เมื่อมันอักเสบชอกช้ำรุนแรงมันก็ยังทิ้งแผลที่เพียงตกสะเก็ด กับรอยแผลเป็น ทำให้เขามองความรู้สึกในอดีตอย่างเจ็บเคืองจึงพยายามปรับเปลี่ยนสีหน้า ทำให้ดูเป็นปกติ
ด้วยการหันใบหน้าคมคายหล่อเหลายิ้มให้กับมารดา “อากาศยามเช้านี้สดใสเหลือเกิน ไม่มีอะไรมากครับ ผมแค่อยากจะไปทำงานช้าสักวันหนึ่ง แต่ไม่สายหรอกนะครับ เพราะเดี๋ยวผมจะไปแล้ว”
ประหลาดใจในคำพูดและกิริยาของบุตรชาย แต่ถึงอย่างไรเธอก็วางเงียบ แต่ก็อดตอบไม่ได้
“ยังงั้นหรือ แม่ก็นึกว่าจะไม่สบายเสียอีก หน้าตาของลูกสองวันมานี้ก็ดูเซียวซูบเหลือเกิน เหมือนคนไม่ได้นอนเต็มที่แม่ก็อยากจะให้ถนอมสุขภาพให้มากๆหน่อย อย่างไรก็ตามลูกก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงคนหนึ่งในฐานะพี่ชายของน้อง”
เขาพยักหน้าเป็นคำที่น่าฟังอย่างยิ่งแก่มารดา ที่ประโลมเข้าไปในหัวใจของเขา ทำให้เขาเข้าใจหน้าที่แท้จริงของคนเป็นพี่
จากนั้นคุณภวานันท์ขอตัวก้าวไปทางอื่น เห็นเดินออกทางประตูหลังบ้าน คงเข้าไปในสวน ส่วนจอมภูนั้นก็เป็นเวลาพอดีที่เขาจะก้าวเท้าตรงไปที่โรงจอดรถกลับปะทะสายตาคนที่เดินตรงมาเหมือนกัน ดวงตามันดุ เหมือนไม่พอใจอย่างยิ่ง เลยเอ่ยทักก่อน
“ไง เจ้าพล”ภูวพลไม่อยากจะเอ่ยตอบพี่ชายสักเท่าไหร่ เขาจึงตีสีหน้าเมินเฉย เหมือนไม่รับฟัง
“พี่คิดว่าแกคงเข้าไปคุยกับคุณแม่แล้วก็คุณพ่อแล้ว เรื่องที่รายงานให้ฉันฟังแล้วความฝันของแกก็ล่มกลางอากาศ”
“นี่ ไม่ต้องมาเยาะเย้ยผม ผมไม่อยากจะพูดกับพี่” ภูวพลเอ่ยใส่พี่ชายด้วยสีหน้าเคือง
“แล้วนี่ แกจะออกไปไหน จบแล้วนี่ ก็รีบๆหางานทำ ไม่ก็ทำที่บริษัทด้วยกัน”
“ผมไม่มีทางทำงานร่วมกับพี่จอมแน่”
น้องชายเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด พลางผลุนผลันเดินหนีจากไป
“ก็เรื่องของแก ไม่ได้มีใครบังคับนี่หรือถ้าแกจะกลับไปมีความรักแบบกัดก้อนเกลือกิน”
ภูวพลปิดหูอีกครั้งไม่อยากจะฟัง ลุกเดินหนี ทำไมเป่าหูและคิดไม่ดีกับเขาเลยพี่ชายคนนี้ อุปนิสัยของพี่ชายนับวันเขารู้สึกรังเกียจ นี่คือความอิจฉาหรือเปล่า
หุนหันพลันแล่นด้วยอารมณ์อีกที พร้อมกับลุกคว้ากีต้าร์ตัวโปรดติดมือด้วย
จอมภูมองด้วยสายตาที่ยิ้มเยาะ กับน้องชายที่ไม่อยู่ในโอวาท
ดังนั้นเมื่อเห็นภูวพลก้าวออกไปจากบ้าน เดินตามริมฟุตบาท จอมภูก็ขับรถออกไปที่ทำงาน ระหว่างทางเห็นน้องเขาบีบแตร แต่คนเดินไม่สนใจ เร่งเดินอย่างเดียว พร้อมกับฝีเท้า
