้วจานชามก็มีเพียงอย่างละหนึ่งตู้เสื้อผ้าโล่งขนาดนั้นแต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมา
“ตู้เย็นแทบไม่เหลือของสดเลยป้าไปซื้อให้ไหมคะ”
“ไม่เป็นไรครับซื้อกินเอาสะดวกกว่า”
“ขาดเหลืออะไรบอกป้ามาได้เลยนะคะป้าจะได้ตระเตรียมให้”
“ไม่น่าจะขาดอะไรแล้วครับขอบคุณมากครับ” เดนิมพูดตอบซีรีย์เรื่องโปรดที่กำลังโลดแล่นอยู่บนจอไม่เข้าหัวของเขาสักนิดที่เขาต้องแกล้งจดจ่ออยู่กับภาพยนตร์ตรงหน้าก็เพื่อหลีกเลี่ยงการตอบคำถามของแม่บ้านเขารู้ดีว่าทุกคนเป็นห่วงแต่เขาเองก็ยังแอบหวังอยู่ลึกๆว่าพี่พัดจะยกโทษให้
หนึ่งวันหมดไปโดยที่ปราศจากเงาของใครอีกคนเช่นเคยเดนิมที่อาบน้ำเตรียมเข้านอนกลับได้ยินเสียงเปิดประตูคิดว่าคงเป็นแม่บ้านที่ลืมของอะไรจึงรีบออกไปดู
“ป้าสายใจลืมอะไรหรือเปล่าครับ” เอ่ยถามออกไปโดยที่ไม่คาดคิดว่าจะเจอกับพิพัฒน์ที่ยืนคิ้วขมวด
“พูดกับพี่หรือเปล่า” เดนิมตกใจคิดว่าตัวเองตาฝาดที่เห็นอีกฝ่ายยืนอยู่ตรงประตูเดนิมไม่กล้าจะขยับตัวกลัวว่าตัวเองจะฝันไปด้วยซ้ำ
“พี่พัด” เดนิมเอ่ยเพียงแค่นั้นก่อนจะเอ่ย “ขอโทษด้วยครับนิมนึกว่าเป็นป้าแม่บ้าน”
“อืม”
พิพัฒน์ถอดรองเท้าก่อนจะเดินผ่านหน้าเดนิมไปก่อนจะหยุดหันกลับมาถาม “ห้องพี่ห้องไหน”
“อ้อห้องในสุดเลยครับ” เดนิมตอบพลางเดินนำอีกฝ่ายไปยังห้องนอนที่อยู่ด้านในสุดซึ่งเขาจัดไว้ให้อยู่ตรงข้ามเยื้องๆไปกับห้องของตัวเองโดยมีโซนห้องครัวกั้นกลางพี่พัดจะได้ไม่รู้สึกอึดอัดกับการอยู่ร่วมกันกับเขา
“เชิญครับ” เดนิมเตรียมห้องนอนแยกไว้ให้พิพัฒน์ไว้ตั้งแต่แรกแล้วเขารู้อยู่แล้วว่าพี่พัดไม่มีทางยอมนอนห้องเดียวกันกับเขาแน่ๆจึงได้เลือกห้องให้อีกฝ่ายอยู่ในสุดถัดมาคือห้องทำงานส่วนห้องของเดนิมอยู่อีกฝั่งหนึ่งติดกับห้องนอนแขกห้องของพิพัฒน์มีขนาดใหญ่สุดก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องเดนิมก็รีบถามไถ่อย่างกระตือรือร้น “พี่พัดทานข้าวมาหรือยังครับ” น้ำเสียงและสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังแต่ก็ต้องผิดหวังอีกครั้ง “พี่ทานมาแล้วออกไปรอที่ห้องนั่งเล่นก่อนไปพี่เก็บของเสร็จแล้วเรามีเรื่องต้องคุยกัน” เดนิมพยักหน้าพลางเดินไปนั่งรอที่ห้องนั่งเล่นอย่างว่าง่าย
ไม่นานพิพัฒน์ก็เดินออกมา เลือกนั่งโซฟาตรงข้ามกับเดนิม เดนิมกอดหมอนอิงนั่งมองเท้าตัวเองอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายคล้ายกับมีชนักติดหลัง ส่วนพิพัฒน์ได้แต่นั่งมองสังเกตสีหน้าและท่าทางของเดนิมอยู่สักพัก เมื่อก่อนเดนิมเป็นเด็กที่น่าเอ็นดู ดูอ่อนต่อโลก แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้ในใจของเขาไม่สามารถมองเดนิมในแง่นั้นอีกได้อีกต่อไป ก่อนจะเอ่ยทำลายความเงียบ
“พี่จะมาพักที่นี่เพียงวันศุกร์เสาร์และอาทิตย์เท่านั้นส่วนจันทร์ถึงพฤหัสฯพี่จะพักที่ทำงาน” พิพัฒน์เว้นจังหวะก่อนจะเอ่ยต่อ “พี่จะไม่อยู่ร่วมห้องเดียวกับเราและพี่ขอห้าม ไม่ให้เราเข้ามายุ่มย่ามในห้องนอนของพี่เรื่องทำความสะอาดให้แม่บ้านเข้ามาทำ”
เดนิมเงยหน้ามองพิพัฒน์ด้วยใบหน้าซีดเผือดได้แต่พยักหน้าตอบกลับ “ครับ” เพียงเท่านั้น “ส่วนเรื่องกับข้าวพี่ว่าสั่งข้างนอกมาสบายกว่าอีกอย่างนิมก็ทำกับข้าวไม่เป็นด้วย” เดนิมทำท่าจะแย้งแต่ทำได้เพียงพยักหน้ายอมรับเท่านั้น “ทำตามความต้องการของพี่พัดเถอะครับ”
“อีกอย่างเรื่องระหว่างเราก็ขอให้มันจบเพียงแค่นี้อย่าลากคนนอกมาเกี่ยวข้อง” ทั้งๆที่เดนิมเตรียมใจมาแล้วแท้ๆแต่พอได้ยินประโยคเหล่านี้จากปากของพี่พัดน้ำตาที่แห้งเหือดพลันจะไหลออกมาอยู่รอมร่อได้แต่กลั้นเอาไว้ก่อนจะตอบกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ครับ”
“อีกอย่างต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระต่อกันไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวพี่จะไม่ก้าวก่ายเรื่องของนิมด้วยเช่นกันจนกว่าจะหมดสัญญาก็อยู่กันแบบนี้ไปละกัน” ก่อนจะเว้นจังหวะ
“นิมคิดว่าไง”
“แล้วแต่พี่พัดเลยครับ” ก่อนที่ทำนบน้ำตาจะไหลออกมาจึงกัดฟันเอ่ย “ถ้าไม่มีอะไรแล้วนิมขอตัวก่อนนะครับ” หันหลังเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินคำพูดที่ทำเอาสั่นไปทั้งร่าง “คราวหน้าไม่ต้องทำอาหารมาให้พี่ที่บริษัทอีกนะนิมรู้ดีแก่ใจว่าเพราะอะไร” ได้ยินดังนั้นจึงรีบเดินกลับห้องของตัวเองโดยเร็วที่สุดน้ำตาที่กลั้นเอาไว้ก็ไหลออกมาอย่างไม่ขาดสายเสียงสะอื้นร่ำไห้ของเดนิมในสายตาพิพัฒน์ไม่ชวนให้น่าสงสารเลยสักนิดและนี่คือบทเรียนแรกเขาจะมอบให้เดนิมคนหน้าซื่อใจคดอย่างเดนิมต้องถูกดัดนิสัยเสียบ้าง
