เดนิมไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปตอนแรกคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นเพียงความลับระหว่างเขากับพี่พัดเช้ามาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้คาดคิดว่าเรื่องราวจะบานปลายขนาดนี้ความคิดเพียงชั่ววูบคิดว่าไม่เป็นอะไรแต่สุดท้ายเรื่องราวทุกอย่างกลับตาลปัตรอีกอย่างเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่แผนการของเขาเดนิมกล้าสาบาน! แต่ว่าใครจะเชื่อล่ะ?
อีกอย่างเดนิมมีคลิปที่อยู่ในโทรศัพท์ของชองส์เป็นหลักฐานว่าผู้หญิงคนนั้นวางยาพี่พัดตอนนี้คลิปในมือที่เดนิมมีคือกล้องหน้ารถของตัวเองที่ขับตามรถญี่ปุ่นที่เลี้ยวเข้าเลิฟโฮเต็ลอีกทั้งไม่ได้เห็นว่าอีกฝ่ายพยุงพิพัฒน์เข้าไปในห้องพูดอะไรไปตอนนี้ก็คงไม่มีอะไรดีขึ้นยังไงการตัดสินใจตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายยังไงเขากับพี่พัดก็มีสัมพันธ์เกินเลยกันไปแล้วพ่อแม่ของเขาคงไม่ยอมจะให้แล้วต่อกันก็คงเป็นไปไม่ได้
เดนิมเข้าใจแล้วว่าทำไมชองส์ถึงสั่งห้ามเขาหนักหนาว่าไม่ให้เข้าไปในห้องนั้นเพราะอย่างนี้นี่เองเดนิมกล่าวโทษตัวเองว่าโง่เขลาอยู่ในใจกัดริมฝีปากตัวเองจนห้อเลือด
“งั้นกลับบ้านไปก่อนละกัน” เดนีสเอ่ยปาก
“ก่อนกลับบ้านแวะไปโรงพยาบาลก่อนเถอะ” เดนีนพูดจบก็หิ้วปีกน้องชายที่อ่อนแรงแทบไม่มีแรงเดินร่างกายคล้ายจะล้มลงไปได้ทุกเมื่อหากเขาไม่ประคองอีกฝ่ายไว้น้ำหนักไหลเทมาที่แขนของเขาจนต้องนิ่วหน้าด้วยความหนัก
ดูเหมือนว่าไอ้พัดจะโดนยาปลุกเซ็กซ์ขนานใหญ่ดูจากสภาพของเดนิมที่ถูกฟัดจนแทบจะเหมือนแป้งเปียกขนาดนี้
แม่ง!!
“ละ…แล้วพี่พัดล่ะครับ” เดนิมสะอึกสะอื้นหันมาถามพี่ชายคนโตที่นั่งกอดอกแน่นิ่งอยู่ตรงโซฟาบรรยากาศรอบตัวดูกดดันทำเอาเดนิมไม่กล้าสบตาที่แข็งกร้าวนั้นอารมณ์ของเดนีสไม่ดีนักเขาแทบจะรอไม่ไหวอยากเข้าไปถามคนเมาไม่ได้สติที่กำลังหลับเหมือนตายว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ห่วงตัวเองก่อนเถอะ” เดนีสตอบเสียงเรียบโดยไม่มองหน้าของน้องชายที่น้ำหูน้ำตาไหลออกมาจนน่าสงสารหากไม่ใช่เรื่องนี้พี่ชายอย่างเขาคงอยากจะเข้าไปกอดปลอบและโอ๋เจ้าตัวเล็กของบ้านที่น้ำตากำลังไหลอาบหน้าไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามแต่
เดนิมได้ฟังดังนั้นก็คอตกเดินกระย่องกระแย่งออกจากห้องไปด้วยความรู้สึกแย่
แต่ทว่าเรื่องนี้ใหญ่เกินไปและหากเดนิมผิดจริงเดนิมควรจะได้เรียนรู้ความผิดพลาดของตัวเองภายในหัวสมองของเดนีสความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัวไม่รู้จบและเขารู้ดีว่าไอ้พัดเพื่อนเขาก็คงไม่ยินดีนักถ้ารู้ว่าเมื่อคืนคนที่มันหลับนอนด้วยคือน้องชายคนเล็กของศศิภักดี
พิพัฒน์ลืมตาตื่นขึ้นมาก็ปาไปเกือบบ่าย 3 โมงของวันเขาครางเครือเพราะปวดหัวจนแทบจะระเบิดพร้อมกับร่างกายที่หนักอึ้งเหมือนผ่านการออกกำลังกายมาอย่างหนักเขาไม่เคยเมาจนสิ้นสภาพแบบนี้มาก่อนก่อนจะปรับโฟกัสสายตาสำรวจภายในห้องที่เขากำลังนอนอยู่
‘ที่ไหน…ไม่คุ้นเลยสักนิด’
ก่อนจะควานหาเสื้อผ้าที่ตกอยู่ข้างเตียงมาสวมใส่อย่างลวกๆนั่งลูบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติอยู่ปลายเตียงพลางใช้ความคิดอย่างหนักคราบเลือดบนที่นอนรวมไปถึงคราบต่างๆสภาพเตียงนอนที่ยับย่นรวมไปถึงความเจ็บแสบที่แผ่นหลังและหน้าอกบ่งบอกว่าเขาผ่านค่ำคืนวานมาอย่างหนักหน่วงแต่ว่ากับใคร?
แล้วอีกฝ่ายเป็นใครกันพิพัฒน์นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อวานตอนเย็นเขาออกไปสังสรรค์ดื่มกับนิชาที่คลับแห่งหนึ่งหลังจากตกลงเซ็นสัญญาทำธุรกิจร่วมกันนิชาเป็นคนเดียวและคนสุดท้ายที่เขาอยู่ด้วยพลันเบิกตากว้างอย่าบอกนะว่าเขาล่วงเกินคุณนิชาไปเขารีบร้อนเปิดประตูออกไปเพื่อจะพิสูจน์ความฟุ้งซ่านของตัวเองเพราะเขามั่นใจว่าเขาไม่ได้มีนิสัยแบบนั้นแต่คนที่นั่งหันหลังให้ทำเอาพิพัฒน์ตื่นตระหนกมากกว่าความคิดตอนแรกเสียอีก…เดนีสร่างกายของเขาชาวาบอาการเมาที่คั่งค้างคล้ายจะสร่างทันทีเมื่อเห็นว่าเดนีสกำลังนั่งหันหลังให้เขาอยู่
“ตื่นแล้วเหรอ”
“ทำไมมึงมาอยู่ที่นี่” พิพัฒน์ถามกลับด้วยความใคร่รู้เขารู้สึกกลัวและกำลังสับสนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอาการเมาค้างทำเอาเขาปวดหัวจนแทบจะระเบิด
“กูต้องถามมึงมากกว่าไอ้พัดว่าทำไมมึงถึงมาอยู่ที่นี่นี่ห้องเดนิม”
อาการสะลึมสะลือคล้ายจะมลายหายไปเมื่อได้ยินว่าที่นี่คือที่ไหนห้องของใคร
“มึงว่าไงนะ!!”
“นี่ห้องเดนิม” เดนีสตอบกลับสีหน้าไม่สบอารมณ์หากเขาไม่รู้จักไอ้พัดมานานหากเป็นผู้ชายคนอื่นไม่ได้มานั่งถามตอบแบบนี้เป็นแน่เดนีสเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจเพราะเขารู้ว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล
“เดี๋ยวก่อนนะเมื่อวานกูไม่ได้เจอเดนิมเลยนะกู…” ในความทรงจำของเขาเมื่อวานนี้เขาไปนั่งดื่มกับนิชาพอกึ่ม ๆแล้วเหมือนจะภาพตัดรู้ตัวอีกทีร่างกายก็ร้อนรุ่มไปหมดแล้วก็เป็นอย่างที่เห็น
พิพัฒน์หน้าขาวซีดเหมือนกระดาษอย่าบอกนะว่าคนที่รองรับความใคร่ของเขาทั้งคืนจะเป็น…เดนิมพิพัฒน์เอนตัวไปพิงโซฟาด้านหลังอย่างหมดแรงเขายกมือขึ้นมาปิดหน้าตัวเองด้วยความรู้สึกแย่มันยิ่งว่าแย่เสียอีกอีกอย่างเดนิมถือว่าเป็นน้องชายของเขาคนหนึ่งเขาไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษกับอีกฝ่ายเกินกว่าคำว่าพี่น้องเลยแต่เพราะความสัมพันธ์เพียงชั่วข้ามคืนคล้ายจะมีพันธนาการที่มองไม่เห็นผูกร้อยชีวิตของเขาจากนี้ให้ติดกับเดนิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“เรื่องนี้ต้องคุยกันอีกยาว”
“ไม่ใช่ว่ากูอยากจะปัดความรับผิดชอบนะแต่มึงต้องให้ความเป็นธรรมกับกูด้วย” พิพัฒน์จ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็งโดยไม่ยอมหลบสายตาเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ
“มึงเอาหลักฐานแสดงความบริสุทธิ์ใจของตัวเองไปคุยกับพ่อแม่กูละกันไม่ว่าจุดเริ่มต้นจะเป็นยังไงแต่ว่าตอนนี้มึงก็นอนกับเดนิมไปแล้วมึงก็รู้ว่าเดนิม…พิเศษยังไงก็เป็นฝ่ายเสียหายอยู่ดี”
เดนิมผิดแล้วยังไงล่ะ ‘ศศิภักดี’ รักและเอาอกเอาใจขนาดนั้นผลลัพธ์สุดท้ายไม่ว่าเขาจะคิดยังไงก็ต้องแสดงความรับผิดชอบออกมาอยู่ดี
พิพัฒน์กัดฟันกรอดหากศศิภักดีเอนเอียงความถูกต้องเขาจะต้องสั่งสอนเดนิมให้รู้สำนึกเสียบ้างว่าไม่มีอะไรจะได้ดั่งใจเราไปเสียหมดโดยเฉพาะความรู้สึกของคนมันบังคับกันไม่ได้ไม่ว่าจะยังไงก็เหมือนกับว่าเดนิมจงใจจะจับเขาเดนิมหลงรักเขามานานขนาดนั้นเรื่องราวทั้งหมดดูก็รู้ว่าเขาถูกวางยาแต่ที่แน่ๆเขาจะต้องเช็กให้ได้ว่าตั้งแต่ตอนไหนและเมื่อไหร่และเขามาตกอยู่ในมือของเดนิมได้ยังไง
อีกหนึ่งสัปดาห์เราจะได้เห็นดีกัน…เดนิม!