แทบไม่สนใจเสียงแตรที่บีบเหมือนคนกวนประสาทนับวันพี่ชายเริ่มจะฝังความเกลียดชังในใจเขาเพิ่มมากขึ้น
เมื่อเขาไม่ตอบสนอง รถยนต์ของจอมภูเลยแล่นจากไป พอพี่ชายจากไปแล้วเขามองด้วยสายตาเคือง จนกระทั่งถึงปากซอย
ตัดสินใจรอรถสองแถว เพื่อไปลงที่ปากทางถนนใหญ่ เพื่อนั่งรถเมล์ ไปหาเพื่อนสนิท ซึ่งเขาตัดสินใจจะไปซ้อมกีต้าร์ ที่บ้านของฐานะยศ หรือไอ้ฐา เพื่อนรัก ซึ่งเพิ่งโทร.ไปและเพื่อนก็ตอบรับคำ
“ฉันไม่รู้จะไปที่ไหน”
เอ่ยบอกเพื่อนสนิทที่คบหาเรียนด้วยกันตั้งแต่ชั้นอนุบาลรวมทั้งชั้นประถมในละแวกบ้านพัก แยกย้ายจากกันเมื่อเรียนมหาวิทยาลัย ที่อยู่กันคนละคณะและมหาวิทยาลัย
น้ำเสียงเศร้าทำให้อีกฝ่ายคาดเดาว่า
“ทะเลาะกับพี่จอมอีกแล้วสิ”
จึงพยักหน้า
“ฉันพอเข้าใจว่ะ เรามันวัยรุ่น พี่แกก็อายุมากโขแล้ว อารมณ์มันต่างกัน”ก็ได้แต่เพียงพยักหน้ากับเพื่อน
“วันนี้ฉันอยู่บ้านทั้งวัน ก็เพิ่งจะจบ สัปดาห์หน้าน้าของฉันจะฝากงานให้ทำอยู่แถว ถนนพระรามสี่”
พูดถึงงานก็ดีใจที่เพื่อนอย่างฐานะยศซึ่งเพิ่งจบคณะนิติศาสตร์ เจ้าตัวคิดจะเรียนต่อเนติอีกเพื่อสอบเข้าเป็นผู้พิพากษา ตอนนี้กำลังสอบตั๋วเป็นทนายความ แต่ว่าน้าชายดันมาชวนให้เป็นพนักงานในบริษัท ฐานะยศอยู่ในระหว่างตกปากรับคำ แต่เมื่อน้าแท้ๆชวนอย่างนี้ เห็นจะปฏิเสธยาก เพราะคำของน้าก็เอ่ยว่า
“จบแล้วก็จริง แต่งานทนายความมันก็หายาก ถ้าไม่มีเส้นสายหรือคนรู้จัก งานมันต้องทำงานอยู่ในสำนักงานกฎหมายไม่ใช่หรือ”
ฐานะยศถอนหายใจ
เขาจดจำคำพูดของน้าได้
“น้าเองก็ไม่มีเพื่อนทางนี้ เอ็งต้องหาสมัครเอาเองล่ะหรือจะสอบเข้าราชการพวกเจ้าหน้าที่กรมบังคับคดี หรือพนักงานเทศกิจเงินเดือนตามวุฒิปริญญาตรี เลือกเอา แกจะตามใจน้า หรือไม่ตาม”
นี่แหละก็เหมือนกับเป็นความประสงค์ของน้าด้วย
ภูวพลดีใจกับเพื่อนที่ เขาสามารถหางานทำได้
“ส่วนเรายังเลยจะลองไปสมัครทิ้งดูอีกวัน ที่สมัครไว้อาทิตย์ก่อน ยังไม่เรียกตัวเลย”
ทั้งสองมีหัวใจเป็นดนตรีเช่นกันศิลปะความงามที่ประดิษฐ์คิดค้นในใจเพื่อคลายเครียด ผ่อนคลายจากความเครียดเหนื่อยล้า เสียงเพลงก่อให้เกิดความสุขสุขสรร เพราะกล่อมขับออกมาจากพลังภายในปอด
ทั้งสองชอบเสียงเพลง ชอบร้องและแต่งเพลงเล่นจึงเข้าขากันเป็นอย่างมาก
“ยัยมิ้ง น้องสาวของนายอยู่บ้านด้วยหรือเปล่า”
ไม่รู้เป็นไงเอ่ยถึงเรื่องนี้ ทั้งที่ทราบอยู่ว่า ภูวพลมีแฟนสาวแล้ว เรียนอยู่ด้วยกัน จบพร้อมกันด้วย
เพราะภูวพลมักคุยอวดโอ่กับเพื่อนฝูงถึงหญิงสาวหน้าหวานที่งดงามคนนั้น เวลาพากันออกไปเที่ยวข้างนอก ที่ผับหรือช่วงวันสุดสัปดาห์ในโรงหนัง ก็ได้เห็นหน้าค่าตาแล้ว