พิพัฒน์ตื่นเช้ามาก็ไม่เห็นเดนิมอยู่ภายในห้องแล้วดีเหมือนกันอย่างน้อยก็ไม่น่าอึดอัดจนเกินไประยะเวลาหนึ่งปีสำหรับเขาแล้วยาวนานแทบไม่มีที่สิ้นสุดเป็นไปได้เขาไม่อยากอาศัยอยู่กับเดนิมเลยสักนิดแม้แต่น้ำเปล่ายังซื้อแยกเอาไว้ในตู้เย็นภายในห้องนอนของตัวเองพิพัฒน์ยอมรับว่ากลัวกลัวว่าเหตุการณ์เดิมจะซ้ำรอยอีกครั้งและเขาไม่ไว้ใจเดนิมอีกต่อไปการถูกวางยาในวันนั้นทำให้เขาระวังตัวมากกว่าเดิมคล้ายว่าเป็นแผลใจก็ได้และที่เขายอมศศิภักดีเพราะบุญคุณล้วนๆ
เดนิมออกมาห้องสมุดที่เดิมตั้งแต่เที่ยงคืนมันกลายเป็นเซฟโซนที่พักใจของเขายามเหนื่อยล้าเดนิมแม้จะตั้งตารอคอยการมาถึงของพี่พัดแต่ความเป็นจริงมันกลับไม่เป็นดั่งใจนึกแล็ปท็อปคู่ใจรองรับนิ้วเรียวยาวที่พิมพ์แป้นอย่างระรัวการระบายของเสียภายในจิตใจของเดนิมไม่ใช่การก้าวร้าวหยาบคายแต่ระบายมันออกมาผ่านตัวหนังสือทุกถ้อยคำบาดลึกสื่อสารถึงคนอ่านและหวังว่าผู้คนเหล่านั้นจะได้พบกับรักแท้อย่าได้เจ็บปวดกับการรักใครอยู่ฝ่ายเดียวเหมือนอย่างกับเขา
ในนิยายมักจะบรรยายการครองคู่ของตัวละครเป็นตอนจบสุดท้ายมันเป็นชีวิตคู่ที่อบอวลไปด้วยความสุขแต่ทว่าชีวิตจริงเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ในโลกของความเป็นจริงการแต่งงานไม่ได้เป็นการการันตีว่าชีวิตรักจะหวานชื่นไปตลอดกาลแต่ก็ไม่ใช่ทุกคู่นิ้วเรียวยาวเคาะแป้นพิมพ์อยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดคล้ายกับอยู่ในภวังค์เหมือนต้องการระบายความอัดอั้นตันใจผ่านอักษรเหล่านั้นก่อนจะกดปิดแล็ปท็อป ฟุบลงบนโต๊ะโดยใช้แขนรองเพื่อพักสายตาสักครู่
“ขอโทษนะครับคุณอ่านเรื่องนี้อยู่หรือเปล่าครับ” เดนิมเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ครับ”
“ขอโทษด้วยนะครับไม่รู้ว่าคุณนอนอยู่”
“ไม่เป็นไรครับ”
“คือ” เดนิมเหลือบไปเห็นหนังสือที่ว่า “คุณหมายถึงเล่มนี้หรือเปล่าครับ”
“ใช่ครับ…ถ้าคุณยังอ่านอยู่ก็ขอโทษด้วยครับพอดีผมหาซื้อไม่ได้เลยว่าจะมายืมที่นี่แต่ก็…”
“ไม่เป็นไรผมอ่านจบแล้ว” เดนิมยื่นหนังสือให้กับคนแปลกหน้าก่อนจะเอ่ยถาม
“คุณเป็นแฟนนิยายของคุณ FALLIN ด้วยเหรอครับ” เดนิมอดแปลกใจไม่ได้ไม่คิดว่าแนวรักชิงสวาทจะเป็นที่นิยมในชายหนุ่มแบบนี้ด้วยปกติจะเป็นที่นิยมของสาววายมากกว่าจากการสำรวจตลาด
“อย่าบอกนะครับว่าคุณก็เป็นแฟนนิยายของคุณ FALLIN เหมือนกัน” และแล้วจากคนแปลกหน้าก็กลายมาเป็นเหมือนเพื่อนสนิทที่คุยกันถูกคอมีรสนิยมเดียวกันชอบอะไรเหมือนๆกันส่วนสิบทิวาเองก็หาคนที่จะพูดคุยดีพทอล์คเรื่องนิยายเล่มนี้มานานแล้วเหมือนกันแม้จะเรียนจบจนมาสานต่อธุรกิจที่บ้านแต่ว่าเขามีงานอดิเรกคือการอ่านนิยายไม่เน้นเฉพาะเจาะจงพลอตดีสนุกถูกใจก็อ่านได้หมดแต่พึ่งเข้าวงการวายเพราะงานเขียนของคุณ FALLIN แม้จะได้รับรางวัลเบสเซลเลอร์ในไทยหรือแม้นิวยอร์กไทม์ก็ไม่เคยออกบูธแจกลายเซ็นเลยสักครั้งแฟนๆนิยายเรียกร้องไปยังสำนักพิมพ์กันแทบตายแต่ได้รับคำตอบเพียงว่ากำลังเรียนต่อที่ต่างประเทศ
“ผมตามเก็บนิยายทุกเรื่องของเขาหลังๆนอกจากราคาจะแพงแล้วคนแทบไม่ปล่อยขายเลย” เดนิมอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าคุณสิบทิวาจะเป็นแฟนพันธุ์แท้ขนาดนี้”
“อย่ามองที่ภายนอกสิครับ” สิบเทวายิ้มตอบ
“ตอนนั้นผมหาซื้อมาเผื่อไว้สองเล่มหากคุณต้องการผมสามารถให้ได้”
“จริงเหรอครับ!” สิบทิวาดีตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก “คุณจะตัดใจขายจริงๆเหรอครับราคาในตลาดเล่มละหลายพันเลยนะครับ” สิบทิวาไม่เกี่ยงเรื่องราคาแต่เขากลัวถูกโกงมากกว่า
“คุณจ่ายผมราคาปกก็ได้ครับของมาเงินไป” ทั้งสองจึงแลกไลน์กันเพื่อติดต่อซื้อขายกันต่อไปหลังจากนั้นเดนิมจึงขอตัวกลับเขาไม่ได้กลับไปยังเพนท์เฮ้าส์แต่เลือกกลับไปที่คอนโดของตัวเองแทนภายในห้องเสื้อที่เต็มไปด้วยเศษผ้าหุ่นแบบต่างๆที่ถูกร่างเอาไว้จนเต็มโต๊ะเดนิมยื่นมือไปลูบชุดแต่งงานงานที่เขาได้ตัดและออกแบบเอาไว้ด้วยตัวเองมันคือความปรารถนาอันสูงสุดในชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้ถ้าหากพูดออกไปยังไงก็เหมือนกับว่าเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้าก่อนจะค่อยๆนั่งลงตรงหลังเครื่องจักรไฟฟ้าตัวโปรดเดนิมชอบเสียงเข็มที่ปักลงบนผืนผ้าความตึงเครียดที่มีก่อนหน้าคล้ายมลายหายไปเมื่อชุดที่ร่างเอาไว้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาจริงๆเดนิมไม่รับออเดอร์เพราะการจะตัดเสื้อผ้าออกมาชุดหนึ่งต้องอาศัยแรงกายและแรงใจเป็นอย่างมากกว่าจะถักทอร้อยเรียงออกมาได้แต่ละผลงานต้องใช้เวลาเขาไม่ใช่คนที่สุกเอาเผากินแต่ละงานประณีตจึงชอบทำชุดสำเร็จมากกว่าห้องเสื้อที่เขาทำร่วมกับโจชัวร์ก็กำลังไปได้ดีเริ่มมีชื่อเสียงในหมู่นางแบบนายแบบโดยเฉพาะชุดที่เขาออกแบบล้ำสมัยและมีเอกลักษณ์เป็นอย่างมากแต่ละชุดมีเพียงหนึ่งไม่มีสองเพราะอยากให้แต่ละคนโดดเด่นไม่ซ้ำกันห้องเสื้อ JeansShore มีเสื้อผ้าหลากหลายแบบหลากหลายสไตล์ให้เลือกสรรโดยเฉพาะชุดสูทที่ตัดโดยเดนิม