ส่วนทางชองส์ก็ไม่ได้ราบรื่นนัก ตอนแรกว่าจะขับรถของเดนิมออกมา แต่ต้องเอาไปคืนอีก เลยเรียกรถมารับดีกว่า พอเรียกรถมารับเขาเผลอลืมโทรศัพท์เอาไว้ กว่าจะให้ทางโรงแรมติดต่อกับบริษัทรถ กว่าจะได้เบอร์คนขับ ฟ้าก็เริ่มสางแล้ว ไอ้คนขับใช้รถเช่า เขาเหมาวินมอเตอร์ไซค์วิ่งไปที่อู่เพื่อสอบถามถึงโทรศัพท์มือถือของเขา ด้วยความที่หน้าดุแถมยังมีรอยสักที่ต้นคอทำเอาคล้ายมาเฟียต่างชาติอยู่หลายส่วน พวกพนักงานต่างลุกลี้ลุกลนหาโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นกันให้ควัก ความจริงไม่ใช่เรื่องของราคา แต่ที่ชองส์ต้องลำบากขนาดนี้ก็เพราะมีข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลสำคัญไม่ว่าจะเรื่องงาน หนึ่งในนั้นก็คลิปไอ้ไก่อ่อนที่ถูกสาวมอมยา
ใจหนึ่งก็เป็นห่วงเดนิมแต่สภาพร่างกายของเขาก็แทบจะทนความง่วงไม่ไหวกว่าจะกลับที่พักเข้านอนก็ปาไปเกือบเก้าโมงเช้าแล้วกว่าจะตื่นก็พลบค่ำพอดี
ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรโทรศัพท์เจ้ากรรมก็สั่นครืดคราดบ่งบอกว่าปลายสายร้อนใจเพียงใดอ้อ! เขาลืมไปเรื่องไอดีการ์ดกับทางต้นสังกัดเหมือนว่าเอกสารการยื่นภาษีของเขาจะมีปัญหาหากเคลียร์ไม่ชัดเจนอาจมีผลต่อสัญญาโฆษณาอื่นๆที่เขาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์
รัฐบาลเคี่ยวจะตายการเป็นนักแสดงนอกจากจะดีทั้งในจอนอกจอจะต้องดีด้วยอย่างแรกก็คือการจ่ายภาษีตามฐานรายได้จริงนั่นแหละ
ชองส์รับโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายก่อนจะค้นหาเอกสารที่เขาพอมีตอนนี้เขามาพักร้อนไม่ได้อยู่ที่ฝรั่งเศสทำอะไรมากมายไม่ได้อยู่แล้ว
ใครจะบ้าพกเอกสารสำคัญสัญญาต่างๆมาด้วยในขณะที่ลาพักร้อนข้ามซีกโลกแบบนี้มีทางเดียวคือต้องกลับไปเคลียร์ให้เสร็จโดยเร็วที่สุดเพราะใกล้ถึงเวลายื่นภาษีครั้งสุดท้ายแล้ว
ให้ตายเถอะ!
เมื่อวางสายจากต้นสังกัดเสร็จเขาก็กดโทรหาเดนิมแต่อีกฝ่ายไม่รับเขาก็ไม่ได้โทรซ้ำเพียงส่งข้อความไปบอกว่าหากอยากได้คลิปเมื่อไหร่ก็บอกมาเดี๋ยวเขาจะส่งให้ตอนนี้โทรศัพท์เครื่องนี้อันตรายมากเกินไปคล้ายพกความลับเคลื่อนที่ว่าแล้วก็อัพคลิปต่างๆลงคลาวนด์แล้วกดลบคลิปทั้งหมดในโทรศัพท์มือถือทิ้งไปอย่างไม่ลังเล
ดีที่นี่เป็นประเทศที่ไม่มีใครรู้จักเขามากนักหากโทรศัพท์เขาตกไปอยู่ในมือปาปารัซซี่ชาวปารีเซียงที่ตามติดชีวิตและแฉชีวิตเขาเหมือนเห็บหมาคงลำบากมากกว่านี้แน่
เฮ้อ! และเขาก็หวังว่าเดนิมจะรักษาสัญญาไม่เข้าไปในห้องให้ไอ้โง่นั่นเชือดถึงที่ความจริงน่าจะจับส่งโรงพยาบาลดีกว่าเพราะดูท่าแม่สาวคนนั้นก็คงจะมอมยาปลุกเซ็กซ์อะไรทำนองนั้นอะแหละไม่รู้ว่าเหตุการณ์ทางฝั่งเดนิมเป็นยังไงต่อตอนนี้เขาเหนื่อยแทบจะลุกไม่ขึ้นว่าแล้วก็นอนต่อเพื่อไปล่าราตรีส่งท้ายก่อนกลับฝรั่งเศสมาถึงไทยยังไม่ได้คนไทยสักคนจะเป็นไปได้ยังไง!
