เดนิมอึ้งช็อกเมื่อได้ยินว่าตัวเองจะต้องแต่งงานและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับพี่พัดภายในระยะเวลาหนึ่งปีการแต่งงานถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมายมีเพียงสองครอบครัวและนายทะเบียนจากสำนักงานเขตเท่านั้นเจ้าบ่าวทั้งคู่ก็อยู่ในชุดแต่งงานที่เดนิมเป็นคนจัดเตรียมเองทุกอย่างรวมไปถึงแหวนแต่งงานทั้งสองวงดูเหมือนเป็นการวางแผนไว้ล่วงหน้าเป็นอย่างดีจะไม่ให้พิพัฒน์คิดได้ยังไงว่าเขาถูกเดนิมวางยาและมัดมือชกภาพงานแต่งงานที่คนทั้งสองนั่งพับเพียบอยู่ต่อหน้าพานเงินทองของหมั้นข้างหลังเป็นญาติผู้ใหญ่ทั้งสองและพี่แฝดในภาพเจ้าบ่าวทั้งสองคนต่างมีสีหน้าไม่สู้ดีต่างก็ราบเรียบปราศจากรอยยิ้มกันทั้งคู่
เดนิมจ้องภาพงานแต่งที่เรียบง่ายของตัวเองกับพี่พัดอยู่อย่างนั้นเขานำไปอัดขยายมาใส่กรอบไว้ที่หัวเตียงก่อนจะรูดม่านสีดำปิดบังภาพถ่ายนั้นเอาไว้พร้อมถอนหายใจออกมาอย่างหมดแรงหลังจากงานแต่งพวกเขาทั้งสองจะต้องย้ายมาอยู่ด้วยกันซึ่งสัปดาห์หน้าวันที่ 1 กรกฎาจะเป็นวันแรกที่พวกเขาต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันหากระยะเวลานี้ไม่สามารถสร้างอนาคตไปด้วยกันได้ถือว่าต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระต่อกันเดนิมอ่านเอกสารสัญญาในมือยิ่งเห็นลายเซ็นที่เซ็นด้วยความหนักแน่นนั้นแล้วร่างกายพลันรู้สึกหนาวเหน็บไปจนถึงกระดูก
ที่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายไม่ต่างกันก็คงจะเป็นเรื่องนี้แน่ๆเขาบอกพ่อกับแม่แล้วว่าไม่ต้องบังคับให้อีกฝ่ายมารับผิดชอบอะไรเขาทั้งนั้นก่อนงานแต่งงานจะจัดขึ้นเขาเพียรพยายามโทรหาอีกฝ่ายหลายครั้งเรื่องงานแต่งงานพี่พัดจะได้ไม่ต้องรู้สึกลำบากใจอีกทั้งเขาไม่อยากให้พี่พัดรู้สึกว่าเขาวางแผนนี้ทั้งหมดก็เพื่อวันนี้
เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังอยู่ต่อเนื่องแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะรับเดนิมร้อนใจจนพิมพ์ผิดๆถูกๆเพื่อจะอธิบายเหตุการณ์ในวันนั้นให้อีกฝ่ายฟังเขาพิมพ์เสียจนยืดยาวก่อนจะกดส่งไปด้วยหัวใจที่เต้นระรัวมือเย็นเยียบจนต้องบีบเข้าหากันอยู่อย่างนั้นเขานั่งรอนอนรอการตอบกลับจากพี่พัดไม่ว่าทางใดทางหนึ่งแต่ผ่านมาหลายชั่วโมงก็ไม่มีการตอบกลับแต่อย่างใด
แต่พอมานั่งคิดอีกทีระยะเวลาหนึ่งปีอย่างน้อยคนสองคนอยู่ด้วยกันอาจจะมีช่วงระยะเวลาดีๆให้แก่กันบ้างก็ได้บางทีพี่พัดอาจจะมองเห็นเขาในอีกมุมหนึ่งแม้ไม่มีความรู้สึกดีให้แต่อย่างน้อยเกลียดกันน้อยลงก็ยังดีแต่เขาก็ไม่กล้าคาดหวังว่าเรื่องราวจะจบลงด้วยดีเหมือนนวนิยายที่ชอบอ่านตอนจบพวกเขาทั้งสองต่างครองครู่กันจนชั่วนิรันดร์แต่ในชีวิตจริงการใช้ชีวิตคู่เพิ่งเริ่มต้นต่างหากยิ่งระหว่างเขากับพี่พัดเริ่มต้นด้วยกันไม่ดีเท่าไหร่แต่อย่างน้อยภายในระยะเวลานี้เขาก็สามารถอยู่ใกล้ชิดหรือในวงโคจรของอีกฝ่ายไม่ใช่เหรอระยะสิบกว่าปีที่ผ่านมาพวกเขาทั้งคู่แทบจะเหมือนคู่ขนานที่ไม่อาจมาบรรจบพบเจอกันได้อีก
แต่มันเป็นโอกาสที่เขาฉกฉวยเพื่อตัวเองอย่างหน้าด้านๆน่ะสิบางทีหากคืนนั้นไม่ใช่เขาพี่พัดอาจจะมีความสุขมากกว่านี้ก็เป็นได้อีกทั้งมันคงจะดีกว่านี้ถ้าเขาไม่กลับมา…
หลังจากกลับมาจากบ้านศศิภักดีพิพัฒน์ก็ต้องเคลียร์งานและต้องย้ายของบางส่วนเพื่อไปอยู่เพนเฮ้าส์หลังใหม่แม้จะใกล้กว่าคอนโดของเขาอยู่มากแต่พิพัฒน์ไม่อยากกลับไปเลยสักนิดเขากลับบ้านเพื่อเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้มารดาฟังตัดทอนความอคติและความคับแค้นส่วนตัวออกไปเพื่อไม่อยากให้มารดาที่อาศัยอยู่คนเดียวต้องคิดมากมาลินีเป็นแม่บ้านมานานหลายสิบปีเป็นผู้ฟังที่ดีส่วนตัวหล่อนรู้จักกับเดนิมมาตั้งแต่เด็กๆทั้งสองบ้านเด็กๆต่างเติบโตมาด้วยกันมาลินีเชื่อว่าเดนิมไม่ได้ทำแต่ก็ไม่ปริปากพูดออกไปอีกทั้งหล่อนเองก็ไม่ได้เจอเดนิมมานานตั้งแต่เจ้าตัวไปเรียนต่อที่ต่างประเทศตัวเราเองยังเปลี่ยนนับประสาอะไรกับคนอื่นความคิดความอ่านอาจจะเปลี่ยนแปลงไปไม่ใช่เรื่องแปลก
มาลินีพยักหน้าให้ก่อนจะเอ่ย
“พัดคงจะไม่ใจร้ายกับเดนิมใช่ไหมลูกน้องยังเด็กอาจจะทำอะไรด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์กรณีนี้แม่ว่าลองสอบถามร้านให้ดีๆก่อนจะกล่าวหาเพราะบางทีมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด”
“ผมเชื่อในหลักฐานที่มีในมือมากกว่าจากปากเดนิมใครจะยอมรับผิดล่ะครับ”
“เอาเถอะแม่เข้าใจว่าลูกหลีกเลี่ยงเดนิมมาโดยตลอดน้องรักเรามากนะแต่แม่ก็ไม่มีสิทธิ์บังคับหรือบงการให้พัดรักชอบใครแต่แม่แค่อยากจะให้พัดได้เจอคนดีๆได้เจอคนที่รักพัดจริงๆ” มาลินีกอมกุมมือลูกชายด้วยความรัก
“บางทีเพราะอยู่ใกล้เกินไปเลยไม่เห็นความสำคัญ” พิพัฒน์คิ้วขมวด “หมายความว่ายังไงครับ”
“บางอย่างไม่สามารถสัมผัสด้วยตาต้องสัมผัสด้วยใจถึงจะมองเห็น”
“ดูเหมือนว่าแม่จะเอ็นดูเดนิมมากเลยนะครับผมน้อยใจแล้วนะว่าใครเป็นลูกแม่กันแน่”
“โถ่ตาพัด…โตขนาดนี้น้อยใจเหมือนเด็กไปได้ว่างๆก็มาหาแม่บ้างนะพาเดนิมมาด้วยแม่อยากจะพูดคุยอะไรกับเดนิมสักหน่อย”
“ผมจะพยายามครับ”
คืนนั้นพิพัฒน์กลับมานอนที่บ้านด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองที่คุกรุ่นเมื่อตอนหัววันยิ่งเห็นสายที่ไม่ได้รับกับข้อความยาวเป็นพืดนั้นพิพัฒน์ก็อยากจะบล็อกให้มันจบๆไปไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเดนิมได้เบอร์เขามาจากไหนอีกทั้งเหมือนแม่เขาจะเอ็นดูเดนิมเป็นพิเศษจนไม่ได้รู้สึกสงสารลูกชายที่ต้องทนทุกข์ใช้ชีวิตคู่กับคนที่ตัวเองไม่ได้รักไม่พอยังรู้สึกรังเกียจเข้าไปถึงกระดูกดำใครๆก็รักเดนิมพิพัฒน์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายอีกไม่ถึงสามวันชีวิตประจำวันของเขาจะต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดระยะเวลาหนึ่งปีนี้ไม่ใช่คู่รักก็เหมือนคู่รักในระหว่างนี้ต่างฝ่ายจะต้องไม่มีมือที่สามแต่ก็ยังดีว่าจับแต่งงาน! หากเป็นอย่างนั้นเขาก็คงไม่ต่างจากตายทั้งเป็น
ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของเขาที่ต้องโตมาเป็นหัวหน้าครอบครัวตั้งแต่เรียนจบค่อนข้างจริงจังกับการใช้ชีวิตประสบการณ์ในการทำงานและกลเกมโกงธุรกิจทำให้เขาต้องมีนิสัยเฉียบขาดต้องมองคนให้ออกแต่กลับเดนิมที่ใช้ชีวิตอย่างอิสระเหยาะแหยะเกิดมาบนกองเงินกองทองอยากได้อะไรแค่เอ่ยปากพูดการใช้ชีวิตค่อนข้างอิสระไร้ระเบียบแบบแผนตั้งแต่เจ้าตัวกลับมาก็ไม่เห็นจะลงมือทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักทีแม้ศศิภักดีจะร่ำรวยจนมีเงินเหลือใช้ให้เดนิมผลาญรวมไปถึงหุ้นที่ปันผลต่อปีเดนิมก็ไม่ต้องดิ้นรนทำมาหากินอะไรก็ได้แต่เขาไม่ชอบพิพัฒน์ไม่ต้องการคู่ชีวิตแบบนี้เขาต้องการคนที่จะพร้อมเคียงบ่าเคียงไหล่กันทำมาหากินไม่ได้นั่งกินนอนกินจากเงินกงสีเดนิมมีสิ่งที่เขาไม่ชอบเต็มไปหมด
เห็นว่าจบแฟชั่นดีไซน์ก็ดูฟุ้งเฟ้อเหมาะกับเดนิมดี
ก็แค่หนึ่งปีดูสิว่าใครจะต้องเป็นฝ่ายต้องทนใคร!
