แชร์

บทที่ 1 รักแรก

ผู้แต่ง: DILEMMA 28
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-11-22 16:09:09

ย้อนไปเมื่อหลายสิบปีที่แล้วครอบครัวของเดนิมและพิพัฒน์รู้จักกันและสนิทกันในแวดวงธุรกิจตามประสาสังคมนักธุรกิจด้วยกัน พิพัฒน์อายุมากกว่าเดนิมเจ็ดปี สองครอบครัวจึงไปมาหาสู่กันอยู่บ่อย ๆ ชีวิตวัยเด็กของเดนิมเติบโตมาพร้อมกับพิพัฒน์เลยก็ว่าได้ พิพัฒน์มองเดนิมเป็นน้อง แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพศชายท้องได้ (New male) พี่ชายทั้งสองของเดนิม เดนีสและเดนีนต่างก็เอาอกเอาใจ ดูแลประคบประหงมประหนึ่งไข่ในหิน ด้วยความที่อายุห่างกันมาก เดนิมเกิดมาพร้อมกับความพิเศษของร่างกาย ด้วยความเป็นน้องเล็กของบ้าน พี่ชาย พ่อแม่ต่างก็ห้อมล้อมเอาใจ เลยติดนิสัยเอาแต่ใจมาแต่ไหนแต่ไร อยากได้อะไรก็ต้องได้

“อยากให้พี่พัดป้อน” เดนิมพูดพลางออดอ้อนคนข้างๆเหมือนที่เคยทำตั้งแต่ยังเด็ก

“กินเองดีกว่าโตเป็นหนุ่มแล้วนะเรา” พิพัฒน์เริ่มอธิบายให้เด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างใจเย็นเพราะเดนิมมักจะเป็นแบบนี้เสมอตั้งแต่เด็กจนโตก็มักจะอ้อนให้เขาป้อนข้าวให้บ้างผลไม้ให้บ้างเวลาเจ้าตัวติดตามพี่ๆฝาแฝดทั้งสองมาเล่นเกมที่บ้านเขาพิพัฒน์มักจะอึดอัดเสมอเพียงแต่เขาไม่เคยพูดออกไปได้แต่เว้นระยะห่างอยู่ฝ่ายเดียว

“ก็นิมอยากให้พี่พัดป้อนนี่ครับ” พิพัฒน์ถอนหายใจก่อนจะยกเหตุผลมาอธิบายหลายข้อ

“โตเป็นหนุ่มแล้วนะเดนิมพี่ตามไปป้อนเราไม่ได้ทุกที่หรอกนะอีกอย่างพี่ก็….”

พิพัฒน์ไม่รู้จะอธิบายยังไงเขารู้สึกประดักประเดิดทุกครั้งที่เดนิมทำตัวเหมือนตอนเด็กๆไม่กี่ขวบเสมอไม่ว่าตอนเจอเขาจะกระโดดกอดบ้างล่ะออดอ้อนบ้างล่ะไหนจะสายตาเจ้าตัวที่มองเขาพิพัฒน์รู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่เดนิมเข้าใกล้และไม่รู้สนิทใจเหมือนแต่ก่อนพิพัฒน์ก็ไม่ใช่คนหลงตัวเองหรือเข้าข้างตัวเองอะไรขนาดนั้นแต่เดนิมทำให้เขารู้สึกแบบนั้นทุกครั้งแต่ครั้งนี้เขาจะไม่ยอมตามใจเจ้าตัวอีกท่าทางที่เดนิมกอดหมอนอิงพิงหัวไหล่เขาแบบนี้ก็เหมือนกัน

“ถ้านิมไม่กินเองงั้นพี่จะเรียกแม่บ้านมาเก็บไปละนะ” เดนิมหน้างอที่ได้ยินมององุ่นตรงหน้าตาละห้อย

“ก็ได้ครับ”

“พี่พัดอย่าโกรธนิมเลยนะๆ” เดนิมออดอ้อน

สองแฝดที่หันหลังกดจอยในมืออย่างเมามันไม่สนใจน้องเล็กของตัวเองเลยสักนิดว่าแทบจะนั่งเกยตักเขาอยู่แล้ว

“เฮ้ยไอ้นีสไอ้นีนจะกลับเมื่อไหร่กูมีธุระต้องออกไปข้างนอก”

“อ้าวแล้วไม่บอก” เดนีนที่ตามองจอตอบรับด้วยเสียงเนือยๆ

“เออๆจบตานี้กลับละ” เดนีสตอบกลับเดนีสเหมือนจะเป็นคนที่มีเหตุผลที่สุดในสามพี่น้องนี้แล้ว

พิพัฒน์จึงลุกจากโซฟาทำท่าจะเดินขึ้นไปบนห้องตัวเอง

“เอองั้นไม่อยู่ส่งนะ”

“พี่พัดจะไปไหนเหรอครับ” พิพัฒน์หยุดกึกเขาเผลอกลั้นลมหายใจก่อนจะปรับน้ำเสียงและสีหน้าให้ราบเรียบเหมือนเดิมก่อนจะเอ่ย

“พี่ต้องไปหาคุณพ่อน่ะ”

“อ่อครับ”

“เสียดายจังนิมมาหาพี่พัดแป๊บเดียวเองไม่ได้เจอกันเป็นอาทิตย์” เดนิมพูดพร้อมทำหน้าละห้อยหากเป็นเมื่อก่อนเขาคงเดินไปลูบหัวพูดปลอบเจ้าตัวหลายคำแต่ตอนนี้พิพัฒน์ขีดเส้นให้ตัวเองเขาจะไม่ล้ำเส้นนั้นอีกเพราะผลสุดท้ายเป็นเขาเองเป็นฝ่ายที่ลำบากใจมากที่สุด

“พอดีช่วงนี้ม.ใกล้สอบแล้วเลยไม่มีเวลาให้นิมเหมือนแต่ก่อน”

“อะไรจะติดไอ้พัดขนาดนั้นฮะตัวเล็กใครเป็นพี่ชายเรากันแน่” เดนีสหันไปเย้าแหย่คนน้องที่ทำหน้าเบ้ใส่

“เหมือนกันที่ไหน” เดนิมบ่นพึมพำในคอ

“เอาล่ะๆ” เดนีนเก็บจอยในมือเสร็จก็หันมาสงบศึกสองพี่น้องก่อนจะเอ่ยลาเจ้าบ้าน

“เออโทษทีวันหลังก็บอกแต่เนิ่นๆมึงจะได้ไม่ต้องเสียเวลาแบบนี้”

“วันหลังพี่พัดก็มาเที่ยวบ้านพวกเราบ้างสิครับ”

“…”

“ถ้าพี่ว่างพี่จะไปนะครับ”

พิพัฒน์เอ่ยตอบอย่างใจเย็นพลางก้มมองนาฬิกาบนข้อมือตัวเอง

“สายล่ะๆไม่ส่งนะ”

“เออไปเถอะ”

เมื่อสามพี่น้องขับรถออกจากบ้านไปพิพัฒน์ที่มองจากบนชั้นสองถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“เฮ้อ”

“ทะเลาะกับแฝดหรือไงลูก”

“เปล่าครับ” มาลินีเอ่ยถามลูกชายด้วยความกังวลเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจของเจ้าตัว

“ปกติเล่นเกมกันเสียงดังทำไมวันนี้เงียบแปลกๆ”

“พอดีเดนิมมาด้วยน่ะครับ”

“อ้าวหนูนิมมาเหรอไม่เรียกแม่ละลูก”

“เห็นแม่ยุ่งๆนะครับเลยไม่ได้บอก”

“วันหลังเรียกแม่นะแม่คิดถึงหนูนิมไม่ได้เจอกันนานเลย”

“เหมือนแม่จะชอบเดนิมมากเลยนะครับ” พิพัฒน์แกล้งถาม

“ก็เดนิมน่ารักมารยาทดีแถมยังพูดเก่งอีกแม่เห็นเดนิมตั้งแต่เด็กๆอดเอ็นดูไม่ได้แล้วพัดไม่ชอบน้องเหรอลูก”

“ก็…เปล่าหรอกครับผมแค่ถามไปงั้นๆเองงั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

บรรยากาศภายในรถระหว่างสามพี่น้องเงียบจนน่าอึดอัด

“ไงไม่เจอหน้าไอ้พัดก็จะเป็นจะตายพอเจอแล้วยังทำหน้าซังกะตายอีกจะเอายังไงกันแน่ตัวเล็ก” เดนีสที่เป็นพลขับกันมาถามร้องชายที่นั่งกอดตุ๊กตาหมีอยู่ด้านหลังไม่พูดไม่จาผิดกับขามาที่เจ้าตัวจ้อไม่หยุด