ฐานะยศมีคนรักเหมือนกันเรียกเป็นแฟนชื่อ กอฝ้าย
“ถามทำไมถึงน้องสาวฉัน นายก็มีแฟนนี่หว่ามีอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”
“เปล่าที่ฉันถามก็เห็นว่าน้องสาวนายดูท่าจะไม่ชอบฉันสักเท่าไหร่”
“คิดมากไปได้”
“แต่ฉันคิดอย่างนั้น”
“อ้าว งั้นเอาอย่างนี้ เลี่ยงนายไม่ให้เจอยัยมิ้งจอมจุ้นอย่างน้องสาวของฉัน เออมีที่หนึ่งว่ะที่เหมาะกับซ้อมดนตรีมากที่สุด”
“ตรงไหนวะ”
“สุดซอยบ้านของฉันไง มันมีลานโล่งวะเอาเสื่อไปปูด้วย ตรงนั้นเป็นบ้านร้าง ติดคลอง ดีซะอีกไม่มีคนรบกวน” ภูวพลเห็นว่าเข้าท่าเหมือนกัน เลยตกลง เลือกเอาสถานที่ซึ่งเป็นท้ายซอยติดคลองมีดงโสนกับกอผักบุ้ง และกระท่อมร้างที่เหมาะเจาะสำหรับนั่งเล่นกีร์ต้าร้องเพลง ใจของฐานะยศคิดโลดแล่นไปไกลเพราะเขาอยากจะเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงได้บันทึกเสียงวันนี้ภูวพลจึงขอทำใจสงบสักวัน แล้วเขาต้องแบกตัวเองไปพบกับปัญหาทางบ้าน ปัญหาการกีดกันทางรักที่แก้ไขไม่ได้ซักที เมื่ออยู่ในโลกส่วนตัวเช่นนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองสงบ ปล่อยใจไปกับการจินตนาการผ่านอารมณ์เสียงที่เปล่งเป็นธรรมชาติจากกระบังลมผ่านลำคอ เขาพยายามที่จะฝึกออกเสียงร้องเพลงที่ถูกต้อง ตามการร่ำเรียนจากรุ่นพี่ที่พอจะทราบบ้างว่า การร้องเพลงที่ถูกต้องนั้นร้องแบบไหนรวมทั้งการฝึกวอร์มเสียง ทำให้เสียงเกิดพลัง สำหรับภูวพลหรือพลก็คิดถึงเช่นกัน มณีรัชดาไงแม้ว่าจะฮัมเพลงในขณะนี้จิตใจยังไพล่ไปนึกถึงแฟนสาวแสนสวยนั่นจนได้ฐานะยศก็มองออกและเขาไม่ได้ว่าเพื่อนหรือเย้าแต่อย่างใด อาจจะเป็นเพราะว่าเขารู้ว่าเพื่อนคนนี้เจอแรงกระทบรอบด้านมามากเ
“คุณเนี่ยนะ มาเดินเล่นที่สวนลุม” มณีรัชดาเริ่มสีหน้าไม่พอใจบ้างนี่มันเรื่องของหล่อน แล้วแววตาของหล่อนบึ้ง ทำไมล่ะเขามากักกันสิทธิ์ของหล่อนหรือยังไง จึงย้อนถาม “ทำไมคะผู้หญิงเข้ามาเดินสวนลุมเป็นยังไงหรือ ผิดด้วยหรือคะ” “มันดูไม่ดี เขาจะกล่าวหาว่ามาอ่อยเหยื่อล่อเอ้อ ดักผู้ชายแถวนี้ไงครับ”เขาต้องหนีบความสุภาพเอาไว้ก่อนวาจาร้ายแดกดันคอยเอาไว้ใช้เฉพาะยามที่ต้องการแค่นี้ ต้องการให้นางสมันน้อยตายใจก่อน มณีรัชดาแปลกใจกับผู้ชายคนนี้ เหมือนเขาประชดหล่อน หากแต่หล่อนไม่สนใจหรอก แค่คนแปลกหน้าที่เผอิญมาพบเจอกันครั้งที่สอง “คุณคงทำงานอยู่แถวนี้ แต่มีเวลาเหลือเฟือมาเดินเล่นหรือคะ” “เป็นเพราะผมนัดลูกค้าเอาไว้ แต่ยังไม่ถึงเวลานัดครับ”เขาจำใจปดหล่อน มณีรัชดาก็มีสีหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อนักหรอก หากแต่ก็พยักหน้า “ค่ะคุณเลยมีเวลาว่างถมเถ” วาจาหล่อนย้อนเหน็บก็ไม่เบานี่ “แล้วคุณล่ะ ทำงานที่ไหนครับ” “เอ้อฉันตกงานอยู่ค่ะ”มณีรัชดาหันมาตอบเขา“ “ยังหางานทำไม่ได้”ตอบแล้วก็เบือนหน้าไปทางอื่นชายหนุ่มทราบแต่เขาก็เอ่ย
เห็นเพื่อนสีหน้าตึงอย่างนี้ จตุทิศเอ่ยพร้อมกับขมวดคิ้ว “งั้น ก็เท่ากับหล่อนจะกลายเป็นว่าที่น้องสะใภ้ของนายล่ะสิ” เลยทำให้อีกฝ่ายกลับเหยียดริมฝีปากบิดเบ้ใต้กรอบดวงหน้าคมคายหล่อเหลา จนเพื่อนรับรู้เมื่อเขาย้อนคำเหยียด “เป็นน้องสะใภ้นะหรือ เฮอะ ฝันไปไกลแล้วมั้ง ไม่มีทาง ฉันนี่ละ จะกีดกันผู้หญิงคนนี้ทุกวิถีทาง เพื่อไม่ให้เข้าใกล้น้องชายฉัน” และจอมภูก็เผลอเสียงเข้มประกาศออกมาให้เพื่อนช่วยรับรู้ ครั้นเมื่อจตุทิศรู้ว่าอารมณ์ที่ฮึดฮัดของเพื่อนรักในยามนี้นั้นมันประจุด้วยไฟแค้นที่โชนลึกในดวงตายามแสดงออกมาแววตาเขาแดงก่ำและ ถมึงทึง “หล่อนชื่ออะไร” “มณีรัชดา” “ชื่อเพราะนี่”เพื่อนรักนึกชม “ชื่อเพราะ แต่จิตใจไม่เพราะเหมือนชื่อก็ได้..พอเห็นน้องชายฉันมีเงินก็เอาตัวเองมาหว่านเสน่ห์ใกล้ๆแต่นายรู้มั๊ยฉันมีแผนแล้ว” หันมาตอบเพื่อนแล้วมุมฝีปากขยับยิ้มเหยียด ก่อนหรี่ดวงตาหันมามองเพื่อนอีกครั้ง “ฉันจะให้เจ้าดลช่วย” ทำให้เพื่อนสนิทเลยอุทานออกมา “เฮ้ยไอ้ดล นั่นถนัดภาพนู้ดนะเว้ยจอม” จอมภูยังเอ่ยตอบสีหน้าเ
ฮึ ทำให้หนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่นั้นเดือดจัด ด้วยดวงตาที่วาวเข้มที่น้องชายคนเดียวนั้นก็ไม่เชื่อฟัง หลงมืดมัวถลำบอดไปกับความรักของมัน ฮึ ความรักที่กัดก้อนเกลือกินของทั้งคู่นะสิ หากแต่จอมภูกลั้นใจทนฟังต่อ และกายไม่เคลื่อนไหวใดอันจะทำให้น้องชายจับผิดได้เพราะเขาก็ซุ่มตัวอยู่เงียบๆในเวลานี้ “พลแทบจะคิดถึงณีมากนี่ คิดถึงจนลมหายใจเข้าออกเลยนะเอ้อนี่ถามณีหน่อยเรื่องสมัครงาน เขาโทร.มาตามอีกบ้างหรือเปล่า” เมื่อภูวพลเอ่ยถามเรื่องนี้ มณีรัชดาเงียบไปครู่และหม่นลงด้วยสีหน้าที่ผิดหวังขึ้นมา “ยังจ้ะ ไม่เห็นเรียกตัวเลยสักที่” คำตอบของแฟนสาวทำให้เขาเงียบไปครู่ก่อนจะให้กำลังใจ “ก็พลบอกณีแล้วว่า จะช่วยหาให้ บริษัทเพื่อนของพ่อ ณีก็ไม่เอา เห็นไหม อวดเก่งกับความสามารถของตัวเองนัก สุดท้ายก็ไม่ได้งาน” เขาบ่นที่มณีรัชดายึดมั่นถือมั่นในตัวเองมากเกินไปจนชวดงาน EP 6เพราะหล่อนอยากหาด้วยตัวเอง หญิงสาวคิดเช่นนั้น “พลเคยบอกแล้วให้เชื่อพลแล้วก็ใจอ่อนเสีย บริษัทเพื่อนของพ่อพลมี แต่ณีก็ใจแข็ง” ใช่หล่อนยอมรับว่าหล่อนดื้อในเรื่องนี้ เพราะไม่อยากพึ่งเขา