เดนิมอดตื่นเต้นไม่ได้ที่จะต้องย้ายไปอยู่กับพิพัฒน์ดีที่ว่าคอนโดที่ย้ายไปไม่กี่วันก็เกิดเรื่องขึ้นข้าวของเครื่องใช้ไม่ได้มีมากมายอะไรของใช้บางอย่างที่ไม่จำเป็นก็ทิ้งไว้ที่นี่ไม่แปลกที่พี่พัดจะปฏิเสธคอนโดแห่งนี้จุดเริ่มต้นของพวกเราก็มาจากห้องนี้นี่แหละ
เพนท์เฮ้าส์ห้องใหม่เป็นหนึ่งในเครือของศศิภักดีแม้พิพัฒน์จะร่ำรวยสามารถซัพพอร์ตจุดนี้ได้แต่เพราะเดนิมขอร้องเอาไว้เขาไม่อยากให้พี่พัดต้องมาเสียเงินทองมากมายเพราะเขาเป็นต้นเหตุยิ่งราคาหลายสิบล้านขนาดนี้ระยะเวลาเพียงหนึ่งปีหากขายต่อก็ไม่ถือว่าขาดทุนอาจจะได้กำไรเพราะอยู่ย่านใจกลางเมืองแต่สิ่งที่ไหนที่ไม่รบกวนอีกฝ่ายย่อมเป็นการดีกว่าแต่พิพัฒน์ไม่ได้คิดแบบนั้นจึงต้องจำใจกัดฟันซื้ออสังหาที่ราคาแพงหูฉี่เป็นสินสมรส
การตกแต่งพร้อมอยู่รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์ที่ทันสมัยสามห้องนอนใหญ่สองห้องนอนแขกให้บรรยากาศเหมือนอยู่บ้านที่สำคัญมีที่จอดรถและลิฟต์ส่วนตัวเดนิมสำรวจบ้านใหม่อย่างตื่นเต้นโดยพี่ชายฝาแฝดเป็นคนมาส่ง
“ทำตัวดีๆเราไม่ใช่เด็กแล้วนะตัวเล็ก” เดนีสลูบหัวน้องรักก่อนจะสวมกอดแน่นๆอีกครั้งความรู้สึกของพี่ชายที่น้องชายได้แต่งงานออกจากบ้านไปมันเป็นอย่างนี้เองสินะแม้พวกเขาต่างก็รู้ดีว่าความสัมพันธ์ครั้งนี้มีระยะเวลาจำกัดอย่างน้อยแม้ไม่สมหวังก็สามารถทำให้เดนิมตัดใจได้เสียทีเพราะเดนิมเป็นคนที่ยึดติดกับความสัมพันธ์ครั้งนี้มากไม่มีใครทำอะไรได้หากเจ้าตัวไม่ล่าถอยออกไปเองเดนีนด้วยความที่เป็นแฝดก็คิดไม่ต่างกันเขาไม่ห่วงไอ้พัดสักเท่าไหร่เพราะฝ่ายนั้นก็ยึดมั่นในตัวเองเหมือนกันเหลือแต่เดนิมหวังว่าจะมีสักวันที่ยอมก้าวออกมาจากวังวนของความรักครั้งนี้ด้วยตัวเอง
“รักตัวเองให้มากๆไม่จำเป็นต้องทนถึงหนึ่งปีของแบบนี้—” เดนีสส่ายหน้าให้ก่อนเดนีนจะเปลี่ยนไปพูดอย่างอื่นแทน “มีอะไรก็โทรมาปรึกษาพี่ได้เสมออย่าเก็บไว้เองโตแล้วทำอะไรให้มีสติ” เดนีนจับหัวน้องชายพร้อมโยกไปมาเหมือนที่เคยทำตอนเด็กก่อนจะสวมกอดอีกครั้ง
“ขอบคุณครับ” เดนิมน้ำตาคลอพวกพี่แฝดทำเหมือนว่าเขาจะไปออกรบยังไงยังงั้นแต่พอเหลือตัวคนเดียวกับห้องอันกว้างใหญ่บรรยากาศที่อบอุ่นก่อนหน้าก็เหลือเพียงแต่ความอ้างว้างที่เริ่มกัดกินความรู้สึกทีละน้อย
ตั้งแต่วันนั้นที่เขาโทรหาและส่งข้อความไปหาพี่พัดก็ไม่เคยได้รับการตอบกลับพี่พัดของเขายังเสมอต้นเสมอปลายไม่รับสายไม่อ่านข้อความอยู่อย่างนั้นแต่ก็ยังดีกว่าเมื่อก่อนที่ไม่ได้บล็อกเบอร์ของเขา
เดนิมจ้องมองโทรศัพท์ในมือก่อนจะนั่งดูซีรีส์เรื่องโปรดรอการมาถึงของใครบางคนแต่ทว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานจนเกือบหนึ่งทุ่มก็ไม่มีวี่แววของอีกฝ่ายแต่อย่างใด
‘โทรหาตอนนี้ดีไหมนะ?’เดนิมได้แต่ถามคำถามนี้กับตัวเองถ้าโทรไปหาคล้ายจะเป็นการกดดันหรือเปล่าบางทีพี่พัดอาจจะงานยุ่งหรือมีธุระสำคัญกุญแจคีย์การ์ดก็มีเพราะเลขาอย่างคุณธนามาเอาตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน
แต่ช่างเถอะ! การที่พี่พัดยอมมาอยู่ด้วยก็ถือว่าดีมากแล้วในฝันหวานของเดนิมเขากลายมาเป็นแม่บ้านคอยทำอาหารต้อนรับสามีที่กลับมาจากที่ทำงานรินน้ำให้รับกระเป๋าเอกสารมาถือถามไถ่เรื่องการงานก่อนจะนั่งทานมื้อค่ำด้วยความสุข
แม้ว่าชีวิตจริงเดนิมจะทำกับข้าวไม่เป็นก็ตามแต่ของแบบนี้หัดได้ก่อนออกจากบ้านก็ให้แม่บ้านกับแม่ครัวคอยสอนทำอาหารง่ายๆมาบ้างแล้วว่าแล้วก็ไปค้นหาของสดในตู้เย็นที่มีไข่กับพวกผักที่สามารถทำต้มจืดได้เหมือนว่าแม่ของเขาก็กลัวว่าเขาจะอดตายส่งป้าแม่บ้านมาเตรียมพวกเครื่องปรุงของสดรวมถึงอาหารปรุงสำเร็จที่แปะวันเวลาไว้ในแต่ละกล่องเดนิมอดยิ้มให้กับภาพตรงหน้าไม่ได้
นี่แหละหนาที่เขาว่า…เรามักจะเป็นเด็กในสายตาพ่อกับแม่เสมอ
ข้าวถูกหุงเพียงพอสำหรับสองคนแกงจืดเต้าหู้หมูสับกับไข่เจียวที่รูปร่างเละหน่อยๆไม่ใช่ทรงกลมแต่รสชาติถือว่าใช้ได้เดนิมถอดผ้ากันเปื้อนออกพร้อมกับจ้องมองนาฬิกาบนผนังอย่างใจเย็น 2 ทุ่มครึ่งแล้ว ‘รออีกนิดดีไหมนะหรือว่าจะโทรตอนนี้ดี’ จนเวลาผ่านไปจนถึง 3 ทุ่มแกงจืดเริ่มเย็นชืดเดนิมตัดสินใจกดโทรศัพท์โทรหาอีกฝ่ายหากมีธุระติดงานเขาจะได้เก็บไว้ให้หรือเอาไปส่งที่ทำงานให้ดีกว่านั่งรอเฉยๆอยู่ที่นี้โดยไม่รู้อะไรเลย
เดนิมโทรไปสายแล้วสายเล่ากะจะวางสายแต่สุดท้ายปลายสายก็กดรับพร้อมน้ำเสียงเนือยๆ
“ฮัลโหล”
“พี่พัดนิมเองนะครับ”
“อืมมีอะไร”
“พี่พัดจะกลับมากี่โมงครับนิม—”
“โทษทีพี่งานยุ่งมากอาจจะไม่ได้กลับไปในสองสามวันนี้”
พิพัฒน์พูดจบสายก็ถูกตัดไปเดนิมจึงตัดสินใจห่อข้าวไปกินกับอีกฝ่ายที่ทำงานอีกอย่างช่วงนี้เดนิมก็ว่างไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้วเรื่องแค่นี้ไม่เหลือบ่ากว่าแรงว่าแล้วก็ห่อใส่กล่องแพ็คอย่างดีก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าไปยังบริษัทของพี่พัดอย่างรวดเร็ว
เมื่อมาถึงหน้าบริษัทรปภ. ก็เข้ามาสอบถามก่อนจะพาไปยังประชาสัมพันธ์ด้านล่างต่อสายขึ้นไปยังเลขาเพื่อยืนยันก่อนจะอนุญาตให้เข้าไป
“บอสครับคุณเดนิมมาขอพบครับ” พิพัฒน์ขมวดคิ้วก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาบนโต๊ะของตัวเองสามทุ่มเนี่ยนะ
“แล้วได้บอกไหมว่ามาขอพบเรื่องอะไร”
“เห็นว่าเอาข้าวมาให้น่ะครับ”
“…” เมื่อเห็นเจ้านายนิ่งเงียบเลขาหนุ่มคนสนิทก็ไม่กล้าเซ้าซี้อะไรอีกได้แต่รอฟังคำสั่ง
เดนิมไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่เขาเพิ่งโดนยามาหมาดๆคิดว่าจะกล้ากินของที่อีกฝ่ายทำมาเหรอหรือเพราะคิดว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์?