“หงอยเป็นหมาแบบนี้เพราะไอ้พัดไม่ตามใจเหมือนเมื่อก่อนล่ะสิ” เดนีนเอ่ยตอบตามความเป็นจริงเพราะเป็นเพื่อนสนิทกันเขาจึงมองเห็นความลำบากใจและความไม่เป็นกันเองของพิพัฒน์ที่ปฏิบัติต่อเดนิมมันมีความกระอักกระอ่วนอยู่หลายส่วน

“นี่ตัวเล็กพี่พัดโตเป็นหนุ่มหล่อแล้วไม่มานั่งโอ๋เด็กน้อยอย่างเราหรอกนะจะไปตามก้นมันต้อยๆเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วอีกหน่อยมันก็ต้องมีแฟน…แต่งงาน”

“พี่พัดมีแฟนแล้วเหรอครับ” เดนิมถามด้วยเสียงสั่นเครือกอดตุ๊กตาหมีที่พิพัฒน์ซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดครบสิบสองปีของเขาตอนนี้เดนิมเป็นเพียงเด็กม.ต้นอายุสิบห้าโลกของเขากับพิพัฒน์ต่างกันอย่างสิ้นเชิงทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิ

“อาจจะ…” เดนีสตอบพลางมองกระจกหลังฝาแฝดส่งสัญญาณให้กันก่อนเดนีนจะเอ่ย

“เอาน่าตัวเล็กของเราน่ารักน่าชังขนาดนี้ต้องเจอคนดีๆกว่านี้แน่”

“ตัวเล็กเราก็อย่าเกาะแกะไอ้พัดมากเกินไปเพราะ—”

  “เพราะผมประหลาดใช่ไหมครับ พี่พัดเลยรู้สึกลำบากใจที่จะอยู่ใกล้ หากผมปกติ ก็คง…” เดนิมน้ำตารื้น เขาเข้าใจเหตุผลที่พี่พัดตีตัวออกหาก เพราะเขามีร่างกายพิเศษสามารถตั้งครรภ์ได้ พี่พัดคงกลัวคนจะครหา และอาจจะนึกรังเกียจเขาอยู่กลาย ๆ ก็ได้ เดนิมไม่ใช่ไม่สังเกตระยะห่างนั้น แต่เขาเพียงแค่หลอกตัวเอง ออดอ้อนเพียงอยากชิดใกล้ ทั้ง ๆ ที่เห็นความกระอักกระอ่วนฉายชัดในแววตา เพียงแค่ไม่อยากยอมรับ

“ไม่เอาน่าตัวเล็กไม่ใช่อย่างนั้น” สองแฝดมองหน้ากันก่อนจะถอนหายใจไม่รู้ไอ้พัดมีดีอะไรเดนิมถึงได้คลั่งไคล้และปักใจกับเพื่อนของเขาขนาดนั้นอาจเป็นเพราะโลกของน้องชายคับแคบยังอยู่เพียงม.ต้นพอม.ปลายมหา’ ลัยอาจจะคิดได้คงล้มเลิกความคิดตอนนี้ไปเอง

แต่พวกเขาทั้งคู่คิดผิดและคิดไม่ถึงว่าเดนิมยังปักใจกับพิพัฒน์เพียงคนเดียวตลอดระยะเวลาสิบๆปี

เดนิมไม่เคยคิดเลยว่ายิ่งไขว่คว้ายิ่งไกลห่างออกไป

หลังจากที่พิพัฒน์เรียนจบมหา’ ลัยได้ไม่นานก็ไปเรียนต่อโทที่ต่างประเทศเริ่มห่างหายกับสองแฝดรวมถึงเดนิมด้วยพิพัฒน์ไปแบบกะทันหันไม่มีการจัดเลี้ยงส่งอะไรทั้งนั้นโดยเป็นความตั้งใจของเจ้าตัวหลังจากปิดเทอมม.3 ขึ้นม. 4 เดนิมก็มีเวลามาเที่ยวเล่นที่บ้านพิพัฒน์บ่อยมากขึ้นเพราะอยู่ไม่ไกลกันมากนักแต่ก็มักจะพบแต่มาลินี

“สวัสดีจ้ะเดนิมมาแต่เช้าเลยนะวันนี้”

“สวัสดีครับคุณน้า” เดนิมพนมมือไหว้มาลินีอย่างนอบน้อม

“ไม่ต้องซื้อของอะไรมาเยอะแยะหรอกน้าเกรงใจ”

มาลินีเอ่ยเมื่อเห็นขนมนมเนยสารพัดที่เด็กตรงหน้ามักถือติดไม้ติดมือมาด้วยทุกครั้ง

“ทานข้าวเช้ามาหรือยังลูก”

“ทานแล้วครับ”

“มาๆเข้ามาข้างในก่อน”

“พี่พัดละครับ” เดนิมเอ่ยถามเสียงใส

“พี่พัดไปเรียนต่อที่อังกฤษตั้งแต่เมื่อคืนแล้วจ้ะ”

“อะไรนะครับ!”

“อ้าวเดนิมไม่รู้เหรอลูกพี่เขาไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วพี่แฝดเราล่ะเห็นว่าจะไปเรียนต่อเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

“เอ่อ…พี่เดนีสจะบินอีกสองสามวันข้างหน้าส่วนพี่เดนีนบินปลายเดือนครับเรียนกันคนละที่” เดนิมตอบคำถามโดยสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเขาเพียรพยายามมาหาพี่พัดกะเวลาเช้าสายบ่ายเย็นก็เหมือนเวลาจะไม่เป็นใจคลาดกันไปมาทุกครั้งเหมือนพี่พัดจงใจหลบหน้า

“คุณน้าครับพี่พัดไปเรียนที่เมืองอะไรที่ไหนเหรอครับเผื่อจะเป็นแรงบันดาลใจให้นิมบ้าง”

  “เอ…เหมือนว่าพี่พัดจะไม่ได้เจาะจงนะ เห็นว่ายังเลือกไม่ได้ ไปปรับภาษาก่อน ก่อนจะตัดสินใจเลือกอีกที”

“อ่อครับ” เดนิมพยักหน้าทำเหมือนเข้าใจความจริงไม่ใช่ว่าพี่พัดเลือกไม่ได้หรอกแต่แค่ไม่คิดจะบอกกันก็เท่านั้น

เดนิมปั้นหน้ายิ้มก่อนจะอยู่ชวนมาลินีคุยทำนั่นนี่อยู่สักพักก็ขอตัวกลับมาลินีรู้ดีว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าตั้งใจมาหาลูกชายของเธอไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงทำให้เดนิมยึดติดกับลูกชายเธอขนาดนี้มาลินีสังเกตทุกครั้งที่เด็กทั้งสองเล่นด้วยกันเดนิมแทบจะตามติดพิพัฒน์ทุกฝีก้าวอาจจะด้วยวัยที่เริ่มมีไอดอลในดวงใจก็ได้เดนิมถึงได้ชมชอบบุตรชายของตนพอเดนิมโตมากกว่านี่สายตาคงจะเปลี่ยนไป

“งั้นผมลาแล้วนะครับแล้วจะแวะมาเยี่ยมคุณน้าบ่อยๆนะครับ” เดนิมยกมือไหว้ก่อนจะค่อยๆเดินคอตกออกไปหาคนขับรถที่จอดรออยู่ตรงประตูบ้านรออยู่แล้ว

“กลับบ้านเลยไหมครับ” ลุงชอบคนขับรถประจำตัวของเดนิมเอ่ยถามเจ้านายน้อยของตนเมื่อขึ้นรถ

“ไปห้องสมุดครับ” บางทีได้อ่านหนังสือที่ชอบสักเรื่องคงจะดีขึ้นไม่น้อยจะได้หยุดความคิดฟุ้งซ่านเสียที

ตั้งแต่ที่พิพัฒน์ไปเรียนต่ออังกฤษก็เปลี่ยนไลน์ใหม่เรียกได้ว่าสร้าง SNS แอ็กเคานต์ใหม่เลยก็ว่าได้อีกห้าวันข้างหน้าจะเป็นวันเกิดของตัวเองแล้วเดนิมเองก็จดจำวันเกิดของพิพัฒน์ได้เช่นกันแต่ว่าเขาไม่กล้าหน้าด้านขอไลน์ใหม่จากคุณน้ามาลินีเขาพอจะรู้ลิมิตและขอบเขตที่อีกฝ่ายยื่นให้พอสมควรได้แต่ฝากผ้าพันคอถุงมือหมวกไหมพรมที่ตั้งใจฝึกทำอย่างสุดความสามารถไว้ที่คุณน้ามาลินีหากส่งของให้พิพัฒน์ก็ฝากของเล็กๆน้อยๆพวกนี้ไปให้ด้วย