เดนิมจดจ่ออยู่กับกองเสื้อผ้าเหล่านั้นโดยไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใดอีกก่อนจะมาถึงที่นี่เขาส่งข้อความบอกพวกแฝดแล้วว่าจะเก็บตัวตัดเสื้อผ้าพวกแฝดรู้นิสัยของเขาดีจึงไม่ได้โทรมาสอบถามอะไรส่วนพิพัฒน์เองก็ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้คล้ายว่าเดนิมจงใจหลบหน้าแบบนี้ก็ดีเหมือนกันอย่างน้อยเมื่อสัญญาหมดลงความรู้สึกเกลียดชังที่มีจะได้ลดน้อยลงไม่แน่ว่าสักวันเขาอาจจะมองเดนิมเป็นน้องเป็นนุ่งเหมือนอย่างเดิม
เดนิมกินนอนอยู่กับกองผ้าจนชุดสูทและชุดราตรีที่สั่งตัดพิเศษเนื่องจากลูกค้าถูกใจในการออกแบบของเขาเดนิมทำมันออกมาได้เพียงระยะเวลาสองสัปดาห์เป็นสองสัปดาห์ที่ทรหดแต่ทว่าเหมือนได้ชีวิตตัวเองคนเดิมกลับมาสภาพจิตใจที่บอบช้ำถูกกาลเวลาเยียวยาเสียงจักรคอยทำลายเสียงในหัวความคิดฟุ้งซ่านต่างๆถูกแทนที่ด้วยสมาธิกับการจดจ่อต่อชุดในเบื้องหน้าเมื่อจัดการชุดส่งให้ร้านเรียบร้อยแล้วเดนิมจึงเลือกจะพักในคอนโดของตัวเองต่อจนกว่าจะถึงวันจันทร์เพราะเขากลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกแย่แม้จะอยากทำดีสักแค่ไหนแต่ความเชื่อใจที่เคยมีเรียกร้องกลับมาได้ไม่ง่ายเหมือนอย่างใจนึก
เมื่อวันจันทร์มาถึงเดนิมกลับมาถึงเพนท์เฮ้าส์ด้วยสภาพอิดโรยหอบหิ้วเอกสารเดินกลับเข้ามาภายในห้องแต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นใครบางคนนั่งอยู่ตรงโซฟาห้องนั่งเล่นเพราะเดนิมอายุอ่อนกว่าจึงเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบเสียก่อน
“สวัสดีครับ” พิพัฒน์เงยหน้าจากไอแพดในมือก่อนจะหันไปมองนาฬิกาที่ติดตรงผนังในสายตาของพิพัฒน์มองสำรวจเดนิมที่ดูเหมือนจะซูบจากคราวที่แล้วเล็กน้อยแถมสองมือยังมีแต่ถุงแบรนด์เนม “คุณลุงฝากพี่มาสอนงานบริษัทลูกให้นิมนิมควรจะหาอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอันสักทีไม่ใช่ลอยไปลอยมาไปวันๆอยู่อย่างนี้”
“ในสายตาพี่พัดเห็นว่านิมเป็นคนแบบนั้นเหรอครับ” เดนิมสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะเอ่ย “นิมไม่รบกวนพี่พัดดีว่าอีกอย่างนิมเป็นคนหัวช้าทำธุรกิจไม่ได้หรอกครับ” พูดเสร็จก็เดินผ่านเข้าห้องตัวเองไปเดนิมนั่งชันเข่ามองเอกสารหลายแฟ้มที่อยู่ภายในถุงกระดาษแบรนด์เนมเหล่านั้นอย่างเหม่อลอยก่อนจะตัดสินใจเดินออกไปพูดในสิ่งที่อยากจะพูดมานาน
“พี่พัดครับ” เดนิมไม่ได้นั่งลงที่โซฟาแต่เลือกยืนตรงข้ามจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกหลากหลายไม่กล้าแม้แต่จะน้อยใจเพราะรู้ว่าตัวเองคือต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้
พิพัฒน์เองไม่ได้ขานตอบเพียงเงยหน้าจ้องมองไม่ปริปากพูดอะไรเดนิมบีบมือที่เย็นเฉียบทั้งสองข้างของตัวเองก่อนจะตัดสินใจเอ่ย “นิมรู้ว่าพี่พัดอึดอัดที่ต้องมาอยู่กับนิมสัญญาก่อนหน้าก็อย่าไปพูดถึงมันเลยนิมรู้ว่าพี่พัดเป็นคนรักษาคำพูดแต่นิมไม่อยากจะฝืนใจและไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้นิมรู้ว่าพี่พัดเกลียดนิมแต่นิมอยากให้พี่พัดรู้ว่านิมไม่เคยคิดวางยาพี่พัดไม่เคยคิดจะใช้วิธีการสกปรกแบบนี้เรื่องระหว่างเราก็ให้มันแล้วกันไปเรื่องนี้นิมจะเป็นฝ่ายคุยกับคุณพ่อคุณแม่เอง” สองคนจ้องตากันอยู่อย่างนั้นจนเดนิมเป็นฝ่ายหลบสายตาเสียก่อน “อีกอย่างห้องนี้พี่พัดคงไม่สะดวกสบายหลายอย่าง” เดนิมเม้มปากแน่น “ยังไงผมก็ต้องขอโทษอีกครั้งนะครับ” พูดเสร็จก็ยกมือไหว้ก้มหัวขอโทษอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม
“ถ้ามันง่ายอย่างที่นิมพูดก็ดีสิ”
“หมายความว่าไงครับ” เดนิมถามด้วยความสงสัยไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องมาทนอยู่ด้วยกันอย่างนี้
“ได้อ่านทุกตัวอักษรหรือเปล่า” เดนิมคิดทบทวนถึงสัญญาที่เขาได้รับก่อนหน้า “ทำไมเหรอครับ”
พิพัฒน์ยิ้มหยัน “ภายในสัญญาระบุว่าต้องอยู่อาศัยด้วยกันตลอดหนึ่งปีเพราะอะไรรู้ไหม” เดนิมส่ายหน้า “นิมรู้จักร่างกายตัวเองดีมากกว่าพี่นะ” เดนิมเชิดหน้าสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะกัดฟันเอ่ย “นิมไม่ได้เลวจนถึงขนาดเอาเด็กมาเป็นข้อผูกมัดพี่พัดหรอกครับมีแต่จะเพิ่มความเกลียดชังให้กันเสียเปล่าๆพี่พัดไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกครับนิมกินยาไปแล้วยังไงก็ไม่ท้องแน่นอนพี่พัดสบายใจได้”
“ของแบบนี้พูดปากเปล่าไม่ได้หรอกนะ” พิพัฒน์เอ่ยเสียงเย็น
“พี่พัดไม่ต้องกังวลไปหากนิมท้องขึ้นมาจริงๆเด็กคงนี้คงไม่มีวันได้ลืมตาขึ้นมาดูโลกหรอกครับ”
“เดนิม!”