“บอกไปมาว่าฉันมีประชุม”
“ครับ”
เดนิมยืนรอตรงเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์สักพักก่อนจะได้รับคำตอบว่าพี่พัดติดประชุมจึงได้ฝากกล่องข้าวไว้เขาเดินออกมาหน้าบริษัทเงยหน้าขึ้นมองชั้นที่ห้าซึ่งเป็นชั้นของผู้บริหารเห็นไฟภายในชั้นอาคารยังคงสว่างอยู่สงสัยจะงานยุ่งจริงๆก่อนจะเดินกลับเพราะขามาเขาเรียกวินมอเตอร์ไซค์เพราะกลัวว่ารถจะติดกลัวว่าอาหารจะเย็นชืดจนเสียรสชาติเดนิมเดินออกไปไม่กี่นาทีรถยนต์คันหรูก็ขับออกมาสายตาที่แทบจะปิดอยู่รอมร่อของชายหนุ่มพลันเห็นแผ่นหลังของใครบางคนที่คุ้นตากำลังเดินทอดน่องไปตามทางก่อนจะแวะเข้าไปยังร้านบะหมี่แห้งข้างทางร้านหนึ่ง
เดนิมเคยชินกับการอยู่คนเดียวการไปไหนมาไหนกินข้าวคนเดียวกลายเป็นความเคยชินตั้งแต่ไปเรียนที่ฝรั่งเศสไม่ใช่ว่าไม่มีเพื่อนแต่ว่าไลฟ์สไตล์พวกเราค่อนข้างแตกต่างกันไม่ว่าจะเรื่องอาหารวัฒนธรรมการไปไหนมาไหนคนเดียวย่อมสะดวกสบายกว่าหลายคนมองว่าเดนิมคือลูกแหง่เป็นลูกเศรษฐีมีอันจะกินคงกินอาหารตามข้างทางไม่เป็นแต่ความจริงนั้นแตกต่างจากที่หลายคนคิดเขาเป็นคนเรียบง่ายและเอาความสะดวกเป็นที่ตั้งอีกทั้งเขามีรายได้เป็นของตัวเองตั้งแต่ยังเรียนปริญญาตรีไม่จบด้วยซ้ำค่าขนมที่ได้รับจากทางบ้านจึงกลายเป็นเงินก้อนใหญ่นอนอยู่ในแบงก์กินดอกเบี้ยอยู่อย่างนั้น
แม้แต่ที่บ้านก็ยังไม่รู้ว่าเดนิมทำงานอะไรเพราะเขาอยากยืนด้วยลำแข้งของตัวเองเขาไม่อยากให้ใครต่อใครพูดว่าเพราะเกิดมาในตระกูลนี้จึงประสบความสำเร็จได้โดยง่าย
มีเงินแต่ไม่มีมันสมองยังไงก็ไม่ประสบผลสำเร็จอยู่ดีอีกอย่างอยากให้คนยอมรับในฝีมือของเขามากกว่านามสกุลที่ใครๆก็รู้จัก
เกี๊ยวน้ำที่เขาสั่งมากินในวันนี้อร่อยเป็นพิเศษส่วนหนึ่งเพราะหิ้วท้องรอหวังว่าจะได้กินข้าวพร้อมหน้ากับพี่พัดแต่ก็ไม่เป็นดังใจนึกก็แน่ละสิ…พี่พัดไม่เต็มใจแต่งงานกับเขาเลยสักนิดแต่ก็ไม่เป็นไรมีเวลาตั้งหนึ่งปีบางทีคงมีสักวันที่พี่พัดใจอ่อนมองเขาเป็นดังน้องนุ่งในวันวานอีกครั้งคิดได้ดังนั้นจึงส่งข้อความไปหา ‘นิมฝากข้าวให้พี่พัดไว้ที่ประชาสัมพันธ์ทานให้อร่อยนะครับ’ ส่งเสร็จก็เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าก้มหน้าทานเกี๊ยวของตรงหน้าต่อไปจนหมด
พิพัฒน์ที่กำลังจ้องมองอีกฝ่ายอยู่ในรถพลันได้ยินเสียงครืดคราดของโทรศัพท์เขากดลบทันทีโดยไม่อ่านกล่องข้าวกล่องนั้นถูกเททิ้งลงถังขยะทั้งหมดต่อให้พิพัฒน์ไม่กินก็ไม่มีวันส่งต่อให้กับคนอื่นเด็ดขาดเขาไม่กล้าเชื่อใจเดนิมอีกและคงหาโอกาสบอกเจ้าตัวด้วยตัวเองอีกที
เดนิมกลับมาถึงห้องก็เกือบสี่ทุ่มแล้วพี่พัดคงไม่มาแล้วล่ะเขาต้องอดทนรอด้วยความใจเย็นไม่แน่ว่าพี่พัดยังคงจะโกรธอยู่รอเวลาผ่านไปสักพักไม่แน่ว่าพี่พัดอาจจะมาด้วยตัวเอง
เกือบทั้งอาทิตย์ที่เดนิมทำกับข้าวเย็นขึ้นโต๊ะรอใครอีกคนในเวลาสองทุ่มเสมอพอรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มาปริมาณในแต่ละวันจึงลดลงอย่างต่อเนื่องเหลือเพียงข้าวสวยร้อนๆกับผัดผักหนึ่งจานแค่นั้นเดนิมเลือกที่จะซื้อข้าวสวยสำเร็จเวฟกินมากกว่าหุงข้าวเป็นหม้อก็กินคนเดียวนี่นะของสดภายในตู้เย็นก็เหลือติดเพียงสำหรับคนเดียวการรอคอยมันช่างทรมานแต่ก็ไม่สามารถปริปากพูดออกไปได้
มันคือราคาที่เขาต้องจ่ายอีกทั้งยังไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้อีกด้วย
ผ่านมาเกือบหนึ่งสัปดาห์ที่เขากินนอนอยู่ภายในห้องสุดหรูนี้เพียงลำพังเดนิมไม่ได้ส่งข้อความไปหาพี่พัดอีกวันนี้เขาตั้งใจไปเยี่ยมคุณน้ามาลินีส่วนหนึ่งอยากไปเรียนทำอาหารคาวหวานของโปรดพี่พัดอย่างน้อยเขาช่วยเรื่องงานไม่ได้แต่ช่วยดูแลเรื่องอาหารการกินได้มาลินียังคงต้อนรับเดนิมอย่างอบอุ่นเหมือนเดิม
“ไม่เจอกันนานโตเป็นหนุ่มแล้วนะเดนิมดูซิหน้าตาจะว่าหล่อเหลาก็ไม่ใช่สวยหวานก็ไม่เชิง” มาลินีชมไม่หยุดปากจนเดนิมรู้สึกขวยเขิน
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับคุณน้า”
“ว่าแต่ตาพัดดูแลหนูนิมดีไหมลูกพี่เขาเป็นคนเจ้าระเบียบบ่นนิดบ่นหน่อยก็อย่ารำคาญพี่เขาเลยนะ”
“ไม่หรอกครับ” เขายินดีฟังพี่พัดบ่นเขาทั้งวันดีกว่าเงียบใส่กันแบบนี้
“วันนี้นิมอยากมาเรียนทำอาหารกับคุณน้าครับ…อาหารที่พี่พัดชอบ” มาลินียิ่งเอ็นดูเดนิมมากขึ้นไปอีกหล่อนลูบหัวเดนิมด้วยความรู้สึกหลากหลายเดนิมเฝ้าตามลูกชายของหล่อนมาเป็นสิบๆปีอีกอย่างถ้านับเรื่องครอบครัวหน้าตาในสังคมลูกชายของหล่อนก็ยังเป็นรองในตระกูลอื่นๆอยู่หลายขุมไม่ว่าจะทรัพย์สินเงินทองมูลค่าบริษัทแต่เดนิมก็ยังปักใจกับคนคนเดียวมาตลอด
มาลินีก็ได้แต่เอาใจช่วยคนแก่วัยเกษียณพอมีลูกหลานมานั่งเล่นคุยด้วยก็ดูจะมีชีวิตชีวาขึ้นมามากเลยทีเดียวเหล่าแม่บ้านก็ดีใจใหญ่เพราะช่วงนี้นายหญิงของบ้านดูท่าจะเบื่ออาหารไม่สดใสเหมือนแต่ก่อนพอเดนิมมาหาบ้านกิ่งอมรก็ครื้นเครงขึ้นมาทันตาเหล่าแม่บ้านต่างช่วยกันเตรียมของเพราะนานแล้วมาลินีไม่ได้เข้าครัวครั้งนี้หล่อนเลยถือโอกาสถ่ายทอดเสน่ห์ปลายจวักให้กับเดนิมอย่างไม่มีกั๊ก
พอเห็นเดนิมใส่ถุงมือพลาสติกก็ทำหน้าแปลกใจ
“คือพอดีนิมแพ้กุ้งน่ะครับ”
“อ้าวตายจริงแล้วตาพัดเขารู้หรือเปล่าอีกอย่างพี่เค้าชอบกินอาหารพวกนี้ด้วยนิมบอกพี่เขาหรือยังลูก” มาลินีรีบล้างมือมาถามไถ่อย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“จะไม่เป็นไรได้ยังไงน้าว่ามื้อนี้เราทำอย่างอื่นกันดีกว่าผัดไทยธรรมดาไม่ต้องใส่กุ้งก็ได้”
“ไม่เป็นไรหรอกครับนิมใส่ถุงมือแล้ว” เดนิมพูดพร้อมกับโชว์มือที่สวมถุงมือเอาไว้อย่างทะเล้น