อีกด้านซีกหนึ่งของโลกพิพัฒน์ติดต่อกับที่บ้านเสมอได้รู้ข่าวคราวทางเมืองไทยรวมถึงใครบางคนที่เขาแทบจะละทิ้งความทรงจำทุกอย่างเอาไว้ที่เมืองไทยตั้งแต่มาที่นี่พิพัฒน์เป็นตัวของตัวเองมากขึ้นไม่ต้องคอยหลบหน้าเดนิมได้ใช้ชีวิตโดยปราศจากความระแวงเสียทียิ่งเดนิมอายุมากขึ้นความรู้สึกที่เดนิมมีต่อเขาก็ไม่เคยลดน้อยลงแต่เหมือนจะยังพออยู่ในขอบเขตที่เขาขีดเส้นเอาไว้ให้พิพัฒน์พูดได้เต็มปากทุกครั้งหากวันไหนที่แม่เขาเป็นฝ่ายติดต่อมาก่อนกลัวว่าจะมาขออนุญาตให้ช่องทางติดต่อของเขาแก่เดนิมเขาบล็อกเดนิมทุกโซเชียลออนไลน์ที่เขามีและหวังว่าการกระทำที่ชัดเจนของเขาจะทำให้เดนิมคิดได้ตลอดระยะเวลาสามปีเดนิมค่อยๆห่างจากพิพัฒน์จวบจนเดนิมจบมหา’ ลัยจึงได้หลุดวงโคจรชีวิตของพิพัฒน์อย่างสมบูรณ์

ไม่มีเด็กหนุ่มมหา’ ลัยดีๆคนไหนจะสนใจคบเด็กม.ต้นม.ปลายอย่างนั้นหรอกเหมือนผู้ใหญ่หลอกเด็กชัดๆอีกทั้งอีกฝ่ายยังไม่บรรลุนิติภาวะอาจอยู่ในภาวะที่ถูกชักจูงได้ง่ายตัดไฟตั้งแต่ต้นลมจะได้ไม่มีปัญหาในภายหลังอีกอย่างเขาไม่เคยทำท่าทีมีใจให้เดนิมเลยสักครั้งเพราะตระหนักได้ถึงความไม่เหมาะสมและข้อกฎหมายต่างๆในเมื่อพูดตรงๆไม่ได้การหนีมาอยู่อีกซีกโลกหนึ่งทำให้เขาสบายใจและยังคงเหลือสายสัมพันธ์ฉันพี่น้องให้อีกฝ่ายด้วย

เดนิมเลือกเรียนต่อปริญญาตรีที่ทวีปยุโรปเขาหลงใหลในแฟชั่นเขามุ่งมั่นที่จะมีแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเองและการทำงานก็ทำให้เขาลืมความฟุ้งซ่านที่อยู่ในหัวสมาธิจดจ่อกับแบบผ้าตรงหน้าเขาเย็บและออกแบบเสื้อผ้าหามรุ่งหามค่ำจนเรียนจบจึงลองเปิดใจให้คนอื่นก้าวเข้ามาในชีวิตบ้างนั่นก็คือชองส์ลูกครึ่งไทยฝรั่งเศส

การมีชองส์ทำให้โลกของเดนิมแต่งแต้มไปด้วยสีสันแปลกตาชองส์เป็นคนสบายๆง่ายๆคิดยังไงพูดอย่างนั้นอาจเพราะเติบโตมากับวัฒนธรรมตะวันตก

“เบเบ๋วันนี้ไปปาร์ตี้กันอีกไม่กี่วันจะกลับไทยแล้วนี่”

“เอาสิ”

ชีวิตที่เป็นตัวเองดื่มกินเต้นโดยไม่ต้องอายใครเป็นอะไรที่เดนิมไม่เคยทำมาก่อนจนมาพบชองส์

คนสองคนกอดคอเต้นรำทำเพลงเมาสนุกสุดเหวี่ยงก่อนแยกย้ายกันกลับ

ประเทศไทย

บ่ายสามโมงเดนิมกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพตั้งแต่เครื่องบินกางปีกแตะลงรันเวย์สนามบินความคิดมากมายก็ผุดเข้ามาในหัว

“ป่านนี้พี่พัดแต่งงานไปแล้วละมั้ง” เดนิมยิ้มให้กับตัวเองก่อนมองออกไปนอกหน้าต่างรถยนต์แล่นไม่เร็วไม่ช้าเป็นลุงชอบคนขับรถคนเดิมที่ทำหน้าที่ไปรับไปส่งเขาแทบทุกครั้งและเป็นคนแรกที่มักจะเห็นสีหน้าและความผิดหวังของเขาอยู่เสมอเดนิมลอบมองผมสีดอกเลาของคนตรงหน้าเวลาผ่านไปเร็วจริงๆ

“ผมซื้อของฝากมาให้ลุงชอบด้วยนะครับคิดถึงลุงชอบจังเลยสบายดีนะครับ”

“ขอบคุณมากครับผมสบายดีครับว่าแต่จะแวะไปที่ไหนอีกหรือเปล่าครับ”

“ไม่ล่ะครับกลับบ้านเลย”

เดนิมอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้เมื่อเห็นรั้วคฤหาสน์บ้านของตัวเองบ้านที่เขาไม่ได้กลับมาอีกเลยตั้งแต่บินไปเรียนต่อสภาพแวดล้อมภายนอกยังประดับด้วยสวนดอกไม้นานาพันธุ์เหมือนเดิม

“นิมกลับมาแล้วครับ!!”

“กลับมาแล้วเหรอตัวเล็กสูงขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย” เดนีนเอ่ยทักทายพร้อมสวมกอดน้องคนเล็กที่ไม่ได้เจอกันนานหลายปีจะบินไปหาก็ไม่ยอม

“ไหน…ทำไมกลับมาคนเดียวไหนล่ะเขยฝรั่งเศส” เดนีสเอ่ยทักทายบ้าง

“เขยอะไรกัน” เดนิมบอกปัดบ่นอุบพอเขาหนีบเอาหนุ่มฝรั่งเศสกลับมาจริงๆสองแฝดมีหรือจะยอม

“พ่อกับแม่ล่ะครับ”

“กลับมาตอนค่ำๆพอดีไปงานเปิดตัวบริษัทคู่ค้าน่ะ”

“อ่อ…ครับ”

“มาๆพักผ่อนให้หายเหนื่อยค่อยลงมาทานข้าววันนี้มีอาหารจานโปรดของตัวเล็กทั้งนั้น”

“ขอบคุณครับ”

หลังจากนั่งเครื่องบินมานานแถมไทม์โซนยังต่างกันหลายชั่วโมงทำให้เดนิมอ่อนเพลียผล็อยหลับไปอย่างง่ายดายเมื่ออาบน้ำทำธุระส่วนตัวเสร็จ

มื้อเย็นวันนี้เป็นอีกวันที่นายหญิงอย่างลลดาและประมุขของบ้านเดรโกรหน้าชื่นตาบานครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าก่อนหน้านี้ลูกๆต่างแยกย้ายไปเรียนไปตามหาความฝันของตนเองในบรรดาลูกชายทั้งหมดลลดาเป็นห่วงลูกคนสุดท้องอย่างเดนิมมากที่สุดเพราะเหมือนจะเป็นพูดง่ายแต่ความจริงหากเจ้าตัวปักใจทำอะไรแล้วจะไปจนสุดทางแม้ว่าผลลัพธ์นั้นจะไม่เป็นดั่งใจก็ตาม…เรื่องของพิพัฒน์ก็เช่นกัน

  เดนิมพยายามที่จะไม่ถามไถ่เรื่องของอีกฝ่ายแต่ก็มักจะได้ยินเรื่องราวข่าวคราวไม่เคยขาด เนื่องจากพิพัฒน์ผันตัวมาเป็นนักธุรกิจเต็มตัวตั้งแต่บิดาเสียชีวิตลง เป็นหนุ่มหน้าใหม่ไฟแรงแห่งโลกธุรกิจ ที่สำคัญมีหลายโปรเจกต์ที่ได้ทำร่วมกับธุรกิจของที่บ้านด้วย

พิพัฒน์เองก็เช่นกันแม้จะได้ยินว่าเดนิมกลับมาแล้วแต่ก็ไม่ได้เจอกันมาตั้งหลายปีคิดว่าเดนิมคงจะเปลี่ยนความคิดไปไม่มากก็น้อยอีกทั้งมีงานมากมายที่ให้เขาต้องได้ขบคิดจนไม่เหลือพื้นที่ให้คิดถึงเรื่องอื่นๆหลังจากเลขาเข้ามาแจ้งตารางงานและกำหนดการให้ทราบแล้วเขาก็ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย

งานกินเลี้ยงต้อนรับลูกค้าหรือเรียกอีกอย่างว่าการตกลงผลประโยชน์กันเป็นการส่วนตัวบางโปรเจกต์ก็ต้องวิ่งเต้นพึ่งพาเส้นสายครั้งนี้เองก็เช่นกันและเขาจะต้องเลี้ยงต้องรับให้ดี