ภายในห้องตรวจเดนิมอายหมอและพยาบาลจนไม่รู้จะอายยังไงเพราะว่าต้องขึ้นขาหยั่งเพื่อตรวจดูช่องทางหลังที่กำลังปวดแสบปวดร้อนอีกทั้งยังมีอาการอักเสบร่วมด้วยเมื่อตรวจเสร็จหมอก็ทายาและสั่งยาให้เขาคุณหมอผู้หญิงท่าทางใจดีคนหนึ่งทำให้เดนิมอยากปรึกษาเรื่องการคุมกำเนิด
“เอ่อ…คุณหมอครับผมอยากได้ยาคุมฉุกเฉิน” คุณหมอขยับแว่นสายตาก่อนจะเอ่ย
“การใช้ยามีผลข้างเคียงกับร่างกายพอสมควรยิ่งในเพศชายแบบคนไข้คนไข้เคยใช้ยามาก่อนไหมคะ”
เดนิมส่ายหน้าก่อนจะตอบ “ไม่เคยครับ”
“เอาจริงๆผลข้างเคียงของตัวยาค่อนข้างเยอะเพราะเป็นการการฮอร์โมนเป็นปริมาณที่สูงมากบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนและตัวยาไม่ได้มีผลป้องกันโรคอื่นๆทางเพศสัมพันธ์ทางที่ดีเหมาะแนะนำให้อีกฝ่ายสวมถุงยางอนามัยและไม่มีวิธีการไหนที่จะสามารถคุมกำเนิดได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หากหนึ่งเดือนหลังจากนี้มีอาการผิดปกติให้มาหาหมออีกครั้งเพื่อตรวจการตั้งครรภ์นะคะ”
“ตั้งครรภ์เหรอครับ” เดนิมลูบท้องน้องของตัวเองอย่างเหม่อลอยแม้เขาจะอยากมีลูกมากขนาดไหนแต่การที่เด็กมาในเวลานี้ไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอนอีกทั้งพี่พัดจะรู้สึกว่าตัวเองถูกมัดมือชกจับคลุมถุงชนแน่ๆพี่พัดไม่เคยคิดอะไรกับเขาหากเด็กมาในเวลานี้คงไม่เหมาะพานจะทำให้เรื่องราวย่ำแย่ไปมากกว่านี้
คุณหมอหยิบแฟ้มมาเปิดอธิบายให้อย่างใจดี “ไม่ต้องวิตกกังวลไปค่ะหนึ่งกล่องมีสองเม็ดเม็ดแรกทานให้เร็วที่สุดหลังจากมีเพศสัมพันธ์แบบที่ไม่ป้องกันไม่ควรเกิน 72 ชั่วโมงและเม็ดที่สองหลังจากเม็ดที่หนึ่งภายใน 12 ชั่วโมง”
“แล้วสามารถทานทีเดียวพร้อมกันได้ไหมครับ”
“สามารถทานพร้อมกันได้ค่ะแต่บางรายอาจเกิดผลข้างเคียงอย่างคลื่นไส้อาเจียนแบ่งทานสองครั้งจะดีกว่าค่ะ”
“ครับ” เดนิมพยักหน้าก่อนจะเอ่ยลาเพื่อไปรับยาต่อไป
ระหว่างทางกลับบ้านพวกเขาสองพี่น้องแทบไม่มีบทสนทนาระหว่างกันภายในใจของเดนิมรู้สึกวิตกกังวลไหนจะพ่อแม่ของเขาคุณน้ามาลินีแม่ของพี่พัดรวมไปถึงความรู้สึกของพี่พัดเองเดนิมยอมรับว่าความคิดของตัวเองในตอนนั้นช่างโง่เขลาและตื้นเขินเขาเพียงคิดว่ามันคงจะเป็นเหมือนในละครที่พี่พัดอยากจะรับผิดชอบเขาในสิ่งที่ทำลงไประหว่างทางอาจมีบทพิสูจน์ความรักวันเวลาอาจจะทำให้พี่พัดเปิดใจให้เขาได้บ้างและสุดท้ายปลายทางของตอนจบคือการได้ใช้ชีวิตคู่อย่างฉันสามีภรรยาไปจนแก่เฒ่า
พอเขาลืมตาตื่นขึ้นมา วิมานที่ได้สร้างไว้กลางอากาศมันคือเรื่องเพ้อฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง ยิ่งเมื่อได้เห็นสีหน้าย่ำแย่ของพี่ชายทั้งสองที่จ้องมองหา เดนิมตระหนักได้ทันทีว่าเรื่องราวระหว่างเขากับพี่พัดไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น ป่านนี้ไม่รู้ว่าพี่พัดตื่นหรือยัง ประจวบเหมาะกับที่ชองส์ส่งข้อความมาให้เขาพอดี
“หากอยากได้คลิปเมื่อไหร่ก็บอกมาไอจะส่งให้เลิฟยูเบบี๋”
“ถ้ายูว่างส่งมาตอนนี้เลยก็ได้” เดนิมตอบกลับระยะทางเมื่อใกล้ถึงคฤหาสน์ศศิภักดีทำเอาเดนิมเริ่มอยู่ไม่สุขความวิตกกังวลเริ่มมากขึ้นจนต้องบีบมือเย็นเฉียบเข้าด้วยกันเดนีนที่กำลังขับรถกลับบ้านอดที่ส่งมือไปลูบหัวปลอบใจน้องชายที่ดูยังไงก็เหมือนเด็กน้อยอยู่วันยังค่ำไม่ได้เหมือนกับคำที่ว่าพ่อแม่มักจะมองว่าเราเป็นเด็กอยู่เสมอซึ่งนั่นก็จริงเดนิมยังคงเป็นน้องน้อยของเขาเหมือนอย่างวันวาน
แม้จะรู้ว่าเดนิมไม่ได้มีนิสัยเจ้าเล่ห์และร้ายกาจจนถึงขั้นวางยาใครแต่ตอนนี้เขาเองก็พูดอะไรมากไม่ได้ต้องว่าไปตามหลักฐานเบื้องหน้าเพราะยังไงเดนิมก็เป็นฝ่ายเสียหายส่วนพิพัฒน์เองก็อาจจะเป็นผู้ถูกกระทำอีกทั้งเขาในตอนนี้ไม่ใช่ผู้ตัดสินหลักยังไงต้องให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองคนหากฝ่ายเขาผิดจริงก็ต้องยอมรับผิดเดนีนก็มีเครียดไม่ต่างกันส่วนเขาทำได้เพียงปลอบโยนเดนิมอีกอย่างเดนิมต้องเติบโตและรู้จักรับผิดชอบในการตัดสินใจของตัวเอง
เมื่อกลับมาถึงบ้านประมุขรุ่นสามของศศิภักดีนั่งนิ่งเงียบขรึมอยู่ที่โซฟาส่วนแม่ของเขาลลดาสีหน้าและแววตามีแต่ความกังวลเดนิมสูดหายใจเข้าปอดก่อนจะเดินไปไหว้ทักทายพ่อกับแม่
เดรโกจ้องมองลูกชายคนเล็กใช้สายตาสำรวจขึ้นลงก่อนจะถอนหายใจเมื่อเห็นใบหน้าที่ขาวซีดเหมือนกระดาษริมฝีปากแตกแม้จะสวมเสื้อแขนยาวรูดซิปปิดถึงคอพ่ออย่างเขาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนมีเหรอจะไม่รู้ว่าภายใต้อาภรณ์นั้นกำลังปกปิดร่องรอยอะไรเอาไว้ท่าทางเดินที่กระย่องกระแย่งจะด่าก็เหมือนมีก้อนอะไรสักก้อนจุกอยู่ที่คอ “พ่อครับแม่ครับ” เดนิมเอ่ยได้เท่านั้นก็ร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลเหมือนเขื่อนแตกเดรโกรคิดว่าไม่รู้คิดผิดคิดถูกที่ให้เดนิมไปเรียนต่อที่ต่างบ้านต่างเมืองคนเดียวไม่รู้ว่าได้ความใจกล้าบ้าบิ่นนี้มาจากใครตอนสายของวันขณะที่กำลังจิบชาพักผ่อนอยู่ตรงสวนหลังบ้านไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้รับสายจากลูกชายคนโตที่โทรมาบอกกล่าวเรื่องของเดนิมกับพิพัฒน์เขาเกือบหัวใจวายตาย! ส่วนลลดาหน้าซีดเผือดเกือบเป็นลมล้มพับไป
“มีอะไรจะบอกพ่อกับแม่ไหมลูกมีอะไรก็พูดตามความจริงพ่อกับแม่และพี่ๆของลูกจะได้ช่วยกันแก้ไข” เดนิมที่น้ำตาไหลพยักหน้าก่อนจะเช็ดน้ำตาค่อยๆเล่าเรื่องราวเมื่อคืนให้ทุกคนได้ฟังอีกครั้ง
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปเดนิมไม่ได้ออกไปไหนเลยส่วนพิพัฒน์ก็หอบหลักฐานแสดงความบริสุทธิ์ของตัวเองมายังบ้านศศิภักดีด้วยความรู้สึกหลากหลายหนึ่งในนั้นคือความชิงชังและความไม่ยินยอมเขาเตรียมตัวมาอย่างดีหากเขายอมรับในการกระทำที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากความต้องการของตัวเองยังไงเขาก็คงตกกระไดพลอยโจนรับผิดชอบเดนิมอยู่กินกันอย่างฉันสามีภรรยาแบบนั้นตัวเขาเองคงตายทั้งเป็นศศิภักดีนั่งพร้อมเพรียงรออยู่ที่ห้องรับแขกยกเว้นเดนิมก็ดีเหมือนกันเพราะว่าตอนนี้เขาทนจะมองหน้าเดนิมโดยปราศจากอคติที่เอ่อล้นออกมาไม่ได้อีกต่อไป