“เรานี่น้าจริงๆเล้ย” มาลินีสอนเดนิมทำแต่ละขั้นตอนอย่างใจเย็นทั้งๆที่ซื้อกินเอาก็ได้ทั้งสะดวกและประหยัดเวลากว่าทำเองตั้งเยอะแต่กลับมาเข้าครัวลองเรียนทำอาหารเองแบบนี้ทำเอามาลินีอดปลื้มอกปลื้มใจไม่ได้
เดนิมค่อยๆแกะกุ้งอย่างที่มาลินีสอนใช้มีดผ่าหลังดึงไส้ออกมาทำตามขั้นตอนที่มาลีนีว่าใส่อะไรก่อนหลังแต่เสียดายอย่างหนึ่งที่เดนิมชิมไม่ได้ได้แต่เพียงลุ้นรสมือตัวเองอย่างตื่นเต้น
“เป็นยังไงบ้างครับ”
“ใช้ได้เลยจ้ะ”
“คือผมอยากห่อไปให้พี่พัดที่ทำงานน่ะครับรบกวนคุณน้าอย่าบอกได้ไหมครับว่าผมเป็นคนทำ”
เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายมาลินีก็เข้าใจทันที “ได้สิลูก”
“ขอบคุณครับว่างๆผมจะแวะมาหาใหม่นะครับ”
วันนี้เป็นวันศุกร์สุดสัปดาห์พิพัฒน์อดแปลกใจไม่ได้ที่แม่ตัวเองลงทุนเข้าครัวพร้อมห่อผัดไทยกุ้งสดรวมทั้งผลไม้มาให้เขาถึงที่ทำงานก่อนจะรับสายด้วยความแปลกใจ
“ตาพัดแม่ให้คนขับรถไปส่งผัดไทยแล้วนะ”
“มีอะไรหรือเปล่าครับแม่”
“ต้องมีอะไรก่อนเหรอถึงส่งข้าวมาให้ลูกได้”
“เปล่าครับผมแค่แปลกใจ”
“แม่แค่เหงาน่ะอีกอย่างพัดไม่ได้กลับบ้านมานานแล้วนะลูกว่างๆก็กลับมาให้แม่เห็นหน้าบ้างอย่าลืมทานข้าวให้ตรงเวลาอย่าหักโหมมากเกินไป”
“ครับครับ”
พูดคุยสักพักมาลินีจึงวางสายไปสัปดาห์ถัดมาเขาแทบไม่ต้องออกไปไหนในช่วงพักกลางวันนอกจากติดต่อพูดคุยกับลูกค้ามาลินีคอยส่งอาหารกลางวันมาให้ทุกวันพิพัฒน์เองก็ไม่ได้ว่าอะไรคนแก่อยู่บ้านคงเหงาอีกทั้งแม่ของเขาไม่ใช่คนที่ชอบออกงานสังคมหรือสมาคมกับคุณหญิงคุณนายบ้านอื่นที่มักจะนัดกันไปทำนั่นนี่อยู่เสมอพิพัฒน์คิดว่ามาลินีคงอยากจะตอบแทนลูกชายเพราะตั้งแต่สามีเสียไปลูกชายคนเดียวก็ต้องแบกรับภาระอย่างหนักแค่บ้านเดิมนอกจากมาลินีก็ยังมีคนรับใช้แม่บ้านคนขับรถที่เขาต้องดูแลยังไม่นับพนักงานหลายร้อยชีวิตที่เป็นฟันเฟืองให้บริษัทเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง
พิพัฒน์ทำงานเพลินจนลืมใครบางคนไปเขานอนที่บริษัทเคลียร์งานไตรมาสสุดท้ายก่อนจะเปิดโครงการโปรเจกต์ใหม่เข้าพบลูกค้าต่างๆตามตารางงานแต่ละวันตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่ได้รับสายหรือข้อความจากเดนิมอีก
เดนิมย้ายมาอยู่เพนท์เฮาส์ใหม่เกือบสองอาทิตย์แฝดต่างก็เป็นห่วงเลยโทรมาถามไถ่ถึงชีวิตความเป็นอยู่เพราะในแชทกลุ่มก็ถามคำตอบคำเท่านั้น
“ทำอะไรอยู่ตัวเล็ก”
“อ่านหนังสืออยู่ครับ”
“ไอ้พัดล่ะ”
“ยังไม่กลับครับ”
“อืม”
“เป็นไงมั่งไอ้พัดดีกับเราไหม”
“ดีครับ”
“ดีที่ว่าดียังไงทำดีพูดดีใส่ใจดีหรือว่ายังไง” เดนิมฟังดังนั้นก็รู้แล้วว่าพวกพี่แฝดคงกังวลว่าพี่พัดจะทำไม่ดีกับเขา
“พูดไปก็คงไม่เชื่อผมทำกับข้าวเก่งขึ้นมากเลยนะโดยเฉพาะอาหารไทย” เดนิมพยายามทำเสียงให้ร่าเริงบอกกล่าวเรื่องที่ตัวเองทำอาหารได้คล่องแคล่วหลายอย่างจนมาถึงประโยคสุดท้ายที่เดนิมไม่รู้ว่าจะต้องตอบยังไงดี
“แล้ววันนี้จะทำอะไรให้ไอ้พัดกิน”
“เดี๋ยวต้องรอถามพี่พัดก่อนว่าอยากกินอะไร”
“แล้วไอ้พัดมันบอกมั้ยว่าจะกลับไปกินข้าวที่บ้าน”
“ถ้าไม่มีธุระด่วนคงกลับมากินที่บ้านแหละครับ”
เดนิมไม่รู้ว่าแฝดพี่เดนีสกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหนเมื่อวางสายก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรงการโกหกแต่ละครั้งเหมือนจะสูบพลังใจของเขาออกไปอย่างมากเกือบสองอาทิตย์แล้วที่เขาต้องใช้ชีวิตคนเดียวเพราะไม่อยากให้คนที่บ้านเป็นห่วงอีกอย่างเดนิมโตพอที่จะรับผิดชอบความผิดพลาดของตัวเองเพราะเป็นคนผูกปมเรื่องนี้เขาก็ต้องเป็นฝ่ายที่จะต้องแก้ด้วยตัวเอง
เดนีสกำโทรศัพท์แน่นเมื่อเห็นแผ่นหลังของคนบางคนที่เดนิมบอกว่าอาจจะกลับไปกินข้าวที่บ้านจะกลับไปเมื่อไหร่นี่ก็เกือบจะสามทุ่มอยู่แล้วอีกฝ่ายยังนั่งทานอาหารใต้แสงเทียนกับคู่ค้าอยู่เลยบังเอิญที่เขาพาลูกค้ามาเลี้ยงรับรองที่ห้อง VIP แห่งนี้จนได้มาเห็นไอ้พัดนั่งทานข้าวด้วยบรรยากาศสบายๆกับบรรดาคู่ค้าจึงยกโทรศัพท์สอบถามน้องชายด้วยความเป็นห่วงพี่ชายอย่างเดนีสเมื่อได้ฟังคำโกหกก็ยิ่งจุกอกแต่เขาทำอะไรไม่ได้ทำได้เพียงโทรหาเดนิมให้บ่อยมากขึ้นก็เท่านั้น
แม้ว่าในสัญญาจะระบุว่าต่างฝ่ายก็ไม่สามารถมีใครในระหว่างหนึ่งปีนี้ได้เพราะเป็นเพื่อนกับอีกฝ่ายมานานรู้ดีว่าพิพัฒน์เป็นคนยังไงและรักษาคำพูดมากแค่ไหนแต่ภาพที่เห็นก็ไม่ได้แตกต่างจากที่จินตนาการเอาไว้มากเท่าไหร่และเขาในฐานะคนดูก็ภาวนาให้หนึ่งปีที่ว่าสิ้นสุดไวๆต่างฝ่ายจะได้เป็นอิสระต่อกันเสียที
ในฐานะพี่ชายเดนีสก็หวังว่าเดนิมจะก้าวผ่านความรักครั้งนี้ไปได้แล้วหันกลับมารักตัวเองสักที…
ทุกวันเสาร์ทางบ้านเดนิมจะส่งแม่บ้านมาคอยปัดถูทำความสะอาดป้าอนงค์และป้าสายใจทำงานมานานอีกอย่างลลดาเป็นห่วงลูกชายอย่างน้อยส่งคนรู้ใจมาสอดส่องสัปดาห์ละครั้งก็ยังดี“คุณหนูคะเสื้อผ้ามีแค่นี้เองเหรอคะแล้วของคุณผู้ชายละคะ”“มีแค่นี้แหละครับของพี่พัดนิมซักหมดแล้วครับ”“ไม่ได้นะคะคุณหนูใส่ไว้ในตะกร้าเอาไว้ได้เลยเดี๋ยวป้ามาซักให้เองค่ะ”“ไม่เป็นไรครับนิมอยากทำให้พี่พัดเอง” เดนิมยิ้มตอบก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปยังห้องนั่งเล่นคนแก่อย่างอนงค์กับสายใจทำไมจะดูไม่ออกทั่วทั้งห้องไม่มีกลิ่นอายของคนอื่นอยู่เลยมีเพียงคุณหนูของเธอคนแล้วจานชามก็มีเพียงอย่างละหนึ่งตู้เสื้อผ้าโล่งขนาดนั้นแต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมา“ตู้เย็นแทบไม่เหลือของสดเลยป้าไปซื้อให้ไหมคะ”“ไม่เป็นไรครับซื้อกินเอาสะดวกกว่า”“ขาดเหลืออะไรบอกป้ามาได้เลยนะคะป้าจะได้ตระเตรียมให้”“ไม่น่าจะขาดอะไรแล้วครับขอบคุณมากครับ” เดนิมพูดตอบซีรีย์เรื่องโปรดที่กำลังโลดแล่นอยู่บนจอไม่เข้าหัวของเขาสักนิดที่เขาต้องแกล้งจดจ่ออยู่กับภาพยนตร์ตรงหน้าก็เพื่อหลีกเลี่ยงการตอบคำถามของแม่บ้านเขารู้ดีว่าทุกคนเป็นห่วงแต่เขาเองก็ยังแอบหวังอยู่ลึกๆว่าพี่พัดจะย