หลังจากเดนิมกลับมาจากฝรั่งเศสก็ยังไม่ได้เริ่มทำงานสานต่อธุรกิจของครอบครัวแต่เปิดร้านเสื้อผ้าแบรนด์ตัวเองอย่างที่วางแผนไว้อย่างเงียบๆช่วงระยะเวลาที่ร้านกำลังก่อสร้างเขาอยากจะพักผ่อนสัก 2-3 เดือนอีกทั้งชองส์ก็บินตามกลับมาเที่ยวไทยด้วยเป็นครั้งแรก

ตั้งแต่เดนิมบินไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสก็กลับไทยน้อยมากคล้ายกับว่าอยากหลีกหนีจากอะไรบางสิ่งบางทีการไม่เจอกันเลยคงเป็นทางออกที่ดีที่สุดยังไงสองครอบครัวก็ไปมาหาสู่กันอยู่แล้วอีกทั้งพี่พัดเองยังเป็นเพื่อนของสองแฝดด้วย

เดนิมมารับชองส์ที่สนามบินด้วยตัวเอง

“ไฮเบเบ๋คิดถึงยูจัง”

“คิดถึงเหมือนกัน” สองคนต่างจุ๊บแก้มทักทายกันตามแบบฉบับชาวปารีเซียงก่อนจะกอดกันไปตามทางเดินโดยไม่สนสายตาของคนรอบข้าง

ชองส์เข้าพักที่โรงแรมใหญ่ใจกลางเมืองไทม์โซนและสภาพอากาศที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทำเอาชองส์แทบจะหมดแรงไปกับการเดินทางและปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่แพลนที่วางไว้หลังเท้าแตะสนามบินจึงเปลี่ยนไปจากเลาะเที่ยวเล่นกลายมาเป็นกินข้าวในห้องโรงแรมแทนชองส์สะบัดรองเท้าเสร็จก็นอนแผ่บนเตียงกว้างอย่างหมดแรง

“เหนื่อยไหมเดินทางมาไกลขนาดนี้”

“พอเห็นหน้ายูก็หายเหนื่อยทันที”

“เฮอะปากหวานเก็บไว้ให้สาวๆของยูเถอะ” เดนิมเอ่ยแซวก่อนหน้านี้ทั้งคู่คบกันก็จริงแต่ด้วยไลฟ์สไตล์และอะไรหลายๆอย่างไปกันไม่ได้จึงกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันจนมาถึงทุกวันนี้ระหว่างที่คบกันชองส์คิดว่าเขาเหมือนตาแก่หัวงูที่หวังจะแอ้มเด็กดีอย่างเดนิมไม่ได้คนตรงหน้าใสซื่อและบริสุทธิ์เกินไปจนเขาทำร้ายจิตใจไม่ลงคาสโนวาอย่างชองส์คบใครไม่เกินสองสัปดาห์ต้องได้ขึ้นเตียงกันแล้วแต่กับเดนิมไม่ใช่เขาไม่ได้มีความรู้สึกแบบนั้นและชองส์ก็รู้ดีว่าหัวใจดวงน้อยๆนั้นไม่มีพื้นที่ให้เขาเลยสักนิด

“เจอที่รักของยูหรือยัง”

เดนิมส่ายหน้าแทนคำตอบก่อนจะเอนกายนอนลงข้างๆ

“บางทีไม่เจอกัน…อาจดีกว่า”

“ทำไม?” ชองส์ถามอย่างไม่เข้าใจ

“ก็…ไม่รู้สิ” พี่พัดบล็อกเขาทุกช่องทางแค่นี้ก็พอจะรู้คำตอบอยู่แล้วอีกทั้งเดนิมไม่อยากเข้าไปวุ่นวายให้พี่พัดต้องลำบากใจทุกคนต้องเติบโตและเดินหน้าต่อไปรวมไปถึงเขาเองด้วย

“ถ้ายูเปลี่ยนใจมาหาไอก็ไม่ได้แย่นะ” เดนิมหลุดขำ

ชองส์ลูบใบหน้าสวยหวานนั้นอย่างแผ่วเบาก่อนจะจูบหน้าผากเนียนนั้นอย่างรักใคร่

เดนิมไม่ได้ปฏิเสธสัมผัสนั้น

“ถ้าเปลี่ยนใจได้ง่ายขนาดนั้นก็คงจะดี” เดนิมตอบ

ชองส์เบะปากกับคำตอบที่ได้ยินก่อนจะลุกไปอาบน้ำเดนิมจึงขอตัวกลับก่อน

เดนิมเดินเข้าไปในลิฟต์ด้วยความรู้สึกหลากหลายก้มหน้าใจลอยจนไม่ทันได้รู้สึกว่าลิฟต์เลื่อนมาถึงชั้น G ซึ่งเป็นลานจอดรถก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเมื่อเห็นว่ามีคนยืนรอที่จะเข้าลิฟต์อยู่คนที่เขาไม่คิดว่าจะได้เจอกันเร็วขนาดนี้พิพัฒน์เองก็อึ้งเหมือนกันที่เจอเดนิมโดยไม่คาดคิดบรรยากาศกระอักกระอ่วนที่ฉายอยู่บนหน้าของพิพัฒน์ทำเอาเดนิมใจเสียไม่กล้าเอ่ยทักออกไปก่อนแม้ในใจจะลิงโลดแค่ไหนก็ตามก่อนจะตัดสินใจเดินผ่านอีกฝ่ายออกไปเหมือนคนไม่รู้จัก

เดนิมเดินออกมาจากลิฟต์อย่างรวดเร็วโดยไม่เหลียวหลังเขากุมอกข้างซ้ายไว้แน่นทั้งๆที่ห่างหายกันไปหลายปีขนาดนั้นแล้วแท้ๆความรู้สึกที่กดเอาไว้แทบจะทะลักทลายออกมาเมื่อเห็นใบหน้าของใครอีกคนคนที่ไม่เคยจะเห็นเขาอยู่ในสายตา

หลังจากขึ้นรถเดนิมนั่งตั้งสติอยู่หลังพวงมาลัยอยู่สักครู่จึงเคลื่อนรถออกไปส่วนพิพัฒน์หลังจากส่งแขกเขาก็เดินกลับห้องพักเหมือนเช่นทุกครั้งไม่คาดคิดว่าจะเจอเดนิมที่นี่ใบหน้าจิ้มลิ้มตอนเด็กไม่น่าเชื่อว่าจะสวยเฉี่ยวในตอนโตดวงตากลมโตที่เบิกกว้างที่มองเห็นเขานั้นทำเอาพิพัฒน์เองก็ปั้นหน้าไม่ถูกเหมือนกัน

เด็กน้อยในวันนั้นเติบโตแล้วไม่แปลกใจที่เดนิมจะไม่วิ่งเข้าหาเขาเหมือนอย่างแต่ก่อนถ้าเป็นแบบนั้นเขาเองก็อาจจะรู้สึกติดลบกับอีกฝ่ายมากกว่านี้ก็ได้แต่อดแปลกใจไม่ได้เหมือนกันที่เดนิมทำเหมือนไม่รู้จักเขาแบบนั้น

แต่พิพัฒน์ก็อดสงสัยไม่ได้แล้วเดนิมมาทำอะไรที่โรงแรมนี้แถมเวลายังดึกดื่นเอาป่านนี้?

บางทีคงไม่แคล้วเป็นเด็กนอกใจแตกอีกคนหนึ่งละมั้ง…แต่ช่างเถอะเดนิมจะเป็นอะไรยังไงไม่ใช่เรื่องของเขาซะหน่อยบางทีความสัมพันธ์ในวันวานตอนสมัยยังเด็กอาจถูกลบเลือนไปด้วยกาลเวลาแล้วท่าทีอีกฝ่ายในตอนนี้ก็ดีกับพวกเขาทั้งสองคนพิพัฒน์โคลงหัวพลางถอนหายใจ

เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว…

บทที่เกี่ยวข้อง

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 2 จุดเริ่มต้น

    ตอนแรกเดนิมคิดว่าเขากับพี่พัดไม่มีวันจะลงเอยกันได้อีก แต่เหตุการณ์กลับพลิกผันเมื่อเย็นวันหนึ่งเขาและชองส์ออกไปเที่ยวคลับแห่งหนึ่งกลางใจเมืองเดนิมไม่ได้กลับบ้านเกิดเมืองนอนมาเสียนานเลยถือโอกาสเปิดหูเปิดตาอีกทั้งยังมีชองส์ที่เขาพอจะไว้ใจไปเที่ยวไหนมาไหนด้วยกันได้ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงนัดกันไปที่คลับแห่งหนึ่งว่ากันว่าบรรยากาศดีและติดหนึ่งในสามของสถานบันเทิงที่ครบครันมากที่สุดในย่านนั้นเดนิมจองโต๊ะไว้บนชั้นสองซึ่งเป็นชั้นวีไอพีชั้นลอยที่สามารถมองเห็นเวทีข้างล่างได้อย่างชัดเจนบรรยากาศดีกับแกล้มอร่อยสมกับรีวิวจริงๆอีกทั้งบริกรก็ได้รับการเทรนมาอย่างดียิ่งพวกเขาเป็นแขกวีไอพียิ่งนอบน้อมเดนิมจิบไวน์ในมืออย่างสบายอารมณ์เขาคุ้นเคยกับไวน์มากกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆเพราะเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจที่บ้านส่วนชองส์กำลังดื่มด่ำกับคอนยัคสีอำพันในมือหากเขาไม่ได้มากับเดนิมรับรองว่าไม่ขาดคนข้างกายติดไม้ติดมือกับห้องไปด้วยแน่ๆสถานที่อโคจรแบบนี้ดูไม่ค่อยเหมาะกับเดนิมสักเท่าไหร่“อย่าดื่มเยอะเบบี๋เดี๋ยวเมา”“รู้แล้วแหละน่า” เดนิมบ่นอุบอิบแม้จะเลิกรากันไปกลายมาเป็นเพื่อนคนสนิทแต่ชองส์ก็ยังคอยบ่นจู้จี้จุกจิกเ

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 3 แล้วจะเอายังไงต่อ

    เดนิมไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปตอนแรกคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นเพียงความลับระหว่างเขากับพี่พัดเช้ามาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้คาดคิดว่าเรื่องราวจะบานปลายขนาดนี้ความคิดเพียงชั่ววูบคิดว่าไม่เป็นอะไรแต่สุดท้ายเรื่องราวทุกอย่างกลับตาลปัตรอีกอย่างเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่แผนการของเขาเดนิมกล้าสาบาน! แต่ว่าใครจะเชื่อล่ะ?อีกอย่างเดนิมมีคลิปที่อยู่ในโทรศัพท์ของชองส์เป็นหลักฐานว่าผู้หญิงคนนั้นวางยาพี่พัดตอนนี้คลิปในมือที่เดนิมมีคือกล้องหน้ารถของตัวเองที่ขับตามรถญี่ปุ่นที่เลี้ยวเข้าเลิฟโฮเต็ลอีกทั้งไม่ได้เห็นว่าอีกฝ่ายพยุงพิพัฒน์เข้าไปในห้องพูดอะไรไปตอนนี้ก็คงไม่มีอะไรดีขึ้นยังไงการตัดสินใจตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายยังไงเขากับพี่พัดก็มีสัมพันธ์เกินเลยกันไปแล้วพ่อแม่ของเขาคงไม่ยอมจะให้แล้วต่อกันก็คงเป็นไปไม่ได้เดนิมเข้าใจแล้วว่าทำไมชองส์ถึงสั่งห้ามเขาหนักหนาว่าไม่ให้เข้าไปในห้องนั้นเพราะอย่างนี้นี่เองเดนิมกล่าวโทษตัวเองว่าโง่เขลาอยู่ในใจกัดริมฝีปากตัวเองจนห้อเลือด“งั้นกลับบ้านไปก่อนละกัน” เดนีสเอ่ยปาก“ก่อนกลับบ้านแวะไปโรงพยาบาลก่อนเถอะ” เดนีนพูดจบก็หิ้วปีกน้องชายที่อ่อนแรงแทบไม่มีแร

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 4 ราคาที่ต้องจ่าย

    เดนิมอึ้งช็อกเมื่อได้ยินว่าตัวเองจะต้องแต่งงานและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับพี่พัดภายในระยะเวลาหนึ่งปีการแต่งงานถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมายมีเพียงสองครอบครัวและนายทะเบียนจากสำนักงานเขตเท่านั้นเจ้าบ่าวทั้งคู่ก็อยู่ในชุดแต่งงานที่เดนิมเป็นคนจัดเตรียมเองทุกอย่างรวมไปถึงแหวนแต่งงานทั้งสองวงดูเหมือนเป็นการวางแผนไว้ล่วงหน้าเป็นอย่างดีจะไม่ให้พิพัฒน์คิดได้ยังไงว่าเขาถูกเดนิมวางยาและมัดมือชกภาพงานแต่งงานที่คนทั้งสองนั่งพับเพียบอยู่ต่อหน้าพานเงินทองของหมั้นข้างหลังเป็นญาติผู้ใหญ่ทั้งสองและพี่แฝดในภาพเจ้าบ่าวทั้งสองคนต่างมีสีหน้าไม่สู้ดีต่างก็ราบเรียบปราศจากรอยยิ้มกันทั้งคู่เดนิมจ้องภาพงานแต่งที่เรียบง่ายของตัวเองกับพี่พัดอยู่อย่างนั้นเขานำไปอัดขยายมาใส่กรอบไว้ที่หัวเตียงก่อนจะรูดม่านสีดำปิดบังภาพถ่ายนั้นเอาไว้พร้อมถอนหายใจออกมาอย่างหมดแรงหลังจากงานแต่งพวกเขาทั้งสองจะต้องย้ายมาอยู่ด้วยกันซึ่งสัปดาห์หน้าวันที่ 1 กรกฎาจะเป็นวันแรกที่พวกเขาต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันหากระยะเวลานี้ไม่สามารถสร้างอนาคตไปด้วยกันได้ถือว่าต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระต่อกันเดนิมอ่านเอกสารสัญญาในมือยิ่งเห็นลายเซ็นที

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 5 ข้อตกลงระหว่างที่อยู่ด้วยกัน

    ทุกวันเสาร์ทางบ้านเดนิมจะส่งแม่บ้านมาคอยปัดถูทำความสะอาดป้าอนงค์และป้าสายใจทำงานมานานอีกอย่างลลดาเป็นห่วงลูกชายอย่างน้อยส่งคนรู้ใจมาสอดส่องสัปดาห์ละครั้งก็ยังดี“คุณหนูคะเสื้อผ้ามีแค่นี้เองเหรอคะแล้วของคุณผู้ชายละคะ”“มีแค่นี้แหละครับของพี่พัดนิมซักหมดแล้วครับ”“ไม่ได้นะคะคุณหนูใส่ไว้ในตะกร้าเอาไว้ได้เลยเดี๋ยวป้ามาซักให้เองค่ะ”“ไม่เป็นไรครับนิมอยากทำให้พี่พัดเอง” เดนิมยิ้มตอบก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปยังห้องนั่งเล่นคนแก่อย่างอนงค์กับสายใจทำไมจะดูไม่ออกทั่วทั้งห้องไม่มีกลิ่นอายของคนอื่นอยู่เลยมีเพียงคุณหนูของเธอคนแล้วจานชามก็มีเพียงอย่างละหนึ่งตู้เสื้อผ้าโล่งขนาดนั้นแต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมา“ตู้เย็นแทบไม่เหลือของสดเลยป้าไปซื้อให้ไหมคะ”“ไม่เป็นไรครับซื้อกินเอาสะดวกกว่า”“ขาดเหลืออะไรบอกป้ามาได้เลยนะคะป้าจะได้ตระเตรียมให้”“ไม่น่าจะขาดอะไรแล้วครับขอบคุณมากครับ” เดนิมพูดตอบซีรีย์เรื่องโปรดที่กำลังโลดแล่นอยู่บนจอไม่เข้าหัวของเขาสักนิดที่เขาต้องแกล้งจดจ่ออยู่กับภาพยนตร์ตรงหน้าก็เพื่อหลีกเลี่ยงการตอบคำถามของแม่บ้านเขารู้ดีว่าทุกคนเป็นห่วงแต่เขาเองก็ยังแอบหวังอยู่ลึกๆว่าพี่พัดจะย

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 6 หลบหน้า

    แม้จะตกลงอยู่ร่วมกันในทุกวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ แต่เดนิมคิดว่าไม่เจอกันดีที่สุด อย่างน้อยก็ไม่ต้องเจอกันให้เสียความรู้สึก และถือเป็นการฆ่าเวลาไปในตัว และเดนิมกลัว กลัวว่าจะไม่สามารถกลบเกลื่อนสายตา ความรักที่มันเอ่อล้นอยู่ในอก เขาไม่อยากได้สายตาสมเพชจากพี่พัดอีกเดนิมวิ่งมาหลายสิบปีเพื่อคนคนเดียวเขาได้แต่หวังว่าสักวันระยะทางที่ทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุดนั้นจะมีสักวันหนึ่งที่มีโอกาสมองเห็นเส้นชัยแต่ทว่าพี่พัดของเขาไม่เคยให้โอกาสนั้นสองขาที่ออกวิ่งมายาวนานเริ่มเหนื่อยล้าและอ่อนแรงลงไปทุกทีเดนิมกลับมาอาศัยภายในคอนโดของตัวเองอีกครั้งเขาเร่งปิดต้นฉบับเพื่อให้ทันเดดไลน์ที่ตัวเองกำหนดขึ้นโฟกัสกับตัวอักษรเบื้องหน้าตัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายออกไปกลั่นกรองเรียงร้อยรสรักออกมาเป็นหนังสือนิยายรักเรื่องเศร้าเรื่องหนึ่งว่ากันว่า ‘เรามักจะซ่อนคนคนนึงไว้ในบทเพลง’ นักเขียนอย่างเดนิมก็เช่นกันเขาซ่อนความรักที่มีต่ออีกฝ่ายมาอย่างยาวนานหลายสิบปีผ่านนิยายหลายสิบเล่มจนได้ขึ้นชื่อว่านักเขียนเรื่องเศร้าหากคุณมีความสุขในชีวิตมากเกินไปก็ไปหาหนังสือของ FALLIN มาอ่านหากคุณอยากจะล้างลูกตาชื่อนี้ไม่ทำให้คุณผิดหวังโดย