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีจ้ะ” เป็นคุณป้าลลดาที่ตอบรับการเคารพของเขา
“เข้าเรื่องเลยละกัน” เดรโกประมุขของบ้านเอ่ยเสียงเรียบต่างฝ่ายต่างงัดหลักฐานออกมาเปิดเผยให้กับอีกฝ่ายเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองแต่สุดท้ายต่างฝ่ายก็คลุมเครือโดยเฉพาะภาพวิดีโอตอนที่นิชาแบกพิพัฒน์อย่างทุกลักทุเลออกจากคลับคลิปที่เดนิมขับตามรถนิชาไปยังเลิฟโฮเต็ล หรือจะเป็นคลิปที่ผู้ชายชาวต่างชาติคนหนึ่งกระซิบกระซาบกับพนักงานของร้านก่อนจะยัดเงินใส่มือยังไงก็มีพิรุธและพิพัฒน์ก็ไม่รู้ว่าตัวเองโดนยาตอนไหนและเมื่อไหร่หากเขาโดนมอมจริงนิชาน่าจะโดนด้วยหรือไม่ก็นิชาเองก็เป็นฝ่ายมอมยาเขาไหนจะภาพของเดนิมกับผู้ชายคนนั้นที่พยุงเขาเข้าคอนโดของตัวเองอย่างทุลักทุเลมันฟ้องทุกอย่าง
ต่างฝ่ายต่างเงียบไม่รู้จะเริ่มพิพากษาหาความยุติธรรมยังไงดีระหว่างคนทั้งสอง คนหนึ่งก็ลูกรัก อีกคนพวกเขาต่างก็เอ็นดูเหมือนเป็นลูกหลานอีกคน พิพัฒน์ไม่ใช่คนนอกสำหรับศศิภักดี เป็นเพื่อนสนิทกับพวกแฝดแทบจะโตมาด้วยกัน ในตอนนี้ก็เป็นพาร์ทเนอร์ทำธุรกิจร่วมกัน การแตกหักย่อมไม่ใช่เรื่องดี
ไหนจะคำให้การของบริกรตรงเคาน์เตอร์และบริกรที่พูดคุยกับพวกของเดนิมต่างให้การปฏิเสธเรื่องการวางยาเจ้าของร้านเองก็เป็นผู้มีอิทธิพลในท้องที่แค่ให้ภาพวิดีโอภายในร้านก็ถือว่าให้ความร่วมมือมากแล้ว
พิพัฒน์นั่งนิ่งหลังตรงบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังเคร่งเครียดเป็นอย่างมากพิพัฒน์เองไม่อยากให้แม่ของเขาที่เป็นหม้ายอยู่ตัวคนเดียวต้องมาวุ่นวายและวิตกกังวลกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ตั้งแต่พ่อของเขาเสียไปแม่ก็อยู่บ้านคนเดียวเขาไม่อยากให้เรื่องนี้สร้างความหนักใจให้กับบุพการีที่เหลือเพียงคนเดียวของเขาอีก
“แต่ยังไงเดนิมก็เป็นฝ่ายเสียหาย” เดรโกประมุขของบ้านเอ่ยเสียงเรียบแต่ก็มีความกดดันและคาดคั้นจนคนฟังแทบหายใจไม่ออกพิพัฒน์เตรียมใจมาแล้วว่ายังไงเขาต้องได้ยินประโยคนี้เดนิมเสียหายก็จริง…แต่เขาก็เป็นผู้เสียหายด้วยเช่นกัน
“พัดมีความคิดเห็นว่ายังไง” ลลดาหันมาถามความคิดเห็นของชายหนุ่มหล่อนมองเห็นความวิตกกังวลและความเครียดในใบหน้าคมคร้ามนั้นสีหน้าอิดโรยของเจ้าตัวรวมไปถึงหลักฐานต่างๆที่อีกฝ่ายหามาก็แสดงความบริสุทธิ์ใจได้เป็นอย่างดี
“คือผมผมบอกตรงๆว่าผมก็ไม่ทราบว่าจะเอายังไงเหมือนกันครับ” พิพัฒน์บอกไปตามตรงจะให้เขาบอกว่าให้เลิกแล้วต่อกันงั้นเหรอ? ถ้าหากเดนิมอยากจะช่วยเขาจริงๆควรจะพาไปส่งโรงพยาบาลหรือเรียกพวกแฝดมารับมือไม่ใช่พาเขากลับคอนโดตัวเองแล้วทำตัวเป็นแม่พระทำทานถวายร่างกายให้กันแบบนี้หากเดนิมไม่มีความรู้สึกให้เขาเขาก็คงไม่มองอีกฝ่ายในแง่ลบแบบนี้
“ลุงรู้ว่าพัดไม่ได้มีความรู้สึกเกินเลยกับเดนิมแต่ว่ายังไงก็คงจะให้แล้วต่อกันไม่ได้พัดก็รู้ว่าเดนิมพิเศษพัดจะว่าไงถ้าลุงจะให้เราสองคนแต่งงานกันอีกทั้งไม่รู้ว่าระหว่างนี้จะมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นไหมหวังว่าพัดเองจะเห็นใจคนเป็นพ่ออย่างลุงหากระยะเวลาหนึ่งปีเราสองคนเข้ากันไม่ได้ลุงก็จะไม่ฝืนอีกเพราะการจะใช้ชีวิตคู่ด้วยกันหากความรู้สึกไม่ตรงกันก็ทรมานกันเปล่าๆ”
“หนึ่งปีเลยเหรอครับ” พิพัฒน์นั่งนิ่งก่อนจะเอ่ยตอบ
“หากหนึ่งปีพวกเราสองคนไปกันไม่ได้จริงๆผมหวังว่าผู้ใหญ่จะเข้าใจและเคารพการตัดสินใจของพวกเราสองคนผมไม่อยากให้เรื่องนี้ทำให้พวกเราต้องแตกหักกัน” พิพัฒน์พูดพร้อมจ้องมองเดรโกประมุขของบ้านโดยไม่หลบสายตา
“ระหว่างนี้จะไม่มีเรื่องราวเกินเลยอะไรทำนองนั้นอีกผมสัญญา”
อย่างน้อยก็เป็นตัวเลือกที่ดีหนึ่งปีนี้ไม่มีทางที่เขาและเดนิมจะสามารถมองเห็นอนาคตร่วมกันได้แน่ๆอีกอย่างตอนนี้เดนิมก็ไม่ใช่น้องน้อยคนนั้นที่น่าเอ็นดูเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไปเดนิมคนนี้เต็มไปด้วยมากเล่ห์เพทุบายแล้วถ้าหากเขาร้ายกาจเพื่อปกป้องตัวเองก็อย่ามาหาว่าเขาใจร้ายก็แล้วกันพิพัฒน์เย้ยหยันอยู่ในใจเขาคิดมาตลอดว่ายังไงเรื่องราวก็ไม่พ้นทำนองนี้แต่งงานหนึ่งปีก็ยังดีดีกว่าต้องแต่งงานเป็นคู่ผัวตัวเมียกันไปตลอดยังดีที่คุณลุงเดรโกรเป็นผู้ใหญ่พอไม่งั้นไม่มีวิธีอื่นนอกจากจะต้องบาดหมางใจกัน
ศศิภักดีนอกจากพิพัฒน์จะให้ความเคารพแล้วยังเป็นผู้มีบุญคุณกรุยทางธุรกิจให้ครอบครัวของเขาที่กำลังระส่ำระสายคล้ายมังกรไร้หัวในตอนที่พ่อของเขาถึงแก่กรรมกะทันหันบอร์ดบริหารต่างยกฝ่ายตัวเองขึ้นมาเพื่อหวังจะฮุบกิจการดีที่ศศิภักดียื่นมือเข้ามาปกป้องผลประโยชน์ของเขากับแม่เอาไว้จนทำให้กิ่งอมรมั่งมีและมั่นคงมาจนถึงทุกวันนี้
ไหนจะพวกแฝดอีกสายตาทั้งสามที่จ้องกันไปมาโดยที่ไม่มีใครปริปากพูดอะไรออกมาเพราะรู้ดีกว่าพวกเขาต่างก็ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้นั่นก็เพื่อนสนิทนั่นก็น้องชายพิพัฒน์ไม่โกรธเคืองแฝดเลยสักนิดอีกอย่างแม้เขาจะเกลียดเดนิมก็ไม่จำเป็นจะต้องเกลียดคนอื่นๆในศศิภักดีใครดีมาดีตอบใครร้ายมาก็ร้ายตอบเป็นบุคคลไปเมื่อมาถึงบทสรุปชีวิตอีกหนึ่งปีข้างหน้าของเขาจะต้องก้าวด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งก่อนจะเอ่ยตัวขอกลับไปสะสางงานต่อ
เดนิมที่นั่งกระวนกระวายอยู่ในห้องมาตลอดแอบลงดักรอพิพัฒน์ที่ลานจอดรถ
พิพัฒน์โยนแฟ้มต่างๆไปยังเบาะหลังอย่างไม่แยแสก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองจากทางด้านหลัง
“พี่พัด”
พิพัฒน์หันไปหาพลางสะกดอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่นเอาไว้
“มีอะไร”
“คือเรื่องเมื่ออาทิตย์ก่อนนิมไม่ได้เป็นคน—”
“แล้วยังไงผลสุดท้ายผลลัพธ์มันก็ไม่ต่างกัน!!” พิพัฒน์ตอบกลับเขาแทบจะเก็บอารมณ์ที่คุกรุ่นเอาไว้ไม่อยู่อยากจะตะคอกด่าทออีกฝ่ายใจจะขาดอีกทั้งอยากจะจับตัวอีกฝ่ายมาเขย่าๆเพื่อระบายความคับแค้นที่สุมอยู่ในอกแต่ทำได้เพียงจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างกินเลือดกินเนื้อเท่านั้น