แม้จะตกลงอยู่ร่วมกันในทุกวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ แต่เดนิมคิดว่าไม่เจอกันดีที่สุด อย่างน้อยก็ไม่ต้องเจอกันให้เสียความรู้สึก และถือเป็นการฆ่าเวลาไปในตัว และเดนิมกลัว กลัวว่าจะไม่สามารถกลบเกลื่อนสายตา ความรักที่มันเอ่อล้นอยู่ในอก เขาไม่อยากได้สายตาสมเพชจากพี่พัดอีกเดนิมวิ่งมาหลายสิบปีเพื่อคนคนเดียวเขาได้แต่หวังว่าสักวันระยะทางที่ทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุดนั้นจะมีสักวันหนึ่งที่มีโอกาสมองเห็นเส้นชัยแต่ทว่าพี่พัดของเขาไม่เคยให้โอกาสนั้นสองขาที่ออกวิ่งมายาวนานเริ่มเหนื่อยล้าและอ่อนแรงลงไปทุกทีเดนิมกลับมาอาศัยภายในคอนโดของตัวเองอีกครั้งเขาเร่งปิดต้นฉบับเพื่อให้ทันเดดไลน์ที่ตัวเองกำหนดขึ้นโฟกัสกับตัวอักษรเบื้องหน้าตัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายออกไปกลั่นกรองเรียงร้อยรสรักออกมาเป็นหนังสือนิยายรักเรื่องเศร้าเรื่องหนึ่งว่ากันว่า ‘เรามักจะซ่อนคนคนนึงไว้ในบทเพลง’ นักเขียนอย่างเดนิมก็เช่นกันเขาซ่อนความรักที่มีต่ออีกฝ่ายมาอย่างยาวนานหลายสิบปีผ่านนิยายหลายสิบเล่มจนได้ขึ้นชื่อว่านักเขียนเรื่องเศร้าหากคุณมีความสุขในชีวิตมากเกินไปก็ไปหาหนังสือของ FALLIN มาอ่านหากคุณอยากจะล้างลูกตาชื่อนี้ไม่ทำให้คุณผิดหวังโดย
แม้ไม่อยากทำให้พี่พัดอึดอัด เดนิมมักจะปลีกตัวและไม่เข้าหาอีกฝ่ายโดยไม่จำเป็น ยิ่งในบริษัทเขาทำเหมือนเป็นพนักงานคนหนึ่งที่ไม่ได้มีสัมพันธ์เกินเลยกับเจ้านาย เดนิมวางตัวดีและพยายามหักห้ามความรู้สึกของตัวเองอยู่เสมอ แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายมักจะมีข้ออ้างให้เขาต้องติดสอยห้อยท้ายออกไปพบปะพูดคุยกับคู่ค้าอยู่เสมอเช่นกัน และแล้วเดนิมก็หาสาเหตุเจอว่าพี่พัดจะเก็บเขาไว้ข้างตัวทำไม ในที่สุดวันนี้ก็ได้รู้ ตลอดเวลาที่เขาตามพี่พัดไปทำงาน แม้จะโดยสารไปด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้กลับพร้อมกัน เดนิมชินกับความเป็นอยู่และการถูกปฏิบัติแบบนี้เสียแล้ว ไม่คาดหวัง…ไม่ผิดหวัง ตลอดระยะเวลาหลายสัปดาห์อีกฝ่ายมักจะพาเขาไปเรียนรู้งาน พบปะสังสรรค์ลูกค้าในฐานะเด็กฝึกงาน แต่ว่าไม่มีครั้งไหนน่าอึดอัดเท่าครั้งนี้มาก่อน ทั้ง ๆ ที่เป็นร้านอาหารสุดหรู บรรยากาศดี แต่ทว่าผู้ร่วมโต๊ะอีกคนกลับทำให้เดนิมรู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นที่สุด…ผู้หญิงที่มอมยาพี่พัดในวันนั้นก็คือคุณนิชา ซึ่งเป็นคู่ค้าของพี่พัดมายาวนานเดนิมนั่งกึ่งกลางระหว่างโต๊ะจะว่าไปหากตัดเรื่องเลวร้ายที่นิชาทำลงไปก็ดูจะเหมาะสมกับพี่พัดมากกว่าเขาทุกตรงทั้งคู่ทักทายกันอย่างคุ้นเคยเป็นก
แม้จะไม่อยากออกมาฝึกงานแต่เมื่อรับปากไว้แล้วก็ต้องทำให้เสร็จสามเดือนก็สามเดือนแค่ไม่กี่สัปดาห์ยังกินพลังงานชีวิตไปซะขนาดนี้ระหว่างเดนิมกับพิพัฒน์ก็ยังมีบรรยากาศกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อยแม้จะอาศัยอยู่ด้วยกันแต่ไม่ได้พูดคุยกันสักประโยคอีกทั้งเดนิมก็เลือกที่จะขับรถไปเองเมื่อก่อนรู้ทั้งรู้ว่าจะต้องโดนกลั่นแกล้งแต่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจแต่หลังจากที่มีปากเสียงกันครานั้นเดนิมก็ไม่อยากจะเป็นฝ่ายถูกกลั่นแกล้งอีกไม่ว่าจะให้เขาหิ้วท้องรอจนดึกดื่นหากวันไหนเขางีบหลับอีกฝ่ายก็จะกลับไปก่อนโดยที่ไม่เอ่ยปากจะเรียกกันอีกทั้งพี่พัดมักจะมีอิริยาบถที่ผ่อนคลายเมื่อไม่ได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังโดยเฉพาะการรับประทานอาหารร่วมกัน…ยิ่งคาดหวังมากเท่าไหร่มันก็จะยิ่งกัดกินความสุขในชีวิตเราไปมากเท่านั้นไม่มีใครไม่อยากสมหวังแต่ทว่ามันไม่เหลืออะไรให้หวังเลยต่างหากอาหารกลางวันคุณน้ามาลินีก็ห่อมาให้พี่พัดเหมือนเดิมเดนิมก็โทรหาสอบถามอยู่บ่อยๆไม่ใช่เพื่อทำคะแนนต่อให้คุณน้ามาลินีจะชมชอบเขามากแค่ไหนแต่เจ้าตัวไม่มีใจมันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดีเดนิมไม่อยากให้เรื่องระหว่างเขากับพี่พัดผิดใจกับผู้ใหญ่และเขาโชคดีที่น้ามาลินีไม่ได้รังเกียจกั
ทางด้านเดนิมโชคดีที่กาแฟวางพักไว้สักครู่บนเคาน์เตอร์แผลจึงไม่ได้ร้ายแรงเป็นแผลไหม้ระดับสองมีตุ่มพองใสแต่ก็ปวดแสบมากเพราะเส้นประสาทบริเวณผิวหนังยังเหลืออยู่ไม่ได้ถูกทำลายไปมากนักการหายของแผลใช้เวลาประมาณสองถึงสามสัปดาห์คุณหมอจึงให้ครีมทายาภายนอกรวมไปถึงการปิดแผลด้วยผ้าก๊อซอีกทั้งยังกำชับไม่ให้โดนน้ำรวมไปถึงที่ต้นขาด้านขวาด้วยเดนิมทำแผลเสร็จพี่แฝดก็โทรมาตอนอยู่ในรถพอดีเขากดรับสายก่อนจะทำน้ำเสียงปกติ “ว่าไงครับ”“วันนี้ว่างหรือเปล่าเราพี่สองคนจะไปรับไปทานข้าว”“วันนี้คงไม่ได้ครับ”“เดี๋ยวพี่โทรไปหาไอ้พัดให้”“อย่าดีกว่าครับเดี๋ยวพี่พัดจะว่าเอาตอนนี้ผมเป็นแค่พนักงานฝึกงานนะครับพี่แฝดอย่าลืม” เดนิมพยายามทำน้ำเสียงให้สดใส “อีกอย่างมีนักศึกษาฝึกงานคนอื่นมาฝึกด้วย”“แล้วเราจะว่างเมื่อไหร่” เดนีนแทรกขึ้นมา“เดี๋ยวถ้าว่างจะโทรไปนัดพี่ๆอีกทีนะครับไม่ต้องกลัวว่าพวกพี่แฝดจะไม่ได้จ่ายรับรองวันนั้นต้องจ่ายให้น้องทั้งวันนะครับ” แฝดต่างหัวเราะ “หาเวลามาให้ได้เถอะน้องคนเดียวจะเท่าไหร่เชียวแพงแค่ไหนก็เลี้ยงได้” ทั้งสามคนหัวเราะก่อนจะกดวางสายเดนิมถอนหายใจก่อนจะสตาร์ทรถกลับบ้านโดยไม่ได้ดูสายที่ไม่ได้รับก
