ย้อนไปเมื่อหลายสิบปีที่แล้วครอบครัวของเดนิมและพิพัฒน์รู้จักกันและสนิทกันในแวดวงธุรกิจตามประสาสังคมนักธุรกิจด้วยกัน พิพัฒน์อายุมากกว่าเดนิมเจ็ดปี สองครอบครัวจึงไปมาหาสู่กันอยู่บ่อย ๆ ชีวิตวัยเด็กของเดนิมเติบโตมาพร้อมกับพิพัฒน์เลยก็ว่าได้ พิพัฒน์มองเดนิมเป็นน้อง แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพศชายท้องได้ (New male) พี่ชายทั้งสองของเดนิม เดนีสและเดนีนต่างก็เอาอกเอาใจ ดูแลประคบประหงมประหนึ่งไข่ในหิน ด้วยความที่อายุห่างกันมาก เดนิมเกิดมาพร้อมกับความพิเศษของร่างกาย ด้วยความเป็นน้องเล็กของบ้าน พี่ชาย พ่อแม่ต่างก็ห้อมล้อมเอาใจ เลยติดนิสัยเอาแต่ใจมาแต่ไหนแต่ไร อยากได้อะไรก็ต้องได้
“อยากให้พี่พัดป้อน” เดนิมพูดพลางออดอ้อนคนข้างๆเหมือนที่เคยทำตั้งแต่ยังเด็ก
“กินเองดีกว่าโตเป็นหนุ่มแล้วนะเรา” พิพัฒน์เริ่มอธิบายให้เด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างใจเย็นเพราะเดนิมมักจะเป็นแบบนี้เสมอตั้งแต่เด็กจนโตก็มักจะอ้อนให้เขาป้อนข้าวให้บ้างผลไม้ให้บ้างเวลาเจ้าตัวติดตามพี่ๆฝาแฝดทั้งสองมาเล่นเกมที่บ้านเขาพิพัฒน์มักจะอึดอัดเสมอเพียงแต่เขาไม่เคยพูดออกไปได้แต่เว้นระยะห่างอยู่ฝ่ายเดียว
“ก็นิมอยากให้พี่พัดป้อนนี่ครับ” พิพัฒน์ถอนหายใจก่อนจะยกเหตุผลมาอธิบายหลายข้อ
“โตเป็นหนุ่มแล้วนะเดนิมพี่ตามไปป้อนเราไม่ได้ทุกที่หรอกนะอีกอย่างพี่ก็….”
พิพัฒน์ไม่รู้จะอธิบายยังไงเขารู้สึกประดักประเดิดทุกครั้งที่เดนิมทำตัวเหมือนตอนเด็กๆไม่กี่ขวบเสมอไม่ว่าตอนเจอเขาจะกระโดดกอดบ้างล่ะออดอ้อนบ้างล่ะไหนจะสายตาเจ้าตัวที่มองเขาพิพัฒน์รู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่เดนิมเข้าใกล้และไม่รู้สนิทใจเหมือนแต่ก่อนพิพัฒน์ก็ไม่ใช่คนหลงตัวเองหรือเข้าข้างตัวเองอะไรขนาดนั้นแต่เดนิมทำให้เขารู้สึกแบบนั้นทุกครั้งแต่ครั้งนี้เขาจะไม่ยอมตามใจเจ้าตัวอีกท่าทางที่เดนิมกอดหมอนอิงพิงหัวไหล่เขาแบบนี้ก็เหมือนกัน
“ถ้านิมไม่กินเองงั้นพี่จะเรียกแม่บ้านมาเก็บไปละนะ” เดนิมหน้างอที่ได้ยินมององุ่นตรงหน้าตาละห้อย
“ก็ได้ครับ”
“พี่พัดอย่าโกรธนิมเลยนะๆ” เดนิมออดอ้อน
สองแฝดที่หันหลังกดจอยในมืออย่างเมามันไม่สนใจน้องเล็กของตัวเองเลยสักนิดว่าแทบจะนั่งเกยตักเขาอยู่แล้ว
“เฮ้ยไอ้นีสไอ้นีนจะกลับเมื่อไหร่กูมีธุระต้องออกไปข้างนอก”
“อ้าวแล้วไม่บอก” เดนีนที่ตามองจอตอบรับด้วยเสียงเนือยๆ
“เออๆจบตานี้กลับละ” เดนีสตอบกลับเดนีสเหมือนจะเป็นคนที่มีเหตุผลที่สุดในสามพี่น้องนี้แล้ว
พิพัฒน์จึงลุกจากโซฟาทำท่าจะเดินขึ้นไปบนห้องตัวเอง
“เอองั้นไม่อยู่ส่งนะ”
“พี่พัดจะไปไหนเหรอครับ” พิพัฒน์หยุดกึกเขาเผลอกลั้นลมหายใจก่อนจะปรับน้ำเสียงและสีหน้าให้ราบเรียบเหมือนเดิมก่อนจะเอ่ย
“พี่ต้องไปหาคุณพ่อน่ะ”
“อ่อครับ”
“เสียดายจังนิมมาหาพี่พัดแป๊บเดียวเองไม่ได้เจอกันเป็นอาทิตย์” เดนิมพูดพร้อมทำหน้าละห้อยหากเป็นเมื่อก่อนเขาคงเดินไปลูบหัวพูดปลอบเจ้าตัวหลายคำแต่ตอนนี้พิพัฒน์ขีดเส้นให้ตัวเองเขาจะไม่ล้ำเส้นนั้นอีกเพราะผลสุดท้ายเป็นเขาเองเป็นฝ่ายที่ลำบากใจมากที่สุด
“พอดีช่วงนี้ม.ใกล้สอบแล้วเลยไม่มีเวลาให้นิมเหมือนแต่ก่อน”
“อะไรจะติดไอ้พัดขนาดนั้นฮะตัวเล็กใครเป็นพี่ชายเรากันแน่” เดนีสหันไปเย้าแหย่คนน้องที่ทำหน้าเบ้ใส่
“เหมือนกันที่ไหน” เดนิมบ่นพึมพำในคอ
“เอาล่ะๆ” เดนีนเก็บจอยในมือเสร็จก็หันมาสงบศึกสองพี่น้องก่อนจะเอ่ยลาเจ้าบ้าน
“เออโทษทีวันหลังก็บอกแต่เนิ่นๆมึงจะได้ไม่ต้องเสียเวลาแบบนี้”
“วันหลังพี่พัดก็มาเที่ยวบ้านพวกเราบ้างสิครับ”
“…”
“ถ้าพี่ว่างพี่จะไปนะครับ”
พิพัฒน์เอ่ยตอบอย่างใจเย็นพลางก้มมองนาฬิกาบนข้อมือตัวเอง
“สายล่ะๆไม่ส่งนะ”
“เออไปเถอะ”
เมื่อสามพี่น้องขับรถออกจากบ้านไปพิพัฒน์ที่มองจากบนชั้นสองถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“เฮ้อ”
“ทะเลาะกับแฝดหรือไงลูก”
“เปล่าครับ” มาลินีเอ่ยถามลูกชายด้วยความกังวลเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจของเจ้าตัว
“ปกติเล่นเกมกันเสียงดังทำไมวันนี้เงียบแปลกๆ”
“พอดีเดนิมมาด้วยน่ะครับ”
“อ้าวหนูนิมมาเหรอไม่เรียกแม่ละลูก”
“เห็นแม่ยุ่งๆนะครับเลยไม่ได้บอก”
“วันหลังเรียกแม่นะแม่คิดถึงหนูนิมไม่ได้เจอกันนานเลย”
“เหมือนแม่จะชอบเดนิมมากเลยนะครับ” พิพัฒน์แกล้งถาม
“ก็เดนิมน่ารักมารยาทดีแถมยังพูดเก่งอีกแม่เห็นเดนิมตั้งแต่เด็กๆอดเอ็นดูไม่ได้แล้วพัดไม่ชอบน้องเหรอลูก”
“ก็…เปล่าหรอกครับผมแค่ถามไปงั้นๆเองงั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
บรรยากาศภายในรถระหว่างสามพี่น้องเงียบจนน่าอึดอัด
“ไงไม่เจอหน้าไอ้พัดก็จะเป็นจะตายพอเจอแล้วยังทำหน้าซังกะตายอีกจะเอายังไงกันแน่ตัวเล็ก” เดนีสที่เป็นพลขับกันมาถามร้องชายที่นั่งกอดตุ๊กตาหมีอยู่ด้านหลังไม่พูดไม่จาผิดกับขามาที่เจ้าตัวจ้อไม่หยุด