“พี่พัดนิมขอโทษจริงๆครับพี่พัดไม่ต้องรับผิดชอบอะไรนิมทั้งนั้นทำตัวเหมือนเมื่อก่อนได้ไหมครับ” เดนิมละล่ำละลักพูดเขาไม่อยากได้รับสายตาที่ดูแคลนกันอย่างนี้
“ที่พูดออกมาพูดมาจากใจจริงหรือเปล่า…เดนิม”
“…” เดนิมได้แต่ยืนอึ้งอยู่กับที่หากเขาไม่ตัดสินใจโง่ๆในคืนนั้นคงไม่ได้รับสีหน้าแววตาและท่าทางของพี่พัดแบบนี้เมื่อก่อนพี่พัดอย่างมากก็แค่หลบหน้าหลบตาเมื่อบังเอิญเจอเขาก็ยังทำตัวเหมือนเดิมทักทายพูดคุยกับเขาโดยไม่มีสีหน้าและท่าทางแบบนี้เขายืนจ้องมองรถยุโรปที่ขับออกไปด้วยความเร็วคล้ายต้องการจะหนีให้ห่างจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด
เดนิมไม่รู้เลยว่าสีหน้าและท่าทางของพี่พัดที่มีต่อเขาเมื่อวันวานได้ตายไปในค่ำคืนนั้นแล้วและมันคือราคาที่เดนิมต้องจ่ายแม้จะเฉือนเลือดเนื้อหัวใจตัวเองออกมาจนหมดก็ตาม
เดนิมอึ้งช็อกเมื่อได้ยินว่าตัวเองจะต้องแต่งงานและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับพี่พัดภายในระยะเวลาหนึ่งปีการแต่งงานถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมายมีเพียงสองครอบครัวและนายทะเบียนจากสำนักงานเขตเท่านั้นเจ้าบ่าวทั้งคู่ก็อยู่ในชุดแต่งงานที่เดนิมเป็นคนจัดเตรียมเองทุกอย่างรวมไปถึงแหวนแต่งงานทั้งสองวงดูเหมือนเป็นการวางแผนไว้ล่วงหน้าเป็นอย่างดีจะไม่ให้พิพัฒน์คิดได้ยังไงว่าเขาถูกเดนิมวางยาและมัดมือชกภาพงานแต่งงานที่คนทั้งสองนั่งพับเพียบอยู่ต่อหน้าพานเงินทองของหมั้นข้างหลังเป็นญาติผู้ใหญ่ทั้งสองและพี่แฝดในภาพเจ้าบ่าวทั้งสองคนต่างมีสีหน้าไม่สู้ดีต่างก็ราบเรียบปราศจากรอยยิ้มกันทั้งคู่เดนิมจ้องภาพงานแต่งที่เรียบง่ายของตัวเองกับพี่พัดอยู่อย่างนั้นเขานำไปอัดขยายมาใส่กรอบไว้ที่หัวเตียงก่อนจะรูดม่านสีดำปิดบังภาพถ่ายนั้นเอาไว้พร้อมถอนหายใจออกมาอย่างหมดแรงหลังจากงานแต่งพวกเขาทั้งสองจะต้องย้ายมาอยู่ด้วยกันซึ่งสัปดาห์หน้าวันที่ 1 กรกฎาจะเป็นวันแรกที่พวกเขาต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันหากระยะเวลานี้ไม่สามารถสร้างอนาคตไปด้วยกันได้ถือว่าต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระต่อกันเดนิมอ่านเอกสารสัญญาในมือยิ่งเห็นลายเซ็นที
ทุกวันเสาร์ทางบ้านเดนิมจะส่งแม่บ้านมาคอยปัดถูทำความสะอาดป้าอนงค์และป้าสายใจทำงานมานานอีกอย่างลลดาเป็นห่วงลูกชายอย่างน้อยส่งคนรู้ใจมาสอดส่องสัปดาห์ละครั้งก็ยังดี“คุณหนูคะเสื้อผ้ามีแค่นี้เองเหรอคะแล้วของคุณผู้ชายละคะ”“มีแค่นี้แหละครับของพี่พัดนิมซักหมดแล้วครับ”“ไม่ได้นะคะคุณหนูใส่ไว้ในตะกร้าเอาไว้ได้เลยเดี๋ยวป้ามาซักให้เองค่ะ”“ไม่เป็นไรครับนิมอยากทำให้พี่พัดเอง” เดนิมยิ้มตอบก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปยังห้องนั่งเล่นคนแก่อย่างอนงค์กับสายใจทำไมจะดูไม่ออกทั่วทั้งห้องไม่มีกลิ่นอายของคนอื่นอยู่เลยมีเพียงคุณหนูของเธอคนแล้วจานชามก็มีเพียงอย่างละหนึ่งตู้เสื้อผ้าโล่งขนาดนั้นแต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมา“ตู้เย็นแทบไม่เหลือของสดเลยป้าไปซื้อให้ไหมคะ”“ไม่เป็นไรครับซื้อกินเอาสะดวกกว่า”“ขาดเหลืออะไรบอกป้ามาได้เลยนะคะป้าจะได้ตระเตรียมให้”“ไม่น่าจะขาดอะไรแล้วครับขอบคุณมากครับ” เดนิมพูดตอบซีรีย์เรื่องโปรดที่กำลังโลดแล่นอยู่บนจอไม่เข้าหัวของเขาสักนิดที่เขาต้องแกล้งจดจ่ออยู่กับภาพยนตร์ตรงหน้าก็เพื่อหลีกเลี่ยงการตอบคำถามของแม่บ้านเขารู้ดีว่าทุกคนเป็นห่วงแต่เขาเองก็ยังแอบหวังอยู่ลึกๆว่าพี่พัดจะย
แม้จะตกลงอยู่ร่วมกันในทุกวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ แต่เดนิมคิดว่าไม่เจอกันดีที่สุด อย่างน้อยก็ไม่ต้องเจอกันให้เสียความรู้สึก และถือเป็นการฆ่าเวลาไปในตัว และเดนิมกลัว กลัวว่าจะไม่สามารถกลบเกลื่อนสายตา ความรักที่มันเอ่อล้นอยู่ในอก เขาไม่อยากได้สายตาสมเพชจากพี่พัดอีกเดนิมวิ่งมาหลายสิบปีเพื่อคนคนเดียวเขาได้แต่หวังว่าสักวันระยะทางที่ทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุดนั้นจะมีสักวันหนึ่งที่มีโอกาสมองเห็นเส้นชัยแต่ทว่าพี่พัดของเขาไม่เคยให้โอกาสนั้นสองขาที่ออกวิ่งมายาวนานเริ่มเหนื่อยล้าและอ่อนแรงลงไปทุกทีเดนิมกลับมาอาศัยภายในคอนโดของตัวเองอีกครั้งเขาเร่งปิดต้นฉบับเพื่อให้ทันเดดไลน์ที่ตัวเองกำหนดขึ้นโฟกัสกับตัวอักษรเบื้องหน้าตัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายออกไปกลั่นกรองเรียงร้อยรสรักออกมาเป็นหนังสือนิยายรักเรื่องเศร้าเรื่องหนึ่งว่ากันว่า ‘เรามักจะซ่อนคนคนนึงไว้ในบทเพลง’ นักเขียนอย่างเดนิมก็เช่นกันเขาซ่อนความรักที่มีต่ออีกฝ่ายมาอย่างยาวนานหลายสิบปีผ่านนิยายหลายสิบเล่มจนได้ขึ้นชื่อว่านักเขียนเรื่องเศร้าหากคุณมีความสุขในชีวิตมากเกินไปก็ไปหาหนังสือของ FALLIN มาอ่านหากคุณอยากจะล้างลูกตาชื่อนี้ไม่ทำให้คุณผิดหวังโดย
แม้ไม่อยากทำให้พี่พัดอึดอัด เดนิมมักจะปลีกตัวและไม่เข้าหาอีกฝ่ายโดยไม่จำเป็น ยิ่งในบริษัทเขาทำเหมือนเป็นพนักงานคนหนึ่งที่ไม่ได้มีสัมพันธ์เกินเลยกับเจ้านาย เดนิมวางตัวดีและพยายามหักห้ามความรู้สึกของตัวเองอยู่เสมอ แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายมักจะมีข้ออ้างให้เขาต้องติดสอยห้อยท้ายออกไปพบปะพูดคุยกับคู่ค้าอยู่เสมอเช่นกัน และแล้วเดนิมก็หาสาเหตุเจอว่าพี่พัดจะเก็บเขาไว้ข้างตัวทำไม ในที่สุดวันนี้ก็ได้รู้ ตลอดเวลาที่เขาตามพี่พัดไปทำงาน แม้จะโดยสารไปด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้กลับพร้อมกัน เดนิมชินกับความเป็นอยู่และการถูกปฏิบัติแบบนี้เสียแล้ว ไม่คาดหวัง…ไม่ผิดหวัง ตลอดระยะเวลาหลายสัปดาห์อีกฝ่ายมักจะพาเขาไปเรียนรู้งาน พบปะสังสรรค์ลูกค้าในฐานะเด็กฝึกงาน แต่ว่าไม่มีครั้งไหนน่าอึดอัดเท่าครั้งนี้มาก่อน ทั้ง ๆ ที่เป็นร้านอาหารสุดหรู บรรยากาศดี แต่ทว่าผู้ร่วมโต๊ะอีกคนกลับทำให้เดนิมรู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นที่สุด…ผู้หญิงที่มอมยาพี่พัดในวันนั้นก็คือคุณนิชา ซึ่งเป็นคู่ค้าของพี่พัดมายาวนานเดนิมนั่งกึ่งกลางระหว่างโต๊ะจะว่าไปหากตัดเรื่องเลวร้ายที่นิชาทำลงไปก็ดูจะเหมาะสมกับพี่พัดมากกว่าเขาทุกตรงทั้งคู่ทักทายกันอย่างคุ้นเคยเป็นก