ทางด้านปานัสเมื่อโดนดุไปซึ่งๆหน้าก็ดูจะนอบน้อมขึ้นแต่ก็ยังพยายามจะหักหน้าและปาดหน้าทำงานแทนเดนิมเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมือเจ็บ“นิมช่วยดูตรงนี้หน่อยนะ” สิริเอ่ยพร้อมยื่นแฟ้มให้เดนิมยังไม่ทันยื่นมือออกไปรับปานัสกลับยื่นมือมารับแทน“ให้นัสทำนะครับพี่สิริ” สิริเองก็มองหน้าเดนิมเมื่อเห็นเจ้าตัวพยักหน้าน้อยๆก็ยื่นแฟ้มใส่มือปานัสแทนพร้อมกำชับ“ฝากด้วยนะจ๊ะงานนี้ต้องเสร็จวันนี้ถ้าไม่เสร็จจะจ่ายค่าโอทีให้”ปานัสอ้าปากค้างกลืนน้ำลายลงคอพร้อมรีบเปิดเอกสารในแฟ้มอ่านรายละเอียดคร่าวๆพร้อมอุทานในใจ “ตายห่าไม่น่าเลยกูวันนี้จะเสร็จไหมเนี่ย” พร้อมรีบกุลีกุจอกลับไปนั่งทำที่โต๊ะตัวเองโซนหน้าห้องผู้บริหารแทบไม่มีเสียงพูดคุยตลอดช่วงบ่ายพี่สิริหันมายิ้มเป็นนัยให้เดนิมเดนิมค้อมหัวให้ก่อนจะก้มหน้าอ่านเอกสารในมือจนเลิกงานปานัสขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเมื่อเวลาเลิกงานพนักงานทุกคนทยอยกลับรวมไปถึงเดนิมที่เดินมาอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงานของตัวเองเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ขอบคุณปานัสมากนะที่ช่วยทำงานนี้แทนเราเราขอตัวก่อนนะ” ปานัสแสร้งยิ้มก่อนจะกัดฟันตอบ “กลับก่อนได้เลยจ้ะ” แต่ในใจก่นด่าอีกฝ่ายสิบกว่ารอบเดนิมที่กำลังลงลิฟต์ไปย
บริษัทมีการจัดเลี้ยงฝึกงานแต่เดนิมบอกปัดเขาไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยงกับปัญหาอีกปานัสเป็นญาติของนิชาอีกทั้งก็ไม่ชอบขี้หน้าเขาเป็นทุนเดิมงานเลี้ยงครั้งนี้ไม่ไปดีที่สุดพี่พัดเองก็ไม่ได้ว่าอะไรมีแต่ปานัสที่ดีอกดีใจคุณสิริเองก็เอ่ยชมเขามากขึ้นกว่าแต่ก่อนเดนิมคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วคำชมที่มาจากความจริงใจเพียงเท่านี้ก็มีกำลังใจให้เด็กฝึกงานอย่างเขากระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้นไปอีกอีกอย่างเดนิมก็ไม่ได้จบงานด้านบริหารมาเขาทำได้ดีขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้วชีวิตหลังจากนี้จะได้เป็นอิสระเสียทีเดนิมเลิกเฝ้ารอและเลิกฝันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะทำอะไรดีๆให้พี่พัดแต่ทำไปเหมือนขว้างหินลงสู่ทะเลพี่พัดเกลียดเขาจะตาย…ไม่เห็นหน้ากันจะดีที่สุดเดนิมไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะกลับมาค้างทุกวันหยุดสุดสัปดาห์หรือไม่เขาไม่คิดโทรถามไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญและลำบากใจวันนี้วันศุกร์เขาไม่มีธุระที่ไหนเลยเข้าครัวเองทำอาหารสองสามอย่างทีละน้อยสำหรับคนคนเดียวไข่เจียวตรงหน้าฟูฟ่องส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องครัวเดนิมแกะข้าวหุงสำเร็จเวฟก่อนจะแกะใส่จานแม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้วเดนิมเลือกที่จะหันหลังแล้วทำเป็นไม่เห็นก้มลงทานอาหารตรงหน้
เดนิมไม่ออกจากห้องของตัวเองแม้ว่าป้าแม่บ้านที่แม่ของเขาส่งมาทำความสะอาดให้ทุกวันอาทิตย์ก็ตามภายในห้องมีตู้เย็นขนาดเล็กขนมขบเคี้ยวรวมไปถึงกาน้ำร้อนขนาดพกพาอีกทั้งเพราะการเขียนนิยายออกมาสักเรื่องหนึ่งมันใช้เวลาและในตอนที่อารมณ์พาไปหรือจินตนาการพรั่งพรูเดนิมไม่อยากจะลุกออกไปทำอะไรนิ้วเรียวยาวเคาะแป้นพิมพ์อยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียงของแป้นพิมพ์ทำให้เขาลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าสมาธิจดจ่ออยู่กับหน้าจอและตัวหนังสือตรงหน้าและเขาใช้มันเพื่อระบายของเสียภายในจิตใจเขาระบายมันออกมาเป็นตัวหนังสือตัวละครบางตัวก็คือตัวเองที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาขัดเกลาตัวละครผ่านเหตุการณ์สมมุติต่างๆมากมายมานับไม่ถ้วนหาทางออกให้ตัวละครเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายแต่น่าเสียดายตัวเองกลับหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอเขาติดอยู่ในวังวนความเจ็บปวดของความรักมายาวนานนับสิบปีรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีใจแต่ก็ยังจะเฝ้ารออดทนกับสายตาที่หยามเหยียดอดทนต่อถ้อยคำที่บาดลึกถึงกระดูกคล้ายกับคนไม่รู้สึกรู้สา สุดท้ายกลับฝังตัวเองทั้งเป็นด้วยการทอดกายให้อีกฝ่ายได้เชยชม ในฐานะนักเขียนหากตัวละครตัวนี้จะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่แ
เดนิมตื่นมาก็บ่ายสามกว่า ๆ แล้ว เขาคิดว่าตอนนี้พี่พัดคงเก็บของกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว จึงกินนอนเล่นกับพวกแฝด เป็นการรวมตัวกันของครอบครัวที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เล่นน้ำด้วยกันเหมือนเด็กอีกครั้ง พอได้วางความรู้สึกเหล่านั้นลง เดนิมค้นพบว่าความสุขของเขาได้เพิ่มขึ้นทีละนิด แม้จะมีความรู้สึกผิดอยู่เต็มอก แต่ได้แพลนตอนจบเอาไว้แล้วเหมือนกับนิยายที่มีตอนจบไม่ว่าจะสมหวังผิดหวังท้ายสุดก็ต้องเดินทางมาถึงจุดจบไม่ว่าบทสุดท้ายจุดจบจะเป็นเช่นไรเขาเพียงต้องยอมรับมันให้ได้‘ไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง’กว่าจะรู้ว่าความรักในรูปแบบของตัวเองเป็นความรักที่ไม่สมประกอบก็ทำเอาคนอื่นวุ่นวายกันไปทั่วรักที่ดีไม่จำเป็นต้องครอบครองเป็นเจ้าของเดนิมจึงรู้จักที่จะปล่อยวางมันลงคล้ายกับหัวใจได้คลายหนามแหลมที่เกี่ยวพันรัดอยู่บาดแผลและเลือดที่ไหลรินก่อนหน้าค่อยๆสมานเข้าด้วยกันอย่างช้าๆแม้จะทิ้งร่องรอยแผลเป็นเอาไว้แต่ก็เป็นเครื่องเตือนความจำว่าเขาไม่ควรจะรักใครจนทำร้ายตัวเองแบบนั้นอีกและเขาจะต้องเป็นคนที่จัดการความรู้สึกของตนเองไม่ทำให้คนที่รักต้องรู้สึกอึดอัดกับความรู้สึกที่เขามีเดนิมเล่นน้ำจนเหนื่อยหอบอยู่กินดื่มกับแฝดจน