“หงอยเป็นหมาแบบนี้เพราะไอ้พัดไม่ตามใจเหมือนเมื่อก่อนล่ะสิ” เดนีนเอ่ยตอบตามความเป็นจริงเพราะเป็นเพื่อนสนิทกันเขาจึงมองเห็นความลำบากใจและความไม่เป็นกันเองของพิพัฒน์ที่ปฏิบัติต่อเดนิมมันมีความกระอักกระอ่วนอยู่หลายส่วน
“นี่ตัวเล็กพี่พัดโตเป็นหนุ่มหล่อแล้วไม่มานั่งโอ๋เด็กน้อยอย่างเราหรอกนะจะไปตามก้นมันต้อยๆเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วอีกหน่อยมันก็ต้องมีแฟน…แต่งงาน”
“พี่พัดมีแฟนแล้วเหรอครับ” เดนิมถามด้วยเสียงสั่นเครือกอดตุ๊กตาหมีที่พิพัฒน์ซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดครบสิบสองปีของเขาตอนนี้เดนิมเป็นเพียงเด็กม.ต้นอายุสิบห้าโลกของเขากับพิพัฒน์ต่างกันอย่างสิ้นเชิงทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิ
“อาจจะ…” เดนีสตอบพลางมองกระจกหลังฝาแฝดส่งสัญญาณให้กันก่อนเดนีนจะเอ่ย
“เอาน่าตัวเล็กของเราน่ารักน่าชังขนาดนี้ต้องเจอคนดีๆกว่านี้แน่”
“ตัวเล็กเราก็อย่าเกาะแกะไอ้พัดมากเกินไปเพราะ—”
“เพราะผมประหลาดใช่ไหมครับ พี่พัดเลยรู้สึกลำบากใจที่จะอยู่ใกล้ หากผมปกติ ก็คง…” เดนิมน้ำตารื้น เขาเข้าใจเหตุผลที่พี่พัดตีตัวออกหาก เพราะเขามีร่างกายพิเศษสามารถตั้งครรภ์ได้ พี่พัดคงกลัวคนจะครหา และอาจจะนึกรังเกียจเขาอยู่กลาย ๆ ก็ได้ เดนิมไม่ใช่ไม่สังเกตระยะห่างนั้น แต่เขาเพียงแค่หลอกตัวเอง ออดอ้อนเพียงอยากชิดใกล้ ทั้ง ๆ ที่เห็นความกระอักกระอ่วนฉายชัดในแววตา เพียงแค่ไม่อยากยอมรับ
“ไม่เอาน่าตัวเล็กไม่ใช่อย่างนั้น” สองแฝดมองหน้ากันก่อนจะถอนหายใจไม่รู้ไอ้พัดมีดีอะไรเดนิมถึงได้คลั่งไคล้และปักใจกับเพื่อนของเขาขนาดนั้นอาจเป็นเพราะโลกของน้องชายคับแคบยังอยู่เพียงม.ต้นพอม.ปลายมหา’ ลัยอาจจะคิดได้คงล้มเลิกความคิดตอนนี้ไปเอง
แต่พวกเขาทั้งคู่คิดผิดและคิดไม่ถึงว่าเดนิมยังปักใจกับพิพัฒน์เพียงคนเดียวตลอดระยะเวลาสิบๆปี
เดนิมไม่เคยคิดเลยว่ายิ่งไขว่คว้ายิ่งไกลห่างออกไป
หลังจากที่พิพัฒน์เรียนจบมหา’ ลัยได้ไม่นานก็ไปเรียนต่อโทที่ต่างประเทศเริ่มห่างหายกับสองแฝดรวมถึงเดนิมด้วยพิพัฒน์ไปแบบกะทันหันไม่มีการจัดเลี้ยงส่งอะไรทั้งนั้นโดยเป็นความตั้งใจของเจ้าตัวหลังจากปิดเทอมม.3 ขึ้นม. 4 เดนิมก็มีเวลามาเที่ยวเล่นที่บ้านพิพัฒน์บ่อยมากขึ้นเพราะอยู่ไม่ไกลกันมากนักแต่ก็มักจะพบแต่มาลินี
“สวัสดีจ้ะเดนิมมาแต่เช้าเลยนะวันนี้”
“สวัสดีครับคุณน้า” เดนิมพนมมือไหว้มาลินีอย่างนอบน้อม
“ไม่ต้องซื้อของอะไรมาเยอะแยะหรอกน้าเกรงใจ”
มาลินีเอ่ยเมื่อเห็นขนมนมเนยสารพัดที่เด็กตรงหน้ามักถือติดไม้ติดมือมาด้วยทุกครั้ง
“ทานข้าวเช้ามาหรือยังลูก”
“ทานแล้วครับ”
“มาๆเข้ามาข้างในก่อน”
“พี่พัดละครับ” เดนิมเอ่ยถามเสียงใส
“พี่พัดไปเรียนต่อที่อังกฤษตั้งแต่เมื่อคืนแล้วจ้ะ”
“อะไรนะครับ!”
“อ้าวเดนิมไม่รู้เหรอลูกพี่เขาไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วพี่แฝดเราล่ะเห็นว่าจะไปเรียนต่อเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
“เอ่อ…พี่เดนีสจะบินอีกสองสามวันข้างหน้าส่วนพี่เดนีนบินปลายเดือนครับเรียนกันคนละที่” เดนิมตอบคำถามโดยสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเขาเพียรพยายามมาหาพี่พัดกะเวลาเช้าสายบ่ายเย็นก็เหมือนเวลาจะไม่เป็นใจคลาดกันไปมาทุกครั้งเหมือนพี่พัดจงใจหลบหน้า
“คุณน้าครับพี่พัดไปเรียนที่เมืองอะไรที่ไหนเหรอครับเผื่อจะเป็นแรงบันดาลใจให้นิมบ้าง”
“เอ…เหมือนว่าพี่พัดจะไม่ได้เจาะจงนะ เห็นว่ายังเลือกไม่ได้ ไปปรับภาษาก่อน ก่อนจะตัดสินใจเลือกอีกที”
“อ่อครับ” เดนิมพยักหน้าทำเหมือนเข้าใจความจริงไม่ใช่ว่าพี่พัดเลือกไม่ได้หรอกแต่แค่ไม่คิดจะบอกกันก็เท่านั้น
เดนิมปั้นหน้ายิ้มก่อนจะอยู่ชวนมาลินีคุยทำนั่นนี่อยู่สักพักก็ขอตัวกลับมาลินีรู้ดีว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าตั้งใจมาหาลูกชายของเธอไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงทำให้เดนิมยึดติดกับลูกชายเธอขนาดนี้มาลินีสังเกตทุกครั้งที่เด็กทั้งสองเล่นด้วยกันเดนิมแทบจะตามติดพิพัฒน์ทุกฝีก้าวอาจจะด้วยวัยที่เริ่มมีไอดอลในดวงใจก็ได้เดนิมถึงได้ชมชอบบุตรชายของตนพอเดนิมโตมากกว่านี่สายตาคงจะเปลี่ยนไป
“งั้นผมลาแล้วนะครับแล้วจะแวะมาเยี่ยมคุณน้าบ่อยๆนะครับ” เดนิมยกมือไหว้ก่อนจะค่อยๆเดินคอตกออกไปหาคนขับรถที่จอดรออยู่ตรงประตูบ้านรออยู่แล้ว
“กลับบ้านเลยไหมครับ” ลุงชอบคนขับรถประจำตัวของเดนิมเอ่ยถามเจ้านายน้อยของตนเมื่อขึ้นรถ
“ไปห้องสมุดครับ” บางทีได้อ่านหนังสือที่ชอบสักเรื่องคงจะดีขึ้นไม่น้อยจะได้หยุดความคิดฟุ้งซ่านเสียที