“ก็ไม่ใช่สิ่งที่พัดต้องการเหรอครับ” เดนิมตอบกลับก่อนจะหันหลังกลับเข้าห้องไปโดยที่ไม่พูดอะไรอีก
เดนิมยกฝ่ามือขึ้นมาลูบหน้าท้องตัวเองเบาๆแม้เดนิมจะหลงรักอีกฝ่ายมาหลายสิบปีแต่ก็ไม่เคยคิดจะช่วงชิงโดยใช้วิธีการนี้มาก่อนผลลัพธ์นอกจากไม่คุ้มค่าแล้วยังทรมานเหมือนตายทั้งเป็นหากเขาท้องขึ้นมาตอนนี้รังแต่จะสร้างปัญหาอีกทั้งยังจะมีคนที่ถูกเกลียดเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน
พี่พัดไม่เคยรักเขาและจะรักเด็กคนนี้ลงได้ยังไงเดนิมหวาดกลัวเรื่องนี้มากที่สุดและจะไม่ยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นมาเป็นอันขาด!
พิพัฒน์ยอมรับว่าตัวเองตกใจที่เห็นเดนิมในท่าทางที่แข็งกระด้างแบบนั้นระยะเวลาสิบปีที่ไม่เจอกันเดนิมกลายเป็นใครอีกคนที่พิพัฒน์เองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเดนิมที่อ่อนต่อโลกต่อหน้าผู้คนกับเดนิมที่แข็งกระด้างที่อยู่ต่อหน้าเขาคือคนไหนกันแน่
แม้จะตกลงอยู่ร่วมกันในทุกวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ แต่เดนิมคิดว่าไม่เจอกันดีที่สุด อย่างน้อยก็ไม่ต้องเจอกันให้เสียความรู้สึก และถือเป็นการฆ่าเวลาไปในตัว และเดนิมกลัว กลัวว่าจะไม่สามารถกลบเกลื่อนสายตา ความรักที่มันเอ่อล้นอยู่ในอก เขาไม่อยากได้สายตาสมเพชจากพี่พัดอีกเดนิมวิ่งมาหลายสิบปีเพื่อคนคนเดียวเขาได้แต่หวังว่าสักวันระยะทางที่ทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุดนั้นจะมีสักวันหนึ่งที่มีโอกาสมองเห็นเส้นชัยแต่ทว่าพี่พัดของเขาไม่เคยให้โอกาสนั้นสองขาที่ออกวิ่งมายาวนานเริ่มเหนื่อยล้าและอ่อนแรงลงไปทุกทีเดนิมกลับมาอาศัยภายในคอนโดของตัวเองอีกครั้งเขาเร่งปิดต้นฉบับเพื่อให้ทันเดดไลน์ที่ตัวเองกำหนดขึ้นโฟกัสกับตัวอักษรเบื้องหน้าตัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายออกไปกลั่นกรองเรียงร้อยรสรักออกมาเป็นหนังสือนิยายรักเรื่องเศร้าเรื่องหนึ่งว่ากันว่า ‘เรามักจะซ่อนคนคนนึงไว้ในบทเพลง’ นักเขียนอย่างเดนิมก็เช่นกันเขาซ่อนความรักที่มีต่ออีกฝ่ายมาอย่างยาวนานหลายสิบปีผ่านนิยายหลายสิบเล่มจนได้ขึ้นชื่อว่านักเขียนเรื่องเศร้าหากคุณมีความสุขในชีวิตมากเกินไปก็ไปหาหนังสือของ FALLIN มาอ่านหากคุณอยากจะล้างลูกตาชื่อนี้ไม่ทำให้คุณผิดหวังโดย
แม้ไม่อยากทำให้พี่พัดอึดอัด เดนิมมักจะปลีกตัวและไม่เข้าหาอีกฝ่ายโดยไม่จำเป็น ยิ่งในบริษัทเขาทำเหมือนเป็นพนักงานคนหนึ่งที่ไม่ได้มีสัมพันธ์เกินเลยกับเจ้านาย เดนิมวางตัวดีและพยายามหักห้ามความรู้สึกของตัวเองอยู่เสมอ แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายมักจะมีข้ออ้างให้เขาต้องติดสอยห้อยท้ายออกไปพบปะพูดคุยกับคู่ค้าอยู่เสมอเช่นกัน และแล้วเดนิมก็หาสาเหตุเจอว่าพี่พัดจะเก็บเขาไว้ข้างตัวทำไม ในที่สุดวันนี้ก็ได้รู้ ตลอดเวลาที่เขาตามพี่พัดไปทำงาน แม้จะโดยสารไปด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้กลับพร้อมกัน เดนิมชินกับความเป็นอยู่และการถูกปฏิบัติแบบนี้เสียแล้ว ไม่คาดหวัง…ไม่ผิดหวัง ตลอดระยะเวลาหลายสัปดาห์อีกฝ่ายมักจะพาเขาไปเรียนรู้งาน พบปะสังสรรค์ลูกค้าในฐานะเด็กฝึกงาน แต่ว่าไม่มีครั้งไหนน่าอึดอัดเท่าครั้งนี้มาก่อน ทั้ง ๆ ที่เป็นร้านอาหารสุดหรู บรรยากาศดี แต่ทว่าผู้ร่วมโต๊ะอีกคนกลับทำให้เดนิมรู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นที่สุด…ผู้หญิงที่มอมยาพี่พัดในวันนั้นก็คือคุณนิชา ซึ่งเป็นคู่ค้าของพี่พัดมายาวนานเดนิมนั่งกึ่งกลางระหว่างโต๊ะจะว่าไปหากตัดเรื่องเลวร้ายที่นิชาทำลงไปก็ดูจะเหมาะสมกับพี่พัดมากกว่าเขาทุกตรงทั้งคู่ทักทายกันอย่างคุ้นเคยเป็นก
แม้จะไม่อยากออกมาฝึกงานแต่เมื่อรับปากไว้แล้วก็ต้องทำให้เสร็จสามเดือนก็สามเดือนแค่ไม่กี่สัปดาห์ยังกินพลังงานชีวิตไปซะขนาดนี้ระหว่างเดนิมกับพิพัฒน์ก็ยังมีบรรยากาศกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อยแม้จะอาศัยอยู่ด้วยกันแต่ไม่ได้พูดคุยกันสักประโยคอีกทั้งเดนิมก็เลือกที่จะขับรถไปเองเมื่อก่อนรู้ทั้งรู้ว่าจะต้องโดนกลั่นแกล้งแต่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจแต่หลังจากที่มีปากเสียงกันครานั้นเดนิมก็ไม่อยากจะเป็นฝ่ายถูกกลั่นแกล้งอีกไม่ว่าจะให้เขาหิ้วท้องรอจนดึกดื่นหากวันไหนเขางีบหลับอีกฝ่ายก็จะกลับไปก่อนโดยที่ไม่เอ่ยปากจะเรียกกันอีกทั้งพี่พัดมักจะมีอิริยาบถที่ผ่อนคลายเมื่อไม่ได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังโดยเฉพาะการรับประทานอาหารร่วมกัน…ยิ่งคาดหวังมากเท่าไหร่มันก็จะยิ่งกัดกินความสุขในชีวิตเราไปมากเท่านั้นไม่มีใครไม่อยากสมหวังแต่ทว่ามันไม่เหลืออะไรให้หวังเลยต่างหากอาหารกลางวันคุณน้ามาลินีก็ห่อมาให้พี่พัดเหมือนเดิมเดนิมก็โทรหาสอบถามอยู่บ่อยๆไม่ใช่เพื่อทำคะแนนต่อให้คุณน้ามาลินีจะชมชอบเขามากแค่ไหนแต่เจ้าตัวไม่มีใจมันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดีเดนิมไม่อยากให้เรื่องระหว่างเขากับพี่พัดผิดใจกับผู้ใหญ่และเขาโชคดีที่น้ามาลินีไม่ได้รังเกียจกั