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 7 ปกป้องความรู้สึกตัวเองก็หาว่าร้ายกาจ

    แม้ไม่อยากทำให้พี่พัดอึดอัด เดนิมมักจะปลีกตัวและไม่เข้าหาอีกฝ่ายโดยไม่จำเป็น ยิ่งในบริษัทเขาทำเหมือนเป็นพนักงานคนหนึ่งที่ไม่ได้มีสัมพันธ์เกินเลยกับเจ้านาย เดนิมวางตัวดีและพยายามหักห้ามความรู้สึกของตัวเองอยู่เสมอ แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายมักจะมีข้ออ้างให้เขาต้องติดสอยห้อยท้ายออกไปพบปะพูดคุยกับคู่ค้าอยู่เสมอเช่นกัน และแล้วเดนิมก็หาสาเหตุเจอว่าพี่พัดจะเก็บเขาไว้ข้างตัวทำไม ในที่สุดวันนี้ก็ได้รู้ ตลอดเวลาที่เขาตามพี่พัดไปทำงาน แม้จะโดยสารไปด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้กลับพร้อมกัน เดนิมชินกับความเป็นอยู่และการถูกปฏิบัติแบบนี้เสียแล้ว ไม่คาดหวัง…ไม่ผิดหวัง ตลอดระยะเวลาหลายสัปดาห์อีกฝ่ายมักจะพาเขาไปเรียนรู้งาน พบปะสังสรรค์ลูกค้าในฐานะเด็กฝึกงาน แต่ว่าไม่มีครั้งไหนน่าอึดอัดเท่าครั้งนี้มาก่อน ทั้ง ๆ ที่เป็นร้านอาหารสุดหรู บรรยากาศดี แต่ทว่าผู้ร่วมโต๊ะอีกคนกลับทำให้เดนิมรู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นที่สุด…ผู้หญิงที่มอมยาพี่พัดในวันนั้นก็คือคุณนิชา ซึ่งเป็นคู่ค้าของพี่พัดมายาวนานเดนิมนั่งกึ่งกลางระหว่างโต๊ะจะว่าไปหากตัดเรื่องเลวร้ายที่นิชาทำลงไปก็ดูจะเหมาะสมกับพี่พัดมากกว่าเขาทุกตรงทั้งคู่ทักทายกันอย่างคุ้นเคยเป็นก

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 8 พูดไปก็เท่านั้น

    แม้จะไม่อยากออกมาฝึกงานแต่เมื่อรับปากไว้แล้วก็ต้องทำให้เสร็จสามเดือนก็สามเดือนแค่ไม่กี่สัปดาห์ยังกินพลังงานชีวิตไปซะขนาดนี้ระหว่างเดนิมกับพิพัฒน์ก็ยังมีบรรยากาศกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อยแม้จะอาศัยอยู่ด้วยกันแต่ไม่ได้พูดคุยกันสักประโยคอีกทั้งเดนิมก็เลือกที่จะขับรถไปเองเมื่อก่อนรู้ทั้งรู้ว่าจะต้องโดนกลั่นแกล้งแต่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจแต่หลังจากที่มีปากเสียงกันครานั้นเดนิมก็ไม่อยากจะเป็นฝ่ายถูกกลั่นแกล้งอีกไม่ว่าจะให้เขาหิ้วท้องรอจนดึกดื่นหากวันไหนเขางีบหลับอีกฝ่ายก็จะกลับไปก่อนโดยที่ไม่เอ่ยปากจะเรียกกันอีกทั้งพี่พัดมักจะมีอิริยาบถที่ผ่อนคลายเมื่อไม่ได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังโดยเฉพาะการรับประทานอาหารร่วมกัน…ยิ่งคาดหวังมากเท่าไหร่มันก็จะยิ่งกัดกินความสุขในชีวิตเราไปมากเท่านั้นไม่มีใครไม่อยากสมหวังแต่ทว่ามันไม่เหลืออะไรให้หวังเลยต่างหากอาหารกลางวันคุณน้ามาลินีก็ห่อมาให้พี่พัดเหมือนเดิมเดนิมก็โทรหาสอบถามอยู่บ่อยๆไม่ใช่เพื่อทำคะแนนต่อให้คุณน้ามาลินีจะชมชอบเขามากแค่ไหนแต่เจ้าตัวไม่มีใจมันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดีเดนิมไม่อยากให้เรื่องระหว่างเขากับพี่พัดผิดใจกับผู้ใหญ่และเขาโชคดีที่น้ามาลินีไม่ได้รังเกียจกั

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 9 เหนื่อยล้าเกินกว่าจะเอ่ยปาก

    ทางด้านเดนิมโชคดีที่กาแฟวางพักไว้สักครู่บนเคาน์เตอร์แผลจึงไม่ได้ร้ายแรงเป็นแผลไหม้ระดับสองมีตุ่มพองใสแต่ก็ปวดแสบมากเพราะเส้นประสาทบริเวณผิวหนังยังเหลืออยู่ไม่ได้ถูกทำลายไปมากนักการหายของแผลใช้เวลาประมาณสองถึงสามสัปดาห์คุณหมอจึงให้ครีมทายาภายนอกรวมไปถึงการปิดแผลด้วยผ้าก๊อซอีกทั้งยังกำชับไม่ให้โดนน้ำรวมไปถึงที่ต้นขาด้านขวาด้วยเดนิมทำแผลเสร็จพี่แฝดก็โทรมาตอนอยู่ในรถพอดีเขากดรับสายก่อนจะทำน้ำเสียงปกติ “ว่าไงครับ”“วันนี้ว่างหรือเปล่าเราพี่สองคนจะไปรับไปทานข้าว”“วันนี้คงไม่ได้ครับ”“เดี๋ยวพี่โทรไปหาไอ้พัดให้”“อย่าดีกว่าครับเดี๋ยวพี่พัดจะว่าเอาตอนนี้ผมเป็นแค่พนักงานฝึกงานนะครับพี่แฝดอย่าลืม” เดนิมพยายามทำน้ำเสียงให้สดใส “อีกอย่างมีนักศึกษาฝึกงานคนอื่นมาฝึกด้วย”“แล้วเราจะว่างเมื่อไหร่” เดนีนแทรกขึ้นมา“เดี๋ยวถ้าว่างจะโทรไปนัดพี่ๆอีกทีนะครับไม่ต้องกลัวว่าพวกพี่แฝดจะไม่ได้จ่ายรับรองวันนั้นต้องจ่ายให้น้องทั้งวันนะครับ” แฝดต่างหัวเราะ “หาเวลามาให้ได้เถอะน้องคนเดียวจะเท่าไหร่เชียวแพงแค่ไหนก็เลี้ยงได้” ทั้งสามคนหัวเราะก่อนจะกดวางสายเดนิมถอนหายใจก่อนจะสตาร์ทรถกลับบ้านโดยไม่ได้ดูสายที่ไม่ได้รับก

บทล่าสุด

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 17 ตัวตนของคนคนหนึ่ง

    เดนิมตื่นมาก็บ่ายสามกว่า ๆ แล้ว เขาคิดว่าตอนนี้พี่พัดคงเก็บของกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว จึงกินนอนเล่นกับพวกแฝด เป็นการรวมตัวกันของครอบครัวที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เล่นน้ำด้วยกันเหมือนเด็กอีกครั้ง พอได้วางความรู้สึกเหล่านั้นลง เดนิมค้นพบว่าความสุขของเขาได้เพิ่มขึ้นทีละนิด แม้จะมีความรู้สึกผิดอยู่เต็มอก แต่ได้แพลนตอนจบเอาไว้แล้วเหมือนกับนิยายที่มีตอนจบไม่ว่าจะสมหวังผิดหวังท้ายสุดก็ต้องเดินทางมาถึงจุดจบไม่ว่าบทสุดท้ายจุดจบจะเป็นเช่นไรเขาเพียงต้องยอมรับมันให้ได้‘ไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง’กว่าจะรู้ว่าความรักในรูปแบบของตัวเองเป็นความรักที่ไม่สมประกอบก็ทำเอาคนอื่นวุ่นวายกันไปทั่วรักที่ดีไม่จำเป็นต้องครอบครองเป็นเจ้าของเดนิมจึงรู้จักที่จะปล่อยวางมันลงคล้ายกับหัวใจได้คลายหนามแหลมที่เกี่ยวพันรัดอยู่บาดแผลและเลือดที่ไหลรินก่อนหน้าค่อยๆสมานเข้าด้วยกันอย่างช้าๆแม้จะทิ้งร่องรอยแผลเป็นเอาไว้แต่ก็เป็นเครื่องเตือนความจำว่าเขาไม่ควรจะรักใครจนทำร้ายตัวเองแบบนั้นอีกและเขาจะต้องเป็นคนที่จัดการความรู้สึกของตนเองไม่ทำให้คนที่รักต้องรู้สึกอึดอัดกับความรู้สึกที่เขามีเดนิมเล่นน้ำจนเหนื่อยหอบอยู่กินดื่มกับแฝดจน