ตั้งแต่ที่พิพัฒน์ไปเรียนต่ออังกฤษก็เปลี่ยนไลน์ใหม่เรียกได้ว่าสร้าง SNS แอ็กเคานต์ใหม่เลยก็ว่าได้อีกห้าวันข้างหน้าจะเป็นวันเกิดของตัวเองแล้วเดนิมเองก็จดจำวันเกิดของพิพัฒน์ได้เช่นกันแต่ว่าเขาไม่กล้าหน้าด้านขอไลน์ใหม่จากคุณน้ามาลินีเขาพอจะรู้ลิมิตและขอบเขตที่อีกฝ่ายยื่นให้พอสมควรได้แต่ฝากผ้าพันคอถุงมือหมวกไหมพรมที่ตั้งใจฝึกทำอย่างสุดความสามารถไว้ที่คุณน้ามาลินีหากส่งของให้พิพัฒน์ก็ฝากของเล็กๆน้อยๆพวกนี้ไปให้ด้วย
อีกด้านซีกหนึ่งของโลกพิพัฒน์ติดต่อกับที่บ้านเสมอได้รู้ข่าวคราวทางเมืองไทยรวมถึงใครบางคนที่เขาแทบจะละทิ้งความทรงจำทุกอย่างเอาไว้ที่เมืองไทยตั้งแต่มาที่นี่พิพัฒน์เป็นตัวของตัวเองมากขึ้นไม่ต้องคอยหลบหน้าเดนิมได้ใช้ชีวิตโดยปราศจากความระแวงเสียทียิ่งเดนิมอายุมากขึ้นความรู้สึกที่เดนิมมีต่อเขาก็ไม่เคยลดน้อยลงแต่เหมือนจะยังพออยู่ในขอบเขตที่เขาขีดเส้นเอาไว้ให้พิพัฒน์พูดได้เต็มปากทุกครั้งหากวันไหนที่แม่เขาเป็นฝ่ายติดต่อมาก่อนกลัวว่าจะมาขออนุญาตให้ช่องทางติดต่อของเขาแก่เดนิมเขาบล็อกเดนิมทุกโซเชียลออนไลน์ที่เขามีและหวังว่าการกระทำที่ชัดเจนของเขาจะทำให้เดนิมคิดได้ตลอดระยะเวลาสามปีเดนิมค่อยๆห่างจากพิพัฒน์จวบจนเดนิมจบมหา’ ลัยจึงได้หลุดวงโคจรชีวิตของพิพัฒน์อย่างสมบูรณ์
ไม่มีเด็กหนุ่มมหา’ ลัยดีๆคนไหนจะสนใจคบเด็กม.ต้นม.ปลายอย่างนั้นหรอกเหมือนผู้ใหญ่หลอกเด็กชัดๆอีกทั้งอีกฝ่ายยังไม่บรรลุนิติภาวะอาจอยู่ในภาวะที่ถูกชักจูงได้ง่ายตัดไฟตั้งแต่ต้นลมจะได้ไม่มีปัญหาในภายหลังอีกอย่างเขาไม่เคยทำท่าทีมีใจให้เดนิมเลยสักครั้งเพราะตระหนักได้ถึงความไม่เหมาะสมและข้อกฎหมายต่างๆในเมื่อพูดตรงๆไม่ได้การหนีมาอยู่อีกซีกโลกหนึ่งทำให้เขาสบายใจและยังคงเหลือสายสัมพันธ์ฉันพี่น้องให้อีกฝ่ายด้วย
เดนิมเลือกเรียนต่อปริญญาตรีที่ทวีปยุโรปเขาหลงใหลในแฟชั่นเขามุ่งมั่นที่จะมีแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเองและการทำงานก็ทำให้เขาลืมความฟุ้งซ่านที่อยู่ในหัวสมาธิจดจ่อกับแบบผ้าตรงหน้าเขาเย็บและออกแบบเสื้อผ้าหามรุ่งหามค่ำจนเรียนจบจึงลองเปิดใจให้คนอื่นก้าวเข้ามาในชีวิตบ้างนั่นก็คือชองส์ลูกครึ่งไทยฝรั่งเศส
การมีชองส์ทำให้โลกของเดนิมแต่งแต้มไปด้วยสีสันแปลกตาชองส์เป็นคนสบายๆง่ายๆคิดยังไงพูดอย่างนั้นอาจเพราะเติบโตมากับวัฒนธรรมตะวันตก
“เบเบ๋วันนี้ไปปาร์ตี้กันอีกไม่กี่วันจะกลับไทยแล้วนี่”
“เอาสิ”
ชีวิตที่เป็นตัวเองดื่มกินเต้นโดยไม่ต้องอายใครเป็นอะไรที่เดนิมไม่เคยทำมาก่อนจนมาพบชองส์
คนสองคนกอดคอเต้นรำทำเพลงเมาสนุกสุดเหวี่ยงก่อนแยกย้ายกันกลับ
ประเทศไทยบ่ายสามโมงเดนิมกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพตั้งแต่เครื่องบินกางปีกแตะลงรันเวย์สนามบินความคิดมากมายก็ผุดเข้ามาในหัว
“ป่านนี้พี่พัดแต่งงานไปแล้วละมั้ง” เดนิมยิ้มให้กับตัวเองก่อนมองออกไปนอกหน้าต่างรถยนต์แล่นไม่เร็วไม่ช้าเป็นลุงชอบคนขับรถคนเดิมที่ทำหน้าที่ไปรับไปส่งเขาแทบทุกครั้งและเป็นคนแรกที่มักจะเห็นสีหน้าและความผิดหวังของเขาอยู่เสมอเดนิมลอบมองผมสีดอกเลาของคนตรงหน้าเวลาผ่านไปเร็วจริงๆ
“ผมซื้อของฝากมาให้ลุงชอบด้วยนะครับคิดถึงลุงชอบจังเลยสบายดีนะครับ”
“ขอบคุณมากครับผมสบายดีครับว่าแต่จะแวะไปที่ไหนอีกหรือเปล่าครับ”
“ไม่ล่ะครับกลับบ้านเลย”
เดนิมอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้เมื่อเห็นรั้วคฤหาสน์บ้านของตัวเองบ้านที่เขาไม่ได้กลับมาอีกเลยตั้งแต่บินไปเรียนต่อสภาพแวดล้อมภายนอกยังประดับด้วยสวนดอกไม้นานาพันธุ์เหมือนเดิม
“นิมกลับมาแล้วครับ!!”
“กลับมาแล้วเหรอตัวเล็กสูงขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย” เดนีนเอ่ยทักทายพร้อมสวมกอดน้องคนเล็กที่ไม่ได้เจอกันนานหลายปีจะบินไปหาก็ไม่ยอม
“ไหน…ทำไมกลับมาคนเดียวไหนล่ะเขยฝรั่งเศส” เดนีสเอ่ยทักทายบ้าง
“เขยอะไรกัน” เดนิมบอกปัดบ่นอุบพอเขาหนีบเอาหนุ่มฝรั่งเศสกลับมาจริงๆสองแฝดมีหรือจะยอม
“พ่อกับแม่ล่ะครับ”
“กลับมาตอนค่ำๆพอดีไปงานเปิดตัวบริษัทคู่ค้าน่ะ”
“อ่อ…ครับ”
“มาๆพักผ่อนให้หายเหนื่อยค่อยลงมาทานข้าววันนี้มีอาหารจานโปรดของตัวเล็กทั้งนั้น”
“ขอบคุณครับ”
หลังจากนั่งเครื่องบินมานานแถมไทม์โซนยังต่างกันหลายชั่วโมงทำให้เดนิมอ่อนเพลียผล็อยหลับไปอย่างง่ายดายเมื่ออาบน้ำทำธุระส่วนตัวเสร็จ
มื้อเย็นวันนี้เป็นอีกวันที่นายหญิงอย่างลลดาและประมุขของบ้านเดรโกรหน้าชื่นตาบานครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าก่อนหน้านี้ลูกๆต่างแยกย้ายไปเรียนไปตามหาความฝันของตนเองในบรรดาลูกชายทั้งหมดลลดาเป็นห่วงลูกคนสุดท้องอย่างเดนิมมากที่สุดเพราะเหมือนจะเป็นพูดง่ายแต่ความจริงหากเจ้าตัวปักใจทำอะไรแล้วจะไปจนสุดทางแม้ว่าผลลัพธ์นั้นจะไม่เป็นดั่งใจก็ตาม…เรื่องของพิพัฒน์ก็เช่นกัน
เดนิมพยายามที่จะไม่ถามไถ่เรื่องของอีกฝ่ายแต่ก็มักจะได้ยินเรื่องราวข่าวคราวไม่เคยขาด เนื่องจากพิพัฒน์ผันตัวมาเป็นนักธุรกิจเต็มตัวตั้งแต่บิดาเสียชีวิตลง เป็นหนุ่มหน้าใหม่ไฟแรงแห่งโลกธุรกิจ ที่สำคัญมีหลายโปรเจกต์ที่ได้ทำร่วมกับธุรกิจของที่บ้านด้วย