ทางด้านเดนิมโชคดีที่กาแฟวางพักไว้สักครู่บนเคาน์เตอร์แผลจึงไม่ได้ร้ายแรงเป็นแผลไหม้ระดับสองมีตุ่มพองใสแต่ก็ปวดแสบมากเพราะเส้นประสาทบริเวณผิวหนังยังเหลืออยู่ไม่ได้ถูกทำลายไปมากนักการหายของแผลใช้เวลาประมาณสองถึงสามสัปดาห์คุณหมอจึงให้ครีมทายาภายนอกรวมไปถึงการปิดแผลด้วยผ้าก๊อซอีกทั้งยังกำชับไม่ให้โดนน้ำรวมไปถึงที่ต้นขาด้านขวาด้วยเดนิมทำแผลเสร็จพี่แฝดก็โทรมาตอนอยู่ในรถพอดีเขากดรับสายก่อนจะทำน้ำเสียงปกติ “ว่าไงครับ”“วันนี้ว่างหรือเปล่าเราพี่สองคนจะไปรับไปทานข้าว”“วันนี้คงไม่ได้ครับ”“เดี๋ยวพี่โทรไปหาไอ้พัดให้”“อย่าดีกว่าครับเดี๋ยวพี่พัดจะว่าเอาตอนนี้ผมเป็นแค่พนักงานฝึกงานนะครับพี่แฝดอย่าลืม” เดนิมพยายามทำน้ำเสียงให้สดใส “อีกอย่างมีนักศึกษาฝึกงานคนอื่นมาฝึกด้วย”“แล้วเราจะว่างเมื่อไหร่” เดนีนแทรกขึ้นมา“เดี๋ยวถ้าว่างจะโทรไปนัดพี่ๆอีกทีนะครับไม่ต้องกลัวว่าพวกพี่แฝดจะไม่ได้จ่ายรับรองวันนั้นต้องจ่ายให้น้องทั้งวันนะครับ” แฝดต่างหัวเราะ “หาเวลามาให้ได้เถอะน้องคนเดียวจะเท่าไหร่เชียวแพงแค่ไหนก็เลี้ยงได้” ทั้งสามคนหัวเราะก่อนจะกดวางสายเดนิมถอนหายใจก่อนจะสตาร์ทรถกลับบ้านโดยไม่ได้ดูสายที่ไม่ได้รับก
ทางด้านปานัสเมื่อโดนดุไปซึ่งๆหน้าก็ดูจะนอบน้อมขึ้นแต่ก็ยังพยายามจะหักหน้าและปาดหน้าทำงานแทนเดนิมเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมือเจ็บ“นิมช่วยดูตรงนี้หน่อยนะ” สิริเอ่ยพร้อมยื่นแฟ้มให้เดนิมยังไม่ทันยื่นมือออกไปรับปานัสกลับยื่นมือมารับแทน“ให้นัสทำนะครับพี่สิริ” สิริเองก็มองหน้าเดนิมเมื่อเห็นเจ้าตัวพยักหน้าน้อยๆก็ยื่นแฟ้มใส่มือปานัสแทนพร้อมกำชับ“ฝากด้วยนะจ๊ะงานนี้ต้องเสร็จวันนี้ถ้าไม่เสร็จจะจ่ายค่าโอทีให้”ปานัสอ้าปากค้างกลืนน้ำลายลงคอพร้อมรีบเปิดเอกสารในแฟ้มอ่านรายละเอียดคร่าวๆพร้อมอุทานในใจ “ตายห่าไม่น่าเลยกูวันนี้จะเสร็จไหมเนี่ย” พร้อมรีบกุลีกุจอกลับไปนั่งทำที่โต๊ะตัวเองโซนหน้าห้องผู้บริหารแทบไม่มีเสียงพูดคุยตลอดช่วงบ่ายพี่สิริหันมายิ้มเป็นนัยให้เดนิมเดนิมค้อมหัวให้ก่อนจะก้มหน้าอ่านเอกสารในมือจนเลิกงานปานัสขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเมื่อเวลาเลิกงานพนักงานทุกคนทยอยกลับรวมไปถึงเดนิมที่เดินมาอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงานของตัวเองเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ขอบคุณปานัสมากนะที่ช่วยทำงานนี้แทนเราเราขอตัวก่อนนะ” ปานัสแสร้งยิ้มก่อนจะกัดฟันตอบ “กลับก่อนได้เลยจ้ะ” แต่ในใจก่นด่าอีกฝ่ายสิบกว่ารอบเดนิมที่กำลังลงลิฟต์ไปย
บริษัทมีการจัดเลี้ยงฝึกงานแต่เดนิมบอกปัดเขาไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยงกับปัญหาอีกปานัสเป็นญาติของนิชาอีกทั้งก็ไม่ชอบขี้หน้าเขาเป็นทุนเดิมงานเลี้ยงครั้งนี้ไม่ไปดีที่สุดพี่พัดเองก็ไม่ได้ว่าอะไรมีแต่ปานัสที่ดีอกดีใจคุณสิริเองก็เอ่ยชมเขามากขึ้นกว่าแต่ก่อนเดนิมคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วคำชมที่มาจากความจริงใจเพียงเท่านี้ก็มีกำลังใจให้เด็กฝึกงานอย่างเขากระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้นไปอีกอีกอย่างเดนิมก็ไม่ได้จบงานด้านบริหารมาเขาทำได้ดีขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้วชีวิตหลังจากนี้จะได้เป็นอิสระเสียทีเดนิมเลิกเฝ้ารอและเลิกฝันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะทำอะไรดีๆให้พี่พัดแต่ทำไปเหมือนขว้างหินลงสู่ทะเลพี่พัดเกลียดเขาจะตาย…ไม่เห็นหน้ากันจะดีที่สุดเดนิมไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะกลับมาค้างทุกวันหยุดสุดสัปดาห์หรือไม่เขาไม่คิดโทรถามไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญและลำบากใจวันนี้วันศุกร์เขาไม่มีธุระที่ไหนเลยเข้าครัวเองทำอาหารสองสามอย่างทีละน้อยสำหรับคนคนเดียวไข่เจียวตรงหน้าฟูฟ่องส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องครัวเดนิมแกะข้าวหุงสำเร็จเวฟก่อนจะแกะใส่จานแม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้วเดนิมเลือกที่จะหันหลังแล้วทำเป็นไม่เห็นก้มลงทานอาหารตรงหน้