ทางด้านพิพัฒน์เองเขาจดจ้องใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มมีชีวิตชีวาของเดนิมโดยไม่ละสายตาไปสักเสี้ยววินาที มันไม่ใช่รอยยิ้มแกน ๆ ที่คอยส่งมาให้เขา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มไปถึงดวงตา เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ พิพัฒน์สังเกตเห็นว่าเดนิมทำเหมือนว่าเขาเป็นยักษ์เป็นมารเวลาที่เข้าใกล้ และมักจะก้าวเท้าถอยหลังเสมอ คล้ายว่าเป็นการขีดเส้นระหว่างกัน ไม่มีใครควรล้ำเส้นกันไปมากกว่านี้ แถมยังเป็นฝ่ายหลบสายตา เหมือนว่าการมีอยู่ของตัวเองทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกแย่เดนิมในอุดมคติของเขากับเดนิมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนเป็นคนละคนตอนแรกที่เกิดเรื่องเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยากจะเข้าไปซัดหน้าหวานๆที่เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักเปรี้ยงพิพัฒน์คิดว่าเดนิมร้ายกาจไม่งั้นเขาไม่ต้องมาตกกระไดพลอยโจนอยู่อย่างนี้และการแต่งงานครั้งนี้จะทำให้เจ้าตัวสมหวังอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้แต่พอมาได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันยิ่งได้ใกล้ชิดยิ่งได้รู้จักเหมือนว่าช่วงที่ห่างหายขาดการติดต่อกันไปเดนิมในวันวานยังคงเหมือนเดิมไม่ได้ร้ายกาจหรือมีเล่ห์เหลี่ยมแต่อย่างใดกลับเงียบขรึมเก็บงำความรู้สึกได้เก่งขึ้นและมักจะหลบเลี่ยงปัญหามากกว่าเผชิญหน้าอีกทั้งรอยยิ้มที่ประดับ
ช่วงเช้าพายุฝนสงบท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนว่าไม่เคยเกิดพายุฝนคะนองมาก่อนเดนิมตื่นเช้าเหมือนเช่นเคยอาหารเช้ามาส่งแล้วอีกอย่างเขาเองก็ไม่ชอบแบบที่ลอยอยู่กลางน้ำเพราะนึกถึงเวลาเศษอาหารตกลงในสระมันทำความสะอาดค่อนข้างยากเขาจึงบอกให้บริกรวางไว้ที่ขอบสระเดนิมรออาหารย่อยสักพักก็ลงไปว่ายน้ำเขาสวมกางเกงว่ายน้ำเพียงตัวเดียวอีกอย่างก็เป็นสระส่วนตัวน้ำเย็นๆบรรยากาศยามเช้าที่แจ่มใสรวมไปถึงทัศนียภาพของทิวทัศน์ตรงหน้าทำให้เขาไม่อยากกลับเลยจริงๆที่ว่ากันว่านั่งโง่ๆอยู่ริมทะเลนั้นไม่เกินจริงเดนิมหันหลังเท้าคางมองทิวทัศน์ข้างหน้าน้ำทะเลสีฟ้าครามตัดกับเส้นขอบกับพระอาทิตย์อย่างลงตัวเห็นพี่แฝดบอกว่าในทะเลมีพวกปลากระเบนว่ายมาทักทายบริเวณบังกะโลกลางน้ำแห่งนี้ด้วย เดนิมจ้องมองผืนน้ำทะเลอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาอยู่คู่หนึ่งจดจ้องการกระทำของเขาตลอดตั้งแต่แหวกว่ายอยู่ในสระเดนิมหันหลังให้ทิวทัศน์ก่อนจะคว้าเอาห่วงยางที่นอนลอยน้ำเขาขึ้นไปนอนบนนั้นแล้วยิ้มแฉ่งให้กับพระอาทิตย์สองมือวักน้ำจนทำให้ห่วงยางนั้นลอยไปลอยมา“เล่นเหมือนเด็กๆไปได้” ไม่รู้เมื่อไหร่ที่พิพัฒน์เอาแต่จดจ้องร่างบางที่สวมเพียงแค่กางเกงว่ายน้ำตัว
เดนิมแตะบัตรค่อยๆเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายทำอะไรอยู่เดนิมเปลี่ยนเป็นรองเท้าสลิปเปอร์ก่อนจะเห็นว่ากระเป๋าของตัวเองยังวางอยู่ที่หน้าประตูเหลือเพียงกระเป๋าใบเดียวพี่พัดคงกลับเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วเดนิมกำที่จับกระเป๋าล้อเลื่อนของตัวเองแน่นก่อนจะตัดสินใจที่จะไปนอนกับพี่แฝดเขาไม่อยากให้การมาทำงานครั้งนี้ของพี่พัดมีปัญหาหรือรู้สึกอึดอัดเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินออกมาจากประตูเสียงเอ่ยราบเรียบก็ทักขึ้นมา“เข้ามาแล้วจะออกไปไหนอีก” น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์แต่เดนิมรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจอยู่เนืองๆเขาไม่ได้ตอบแต่ค่อยๆเดินผ่านโถงทางเดินเข้าไปก่อนจะเจอกับโซนห้องนั่งเล่นตรงกลางโซฟาหันหน้าเข้าหาทะเลภาพวิวเบื้องหน้ามีสระน้ำขนาดกลางส่วนตัวให้แขกได้พักผ่อนมีตาข่ายให้ได้นอนอาบแดดนับได้ว่าเป็นห้องพักที่เยี่ยมยอดที่สุดของ The Grand DAE เลยก็ว่าได้พิพัฒน์นั่งจิบบรั่นดีสีอำพันในมือสายตาทอดมองไปยังวิวตรงหน้าน้อยครั้งนักที่เดนิมจะเห็นว่าอีกฝ่ายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่จะเป็นชาร้อนหากต้องอ่านรายงานค่อนคืน“คือ…นิมจะไปนอนกับพี่แฝด”“ใช่แ
เดนิมเดินทอดน่องไปตามชายหาด ท้องเริ่มปวดบิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงนั่งตรงเปลที่ชายหาดผูกไว้ นั่งสักพักเลยล้มตัวนอน มือก็ได้แต่กดท้องตัวเองเอาไว้ เดนิมเป็นโรคกระเพาะทานอาหารไม่ตรงเวลาก็จะปวดจนทรมาน อีกอย่างยาลดกรดก็อยู่ในกระเป๋า ตอนนี้เขาเหนื่อยทั้งกายและใจเลยอยากจะนั่งพักสักครู่ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี พี่พัดตักอาหารให้เขา แต่เป็นสิ่งที่ฆ่าเขาให้ตายได้ อีกทั้งตอนสมัยที่เดนิมยังเด็ก หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เดนิมประทับใจในตัวพี่พัดของเขาก็คือพี่พัดจะเป็นฝ่ายคอยระวังเรื่องอาหารการกินของเขาทุกครั้งที่ต้องออกไปทานอาหารข้างนอกกันรวมถึงแฝด แฝดมักจะเผอเรอไม่ถามไถ่หรือมักจะสั่งกุ้งมากิน แต่เป็นพี่พัดเองที่คอยเอาใจใส่ และหาร้านที่ไม่มีส่วนผสมของกุ้งเพื่อเดนิมวันเวลาผ่านพ้นไปคนเราหากเป็นเรื่องสำคัญมักจะไม่ลืม…เดนิมยิ้มเยาะให้ตัวเองก่อนจะนอนอยู่อย่างนั้นแขนซ้ายปิดทับดวงตาปิดบังความน้อยเนื้อต่ำใจและการเดินหนีหรือหลีกเลี่ยงเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นเดนิมจึงนิยามความรักของตัวเองว่าเป็นรักที่ไม่ประกอบวิ่งมายาวนานเพื่อคนคนเดียวมานับสิบปีเขาแพ้กุ้งแต่พี่พ