พิพัฒน์เองก็เช่นกันแม้จะได้ยินว่าเดนิมกลับมาแล้วแต่ก็ไม่ได้เจอกันมาตั้งหลายปีคิดว่าเดนิมคงจะเปลี่ยนความคิดไปไม่มากก็น้อยอีกทั้งมีงานมากมายที่ให้เขาต้องได้ขบคิดจนไม่เหลือพื้นที่ให้คิดถึงเรื่องอื่นๆหลังจากเลขาเข้ามาแจ้งตารางงานและกำหนดการให้ทราบแล้วเขาก็ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
งานกินเลี้ยงต้อนรับลูกค้าหรือเรียกอีกอย่างว่าการตกลงผลประโยชน์กันเป็นการส่วนตัวบางโปรเจกต์ก็ต้องวิ่งเต้นพึ่งพาเส้นสายครั้งนี้เองก็เช่นกันและเขาจะต้องเลี้ยงต้องรับให้ดี
หลังจากเดนิมกลับมาจากฝรั่งเศสก็ยังไม่ได้เริ่มทำงานสานต่อธุรกิจของครอบครัวแต่เปิดร้านเสื้อผ้าแบรนด์ตัวเองอย่างที่วางแผนไว้อย่างเงียบๆช่วงระยะเวลาที่ร้านกำลังก่อสร้างเขาอยากจะพักผ่อนสัก 2-3 เดือนอีกทั้งชองส์ก็บินตามกลับมาเที่ยวไทยด้วยเป็นครั้งแรก
ตั้งแต่เดนิมบินไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสก็กลับไทยน้อยมากคล้ายกับว่าอยากหลีกหนีจากอะไรบางสิ่งบางทีการไม่เจอกันเลยคงเป็นทางออกที่ดีที่สุดยังไงสองครอบครัวก็ไปมาหาสู่กันอยู่แล้วอีกทั้งพี่พัดเองยังเป็นเพื่อนของสองแฝดด้วย
เดนิมมารับชองส์ที่สนามบินด้วยตัวเอง
“ไฮเบเบ๋คิดถึงยูจัง”
“คิดถึงเหมือนกัน” สองคนต่างจุ๊บแก้มทักทายกันตามแบบฉบับชาวปารีเซียงก่อนจะกอดกันไปตามทางเดินโดยไม่สนสายตาของคนรอบข้าง
ชองส์เข้าพักที่โรงแรมใหญ่ใจกลางเมืองไทม์โซนและสภาพอากาศที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทำเอาชองส์แทบจะหมดแรงไปกับการเดินทางและปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่แพลนที่วางไว้หลังเท้าแตะสนามบินจึงเปลี่ยนไปจากเลาะเที่ยวเล่นกลายมาเป็นกินข้าวในห้องโรงแรมแทนชองส์สะบัดรองเท้าเสร็จก็นอนแผ่บนเตียงกว้างอย่างหมดแรง
“เหนื่อยไหมเดินทางมาไกลขนาดนี้”
“พอเห็นหน้ายูก็หายเหนื่อยทันที”
“เฮอะปากหวานเก็บไว้ให้สาวๆของยูเถอะ” เดนิมเอ่ยแซวก่อนหน้านี้ทั้งคู่คบกันก็จริงแต่ด้วยไลฟ์สไตล์และอะไรหลายๆอย่างไปกันไม่ได้จึงกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันจนมาถึงทุกวันนี้ระหว่างที่คบกันชองส์คิดว่าเขาเหมือนตาแก่หัวงูที่หวังจะแอ้มเด็กดีอย่างเดนิมไม่ได้คนตรงหน้าใสซื่อและบริสุทธิ์เกินไปจนเขาทำร้ายจิตใจไม่ลงคาสโนวาอย่างชองส์คบใครไม่เกินสองสัปดาห์ต้องได้ขึ้นเตียงกันแล้วแต่กับเดนิมไม่ใช่เขาไม่ได้มีความรู้สึกแบบนั้นและชองส์ก็รู้ดีว่าหัวใจดวงน้อยๆนั้นไม่มีพื้นที่ให้เขาเลยสักนิด
“เจอที่รักของยูหรือยัง”
เดนิมส่ายหน้าแทนคำตอบก่อนจะเอนกายนอนลงข้างๆ
“บางทีไม่เจอกัน…อาจดีกว่า”
“ทำไม?” ชองส์ถามอย่างไม่เข้าใจ
“ก็…ไม่รู้สิ” พี่พัดบล็อกเขาทุกช่องทางแค่นี้ก็พอจะรู้คำตอบอยู่แล้วอีกทั้งเดนิมไม่อยากเข้าไปวุ่นวายให้พี่พัดต้องลำบากใจทุกคนต้องเติบโตและเดินหน้าต่อไปรวมไปถึงเขาเองด้วย
“ถ้ายูเปลี่ยนใจมาหาไอก็ไม่ได้แย่นะ” เดนิมหลุดขำ
ชองส์ลูบใบหน้าสวยหวานนั้นอย่างแผ่วเบาก่อนจะจูบหน้าผากเนียนนั้นอย่างรักใคร่
เดนิมไม่ได้ปฏิเสธสัมผัสนั้น
“ถ้าเปลี่ยนใจได้ง่ายขนาดนั้นก็คงจะดี” เดนิมตอบ
ชองส์เบะปากกับคำตอบที่ได้ยินก่อนจะลุกไปอาบน้ำเดนิมจึงขอตัวกลับก่อน
เดนิมเดินเข้าไปในลิฟต์ด้วยความรู้สึกหลากหลายก้มหน้าใจลอยจนไม่ทันได้รู้สึกว่าลิฟต์เลื่อนมาถึงชั้น G ซึ่งเป็นลานจอดรถก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเมื่อเห็นว่ามีคนยืนรอที่จะเข้าลิฟต์อยู่คนที่เขาไม่คิดว่าจะได้เจอกันเร็วขนาดนี้พิพัฒน์เองก็อึ้งเหมือนกันที่เจอเดนิมโดยไม่คาดคิดบรรยากาศกระอักกระอ่วนที่ฉายอยู่บนหน้าของพิพัฒน์ทำเอาเดนิมใจเสียไม่กล้าเอ่ยทักออกไปก่อนแม้ในใจจะลิงโลดแค่ไหนก็ตามก่อนจะตัดสินใจเดินผ่านอีกฝ่ายออกไปเหมือนคนไม่รู้จัก
เดนิมเดินออกมาจากลิฟต์อย่างรวดเร็วโดยไม่เหลียวหลังเขากุมอกข้างซ้ายไว้แน่นทั้งๆที่ห่างหายกันไปหลายปีขนาดนั้นแล้วแท้ๆความรู้สึกที่กดเอาไว้แทบจะทะลักทลายออกมาเมื่อเห็นใบหน้าของใครอีกคนคนที่ไม่เคยจะเห็นเขาอยู่ในสายตา
หลังจากขึ้นรถเดนิมนั่งตั้งสติอยู่หลังพวงมาลัยอยู่สักครู่จึงเคลื่อนรถออกไปส่วนพิพัฒน์หลังจากส่งแขกเขาก็เดินกลับห้องพักเหมือนเช่นทุกครั้งไม่คาดคิดว่าจะเจอเดนิมที่นี่ใบหน้าจิ้มลิ้มตอนเด็กไม่น่าเชื่อว่าจะสวยเฉี่ยวในตอนโตดวงตากลมโตที่เบิกกว้างที่มองเห็นเขานั้นทำเอาพิพัฒน์เองก็ปั้นหน้าไม่ถูกเหมือนกัน
เด็กน้อยในวันนั้นเติบโตแล้วไม่แปลกใจที่เดนิมจะไม่วิ่งเข้าหาเขาเหมือนอย่างแต่ก่อนถ้าเป็นแบบนั้นเขาเองก็อาจจะรู้สึกติดลบกับอีกฝ่ายมากกว่านี้ก็ได้แต่อดแปลกใจไม่ได้เหมือนกันที่เดนิมทำเหมือนไม่รู้จักเขาแบบนั้น
แต่พิพัฒน์ก็อดสงสัยไม่ได้แล้วเดนิมมาทำอะไรที่โรงแรมนี้แถมเวลายังดึกดื่นเอาป่านนี้?