แม้จะไม่อยากออกมาฝึกงานแต่เมื่อรับปากไว้แล้วก็ต้องทำให้เสร็จสามเดือนก็สามเดือนแค่ไม่กี่สัปดาห์ยังกินพลังงานชีวิตไปซะขนาดนี้ระหว่างเดนิมกับพิพัฒน์ก็ยังมีบรรยากาศกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อยแม้จะอาศัยอยู่ด้วยกันแต่ไม่ได้พูดคุยกันสักประโยคอีกทั้งเดนิมก็เลือกที่จะขับรถไปเองเมื่อก่อนรู้ทั้งรู้ว่าจะต้องโดนกลั่นแกล้งแต่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจแต่หลังจากที่มีปากเสียงกันครานั้นเดนิมก็ไม่อยากจะเป็นฝ่ายถูกกลั่นแกล้งอีกไม่ว่าจะให้เขาหิ้วท้องรอจนดึกดื่นหากวันไหนเขางีบหลับอีกฝ่ายก็จะกลับไปก่อนโดยที่ไม่เอ่ยปากจะเรียกกันอีกทั้งพี่พัดมักจะมีอิริยาบถที่ผ่อนคลายเมื่อไม่ได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังโดยเฉพาะการรับประทานอาหารร่วมกัน…ยิ่งคาดหวังมากเท่าไหร่มันก็จะยิ่งกัดกินความสุขในชีวิตเราไปมากเท่านั้นไม่มีใครไม่อยากสมหวังแต่ทว่ามันไม่เหลืออะไรให้หวังเลยต่างหากอาหารกลางวันคุณน้ามาลินีก็ห่อมาให้พี่พัดเหมือนเดิมเดนิมก็โทรหาสอบถามอยู่บ่อยๆไม่ใช่เพื่อทำคะแนนต่อให้คุณน้ามาลินีจะชมชอบเขามากแค่ไหนแต่เจ้าตัวไม่มีใจมันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดีเดนิมไม่อยากให้เรื่องระหว่างเขากับพี่พัดผิดใจกับผู้ใหญ่และเขาโชคดีที่น้ามาลินีไม่ได้รังเกียจกั
ทางด้านเดนิมโชคดีที่กาแฟวางพักไว้สักครู่บนเคาน์เตอร์แผลจึงไม่ได้ร้ายแรงเป็นแผลไหม้ระดับสองมีตุ่มพองใสแต่ก็ปวดแสบมากเพราะเส้นประสาทบริเวณผิวหนังยังเหลืออยู่ไม่ได้ถูกทำลายไปมากนักการหายของแผลใช้เวลาประมาณสองถึงสามสัปดาห์คุณหมอจึงให้ครีมทายาภายนอกรวมไปถึงการปิดแผลด้วยผ้าก๊อซอีกทั้งยังกำชับไม่ให้โดนน้ำรวมไปถึงที่ต้นขาด้านขวาด้วยเดนิมทำแผลเสร็จพี่แฝดก็โทรมาตอนอยู่ในรถพอดีเขากดรับสายก่อนจะทำน้ำเสียงปกติ “ว่าไงครับ”“วันนี้ว่างหรือเปล่าเราพี่สองคนจะไปรับไปทานข้าว”“วันนี้คงไม่ได้ครับ”“เดี๋ยวพี่โทรไปหาไอ้พัดให้”“อย่าดีกว่าครับเดี๋ยวพี่พัดจะว่าเอาตอนนี้ผมเป็นแค่พนักงานฝึกงานนะครับพี่แฝดอย่าลืม” เดนิมพยายามทำน้ำเสียงให้สดใส “อีกอย่างมีนักศึกษาฝึกงานคนอื่นมาฝึกด้วย”“แล้วเราจะว่างเมื่อไหร่” เดนีนแทรกขึ้นมา“เดี๋ยวถ้าว่างจะโทรไปนัดพี่ๆอีกทีนะครับไม่ต้องกลัวว่าพวกพี่แฝดจะไม่ได้จ่ายรับรองวันนั้นต้องจ่ายให้น้องทั้งวันนะครับ” แฝดต่างหัวเราะ “หาเวลามาให้ได้เถอะน้องคนเดียวจะเท่าไหร่เชียวแพงแค่ไหนก็เลี้ยงได้” ทั้งสามคนหัวเราะก่อนจะกดวางสายเดนิมถอนหายใจก่อนจะสตาร์ทรถกลับบ้านโดยไม่ได้ดูสายที่ไม่ได้รับก
ทางด้านปานัสเมื่อโดนดุไปซึ่งๆหน้าก็ดูจะนอบน้อมขึ้นแต่ก็ยังพยายามจะหักหน้าและปาดหน้าทำงานแทนเดนิมเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมือเจ็บ“นิมช่วยดูตรงนี้หน่อยนะ” สิริเอ่ยพร้อมยื่นแฟ้มให้เดนิมยังไม่ทันยื่นมือออกไปรับปานัสกลับยื่นมือมารับแทน“ให้นัสทำนะครับพี่สิริ” สิริเองก็มองหน้าเดนิมเมื่อเห็นเจ้าตัวพยักหน้าน้อยๆก็ยื่นแฟ้มใส่มือปานัสแทนพร้อมกำชับ“ฝากด้วยนะจ๊ะงานนี้ต้องเสร็จวันนี้ถ้าไม่เสร็จจะจ่ายค่าโอทีให้”ปานัสอ้าปากค้างกลืนน้ำลายลงคอพร้อมรีบเปิดเอกสารในแฟ้มอ่านรายละเอียดคร่าวๆพร้อมอุทานในใจ “ตายห่าไม่น่าเลยกูวันนี้จะเสร็จไหมเนี่ย” พร้อมรีบกุลีกุจอกลับไปนั่งทำที่โต๊ะตัวเองโซนหน้าห้องผู้บริหารแทบไม่มีเสียงพูดคุยตลอดช่วงบ่ายพี่สิริหันมายิ้มเป็นนัยให้เดนิมเดนิมค้อมหัวให้ก่อนจะก้มหน้าอ่านเอกสารในมือจนเลิกงานปานัสขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเมื่อเวลาเลิกงานพนักงานทุกคนทยอยกลับรวมไปถึงเดนิมที่เดินมาอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงานของตัวเองเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ขอบคุณปานัสมากนะที่ช่วยทำงานนี้แทนเราเราขอตัวก่อนนะ” ปานัสแสร้งยิ้มก่อนจะกัดฟันตอบ “กลับก่อนได้เลยจ้ะ” แต่ในใจก่นด่าอีกฝ่ายสิบกว่ารอบเดนิมที่กำลังลงลิฟต์ไปย
บริษัทมีการจัดเลี้ยงฝึกงานแต่เดนิมบอกปัดเขาไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยงกับปัญหาอีกปานัสเป็นญาติของนิชาอีกทั้งก็ไม่ชอบขี้หน้าเขาเป็นทุนเดิมงานเลี้ยงครั้งนี้ไม่ไปดีที่สุดพี่พัดเองก็ไม่ได้ว่าอะไรมีแต่ปานัสที่ดีอกดีใจคุณสิริเองก็เอ่ยชมเขามากขึ้นกว่าแต่ก่อนเดนิมคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วคำชมที่มาจากความจริงใจเพียงเท่านี้ก็มีกำลังใจให้เด็กฝึกงานอย่างเขากระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้นไปอีกอีกอย่างเดนิมก็ไม่ได้จบงานด้านบริหารมาเขาทำได้ดีขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้วชีวิตหลังจากนี้จะได้เป็นอิสระเสียทีเดนิมเลิกเฝ้ารอและเลิกฝันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะทำอะไรดีๆให้พี่พัดแต่ทำไปเหมือนขว้างหินลงสู่ทะเลพี่พัดเกลียดเขาจะตาย…ไม่เห็นหน้ากันจะดีที่สุดเดนิมไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะกลับมาค้างทุกวันหยุดสุดสัปดาห์หรือไม่เขาไม่คิดโทรถามไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญและลำบากใจวันนี้วันศุกร์เขาไม่มีธุระที่ไหนเลยเข้าครัวเองทำอาหารสองสามอย่างทีละน้อยสำหรับคนคนเดียวไข่เจียวตรงหน้าฟูฟ่องส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องครัวเดนิมแกะข้าวหุงสำเร็จเวฟก่อนจะแกะใส่จานแม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้วเดนิมเลือกที่จะหันหลังแล้วทำเป็นไม่เห็นก้มลงทานอาหารตรงหน้