เดนิมไม่ออกจากห้องของตัวเองแม้ว่าป้าแม่บ้านที่แม่ของเขาส่งมาทำความสะอาดให้ทุกวันอาทิตย์ก็ตามภายในห้องมีตู้เย็นขนาดเล็กขนมขบเคี้ยวรวมไปถึงกาน้ำร้อนขนาดพกพาอีกทั้งเพราะการเขียนนิยายออกมาสักเรื่องหนึ่งมันใช้เวลาและในตอนที่อารมณ์พาไปหรือจินตนาการพรั่งพรูเดนิมไม่อยากจะลุกออกไปทำอะไรนิ้วเรียวยาวเคาะแป้นพิมพ์อยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียงของแป้นพิมพ์ทำให้เขาลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าสมาธิจดจ่ออยู่กับหน้าจอและตัวหนังสือตรงหน้าและเขาใช้มันเพื่อระบายของเสียภายในจิตใจเขาระบายมันออกมาเป็นตัวหนังสือตัวละครบางตัวก็คือตัวเองที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาขัดเกลาตัวละครผ่านเหตุการณ์สมมุติต่างๆมากมายมานับไม่ถ้วนหาทางออกให้ตัวละครเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายแต่น่าเสียดายตัวเองกลับหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอเขาติดอยู่ในวังวนความเจ็บปวดของความรักมายาวนานนับสิบปีรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีใจแต่ก็ยังจะเฝ้ารออดทนกับสายตาที่หยามเหยียดอดทนต่อถ้อยคำที่บาดลึกถึงกระดูกคล้ายกับคนไม่รู้สึกรู้สา สุดท้ายกลับฝังตัวเองทั้งเป็นด้วยการทอดกายให้อีกฝ่ายได้เชยชม ในฐานะนักเขียนหากตัวละครตัวนี้จะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่แ
เดนิมเดินทอดน่องไปตามชายหาด ท้องเริ่มปวดบิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงนั่งตรงเปลที่ชายหาดผูกไว้ นั่งสักพักเลยล้มตัวนอน มือก็ได้แต่กดท้องตัวเองเอาไว้ เดนิมเป็นโรคกระเพาะทานอาหารไม่ตรงเวลาก็จะปวดจนทรมาน อีกอย่างยาลดกรดก็อยู่ในกระเป๋า ตอนนี้เขาเหนื่อยทั้งกายและใจเลยอยากจะนั่งพักสักครู่ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี พี่พัดตักอาหารให้เขา แต่เป็นสิ่งที่ฆ่าเขาให้ตายได้ อีกทั้งตอนสมัยที่เดนิมยังเด็ก หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เดนิมประทับใจในตัวพี่พัดของเขาก็คือพี่พัดจะเป็นฝ่ายคอยระวังเรื่องอาหารการกินของเขาทุกครั้งที่ต้องออกไปทานอาหารข้างนอกกันรวมถึงแฝด แฝดมักจะเผอเรอไม่ถามไถ่หรือมักจะสั่งกุ้งมากิน แต่เป็นพี่พัดเองที่คอยเอาใจใส่ และหาร้านที่ไม่มีส่วนผสมของกุ้งเพื่อเดนิมวันเวลาผ่านพ้นไปคนเราหากเป็นเรื่องสำคัญมักจะไม่ลืม…เดนิมยิ้มเยาะให้ตัวเองก่อนจะนอนอยู่อย่างนั้นแขนซ้ายปิดทับดวงตาปิดบังความน้อยเนื้อต่ำใจและการเดินหนีหรือหลีกเลี่ยงเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นเดนิมจึงนิยามความรักของตัวเองว่าเป็นรักที่ไม่ประกอบวิ่งมายาวนานเพื่อคนคนเดียวมานับสิบปีเขาแพ้กุ้งแต่พี่พ
เดนิมตื่นมาก็บ่ายสามกว่า ๆ แล้ว เขาคิดว่าตอนนี้พี่พัดคงเก็บของกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว จึงกินนอนเล่นกับพวกแฝด เป็นการรวมตัวกันของครอบครัวที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เล่นน้ำด้วยกันเหมือนเด็กอีกครั้ง พอได้วางความรู้สึกเหล่านั้นลง เดนิมค้นพบว่าความสุขของเขาได้เพิ่มขึ้นทีละนิด แม้จะมีความรู้สึกผิดอยู่เต็มอก แต่ได้แพลนตอนจบเอาไว้แล้วเหมือนกับนิยายที่มีตอนจบไม่ว่าจะสมหวังผิดหวังท้ายสุดก็ต้องเดินทางมาถึงจุดจบไม่ว่าบทสุดท้ายจุดจบจะเป็นเช่นไรเขาเพียงต้องยอมรับมันให้ได้‘ไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง’กว่าจะรู้ว่าความรักในรูปแบบของตัวเองเป็นความรักที่ไม่สมประกอบก็ทำเอาคนอื่นวุ่นวายกันไปทั่วรักที่ดีไม่จำเป็นต้องครอบครองเป็นเจ้าของเดนิมจึงรู้จักที่จะปล่อยวางมันลงคล้ายกับหัวใจได้คลายหนามแหลมที่เกี่ยวพันรัดอยู่บาดแผลและเลือดที่ไหลรินก่อนหน้าค่อยๆสมานเข้าด้วยกันอย่างช้าๆแม้จะทิ้งร่องรอยแผลเป็นเอาไว้แต่ก็เป็นเครื่องเตือนความจำว่าเขาไม่ควรจะรักใครจนทำร้ายตัวเองแบบนั้นอีกและเขาจะต้องเป็นคนที่จัดการความรู้สึกของตนเองไม่ทำให้คนที่รักต้องรู้สึกอึดอัดกับความรู้สึกที่เขามีเดนิมเล่นน้ำจนเหนื่อยหอบอยู่กินดื่มกับแฝดจน
ทางด้านพิพัฒน์เองเขาจดจ้องใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มมีชีวิตชีวาของเดนิมโดยไม่ละสายตาไปสักเสี้ยววินาที มันไม่ใช่รอยยิ้มแกน ๆ ที่คอยส่งมาให้เขา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มไปถึงดวงตา เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ พิพัฒน์สังเกตเห็นว่าเดนิมทำเหมือนว่าเขาเป็นยักษ์เป็นมารเวลาที่เข้าใกล้ และมักจะก้าวเท้าถอยหลังเสมอ คล้ายว่าเป็นการขีดเส้นระหว่างกัน ไม่มีใครควรล้ำเส้นกันไปมากกว่านี้ แถมยังเป็นฝ่ายหลบสายตา เหมือนว่าการมีอยู่ของตัวเองทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกแย่เดนิมในอุดมคติของเขากับเดนิมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนเป็นคนละคนตอนแรกที่เกิดเรื่องเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยากจะเข้าไปซัดหน้าหวานๆที่เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักเปรี้ยงพิพัฒน์คิดว่าเดนิมร้ายกาจไม่งั้นเขาไม่ต้องมาตกกระไดพลอยโจนอยู่อย่างนี้และการแต่งงานครั้งนี้จะทำให้เจ้าตัวสมหวังอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้แต่พอมาได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันยิ่งได้ใกล้ชิดยิ่งได้รู้จักเหมือนว่าช่วงที่ห่างหายขาดการติดต่อกันไปเดนิมในวันวานยังคงเหมือนเดิมไม่ได้ร้ายกาจหรือมีเล่ห์เหลี่ยมแต่อย่างใดกลับเงียบขรึมเก็บงำความรู้สึกได้เก่งขึ้นและมักจะหลบเลี่ยงปัญหามากกว่าเผชิญหน้าอีกทั้งรอยยิ้มที่ประดับ