เดนิมไม่ออกจากห้องของตัวเองแม้ว่าป้าแม่บ้านที่แม่ของเขาส่งมาทำความสะอาดให้ทุกวันอาทิตย์ก็ตามภายในห้องมีตู้เย็นขนาดเล็กขนมขบเคี้ยวรวมไปถึงกาน้ำร้อนขนาดพกพาอีกทั้งเพราะการเขียนนิยายออกมาสักเรื่องหนึ่งมันใช้เวลาและในตอนที่อารมณ์พาไปหรือจินตนาการพรั่งพรูเดนิมไม่อยากจะลุกออกไปทำอะไรนิ้วเรียวยาวเคาะแป้นพิมพ์อยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียงของแป้นพิมพ์ทำให้เขาลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าสมาธิจดจ่ออยู่กับหน้าจอและตัวหนังสือตรงหน้าและเขาใช้มันเพื่อระบายของเสียภายในจิตใจเขาระบายมันออกมาเป็นตัวหนังสือตัวละครบางตัวก็คือตัวเองที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาขัดเกลาตัวละครผ่านเหตุการณ์สมมุติต่างๆมากมายมานับไม่ถ้วนหาทางออกให้ตัวละครเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายแต่น่าเสียดายตัวเองกลับหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอเขาติดอยู่ในวังวนความเจ็บปวดของความรักมายาวนานนับสิบปีรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีใจแต่ก็ยังจะเฝ้ารออดทนกับสายตาที่หยามเหยียดอดทนต่อถ้อยคำที่บาดลึกถึงกระดูกคล้ายกับคนไม่รู้สึกรู้สา สุดท้ายกลับฝังตัวเองทั้งเป็นด้วยการทอดกายให้อีกฝ่ายได้เชยชม ในฐานะนักเขียนหากตัวละครตัวนี้จะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่แ
บริษัทมีการจัดเลี้ยงฝึกงานแต่เดนิมบอกปัดเขาไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยงกับปัญหาอีกปานัสเป็นญาติของนิชาอีกทั้งก็ไม่ชอบขี้หน้าเขาเป็นทุนเดิมงานเลี้ยงครั้งนี้ไม่ไปดีที่สุดพี่พัดเองก็ไม่ได้ว่าอะไรมีแต่ปานัสที่ดีอกดีใจคุณสิริเองก็เอ่ยชมเขามากขึ้นกว่าแต่ก่อนเดนิมคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วคำชมที่มาจากความจริงใจเพียงเท่านี้ก็มีกำลังใจให้เด็กฝึกงานอย่างเขากระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้นไปอีกอีกอย่างเดนิมก็ไม่ได้จบงานด้านบริหารมาเขาทำได้ดีขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้วชีวิตหลังจากนี้จะได้เป็นอิสระเสียทีเดนิมเลิกเฝ้ารอและเลิกฝันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะทำอะไรดีๆให้พี่พัดแต่ทำไปเหมือนขว้างหินลงสู่ทะเลพี่พัดเกลียดเขาจะตาย…ไม่เห็นหน้ากันจะดีที่สุดเดนิมไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะกลับมาค้างทุกวันหยุดสุดสัปดาห์หรือไม่เขาไม่คิดโทรถามไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญและลำบากใจวันนี้วันศุกร์เขาไม่มีธุระที่ไหนเลยเข้าครัวเองทำอาหารสองสามอย่างทีละน้อยสำหรับคนคนเดียวไข่เจียวตรงหน้าฟูฟ่องส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องครัวเดนิมแกะข้าวหุงสำเร็จเวฟก่อนจะแกะใส่จานแม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้วเดนิมเลือกที่จะหันหลังแล้วทำเป็นไม่เห็นก้มลงทานอาหารตรงหน้
ทางด้านปานัสเมื่อโดนดุไปซึ่งๆหน้าก็ดูจะนอบน้อมขึ้นแต่ก็ยังพยายามจะหักหน้าและปาดหน้าทำงานแทนเดนิมเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมือเจ็บ“นิมช่วยดูตรงนี้หน่อยนะ” สิริเอ่ยพร้อมยื่นแฟ้มให้เดนิมยังไม่ทันยื่นมือออกไปรับปานัสกลับยื่นมือมารับแทน“ให้นัสทำนะครับพี่สิริ” สิริเองก็มองหน้าเดนิมเมื่อเห็นเจ้าตัวพยักหน้าน้อยๆก็ยื่นแฟ้มใส่มือปานัสแทนพร้อมกำชับ“ฝากด้วยนะจ๊ะงานนี้ต้องเสร็จวันนี้ถ้าไม่เสร็จจะจ่ายค่าโอทีให้”ปานัสอ้าปากค้างกลืนน้ำลายลงคอพร้อมรีบเปิดเอกสารในแฟ้มอ่านรายละเอียดคร่าวๆพร้อมอุทานในใจ “ตายห่าไม่น่าเลยกูวันนี้จะเสร็จไหมเนี่ย” พร้อมรีบกุลีกุจอกลับไปนั่งทำที่โต๊ะตัวเองโซนหน้าห้องผู้บริหารแทบไม่มีเสียงพูดคุยตลอดช่วงบ่ายพี่สิริหันมายิ้มเป็นนัยให้เดนิมเดนิมค้อมหัวให้ก่อนจะก้มหน้าอ่านเอกสารในมือจนเลิกงานปานัสขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเมื่อเวลาเลิกงานพนักงานทุกคนทยอยกลับรวมไปถึงเดนิมที่เดินมาอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงานของตัวเองเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ขอบคุณปานัสมากนะที่ช่วยทำงานนี้แทนเราเราขอตัวก่อนนะ” ปานัสแสร้งยิ้มก่อนจะกัดฟันตอบ “กลับก่อนได้เลยจ้ะ” แต่ในใจก่นด่าอีกฝ่ายสิบกว่ารอบเดนิมที่กำลังลงลิฟต์ไปย
ทางด้านเดนิมโชคดีที่กาแฟวางพักไว้สักครู่บนเคาน์เตอร์แผลจึงไม่ได้ร้ายแรงเป็นแผลไหม้ระดับสองมีตุ่มพองใสแต่ก็ปวดแสบมากเพราะเส้นประสาทบริเวณผิวหนังยังเหลืออยู่ไม่ได้ถูกทำลายไปมากนักการหายของแผลใช้เวลาประมาณสองถึงสามสัปดาห์คุณหมอจึงให้ครีมทายาภายนอกรวมไปถึงการปิดแผลด้วยผ้าก๊อซอีกทั้งยังกำชับไม่ให้โดนน้ำรวมไปถึงที่ต้นขาด้านขวาด้วยเดนิมทำแผลเสร็จพี่แฝดก็โทรมาตอนอยู่ในรถพอดีเขากดรับสายก่อนจะทำน้ำเสียงปกติ “ว่าไงครับ”“วันนี้ว่างหรือเปล่าเราพี่สองคนจะไปรับไปทานข้าว”“วันนี้คงไม่ได้ครับ”“เดี๋ยวพี่โทรไปหาไอ้พัดให้”“อย่าดีกว่าครับเดี๋ยวพี่พัดจะว่าเอาตอนนี้ผมเป็นแค่พนักงานฝึกงานนะครับพี่แฝดอย่าลืม” เดนิมพยายามทำน้ำเสียงให้สดใส “อีกอย่างมีนักศึกษาฝึกงานคนอื่นมาฝึกด้วย”“แล้วเราจะว่างเมื่อไหร่” เดนีนแทรกขึ้นมา“เดี๋ยวถ้าว่างจะโทรไปนัดพี่ๆอีกทีนะครับไม่ต้องกลัวว่าพวกพี่แฝดจะไม่ได้จ่ายรับรองวันนั้นต้องจ่ายให้น้องทั้งวันนะครับ” แฝดต่างหัวเราะ “หาเวลามาให้ได้เถอะน้องคนเดียวจะเท่าไหร่เชียวแพงแค่ไหนก็เลี้ยงได้” ทั้งสามคนหัวเราะก่อนจะกดวางสายเดนิมถอนหายใจก่อนจะสตาร์ทรถกลับบ้านโดยไม่ได้ดูสายที่ไม่ได้รับก