เดนิมตื่นมาก็บ่ายสามกว่า ๆ แล้ว เขาคิดว่าตอนนี้พี่พัดคงเก็บของกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว จึงกินนอนเล่นกับพวกแฝด เป็นการรวมตัวกันของครอบครัวที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เล่นน้ำด้วยกันเหมือนเด็กอีกครั้ง พอได้วางความรู้สึกเหล่านั้นลง เดนิมค้นพบว่าความสุขของเขาได้เพิ่มขึ้นทีละนิด แม้จะมีความรู้สึกผิดอยู่เต็มอก แต่ได้แพลนตอนจบเอาไว้แล้วเหมือนกับนิยายที่มีตอนจบไม่ว่าจะสมหวังผิดหวังท้ายสุดก็ต้องเดินทางมาถึงจุดจบไม่ว่าบทสุดท้ายจุดจบจะเป็นเช่นไรเขาเพียงต้องยอมรับมันให้ได้‘ไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง’กว่าจะรู้ว่าความรักในรูปแบบของตัวเองเป็นความรักที่ไม่สมประกอบก็ทำเอาคนอื่นวุ่นวายกันไปทั่วรักที่ดีไม่จำเป็นต้องครอบครองเป็นเจ้าของเดนิมจึงรู้จักที่จะปล่อยวางมันลงคล้ายกับหัวใจได้คลายหนามแหลมที่เกี่ยวพันรัดอยู่บาดแผลและเลือดที่ไหลรินก่อนหน้าค่อยๆสมานเข้าด้วยกันอย่างช้าๆแม้จะทิ้งร่องรอยแผลเป็นเอาไว้แต่ก็เป็นเครื่องเตือนความจำว่าเขาไม่ควรจะรักใครจนทำร้ายตัวเองแบบนั้นอีกและเขาจะต้องเป็นคนที่จัดการความรู้สึกของตนเองไม่ทำให้คนที่รักต้องรู้สึกอึดอัดกับความรู้สึกที่เขามีเดนิมเล่นน้ำจนเหนื่อยหอบอยู่กินดื่มกับแฝดจน
ทางด้านพิพัฒน์เองเขาจดจ้องใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มมีชีวิตชีวาของเดนิมโดยไม่ละสายตาไปสักเสี้ยววินาที มันไม่ใช่รอยยิ้มแกน ๆ ที่คอยส่งมาให้เขา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มไปถึงดวงตา เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ พิพัฒน์สังเกตเห็นว่าเดนิมทำเหมือนว่าเขาเป็นยักษ์เป็นมารเวลาที่เข้าใกล้ และมักจะก้าวเท้าถอยหลังเสมอ คล้ายว่าเป็นการขีดเส้นระหว่างกัน ไม่มีใครควรล้ำเส้นกันไปมากกว่านี้ แถมยังเป็นฝ่ายหลบสายตา เหมือนว่าการมีอยู่ของตัวเองทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกแย่เดนิมในอุดมคติของเขากับเดนิมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนเป็นคนละคนตอนแรกที่เกิดเรื่องเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยากจะเข้าไปซัดหน้าหวานๆที่เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักเปรี้ยงพิพัฒน์คิดว่าเดนิมร้ายกาจไม่งั้นเขาไม่ต้องมาตกกระไดพลอยโจนอยู่อย่างนี้และการแต่งงานครั้งนี้จะทำให้เจ้าตัวสมหวังอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้แต่พอมาได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันยิ่งได้ใกล้ชิดยิ่งได้รู้จักเหมือนว่าช่วงที่ห่างหายขาดการติดต่อกันไปเดนิมในวันวานยังคงเหมือนเดิมไม่ได้ร้ายกาจหรือมีเล่ห์เหลี่ยมแต่อย่างใดกลับเงียบขรึมเก็บงำความรู้สึกได้เก่งขึ้นและมักจะหลบเลี่ยงปัญหามากกว่าเผชิญหน้าอีกทั้งรอยยิ้มที่ประดับ
ช่วงเช้าพายุฝนสงบท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนว่าไม่เคยเกิดพายุฝนคะนองมาก่อนเดนิมตื่นเช้าเหมือนเช่นเคยอาหารเช้ามาส่งแล้วอีกอย่างเขาเองก็ไม่ชอบแบบที่ลอยอยู่กลางน้ำเพราะนึกถึงเวลาเศษอาหารตกลงในสระมันทำความสะอาดค่อนข้างยากเขาจึงบอกให้บริกรวางไว้ที่ขอบสระเดนิมรออาหารย่อยสักพักก็ลงไปว่ายน้ำเขาสวมกางเกงว่ายน้ำเพียงตัวเดียวอีกอย่างก็เป็นสระส่วนตัวน้ำเย็นๆบรรยากาศยามเช้าที่แจ่มใสรวมไปถึงทัศนียภาพของทิวทัศน์ตรงหน้าทำให้เขาไม่อยากกลับเลยจริงๆที่ว่ากันว่านั่งโง่ๆอยู่ริมทะเลนั้นไม่เกินจริงเดนิมหันหลังเท้าคางมองทิวทัศน์ข้างหน้าน้ำทะเลสีฟ้าครามตัดกับเส้นขอบกับพระอาทิตย์อย่างลงตัวเห็นพี่แฝดบอกว่าในทะเลมีพวกปลากระเบนว่ายมาทักทายบริเวณบังกะโลกลางน้ำแห่งนี้ด้วย เดนิมจ้องมองผืนน้ำทะเลอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาอยู่คู่หนึ่งจดจ้องการกระทำของเขาตลอดตั้งแต่แหวกว่ายอยู่ในสระเดนิมหันหลังให้ทิวทัศน์ก่อนจะคว้าเอาห่วงยางที่นอนลอยน้ำเขาขึ้นไปนอนบนนั้นแล้วยิ้มแฉ่งให้กับพระอาทิตย์สองมือวักน้ำจนทำให้ห่วงยางนั้นลอยไปลอยมา“เล่นเหมือนเด็กๆไปได้” ไม่รู้เมื่อไหร่ที่พิพัฒน์เอาแต่จดจ้องร่างบางที่สวมเพียงแค่กางเกงว่ายน้ำตัว
เดนิมแตะบัตรค่อยๆเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายทำอะไรอยู่เดนิมเปลี่ยนเป็นรองเท้าสลิปเปอร์ก่อนจะเห็นว่ากระเป๋าของตัวเองยังวางอยู่ที่หน้าประตูเหลือเพียงกระเป๋าใบเดียวพี่พัดคงกลับเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วเดนิมกำที่จับกระเป๋าล้อเลื่อนของตัวเองแน่นก่อนจะตัดสินใจที่จะไปนอนกับพี่แฝดเขาไม่อยากให้การมาทำงานครั้งนี้ของพี่พัดมีปัญหาหรือรู้สึกอึดอัดเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินออกมาจากประตูเสียงเอ่ยราบเรียบก็ทักขึ้นมา“เข้ามาแล้วจะออกไปไหนอีก” น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์แต่เดนิมรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจอยู่เนืองๆเขาไม่ได้ตอบแต่ค่อยๆเดินผ่านโถงทางเดินเข้าไปก่อนจะเจอกับโซนห้องนั่งเล่นตรงกลางโซฟาหันหน้าเข้าหาทะเลภาพวิวเบื้องหน้ามีสระน้ำขนาดกลางส่วนตัวให้แขกได้พักผ่อนมีตาข่ายให้ได้นอนอาบแดดนับได้ว่าเป็นห้องพักที่เยี่ยมยอดที่สุดของ The Grand DAE เลยก็ว่าได้พิพัฒน์นั่งจิบบรั่นดีสีอำพันในมือสายตาทอดมองไปยังวิวตรงหน้าน้อยครั้งนักที่เดนิมจะเห็นว่าอีกฝ่ายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่จะเป็นชาร้อนหากต้องอ่านรายงานค่อนคืน“คือ…นิมจะไปนอนกับพี่แฝด”“ใช่แ
เดนิมเดินทอดน่องไปตามชายหาด ท้องเริ่มปวดบิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงนั่งตรงเปลที่ชายหาดผูกไว้ นั่งสักพักเลยล้มตัวนอน มือก็ได้แต่กดท้องตัวเองเอาไว้ เดนิมเป็นโรคกระเพาะทานอาหารไม่ตรงเวลาก็จะปวดจนทรมาน อีกอย่างยาลดกรดก็อยู่ในกระเป๋า ตอนนี้เขาเหนื่อยทั้งกายและใจเลยอยากจะนั่งพักสักครู่ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี พี่พัดตักอาหารให้เขา แต่เป็นสิ่งที่ฆ่าเขาให้ตายได้ อีกทั้งตอนสมัยที่เดนิมยังเด็ก หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เดนิมประทับใจในตัวพี่พัดของเขาก็คือพี่พัดจะเป็นฝ่ายคอยระวังเรื่องอาหารการกินของเขาทุกครั้งที่ต้องออกไปทานอาหารข้างนอกกันรวมถึงแฝด แฝดมักจะเผอเรอไม่ถามไถ่หรือมักจะสั่งกุ้งมากิน แต่เป็นพี่พัดเองที่คอยเอาใจใส่ และหาร้านที่ไม่มีส่วนผสมของกุ้งเพื่อเดนิมวันเวลาผ่านพ้นไปคนเราหากเป็นเรื่องสำคัญมักจะไม่ลืม…เดนิมยิ้มเยาะให้ตัวเองก่อนจะนอนอยู่อย่างนั้นแขนซ้ายปิดทับดวงตาปิดบังความน้อยเนื้อต่ำใจและการเดินหนีหรือหลีกเลี่ยงเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นเดนิมจึงนิยามความรักของตัวเองว่าเป็นรักที่ไม่ประกอบวิ่งมายาวนานเพื่อคนคนเดียวมานับสิบปีเขาแพ้กุ้งแต่พี่พ