ช่วงเช้าพายุฝนสงบท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนว่าไม่เคยเกิดพายุฝนคะนองมาก่อนเดนิมตื่นเช้าเหมือนเช่นเคยอาหารเช้ามาส่งแล้วอีกอย่างเขาเองก็ไม่ชอบแบบที่ลอยอยู่กลางน้ำเพราะนึกถึงเวลาเศษอาหารตกลงในสระมันทำความสะอาดค่อนข้างยากเขาจึงบอกให้บริกรวางไว้ที่ขอบสระเดนิมรออาหารย่อยสักพักก็ลงไปว่ายน้ำเขาสวมกางเกงว่ายน้ำเพียงตัวเดียวอีกอย่างก็เป็นสระส่วนตัวน้ำเย็นๆบรรยากาศยามเช้าที่แจ่มใสรวมไปถึงทัศนียภาพของทิวทัศน์ตรงหน้าทำให้เขาไม่อยากกลับเลยจริงๆที่ว่ากันว่านั่งโง่ๆอยู่ริมทะเลนั้นไม่เกินจริงเดนิมหันหลังเท้าคางมองทิวทัศน์ข้างหน้าน้ำทะเลสีฟ้าครามตัดกับเส้นขอบกับพระอาทิตย์อย่างลงตัวเห็นพี่แฝดบอกว่าในทะเลมีพวกปลากระเบนว่ายมาทักทายบริเวณบังกะโลกลางน้ำแห่งนี้ด้วย เดนิมจ้องมองผืนน้ำทะเลอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาอยู่คู่หนึ่งจดจ้องการกระทำของเขาตลอดตั้งแต่แหวกว่ายอยู่ในสระเดนิมหันหลังให้ทิวทัศน์ก่อนจะคว้าเอาห่วงยางที่นอนลอยน้ำเขาขึ้นไปนอนบนนั้นแล้วยิ้มแฉ่งให้กับพระอาทิตย์สองมือวักน้ำจนทำให้ห่วงยางนั้นลอยไปลอยมา“เล่นเหมือนเด็กๆไปได้” ไม่รู้เมื่อไหร่ที่พิพัฒน์เอาแต่จดจ้องร่างบางที่สวมเพียงแค่กางเกงว่ายน้ำตัว
เดนิมแตะบัตรค่อยๆเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายทำอะไรอยู่เดนิมเปลี่ยนเป็นรองเท้าสลิปเปอร์ก่อนจะเห็นว่ากระเป๋าของตัวเองยังวางอยู่ที่หน้าประตูเหลือเพียงกระเป๋าใบเดียวพี่พัดคงกลับเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วเดนิมกำที่จับกระเป๋าล้อเลื่อนของตัวเองแน่นก่อนจะตัดสินใจที่จะไปนอนกับพี่แฝดเขาไม่อยากให้การมาทำงานครั้งนี้ของพี่พัดมีปัญหาหรือรู้สึกอึดอัดเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินออกมาจากประตูเสียงเอ่ยราบเรียบก็ทักขึ้นมา“เข้ามาแล้วจะออกไปไหนอีก” น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์แต่เดนิมรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจอยู่เนืองๆเขาไม่ได้ตอบแต่ค่อยๆเดินผ่านโถงทางเดินเข้าไปก่อนจะเจอกับโซนห้องนั่งเล่นตรงกลางโซฟาหันหน้าเข้าหาทะเลภาพวิวเบื้องหน้ามีสระน้ำขนาดกลางส่วนตัวให้แขกได้พักผ่อนมีตาข่ายให้ได้นอนอาบแดดนับได้ว่าเป็นห้องพักที่เยี่ยมยอดที่สุดของ The Grand DAE เลยก็ว่าได้พิพัฒน์นั่งจิบบรั่นดีสีอำพันในมือสายตาทอดมองไปยังวิวตรงหน้าน้อยครั้งนักที่เดนิมจะเห็นว่าอีกฝ่ายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่จะเป็นชาร้อนหากต้องอ่านรายงานค่อนคืน“คือ…นิมจะไปนอนกับพี่แฝด”“ใช่แ
เดนิมเดินทอดน่องไปตามชายหาด ท้องเริ่มปวดบิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงนั่งตรงเปลที่ชายหาดผูกไว้ นั่งสักพักเลยล้มตัวนอน มือก็ได้แต่กดท้องตัวเองเอาไว้ เดนิมเป็นโรคกระเพาะทานอาหารไม่ตรงเวลาก็จะปวดจนทรมาน อีกอย่างยาลดกรดก็อยู่ในกระเป๋า ตอนนี้เขาเหนื่อยทั้งกายและใจเลยอยากจะนั่งพักสักครู่ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี พี่พัดตักอาหารให้เขา แต่เป็นสิ่งที่ฆ่าเขาให้ตายได้ อีกทั้งตอนสมัยที่เดนิมยังเด็ก หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เดนิมประทับใจในตัวพี่พัดของเขาก็คือพี่พัดจะเป็นฝ่ายคอยระวังเรื่องอาหารการกินของเขาทุกครั้งที่ต้องออกไปทานอาหารข้างนอกกันรวมถึงแฝด แฝดมักจะเผอเรอไม่ถามไถ่หรือมักจะสั่งกุ้งมากิน แต่เป็นพี่พัดเองที่คอยเอาใจใส่ และหาร้านที่ไม่มีส่วนผสมของกุ้งเพื่อเดนิมวันเวลาผ่านพ้นไปคนเราหากเป็นเรื่องสำคัญมักจะไม่ลืม…เดนิมยิ้มเยาะให้ตัวเองก่อนจะนอนอยู่อย่างนั้นแขนซ้ายปิดทับดวงตาปิดบังความน้อยเนื้อต่ำใจและการเดินหนีหรือหลีกเลี่ยงเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นเดนิมจึงนิยามความรักของตัวเองว่าเป็นรักที่ไม่ประกอบวิ่งมายาวนานเพื่อคนคนเดียวมานับสิบปีเขาแพ้กุ้งแต่พี่พ