จอมภูก็ยังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่คนเดียวอีกครั้ง แม้น้องชายจะเอ่ยธุระจบ สีหน้ายิ้มแย้มเหมือนสุขใจ หากแต่เขาผู้เป็นพี่ชายกลับหน้าตึง หรี่ดวงตาเงยมองน้องชาย “นี่แกจะออกไปไหนอีก.. ออกไปข้างนอกหรือเปล่า” จอมภูเอ่ยเสียงเข้มแววตาหมิ่นเยาะไปยังน้องชาย ภูวพลสะบัดเหมือนจะไม่แคร์สนใจในสิ่งที่พี่ชายเอ่ย เขายังทำตัวผ่าเผยยักไหล่แบบไม่แคร์ ก้าวเดินหนีอีก “นี่ ฉันถามแกดี..แกจะออกไปไหนอีก แล้วเมื่อกี้ใครโทร.มาหาแก” “ธุระของผม มันเป็นเรื่องส่วนตัว จะออกไปไหนหรือไม่ออก ผมเคยบอกแล้วว่า พี่ใหญ่อย่ามายุ่งกับชีวิตของผม”เขาก็เสียงเข้มเอ่ยโต้กลับไปทันควัน แสยะใบหน้าใส่อย่างไม่พอใจ จนจอมภูนึกเดือดดาลยิ่งนักกับท่าทีแข็งกระด้างของน้องชาย ทั้งที่เขาแอบฟังคนทั้งสองสนทนา แต่ก็อยากจะรู้ลึกลงไปกว่านั้น “ฮึ นี่นะ ถ้าแม่กับพ่อไม่ฝากให้ฉันดูแลแกล่ะก็ จ้างให้ฉันก็ไม่แยแสเลย ว่าแกนั้นจะตกนรกหมกไหม้ยังไงก็เชิญ เพราะแกมันดื้อ ไม่เคยเชื่อฉัน” นับว่าเป็นคำพูดที่ร้ายกาจทิ้งขว้างและไม่ไยดีพอสมควรสำหรับคนเป็นพี่ชาย เมื่อเขาเอ่ยถึงน้องชาย หากคนฟังนั้นใจเจ็บแปลบ
ครั้นพอเข้าไปดูใกล้ๆ ที่มือถือซึ่งปรากฏมีเบอร์โทร.เข้ามา และในขณะที่หล่อนกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อที่จะออกไปข้างนอกอีกครั้ง ก็มีมือถือดังขึ้นอีกครั้ง ด้วยอารามดีใจ ก็ทำให้เธอรีบคว้าเข้ามาแนบหูเอ่ยถามทันที “มณีรัชดาพูดค่ะ จากไหนคะ” หากว่าเสียงนุ่มทุ้มตอบด้วยอารมณ์ดีใจที่หล่อนยอมรับสาย และโดยไม่ทำให้เขานั้นหน้าหงิกหน้างอหงุดหงิดอย่างเมื่อครู่ “ผม วิภัส ครับ คนที่คุณพบเจอเมื่อตอนกลางวันที่สวนลุม สักสามวันได้แล้วครับ เอ้อ โทร.มาสอบถามว่า คุณสนใจที่จะทำงานตามนามบัตรที่ผมระบุไว้มั๊ยครับ” เสียงนุ่มทุ้มที่เคยคุ้น อ๋อหล่อนจำได้แล้วใจหล่อนแฟบลง นึกว่าฝ่ายบุคคลของบริษัทที่หล่อนสมัครงานทิ้งไว้โทร.มาตาม เมื่อรู้ว่าเป็นเขา แล้วหล่อนก็ถอนใจ พยายามนึกถึงชายหนุ่มรูปร่างสูงใบหน้าคมคาย ที่มณีรัชดานึกคิดว่า ท่าทางเขาแปลกๆยังไงก็ไม่รู้ เป็นเพราะหล่อนไม่ไว้ใจนะสิ แต่ก็ยอมเอ่ยพูดด้วย เหตุผลเพราะเขาพูดกับหล่อนดี และน้ำใจของมณีรัชดาคือ หากใครพูดตอบหล่อนมาดี หล่อนก็จะตอบด้วยสิ่งที่ดี อันบ่งบอกถึงมารยาทจากใจ “ค่ะ ดิฉันจำได้ ว่าไงนะคะ จะให้ดิฉันเข้