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 16 อยากจะรู้จักให้มากขึ้น

    ทางด้านพิพัฒน์เองเขาจดจ้องใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มมีชีวิตชีวาของเดนิมโดยไม่ละสายตาไปสักเสี้ยววินาที มันไม่ใช่รอยยิ้มแกน ๆ ที่คอยส่งมาให้เขา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มไปถึงดวงตา เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ พิพัฒน์สังเกตเห็นว่าเดนิมทำเหมือนว่าเขาเป็นยักษ์เป็นมารเวลาที่เข้าใกล้ และมักจะก้าวเท้าถอยหลังเสมอ คล้ายว่าเป็นการขีดเส้นระหว่างกัน ไม่มีใครควรล้ำเส้นกันไปมากกว่านี้ แถมยังเป็นฝ่ายหลบสายตา เหมือนว่าการมีอยู่ของตัวเองทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกแย่เดนิมในอุดมคติของเขากับเดนิมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนเป็นคนละคนตอนแรกที่เกิดเรื่องเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยากจะเข้าไปซัดหน้าหวานๆที่เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักเปรี้ยงพิพัฒน์คิดว่าเดนิมร้ายกาจไม่งั้นเขาไม่ต้องมาตกกระไดพลอยโจนอยู่อย่างนี้และการแต่งงานครั้งนี้จะทำให้เจ้าตัวสมหวังอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้แต่พอมาได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันยิ่งได้ใกล้ชิดยิ่งได้รู้จักเหมือนว่าช่วงที่ห่างหายขาดการติดต่อกันไปเดนิมในวันวานยังคงเหมือนเดิมไม่ได้ร้ายกาจหรือมีเล่ห์เหลี่ยมแต่อย่างใดกลับเงียบขรึมเก็บงำความรู้สึกได้เก่งขึ้นและมักจะหลบเลี่ยงปัญหามากกว่าเผชิญหน้าอีกทั้งรอยยิ้มที่ประดับ

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 15 อยากจะเก็บรอยยิ้มนี้เอาไว้

    ช่วงเช้าพายุฝนสงบท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนว่าไม่เคยเกิดพายุฝนคะนองมาก่อนเดนิมตื่นเช้าเหมือนเช่นเคยอาหารเช้ามาส่งแล้วอีกอย่างเขาเองก็ไม่ชอบแบบที่ลอยอยู่กลางน้ำเพราะนึกถึงเวลาเศษอาหารตกลงในสระมันทำความสะอาดค่อนข้างยากเขาจึงบอกให้บริกรวางไว้ที่ขอบสระเดนิมรออาหารย่อยสักพักก็ลงไปว่ายน้ำเขาสวมกางเกงว่ายน้ำเพียงตัวเดียวอีกอย่างก็เป็นสระส่วนตัวน้ำเย็นๆบรรยากาศยามเช้าที่แจ่มใสรวมไปถึงทัศนียภาพของทิวทัศน์ตรงหน้าทำให้เขาไม่อยากกลับเลยจริงๆที่ว่ากันว่านั่งโง่ๆอยู่ริมทะเลนั้นไม่เกินจริงเดนิมหันหลังเท้าคางมองทิวทัศน์ข้างหน้าน้ำทะเลสีฟ้าครามตัดกับเส้นขอบกับพระอาทิตย์อย่างลงตัวเห็นพี่แฝดบอกว่าในทะเลมีพวกปลากระเบนว่ายมาทักทายบริเวณบังกะโลกลางน้ำแห่งนี้ด้วย เดนิมจ้องมองผืนน้ำทะเลอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาอยู่คู่หนึ่งจดจ้องการกระทำของเขาตลอดตั้งแต่แหวกว่ายอยู่ในสระเดนิมหันหลังให้ทิวทัศน์ก่อนจะคว้าเอาห่วงยางที่นอนลอยน้ำเขาขึ้นไปนอนบนนั้นแล้วยิ้มแฉ่งให้กับพระอาทิตย์สองมือวักน้ำจนทำให้ห่วงยางนั้นลอยไปลอยมา“เล่นเหมือนเด็กๆไปได้” ไม่รู้เมื่อไหร่ที่พิพัฒน์เอาแต่จดจ้องร่างบางที่สวมเพียงแค่กางเกงว่ายน้ำตัว

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 14 ไม่รู้จะต้องทำตัวอย่างไร

    เดนิมแตะบัตรค่อยๆเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายทำอะไรอยู่เดนิมเปลี่ยนเป็นรองเท้าสลิปเปอร์ก่อนจะเห็นว่ากระเป๋าของตัวเองยังวางอยู่ที่หน้าประตูเหลือเพียงกระเป๋าใบเดียวพี่พัดคงกลับเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วเดนิมกำที่จับกระเป๋าล้อเลื่อนของตัวเองแน่นก่อนจะตัดสินใจที่จะไปนอนกับพี่แฝดเขาไม่อยากให้การมาทำงานครั้งนี้ของพี่พัดมีปัญหาหรือรู้สึกอึดอัดเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินออกมาจากประตูเสียงเอ่ยราบเรียบก็ทักขึ้นมา“เข้ามาแล้วจะออกไปไหนอีก” น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์แต่เดนิมรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจอยู่เนืองๆเขาไม่ได้ตอบแต่ค่อยๆเดินผ่านโถงทางเดินเข้าไปก่อนจะเจอกับโซนห้องนั่งเล่นตรงกลางโซฟาหันหน้าเข้าหาทะเลภาพวิวเบื้องหน้ามีสระน้ำขนาดกลางส่วนตัวให้แขกได้พักผ่อนมีตาข่ายให้ได้นอนอาบแดดนับได้ว่าเป็นห้องพักที่เยี่ยมยอดที่สุดของ The Grand DAE เลยก็ว่าได้พิพัฒน์นั่งจิบบรั่นดีสีอำพันในมือสายตาทอดมองไปยังวิวตรงหน้าน้อยครั้งนักที่เดนิมจะเห็นว่าอีกฝ่ายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่จะเป็นชาร้อนหากต้องอ่านรายงานค่อนคืน“คือ…นิมจะไปนอนกับพี่แฝด”“ใช่แ

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 13 ไม่ใช่เรื่องสำคัญ

    เดนิมเดินทอดน่องไปตามชายหาด ท้องเริ่มปวดบิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงนั่งตรงเปลที่ชายหาดผูกไว้ นั่งสักพักเลยล้มตัวนอน มือก็ได้แต่กดท้องตัวเองเอาไว้ เดนิมเป็นโรคกระเพาะทานอาหารไม่ตรงเวลาก็จะปวดจนทรมาน อีกอย่างยาลดกรดก็อยู่ในกระเป๋า ตอนนี้เขาเหนื่อยทั้งกายและใจเลยอยากจะนั่งพักสักครู่ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี พี่พัดตักอาหารให้เขา แต่เป็นสิ่งที่ฆ่าเขาให้ตายได้ อีกทั้งตอนสมัยที่เดนิมยังเด็ก หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เดนิมประทับใจในตัวพี่พัดของเขาก็คือพี่พัดจะเป็นฝ่ายคอยระวังเรื่องอาหารการกินของเขาทุกครั้งที่ต้องออกไปทานอาหารข้างนอกกันรวมถึงแฝด แฝดมักจะเผอเรอไม่ถามไถ่หรือมักจะสั่งกุ้งมากิน แต่เป็นพี่พัดเองที่คอยเอาใจใส่ และหาร้านที่ไม่มีส่วนผสมของกุ้งเพื่อเดนิมวันเวลาผ่านพ้นไปคนเราหากเป็นเรื่องสำคัญมักจะไม่ลืม…เดนิมยิ้มเยาะให้ตัวเองก่อนจะนอนอยู่อย่างนั้นแขนซ้ายปิดทับดวงตาปิดบังความน้อยเนื้อต่ำใจและการเดินหนีหรือหลีกเลี่ยงเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นเดนิมจึงนิยามความรักของตัวเองว่าเป็นรักที่ไม่ประกอบวิ่งมายาวนานเพื่อคนคนเดียวมานับสิบปีเขาแพ้กุ้งแต่พี่พ