เดนิมไม่ออกจากห้องของตัวเองแม้ว่าป้าแม่บ้านที่แม่ของเขาส่งมาทำความสะอาดให้ทุกวันอาทิตย์ก็ตามภายในห้องมีตู้เย็นขนาดเล็กขนมขบเคี้ยวรวมไปถึงกาน้ำร้อนขนาดพกพาอีกทั้งเพราะการเขียนนิยายออกมาสักเรื่องหนึ่งมันใช้เวลาและในตอนที่อารมณ์พาไปหรือจินตนาการพรั่งพรูเดนิมไม่อยากจะลุกออกไปทำอะไรนิ้วเรียวยาวเคาะแป้นพิมพ์อยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียงของแป้นพิมพ์ทำให้เขาลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าสมาธิจดจ่ออยู่กับหน้าจอและตัวหนังสือตรงหน้าและเขาใช้มันเพื่อระบายของเสียภายในจิตใจเขาระบายมันออกมาเป็นตัวหนังสือตัวละครบางตัวก็คือตัวเองที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาขัดเกลาตัวละครผ่านเหตุการณ์สมมุติต่างๆมากมายมานับไม่ถ้วนหาทางออกให้ตัวละครเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายแต่น่าเสียดายตัวเองกลับหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอเขาติดอยู่ในวังวนความเจ็บปวดของความรักมายาวนานนับสิบปีรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีใจแต่ก็ยังจะเฝ้ารออดทนกับสายตาที่หยามเหยียดอดทนต่อถ้อยคำที่บาดลึกถึงกระดูกคล้ายกับคนไม่รู้สึกรู้สา สุดท้ายกลับฝังตัวเองทั้งเป็นด้วยการทอดกายให้อีกฝ่ายได้เชยชม ในฐานะนักเขียนหากตัวละครตัวนี้จะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่แ
บริษัทมีการจัดเลี้ยงฝึกงานแต่เดนิมบอกปัดเขาไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยงกับปัญหาอีกปานัสเป็นญาติของนิชาอีกทั้งก็ไม่ชอบขี้หน้าเขาเป็นทุนเดิมงานเลี้ยงครั้งนี้ไม่ไปดีที่สุดพี่พัดเองก็ไม่ได้ว่าอะไรมีแต่ปานัสที่ดีอกดีใจคุณสิริเองก็เอ่ยชมเขามากขึ้นกว่าแต่ก่อนเดนิมคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วคำชมที่มาจากความจริงใจเพียงเท่านี้ก็มีกำลังใจให้เด็กฝึกงานอย่างเขากระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้นไปอีกอีกอย่างเดนิมก็ไม่ได้จบงานด้านบริหารมาเขาทำได้ดีขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้วชีวิตหลังจากนี้จะได้เป็นอิสระเสียทีเดนิมเลิกเฝ้ารอและเลิกฝันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะทำอะไรดีๆให้พี่พัดแต่ทำไปเหมือนขว้างหินลงสู่ทะเลพี่พัดเกลียดเขาจะตาย…ไม่เห็นหน้ากันจะดีที่สุดเดนิมไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะกลับมาค้างทุกวันหยุดสุดสัปดาห์หรือไม่เขาไม่คิดโทรถามไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญและลำบากใจวันนี้วันศุกร์เขาไม่มีธุระที่ไหนเลยเข้าครัวเองทำอาหารสองสามอย่างทีละน้อยสำหรับคนคนเดียวไข่เจียวตรงหน้าฟูฟ่องส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องครัวเดนิมแกะข้าวหุงสำเร็จเวฟก่อนจะแกะใส่จานแม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้วเดนิมเลือกที่จะหันหลังแล้วทำเป็นไม่เห็นก้มลงทานอาหารตรงหน้
ทางด้านปานัสเมื่อโดนดุไปซึ่งๆหน้าก็ดูจะนอบน้อมขึ้นแต่ก็ยังพยายามจะหักหน้าและปาดหน้าทำงานแทนเดนิมเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมือเจ็บ“นิมช่วยดูตรงนี้หน่อยนะ” สิริเอ่ยพร้อมยื่นแฟ้มให้เดนิมยังไม่ทันยื่นมือออกไปรับปานัสกลับยื่นมือมารับแทน“ให้นัสทำนะครับพี่สิริ” สิริเองก็มองหน้าเดนิมเมื่อเห็นเจ้าตัวพยักหน้าน้อยๆก็ยื่นแฟ้มใส่มือปานัสแทนพร้อมกำชับ“ฝากด้วยนะจ๊ะงานนี้ต้องเสร็จวันนี้ถ้าไม่เสร็จจะจ่ายค่าโอทีให้”ปานัสอ้าปากค้างกลืนน้ำลายลงคอพร้อมรีบเปิดเอกสารในแฟ้มอ่านรายละเอียดคร่าวๆพร้อมอุทานในใจ “ตายห่าไม่น่าเลยกูวันนี้จะเสร็จไหมเนี่ย” พร้อมรีบกุลีกุจอกลับไปนั่งทำที่โต๊ะตัวเองโซนหน้าห้องผู้บริหารแทบไม่มีเสียงพูดคุยตลอดช่วงบ่ายพี่สิริหันมายิ้มเป็นนัยให้เดนิมเดนิมค้อมหัวให้ก่อนจะก้มหน้าอ่านเอกสารในมือจนเลิกงานปานัสขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเมื่อเวลาเลิกงานพนักงานทุกคนทยอยกลับรวมไปถึงเดนิมที่เดินมาอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงานของตัวเองเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ขอบคุณปานัสมากนะที่ช่วยทำงานนี้แทนเราเราขอตัวก่อนนะ” ปานัสแสร้งยิ้มก่อนจะกัดฟันตอบ “กลับก่อนได้เลยจ้ะ” แต่ในใจก่นด่าอีกฝ่ายสิบกว่ารอบเดนิมที่กำลังลงลิฟต์ไปย
ทางด้านเดนิมโชคดีที่กาแฟวางพักไว้สักครู่บนเคาน์เตอร์แผลจึงไม่ได้ร้ายแรงเป็นแผลไหม้ระดับสองมีตุ่มพองใสแต่ก็ปวดแสบมากเพราะเส้นประสาทบริเวณผิวหนังยังเหลืออยู่ไม่ได้ถูกทำลายไปมากนักการหายของแผลใช้เวลาประมาณสองถึงสามสัปดาห์คุณหมอจึงให้ครีมทายาภายนอกรวมไปถึงการปิดแผลด้วยผ้าก๊อซอีกทั้งยังกำชับไม่ให้โดนน้ำรวมไปถึงที่ต้นขาด้านขวาด้วยเดนิมทำแผลเสร็จพี่แฝดก็โทรมาตอนอยู่ในรถพอดีเขากดรับสายก่อนจะทำน้ำเสียงปกติ “ว่าไงครับ”“วันนี้ว่างหรือเปล่าเราพี่สองคนจะไปรับไปทานข้าว”“วันนี้คงไม่ได้ครับ”“เดี๋ยวพี่โทรไปหาไอ้พัดให้”“อย่าดีกว่าครับเดี๋ยวพี่พัดจะว่าเอาตอนนี้ผมเป็นแค่พนักงานฝึกงานนะครับพี่แฝดอย่าลืม” เดนิมพยายามทำน้ำเสียงให้สดใส “อีกอย่างมีนักศึกษาฝึกงานคนอื่นมาฝึกด้วย”“แล้วเราจะว่างเมื่อไหร่” เดนีนแทรกขึ้นมา“เดี๋ยวถ้าว่างจะโทรไปนัดพี่ๆอีกทีนะครับไม่ต้องกลัวว่าพวกพี่แฝดจะไม่ได้จ่ายรับรองวันนั้นต้องจ่ายให้น้องทั้งวันนะครับ” แฝดต่างหัวเราะ “หาเวลามาให้ได้เถอะน้องคนเดียวจะเท่าไหร่เชียวแพงแค่ไหนก็เลี้ยงได้” ทั้งสามคนหัวเราะก่อนจะกดวางสายเดนิมถอนหายใจก่อนจะสตาร์ทรถกลับบ้านโดยไม่ได้ดูสายที่ไม่ได้รับก