“คุณมณีรัชดา”สุ้มเสียงนั้นเอ่ยชื่อหล่อนเมื่อหล่อนมาถึงที่นัดหมายด้วยความกล้ากึ่งกลัวในหัวใจ.. แต่มณีรัชดาพยายามจะสลัดอารมณ์เหล่านี้ทิ้ง ถ้าหล่อนมัวแต่กลัว ก็คงไม่ได้งานนะสิ เพราะอยากทำงานมากกว่า ตกงาน “ค่ะ” “ผมจราดลนะครับ ไอ้ภัสเพื่อนผม คงแนะนำแล้วว่า มันบอกผมว่าคุณเต็มใจจะร่วมงานกับเรา งั้นเชิญมาทางนี้ครับ” เขาผายมือเชื้อเชิญมณีรัชดาแต่หล่อนอึ้ง ยังไม่กล้าลุกก้าวตามไป อะไรกันเขาเรียกให้ลุก นี่ หล่อนก็จะลุกแล้วหรือ เนื่องจากหล่อนกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่ไม่ดี และกลัวนัก แล้วนี่ ปล่อยให้หล่อนอยู่ตามลำพังกับเขาทั้งสองต่อสองหรือ แล้วผู้หญิง ผู้ชายคนอื่นหายไปไหนหมด หล่อนยังไม่กล้าที่จะตัดสินใจ เดินตามเขาไปหรอกนะ ยังอึกอักและลังเลใจ “อ้าว ตามผมมาสิครับ.. มัวนั่งอยู่ทำไม” หล่อนอึ้ง จะตอบเขาอย่างไรดี จราดลเลยบอก “ผมต้องเทสต์งาน คุณอย่ากลัวเลยครับ ถ้ากลัวคงไม่ต้องทำงานนี้หรอก ข้างในยังมีช่างภาพ ช่างไฟ อยู่อีกสามสี่คน ช่างแต่งหน้าด้วย เขาเป็นผู้หญิงเหมือนคุณ”แบบนี้มณีรัชดาค่อยถอนใจอย่างโล่งอก ยอมเดินตามเขาไป “
จอมภูคิดในใจเพราะหล่อนใจร้อนจริงๆถ้าไม่สบใจหล่อนและความพึงพอใจของหล่อนก็จากไปทันที..แต่ยังหรอกแผนของเขายังไม่สัมฤทธิ์ และจะไม่ยอมให้หล่อนหลุดจากตรงนี้ไปได้ง่ายหรอก อีกอย่างเพราะเขาทราบมาว่าน้องชายของเขากำลังจะหางานทำให้หล่อนโดยฝากญาติ และคนรู้จักเขาไม่ต้องการให้คนอย่างมณีรัชดาเหยียบเข้าไปทำงานกับเครือญาติของเขา และงานที่นี่ดูจะเหมาะกับเธอ เป็นงานด้านบัญชี หรือเป็นผู้ช่วยพี่สาวของจราดลก็ได้ และอีกอย่างฝ่ายคอสตูมดูแลเสื้อผ้าของนักแสดงหรือเลือกเฟ้นนักแสดงกับปันณชาหากเพราะในเวลานี้ มณีรัชดาไม่อยากจะรอเพราะหล่อนไม่มีความอดทนมากถึงขนาดนั้นยิ่งด้วยเขาทำให้หล่อนอารมณ์เสียและรู้สึกว่ามาเก้อ และถูกหลอกยิ่งได้มาเจอหน้าวิภัสชายหนุ่มที่หล่อนจำหน้าเขาได้ชายหนุ่มหล่อเงยหน้ามองอีกครั้ง เขาพยายามใจเย็นให้มากที่สุดขณะที่สาวสวยตรงหน้า เห็นชัดว่าหล่อนกำลังอึดอัดอย่างที่สุด “เดี๋ยวผมจะไปส่งคุณเองครับ แต่ขอรับปากว่า คุณได้งานทำแน่ ถ้าหากไม่เลือกมาก” หญิงสาวเงยหน้าหวานคม จ้องเขา ที่ดวงตาของหล่อนนั้นระยับวับวาว “งานอะไรกัน..งานสกปรกที่คุณกับเพื่อนคุณกำลังจะหลอ