บางทีคงไม่แคล้วเป็นเด็กนอกใจแตกอีกคนหนึ่งละมั้ง…แต่ช่างเถอะเดนิมจะเป็นอะไรยังไงไม่ใช่เรื่องของเขาซะหน่อยบางทีความสัมพันธ์ในวันวานตอนสมัยยังเด็กอาจถูกลบเลือนไปด้วยกาลเวลาแล้วท่าทีอีกฝ่ายในตอนนี้ก็ดีกับพวกเขาทั้งสองคนพิพัฒน์โคลงหัวพลางถอนหายใจ
เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว…
ตอนแรกเดนิมคิดว่าเขากับพี่พัดไม่มีวันจะลงเอยกันได้อีก แต่เหตุการณ์กลับพลิกผันเมื่อเย็นวันหนึ่งเขาและชองส์ออกไปเที่ยวคลับแห่งหนึ่งกลางใจเมืองเดนิมไม่ได้กลับบ้านเกิดเมืองนอนมาเสียนานเลยถือโอกาสเปิดหูเปิดตาอีกทั้งยังมีชองส์ที่เขาพอจะไว้ใจไปเที่ยวไหนมาไหนด้วยกันได้ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงนัดกันไปที่คลับแห่งหนึ่งว่ากันว่าบรรยากาศดีและติดหนึ่งในสามของสถานบันเทิงที่ครบครันมากที่สุดในย่านนั้นเดนิมจองโต๊ะไว้บนชั้นสองซึ่งเป็นชั้นวีไอพีชั้นลอยที่สามารถมองเห็นเวทีข้างล่างได้อย่างชัดเจนบรรยากาศดีกับแกล้มอร่อยสมกับรีวิวจริงๆอีกทั้งบริกรก็ได้รับการเทรนมาอย่างดียิ่งพวกเขาเป็นแขกวีไอพียิ่งนอบน้อมเดนิมจิบไวน์ในมืออย่างสบายอารมณ์เขาคุ้นเคยกับไวน์มากกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆเพราะเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจที่บ้านส่วนชองส์กำลังดื่มด่ำกับคอนยัคสีอำพันในมือหากเขาไม่ได้มากับเดนิมรับรองว่าไม่ขาดคนข้างกายติดไม้ติดมือกับห้องไปด้วยแน่ๆสถานที่อโคจรแบบนี้ดูไม่ค่อยเหมาะกับเดนิมสักเท่าไหร่“อย่าดื่มเยอะเบบี๋เดี๋ยวเมา”“รู้แล้วแหละน่า” เดนิมบ่นอุบอิบแม้จะเลิกรากันไปกลายมาเป็นเพื่อนคนสนิทแต่ชองส์ก็ยังคอยบ่นจู้จี้จุกจิกเ
เดนิมไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปตอนแรกคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นเพียงความลับระหว่างเขากับพี่พัดเช้ามาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้คาดคิดว่าเรื่องราวจะบานปลายขนาดนี้ความคิดเพียงชั่ววูบคิดว่าไม่เป็นอะไรแต่สุดท้ายเรื่องราวทุกอย่างกลับตาลปัตรอีกอย่างเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่แผนการของเขาเดนิมกล้าสาบาน! แต่ว่าใครจะเชื่อล่ะ?อีกอย่างเดนิมมีคลิปที่อยู่ในโทรศัพท์ของชองส์เป็นหลักฐานว่าผู้หญิงคนนั้นวางยาพี่พัดตอนนี้คลิปในมือที่เดนิมมีคือกล้องหน้ารถของตัวเองที่ขับตามรถญี่ปุ่นที่เลี้ยวเข้าเลิฟโฮเต็ลอีกทั้งไม่ได้เห็นว่าอีกฝ่ายพยุงพิพัฒน์เข้าไปในห้องพูดอะไรไปตอนนี้ก็คงไม่มีอะไรดีขึ้นยังไงการตัดสินใจตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายยังไงเขากับพี่พัดก็มีสัมพันธ์เกินเลยกันไปแล้วพ่อแม่ของเขาคงไม่ยอมจะให้แล้วต่อกันก็คงเป็นไปไม่ได้เดนิมเข้าใจแล้วว่าทำไมชองส์ถึงสั่งห้ามเขาหนักหนาว่าไม่ให้เข้าไปในห้องนั้นเพราะอย่างนี้นี่เองเดนิมกล่าวโทษตัวเองว่าโง่เขลาอยู่ในใจกัดริมฝีปากตัวเองจนห้อเลือด“งั้นกลับบ้านไปก่อนละกัน” เดนีสเอ่ยปาก“ก่อนกลับบ้านแวะไปโรงพยาบาลก่อนเถอะ” เดนีนพูดจบก็หิ้วปีกน้องชายที่อ่อนแรงแทบไม่มีแร
เดนิมอึ้งช็อกเมื่อได้ยินว่าตัวเองจะต้องแต่งงานและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับพี่พัดภายในระยะเวลาหนึ่งปีการแต่งงานถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมายมีเพียงสองครอบครัวและนายทะเบียนจากสำนักงานเขตเท่านั้นเจ้าบ่าวทั้งคู่ก็อยู่ในชุดแต่งงานที่เดนิมเป็นคนจัดเตรียมเองทุกอย่างรวมไปถึงแหวนแต่งงานทั้งสองวงดูเหมือนเป็นการวางแผนไว้ล่วงหน้าเป็นอย่างดีจะไม่ให้พิพัฒน์คิดได้ยังไงว่าเขาถูกเดนิมวางยาและมัดมือชกภาพงานแต่งงานที่คนทั้งสองนั่งพับเพียบอยู่ต่อหน้าพานเงินทองของหมั้นข้างหลังเป็นญาติผู้ใหญ่ทั้งสองและพี่แฝดในภาพเจ้าบ่าวทั้งสองคนต่างมีสีหน้าไม่สู้ดีต่างก็ราบเรียบปราศจากรอยยิ้มกันทั้งคู่เดนิมจ้องภาพงานแต่งที่เรียบง่ายของตัวเองกับพี่พัดอยู่อย่างนั้นเขานำไปอัดขยายมาใส่กรอบไว้ที่หัวเตียงก่อนจะรูดม่านสีดำปิดบังภาพถ่ายนั้นเอาไว้พร้อมถอนหายใจออกมาอย่างหมดแรงหลังจากงานแต่งพวกเขาทั้งสองจะต้องย้ายมาอยู่ด้วยกันซึ่งสัปดาห์หน้าวันที่ 1 กรกฎาจะเป็นวันแรกที่พวกเขาต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันหากระยะเวลานี้ไม่สามารถสร้างอนาคตไปด้วยกันได้ถือว่าต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระต่อกันเดนิมอ่านเอกสารสัญญาในมือยิ่งเห็นลายเซ็นที
ทุกวันเสาร์ทางบ้านเดนิมจะส่งแม่บ้านมาคอยปัดถูทำความสะอาดป้าอนงค์และป้าสายใจทำงานมานานอีกอย่างลลดาเป็นห่วงลูกชายอย่างน้อยส่งคนรู้ใจมาสอดส่องสัปดาห์ละครั้งก็ยังดี“คุณหนูคะเสื้อผ้ามีแค่นี้เองเหรอคะแล้วของคุณผู้ชายละคะ”“มีแค่นี้แหละครับของพี่พัดนิมซักหมดแล้วครับ”“ไม่ได้นะคะคุณหนูใส่ไว้ในตะกร้าเอาไว้ได้เลยเดี๋ยวป้ามาซักให้เองค่ะ”“ไม่เป็นไรครับนิมอยากทำให้พี่พัดเอง” เดนิมยิ้มตอบก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปยังห้องนั่งเล่นคนแก่อย่างอนงค์กับสายใจทำไมจะดูไม่ออกทั่วทั้งห้องไม่มีกลิ่นอายของคนอื่นอยู่เลยมีเพียงคุณหนูของเธอคนแล้วจานชามก็มีเพียงอย่างละหนึ่งตู้เสื้อผ้าโล่งขนาดนั้นแต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมา“ตู้เย็นแทบไม่เหลือของสดเลยป้าไปซื้อให้ไหมคะ”“ไม่เป็นไรครับซื้อกินเอาสะดวกกว่า”“ขาดเหลืออะไรบอกป้ามาได้เลยนะคะป้าจะได้ตระเตรียมให้”“ไม่น่าจะขาดอะไรแล้วครับขอบคุณมากครับ” เดนิมพูดตอบซีรีย์เรื่องโปรดที่กำลังโลดแล่นอยู่บนจอไม่เข้าหัวของเขาสักนิดที่เขาต้องแกล้งจดจ่ออยู่กับภาพยนตร์ตรงหน้าก็เพื่อหลีกเลี่ยงการตอบคำถามของแม่บ้านเขารู้ดีว่าทุกคนเป็นห่วงแต่เขาเองก็ยังแอบหวังอยู่ลึกๆว่าพี่พัดจะย