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 12 ไม่ได้ง่ายอย่างใจนึก

    เดนิมไม่ออกจากห้องของตัวเองแม้ว่าป้าแม่บ้านที่แม่ของเขาส่งมาทำความสะอาดให้ทุกวันอาทิตย์ก็ตามภายในห้องมีตู้เย็นขนาดเล็กขนมขบเคี้ยวรวมไปถึงกาน้ำร้อนขนาดพกพาอีกทั้งเพราะการเขียนนิยายออกมาสักเรื่องหนึ่งมันใช้เวลาและในตอนที่อารมณ์พาไปหรือจินตนาการพรั่งพรูเดนิมไม่อยากจะลุกออกไปทำอะไรนิ้วเรียวยาวเคาะแป้นพิมพ์อยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียงของแป้นพิมพ์ทำให้เขาลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าสมาธิจดจ่ออยู่กับหน้าจอและตัวหนังสือตรงหน้าและเขาใช้มันเพื่อระบายของเสียภายในจิตใจเขาระบายมันออกมาเป็นตัวหนังสือตัวละครบางตัวก็คือตัวเองที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาขัดเกลาตัวละครผ่านเหตุการณ์สมมุติต่างๆมากมายมานับไม่ถ้วนหาทางออกให้ตัวละครเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายแต่น่าเสียดายตัวเองกลับหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอเขาติดอยู่ในวังวนความเจ็บปวดของความรักมายาวนานนับสิบปีรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีใจแต่ก็ยังจะเฝ้ารออดทนกับสายตาที่หยามเหยียดอดทนต่อถ้อยคำที่บาดลึกถึงกระดูกคล้ายกับคนไม่รู้สึกรู้สา สุดท้ายกลับฝังตัวเองทั้งเป็นด้วยการทอดกายให้อีกฝ่ายได้เชยชม ในฐานะนักเขียนหากตัวละครตัวนี้จะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่แ

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 11 งานวันเกิด

    บริษัทมีการจัดเลี้ยงฝึกงานแต่เดนิมบอกปัดเขาไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยงกับปัญหาอีกปานัสเป็นญาติของนิชาอีกทั้งก็ไม่ชอบขี้หน้าเขาเป็นทุนเดิมงานเลี้ยงครั้งนี้ไม่ไปดีที่สุดพี่พัดเองก็ไม่ได้ว่าอะไรมีแต่ปานัสที่ดีอกดีใจคุณสิริเองก็เอ่ยชมเขามากขึ้นกว่าแต่ก่อนเดนิมคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วคำชมที่มาจากความจริงใจเพียงเท่านี้ก็มีกำลังใจให้เด็กฝึกงานอย่างเขากระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้นไปอีกอีกอย่างเดนิมก็ไม่ได้จบงานด้านบริหารมาเขาทำได้ดีขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้วชีวิตหลังจากนี้จะได้เป็นอิสระเสียทีเดนิมเลิกเฝ้ารอและเลิกฝันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะทำอะไรดีๆให้พี่พัดแต่ทำไปเหมือนขว้างหินลงสู่ทะเลพี่พัดเกลียดเขาจะตาย…ไม่เห็นหน้ากันจะดีที่สุดเดนิมไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะกลับมาค้างทุกวันหยุดสุดสัปดาห์หรือไม่เขาไม่คิดโทรถามไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญและลำบากใจวันนี้วันศุกร์เขาไม่มีธุระที่ไหนเลยเข้าครัวเองทำอาหารสองสามอย่างทีละน้อยสำหรับคนคนเดียวไข่เจียวตรงหน้าฟูฟ่องส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องครัวเดนิมแกะข้าวหุงสำเร็จเวฟก่อนจะแกะใส่จานแม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้วเดนิมเลือกที่จะหันหลังแล้วทำเป็นไม่เห็นก้มลงทานอาหารตรงหน้

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 10 คนเดียวไม่เหงาเท่าสามคน

    ทางด้านปานัสเมื่อโดนดุไปซึ่งๆหน้าก็ดูจะนอบน้อมขึ้นแต่ก็ยังพยายามจะหักหน้าและปาดหน้าทำงานแทนเดนิมเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมือเจ็บ“นิมช่วยดูตรงนี้หน่อยนะ” สิริเอ่ยพร้อมยื่นแฟ้มให้เดนิมยังไม่ทันยื่นมือออกไปรับปานัสกลับยื่นมือมารับแทน“ให้นัสทำนะครับพี่สิริ” สิริเองก็มองหน้าเดนิมเมื่อเห็นเจ้าตัวพยักหน้าน้อยๆก็ยื่นแฟ้มใส่มือปานัสแทนพร้อมกำชับ“ฝากด้วยนะจ๊ะงานนี้ต้องเสร็จวันนี้ถ้าไม่เสร็จจะจ่ายค่าโอทีให้”ปานัสอ้าปากค้างกลืนน้ำลายลงคอพร้อมรีบเปิดเอกสารในแฟ้มอ่านรายละเอียดคร่าวๆพร้อมอุทานในใจ “ตายห่าไม่น่าเลยกูวันนี้จะเสร็จไหมเนี่ย” พร้อมรีบกุลีกุจอกลับไปนั่งทำที่โต๊ะตัวเองโซนหน้าห้องผู้บริหารแทบไม่มีเสียงพูดคุยตลอดช่วงบ่ายพี่สิริหันมายิ้มเป็นนัยให้เดนิมเดนิมค้อมหัวให้ก่อนจะก้มหน้าอ่านเอกสารในมือจนเลิกงานปานัสขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเมื่อเวลาเลิกงานพนักงานทุกคนทยอยกลับรวมไปถึงเดนิมที่เดินมาอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงานของตัวเองเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ขอบคุณปานัสมากนะที่ช่วยทำงานนี้แทนเราเราขอตัวก่อนนะ” ปานัสแสร้งยิ้มก่อนจะกัดฟันตอบ “กลับก่อนได้เลยจ้ะ” แต่ในใจก่นด่าอีกฝ่ายสิบกว่ารอบเดนิมที่กำลังลงลิฟต์ไปย

  • เพียงชั่วข้ามคืน   บทที่ 9 เหนื่อยล้าเกินกว่าจะเอ่ยปาก

    ทางด้านเดนิมโชคดีที่กาแฟวางพักไว้สักครู่บนเคาน์เตอร์แผลจึงไม่ได้ร้ายแรงเป็นแผลไหม้ระดับสองมีตุ่มพองใสแต่ก็ปวดแสบมากเพราะเส้นประสาทบริเวณผิวหนังยังเหลืออยู่ไม่ได้ถูกทำลายไปมากนักการหายของแผลใช้เวลาประมาณสองถึงสามสัปดาห์คุณหมอจึงให้ครีมทายาภายนอกรวมไปถึงการปิดแผลด้วยผ้าก๊อซอีกทั้งยังกำชับไม่ให้โดนน้ำรวมไปถึงที่ต้นขาด้านขวาด้วยเดนิมทำแผลเสร็จพี่แฝดก็โทรมาตอนอยู่ในรถพอดีเขากดรับสายก่อนจะทำน้ำเสียงปกติ “ว่าไงครับ”“วันนี้ว่างหรือเปล่าเราพี่สองคนจะไปรับไปทานข้าว”“วันนี้คงไม่ได้ครับ”“เดี๋ยวพี่โทรไปหาไอ้พัดให้”“อย่าดีกว่าครับเดี๋ยวพี่พัดจะว่าเอาตอนนี้ผมเป็นแค่พนักงานฝึกงานนะครับพี่แฝดอย่าลืม” เดนิมพยายามทำน้ำเสียงให้สดใส “อีกอย่างมีนักศึกษาฝึกงานคนอื่นมาฝึกด้วย”“แล้วเราจะว่างเมื่อไหร่” เดนีนแทรกขึ้นมา“เดี๋ยวถ้าว่างจะโทรไปนัดพี่ๆอีกทีนะครับไม่ต้องกลัวว่าพวกพี่แฝดจะไม่ได้จ่ายรับรองวันนั้นต้องจ่ายให้น้องทั้งวันนะครับ” แฝดต่างหัวเราะ “หาเวลามาให้ได้เถอะน้องคนเดียวจะเท่าไหร่เชียวแพงแค่ไหนก็เลี้ยงได้” ทั้งสามคนหัวเราะก่อนจะกดวางสายเดนิมถอนหายใจก่อนจะสตาร์ทรถกลับบ้านโดยไม่ได้ดูสายที่ไม่ได้รับก

DMCA.com Protection Status