เดนิมไม่ออกจากห้องของตัวเองแม้ว่าป้าแม่บ้านที่แม่ของเขาส่งมาทำความสะอาดให้ทุกวันอาทิตย์ก็ตามภายในห้องมีตู้เย็นขนาดเล็กขนมขบเคี้ยวรวมไปถึงกาน้ำร้อนขนาดพกพาอีกทั้งเพราะการเขียนนิยายออกมาสักเรื่องหนึ่งมันใช้เวลาและในตอนที่อารมณ์พาไปหรือจินตนาการพรั่งพรูเดนิมไม่อยากจะลุกออกไปทำอะไรนิ้วเรียวยาวเคาะแป้นพิมพ์อยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียงของแป้นพิมพ์ทำให้เขาลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าสมาธิจดจ่ออยู่กับหน้าจอและตัวหนังสือตรงหน้าและเขาใช้มันเพื่อระบายของเสียภายในจิตใจเขาระบายมันออกมาเป็นตัวหนังสือตัวละครบางตัวก็คือตัวเองที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาขัดเกลาตัวละครผ่านเหตุการณ์สมมุติต่างๆมากมายมานับไม่ถ้วนหาทางออกให้ตัวละครเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายแต่น่าเสียดายตัวเองกลับหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอเขาติดอยู่ในวังวนความเจ็บปวดของความรักมายาวนานนับสิบปีรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีใจแต่ก็ยังจะเฝ้ารออดทนกับสายตาที่หยามเหยียดอดทนต่อถ้อยคำที่บาดลึกถึงกระดูกคล้ายกับคนไม่รู้สึกรู้สา สุดท้ายกลับฝังตัวเองทั้งเป็นด้วยการทอดกายให้อีกฝ่ายได้เชยชม ในฐานะนักเขียนหากตัวละครตัวนี้จะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่แ
บริษัทมีการจัดเลี้ยงฝึกงานแต่เดนิมบอกปัดเขาไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยงกับปัญหาอีกปานัสเป็นญาติของนิชาอีกทั้งก็ไม่ชอบขี้หน้าเขาเป็นทุนเดิมงานเลี้ยงครั้งนี้ไม่ไปดีที่สุดพี่พัดเองก็ไม่ได้ว่าอะไรมีแต่ปานัสที่ดีอกดีใจคุณสิริเองก็เอ่ยชมเขามากขึ้นกว่าแต่ก่อนเดนิมคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วคำชมที่มาจากความจริงใจเพียงเท่านี้ก็มีกำลังใจให้เด็กฝึกงานอย่างเขากระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้นไปอีกอีกอย่างเดนิมก็ไม่ได้จบงานด้านบริหารมาเขาทำได้ดีขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้วชีวิตหลังจากนี้จะได้เป็นอิสระเสียทีเดนิมเลิกเฝ้ารอและเลิกฝันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะทำอะไรดีๆให้พี่พัดแต่ทำไปเหมือนขว้างหินลงสู่ทะเลพี่พัดเกลียดเขาจะตาย…ไม่เห็นหน้ากันจะดีที่สุดเดนิมไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะกลับมาค้างทุกวันหยุดสุดสัปดาห์หรือไม่เขาไม่คิดโทรถามไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญและลำบากใจวันนี้วันศุกร์เขาไม่มีธุระที่ไหนเลยเข้าครัวเองทำอาหารสองสามอย่างทีละน้อยสำหรับคนคนเดียวไข่เจียวตรงหน้าฟูฟ่องส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องครัวเดนิมแกะข้าวหุงสำเร็จเวฟก่อนจะแกะใส่จานแม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้วเดนิมเลือกที่จะหันหลังแล้วทำเป็นไม่เห็นก้มลงทานอาหารตรงหน้
ทางด้านปานัสเมื่อโดนดุไปซึ่งๆหน้าก็ดูจะนอบน้อมขึ้นแต่ก็ยังพยายามจะหักหน้าและปาดหน้าทำงานแทนเดนิมเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมือเจ็บ“นิมช่วยดูตรงนี้หน่อยนะ” สิริเอ่ยพร้อมยื่นแฟ้มให้เดนิมยังไม่ทันยื่นมือออกไปรับปานัสกลับยื่นมือมารับแทน“ให้นัสทำนะครับพี่สิริ” สิริเองก็มองหน้าเดนิมเมื่อเห็นเจ้าตัวพยักหน้าน้อยๆก็ยื่นแฟ้มใส่มือปานัสแทนพร้อมกำชับ“ฝากด้วยนะจ๊ะงานนี้ต้องเสร็จวันนี้ถ้าไม่เสร็จจะจ่ายค่าโอทีให้”ปานัสอ้าปากค้างกลืนน้ำลายลงคอพร้อมรีบเปิดเอกสารในแฟ้มอ่านรายละเอียดคร่าวๆพร้อมอุทานในใจ “ตายห่าไม่น่าเลยกูวันนี้จะเสร็จไหมเนี่ย” พร้อมรีบกุลีกุจอกลับไปนั่งทำที่โต๊ะตัวเองโซนหน้าห้องผู้บริหารแทบไม่มีเสียงพูดคุยตลอดช่วงบ่ายพี่สิริหันมายิ้มเป็นนัยให้เดนิมเดนิมค้อมหัวให้ก่อนจะก้มหน้าอ่านเอกสารในมือจนเลิกงานปานัสขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเมื่อเวลาเลิกงานพนักงานทุกคนทยอยกลับรวมไปถึงเดนิมที่เดินมาอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงานของตัวเองเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ขอบคุณปานัสมากนะที่ช่วยทำงานนี้แทนเราเราขอตัวก่อนนะ” ปานัสแสร้งยิ้มก่อนจะกัดฟันตอบ “กลับก่อนได้เลยจ้ะ” แต่ในใจก่นด่าอีกฝ่ายสิบกว่ารอบเดนิมที่กำลังลงลิฟต์ไปย
ทางด้านเดนิมโชคดีที่กาแฟวางพักไว้สักครู่บนเคาน์เตอร์แผลจึงไม่ได้ร้ายแรงเป็นแผลไหม้ระดับสองมีตุ่มพองใสแต่ก็ปวดแสบมากเพราะเส้นประสาทบริเวณผิวหนังยังเหลืออยู่ไม่ได้ถูกทำลายไปมากนักการหายของแผลใช้เวลาประมาณสองถึงสามสัปดาห์คุณหมอจึงให้ครีมทายาภายนอกรวมไปถึงการปิดแผลด้วยผ้าก๊อซอีกทั้งยังกำชับไม่ให้โดนน้ำรวมไปถึงที่ต้นขาด้านขวาด้วยเดนิมทำแผลเสร็จพี่แฝดก็โทรมาตอนอยู่ในรถพอดีเขากดรับสายก่อนจะทำน้ำเสียงปกติ “ว่าไงครับ”“วันนี้ว่างหรือเปล่าเราพี่สองคนจะไปรับไปทานข้าว”“วันนี้คงไม่ได้ครับ”“เดี๋ยวพี่โทรไปหาไอ้พัดให้”“อย่าดีกว่าครับเดี๋ยวพี่พัดจะว่าเอาตอนนี้ผมเป็นแค่พนักงานฝึกงานนะครับพี่แฝดอย่าลืม” เดนิมพยายามทำน้ำเสียงให้สดใส “อีกอย่างมีนักศึกษาฝึกงานคนอื่นมาฝึกด้วย”“แล้วเราจะว่างเมื่อไหร่” เดนีนแทรกขึ้นมา“เดี๋ยวถ้าว่างจะโทรไปนัดพี่ๆอีกทีนะครับไม่ต้องกลัวว่าพวกพี่แฝดจะไม่ได้จ่ายรับรองวันนั้นต้องจ่ายให้น้องทั้งวันนะครับ” แฝดต่างหัวเราะ “หาเวลามาให้ได้เถอะน้องคนเดียวจะเท่าไหร่เชียวแพงแค่ไหนก็เลี้ยงได้” ทั้งสามคนหัวเราะก่อนจะกดวางสายเดนิมถอนหายใจก่อนจะสตาร์ทรถกลับบ้านโดยไม่ได้ดูสายที่ไม่ได้รับก