แม้จะตกลงอยู่ร่วมกันในทุกวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ แต่เดนิมคิดว่าไม่เจอกันดีที่สุด อย่างน้อยก็ไม่ต้องเจอกันให้เสียความรู้สึก และถือเป็นการฆ่าเวลาไปในตัว และเดนิมกลัว กลัวว่าจะไม่สามารถกลบเกลื่อนสายตา ความรักที่มันเอ่อล้นอยู่ในอก เขาไม่อยากได้สายตาสมเพชจากพี่พัดอีกเดนิมวิ่งมาหลายสิบปีเพื่อคนคนเดียวเขาได้แต่หวังว่าสักวันระยะทางที่ทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุดนั้นจะมีสักวันหนึ่งที่มีโอกาสมองเห็นเส้นชัยแต่ทว่าพี่พัดของเขาไม่เคยให้โอกาสนั้นสองขาที่ออกวิ่งมายาวนานเริ่มเหนื่อยล้าและอ่อนแรงลงไปทุกทีเดนิมกลับมาอาศัยภายในคอนโดของตัวเองอีกครั้งเขาเร่งปิดต้นฉบับเพื่อให้ทันเดดไลน์ที่ตัวเองกำหนดขึ้นโฟกัสกับตัวอักษรเบื้องหน้าตัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายออกไปกลั่นกรองเรียงร้อยรสรักออกมาเป็นหนังสือนิยายรักเรื่องเศร้าเรื่องหนึ่งว่ากันว่า ‘เรามักจะซ่อนคนคนนึงไว้ในบทเพลง’ นักเขียนอย่างเดนิมก็เช่นกันเขาซ่อนความรักที่มีต่ออีกฝ่ายมาอย่างยาวนานหลายสิบปีผ่านนิยายหลายสิบเล่มจนได้ขึ้นชื่อว่านักเขียนเรื่องเศร้าหากคุณมีความสุขในชีวิตมากเกินไปก็ไปหาหนังสือของ FALLIN มาอ่านหากคุณอยากจะล้างลูกตาชื่อนี้ไม่ทำให้คุณผิดหวังโดย
แม้ไม่อยากทำให้พี่พัดอึดอัด เดนิมมักจะปลีกตัวและไม่เข้าหาอีกฝ่ายโดยไม่จำเป็น ยิ่งในบริษัทเขาทำเหมือนเป็นพนักงานคนหนึ่งที่ไม่ได้มีสัมพันธ์เกินเลยกับเจ้านาย เดนิมวางตัวดีและพยายามหักห้ามความรู้สึกของตัวเองอยู่เสมอ แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายมักจะมีข้ออ้างให้เขาต้องติดสอยห้อยท้ายออกไปพบปะพูดคุยกับคู่ค้าอยู่เสมอเช่นกัน และแล้วเดนิมก็หาสาเหตุเจอว่าพี่พัดจะเก็บเขาไว้ข้างตัวทำไม ในที่สุดวันนี้ก็ได้รู้ ตลอดเวลาที่เขาตามพี่พัดไปทำงาน แม้จะโดยสารไปด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้กลับพร้อมกัน เดนิมชินกับความเป็นอยู่และการถูกปฏิบัติแบบนี้เสียแล้ว ไม่คาดหวัง…ไม่ผิดหวัง ตลอดระยะเวลาหลายสัปดาห์อีกฝ่ายมักจะพาเขาไปเรียนรู้งาน พบปะสังสรรค์ลูกค้าในฐานะเด็กฝึกงาน แต่ว่าไม่มีครั้งไหนน่าอึดอัดเท่าครั้งนี้มาก่อน ทั้ง ๆ ที่เป็นร้านอาหารสุดหรู บรรยากาศดี แต่ทว่าผู้ร่วมโต๊ะอีกคนกลับทำให้เดนิมรู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นที่สุด…ผู้หญิงที่มอมยาพี่พัดในวันนั้นก็คือคุณนิชา ซึ่งเป็นคู่ค้าของพี่พัดมายาวนานเดนิมนั่งกึ่งกลางระหว่างโต๊ะจะว่าไปหากตัดเรื่องเลวร้ายที่นิชาทำลงไปก็ดูจะเหมาะสมกับพี่พัดมากกว่าเขาทุกตรงทั้งคู่ทักทายกันอย่างคุ้นเคยเป็นก
แม้จะไม่อยากออกมาฝึกงานแต่เมื่อรับปากไว้แล้วก็ต้องทำให้เสร็จสามเดือนก็สามเดือนแค่ไม่กี่สัปดาห์ยังกินพลังงานชีวิตไปซะขนาดนี้ระหว่างเดนิมกับพิพัฒน์ก็ยังมีบรรยากาศกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อยแม้จะอาศัยอยู่ด้วยกันแต่ไม่ได้พูดคุยกันสักประโยคอีกทั้งเดนิมก็เลือกที่จะขับรถไปเองเมื่อก่อนรู้ทั้งรู้ว่าจะต้องโดนกลั่นแกล้งแต่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจแต่หลังจากที่มีปากเสียงกันครานั้นเดนิมก็ไม่อยากจะเป็นฝ่ายถูกกลั่นแกล้งอีกไม่ว่าจะให้เขาหิ้วท้องรอจนดึกดื่นหากวันไหนเขางีบหลับอีกฝ่ายก็จะกลับไปก่อนโดยที่ไม่เอ่ยปากจะเรียกกันอีกทั้งพี่พัดมักจะมีอิริยาบถที่ผ่อนคลายเมื่อไม่ได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังโดยเฉพาะการรับประทานอาหารร่วมกัน…ยิ่งคาดหวังมากเท่าไหร่มันก็จะยิ่งกัดกินความสุขในชีวิตเราไปมากเท่านั้นไม่มีใครไม่อยากสมหวังแต่ทว่ามันไม่เหลืออะไรให้หวังเลยต่างหากอาหารกลางวันคุณน้ามาลินีก็ห่อมาให้พี่พัดเหมือนเดิมเดนิมก็โทรหาสอบถามอยู่บ่อยๆไม่ใช่เพื่อทำคะแนนต่อให้คุณน้ามาลินีจะชมชอบเขามากแค่ไหนแต่เจ้าตัวไม่มีใจมันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดีเดนิมไม่อยากให้เรื่องระหว่างเขากับพี่พัดผิดใจกับผู้ใหญ่และเขาโชคดีที่น้ามาลินีไม่ได้รังเกียจกั
ทางด้านเดนิมโชคดีที่กาแฟวางพักไว้สักครู่บนเคาน์เตอร์แผลจึงไม่ได้ร้ายแรงเป็นแผลไหม้ระดับสองมีตุ่มพองใสแต่ก็ปวดแสบมากเพราะเส้นประสาทบริเวณผิวหนังยังเหลืออยู่ไม่ได้ถูกทำลายไปมากนักการหายของแผลใช้เวลาประมาณสองถึงสามสัปดาห์คุณหมอจึงให้ครีมทายาภายนอกรวมไปถึงการปิดแผลด้วยผ้าก๊อซอีกทั้งยังกำชับไม่ให้โดนน้ำรวมไปถึงที่ต้นขาด้านขวาด้วยเดนิมทำแผลเสร็จพี่แฝดก็โทรมาตอนอยู่ในรถพอดีเขากดรับสายก่อนจะทำน้ำเสียงปกติ “ว่าไงครับ”“วันนี้ว่างหรือเปล่าเราพี่สองคนจะไปรับไปทานข้าว”“วันนี้คงไม่ได้ครับ”“เดี๋ยวพี่โทรไปหาไอ้พัดให้”“อย่าดีกว่าครับเดี๋ยวพี่พัดจะว่าเอาตอนนี้ผมเป็นแค่พนักงานฝึกงานนะครับพี่แฝดอย่าลืม” เดนิมพยายามทำน้ำเสียงให้สดใส “อีกอย่างมีนักศึกษาฝึกงานคนอื่นมาฝึกด้วย”“แล้วเราจะว่างเมื่อไหร่” เดนีนแทรกขึ้นมา“เดี๋ยวถ้าว่างจะโทรไปนัดพี่ๆอีกทีนะครับไม่ต้องกลัวว่าพวกพี่แฝดจะไม่ได้จ่ายรับรองวันนั้นต้องจ่ายให้น้องทั้งวันนะครับ” แฝดต่างหัวเราะ “หาเวลามาให้ได้เถอะน้องคนเดียวจะเท่าไหร่เชียวแพงแค่ไหนก็เลี้ยงได้” ทั้งสามคนหัวเราะก่อนจะกดวางสายเดนิมถอนหายใจก่อนจะสตาร์ทรถกลับบ้านโดยไม่ได้ดูสายที่ไม่ได้รับก
เดนิมที่สวมชุดคลุมท้องอยู่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเมื่อฟังคุณแม่ลูกสองเล่าถึงเรื่องการคลอดธรรมชาติ“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”“ใช่…ขนาดนั้นแหละแต่ว่านะมนุษย์แม่อย่างเราทนได้เชื่อสิ” วินตราตอบคุณแม่มือใหม่ตรงหน้าที่เหมือนจะกังวลไปเสียทุกอย่างถามนั่นนี่ส่วนเขาที่เคยผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นมาก่อนก็คอยตอบคำถามน้องสามีอย่างใจเย็น“มะมะ” เดนอนเริ่มพูดคุยสองคำได้แล้วเรียกมามาปาปาทั้งวันไม่ก็หม่ำๆเด็กน้อยเริ่มเดินได้แล้วพอเดินได้ก็เริ่มซนเดินไปทั่วทั้งบ้านตอนนี้วินตราต่างก็ย้ายมาที่บ้านใหญ่ชั่วคราวเพราะลลดาอยากเลี้ยงหลานตอนนี้วินตราก็ท้องลูกคนที่สองได้ 4 สัปดาห์จะเรียกว่าหัวปีท้ายปีก็ไม่ผิดนักวินตรามองสามีตัวเองตาเขียวอยากจะถลกหนังหัวคนทำเพราะตอนนี้เขาก็ย่าง 43 แล้วมาท้องตอนแก่สังขารไม่ไหวแม้ว่าใจจะสู้ก็ตามอีกอย่างก็กังวลโรคทางพันธุกรรมและความผิดปกติทางโครโมโซมที่อาจเกิดขึ้นได้เดนิมอุ้มเด็กน้อยมานั่งตักแล้วสอน “เดนิมเดนิมไหนพูดสิครับ”“เดเด”“เดนิมครับ”“เดเดนิม”“เก่งมาก” เดนิมหอมแก้มยุ้ยๆนั้นฟอดใหญ่อย่างมันเขี้ยว“มีสองคนไล่ๆกันแบบนี้ก็ดีนะครับเหนื่อยทีเดียว” วินตราถอนหายใจพร้อมกับเอ
การแต่งงานถูกจัดที่เกาะส่วนตัวของท่านเจ้าสัวเป็นงานใหญ่ที่มีการเลี้ยงฉลองถึง 3 วัน 3 คืนบรรดาแขกเหรื่อที่ตบเท้ารวมงานพันกว่าคนและแน่นอนว่าเจ้าบ่าวถูกมอมเหล้าคอพับทุกคืนเดนิมยืนมองภาพถ่ายฉากหลังริมทะเลฟ้าสวยทะเลสีครามสองบ่าวสาวกำลังสวมแหวนแต่งงานให้แก่กันส่วนภาพอื่นๆก็เป็นภาพที่พวกเขาทั้งสองต่างก็ฉีกยิ้มจนไปถึงดวงตาแตกต่างจากภาพในอดีตอย่างเห็นได้ชัดการแต่งงานครั้งนี้มีแต่ความชื่นมื่น“อื้อ”เดนิมถูกสวมกอดจากทางด้านหลังจมูกก็ซุกไซร้ไปทั่วลำคอระหง“พี่พัด”“ยืนมองรูปนี้อีกแล้วนะเรา” ไม่รู้สิรูปถ่ายพวกนี้ที่เดนิมได้อัดใส่กรอบไว้ติดไว้ในห้องนอนของพวกเขารวมไปถึงห้องนั่งเล่นแต่รูปที่สวมแหวนให้กันมักจะดึงดูดความสนใจของเขามากเป็นพิเศษเป็นภาพที่ทะเลท้องฟ้าเหมือนเป็นใจทุกอย่างลงตัวแถมชุดแต่งงานยังเป็นชุดที่เขาออกแบบเอาไว้เพชรและไข่มุกเปล่งประกายระยิบระยับเมื่อกระทบกับแสงแดดเดนิมยังจำภาพวันงานได้ดีแม้จะผ่านมาร่วมสามเดือนแล้วก็ตามตอนนี้พวกเขาทั้งสองย้ายมาอยู่เพนท์เฮ้าส์หลังเดิมเพียงแต่มีการต่อเติมจัดผังใหม่ห้องนอนใหญ่ถูกขยายให้ใหญ่ขึ้นรวมไปถึงห้องนอนแขกก็ออกแบบใหม่เพื่อรองรับสมาชิกใหม่ในวันหน้า
เดนิมไม่ได้คาดหวังกับความสัมพันธ์ครั้งนี้ความจริงเขาแทบไม่ต่างอะไรไปจากเดิมเพิ่มเติมคือมีคนคอยรับคอยส่งก็เท่านั้น“ไงไอ้พัดการงานไม่มีทำเหรอไง” เดนีสถามพลางเปิดฝ่ายเปิดประตูให้เดนิมขณะที่รถจอดหน้าบริษัทบริษัทนี้เป็นบริษัทของเดนิมที่แตกย่อยไลน์การผลิตเครื่องดื่มออกมาภายใต้การดูแลของเดนีสวันนี้เขาแวะเข้ามาประชุมในฐานะที่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่และเป็นหนึ่งในคณะบริหารด้วยส่วนเลขาข้างหลังนั้นสีหน้าราบเรียบบุคลิกดีแตกต่างจากเจ้านายอย่างสิ้นเชิง“ขอบคุณครับ” เดนิมเอ่ยขอบคุณพี่ชายก่อนจะลงรถมายืนข้างๆ “อ้าวสวัสดีครับคุณวิน”“สวัสดีครับ” วินตราเอ่ยทักทายน้องชายเจ้านายอย่างนอบน้อม“ตอนเย็นพี่มารับนะ”“ครับ”“ตอนเย็นก็กลับกับพี่ไงบ้านเดียวกันกลับด้วยกันประหยัดดีออก”“แล้วคุณวินตรากลับยังไงล่ะครับ” เดนีสสะอึกรถคันโปรดของเขานั่งได้แค่สองคนวันนี้ขับมาเองไม่ได้ให้คนขับมาส่งด้วยเดนีสตีหน้าขรึม “อ้อลืมไปวันนี้มีประชุมตอนบ่ายต่อ” ก่อนจะเดินหนีเข้าไปในตึกพร้อมกับคุณเลขา“ตอนเย็นพี่มารับนะ”“อาจจะเลทหน่อยนะครับช้าสักครึ่งชั่วโมง”“ไม่เป็นไรมีอะไรก็โทรมา”“ครับ” พิพัฒน์รอจนเดนิมเดินหายเข้าไปในตึกเขาถึงเคลื
“ทำไมนิมถึงให้โอกาสพี่” พิพัฒน์ตัดสินใจถามออกไปไม่รู้สิหากเป็นเขาคงไม่ได้ง่ายดายแบบนี้แต่ความคิดของเดนิมการที่เขาให้อภัยคนตรงหน้าไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นมันมีระยะเวลาอีกทั้งพี่พัดคงไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่เรียกว่า ‘ง้อขอคืนดี’ ไม่ได้แวะเวียนมาหาหรือขยันสรรหาของมีค่ามาให้แต่การกระทำกลับตรงข้าม“ลิลลี่สีขาวตลอดสามปีที่พี่พัดส่งให้นิมทุกโอกาสก็แฝงความนัยไม่ใช่เหรอครับ”“อ่า” นั่นก็จริงเพราะพิพัฒน์ไม่ใช่คนช่างพูดแต่การกระทำของเขามักจะแฝงความนัยเอาไว้ในสิ่งของต่างๆเสมอไม่ว่าจะดอกลิลลี่สีขาวที่ส่งให้อีกฝ่ายในทุกโอกาสพิเศษต่างๆเดนิมมีพร้อมทุกสิ่งเขาไม่อยากให้ของมีค่าเพื่อกดดันให้อีกฝ่ายรับไว้ดอกไม้อย่างมากสองสัปดาห์ก็เหี่ยวเฉาร่วงโรยไปจะทิ้งก็สมควรเพราะถึงแก่เวลาเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแต่ความจริงแล้วดอกลิลลี่สีขาวพวกนั้นไม่เคยถูกทิ้งสักช่อแม้จะแห้งเหี่ยวไร้กลิ่นไม่เหลือความสวยงามแต่ความหมายยังคงอยู่ยังคงวางอยู่ในกล่องใสเรียงซ้อนกันหลายกล่องภายในโกดังเก็บของแต่เขาไม่บอกพี่พัดหรอก“พี่พัดคงรู้ความหมายของลิลลี่สีขาวดี”ดอกลิลลี่สีขาวแสดงความรักที่บริสุทธิ์และความไร้เดียงสาความเห็นอกเห็นใ
ว่ากันว่าหนังสือเล่มเดิมตอนจบไม่ว่าจะอ่านกี่ครั้งก็ยังคงเหมือนเดิม…นั่นก็จริงส่วนหนึ่งแต่ว่าทุกครั้งที่อ่านกาลเวลาไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่คนเราโตขึ้นสังคมสิ่งแวดล้อมแม้ตอนจบในตอนสุดท้ายจะยังคงเหมือนเดิมแต่ทว่าความรู้สึกทุกครั้งที่ได้อ่านไม่มีทางเหมือนเดิมคนเราเองก็เช่นกันทุกคนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาไม่มีใครคงเดิมจะเป็นไรไปหากเราอยากจะหยิบเล่มโปรดขึ้นมาอ่านอีกครั้งแม้ว่าระหว่างทางที่อ่านจะเปียกปอนและเหน็บหนาวไปบ้างแม้ตอนจบจะไม่สมหวังแต่อย่างน้อยเราก็ได้อ่านมันเพื่อเติบโตคนเราไม่ได้เติบโตเพียงร่างกายแต่ความรู้สึกของเราก็เติบโตด้วยเช่นกันเรียนรู้ที่ยอมรับความผิดพลาดแก้ไขและทำให้มันดีขึ้นดังเช่นพวกเขาทั้งสองเริ่มแรกสถานการณ์ไม่เป็นใจพอเวลาผ่านไปทำให้ตกผลึกได้ถึงบางสิ่งบางความรู้สึกที่ไม่แจ่มชัดในตอนแรกนิยามคำว่ารักคนเราไม่เหมือนกันบ้างขอแค่ได้รักบ้างขอให้ได้อยู่ด้วยกันแล้วถ้าหากนิยามรักของพวกเราสองคนไม่ตรงกับคนอื่นล่ะ? พิพัฒน์นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดขับรถไปยังบ้านศศิภักดีตลอดทาง หากผู้ใหญ่ทางบ้านศศิภักดีจะกีดกัน นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก การแต่งงานของพวกเขาทั้งสองในตอนแรกมีแต่ความไม่เข้าใจ ความ
การอ่านนิยายกลายเป็นหนึ่งในงานอดิเรกของนักธุรกิจชื่อดังอย่างพิพัฒน์ เขาพึ่งค้นพบการเยียวยาหัวใจตัวเอง ก็เหมือนวลี ‘นั่งโง่ ๆ ที่ริมทะเล’ อะไรทำนองนั้น อีกอย่างมันทำให้เขาเข้าใจตัวตนของเดนิมมากขึ้น เมื่อก่อนเขาคิดว่านิยายมันไม่สมจริง ประโลมโลก รู้สึกว่าเสียเวลาชีวิตด้วยซ้ำ แต่พอได้ลองอ่าน ลองวิเคราะห์ตัวละคร หลาย ๆ เรื่องราวจะเห็นได้ว่านิยายไม่เพียงสร้างความบันเทิงหรือเสริมสร้างจินตนาการ แต่บางเรื่องกลับซ่อนเรื่องราวเบื้องหลัง ความฝันบางอย่างที่นักเขียนไม่สามารถลงมือทำมันในชีวิตจริงได้ แต่สามารถทำให้มันสำเร็จได้ในนิยายเรื่องหนึ่งดังเช่นเรื่อง ‘ความรักและกาลเวลา’ ที่เขากำลังอ่านอยู่ตอนนี้จะบอกว่าอินก็คงจะไม่ผิดนักเป็นการบอกเล่าความรักของคนสองคนที่ผ่านอุปสรรคกาลเวลาความเข้าใจผิดและกลับมาพบกันอีกครั้งโดยปลายปากกาของ FALLIN นักเขียนผู้ไม่สมหวังในความรักรวมไปถึงความฝันต่างๆได้ถูกบอกเล่าผ่านตัวอักษรหน้าแล้วหน้าเล่าค่อยๆถ่ายทอดออกมาอย่างถูกจังหวะบางประโยคก็กระแทกใจคนอ่านทำให้นักอ่านรู้สึกคล้อยตามและเห็นใจตัวละครได้ไม่ยากพิพัฒน์ได้เรียนรู้และเข้าใจคนคนหนึ่งเพราะการอ่านนิยาย FALLIN เป็นนามปาก
การเขียนคือหนึ่งในชีวิตประจำวันของเดนิมไปเสียแล้วแม้ว่าเขาจะกล้าพูดกล้าวิจารณ์มากขึ้นแต่การระบายของเสียภายในจิตใจของเขายังเป็นการเขียนอยู่ดีปล่อยสมองและปล่อยใจให้พลิ้วไหวไปตามนิ้วมือที่เคาะลงบนแป้นพิมพ์สภาพจิตใจตอนนี้ของเขาดีขึ้นมากพอไม่ยึดติดก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไปอีกทั้งนิยายเรื่องใหม่ที่เขียนก็เป็นการถ่ายทอดความรู้สึกเจ็บปวดเหล่านั้นลงไปทีละเล็กทีละน้อยจนตอนนี้ของเสียภายในจิตใจของเขาไม่ได้มากมายเหมือนอย่างแต่ก่อนตอนจบที่เดนิมวางเอาไว้เป็นปลายเปิดมนุษย์เราก็เหมือนเฉกเช่นตัวละครในนิยายบ้างทำเรื่องที่ผิดมหันต์บ้างโง่เขลานักอ่านอ่านในมุมมองพระเจ้ามองเห็นภาพรวมทั้งหมดหากเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงเราต่างก็บ้าใบ้และโง่เขลาและอาจกระทำในสิ่งที่ไม่สมควรเหมือนดั่งตัวละครที่เราก่นด่าเพราะฉะนั้นเดนิมจึงปล่อยให้ตัวละครดำเนินเรื่องไปเขาอัพนิยายทุกคืนหากวันไหนมีธุระก็จะแจ้งเตือนล่วงหน้าอัพกลางคืนและใช้เวลาที่นั่งอยู่ในรถตอนเช้าระหว่างเดินทางไปบริษัทฆ่าเวลารถติดที่แสนน่าเบื่อด้วยการอ่านคอมเมนต์และตอบกลับปกติการลงนิยายให้อ่านแต่ละตอนจะเป็นหน้าที่ของทางสำนักพิมพ์แต่ว่าเรื่องนี้เดนิมตัดสินใจที่
พิพัฒน์เดินออกจากห้องพักผู้ป่วยด้วยสีหน้าไม่สู้ดี แม้แต่สองแฝดที่ทำท่าจะเข้ามาก่อกวนต่างก็มองหน้ากันด้วยความสงสัย แม้ว่าจะหมั่นไส้ไอ้เพื่อนรักมากแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้เกลียดถึงขนาดจะฆ่าแกงกัน อีกอย่างเรื่องของความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้ อย่างที่เคยบอก ไอ้พัดเพื่อนเขาวางตัวดีมาตลอด รักษาระยะห่างกับเดนิมจนไม่รู้จะรักษาระยะห่างยังไง แต่สุดท้ายคืนหนึ่งชีวิตก็พลิกผัน ได้แต่งงานกับคนที่คอยวิ่งหนีมาตลอดหลายสิบปีแต่วันนั้นที่ริมทะเลเดนีสแน่ใจว่าความรู้สึกของเพื่อนรักได้เปลี่ยนไปเพียงแต่เจ้าตัวแค่ไม่แน่ใจอีกอย่างตอนที่เดนิมยังเด็กไอ้พัดประคบประหงมเดนิมยิ่งกว่าพี่น้องที่คลานตามกันมาอย่างพวกเขาเสียอีกตัวติดกันจนพี่ชายอย่างเขาไว้ใจหากเดนิมอยู่กับพิพัฒน์แต่เพราะวัยเจริญพันธุ์มาถึงรวมถึงเรื่องเพศสภาพจึงทำให้ทั้งสองไม่สามารถสนิทสนมกันได้ตามเดิมจะบอกว่าไอ้พัดเองก็มีใจให้…ก็พูดได้ไม่เต็มปากไม่งั้นจะได้ตำแหน่งว่าที่ลูกเขยในอนาคตของเดนิมเหรอผู้ใหญ่มองออกตั้งนานแล้วว่าอะไรเป็นอะไรมีเพียงเจ้าตัวที่ไม่รู้อะไรเลยหากตอนนั้นไอ้พัดมาสารภาพว่าคิดกับเดนิมเป็นอื่นด้วยวัยเพียงแค่นั้นไอ้พัดคงโดนซ้อมปางตายเป็นแน่แต่พอ
ผู้บริหารอย่างพิพัฒน์ออกงานพบปะผู้ร่วมลงทุนบ้างประปรายส่วนงานประมูลแบบนี้เรียกว่านับครั้งได้เขามาในฐานะหนึ่งในผู้บริหารของ SSP GROUP และผู้บริหารของ KA GROUP ด้วยเช่นกันบรรดาข้าวของที่พิธีกรบรรยายรายละเอียดเพื่อดึงความสนใจของเหล่าบรรดานักสะสมทั้งหลายในค่ำคืนนี้แต่ทว่าพิธีกรสาวสวยหรือสิ่งของที่ว่าล้ำค่าหายากไม่ได้เข้าสู่โสตประสาทของเขาเลยแม้แต่น้อยนิ้วมือข้างขวาคลึงแหวนแต่งงานข้างซ้ายอยู่อย่างนั้นคล้ายกับไม่รู้ตัวแต่สายตากลับจ้องมองเสี้ยวหน้าของใครบางคนที่กำลังลุกยืนพูดจายิ้มแย้มเดินออกไปเคียงคู่กับสิบทิวารวมไปถึงชายหนุ่มผมทองอีกหนึ่งคนพิพัฒน์ย่นคิ้วพลางจ้องมองใบหน้าของคนแปลกหน้าที่อยู่กับเดนิมคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอหรือรู้จักแต่ก็จำไม่ได้จะว่าไปมีแต่เดนิมที่รู้จักเขาแต่เขาเองกลับไม่รู้เรื่องอะไรของเดนิมเลยเพราะเขาไม่เคยใส่ใจและไม่คิดว่าจะต้องใส่ใจแม้ว่าพิพัฒน์อยากจะเข้าเดินไปทักทายเดนิมมากแค่ไหนแต่เหมือนผู้คนและบรรยากาศรอบข้างจะไม่เป็นใจ“ได้คุยกับน้องบ้างหรือยังลูก” พิพัฒน์ส่ายหน้า“ยังเลยครับ” มาลินีเองก็ถอนหายใจออกมาเช่นกันก่อนจะตบหลังมือลูกชายเบาๆ“ช่วยไม่ได้นี่นาพัดใจร้ายกับ